X
    Categories: ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวันทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน บทที่ 189-191

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 189

กว่าหิมะจะตกในเมืองหลินอันอีกคราก็เป็นคืนงานเลี้ยงเทศกาลปีใหม่ในวังหลวง

“ไยท่านจึงสวมใส่เสื้อผ้าหนาถึงเพียงนี้ หรือว่ามีครรภ์แล้ว แม่ทัพน้อยนั่นดูแล้วใช้การไม่ได้ เด็กคนนี้เป็นลูกผู้ใดกันล่ะ”

จอกสุราที่เฉินวั่งซูถืออยู่เกิดสั่น สุราบ๊วยอุ่นๆ ข้างในกระฉอกลงบนโต๊ะ นางเช็ดมือก่อนผินหน้าไปมองเหยียนเจวี๋ย แสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เคราะห์ดีที่องค์ชายสี่ลากเขาไปดื่มสุราและสนทนากันอยู่อีกด้านหนึ่งนานแล้ว

“ไม่สวมใส่หนาเพียงนี้จะให้สวมผ้าบางๆ แล้วหนาวจนปากม่วงเหมือนท่านผู้นั้นหรือ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ต้องใช้ความงามเอาใจใครเสียหน่อย”

ฉินเจ่าเอ๋อร์ยกจอกสุราขึ้นมาชนกับเฉินวั่งซูพลางเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ไม่ได้พบกันไม่กี่วัน ไยท่านจึงกลายเป็นคนใจจืดใจดำเสียแล้ว ทว่าข้าชอบนะ บอกท่านไปตั้งนานแล้วมิใช่หรือว่าเรื่องกุลสตรีพิลึกพิลั่นอะไรนั่นเป็นแค่การทำให้ตนเองอึดอัดคับข้องใจเปล่าๆ ผู้อื่นชมเจ้าหมื่นคำก็ยังสู้การที่ตนเองมีอิสรเสรีมีความสุขหนึ่งวันไม่ได้”

ฉินเจ่าเอ๋อร์พูดพลางมองไปทางองค์ชายเจ็ด “อย่างนางน่ะหรือใช้ความงามเอาใจคน ความงามอยู่ตรงที่ใดกัน กลับเป็นบนหน้าองค์ชายเจ็ดต่างหากที่เขียนไว้ว่าตนเองเป็นพวกงามหน้า”

เฉินวั่งซูเม้มปาก ไม่ไปสนว่าฉินเจ่าเอ๋อร์จะหลอกล่อเยี่ยงไร นางยังคงเป็นยอดกุลสตรีอันดับหนึ่งในเมืองหลินอัน การยิ้มไม่เห็นฟันแปดซี่ถือเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐาน*

กล่าวถึงเรื่องวันนั้นที่เกามู่เฉิงอาละวาดอย่างหนักในตำหนักจินหลวน แตกหักกับผู้เป็นปู่ในที่นั้น จัดการลงโทษญาติพี่น้อง ปกป้องความเป็นธรรม เปิดโปงเรื่ององค์ชายสามวางแผนกบฏออกมา ตระกูลใหญ่ตระกูลใดเห็นแล้วไม่เอ่ยปากว่านางเป็นหญิงวิปลาสบ้าง

เรื่องนี้หากอยู่ในช่วงเวลาแห่งสันติสุขจะต้องเป็นเรื่องให้พูดถึงได้นานสามเดือน ทว่าครั้นการศึกปะทุขึ้น องค์ชายสามกรีธาทัพใหญ่ล้อมเมือง จะยังมีผู้ใดจดจำได้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเกามู่เฉิงอีก

พี่ชายไม่รักดีผู้นั้นของนางหัวหลุดจากบ่า สกุลเกาพลอยเดือดร้อนเพราะเรื่องขององค์ชายสาม ถึงแม้อัครมหาเสนาบดีเกาจะปราดเปรื่อง ไม่รู้ใส่ยาใดให้ฮ่องเต้กินจึงรักษาตำแหน่งเอาไว้ได้ ทั้งสกุลเกาไม่ถึงขั้นล้มครืน แต่ที่สุดแล้วก็ขาดแรงสนับสนุนจากต้าเกาซื่อไป ภาพรวมยังคงเสียหายหนัก

เกามู่เฉิงอกตัญญูต่อผู้เป็นปู่ ไหนเลยจะยังอยู่ในสกุลเกาต่อได้ หลังจากนั้นไม่นานสกุลเกาก็แยกกันเป็นสองบ้านเหมือนกับสกุลเฉินอย่างเงียบๆ กลายเป็นจวนตะวันตกและจวนตะวันออก

จวนตะวันออกมีอัครมหาเสนาบดีเกาควบคุมดูแล คนส่วนใหญ่อยู่ทางฝั่งนี้ เปลี่ยนมาสนับสนุนเสี่ยวเกาซื่อกับองค์ชายแปด จวนตะวันตกอ่อนแอ มีบิดาของเกามู่เฉิงเป็นเจ้าบ้าน สมาชิกล้วนเป็นญาติพี่น้องที่ยังเหลืออยู่ของต้าเกาซื่อ

หลายวันก่อนองค์ชายเจ็ดไปส่งศพพี่ชายเกามู่เฉิงเป็นเพื่อนนาง ต่อจากนั้นก็ไปพักฟื้นรักษาอาการป่วยยังหมู่บ้านที่มีบ่อน้ำพุร้อนกับนาง สิ้นปีถึงได้รุดกลับมา

เกามู่เฉิงสวมกระโปรงยาวสีบัวขาบ ตรงอกห้อยสร้อยประคำสิบแปดเม็ดไว้เส้นหนึ่ง ด้านล่างสร้อยมีจี้หยกสีเขียวมรกตอยู่หนึ่งชิ้นซึ่งห้อยพู่สีเดียวกัน ไหนเลยจะยังมีสภาพงามเพริศแพร้วเพชรนิลจินดาเต็มตัวเหลืออยู่อีก

เวลาผ่านมาเพียงไม่นาน ทว่าทั้งตัวคนกลับผอมซูบ กลายเป็นคนเย็นชา แฝงด้วยกลิ่นอายโหดร้าย

หลิ่วอิงนั่งอยู่ข้างกายเกามู่เฉิง นางสวมชุดบางสีชมพูดอกไห่ถังแสนฉูดฉาด กุ๊นขอบด้วยขนสัตว์สีขาว สีหน้าปลื้มปีติ หน้าท้องนางนูนป่องราวกับแค่ขยับเพียงนิดก็จะดันโต๊ะที่อยู่เบื้องหน้าให้เคลื่อนได้

ผู้ที่รู้เรื่องจะบอกว่านางตั้งครรภ์ แต่ผู้ที่ไม่รู้เรื่องอาจหลงนึกว่ามีกระสุนปืนใหญ่อยู่ข้างหน้านาง…ใหญ่กระทั่งนางแทบแบกไม่ไหว

องค์ชายเจ็ดที่เดิมควรนั่งอยู่ตรงนั้นเพื่อรักษาความปรองดองระหว่างภรรยากับอนุยามนี้กำลังยกจอกสุราคารวะฮ่องเต้ ครั้นคึกคักมากเข้าก็ยังทำท่าเหมือนเต่าว่ายน้ำอีกสองครั้ง สร้างความรื่นเริงแด่บุพการี

เกามู่เฉิงไม่ได้ฝืนทำตัวเรียบร้อยแต่อย่างใด หลิ่วอิงเองก็มีท่าทางผ่อนคลาย ราวกับว่านางต่างหากที่เป็นพระชายาองค์ชายเจ็ด

เฉินวั่งซูเห็นแล้วยังอยากจะยกนิ้วหัวแม่มือให้พวกเขาทั้งครอบครัวจากใจจริง หรือนี่ก็คือรัศมีของพระเอกนางเอก ไม่ว่ากฎเกณฑ์อะไรพออยู่ต่อหน้ารักแท้ของพวกเขาก็ล้วนไม่เรียกว่ากฎเกณฑ์!

ฉินเจ่าเอ๋อร์เห็นเฉินวั่งซูดูอย่างเพลิดเพลินก็กินน่องไก่ไปครึ่งหนึ่งก่อนวางลงแล้วเช็ดมือ “เจ้าไม่ต้องมองแล้ว หากยังมองอีกเกามู่เฉิงคงได้ปรี่มาหาแน่”

ครั้นนางพูดจบเกามู่เฉิงก็ลุกพรวดยืนขึ้นทันที หลิ่วอิงแววตาวูบไหว ดึงแขนเสื้อเกามู่เฉิงไว้ ก่อนจะขยับท้องอย่างยากลำบาก “พี่หญิงจะออกไปปลดทุกข์หรือ ข้าอยากขอไปด้วย”

เกามู่เฉิงสะบัดแขนเสื้อก่อนแค่นเสียงเอ่ย “ข้านั่งกับเจ้าก็เหมือนนั่งอยู่ในห้องปลดทุกข์แล้ว เหม็นเกินทน จะออกไปรับลมก็ยังไม่ได้รึ!”

ผู้ที่มาในวันนี้ล้วนเป็นเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูง หลักๆ ก็มีเจ้าหนูน้ำเต้าทั้งเจ็ดคนที่เหลืออยู่ รวมถึงนางปีศาจน้อยที่พวกเขาแต่งงานด้วย และยังมีองค์หญิงที่ปราศจากตัวตนอีกสองสามคนกับพวกราชบุตรเขตที่เอาแต่ทำตัวพินอบพิเทาแทบจะเอาหน้าฝังลงดิน

ด้วยเหตุนี้ทั้งหมดจึงล้วนนั่งอยู่ใกล้กันเป็นพิเศษ

เมื่อเกามู่เฉิงพูดออกมาเยี่ยงนี้ทั้งตำหนักใหญ่ก็เงียบกริบในชั่วพริบตา ก่อนจะกลับมาครื้นเครงได้แทบจะในทันที

หลิ่วอิงหน้าแดงเถือก นางลูบหน้าท้องตนเอง ทำท่าทางตรงตามแบบพวกดอกไม้ขาวออกมา นั่นคือตาแดง ก้มหน้า และกัดริมฝีปาก

เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็นึกขัน นี่กำลังหว่านเสน่ห์ให้คนตาบอดดูชัดๆ ไม่เห็นหรือว่าเจียงเยี่ยเฉินกำลังกระโดดโหยงเหยงอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้เหมือนนกยูงรำแพน เหลือแค่จับหัวคนทั้งหลายให้หันไปมองแล้วบอกว่า ‘ดูทางนี้ หันมาดูทางนี้สิ อย่าได้ไปดูศึกหลังบ้านของข้าเลย’

“ข้านึกเสียใจแล้ว เมื่อแรกหากข้าไม่แย่งชิงกับเจ้าก็คงดี” เกามู่เฉิงเดินมานั่งลงข้างเฉินวั่งซูโดยไม่บอกไม่กล่าว ยกสุรามารินให้ตนเอง ก่อนพึมพำเสียงเบา

เฉินวั่งซูหรี่ตาพลางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาบังปาก “พระชายาองค์ชายเจ็ดทรงเมาแล้ว สั่งให้มามานำชาแก้เมามาให้จะดีกว่าเพคะ”

เกามู่เฉิงส่ายหน้า “ข้าไม่ได้เมา” นางกล่าวต่อว่า “ข้ายังคงชอบพี่เยี่ยเฉินมาก เสียดายที่เขาไม่ชอบข้า”

นางพูดพลางมองหน้าท้องโตๆ ของหลิ่วอิงปราดหนึ่ง ก่อนจะดื่มสุราในจอกรวดเดียวจนเกลี้ยง

“เขาไม่ชอบพระชายาจริงๆ คนมีตาทั่วทั้งเมืองหลินอันล้วนมองเห็น แต่พระชายามาพูดกับพวกหม่อมฉันเพื่ออันใด พวกหม่อมฉันไม่มีปัญญาไปบังคับจับศีรษะองค์ชายเจ็ดให้ทรงหันมามองพระชายาได้หรอกนะ”

เกามู่เฉิงบีบจอกสุราจนเกิดเสียงดังกึก นางหันหน้าไปแค่นเสียง “ฉินเจ่าเอ๋อร์ เจ้าพูดจากระทบกระเทียบให้มันน้อยหน่อยเถอะ เจ้าคิดว่าแต่งงานกับพี่สี่แล้วจะได้ประโยชน์อะไรกระนั้นหรือ พวกเราจะดีจะชั่วก็โตมาด้วยกัน…เจ้าแดกดันข้าเยี่ยงนี้มีผลดีอะไรต่อเจ้า”

ฉินเจ่าเอ๋อร์เหลือกตา “พระชายาทรงสอดเท้ามาตรงกลางระหว่างหม่อมฉันกับวั่งซูคือมีผลดีต่อหม่อมฉัน? ไม่เห็นหรือไรว่าพวกหม่อมฉันสองคนกำลังคุยกันถูกคอ อีกอย่างพระชายาเองก็ไม่ต้องเสียพระทัยไป หม่อมฉันว่าสามีของพระชายาก็ไม่ได้ชอบนางคนท้องโตนั่นถึงเพียงนั้นหรอก มิใช่บอกว่าอีกวันสองวันนี้ในจวนจะรับคนใหม่เข้ามาหรือไร อนุเยียนผู้นั้นบิดานางเป็นครูฝึกในกองราชองครักษ์ เมื่อก่อนยังเคยมาดื่มชาที่จวนข้าเลย หน้าตางดงามนัก ไม่แพ้พระชายาเชียวล่ะ ในเมื่อพระชายาจะมี ‘น้องสาวคนใหม่’ แล้ว ไยต้องทรงแย่งน้องสาวของหม่อมฉันด้วย พวกเราจะดีชั่วก็โตมาด้วยกัน ทรงแย่งของรักของผู้อื่นนับว่าพระชายาไร้ศีลธรรมหรือไม่”

เกามู่เฉิงแม้แต่อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ยังกล้าเถียง มีหรือนางจะกล้ำกลืนความแค้นใจนี้ลงไป จึงเงื้อมือหมายจะตบคน ทว่ามือนั้นยังไม่ได้สะบัดลงไปก็ถูกเฉินวั่งซูคว้าไว้แล้ว

เฉินวั่งซูเลิกคิ้ว ขณะกำลังจะพูดก็ได้ยินเสียงโครมดังสนั่นหวั่นไหวในตำหนักใหญ่ ตามติดมาด้วยเสียงร้องโหยหวน

เฉินวั่งซูเบือนหน้าไปมอง เห็นเพียงโต๊ะที่เกามู่เฉิงนั่งอยู่ก่อนหน้านี้ถูกชนจนพลิกคว่ำ องค์ชายแปดนอนอยู่บนพื้นในสภาพทุลักทุเล มือยังถือกระบี่ไว้

นางสูดหายใจเฮือกใหญ่

“ว้าย เลือดเยอะยิ่งนัก!”

บทที่ 190

“ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

เฉินวั่งซูเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเหยียนเจวี๋ยเดินมาหา เขาปรายตามองเกามู่เฉิงเรียบๆ ปราดหนึ่ง เกามู่เฉิงเนื้อตัวสั่นสะท้าน ขนลุกชันไปทั้งร่าง

นางดิ้นหลุดจากมือของเฉินวั่งซูได้ก็เร่งฝีเท้าเดินปลีกตัวไปจากข้างโต๊ะ

“มีข้าอยู่ วั่งซูจะเป็นอะไรได้” ฉินเจ่าเอ๋อร์จูงมือเฉินวั่งซู หยิบผ้าเช็ดหน้าของตนเองออกมาเช็ดให้นาง “เรื่องผิดปกติล้วนต้องมีอะไรแอบแฝง นางไม่ได้คุ้นเคยกับท่านเสียหน่อย ไยต้องมานั่งด้วย ท่านลองดูซิว่ามีปัญหาตรงที่ใดหรือไม่”

เฉินวั่งซูอบอุ่นหัวใจ กำลังจะตอบกลับก็พบว่าเหยียนเจวี๋ยนั่งลงตรงกลางระหว่างนางกับฉินเจ่าเอ๋อร์ด้วยท่าทางไม่ใส่ใจแล้ว “ไม่เป็นไรแน่ล่ะ ในเมื่อท่านจะถูกตบยังต้องให้วั่งซูมาปกป้องท่านอยู่เลย”

ฉินเจ่าเอ๋อร์ได้ยินก็โมโหจนหน้าตาบิดเบี้ยว นางถลกแขนเสื้อหมายจะเถียงอีก กลับเห็นเฉินวั่งซูทำมือบอกให้เงียบ ฉินเจ่าเอ๋อร์รู้ดีแก่ใจว่ายามนี้มิใช่เวลาให้พวกตนคุยเรื่องไร้สาระกันจึงถลึงตาใส่เหยียนเจวี๋ยอย่างดุร้ายหนหนึ่ง จากนั้นยังถลึงตาใส่องค์ชายสี่ที่อยู่ไกลคนละฟากอีกทีหนึ่งด้วย ก่อนจะพองแก้มไม่พูดไม่จา

“ไม่นะ! ลูกของข้า เลือดออกมากยิ่งนัก องค์ชาย องค์ชาย…”

เจียงเยี่ยเฉินตะลึงงันเล็กน้อยก่อนจะพุ่งตัวไปยกโต๊ะตัวนั้นออก อุ้มหลิ่วอิงที่ถูกทับอยู่บนพื้นขึ้นมาพลางร้องโหวกเหวกทันที “หมอหลวง หมอหลวง เร็วเข้า!”

หมอหลวงที่รออยู่ในตำหนักข้างได้ยินเสียงตะโกนก็เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา ประสานมือถวายบังคมฮ่องเต้ จากนั้นก็มองหลิ่วอิงปราดหนึ่งแล้วลงมือตรวจชีพจร “องค์ชายเจ็ด อนุหลิ่วต้องเตรียมตัวคลอดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เจียงเยี่ยเฉินหน้าเปลี่ยนสี “ยังไม่ถึงกำหนดเลย…” เขาพูดพลางประสานมือคารวะหมอหลวง “เช่นนั้นก็ขอฝากท่านด้วยแล้ว”

หมอหลวงมองฮ่องเต้ เห็นเขาพยักหน้าถึงได้ก้มหน้าตอบรับ สั่งให้องครักษ์ในวังสองสามคนนำเกี้ยวมาหามหลิ่วอิงออกไป

องค์ชายแปดที่ดูไม่ค่อยได้สติทำท่าจะลุกขึ้นยืน แต่กลับถูกเจียงเยี่ยเฉินจับทุ่มจนวิงเวียนตาลาย เขาขยี้ศีรษะก่อนลุกขึ้นยืน ครั้นมองเห็นกองเลือดบนพื้นก็ตื่นกลัวทันควัน “เสด็จพ่อ พี่เจ็ด ข้าไม่ได้เจตนา ข้าเองก็ไม่รู้ว่าไยตนเองถึงได้ล้มไปได้”

เฉินวั่งซูหรี่ตาพลางมองเหยียนเจวี๋ยปราดหนึ่ง

ตอนที่เกามู่เฉิงเดินมาหาก่อนหน้านี้นางกับฉินเจ่าเอ๋อร์ต่างคอยระแวดระวังฝ่ายนั้นอยู่ตลอดจึงไม่เห็นว่าองค์ชายแปดล้มได้อย่างไร

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังเป็นองค์ชายเจ็ดที่กำลังเล่าเรื่องตลกเพื่อสรรเสริญฮ่องเต้ แล้วองค์ชายแปดเข้าไปร่วมวงด้วยยามใด

เหยียนเจวี๋ยกล่าวว่า “เหล่าชีชมว่าเหล่าปามีเพลงกระบี่ดี เหล่าปาจึงสำแดงฝีมือให้ชม ทว่าเพิ่งจะถึงกระบวนท่าที่สามก็ล้มเสียแล้ว”

เสี่ยวเกาเฟยที่นั่งอยู่ข้างฮ่องเต้ได้ยินก็เดินมาทันที “เจ้าเด็กคนนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้น คราวก่อนเจ้าแสดงเพลงกระบี่ชุดนี้ให้แม่ดูบนพื้นหิมะยังยืนได้มั่นคงดีอยู่แท้ๆ เจ้าบาดเจ็บตรงที่ใดหรือไม่ รีบขออภัยพี่เจ็ดของเจ้าเสีย แม้เด็กคนนี้จะเกิดจากอนุ แต่อย่างไรก็เป็นบุตรคนแรกของเขา และก็เป็นเด็กที่ต้องเรียกมู่เฉิงว่ามารดา เป็นหลานแท้ๆ ของเจ้านะ ต่อให้เจ้าไม่เจตนา แต่ที่สุดแล้ว…ก็ต้องรีบขออภัยพี่เจ็ดของเจ้าเร็วๆ!”

องค์ชายแปดปรับสีหน้าเป็นจริงจังก่อนคารวะเจียงเยี่ยเฉินทันที “พี่เจ็ด ล้วนเป็นความผิดของข้า เด็ก…”

เจียงเยี่ยเฉินหน้าเขียวคล้ำ เขายกมือประคององค์ชายแปด “น้องแปดเองก็ทำพลาดไปโดยไม่เจตนา ก่อนหน้านี้พระอาจารย์หงฮุ่ยเคยทำนายว่าเด็กคนนี้เป็นคนมีบุญ ถ้าหากว่า…นั่นก็คงเป็นเขาต้องการไปเกิดในที่ที่ดี”

เฉินวั่งซูฟังแล้วมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความขบขัน นางยื่นมือไปวางในฝ่ามือของเหยียนเจวี๋ยแล้วบีบน้อยๆ

เหยียนเจวี๋ยมองนางปราดหนึ่งก่อนพยักหน้าเบาๆ

ฉินเจ่าเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเห็นแล้วก็ถลึงตามององค์ชายสี่ที่ยังคงมุงดูความครึกครื้นอยู่กลางตำหนักใหญ่ เจ้าท่อนไม้นี่หากไม่มีใครจับแต่งงานมีหวังต้องอยู่คนเดียวไปชั่วชีวิตแน่ๆ!

ดูอย่างเหยียนเจวี๋ยเขาสิ!

“เอาล่ะๆ หยุดขอโทษกันไปขอโทษกันมาได้แล้ว ข้าฟังแล้วเรื่องนี้มีจุดไม่ชอบมาพากลอยู่จริงๆ ในตำหนักใหญ่นี่จะลื่นกว่าพื้นหิมะได้หรือ ถึงเสี่ยวปามีวรยุทธ์เทียบพี่สี่ของเขาไม่ได้ แต่ก็ยังได้รับคำชมจากอาจารย์เป็นประจำ เพลงกระบี่ชุดนี้ข้าเองก็เคยเห็นแล้ว” ไทเฮากล่าวพลางหันไปมองฮ่องเต้ “เด็กคนนี้ฝึกฝนทั้งกลางวันกลางคืน แต่กลัวฝ่าบาทจะทรงเห็นจึงไปฝึกอยู่ที่ตำหนักข้า หมายรอทำให้ฝ่าบาททรงพระโสมนัสในงานเลี้ยงคืนนี้ แล้วอยู่ดีๆ เกิดล้มได้อย่างไร เหยียบถูกอะไรเข้าหรือไม่ เสี่ยวปาเจ้าเด็กคนนี้เป็นคนจริงใจเหมือนกับฝ่าบาทเมื่อครั้งทรงพระเยาว์ เรื่องนี้ยังไม่ทันได้ความกระจ่างกลับให้ก้มหัวก่อนแล้ว…”

เจียงเยี่ยเฉินได้ยินก็พยักหน้าตาม “นิสัยของน้องแปดข้ารู้ดีกว่าใคร ระวังพื้นรองเท้าเจ้าหน่อย อย่าได้หกล้มอีก”

องค์ชายแปดหน้าเปลี่ยนสีในทันใด กลายเป็นไม่น่ามองยิ่งยวด

เสี่ยวเกาเฟยมองเจียงเยี่ยเฉินปราดหนึ่งด้วยสายตาลึกซึ้ง ก่อนจะกล่าวกับมามาที่ข้างกายว่า “ยังมัวยืนทึ่มทื่อทำกระไร ไปยกม้านั่งมาสิ ไม่เห็นหรือว่าองค์ชายแปดเพิ่งจะหกล้ม ไม่รู้ว่าเจ็บตรงที่ใด กระแทกถูกตรงจุดใดหรือไม่!”

“เสด็จแม่ ไม่ต้องยกเก้าอี้แล้ว เมื่อครู่นี้ถูกโต๊ะกระแทกขา เพียงเจ็บเล็กน้อยเท่านั้นเอง ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายแปดพูดพลางยกขาขึ้นอย่างติดขัดอยู่บ้าง

เสี่ยวเกาเฟยก้มหน้ามองแล้วส่งเสียงอุทาน “ตายจริง! พื้นรองเท้าเจ้ามีไข่มุกติดอยู่เม็ดหนึ่ง คิดว่าเมื่อครู่คงจะเหยียบลงไปถึงได้ลื่น!”

นางพูดพลางออกแรงแงะไข่มุกเม็ดนั้นชูให้คนทั้งหลายดู “ฝ่าบาท งานเลี้ยงวันนี้ฮองเฮาทรงจัดขึ้นด้วยพระองค์เอง หม่อมฉันคอยช่วยอยู่ข้างๆ ในตำหนักใหญ่นี้ แม้ตรวจดูไม่ถึงสิบรอบก็ต้องถึงเก้ารอบ กระทั่งผมสักเส้นก็ไม่มีเกินมา อยู่ดีๆ ปาหลางเขาจะเหยียบไข่มุกเข้าได้อย่างไร พระองค์ต้องทรงตรวจสอบให้ดีนะเพคะ ดูว่าเป็นผู้ใดต้องการทำร้ายเขา อีกทั้งอนุหลิ่วนางนั้น…”

ครั้นฮองเฮาได้ฟังว่าเรื่องถูกโยงมาถึงตนเองก็พูดคล้อยตามทันที “เกาเฟยพูดได้ถูกต้อง”

ฮ่องเต้มองไปยังไข่มุกเม็ดนั้นทีหนึ่ง ก่อนจะมองไปที่องค์ชายแปด “พอแล้ว จะเรื่องใหญ่เพียงใดกันเชียว วันนี้เป็นงานเลี้ยงคืนเทศกาลปีใหม่ แต่ละคนปล่อยเรื่องใดผ่านไปได้ก็จงปล่อยผ่านไป ครอบครัวปรองดองกันจึงจะรุ่งเรือง เจ้าเจ็ดมิใช่บอกแล้วหรือว่าเด็กคนนั้นเป็นคนมีบุญ เราเห็นว่าอนุหลิ่วผู้นั้นมีรูปร่างแข็งแรง สภาพครรภ์ก็ดีมาโดยตลอด เด็กจะต้องคลอดออกมาอย่างปลอดภัยได้แน่นอน

บนตำหนักใหญ่นี้มีสตรีอยู่มากมาย จะมีคนเผลอทำไข่มุกตกไปสักเม็ดหนึ่งก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ปกติ ผู้ที่ทำตกไว้เพียงทำผิดไปโดยมิได้ตั้งใจ ปาหลางยิ่งไม่มีเจตนา ฉะนั้นไม่ต้องวุ่นวายเรื่องนี้แล้ว”

คนทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นก็ร้องขึ้นอย่างพร้อมเพรียงว่า “เป็นพระมหากรุณาธิคุณ!”

เฉินวั่งซูเองก็ประสานมือถวายบังคมตามพลางหันหน้าไปลอบยิ้มให้เหยียนเจวี๋ย ปากขยับเป็นคำพูดไร้เสียงว่า ‘สาม สอง หนึ่ง มาแล้ว!’

“ฝ่าบาท! ไข่มุกเม็ดนี้มู่เฉิงเห็นแล้วดูคุ้นตา ให้มู่เฉิงดูสักหน่อยได้หรือไม่เพคะ”

เป็นไปตามคาด เสียงของเกามู่เฉิงดังขึ้นในตำหนักใหญ่

ฉินเจ่าเอ๋อร์เห็นแล้วก็บีบจอกสุราเงินในมือจนบุบ “ข้าว่าแล้ว เรื่องผิดปกติล้วนต้องมีอะไรแอบแฝง ไม่รู้ว่านางจะพูดเรื่องเหลวไหลอันใดอีก! วั่งซู…”

เฉินวั่งซูส่ายหน้าเบาๆ ให้อีกฝ่าย ทำมือบอกให้เงียบ

แต่เกรงว่าปกติตัวเฉินวั่งซูคงจะโอบอ้อมอารีเกินไปถึงได้ถูกคนดูถูกเข้าแล้ว!

บทที่ 191

เสี่ยวเกาเฟยลังเลอยู่ชั่วประเดี๋ยว สุดท้ายยังคงยื่นไข่มุกเม็ดนั้นให้เกามู่เฉิง

เกามู่เฉิงหยิบไข่มุกมาลูบคลึงในมือสองสามทีก่อนคืนให้เสี่ยวเกาเฟยไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ “ไข่มุกเม็ดนี้ดำขลับ ไม่มีตำหนิแม้แต่กระผีกเดียว หายากยิ่งนัก เป็นของบรรณาการจากอำเภอจูหยาในปีนี้ ทั้งหมดมีสิบแปดเม็ด ร้อยด้วยดิ้นทอง ตัวจี้เป็นหยกกลมเหลืองลายมังกรหงส์ถวายสิริมงคล ทั้งยังได้ขอให้พระอาจารย์หงฮุ่ยช่วยทำพิธี ให้ชื่อว่า ‘ทองดำ’ มีฤทธิ์ช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายและช่วยให้จิตใจสงบ”

เกามู่เฉิงพูดพลางชี้สร้อยประคำที่ห้อยอยู่ตรงหน้าอกตนเอง “ฝ่าบาททรงกตัญญู ได้นำสร้อยนั้นไปถวายไทเฮา มู่เฉิงสะสมไข่มุกมาตั้งแต่เล็ก พอได้เห็นก็รู้สึกชมชอบหมดใจ จึงกราบทูลขอจากไทเฮาเป็นจำนวนมาก สุดท้ายไทเฮาตรัสว่าได้พระราชทานให้ผู้อื่นแล้ว มู่เฉิงถึงได้เลิกรบเร้า ไข่มุกสีดำเช่นนี้พบเจอได้น้อยมาก เป็นสาเหตุที่มู่เฉิงเห็นแล้วจดจำได้ในทันที”

ไทเฮารับฟังแล้วก็กวักมือเรียกเกามู่เฉิง เกามู่เฉิงเดินไปหาอย่างว่าง่าย ใช้สองมือยื่นไข่มุกไปให้ไทเฮา

“อา ข้านึกได้แล้ว มีสร้อยประคำมุกอยู่เส้นหนึ่งจริงๆ ไม่กล่าวถึงว่าไข่มุกนี้ล้ำค่าหรือไม่ แต่สีดำสีทองนี้ไม่เหมาะสมกับหญิงสาว ข้าจึงมิได้ให้ไป ต่อมา…”

ไทเฮาพูดพลางลังเลเล็กน้อย ผินหน้ามองไปยังเสี่ยวเกาเฟย “ต่อมาระยะหนึ่งเจ้ามิใช่ป่วยออดๆ แอดๆ ประจำหรือไร บอกว่าตกกลางคืนชอบได้ยินเสียงแมวร้อง จุดธูปสงบใจก็ยังนอนหลับไม่สนิท ข้าจึงใช้ให้กู้มามานำสร้อยไปส่งให้เจ้า”

คราวนี้เสี่ยวเกาเฟยถึงนึกขึ้นได้ นางหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย “ไทเฮา หม่อมฉันสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของไทเฮา เมื่ออาการดีขึ้นแล้วจึงได้เก็บสร้อยนี้เข้าหีบ มิกล้านำออกมาใช้ส่งเดช ต่อมาขณะเซี่ยนจู่ออกเรือนพี่หญิงน้องหญิงในวังล้วนเติมสินเดิมให้เซี่ยนจู่ หม่อมฉันรื้อหีบจนทั่วก็ยังหาของดีอะไรไม่ได้จึงนึกถึงสร้อยประคำนี้และได้นำมันมาเติมสินเดิมส่งออกไปกับของพระราชทานจากฝ่าบาทและไทเฮา หม่อมฉันนำของพระราชทานจากไทเฮาไปมอบต่อให้เซี่ยนจู่โดยพลการ ถือว่ามีความผิดโดยแท้”

นางพูดพลางมองไปทางเกามู่เฉิง “หญิงสาวอายุน้อยนี่ช่างตาดีนัก ไม่เหมือนกับข้า ข้าถือไข่มุกนั้นอยู่ในมือแท้ๆ ยังจำไม่ได้เลย ไข่มุกสีดำที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วสิบแปดเม็ดนี้หาได้ยากจริงๆ ทว่าหากอยู่ลำพังเม็ดเดียวก็มิได้หายากปานนั้น ถึงแม้จะเป็นของเซี่ยนจู่ แต่ถ้าดิ้นทองไม่แน่นหนาก็หลุดกระจายลงพื้นได้เช่นกัน วันนี้เป็นงานเลี้ยงคืนเทศกาลปีใหม่ ฝ่าบาทตรัสแล้วว่าให้ถือความปรองดองเป็นสำคัญ”

เกามู่เฉิงได้ยินก็หัวเราะขึ้นเสียงเบา “เกาเฟยตรัสถูกต้อง มู่เฉิงเพียงเห็นของที่ใฝ่ฝันมานานจึงได้หักห้ามตนเองไม่อยู่ไปชั่วขณะเท่านั้นเพคะ” นางพูดพลางหันมามองเฉินวั่งซู “เซี่ยนจู่ ไข่มุกนี่มู่เฉิงชอบยิ่งนัก ขอเก็บไว้ได้หรือไม่”

เฉินวั่งซูรู้สึกถึงสายตาที่มองมาของคนทั้งหลายก็ทำเสียงจุปากในใจ นี่คือไม่พบกันสามวันก็ทำให้คนต้องมองกันใหม่แท้ๆ เชียว

เกามู่เฉิงที่เป็นดั่งประทัดผู้นี้ไม่ได้พบกันพักเดียว ก้าวหน้าแล้วจริงๆ

คนในที่นี้ไม่มีใครโง่เขลา ต่อให้พิสูจน์ได้ว่าสร้อยประคำมุกเส้นนั้นเป็นของเฉินวั่งซูแล้วอย่างไร นางสามารถบอกปัดได้ว่าเผลอทำหายไป ถูกคนขโมยไป…หรือไม่ก็ดิ้นทองขาด ไข่มุกนอนนิ่งๆ อยู่บนพื้น องค์ชายแปดเดินมาเหยียบเองจะโทษผู้ใดได้

เจตนาโยนออกไปหรือไม่นั้นก็แล้วแต่คนจะคิดแล้ว

เฉินวั่งซูหมุนกำไลหยกบนข้อมือ

คำแก้ตัวที่ตนอยากพูดล้วนถูกพวกนางพูดไปหมดแล้ว ตนยังจะพูดอะไรได้

เฉินวั่งซูยิ้มก่อนหรี่ตาลง ยืนขึ้นถามด้วยความสงสัย “พระชายาองค์ชายเจ็ดทรงเหมือนกำลังมองหาอะไรอยู่”

นางพูดพลางเขย่ากระโปรงตนเอง จี้หยกพกบนตัวส่งเสียงกระทบกัน แต่ไม่มีสิ่งใดตกลงมา

คนอื่นๆ ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ฉินเจ่าเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้างเฉินวั่งซูกลับมีเพลิงโทสะลุกโชนแล้ว นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเมื่อครู่นี้เกามู่เฉิงต้องเดินมานั่งลงข้างเฉินวั่งซู นางมาเพื่อซ่อนไข่มุก ยัดของโจรโยนความผิดใส่เฉินวั่งซูนั่นเอง

หากเฉินวั่งซูเป็นคนโง่ ลุกขึ้นมาตอบในยามนี้ เกรงว่าไข่มุกดำที่เหมือนกันกับเม็ดที่อยู่ใต้รองเท้าองค์ชายแปดทุกกระเบียดนิ้วคงได้ร่วงลงมาแล้ว

“แม้ไข่มุกดำเม็ดนี้จะเป็นของชั้นเลิศเช่นกัน แต่มิใช่ไข่มุกจากสร้อยเส้นที่เกาเฟยประทานให้หม่อมฉัน เพราะฉะนั้นหากพระชายาองค์ชายเจ็ดต้องการก็ควรถามเจ้าของของมันจึงจะถูก”

เฉินวั่งซูพูดจบก็เดินไปกลางตำหนักใหญ่ ก่อนถวายบังคมน้อยๆ ต่อเสี่ยวเกาเฟย “ช่วงก่อนวั่งซูได้รับความหวาดผวา ฝันเห็นงูทุกวัน โชคดีเหลือเกินที่เกาเฟยประทานสร้อยประคำมุกมาให้ถึงสามารถนอนหลับได้

วั่งซูหมุนประคำไปพลางสวดมนต์ในใจไปพลาง กลับค้นพบว่ามีเรื่องหนึ่งที่เกรงว่าพระชายาองค์ชายเจ็ดคงจะจำคลาดเคลื่อนไป สร้อยประคำมุกเส้นนั้นมิได้มีสิบแปดเม็ด แต่มีสิบหกเม็ดต่างหาก จะว่าไปแล้วในเรื่องนี้ยังมีเรื่องตราตรึงใจอยู่ด้วย!”

ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่นึกอยากรู้ขึ้นมา “อ้อ เรื่องนี้ยังมีเรื่องราวอยู่อีก” เขากล่าวพลางกวักมือเรียกเหยียนเจวี๋ย “เจ้าเด็กคนนี้ ไยจึงไปนั่งไกลปานนั้นเล่า เมื่อครู่เราหาคนดื่มด้วยกลับไม่เห็นเจ้าเลย วันนี้เป็นงานเลี้ยงคืนเทศกาลปีใหม่ แต่ไหนแต่ไรมาเราล้วนต้องทดสอบบทเรียนของเหล่าบุตรชาย จะว่าไปก็ได้ยลวิชากระบี่ของเสี่ยวปาแล้ว ประเดี๋ยวต้องดูของเจวี๋ยเอ๋อร์ด้วยจึงจะถูก”

ฮ่องเต้กล่าวจบก็ชี้เหยียนเจวี๋ยพลางเอ่ยกับไทเฮา “เด็กคนนี้นี่นะ พริบตาเดียวก็เติบใหญ่แล้ว ตอนยังเล็กยังเคยปัสสาวะในอ้อมแขนเราเลย ขวัญกล้าเทียมฟ้า บัดนี้กลับรู้มารยาทเสียแล้ว เรื่องวรยุทธ์นั้นไม่ต้องพูดถึงเลย แม้แต่เข้าร่วมการสอบเคอจวี่รอบพิเศษเขาก็ยังสอบผ่าน หากสอบได้จ้วงหยวนก็คงจะทำเอาบรรดาบุตรชายเราดูอ่อนด้อยกันหมด”

ไทเฮานิ่งงันไปเล็กน้อย ก่อนจะยกมือปิดปากส่งเสียงหัวเราะออกมาทันที “ถึงอย่างไรในสายพระเนตรฝ่าบาทเจวี๋ยเอ๋อร์ก็ดีไปเสียทุกอย่าง วั่งซูกำลังจะเล่าเรื่อง มาขัดจังหวะได้อย่างไร เอาล่ะๆ แต่ละคนก็อย่ามัวยืนนิ่งอยู่เลย วันนี้เป็นงานเลี้ยงคืนเทศกาลปีใหม่ อย่าปล่อยให้สุราอาหารเย็นชืดเสียหมด”

เฉินวั่งซูหลุบตาลง ก่อนมองไทเฮาปราดหนึ่งแล้วเล่าต่อว่า “อำเภอจูหยาสามารถเก็บไข่มุกได้จำนวนมาก โดยมีสีขาวสีชมพูเป็นหลัก สีดำมีอยู่น้อยนัก ปีนี้งมหอยได้หอยยักษ์มาถึงสามตัว เป็นสีขาวหิมะทั้งตัว ปราศจากตำหนิ แค่เห็นก็รู้ว่าในนั้นต้องมีสมบัติล้ำค่า ชาวประมงแงะออกดู หอยยักษ์สามตัวนั้นมีไข่มุกสีดำอยู่ตัวละหกเม็ด กลมกลึงไร้ตำหนิ สีสันแวววาวเงางาม พุทธศาสนามีธาตุสิบแปด แบ่งเป็นอินทรีย์หก อายตนะหก วิญญาณหก สร้อยประคำส่วนใหญ่มีสิบแปดเม็ดซึ่งถือเป็นจิตวิญญาณแห่งพุทธ

ครั้นไข่มุกสีดำสิบแปดเม็ดนี้ปรากฏออกมา นายอำเภอจูหยาก็กำหนดให้มันเป็นของบรรณาการ ส่งมอบให้ช่างมุกหญิงนามหนานเกอนำไปดูแลและใช้ดิ้นทองร้อยมันทันที พอได้ไข่มุกดำนี้มาหนานเกอก็ทั้งดีใจทั้งทุกข์ใจ ดีใจนั้นเข้าใจไม่ยาก แต่สำหรับเรื่องทุกข์ใจเล่า…

ที่แท้มารดาของหนานเกอผู้นั้นป่วยหนัก ใกล้จะลาโลกเต็มที หมอเขียนใบสั่งยาให้ แต่ต้องใช้ของดำเก้าอย่างเป็นกระสายยา หนานเกอหากระดองหมึก หางาดำ ถั่วเหลืองผิวดำ…จนได้มาแปดชนิดจากเก้าชนิดแล้ว ขาดก็แค่ชนิดที่สำคัญที่สุด

หนานเกอกตัญญูเป็นที่สุด จึงลอบนำไข่มุกเม็ดหนึ่งมารักษามารดาของนาง แต่ของบรรณาการหายไปหนึ่งเม็ดนายอำเภอมีหรือจะไม่โกรธ แน่นอนว่าย่อมจะเอาผิดสถานหนักกับหนานเกอ แต่ในเวลานี้เองพระอาจารย์หงฮุ่ยกลับกล่าวว่าพระพุทธองค์ทรงเมตตา ไข่มุกนี้เดิมทีมิได้เป็นลูกประคำ แต่เพราะมีความกตัญญูของหนานเกอ ทำให้ไข่มุกนี้เป็นคุณ ทว่าสิบเจ็ดเม็ดไม่สมบูรณ์ พระอาจารย์หงฮุ่ยจึงนำอีกเม็ดไปถวายให้วัด นำสิบหกเม็ดที่เหลือมาร้อยแล้วใส่จี้หยกกลมเหลืองลายมังกรหงส์เข้าไป เมื่อรวมจิตใจที่กตัญญูแล้วก็จะครบสิบแปด”

 

* ยิ้มไม่เห็นฟันแปดซี่เป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐาน ใช้เพื่ออธิบายคุณธรรมของผู้หญิง โดยมีที่มาจากคัมภีร์ ‘หลุนอวี่สำหรับสตรี’ มีจุดประสงค์หลักเพื่อการสั่งสอนและชี้นำความประพฤติอันดีงามให้แก่ผู้หญิงตามแนวคิดของหลักปรัชญาขงจื๊อ โดยในบทที่หนึ่งของเรื่องการครองตนได้กล่าวไว้ว่า ‘ผู้หญิงไม่ควรหันหน้ากลับไปมองด้านหลัง เวลาพูดไม่ควรอ้าปากกว้างจนเกินไป ลุกยืนไม่สะบัดชายกระโปรง นั่งลงไม่เขย่าขา มีความสุขไม่หัวเราะเสียงดัง โมโหไม่ขึ้นเสียง’

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: