บทที่ 136
เฉินวั่งซูพยักหน้าหนักๆ ถูกต้อง! เพราะฉะนั้นสามีโยนความฝันถึงสันติสุขของท่านทิ้งไปให้ไว แล้วก่อกบฏด้วยกันกับข้าเถอะ!
หมัดต่อยคนผู้นี้สักสาม เท้าเตะฝ่าบาท ทำให้แคว้นต้าเฉินกลายเป็นแคว้นต้าเฉินที่แท้จริง!
ข้าเฉินวั่งซูแซ่เฉิน นั่นก็คือฮ่องเต้ต้าเฉินที่สวรรค์เลือกมาอย่างไรเล่า! แน่นอนว่าหากฮ่องเต้แซ่เฉินแล้ว ชื่อแคว้นก็ต้องเป็นเหยียนกระมัง พวกเราเรียกว่าต้าเหยียนก็ดีเหมือนกัน! ต้าเหยียน ต้าเยี่ยน..ห่านป่า! สิบปีก่อนบินจากเหนือลงใต้แล้ว พอมาถึงมือข้าก็ควรบินกลับไปได้แล้ว
หากรู้สึกว่าเชยก็ไม่เป็นไร ข้ารู้สึกว่าชื่อแคว้นสามารถเรียกเป็นเหม่ยเหยียนได้!
เฉินวั่งซูถูกความฉลาดของตนเองทำเอาประทับใจจนน้ำตาไหลเลยทีเดียว
เรื่องมาถึงบัดนี้ยังมีอะไรที่มองไม่ออกอีก นี่ชัดเจนว่าตาแก่อัครมหาเสนาบดีเกาผู้นี้สมคบกับคนทั้งกลุ่มสร้างสถานการณ์เพื่อกันองค์ชายสามออกจากเรื่องนี้อย่างไรเล่า!
น่าสงสารตันหยางจวิ้นอ๋องผู้นั้นที่ต้องกลายเป็นแพะรับบาปและสิ้นชีวิตไปอย่างอาภัพเพียงเพราะเกิดวันที่สิบห้าเดือนเก้า
ป่วยมานานอะไร หน้าอกได้รับบาดเจ็บอะไร ร่างกายอ่อนแอแต่กำเนิดอะไร
ตันหยางจวิ้นอ๋องผู้นั้นเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ฝ่าบาทเพิ่งไปขุดออกมาจากซอกใดสักซอกหลังจากมาถึงเมืองหลินอันแล้ว ขุนนางทั้งราชสำนักไม่มีใครจำได้สักคน ขันทีชราที่ข้างกายเขาคนนั้นกลับจำได้ชัดเจนแม้กระทั่งว่าเขาเคยหาหมอหลวงอยู่ครั้งสองครั้ง
เว้นแต่ว่าตันหยางจวิ้นอ๋องจะเป็นบิดาของเขา มิเช่นนั้นมีหรือจะกตัญญูได้ถึงขั้นนี้
ยิ่งอยากปิดเรื่องยิ่งแดงแท้ๆ!
หากเป็นการทำรายการบันทึกไปให้สำนักหมอหลวงอย่างปัจจุบันทันด่วนอาจจะไม่ทัน เป็นไปได้มากว่าตันหยางจวิ้นอ๋องผู้นั้นแข็งแรงดีมาก แต่เผอิญเคยหาหมอหลวงอยู่หนสองหน ขันทีชราไม่มีทางเลือกถึงได้ออกมาไกล่เกลี่ยสถานการณ์นี้
ตอนแรกเฉินวั่งซูยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พอตาแก่นี่กระโดดออกมาอธิบายนางก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้องแล้ว ยามอพยพลงใต้เมื่อสิบปีก่อนถือเป็นหายนภัยสำหรับแคว้นต้าเฉิน ผู้ที่หนีรอดมาได้อย่างราบรื่นมีคนใดร่างกายไม่แข็งแรงบ้าง
พวกที่อ่อนแอขี้โรคแต่กำเนิดจะมีได้สักกี่คน
ยิ่งพอมีข่าวการตายส่งมาก็ยิ่งชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว
นี่คือต้องการให้ตันหยางจวิ้นอ๋องผู้นั้นตายไปจะได้ตรวจสอบไม่ได้ ‘พยานคำพูด’ เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว คนย่อมจะไม่มีประโยชน์แล้ว
ฮ่องเต้นิ่งงันไปครู่ใหญ่ รับคำให้การนั้นไปมองแล้วมองอีก เป็นนานก็ยังไม่ปริปาก
ขุนนางทั้งหลายในตำหนักต่างเริ่มถกเถียงกันเบาๆ แม้จะเป็นเช่นนี้กลับไม่มีใครก้าวออกมาทัดทาน
เกามู่เฉิงเห็นแล้วก็ร้อนใจ กระทืบเท้า สะบัดองค์ชายเจ็ดที่ต้องการจะลากตัวนางกลับไป
นางหน้าแดงก่ำ ถลึงตาใส่เจียงเยี่ยเฉินอย่างดุร้าย ก่อนจะพุ่งปราดไปหาฮ่องเต้สองสามก้าว “ฝ่าบาท…ฝ่าบาท ทรงละเว้นชีวิตพี่ชายหม่อมฉันด้วยเพคะ จะทรงปลดเขาเป็นสามัญชนก็ดี จะทรงให้เขาออกจากเมืองหลวงไปตลอดกาลก็ช่าง…ฝ่าบาท ขอเพียงทรงไว้ชีวิตเขาก็พอ ฝ่าบาท…”
ผ่านไปเนิ่นนานฮ่องเต้ถึงได้มองไปยังอัครมหาเสนาบดีเกาที่คุกเข่าอยู่อีกด้าน สายตาเขามิได้หยุดอยู่บนตัวเกามู่เฉิงแม้แต่เสี้ยวเวลาเดียว คล้ายว่านางผู้นี้เป็นเพียงอากาศธาตุก็มิปาน
“อัครมหาเสนาบดีกล่าวได้ถูกต้องยิ่ง อนุญาตตามคำขอ เกาอี้เสียงเด็กคนนี้เราเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต อยู่ในกองราชองครักษ์ก็ทำงานได้เป็นมั่นเหมาะตลอดมา เราให้ความสำคัญต่อเขาอย่างมาก ทว่าแม้เผ่ามู่ซีจะกันดารห่างไกลก็ยังคงเป็นราษฎรของเรา เรื่องที่เกาอี้เสียงสังหารคนทั้งหมู่บ้านมีหลักฐานความผิดแน่ชัด หากไม่ลงโทษสถานหนักจะต้องกลายเป็น…”
อัครมหาเสนาบดีเกาฟังพระราชกระแสรับสั่งของฝ่าบาทแล้วก็เงยหน้าขึ้นมาเบาๆ ม่านตาพลันหดตัว ครั้นแล้วก็รีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็หัวเราะเสียงเย็นอยู่อีกด้าน
ตาแก่นี่คิดจะถอยเพื่อรุก คงคิดไม่ถึงกระมังว่าฝ่าบาทจะเล่นตามน้ำ…
“เหลือศพสมบูรณ์ให้เขาก็แล้วกัน ตันหยางจวิ้นอ๋องเองก็นับเป็นตัวการ ให้ขับออกจากสกุลเจียง ปลดเป็นสามัญชน”
อัครมหาเสนาบดีเกาถอนหายใจเบาๆ ก่อนน้อมรับพระมหากรุณาธิคุณ
เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็มองไปที่เกามู่เฉิง พลันรู้สึกว่าคุณหนูผู้นี้ดูคล้ายจะไม่ได้น่าชังปานนั้นแล้ว
นางยืนอยู่ตรงนั้น นิ้วมือใกล้จะฝังเข้าในเนื้อแล้ว ริมฝีปากสั่นไม่หยุด หน้าผากก็เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเม็ดใหญ่ หน้าอกสะท้อนขึ้นลง เห็นได้ชัดว่าเดือดดาลถึงขีดสุดแล้ว
วันนี้เกาฮูหยินไม่ได้เข้าวังมาร่วมงานเลี้ยง พระสนมเกาทั้งสองท่านก็อ้างว่าป่วยมิได้มาเช่นกัน ทั่วทั้งโถงใหญ่หากยังมีใครแยแสต่อความเป็นความตายของเกาอี้เสียง นั่นก็มีเพียงเกามู่เฉิงแต่ผู้เดียวแล้ว
แม้เจ้าเดนมนุษย์นั่นจะสมควรตายก็ตามที
“ฝ่าบาทเพคะ!” เสียงของเกามู่เฉิงโหยหวนอยู่บ้าง
นางเบ้าตาแดง พลันยกมือชี้องค์ชายสาม
องค์ชายสามตกใจ รีบขยับหลบ อัครมหาเสนาบดีเการีบลุกขึ้นยืน ดึงตัวเกามู่เฉิงไว้ “มู่เฉิง ข้ารู้ว่าเจ้าผูกพันกับพี่ชายเจ้ามาก แต่นี่เป็นสถานที่อะไร เรื่องของราชสำนักย่อมมีฝ่าบาทตัดสินพระทัย พี่ชายเจ้าได้รับโทษสาสมกับความผิด มิอาจแค้นผู้อื่นได้ ข้าเห็นว่าเจ้ามีอาการไม่สบาย กลับไปพักผ่อนเร็วหน่อยจะดีกว่า องค์ชายเจ็ด ขอให้พระองค์ทรงจัดหาคนพามู่เฉิงกลับไปพักผ่อนด้วยเถิด”
องค์ชายเจ็ดรู้สึกถึงสายตาของคนทั้งหลายก็รีบยืนขึ้น เขาหน้าดำทะมึน เห็นได้ชัดว่ารู้สึกขายหน้าถึงที่สุด “เสด็จพ่อ เกาซื่อไม่สบาย ลูกขอตัวพานางกลับไปพักผ่อนก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้า “กลับไปเถอะ เราเองก็เหนื่อยแล้ว”
เกามู่เฉิงเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็พลันหัวเราะคิกคักขึ้นมา
“ฝ่าบาท ลองทอดพระเนตรดูสิเพคะ หม่อมฉันพูดถึงพี่ชาย พวกเขาไม่ร้อนใจ เหมือนไม่เห็นหม่อมฉันเป็นคนอย่างไรอย่างนั้น แต่ครั้นหม่อมฉันพูดถึงองค์ชายสามพวกเขาต่างก็ร้อนใจแล้ว อยากจะไล่หม่อมฉันกลับไปแล้วอุดปากหม่อมฉันไว้ใจแทบขาด”
เกามู่เฉิงว่าแล้วก็เบ้าตาแดง ความเร็วในการพูดเพิ่มขึ้น “ฝ่าบาท หม่อมฉันต้องการฟ้องร้ององค์ชายสามข้อหาค้าเกลือเถื่อนเอาเงินเข้าจวนตนเอง! บางทีผู้ที่เกิดวันที่สิบห้าเดือนเก้าอาจจะเป็นคนชั่วกันทั้งหมด ถ้ามิใช่ฆ่าคนวางเพลิงเพื่อเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตตนเอง พอเรื่องถึงตัวก็หาคนมารับเคราะห์แทนก็ไม่เห็นกฎหมายแคว้นต้าเฉินอยู่ในสายตา! ต้องการจะขุดคลังเกลือของฝ่าบาทให้เกลี้ยง!”
“ไม่มีหลักฐาน เจ้าพูดเหลวไหลอะไร!”
มิใช่แค่อัครมหาเสนาบดีเกาที่ตาเขียวปั้ด เฉินวั่งซูมองดูรอบๆ พวกองค์ชายสามที่ยืนอยู่ในยามนี้แทบอยากจะพุ่งตัวมาบีบคอหญิงท่าทางเหมือนเสียสติอย่างเกามู่เฉิงให้ตายไปให้รู้แล้วรู้รอดเลยทีเดียว
นี่คือนางว่าเกาอี้เสียงจะต้องตายก็ไม่สนใจจุดยืนของสกุลเกา จะลากองค์ชายสามลงน้ำขุ่นให้ได้ชัดๆ
เดิมทีเรื่องนั้นฮ่องเต้ได้กำหนดโทษและปิดคดีลงแล้ว แต่นางกลับมาไม้นี้อย่างเหนือความคาดหมาย…
“เหอะๆ ข้าไม่มีหลักฐาน? ข้าเกามู่เฉิงก็คือหลักฐาน! เมื่อคืนนี้ข้ามองเห็นชัดกระจ่างตาว่าเฉินสี่หลิงพระชายาองค์ชายสามลากเกลือเถื่อนไปส่งมอบให้หัวหน้าเรือแซ่โจวที่รับจ้างช่วยคนขายของโจรตามแม่น้ำผู้นั้น
ห้าลำเรือเต็มๆ! ถูกข้าจับได้คาหนังคาเขา! นี่มิใช่หนแรกแล้ว พวกเขาขนออกไปทุกสามวันห้าวัน! เรือนั้นยังจอดอยู่ที่ท่าเรือ! ข้ากลัวพวกเขาจะหนีไปจึงสั่งให้คนจับตามองไว้ตลอด! คลังสินค้าอยู่ที่ใดข้าก็รู้เช่นกัน ฝ่าบาท มู่เฉิงพาพระองค์ไปทอดพระเนตร พระองค์ก็จะทรงทราบแล้วว่ามู่เฉิงโป้ปดหรือไม่”
เกามู่เฉิงพูดแล้วก็หัวเราะอย่างเสียสติอีกสองสามที “ข้าน่ะไม่มีความแค้นกับองค์ชายสาม จะว่าไปแล้วเขายังเป็นญาติกับข้าเสียด้วยซ้ำ! เหตุใดข้าต้องใส่ร้ายป้ายสีเขาด้วย ปกติมู่เฉิงดื้อรั้น ไม่เคยเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านปู่แต่โดยดี วันนี้ในงานเลี้ยงที่วังหลวงกลับได้เรียนรู้คุณธรรมความประพฤติอันดีงามของคนสกุลเกาแล้วอย่างแท้จริง นั่นก็คือการจัดการลงโทษญาติพี่น้องปกป้องความเป็นธรรม!”
บทที่ 137
เฉินวั่งซูได้ยินแล้วก็อดจะลอบยกนิ้วหัวแม่มือให้เกามู่เฉิงไม่ได้ ประโยคนี้กล่าวได้เยี่ยมยอด!
ลำพังแค่มองดูแผ่นหลังนางก็จินตนาการใบหน้าที่ใกล้จะโมโหจนปริแตกนั้นของอัครมหาเสนาบดีเกาออกได้แล้ว สะใจแท้ๆ! นางยังแทบอยากจะเลิกปลอมเป็นสุกรหลอกกินพยัคฆ์แล้วก้าวไปสะสางบุญคุณความแค้นให้สาแก่ใจ ทำให้อัครมหาเสนาบดีเกาโมโหตายไปเลย!
เกามู่เฉิงยืดอกมองอัครมหาเสนาบดีเกาอย่างท้าทาย
คนบางคนเห็นแก่ส่วนรวมเป็นหลัก คนบางคนไม่เคยมีคำว่าส่วนรวม
“เฉินสี่หลิง เจ้ากล้าออกมายืนยันกับข้าหรือไม่ เมื่อคืนนี้ข้าจับเจ้าได้คาหนังคาเขาที่ท่าเรือจริงหรือไม่ องค์ชายสาม ท่านกล้าสาบานต่อฟ้าหรือไม่ว่าท่านไม่ได้ค้าเกลือเถื่อน ข้ากล้าสาบานเลยว่าทุกคำที่ข้าพูดเป็นความจริง! ท่านกล้าหรือไม่ คนโกหกต้องถูกฟ้าผ่าไม่ได้ตายดี!”
เรื่องที่เกามู่เฉิงพูดเป็นที่สะท้านสะเทือนเกินไป ในโถงจึงเงียบกริบจนได้ยินแม้แต่เสียงเข็มตก
เฉินสี่หลิงพระชายาองค์ชายสามขาอ่อนยวบ ทั้งตัวคนไหล่ทรุดลงประหนึ่งว่าไม่มีกระดูกแล้ว องค์ชายสามยื่นมือคิดจะประคอง กลับประคองไว้ไม่อยู่
เฉินสี่หลิงล้มลงอย่างแรง คล้ายว่าพลันได้สติเต็มตาแล้วจึงรีบพูดว่า “เมื่อคืนพวกเราได้พบกันที่ท่าเรือจริง มีเถ้าแก่โจวอยู่จริง แต่พูดไปก็ให้ละอายใจ”
เฉินสี่หลิงพูดพลางลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงน ก่อนถวายบังคมเต็มพิธีต่อฮ่องเต้ “ฝ่าบาท พูดแล้วก็ให้ละอายใจ สี่หลิงไม่สันทัดเรื่องบริหารดูแลการค้า ทุกปีจวนองค์ชายสามล้วนไม่มีกำไร ฤดูสารทปีนี้ก็เก็บเกี่ยวไม่ดี เห็นว่าชาวบ้านใกล้จะลำบากกันในฤดูหนาวแล้ว ตามธรรมเนียมปีที่ผ่านๆ มาในจวนจะต้องทำกุศลแจกโจ๊กและเครื่องนุ่งห่ม องค์ชายมีพระเมตตา หม่อมฉันจะทำให้ต้องทรงผิดหวังได้อย่างไร องค์ชายทรงมีงานรัดตัว หม่อมฉันไม่อยากนำเรื่องเงินมารบกวน จึงได้หาเถ้าแก่โจวมาด้วยคิดจะนำสินเดิมส่วนหนึ่งออกไปขายที่ห่างไกล ในเมืองมีครอบครัวมั่งคั่งไม่น้อยที่ทำเช่นนี้ เถ้าแก่โจวผู้นั้นมีชื่อเสียงในการค้าทางน้ำพอตัว คนไม่น้อยในเมืองที่บริหารเงินไม่ทันล้วนจะไปให้เขาช่วยอย่างเงียบๆ หม่อมฉันส่งคนนำของไปให้เขาบนทะเลสาบซีหูตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว แต่เมื่อวานจู่ๆ เถ้าแก่โจวก็ให้คนมาบอกว่าของของหม่อมฉันมีปัญหาอยู่บ้าง หม่อมฉันไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้จึงรีบไป…ไม่คาดคิดว่า…ไม่คาดคิดว่า…”
เฉินสี่หลิงพูดพลางมองตรงไปยังเกามู่เฉิงตาไม่กะพริบ “ไม่คาดคิดว่าเกาฮูหยินกับน้องสะใภ้เจ็ดจะพาคนไปรอหม่อมฉันอยู่ตรงนั้นแล้ว เถ้าแก่โจวผู้นั้นปิดปากเงียบไม่พูดถึงของที่หม่อมฉันให้เขาไป กลับเอาแต่พูดถึงเกลือเถื่อน…น้องสะใภ้เจ็ด ข้ารู้ว่ากับเจ้าแม่ทัพเกาสองพี่น้องผูกพันกันลึกซึ้ง องค์ชายของพวกข้าเองก็ประสูติวันที่สิบห้าเดือนเก้าจริงๆ แต่เจ้าจะลากผู้บริสุทธิ์ลงน้ำเพื่อช่วยพี่ชายของเจ้ามิได้ ซ้ำยังซื้อตัวเถ้าแก่โจว จัดฉากนี้ขึ้นเพื่อต้องการควบคุมข้า…เมื่อคืนข้าได้พูดกับเจ้าไปแล้วว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ องค์ชายมีพระเมตตากรุณา หากแม่ทัพเกาบริสุทธิ์จริง การที่พวกข้าช่วยพูดแทนเขาก็เป็นสิ่งที่มิอาจปฏิเสธได้ ข้านึกว่าเจ้าฟังเข้าหูแล้ว จึงเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ มิได้บอกต่อผู้ใด ทว่าน้องสะใภ้เจ็ด…เจ้าทูลความเท็จเหลวไหลต่อพระพักตร์ฝ่าบาทด้วยได้อย่างไรกัน”
เฉินสี่หลิงพูดพลางถอนหายใจเบาๆ “แม้ข้าจะเคยร่ำเรียนหนังสือเพียงไม่กี่วัน แต่ก็รู้กฎหมายแคว้นต้าเฉิน หากข้าสามารถลากเกลือเถื่อนออกมาได้ห้าลำเรือก็คงไม่ถึงกับต้องขายสินเดิมกิน”
นางว่าแล้วเสียงก็ติดสะอื้นอยู่บ้าง “สินเดิมนั้นเป็นของที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษข้า…เดิมทีข้าคิดจะปิดบังไว้…แต่บัดนี้…ผู้อาวุโสในบ้านข้าไม่รู้จะใจสลายเพียงใดแล้ว สี่หลิงละอายใจ ตนเองอกตัญญูถึงขีดสุดโดยแท้”
เฉินสี่หลิงพูดจบก็คารวะเต็มพิธีต่อเฉินเหล่าเอ้อร์
เฉินเหล่าเอ้อร์ผู้นั้นก็คือนายท่านผู้เฒ่าแห่งบ้านรองสกุลเฉิน หรือก็คือปู่แท้ๆ ของเฉินสี่หลิง
องค์ชายสามเห็นดังนี้ก็ตะลีตะลานก้าวมาประคองเฉินสี่หลิงไว้ “เรื่องใหญ่ปานนี้ไยเจ้าจึงไม่บอกข้าด้วย! ข้ายังมีเบี้ยหวัดอยู่ ไหนเลยจะต้องให้เจ้าขายสินเดิม…”
เฉินสี่หลิงเบ้าตาแดง “สามี เป็นข้าบกพร่องต่อหน้าที่แล้ว”
เฉินวั่งซูอ้าปาก มองเหยียนเจวี๋ยปราดหนึ่ง โลกอันสันติสุข ท่านรีบดูเร็ว! ผู้ที่ยืนอยู่ตรงนี้ได้แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือด้านการโกหกตาใส! หากพวกเราเป็นคนดีคงได้ถูกแทะจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก
สวรรค์ลิขิตมาแล้วว่าต้องการให้พวกเราใช้ชีวิตเป็นตัวร้าย!
เหยียนเจวี๋ยรู้สึกถึงสายตาเหี้ยมเกรียมของเฉินวั่งซูก็มุมปากกระตุก ภรรยา เจ้าตั้งสติหน่อย นี่ยังอยู่ตำหนัก!
เฉินวั่งซูย่อมจะไม่รู้ว่าในใจของเหยียนเจวี๋ยนางได้ถูกคิดบิดเบือนไปเป็นแบบใดแล้ว นางหันหน้าไปมองเกามู่เฉิงอีกครั้ง
เกามู่เฉิงโมโหจนเนื้อบนหน้าสั่น เครื่องประทินโฉมที่เพิ่งแต่งเติมมาเมื่อเช้าร่วงกราวลงมา ทำให้หน้านางดูเป็นด่างดวง น่าสงสารเป็นพิเศษ “น่าขันเกินไปแล้วจริงๆ! นี่เจ้ามิใช่กำลังโกหกตาใสหรือไร ข้าใส่ร้ายเจ้า? ข้าเกามู่เฉิงโตมาจนป่านนี้ยังไม่เข้าครัว เพิ่งจะเมื่อคืนนี้เองที่ได้เห็นเป็นครั้งแรกว่าเกลือมีหน้าตาอย่างไร ข้าใส่ร้ายเจ้า? ข้าเสกเกลือเถื่อนห้าลำเรือออกมาใส่ร้ายเจ้ากระนั้นหรือ”
เกามู่เฉิงพูดอย่างโมโหจัดจนกลายเป็นหัวเราะเสียงเย็นออกมา นางเดินไปเบื้องหน้าองค์ชายสามและเฉินสี่หลิง ส่งเสียงถ่มน้ำลายอย่างแรง จากนั้นก็เดินตรงไปหยุดต่อพระพักตร์ฝ่าบาท “ฝ่าบาท ทอดพระเนตรสิเพคะ พระชายาองค์ชายสามเองก็พูดแล้วว่ามีเกลือเถื่อนจริงๆ นางบอกว่าหม่อมฉันให้ร้ายนาง แต่หม่อมฉันลืมไปแล้วว่าเกลือนั้นมาจากที่ใด เหมืองเกลือของต้าเฉินมีรวมๆ อยู่แค่นี้ พวกมันอยู่ที่นั่น ย้ายไปที่ใดไม่ได้ หนีก็หนีไม่พ้น มิสู้ทรงลองตรวจสอบแทนมู่เฉิงดูสิเพคะว่าเกลือเถื่อนห้าลำเรือนั้นหม่อมฉันไปขุดมาจากที่ใด เกลือห้าลำเรือต้องใช้คลังเก็บใหญ่มากเพียงไร คลังนั้นเป็นของใคร ทำมานานเท่าไรแล้ว ใครเป็นคนทำ
ตัวมอดบ่อนทำลายบ้านเมืองที่หน้าไม่อายพรรค์นี้ ฝ่าบาทต้องทรงหาตัวออกมาให้ได้แล้วลงโทษบั่นคอพวกเขาตามกฎหมายแคว้นต้าเฉินจึงจะถูก หากหาตรวจสอบออกมาได้ว่าเป็นฝีมือของหม่อมฉันเกามู่เฉิงจริงๆ ศีรษะของหม่อมฉันก็อยู่ตรงนี้ ทรงเอาไปได้ทุกเมื่อ!”
นางพูดพลางหลุบตาลง “ถึงอย่างไรศีรษะของพี่ชายหม่อมฉันก็ถูกท่านปู่ถวายให้พระองค์แล้ว”
เกามู่เฉิงพูดจบก็หัวเราะฟั่นเฟือนออกมาอีกครั้ง นางหมุนตัวไปมองอัครมหาเสนาบดีเกาที่หน้าเขียวคล้ำไปแล้ว “ท่านปู่ ไหนๆ ท่านก็จัดการลงโทษญาติพี่น้องปกป้องความเป็นธรรมแล้ว มิสู้ทำอีกสักครั้ง ที่ข้าผู้เป็นหลานสาวของท่านยังมีหัวอยู่นะเจ้าคะ!”
อัครมหาเสนาบดีเกามองเกามู่เฉิงอย่างลึกซึ้งปราดหนึ่ง ก่อนจะคุกเข่าโครมลงกับพื้น “กระหม่อมไร้ความสามารถจะอบรมสั่งสอนให้ดี เกามู่เฉิงผู้เป็นหลานสาวเสียกิริยาต่อพระพักตร์ ขอฝ่าบาทโปรดพระราชทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยังคงไม่เอ่ยสิ่งใด เขามองไปยังเกามู่เฉิงก่อนมองไปที่องค์ชายสาม ไม่รู้กำลังมีความคิดอะไรบ้าง
เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็ร้อนใจ เจ้าช่วยใช้สมองที่ขึ้นสนิมรีบตัดสินใจให้ไวๆ หน่อย!
นางประหนึ่งเป็นผู้อ่านที่กำลังรอให้เนื้อเรื่องดำเนินต่อ ทั้งๆ ที่ร้อนใจแทบตาย แต่ผู้แต่งดันมาตัดตอนอีก…แทบจะแดดิ้นสิ้นใจ อยากบุกไปตีหัวให้แบะเลยทีเดียว
ในโถงใหญ่มีเสียงเอ็ดอึงดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่ละคนดูเหมือนล้วนมีเรื่องอยากพูดอยู่เต็มท้อง แต่กลับไม่มีสักคนที่ก้าวออกมาพูดจริงๆ
เฉินวั่งซูแววตามุ่งมั่น กำลังคิดจะก้าวออกไป ถลกแขนเสื้อแทงพวกเขาสักสองแผล กลับได้ยินเสียงใสเสนาะดังมาจากด้านหลัง “ฝ่าบาท กระหม่อมต่งหลีจากฝ่ายตรวจการมีเรื่องใคร่กราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
บทที่ 138
เฉินวั่งซูได้ยินเสียงนี้ก็ตัวสั่น บทงิ้วจ้วงหยวนหญิงสะท้อนก้องในสมอง
หรือว่าแคว้นต้าเฉินนี้จะมีสตรีเป็นขุนนางด้วย
เสียงนี้อ่อนหวานเพราะพริ้งประดุจนกเยี่ยอิงใสเสนาะยิ่งกว่านกขมิ้น น่าฟังยิ่งกว่านกกระจิบนกกระจอก แม้แต่แม่นางถีหูที่ฝ่าบาทโปรดที่สุดยามร้องเพลงก็ยังไม่น่าฟังเท่านี้
เฉินวั่งซูหันหน้าไปมองก็เห็นเพียงคนทั้งหมดล้วนจับจ้องไปยังบุรุษที่ยืนอยู่ข้างประตู เขาดูเป็นคนหนุ่มอายุราวสิบแปดสิบเก้า ผิวพรรณของเขาขาวเหมือนหิมะ ริมฝีปากสีม่วงเหมือนองุ่น ดวงตาทั้งสองเหมือนเหยี่ยวที่โผบินบนท้องฟ้า
เขาไม่เหมือนสโนว์ไวท์ กลับเหมือนเป็นมารดาเลี้ยงของสโนว์ไวท์
แม้จะน่ามอง แต่พอมองก็ดูไม่เหมือนคนดี ยากที่จะเชื่อได้ว่าเสียงที่น่าฟังปานนั้นเปล่งออกมาจากปากของคนผู้นี้
เหยียนเจวี๋ยสังเกตเห็นสายตาของเฉินวั่งซูก็กระเถิบมาใกล้อย่างเงียบเชียบ “ต่งหลีเป็นปั่งเหยี่ยนในการสอบครั้งก่อน ขณะสอบได้จิ้นซื่ออายุเพิ่งจะสิบหก เป็นบุคคลทรงความรู้ความสามารถที่หาตัวจับยากแห่งยุค ต่งเฉิงบิดาของเขาสมัยก่อนก็เป็นผู้ตรวจการ ต่อมามีครั้งหนึ่งออกนอกเมืองแล้วหายสาบสูญไป”
เฉินวั่งซูมองเหยียนเจวี๋ยด้วยความประหลาดใจ “ท่านรู้จักเขา?”
คราวนี้ถึงตาเหยียนเจวี๋ยประหลาดใจบ้างแล้ว “เจ้าไม่รู้จักเขา? เขากับฉางเยี่ยนพี่ชายเจ้าเป็นสหายสนิทกัน”
เหยียนเจวี๋ยพูดแล้วเสียงก็ติดจะคับข้องใจ “ตอนแรกที่เจ้าถอนหมั้น พี่ชายเจ้ายังตั้งใจจะให้ต่งหลีแต่งงานกับเจ้าด้วย!”
คราวนี้เฉินวั่งซูคึกคักขึ้นมาแล้ว พินิจพิเคราะห์ดูต่งหลีผู้นั้นขึ้นๆ ลงๆ รอบหนึ่ง เขารูปร่างสูงโปร่ง ยิ่งมีสองขาที่ยาวเหยียด เมื่อยืนอยู่ในโถงพร้อมกับตาแก่โขยงหนึ่งเอวก็เท่ากับอกของผู้อื่นเลยทีเดียว
เหยียนเจวี๋ยเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางก็แทบอยากจะตบหน้าตนเอง ใครใช้ให้เจ้าปากมาก!
เขาคิดแล้วก็เหยียดขาออกไปเงียบๆ
เฉินวั่งซูรู้สึกว่าเท้าถูกเบียดก็มองไปอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านเหยียดขามาทำอะไร”
เหยียนเจวี๋ยทุบขาตนเอง “ขายาวเกินไป ก่อนหน้านี้งออยู่ตลอด ชาหมดแล้ว”
เฉินวั่งซูมุมปากกระตุก ไฉนก่อนหน้านี้ถึงไม่เคยเห็นท่านขาชาเลย!
“ริมฝีปากเขาม่วงเกินไป จนข้านึกว่าเขาถูกพิษเข้าแล้ว อดไม่ได้ที่จะอยากใช้พิษสู้พิษ!”
เหยียนเจวี๋ยหวิดจะกลั้นไม่อยู่ หากมิใช่ยามนี้ไม่เหมาะกับการหัวเราะดังๆ เขาคงจะเท้าเอวหัวเราะออกมาแล้ว
“ผู้ตรวจการต่งมีเรื่องใดต้องการกราบทูล หากมิใช่เรื่องสำคัญ ค่อยกราบทูลที่ท้องพระโรงในเช้าวันพรุ่งก็ยังไม่สาย”
ฮ่องเต้กล่าวด้วยเสียงที่หนักแน่น ความหมายนอกวาจานั้นก็คือ ‘อย่าไม่รู้กาลเทศะ ข้าเพียงอยากอาศัยเรื่องนิมิตมงคลเพื่อฟังคนประจบสอพลอ! แต่กลับมีคนไม่รู้กาลเทศะมากขนาดนี้กระโดดออกมาไม่ขาดสาย อาหารยังชืดหมดแล้ว!’
ต่งหลีกลับกล่าวออกไปประหนึ่งหูหนวกตาบอดก็มิปาน “กระหม่อมต่งหลีขอกราบทูลฟ้องเรื่ององค์ชายสามลักลอบเปิดเหมือง การค้าเกลือเถื่อนมีหลักฐานแน่ชัด อีกทั้งอาศัยเรื่องการขนส่งเกลือเถื่อนฟอกทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสามตกใจ กระโดดออกมาทันที “ต่งหลี นี่เจ้ากำลังพูดเอาใจมวลชน! เรื่องเกลือเถื่อนอะไร สี่หลิงได้บอกแล้วว่านางไม่รู้อะไรทั้งสิ้น”
เฉินวั่งซูมองเฉินสี่หลิงเล็กน้อย เห็นเพียงมือของอีกฝ่ายกำชายกระโปรงแน่น ผ่านไปครู่หนึ่งก็คลายออก
แม้เสียงต่งหลีจะอ่อนหวาน แต่ยามกล่าววาจากลับมีพลัง ค่อนข้างดังกังวาน
“ผู้ตรวจการกำลังกราบทูลความผิดขุนนาง องค์ชายสามมิทรงมีสิทธิ์ขัดจังหวะตามอำเภอใจ โปรดทรงระวังกิริยาวาจาด้วย ในเมื่อผู้แซ่ต่งกล้ากราบทูลฟ้องก็แสดงว่ามีหลักฐานเป็นอันจริง หากผู้แซ่ต่งกราบทูลจบ องค์ชายสามยังทรงมีแรงคัดค้าน ค่อยตรัสก็ยังมิสาย มีฐานะเป็นองค์ชาย กลับทรงเป็นเดือดเป็นร้อนจนเสียกิริยา มิบังควรโดยแท้”
องค์ชายสามชะงักงัน อ้าปากพะงาบ ยังอยากจะพูด
ต่งหลีกลับล้วงหลักฐานออกมาโดยไม่แยแสคำพูดและอารมณ์ของเขาโดยสิ้นเชิง ไม่ต่างจากที่ปฏิบัติต่อฝ่าบาท เขาล้วงภาพม้วนหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อก่อนชี้ “ที่แห่งนี้มีชื่อว่าเขาผิงซาน อยู่ที่เมืองหลินอันนี่เอง เขาผิงซานนี้ไม่มีนกไม่มีทัศนียภาพ เป็นภูเขารกร้างแห่งหนึ่งปราศจากชื่อเสียง ฝ่าบาทยังทรงจำได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เมื่อสามปีก่อนมีคนถวายฎีกา กราบทูลเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง เล่าว่าหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ชานเมือง แหล่งน้ำมีการปนเปื้อน รสชาติน้ำขมราวกับหวงเหลียน* ดมแล้วมีกลิ่นแสบจมูก ราชสำนักส่งคนไปตรวจดูกลับไม่มีหนทางแก้ปัญหา ธัญพืชในที่นาในหมู่บ้านก็เหลืองกรอบแคระแกร็น ไม่อาจผลิตได้ ชาวบ้านเป็นทุกข์กับเรื่องน้ำใช้ อีกทั้งไม่อยากไปจากบ้านเกิด เป็นเหตุให้นายอำเภอในท้องที่นั้นถวายฎีกาต่อราชสำนัก หวังว่าจะสามารถจัดสรรเงินมาช่วยให้คนในหมู่บ้านนี้โยกย้ายที่อยู่ได้”
ฝ่าบาทพยักหน้า “มีเรื่องนี้จริงๆ เวลานั้นเรียกร้องใหญ่โต ออกจะโลภมากไปหน่อย จึงถูกเราแย้งกลับไป แต่ก็ได้ให้แบ่งที่ดินผืนหนึ่งให้พวกเขาได้อาศัยแล้ว”
ต่งหลีส่งเสียงขานรับในลำคอเบาๆ “หมู่บ้านนั้นตั้งอยู่ที่ตีนเขาผิงซาน ส่วนผู้ที่จัดการเรื่องนั้นในเวลานั้นก็คือองค์ชายสาม บรรดาชาวบ้านไม่ยินยอมย้ายสุสานบรรพบุรุษ ยามนั้นยังเคยอาละวาดอยู่พักหนึ่ง ราชสำนักรำคาญไม่รู้จะรำคาญอย่างไร สุดท้ายองค์ชายสามทรงใช้ทั้งอารมณ์ทั้งเหตุผลทำให้พวกเขาเข้าใจ พวกเขาถึงได้ย้ายออกไป เนื่องจากเรื่องนี้ฝ่าบาทยังทรงชมเชยและพระราชทานรางวัลแก่องค์ชายสามเป็นอาภรณ์ขนนกยูงตัวหนึ่ง”
ได้ยินเขาเตือนความจำเช่นนี้คนในราชสำนักก็เห็นได้ชัดว่านึกออกแล้ว
เฉินวั่งซูมองเหยียนเจวี๋ยก่อนพูดเสียงเบา “มีเรื่องนี้จริง อาภรณ์ขนนกยูงนั่นเฉินสี่หลิงยังเคยสวมด้วย”
“หากแต่คราวนั้น อันที่จริงองค์ชายสามลอบมอบเงินให้หมู่บ้านทั้งหมดที่ตีนเขาผิงซาน พร้อมทั้งส่งทหารในจวนไปย้ายสุสานให้ชาวบ้าน เขาไม่เสียดายเงินปานนี้ ซ้ำยังจัดการเสียรวดเร็ว นี่เป็นเพราะขณะเขาไปถึงได้ค้นพบว่าเขาผิงซานแห่งนั้นเป็นภูเขาเกลือ ก่อนจะเกิดกรณีแหล่งน้ำของหมู่บ้านที่ตีนเขาผิงซาน เมืองหลินอันเคยเกิดปรากฏการณ์มังกรพลิกตัว* ขึ้นครั้งหนึ่ง เนื่องจากเหตุการณ์นี้ เขาผิงซานจึงเกิดถล่มหลายจุด จนปนเปื้อนแหล่งน้ำใต้ดิน เป็นเหตุให้น้ำในบ่อมีรสขมและเค็ม ธัญพืชไหม้ตาย”
ต่งหลีกล่าวต่อด้วยมาดอันห้าวหาญ “องค์ชายสามทรงค้นพบเรื่องนี้ แต่มิได้กราบทูลรายงาน กลับขอให้ฝ่าบาททรงปิดเขาผิงซาน ไม่อนุญาตให้คนเข้าออก เพื่อไม่ให้ผู้อื่นได้รับเคราะห์จากน้ำปนเปื้อนพิษ”
คนบนตำหนักใหญ่มีไม่น้อยพากันพยักหน้า
เป็นตามนี้จริงๆ เนื่องจากเขาผิงซานเป็นสถานที่กันดารที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก คนส่วนใหญ่ไม่เคยไปโดยสิ้นเชิง อีกทั้งที่นั่นก็ไม่มีชาวบ้านอยู่แล้ว ปิดเขาก็มิใช่เรื่องใหญ่ ด้วยเหตุนี้ในเวลานั้นจึงมิมีใครคัดค้าน ถึงขนาดคิดด้วยว่าอย่าเอ็ดอึงไป อย่าให้ใครรู้ว่าเมืองหลินอันยังมีสถานที่บ้าๆ ที่ไม่สงบพรรค์นี้อยู่
“องค์ชายสามทรงครอบครองเขาผิงซานไว้เพียงผู้เดียว ส่งคนเข้าเขาไปเก็บเกลือ…”
“เจ้าพูดเหลวไหล! เจ้าพูดจาเหลวไหลสิ้นดี!” องค์ชายสามหน้าเห่อแดง ร้องโหวกเหวกเสียงดัง
เขามองอัครมหาเสนาบดีเกาปราดหนึ่ง กลับเห็นอีกฝ่ายก้มหน้ามองปลายเท้าตนเองโดยไม่ปริปากแม้แต่คำเดียว
องค์ชายสามให้ตกใจ ตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าจัดการเรื่องเขาผิงซานจริง แต่เรื่องหลังจากปิดเขา ข้าไม่รู้แล้ว”
ต่งหลีเหลือกตาใส่องค์ชายสาม ก่อนพูดด้วยท่าทางจริงจัง “องค์ชายทรงความจำไม่ดี ผู้ตรวจการกำลังกราบทูลความผิดขุนนาง โปรดอย่าตรัสแทรกตามอำเภอใจ”
ว่าแล้วก็เขาก็กล่าวต่ออีกว่า “หลังจากนั้นก็ให้สกุลโจว สกุลหวัง สกุลหลิ่ว และสกุลหยาง สี่ตระกูลนี้ขนเกลือเถื่อนออกขาย ในจำนวนนี้คนแซ่โจวรู้จักกับเฉินสี่หลิงพระชายาองค์ชายสามอยู่แต่เก่าก่อน จึงให้นางออกหน้า สกุลหวังและสกุลหลิ่วเดิมก็เป็นญาติฝ่ายหวังซื่อสนมขององค์ชายสาม ส่วนสกุลหยาง…”
ต่งหลีพูดพลางมองอัครมหาเสนาบดีเกาปราดหนึ่ง “สกุลหยางเป็นสกุลเดิมของอนุของเกามู่น้องชายเกากุ้ยเฟย ฝ่าบาทโปรดทอดพระเนตร กระหม่อมมีทั้งคำให้การของหลี่โหยวผู้ดูแลที่องค์ชายสามทรงส่งไปเขาผิงซาน รวมถึงคำให้การของเถ้าแก่โจว ตลอดจนคำให้การของสกุลหลิ่วด้วยพ่ะย่ะค่ะ ในจำนวนนี้หลี่โหยวได้มอบสมุดบัญชีมาด้วยเล่มหนึ่ง บันทึกเรื่องเวลาขนสินค้าออกจากจวนองค์ชายสามและเวลาเก็บเงินคืน ฝ่าบาททอดพระเนตรแล้วก็จะทรงทราบ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 ส.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.