X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหยกรัตติกาลแห่งฉางอัน

ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 36

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 36

ทันทีที่เขาเอ่ยคำนี้ออกมาในห้องโถงก็มีเสียงอุทานดังเซ็งแซ่ ทุกคนต่างเหลียวมองไปรอบกายด้วยความหวาดหวั่น แล้วเริ่มหันมาซุบซิบพูดคุยกัน

“ยังมีผู้อื่นอีกหรือ”

“ซื่อจื่อหมายถึงผู้ใดกัน”

“เมื่อครู่ถามแต่เรื่องชิงจือทุกประโยค คงจะมิใช่ชิงจือหรอกนะ”

“แต่ชิงจือกระโดดบ่อน้ำตายไปแล้วไม่ใช่หรือ”

ลิ่นเฉิงโย่วกวาดสายตามอง ภายในห้องโถงเงียบเสียงลงโดยพลัน เจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนจับพู่กันจุ่มน้ำหมึก รอให้เก๋อจินเอ่ยปากออกมา

ความคิดเก๋อจินยังหยุดอยู่ที่ประโยคนั้นของลิ่นเฉิงโย่ว นางขยุ้มสาบเสื้อแน่นแล้วเอ่ยถามอย่างตกใจว่า “ไม่ใช่ฝีมือของเว่ยจื่อ? ถ้าอย่างนั้นเหตุใดอัญมณีแห่งโม่เหอของนางถึงมาตกอยู่ใต้เตียงข้าน้อยได้”

ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยตอบ “วันที่เกิดเรื่องเจ้าเป็นไข้หนาวลมรู้สึกไม่สบาย เข้านอนเร็วกว่าปกติเล็กน้อย ในเมื่อชิงจือเป็นสาวใช้ประจำตัวของเจ้า ตอนเจ้าโดน ‘วิญญาณอาฆาต’ ทำร้ายจนเสียโฉม นางไปอยู่ที่ใดเสียเล่า”

สีหน้าเก๋อจินเปลี่ยนไปยากจะคาดเดา “ตอนบ่ายนางมาขอลาพักกับข้าน้อย บอกว่ามีคนรู้จักเก่าแก่มาหานาง นัดหมายกันแล้วว่าตอนกลางคืนจะออกไปเดินเล่นกันสักหน่อย ข้าน้อยเห็นว่าช่วงนั้นนางขยันทำงานดี ก็เลยอนุญาตตามคำขอนี้ นางมอบหมายเรื่องการต้มยาของข้าน้อยให้ลวี่เหอ ประมาณต้นยามซวีก็ออกไปแล้ว หลังจากนั้นข้าน้อยก็ออกไปตามนัดหมายเช่นกัน แต่เพราะรู้สึกไม่ค่อยสบายจึงกลับมาเร็ว ตอนนั้นน่าจะเป็นปลายยามไฮ่ ชิงจือไม่อยู่ในห้องจริงๆ เป็นลวี่เหอมาปรนนิบัติข้าน้อยเข้านอนแทน”

“หมายความว่าคืนนั้นนางไม่อยู่ข้างกายเจ้า?”

เก๋อจินพยักหน้าอย่างเงียบงัน

ลิ่นเฉิงโย่วหันไปหากลุ่มคนในห้องโถงแล้วกวักมือเรียก บ่าวรับใช้ในหอผู้หนึ่งกระโดดพรวดออกมา

เมื่อเถิงอวี้อี้มองตามก็เห็นว่าเป็นบ่าวรับใช้ปากสว่างที่เคยพบหน้าในห้องพระเมื่อช่วงพลบค่ำ นางจำได้ว่าคนผู้นี้ชื่ออาเหยียน

ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยถามอาเหยียน “ปกติเจ้าอยู่หน้าหอคอยรับส่งแขก หากมีคนข้างนอกมาหาแม่นางในหอนี้ เจ้าจะมีหน้าที่ไปแจ้งข่าวใช่หรือไม่”

อาเหยียนห่อไหล่ยิ้มประจบ “ใช่แล้วขอรับ เถ้าแก่ไม่อนุญาตให้แม่นางกับสาวใช้ในหอไปพบแขกเป็นการส่วนตัว ถ้ามีคนมาขอนัดหมาย จะต้องรายงานให้เถ้าแก่หรือแม่เล้าทราบก่อน”

“วันที่สิบแปดเดือนก่อนเคยมีคนมาหาชิงจือหรือไม่”

“อย่าว่าแต่วันที่สิบแปดเดือนก่อนเลย ตั้งแต่หอไฉ่เฟิ่งเปิดกิจการมาข้าน้อยไม่เห็นผู้ใดเคยมาหาชิงจือ แต่คืนวันที่สิบแปดชิงจือก็ออกจากหอไปจริง เสียดายคืนนั้นมีแขกมามากเกินไป ข้าน้อยไม่มั่นใจเหมือนกันว่านางกลับมาในยามใด”

ลิ่นเฉิงโย่วพยักหน้ารับรู้ “เจ้าจำไม่ได้ แต่มีคนจำได้ คืนนั้นชิงจือออกจากหอไปตามลำพัง ข้างกายไม่เพียงไม่มีชายใดเดินเคียงข้าง แม้แต่สตรีสักคนก็ไม่มี ตอนนั้นก็ดึกดื่นมากแล้ว มีคนรู้สึกแปลกใจยิ่งนักจึงจับตาดูสักหน่อย ปรากฏว่าไม่ถึงหนึ่งชั่วยามชิงจือก็กลับมา ขากลับนางแวะซื้ออิงเถาอบแห้งที่ร้านค้าชาวหูข้างทาง ขณะนั้นน่าจะเป็นเวลาประมาณปลายยามซวี เรื่องนี้มีคนงานในร้านผลไม้ฝั่งตรงข้ามหอไฉ่เฟิ่งรวมถึงผู้เฒ่าขายสุราตรงศาลาริมทางเป็นพยานได้”

เก๋อจินเงี่ยหูตั้งใจฟังอย่างละเอียด ดวงตาสองข้างเบิกกว้างขึ้นทุกขณะ

ลิ่นเฉิงโย่วหันไปมองเก๋อจิน “ทั้งที่ปลายยามซวีชิงจือก็กลับมาแล้ว เจ้าที่กลับมายังห้องตอนปลายยามไฮ่กลับไม่เห็นนาง ตลอดหนึ่งชั่วยามเต็มนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่านางจะซ่อนตัวอยู่ที่ใด”

ริมฝีปากเก๋อจินสั่นระริกขึ้นมา “หรือว่านางจะซ่อนอยู่ใต้เตียงข้า ไม่ๆๆ สาวใช้ผู้นี้ชอบอู้งานที่สุด พูดโกหกหลายต่อหลายครั้ง บางครั้งก็หนีไปชมดูการร่ายรำร้องเพลงที่ห้องโถงหน้า บางครั้งวิ่งไปที่ห้องแม่เล้าคนอื่นขออาศัยกินดื่ม หนีหายไปครั้งหนึ่งก็สองชั่วยามแล้ว หลังรู้เรื่องพอซักถามขึ้นมาจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเสมอ ข้าน้อยตัดสินใจเด็ดขาดจะไล่นางออกไป ทุกวันสาวใช้ผู้นี้กลับโขกศีรษะวิงวอน ถึงแม้ข้าน้อยจะชิงชังนัก แต่เห็นว่านางทำงานคล่องแคล่วดี สงสารเห็นนางอายุยังน้อย คิดว่าสั่งสอนอีกสักหน่อยคงดีขึ้นเอง คืนนั้น…คืนนั้นบางทีคงเป็นอย่างนี้ ไม่สิ แม้นางจะมีข้อเสียมากมายปานนั้น แต่ถึงอย่างไรข้าน้อยก็ดีต่อนางมากนะ ข้าน้อยคิดไม่ออกเลยว่าเหตุใดนางต้องทำร้ายข้าน้อยด้วย”

พวกเอ้อจีเอ่ยแทรกขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ “ใช่แล้ว ซื่อจื่อเจ้าคะ ชิงจือเป็นสาวใช้คนสนิทของเก๋อจิน หากเก๋อจินต้องเคราะห์ร้ายชิงจือจะเป็นคนแรกที่ต้องเจอดี นายบ่าวไม่ว่าเกียรติยศหรือความอดสูต้องแบกรับร่วมกัน ไม่มีบ่าวคนใดไม่หวังให้นายหญิงที่ตนเองรับใช้ได้ดีมีชื่อเสียงหรอกเจ้าค่ะ”

“ใช่แล้ว ถึงแม่นางเก๋อจินจะเสียโฉมไปชิงจือก็ไม่มีโอกาสได้เป็นยอดบุปผา สาวใช้ผู้นี้เห็นแก่กินและหลงใหลความหรูหราฟุ้งเฟ้อ ที่ผ่านมาไม่รู้ว่าได้ของดีจากมือแม่นางเก๋อจินไปมากเท่าใด ต่อให้ทำไปเพื่อผลประโยชน์พวกนั้น ก็จะเสียสละเพื่อปกป้องผู้เป็นนาย มิหนำซ้ำหากนางเป็นคนทำร้ายแม่นางเก๋อจิน หลังเกิดเรื่องกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร”

“แต่หลายวันก่อนชิงจือมักฝันร้ายอยู่บ่อยๆ” เสียงแหลมเล็กเบาหวิวของใครผู้หนึ่งดังขึ้น “เรื่องนี้พวกว่อต้าเหนียงต่างรู้ดี”

สายตาทุกคนหันไปมองตามเสียงนั้น ที่แท้เป็นลวี่เหอที่อาศัยอยู่ห้องเดียวกับชิงจือ

เถิงอวี้อี้ตะลึงงัน วันนั้นเป้าจูกับเจวี่ยนเอ๋อร์หลีก็เคยพูดเช่นนี้

ว่อต้าเหนียงค้อมกายลงทำความเคารพลิ่นเฉิงโย่ว “ข้าน้อยเคยรายงานซื่อจื่อไปแล้ว ชิงจือเริ่มฝันร้ายเมื่อเจ็ดถึงแปดวันก่อน พูดแต่ว่ามีผีจะมาจับตัวนาง กระสับกระส่ายนอนหลับไม่สนิทตลอดทั้งคืน หากแต่พอตื่นขึ้นมาแล้วลองถามต้นสายปลายเหตุนางกลับไม่ยอมพูดอะไรสักคำ”

เฮ่อหมิงเซิงแค่นเสียงหึออกมาคำหนึ่ง “เก๋อจินโดนทำร้ายเสียโฉมเป็นเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่สิบแปดเดือนก่อนโน่น ว่ากันตามหลักชิงจือน่าจะเริ่มฝันร้ายตั้งแต่เดือนก่อนสิ แล้วอาการเพิ่งกำเริบเมื่อเจ็ดถึงแปดวันก่อนได้อย่างไร ซื่อจื่อ ชิงจือนั้นวันๆ ยุ่งอยู่กับการรับใช้เก๋อจิน หากนางกล้าปลอมตัวเป็นวิญญาณอาฆาต เพียงเอ่ยปากเก๋อจินก็ฟังเสียงออกแล้ว”

“จะรีบร้อนไปไย ข้ายังถามไม่จบเลย” ลิ่นเฉิงโย่วกลับไปด้านหลังโต๊ะ สั่งให้คนนำห่อของสิ่งหนึ่งขึ้นมาแสดง “ดูเหมือนชิงจือจะชอบกินอิงเถาอบแห้งมาก วันที่นางตายเจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนเคยค้นเจออิงเถาอบแห้งที่ยังกินไม่หมดในห้องนางด้วย”

พอเปิดห่อของสิ่งนั้นแล้วกลิ่นเหม็นเปรี้ยวก็ฟุ้งกระจายไปทั่วในทันใด

ลิ่นเฉิงโย่วเคาะโต๊ะเบาๆ “เป้าจูอยู่ที่ใด”

เป้าจูก้าวออกมาจากกลุ่มคนด้วยท่าทางขลาดกลัว นางยอบกายทำความเคารพ “คารวะซื่อจื่อเจ้าค่ะ”

“เจ้าบังเอิญเห็นชิงจือกินของสิ่งนี้วันใดกัน”

“จำไม่ได้แน่ชัดว่าวันใด แต่คงเป็นหลังแม่นางเก๋อจินได้รับบาดเจ็บไม่นาน ตอนข้าน้อยผลักประตูเข้าไปชิงจือกำลังยัดอิงเถาอบแห้งห่อนั้นกลับเข้าไปใต้หมอน แต่ไม่ทันระวังทำร่วงลงพื้น อิงเถาอบแห้งหกกระจายออกมาบางส่วน ข้าน้อยสังเกตเห็นว่าข้างใต้นั้นซ่อนเครื่องประดับมีค่าไว้พอสมควรเลยเจ้าค่ะ”

เอ้อจีตกตะลึงอ้าปากค้าง “เป้าจู เจ้าตาฝาดไปหรือไม่ ชิงจือเป็นสาวใช้ทำงานหนักผู้หนึ่ง จะไปเอาเครื่องประดับมีค่ามาจากที่ใดกัน”

เป้าจูขบกัดริมฝีปากแล้วส่ายหน้า บอกให้รู้ว่าตนเองไม่ได้ตาฝาด

ลิ่นเฉิงโย่วหยิบตะเกียบไม้ไผ่ออกมาจากกระบอก แล้วคนลงไปในกองอิงเถาอบแห้งต่อหน้าทุกคน ประเดี๋ยวเดียวก็ไปถึงก้นห่อ เห็นได้ชัดว่าข้างใต้นี้ไม่ได้ซ่อนของสิ่งใดเอาไว้

“ก็เป็นอย่างที่พวกเจ้าเห็น ข้างในนี้ไม่มีอะไรอื่นอีกนอกจากอิงเถาอบแห้งส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ชิงจือนิสัยเห็นแก่กินถึงเพียงนี้ อุตส่าห์ซื้ออิงเถาอบแห้งกลับมาเฉยๆ แล้วไม่ยอมกิน ปล่อยเอาไว้จนบูดเน่าไปได้อย่างไร ดังนั้นเป้าจูไม่ได้ตาฝาด ของสิ่งนี้เอาไว้ตบตาผู้คน แต่ไม่กี่วันก่อนเจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนนำกำลังคนมาตรวจค้น ในห้องชิงจือไม่มีเครื่องประดับมีค่าอยู่เลยสักชิ้น นี่สิน่าแปลกแล้ว ตกลงของพวกนั้นหายไปได้อย่างไร”

ห้านักพรตรับฟังมาจนถึงตอนนี้ ในที่สุดก็อดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว “จะเป็นเพราะหลังจากชิงจือตายไปแล้วมีคนมาหยิบของในห้องนางออกไปหรือไม่ ข้าก็บอกแล้วอย่างไรเล่า ชิงจือไม่มีทางฆ่าตัวตายแน่นอน คนร้ายฆ่าชิงจือแล้วกลัวว่าตนเองจะเผยพิรุธออกไปถึงได้รีบร้อนปกปิดร่องรอย”

ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยเสียงเนิบช้า “อย่าเพิ่งถกเถียงเลยว่าชิงจือตายอย่างไร เพียงแค่ดูจากการหาอัญมณีแห่งโม่เหอของแม่นางเว่ยจื่อพบที่ใต้เตียงของแม่นางเก๋อจิน มีใครบางคนนอกจากจะทำลายรูปโฉมแม่นางเก๋อจิน ยังคิดจะโยนเรื่องนี้ให้เป็นความผิดแม่นางเว่ยจื่อ เป็นอย่างที่แม่เล้าหลายคนว่ามา หากเก๋อจินโดนทำร้ายเสียโฉม ชิงจือมีแต่จะลำบากตามไปด้วย ชิงจือยอมหักหลังนายหญิงดาวเด่นของตนเองได้ จะต้องเป็นเพราะมีใครบางคนยอมมอบผลประโยชน์ให้นางได้มากกว่านี้ ดังนั้นชิงจือที่เป็นคนเกียจคร้านแท้ๆ วันนั้นกลับเป็นฝ่ายเสนอว่าต้องทำความสะอาดห้อง นางแสร้งทำเป็นพบอัญมณีแห่งโม่เหอใต้เตียง ทำให้แม่นางเก๋อจินเข้าใจผิดว่าแม่นางเว่ยจื่อคือคนร้าย”

ในห้องโถงมีเสียงดังฮือฮาไปทั่ว ความหมายของประโยคนี้ทุกคนต่างเข้าใจกระจ่าง คนที่วางแผนทำร้ายเก๋อจินอาจไม่ได้มีเพียงชิงจือผู้เดียว ชิงจืออยู่ในที่แจ้ง คนผู้นั้นอยู่ในที่ลับ

เถิงอวี้อี้รินน้ำอ้อยให้ตนเองถ้วยหนึ่ง สมกับเป็นแผนปาหินก้อนเดียวได้นกสองตัว* สามารถกำจัดเก๋อจินกับเว่ยจื่อไปได้ในเวลาเดียวกัน คนที่ได้ประโยชน์มีเพียงผู้เดียว

นางปรายตามองผ่านขอบถ้วยชาสำรวจคนผู้นั้น แต่เห็นอีกฝ่ายสีหน้าไม่สะทกสะท้าน ไม่รู้ว่าภายในใจไร้ความละอาย หรือมั่นใจว่าลิ่นเฉิงโย่วไม่มีทางตรวจสอบมาถึงตนเองได้กันแน่

ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มเยาะ “น่าเสียดาย ไม่นานชิงจือก็ตายไปเสียก่อน เรื่องนี้จบลงอย่างไร้พยานหลักฐาน หากต้องการสืบต้นสายปลายเหตุให้กระจ่างยังต้องตรวจสอบทีละเรื่องตั้งแต่ต้น เมื่อครู่อาเหยียนบอกว่าทุกเดือนชิงจือจะออกจากหอไปสามครั้ง แต่ว่าสาวใช้อย่างชิงจือมักทำงานถึงช่วงกลางคืนจึงมีโอกาสออกจากหอ ตอนนั้นประตูผิงคังฟางปิดไปเรียบร้อยแล้ว อย่างมากที่สุดก็เดินเตร็ดเตร่อยู่ในอาณาบริเวณนี้ ข้าไม่รู้ว่าชิงจือเดินเล่นแถวใด ก็เลยต้องเดินวนดูร้านค้ากับร้านสุราในผิงคังฟางรอบหนึ่ง โชคดีที่การค้นหาครั้งนี้ทำให้ข้าพบเจอของดีบางอย่างเข้า”

เขาหยิบหลักทรัพย์จำนำกองหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมา “ทุกครั้งเวลาชิงจือออกจากหอส่วนใหญ่จะออกไปทำธุระสามเรื่อง หนึ่งคือซื้อสุราอาหาร สองคือฝากคนสืบข่าวคราว สามคือบางครั้งก็ไปจำนำของที่ร้านรับจำนำ ร้านรับจำนำแห่งนั้นอยู่ในผิงคังฟางนั่นเอง ชิงจือเคยไปจำนำของสี่ชิ้นตามลำดับ

ครั้งแรกเป็นกำไลแขนไหมเงินข้างเดียว ครั้งที่สองเป็นจี้ต่างหูปะการังข้างเดียว ครั้งที่สามเป็นตะขอเงินข้างเดียว เพราะทุกครั้งจะต้องขาดหายไปข้างหนึ่ง เถ้าแก่ร้านรับจำนำคาดเดาว่าเครื่องประดับพวกนี้ที่มาไม่ชัดเจน ยอมรับของไว้อยู่หรอก แต่กลับให้เงินชิงจือสองร้อยเฉียนเท่านั้น ชิงจือก็ไม่ต่อรอง ยิ้มหน้าระรื่นรับเงินมาแล้วก็เดินออกจากร้านไป”

บรรดาหญิงสาวดาวเด่นได้ยินแล้วทั้งตกใจระคนโกรธเกรี้ยว “ที่แท้เครื่องประดับหลายอย่างของพวกเราที่หายไปก็ถูกชิงจือขโมยไปนี่เอง สาวใช้ผู้นี้มองดูเหมือนคนโง่เขลาเซ่อซ่า ความจริงแล้วคิดคำนวณรอบคอบนัก เครื่องประดับพวกนี้ไม่ค่อยสะดุดตา กว่าพวกเราจะสังเกตเห็นก็ผ่านไปหลายวันแล้ว ต่อให้จะสงสัยก็ไม่สงสัยไปถึงตัวนางอีก”

ลิ่นเฉิงโย่วดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกองกระดาษใกล้มือ “ครั้งที่สี่ชิงจือก้าวหน้าขึ้นแล้ว ของที่เอาไปจำนำเป็นปิ่นระย้าผีเสื้อสี่ตัวล้อมทับทิม นี่นับว่าเป็นเครื่องประดับราคาแพงที่สุดเท่าที่นางเคยขโมยมา เถ้าแก่ร้านรับจำนำมอบเงินให้ชิงจือสองพันพวงเงินอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่ที่น่าแปลกใจคือไม่กี่วันชิงจือก็มาไถ่มันกลับคืนไปแล้ว มิหนำซ้ำหลังจากนั้นนางก็ไม่เคยไปจำนำของอีกเลย”

แววตาเถิงอวี้อี้เรียบนิ่ง นี่สิน่าสนใจมากจริงๆ ในเมื่อขโมยไปจำนำแล้ว เหตุใดยังต้องไปไถ่กลับคืนมา

ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยว่า “เรื่องนี้ต้องไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบ ข้าขอให้เถ้าแก่ร้านรับจำนำวาดภาพเหมือนของปิ่นระย้าอันนั้นมาให้ พวกเจ้าลองดูสิว่านี่เป็นเครื่องประดับของผู้ใดกัน”

เฮ่อหมิงเซิงกับแม่เล้าหลายคนเดินเข้ามาดูใกล้ๆ ปิ่นระย้าอันนั้นรูปร่างคล้ายดอกโบตั๋น ตรงเกสรเป็นสีแดงเข้ม ข้างดอกไม้มีผีเสื้อสี่ตัวรายล้อมซึ่งตกแต่งด้วยผงเงิน

“เอ๋? นี่ไม่ใช่ปิ่นระย้าของเหยาหวงหรอกหรือ” ว่อจีหันไปกวักมือเรียกเหยาหวง “เจ้าลองเข้ามาดูเองดีกว่า”

เถิงอวี้อี้เพ่งมองเหยาหวงอย่างตั้งใจ ถึงแม้จะโดนเรียกตัวมากะทันหันช่วงกลางดึกนางก็ยังเกล้าผมดกดำให้เรียบร้อย ดวงหน้าดั่งดอกท้อฤดูใบไม้ผลิ ชุดกระโปรงกับสายคาดเอวไม่พบรอยยับย่นเลยแม้แต่น้อย

เหยาหวงเดินเยื้องย่างมาหยุดถึงหน้าโต๊ะ โน้มตัวลงมองภาพวาดภาพนั้นแล้วกลับรีรอไม่เอ่ยตอบคำ

ลิ่นเฉิงโย่วจ้องมองเหยาหวง มุมปากปรากฏรอยยิ้มบางๆ “เป็นของเจ้าใช่หรือไม่”

แพขนตาเหยาหวงพลันสั่นไหว น้ำเสียงของนางไพเราะเสนาะหู อ่อนหวานดั่งนกขมิ้นโผบินออกจากหุบเขา “ใช่เจ้าค่ะ เป็นของข้าน้อยเอง”

เอ้อจีกับว่อจีพยักหน้าให้การยืนยัน “ไม่ผิดแน่ เมื่อปีก่อนคุณชายใหญ่เว่ยบุตรชายหนิงอันป๋อมอบให้เหยาหวง คุณชายใหญ่เว่ยชำนาญการวาดภาพ วันนั้นตอนเมามายวาดแบบออกมาเองแล้วส่งไปสั่งทำที่ร้านเครื่องประดับ ในฉางอันนี้ไม่มีอันที่สองแน่นอน”

ขณะลิ่นเฉิงโย่วกำลังจะเอ่ยปาก เจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่หลายคนกับแม่เล้าก็กลับมาจากเรือนหลังแล้ว

“ตรวจค้นเสร็จแล้ว?” ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยถาม

“ตรวจค้นเสร็จแล้วขอรับ” ขุนนางศาลต้าหลี่ประคองผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งด้วยสองมือพร้อมก้าวเดินอย่างว่องไวเข้ามาใกล้ “ปิ่นระย้าเก็บอยู่ในลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งของแม่นางเหยาหวงขอรับ”

“รบกวนแล้ว” ลิ่นเฉิงโย่วกล่าวกับขุนนางศาลต้าหลี่สองสามคนนั้น ก่อนหยิบปิ่นระย้าขึ้นมาเปรียบเทียบกับในภาพวาด ยืนยันแน่ใจว่าเป็นอันเดียวกัน

“พวกเจ้าลองทายดูสิว่าเพื่อไถ่ปิ่นระย้าอันนี้กลับคืนมา ชิงจือต้องใช้เงินไปเท่าใด” ลิ่นเฉิงโย่วหมุนปิ่นระย้าเล่น กล่าวด้วยท่าทีเกียจคร้าน “มากเท่าทองคำหนึ่งก้อนเชียว”

ทุกคนต่างตกตะลึงหน้าเปลี่ยนสี นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย

“ชิงจือมอบหยกคืนแคว้นจ้าว เอากลับไปเก็บที่โต๊ะเครื่องแป้งแม่นางเหยาหวงตามเดิม ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่านางเอาทองคำก้อนหนึ่งมาจากที่ใด คิดดูว่ากว่านางจะขโมยของสิ่งนี้ออกมาไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเหตุอันใดถึงยอมเอากลับไปคืน”

เหยาหวงสีหน้าสงบผ่อนคลายพลางเอ่ย “ซื่อจื่อสั่งคนตรวจค้นห้องข้าน้อย ที่แท้ก็เพื่อตามหาของสิ่งนี้เองหรอกหรือ ข้าน้อยไม่รู้แม้กระทั่งว่าปิ่นระย้าชิ้นนี้หายไปด้วยซ้ำ จะตอบคำถามนี้กับท่านได้อย่างไร”

ลิ่นเฉิงโย่วลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยเสียงเรียบเรื่อยว่า “หัวขโมยเอาของไปแล้วยังส่งกลับคืน มีความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่งคือทำโดยสมัครใจ สองคือทำเพราะโดนบังคับ ไม่ว่าชิงจือจะสมัครใจหรือโดนบังคับ ตั้งแต่นางเอาของไปจำนำจนไถ่คืนมา ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันจะต้องเกิดเรื่องผิดปกติขึ้นแน่ ชิงจือกับเจ้าทำข้อตกลงบางอย่างร่วมกัน นางคืนของให้เจ้า ส่วนเจ้าก็ช่วยปิดบังเรื่องนี้ให้นาง”

เหยาหวงใช้พัดกลมปิดริมฝีปาก ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ซื่อจื่อช่างเข้าใจพูดล้อเล่น ข้าน้อยกับชิงจือไม่เคยรู้จักสนิทสนมกัน หากไม่ใช่เพราะนางตกบ่อน้ำตาย ทุกวันนี้ข้าน้อยคงจำชื่อนางไม่ได้ด้วยซ้ำ สาวใช้ผู้นี้ท่าทางแปลกๆ ขโมยของข้าน้อยไปแล้วยังไถ่คืนมา คิดว่าคงรู้ว่าปิ่นระย้าอันนี้หาใช่เครื่องประดับธรรมดา กลัวว่าพอมีคนรู้เรื่องเข้าจะโดนตีตาย ตกใจกลัวจนรีบไปไถ่ของกลับมาก็มิใช่เรื่องแปลก ส่วนทองคำก้อนนั้นนางอาจจะไปขโมยมาจากที่ใดก็ได้”

ลิ่นเฉิงโย่วยกมือไพล่หลังพลางเงยหน้าครุ่นคิด “พูดจามีเหตุผลใช้ได้ อาศัยเพียงเรื่องที่ว่านางขโมยของไปแล้วไฉนยังส่งกลับคืนพิสูจน์อะไรแน่ชัดไม่ได้จริงๆ นั่นล่ะ เพราะฉะนั้นข้ากับเจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนจึงไปสอบถามร้านขายผลไม้ฝั่งตรงข้ามเพิ่มเติมว่าช่วงสองเดือนมานี้มีใครมาซื้ออิงเถาอบแห้งบ้าง เถ้าแก่ร้านบอกว่าแม่นางที่มีฐานะในหอไฉ่เฟิ่งไม่เคยออกมาเลือกซื้ออะไรด้วยตนเองอยู่แล้ว อยากกินอะไรแค่ให้คนส่งกระดาษข้อความออกมา พวกเขาจะห่อของให้เรียบร้อยค่อยส่งเข้าไปในหอ ข้ากับเจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนให้เถ้าแก่ร้านนำใบรายการสั่งซื้อเก่าๆ ออกมา พบว่าเมื่อเดือนก่อนเจ้าเคยซื้ออิงเถาอบแห้งไปหนึ่งห่อใหญ่”

เหยาหวงหัวเราะเบาๆ อย่างมีจริต “ข้าน้อยอยากกินอิงเถาอบแห้งแล้วมีอันใดหรือ ผลไม้อบแห้งชนิดนี้มีขายทุกตรอกถนน ไม่ใช่แค่ชิงจือที่กินได้เสียหน่อย”

“แต่ในใบรายการระบุเอาไว้ชัดเจนว่าในระยะครึ่งปีมานี้เจ้าซื้ออิงเถาอบแห้งเพียงครั้งนั้นครั้งเดียว”

เหยาหวงตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เรียนซื่อจื่อ ถึงแม้ข้าน้อยไม่ชอบกินของหวาน แต่ห้องของข้าน้อยมักมีแขกมาเยี่ยมเยือน คิดว่าคงเป็นคุณชายท่านใดอยากกินอิงเถาอบแห้ง ข้าน้อยจึงสั่งคนให้ออกไปซื้อโดยเฉพาะ เป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อเดือนก่อนแล้ว ข้าน้อยจะไปนึกออกได้อย่างไรกัน”

“ไม่เป็นไร” ลิ่นเฉิงโย่วคัดลอกสมุดบัญชีบนโต๊ะอย่างอดทน “เจ้านึกไม่ออก พวกเราจะช่วยเจ้าให้นึกได้เอง เจ้าซื้ออิงเถาอบแห้งไปเมื่อวันที่สองเดือนก่อน บังเอิญว่าวันนั้นเป็นวันที่ชิงจือไถ่ปิ่นระย้าของเจ้ากลับมาพอดี ดูจากสมุดบัญชีเถ้าแก่เฮ่อของพวกเจ้า ในวันนั้นเจ้านอนป่วยอยู่ที่ห้องไม่ได้ออกมาต้อนรับแขก ข้าก็เลยอยากถามว่าอิงเถาอบแห้งห่อใหญ่ที่เจ้าซื้อมาวันนั้นเอาไปให้ผู้ใดกินกันแน่”

เหยาหวงยกมือดันหน้าผากคิดทบทวนชั่วครู่ จู่ๆ กลับพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าน้อยนึกออกแล้ว วันนั้นข้าน้อยนอนป่วยอยู่ในห้อง ไม่รู้เพราะอะไรดลใจนึกอยากกินอิงเถาอบแห้งขึ้นมากะทันหัน คนเวลาป่วยไข้รสชาติที่ถูกปากก็ผิดแปลกไป ของที่แต่ก่อนเคยรังเกียจ ไม่แน่ว่าอยู่ดีๆ อาจอยากกินแทบอดใจไม่ไหวขึ้นมา จำได้ว่าวันนั้นข้าน้อยซื้อมาแล้วกินไปกว่าครึ่ง แม้แต่อาหารเย็นก็ไม่ได้กินเจ้าค่ะ”

เถิงอวี้อี้เฝ้ามองอยู่ห่างๆ จนถึงตอนนี้ ในใจเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจมาแต่แรกแล้ว เหยาหวงดื้อรั้นไม่ธรรมดา คงมั่นใจว่าลิ่นเฉิงโย่วไม่มีทางหาหลักฐานมัดตัวได้ อาศัยเพียงการตรวจสอบพบไม่กี่อย่างของลิ่นเฉิงโย่วก็ไม่มีทางพิสูจน์ความจริงได้หรอกว่าเหยาหวงเคยซื้อตัวชิงจือ

ชิงจือตายไปแล้ว หากยังซักถามเพียงผิวเผินเช่นนี้ต่อไปมีแต่จะทำให้เหยาหวงแต่งเติมคำแก้ต่างของตนเองได้อย่างสมบูรณ์แบบดั่งภูษาฟ้าไร้ตะเข็บ

เถิงอวี้อี้ชำเลืองมองด้วยหางตาแวบหนึ่ง ลิ่นเฉิงโย่วเป็นแมวมาจนเคยชิน เหตุใดวันนี้ถึงโดนหนูข่มได้

ลิ่นเฉิงโย่วส่งเสียงอุทานในลำคอเสียงหนึ่ง “ข้าอุตส่าห์นึกว่าเจ้าซาบซึ้งใจที่ชิงจือเอาปิ่นระย้ามาคืนจึงตั้งใจซื้ออิงเถาอบแห้งที่นางชอบกินมาให้ ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่ามา นอกจากชิงจือจะไม่ได้อะไรแล้ว ยังต้องเสียทองคำไปก้อนหนึ่งด้วย หากนางเป็นคนซื่อๆ ทำเช่นนี้ก็คงไม่แปลก แต่จากการสืบคดีของพวกเราตลอดหลายวันมานี้ นอกจากชิงจือจะไม่โง่เขลา ยังเป็นคนที่คิดอ่านรอบคอบอย่างยิ่ง”

เขาหยุดชะงักไปชั่วอึดใจแล้วเปิดม้วนหนังสือบนโต๊ะ “วันที่เกิดเรื่องกับชิงจือพวกเราเคยเรียกคนในหอไปสอบถามทีละคน พอเอ่ยถึงชิงจือแต่ละคนใช้คำพูดไม่เหมือนกัน แต่มีบางเรื่องที่ส่วนใหญ่พูดไปในทางเดียวกัน

เรื่องแรก ถึงชิงจือจะทั้งเกียจคร้านและเห็นแก่กิน แต่มือเท้าคล่องแคล่วว่องไว งานใดที่ไม่อาจผลักความรับผิดชอบนางสามารถจัดการเสร็จเรียบร้อยได้อย่างรวดเร็ว ดูจากเรื่องนี้แล้วชิงจือไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญา

เรื่องที่สอง เมื่อเร็วๆ นี้ดูเหมือนนางจะฟุ่มเฟือยขึ้นไม่น้อย ที่สำคัญเริ่มฟุ่มเฟือยมาตั้งแต่ก่อนแม่นางเก๋อจินจะเกิดเรื่องแล้ว เดือนก่อนไม่เพียงไม่ขโมยของไปร้านรับจำนำอีก ยังซื้อสุราอาหารมากินบ่อยๆ อีกด้วย…แต่ชิงจือไม่เคยคบหาสหายหน้าใหม่คนใด เงินก้อนนี้จึงมีที่มาไม่ชัดเจน

เรื่องที่สาม ชิงจือมักพูดว่าตนเองยังมีพี่สาวอีกคนหนึ่ง เพราะในอดีตถูกขายไปอยู่ในมือพ่อค้าทาสคนละคน จึงพลัดพรากจากกันไปนับแต่นั้น ชิงจืออยากรู้เบาะแสของพี่สาวผู้นี้มาก ปกติต้องบ่นถึงเรื่องนี้เป็นประจำ”

ว่อจีลูบไรผมที่หลุดลุ่ยออกมาพลางเอ่ยขัด “ซื่อจื่อเจ้าคะ ข้าน้อยพูดอยู่บ่อยๆ ว่าชิงจือความจำเลอะเลือน ประโยคนี้ไม่ได้ใส่ความนางเลย ชิงจือจะมีพี่สาวมาจากที่ใดได้กัน นางมีก็แต่น้องสาวที่ตายไปแล้ว ในปีนั้นตอนข้าน้อยซื้อชิงจือมาจากพ่อค้าทาสนางเพิ่งอายุเจ็ดขวบ ในสัญญาขายตัวเขียนเอาไว้ชัดเจนทุกคำ นางเป็นชาวสิงหยาง ถูกตัดสินว่ากระทำความผิดและมีรายชื่ออยู่ในบัญชีผู้ต้องโทษ ในครอบครัวมีน้องสาวผู้เดียว ตอนเกิดเรื่องน้องสาวนางป่วยตายไปพร้อมกับแม่นานแล้ว”

ลิ่นเฉิงโย่วกล่าว “ไม่ได้บอกเพียงว่าตนเองมีพี่สาวร่วมสายเลือดผู้หนึ่ง แต่ยังบอกว่าตนเองกับอนุภรรยาของเถ้าแก่ร้านผ้าคนก่อนเป็นคนบ้านเดียวกัน อนุภรรยาผู้นั้นแซ่หรง เป็นชาวเยวี่ยโจว จากสิงหยางไปถึงเยวี่ยโจวห่างไกลกันหาใช่เพียงพันหลี่”

“สาวใช้เสียสติผู้นี้…” ทุกคนกระซิบพูดคุยกัน “ปกติก็ชอบพูดจาลอยๆ ไม่เป็นเรื่องเป็นราว คำพูดพวกนี้ยิ่งเหลวไหลไร้หลักฐาน ซื่อจื่อเจ้าคะ นิสัยของสาวใช้ผู้นี้แปลกพิกลนัก คำพูดของนางเชื่อถือจริงจังไม่ได้เลย”

“แต่ข้ายังเชื่อว่าคำพูดเหลวไหลของนางเป็นความจริงอยู่ดี” ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มหยอกเย้า “ปีนี้ชิงจืออายุสิบห้า ตอนถูกขายอายุเจ็ดแปดขวบ อยากสืบให้กระจ่างว่านางพูดโกหกหรือไม่ ก็ต้องเริ่มต้นจากตัวพ่อค้าทาสเมื่อเจ็ดปีก่อนผู้นั้น”

พอได้ยินประโยคนี้สีหน้าเหยาหวงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

เถิงอวี้อี้ลอบสังเกตเหยาหวงอย่างเงียบๆ ที่แท้ลิ่นเฉิงโย่วก็รอเรื่องนี้อยู่นี่เอง ประโยคเดียวที่ชิงจือกล่าวออกมาโดยไม่ตั้งใจ ลิ่นเฉิงโย่วกลับคลำแตงตามเถา* ต่อไปเรื่อยๆ

ไม่คาดคิดว่าลิ่นเฉิงโย่วกลับเปลี่ยนหัวข้อสนทนาฉับพลัน “อย่าเพิ่งพูดเรื่องพ่อค้าทาสเลย มาพูดถึงสถานการณ์ในคืนที่แม่นางเก๋อจินโดนทำร้ายเสียโฉมดีกว่า ข้อสงสัยเด่นชัดมีอยู่สองข้อ คนผู้นั้นแฝงตัวเข้ามาในห้องอย่างไร เหตุใดแม่นางเก๋อจินถึงฟังเสียงไม่ออกว่าคนผู้นั้นเป็นใคร

ข้อแรกตอบง่ายมาก มาซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงล่วงหน้าก็ใช้ได้แล้ว ข้อต่อมากลับตอบไม่ได้ คนผู้นั้นตะโกนด่าทอเสียงแหลมสูง ว่ากันตามหลักแล้วแม่นางเก๋อจินน่าจะฟังเสียงออก แต่นางกลับฟังไม่ออกว่าเป็นผู้ใด นี่สิถึงจะเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่สุดจากเรื่องทั้งหมด”

เก๋อจินเอ่ยรับคำอย่างเศร้าสลดระคนหวาดกลัว “ถึงแม้ข้าน้อยจะฟังไม่ออกว่าเป็นใคร แต่ทุกคืนหน้าประตูเรือนชั้นในจะต้องมีบ่าวรับใช้คอยเฝ้าไว้ คนเป็นบุกเข้าไปไม่ได้อยู่แล้ว คืนนั้นคนที่ทำร้ายข้าจะต้องเป็นคนในหอแน่”

เจี้ยนเหม่ยกล่าวขึ้นว่า “ซื่อจื่อ ข้าได้ยินมาว่าในตลาดมีคนประหลาดพวกที่ชำนาญศิลปะการเปล่งเสียงอยู่ด้วย สตรีสามารถปลอมตัวพูดจาเยี่ยงบุรุษ ส่วนบุรุษก็ปลอมตัวพูดจาเยี่ยงสตรีได้ หากคนผู้นั้นชำนาญศิลปะการเปล่งเสียงแบบเดียวกันนี้ แม่นางเก๋อจินจะฟังไม่ออกก็ไม่น่าแปลกใจ”

ลิ่นเฉิงโย่วลูบปลายคาง “แล้วในหอไฉ่เฟิ่งใครชำนาญศิลปะการเปล่งเสียงที่สุด”

ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีไปขนานใหญ่ สายตาแต่ละคู่ล้วนจับจ้องไปยังร่างเหยาหวง นางไม่เพียงชำนาญการขับขานบทเพลง ยังสามารถเลียนเสียงลิงกู่ร้องนกเจื้อยแจ้ว ละเอียดอ่อนเอาใจใส่อย่างหาได้ยาก ไม่เคยอาศัยเสียงของตนมากดข่มใคร ใช้การเลียนเสียงนกได้มีชีวิตชีวาสมจริง หยอกเย้าสร้างความสนุกสนานให้แขกเหรื่ออยู่เป็นประจำ

ก่อนเก๋อจินจะมาอยู่ที่หอไฉ่เฟิ่ง เดิมทีเหยาหวงมีโอกาสจะได้เป็นยอดบุปผามากที่สุด เมื่อชื่อของยอดบุปผาโด่งดังไปทั่วเมืองฉางอัน ไม่เกินสามปีก็เก็บออมเงินเพื่อไถ่ตนเองได้แล้ว

เหยาหวงอมยิ้มพลางมองลิ่นเฉิงโย่ว ก่อนเอ่ย “คำพูดของซื่อจื่อเข้าใจยากอยู่บ้าง ข้าน้อยรู้ศิลปะการเปล่งเสียงเพียงผิวเผิน แต่คืนนั้นข้าน้อยกับคุณชายใหญ่เว่ยบุตรชายหนิงอันป๋อไปชมงานโคมไฟริมสระฉวี่เจียง วันรุ่งขึ้นถึงกลับเข้าเมือง ผู้ติดตามมีจำนวนมากทีเดียว ไม่ว่าใครก็สามารถมาเป็นพยานได้ ซื่อจื่อลองไปสอบถามคนในคืนนั้นดู ข้าไม่กลัวการตรวจสอบอีกรอบหรอกเจ้าค่ะ”

“เจ้าไม่อยู่ในหอ แต่ชิงจืออยู่ นางคอยซ่อนอยู่ใต้เตียงทำร้ายคน ส่วนเจ้าวางตัวไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ระยะนั้นในหอมีภูตผีปีศาจก่อความวุ่นวาย ไม่ว่าใครเอ่ยถึงก็หน้าเปลี่ยนสี ชิงจือปลอมตัวเป็นวิญญาณอาฆาตไปทำร้ายเก๋อจิน เรียกได้ว่าแนบเนียนดั่งภูษาฟ้าไร้ตะเข็บ เจ้ากับนางช่วยกันเตรียมบทพูดไว้แล้วด้วยซ้ำ ‘หญิงชั้นต่ำ กล้ามายั่วยวนสามีข้า!’ เมื่อมีคำพูดประโยคนี้ แม้แต่ชิงจือก็จะโดนกันออกไปด้วย”

“ประเดี๋ยวก่อนนะ” เอ้อจีอดเอ่ยแทรกขึ้นมาไม่ได้ “ซื่อจื่อเจ้าคะ คนที่รู้ศิลปะการเปล่งเสียงคือเหยาหวง ไม่ใช่ชิงจือเสียหน่อย หากเป็นฝีมือชิงจือ เก๋อจินจะโดนหลอกตบตาได้อย่างไร”

ลิ่นเฉิงโย่วตอบว่า “ย่อมเป็นเพราะชิงจือก็รู้ศิลปะการเปล่งเสียงเหมือนกันน่ะสิ”

ทุกคนต่างสะดุ้งโหยงทันใด

เฮ่อหมิงเซิงตกตะลึงอ้าปากค้าง “ซื่อจื่อ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร หากชิงจือมีความสามารถเรื่องการเปล่งเสียงป่านนี้คงมีคนรู้ไปแล้ว หรือท่านอยากจะบอกว่าอยู่ๆ เหยาหวงก็สอนศิลปะการเปล่งเสียงให้ชิงจือกัน”

เหยาหวงเพียงคลี่ยิ้มน้อยๆ “ซื่อจื่อเจ้าคะ ศิลปะการเปล่งเสียงให้ความสำคัญกับพรสวรรค์ที่สุด หาใช่สิ่งที่มุมานะพากเพียรก็จะเรียนได้สำเร็จ หรือต่อให้มีพรสวรรค์ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาร่ำเรียนสองสามปีถึงจะมีความคืบหน้าให้เห็น ปกติข้าน้อยกับชิงจือไม่เคยพูดจากันเลยสักคำ เรื่องนี้จะอธิบายจากตรงที่ใดได้เล่า”

ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มเยาะ “ข้าก็อยากรู้ต้นสายปลายเหตุจึงตามหาบันทึกเกี่ยวกับบ้านเกิดของทุกคนในหอไฉ่เฟิ่งมาดูรอบหนึ่ง ชิงจือบ้านเกิดอยู่สิงหยาง กลับบอกว่าตนเองเป็นคนบ้านเดียวกับชาวเยวี่ยโจว ข้าไม่เจอว่าในหอไฉ่เฟิ่งมีชาวสิงหยาง กลับหาเจอว่ามีคนผู้หนึ่งบ้านเกิดอยู่เยวี่ยโจว คนผู้นี้ถูกขายมาเมื่อเจ็ดปีก่อน สัญญาขายตัวเขียนว่านางมีน้องสาวผู้หนึ่ง น่าเสียดายยังไม่ทันถูกขายออกมาน้องสาวของคนผู้นี้ก็ป่วยตายไปก่อนแล้ว”

ภายในห้องโถงเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง มีแม่นางหลายคนที่สนิทสนมคุ้นเคยกับเหยาหวงค่อยๆ เผยแววตาหวาดหวั่นขวัญผวา

“บิดามารดาคนผู้นี้เดิมทีเป็นนักดนตรีกองสังคีต สามารถขับร้อง เล่นพิณผีผา* ได้ดี ชำนาญศิลปะการเปล่งเสียง สามารถส่งเสียงร้องแปลกประหลาดได้ บุตรสาวทั้งสองคนต่างสืบทอดความสามารถของบิดามารดา อายุยังน้อยก็สามารถเปลี่ยนเสียงร้องได้หลากหลาย สามีภรรยานักดนตรีแซ่เนี่ยคู่นี้ต้องรับโทษในคดีก่อกบฏของหลี่ชางเม่าในเขตเจียงหนานเมื่อเจ็ดปีก่อน ผ่านไปไม่นานก็ตายในคุก บุตรสาวคนเล็กป่วยตาย บุตรสาวคนโตก็ถูกขาย หรือก็คือแม่นางเหยาหวงในตอนนี้นั่นเอง

พอได้ยินเช่นนี้รู้สึกคุ้นหูใช่หรือไม่ ชิงจือเองก็โดนขายเมื่อเจ็ดปีก่อน สิ่งที่แตกต่างกันคือคนหนึ่งบ้านเกิดอยู่สิงหยาง ส่วนคนหนึ่งบ้านเกิดอยู่เยวี่ยโจว แต่ชิงจือไม่ยอมรับว่าตนเองมีน้องสาว กลับยืนกรานว่าตนนั้นมีพี่สาวแทน นางได้ยินว่าอนุภรรยาแซ่หรงของเถ้าแก่คนก่อนเป็นชาวเยวี่ยโจว ก็หลุดปากว่าตนเองเป็นคนบ้านเดียวกับหรงซื่อ จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าชิงจือไม่เคยล้มเลิกการตามหาเบาะแสของพี่สาว เอาเงินที่เก็บออมไว้ไปฝากคนสืบข่าวคราวประจำ สวรรค์ย่อมช่วยเหลือผู้มีใจพากเพียร เมื่อวันที่สองเดือนก่อนนี้เองชิงจือกับพี่สาวร่วมสายเลือดจดจำกันได้แล้ว ซึ่งคนผู้นี้ก็คือเหยาหวง”

ห้านักพรตมองหน้าลิ่นเฉิงโย่วสลับกับเหยาหวง ถลึงตาปูดโปนเสียงยิ่งกว่ากระดิ่งสำริด ต่อให้ชิงจือจู่ๆ ฟื้นคืนชีพจากความตายอย่างไม่คาดฝัน ก็ยังไม่ทำให้พวกเขาตกตะลึงเท่าเรื่องนี้เลย

เถิงอวี้อี้หวิดจะปัดถ้วยน้ำอ้อยหกคว่ำ ตอนแรกนึกว่าเหยาหวงซื้อตัวชิงจือไปแล้ว ที่แท้พวกนางสองคนเป็นพี่น้องกัน เหยาหวงรูปโฉมงดงามเฉิดฉาย ชิงจือกลับมีผิวพรรณหยาบกร้านดำคล้ำ เวลานำทั้งสองคนมาอยู่รวมกัน ใครก็คิดไม่ถึงว่าเหยาหวงจะเป็นพี่สาวของชิงจือ

ทว่าหากเพ่งพินิจดูให้ละเอียดจะสังเกตเห็นว่าคิ้วและดวงตาของคนทั้งสองมีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง เพียงแต่เหยาหวงท่วงทีกิริยาอ่อนโยนละมุนละไม ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นกลับมีพฤติการณ์หยาบกระด้างไม่งดงาม หากมิตั้งใจเปรียบเทียบอย่างจริงจังคงยากจะพบว่าพวกนางมีส่วนที่คล้ายกัน

เฮ่อหมิงเซิงกับเอ้อจีอ้าปากค้างไม่รู้จะกล่าวต่อไปเช่นไร

ว่อจีกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง ตัดสินใจทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน “ซื่อจื่อเจ้าคะ เหยาหวงเป็นพี่สาวแท้ๆ ของชิงจือจริงหรือ”

ลิ่นเฉิงโย่วส่งเสียงตอบรับ “ในสัญญาขายตัวของเหยาหวงเขียนไว้ชัดเจน เดิมนางแซ่เนี่ย ชื่อเล่นอาฝู น้องสาวชื่อเล่นอาฉวี ตอนถูกขายเหยาหวงอายุสิบขวบแล้ว ชิงจือก็อายุเจ็ดแปดขวบ สำหรับพวกนางสองคนความทรงจำยามเยาว์วัยสลักลึกลงในเนื้อหนังและกระดูกไปนานแล้ว ไม่อาจลืมเลือนบ้านเกิด ยิ่งไม่มีทางลืมเลือนศิลปะการเปล่งเสียงที่เคยเรียนมา ดังนั้นถึงแม่นางเหยาหวงจะเป็นหญิงสาวดาวเด่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วฉางอันแล้ว ขอเพียงนางมีโอกาสย่อมอดใจไม่อยู่เผยความสามารถด้านการเปล่งเสียงออกมา คิดว่าเหตุผลหนึ่งคงทำเพื่อระลึกถึงบุพการีทั้งสอง อีกเหตุผลคือกลัวตนเองจะหลงลืมวิชาที่อาจจะไร้ผู้สืบทอดนี้ ส่วนชิงจือแม้จะไม่เคยเผยความสามารถด้านนี้ออกมา แต่เมื่อครั้งยังเล็กก็ร้องประสานเสียงประหลาดไปกับพี่สาวได้ ต่อให้หลายปีมานี้ฝีมือถดถอยไปบ้าง จะให้เลียนเสียงสตรีวัยกลางคนก็ไม่ใช่ปัญหาเลย”

เก๋อจินกรีดร้องเสียงแหลม “เป็นเจ้าจริงรึ! ข้ากับเจ้าวันวานไร้เรื่องบาดหมาง วันนี้ไร้ความแค้นเคือง เหตุใดเจ้าต้องทำร้ายข้าเช่นนี้ด้วย!”

เว่ยจื่อโกรธจัดจนหางคิ้วโก่งสวยชี้ขึ้น ลุกเดินโซเซตรงมาหาเหยาหวง “ข้ากับเจ้าปกติสนิทสนมกันดี เจ้ากับชิงจือร่วมมือกันทำร้ายเก๋อจินยังไม่พอ แม้แต่ข้าก็ไม่ละเว้น ทั้งที่เจ้ารู้ดีว่าข้าทำอัญมณีแห่งโม่เหอหายไปแล้วไม่กล้าแจ้งความ ถึงเวลานั้นมีร้อยปากก็ไม่อาจแก้ต่างได้ เจ้ากลับจงใจให้ชิงจือขโมยของสิ่งนี้มาใส่ร้ายข้า!”

สีหน้าเหยาหวงยังคงรักษาความเยือกเย็นไว้ได้ ทว่าฝีเท้ากลับถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว

เว่ยจื่อตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องคว้าตัวนางมาเค้นถามให้รู้เรื่อง ภายในห้องโถงจึงอลหม่านวุ่นวายไปหมด

เฮ่อหมิงเซิงกระทืบเท้าโมโห “ยังไม่รีบไปห้ามพวกนางอีก!”

ว่อจีกับเอ้อจีรีบร้อนวิ่งเข้าไปหาพวกนาง

เจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนสีหน้าเคร่งเครียด พลันตบโต๊ะ “พอที!”

บรรดาเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่ส่งเสียงขานรับ ชักดาบวิ่งกรูเข้ามาในห้องโถง พอทุกคนมองปราดไปเห็นประกายคมดาบวาววับเย็นเยียบบรรยากาศก็กลับมาสงบเรียบร้อยโดยพลัน

ลิ่นเฉิงโย่วเห็นว่าวุ่นวายไปพอสมควรแล้ว ก็ชูหลักทรัพย์จำนำในมือขึ้นมาแล้วเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “เกรงว่าชิงจือขนาดฝันก็คงคิดไม่ถึง พี่สาวที่นางลำบากลำบนตามหามานานปีจะอยู่ในหอไฉ่เฟิ่ง นางขโมยของไปจำนำ เอาเงินที่แลกมาได้ไปฝากคนสืบข่าวคราว ตอนแรกนางเจาะจงเลือกของที่ไม่สะดุดสายตา ผ่านไปหลายครั้งเข้าก็ยังไม่มีคนสังเกตเห็น ทำให้นางยิ่งใจกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ถึงคราวขโมยของพี่สาวตนเอง ในหลักทรัพย์จำนำเขียนว่าวันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนสิบสองนางเอาปิ่นระย้าไปจำนำ เมื่อวันที่สองเดือนก่อนเพิ่งไปไถ่คืนมา คาดว่าก็ช่วงไม่กี่วันนี้นี่ล่ะที่ชิงจือบังเอิญรู้ความจริงว่าเจ้าเป็นพี่สาวของนาง

นักชันสูตรตรวจศพดูแล้วพบว่าบนร่างกายชิงจือมีรอยปานอยู่หลายแห่ง ระหว่างพี่น้องหากอยากจะยืนยันฐานะไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย หลังจากจดจำกันได้แล้วชิงจือก็ไปเอาปิ่นระย้ากลับมา ส่วนเจ้าก็ซื้ออิงเถาอบแห้งที่ตนเองไม่เคยนึกชอบกินมาก่อนให้ชิงจือ ข้าคาดเดาว่าทองคำที่ชิงจือใช้ไถ่ปิ่นระย้าก็เป็นทองที่เจ้าให้มา เพราะปิ่นระย้าอันนั้นเป็นเครื่องประดับที่คุณชายใหญ่เว่ยบุตรชายหนิงอันป๋อสั่งทำให้เจ้าโดยเฉพาะ ในเมืองฉางอันมีปิ่นลักษณะเช่นนี้เพียงหนึ่งเดียว เมื่อใดตกทอดไปอยู่ในท้องตลาดก็จะรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าเจ้าของเดิมเป็นใคร คุณชายใหญ่เว่ยกับเจ้าความสัมพันธ์กำลังร้อนแรง ต่อให้เจ้าไม่คิดเอาความ แต่คุณชายใหญ่เว่ยจะต้องสืบให้ละเอียดเป็นแน่ ถึงตอนนั้นสาวมาจนถึงตัวชิงจือ นางคงหนีไม่พ้นต้องโดนลงโทษสถานหนัก

เพื่อปกป้องชิงจือเอาไว้ เจ้าเป็นฝ่ายเสนอทองคำให้นางไปไถ่ของกลับมา ส่วนนางก็ยอมเชื่อฟังคำพูดของพี่สาวอย่างเจ้า นับจากนั้นมาจึงไม่เคยขโมยของอีกเลย”

เหยาหวงถอนใจเฮือกแล้วกล่าวเสียงนุ่มนวล “ข้าน้อยไม่รู้เลยว่าซื่อจื่อจะแต่งเรื่องได้ยอดเยี่ยมปานนี้ ประเดี๋ยวบอกว่าข้าน้อยกับชิงจือเป็นพี่น้องกัน ประเดี๋ยวก็บอกว่าข้าน้อยมอบสินทรัพย์ส่วนตัวไปไถ่ปิ่นระย้ากลับมา แต่ความจริงแล้วข้าน้อยกับชิงจือไม่เคยไปมาหาสู่กันเลย ทุกคนในหอไฉ่เฟิ่งล้วนเป็นพยานได้”

ลิ่นเฉิงโย่วได้ยินดังนั้นกลับยิ้มออกมา “ใช่ เรื่องที่เจ้ากับชิงจือจดจำกันได้ยังไม่มีใครรู้ เพราะพวกเจ้าไปมาหาสู่กันอย่างลับๆ มาตลอด หอไฉ่เฟิ่งนับวันกิจการยิ่งรุ่งเรือง ดูเหมือนมีคุณสมบัติสูงพอจะกลายเป็นหอคณิกาที่ใหญ่ที่สุดในฉางอัน เถ้าแก่ของพวกเจ้าตัดสินใจจะเลือกยอดบุปผาหนึ่งคนจากบรรดาดาวเด่นเพื่อดึงดูดแขกผู้มาเยือนให้เพิ่มมากขึ้น วันคัดเลือกยิ่งใกล้เข้ามาทุกขณะ แม่นางเก๋อจินกลับโดดเด่นเกินหน้าเกินตาเจ้าจนเจ้าเฝ้าครุ่นคิดหาทางเอาชนะอยู่ตลอดเวลา แต่จนปัญญาที่คิดแผนการดีๆ ไม่ออก หลังยอมรับน้องสาวอย่างชิงจือผู้นี้แล้ว อยู่ๆ เจ้าก็เกิดความคิดบางอย่าง สั่งให้นางปลอมตัวเป็นวิญญาณอาฆาตทำร้ายคน ส่วนเจ้าป่าวประกาศว่าจะออกไปเที่ยวเล่นทางทิศใต้ของเมืองหลวงกับคุณชายใหญ่เว่ย เพื่อไม่ใครสงสัยมาถึงชิงจือยังบอกให้นางเปลี่ยนเสียงเป็นสตรีวัยกลางคนด้วย

ดังนั้นแม้ข้าจะมองออกแต่แรกว่าใบหน้าแม่นางเก๋อจินเป็นฝีมือคนทำร้าย สุดท้ายกลับไม่เคยสงสัยไปถึงชิงจือเลย เพราะแม่นางเก๋อจินคงไม่มีทางแยกแยะเสียงของสาวใช้ตนเองไม่ออกไปได้หรอก อีกทั้งคำให้การของแม่นางเก๋อจินก็ทำให้คนในหอไฉ่เฟิ่งปักใจเชื่อว่าเป็นฝีมือวิญญาณอาฆาตจริงๆ”

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย “เช่นนี้ก็อธิบายได้กระจ่างแล้วว่าเพราะเหตุใดชิงจือถึงยอมร่วมมือกับผู้อื่นทำร้ายนายหญิงดาวเด่นของตนเอง ที่แท้นั่นไม่ใช่คนนอกเลย แต่เป็นพี่สาวแท้ๆ ของนางเอง ขอเพียงทำให้แม่นางเก๋อจินเสียโฉมได้แล้วโยนความผิดไปให้แม่นางเว่ยจื่อ พี่สาวก็จะได้เป็นยอดบุปผาไปโดยปริยาย อีกไม่กี่ปีก็สามารถไถ่ตัวพวกนางสองพี่น้องเป็นอิสระ ชิงจือยอมเสี่ยงอันตรายครั้งนี้แน่นอน”

“เรื่องนี้ทำได้แนบเนียนดั่งภูษาฟ้าไร้ตะเข็บ ไม่มีใครสงสัยมาถึงพวกเจ้าสองพี่น้อง” ลิ่นเฉิงโย่วหันกายกลับมา “หลังจดจำกันได้เจ้ามักให้เงินชิงจือบ่อยๆ ชิงจือจึงมีเงินใช้ฟุ่มเฟือยเพราะเหตุนี้ ไม่นานสองปีศาจออกอาละวาดทำให้หอไฉ่เฟิ่งโดนสั่งปิด เจ้ากลัวว่าหากเรื่องราวยังยืดเยื้อจะไม่เป็นผลดี จึงให้ชิงจือเอาอัญมณีแห่งโม่เหอที่ขโมยมาไปโยนทิ้งไว้ใต้เตียงของแม่นางเก๋อจิน รอจนนางมาพบเห็นของสิ่งนี้จะต้องสงสัยแม่นางเว่ยจื่อแน่”

เหยาหวงยิ้มเจื่อนๆ อย่างจนใจ “ซื่อจื่อพูดมาจนถึงตอนนี้ กลับยังไม่มีหลักฐานยืนยันสักชิ้นเดียว พูดไปพูดมามีเพียงแค่ชิงจือเป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้าน้อย แต่ในสัญญาขายตัวเขียนไว้ชัดเจน แม้ข้าน้อยจะเป็นชาวเยวี่ยโจวก็จริง น้องสาวกลับตายจากไปตั้งแต่เจ็ดแปดปีก่อนแล้ว อยู่ดีๆ มายัดเยียดน้องสาวให้ข้าน้อยผู้หนึ่ง โปรดอภัยที่ข้าน้อยไม่กล้ารับไว้”

ลิ่นเฉิงโย่วมองนางด้วยหางตา “เจ้าพูดมาไม่ผิด พอชิงจือตายไปเรื่องนี้ก็ไร้ซึ่งหลักฐานยืนยัน รวมกับพ่อค้าทาสเมื่อเจ็ดปีก่อนตามตัวได้ยาก เจ้าจึงไม่มีอะไรต้องกลัว วันนั้นซักถามทุกคนในหอเสร็จข้ากับเจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนรู้ว่าชิงจือลักลอบซ่อนเครื่องประดับเอาไว้ใต้กองอิงเถาอบแห้ง จึงไปถามไถ่ร้านเครื่องประดับละแวกใกล้เคียง ที่ผ่านมาชิงจือไม่เคยไปซื้อของอะไรเลย แต่ในวันที่เจ็ดเดือนก่อนหรือก็คือช่วงที่จดจำได้ว่าเจ้าเป็นพี่สาวไม่นาน จู่ๆ นางไปสั่งทำกำไลแขนทองคำคู่หนึ่งกับร้านเครื่องประดับในย่านนี้ สิบวันถัดมานางก็ไปรับกำไลแขนทองคำคู่นี้กลับมาแล้วซ่อนเอาไว้ใต้กองอิงเถาอบแห้งรวมกับเครื่องประดับหลายอย่างที่เจ้าเคยให้ หลังจากนั้นนางมักจะหยิบออกมาดูเล่นเป็นประจำ จนเป้าจูบังเอิญมาเห็นเข้า น่าเสียดายหลังชิงจือประสบเคราะห์ร้ายกำไลแขนทองคำคู่นี้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว”

ตอนแรกเหยาหวงยังมีสีหน้าตึงเครียด แต่พอได้ยินประโยคสุดท้ายแล้วตรงหว่างคิ้วก็ผ่อนคลายลงทันที

เก๋อจินกับเว่ยจื่อเฝ้ามองจนไฟโทสะในใจลุกโชน ก่อนที่คนหนึ่งจะกล่าวด้วยความโกรธแค้นว่า “ซื่อจื่อ หลายวันมานี้ไม่ว่าใครล้วนโดนกักตัวอยู่ในหอ เหยาหวงก็ไม่มีข้อยกเว้น หากนางเป็นคนหยิบไปจริง กำไลแขนจะต้องอยู่ในหอแน่ ขอเพียงตามหาของสิ่งนี้เจอ ไม่ต้องกลัวว่านางจะไม่ยอมรับผิด”

ลิ่นเฉิงโย่วส่ายหน้าอย่างหดหู่ใจ “บอกว่าถูกสั่งปิด แต่ความจริงบ่าวในห้องครัวออกไปซื้อของทุกวัน แค่เอาของโยนลงในเข่งเงียบๆ จะเอาออกไปจากหอก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นแล้ว ข้าคิดว่ากำไลแขนคงตกอยู่ในมือพ่อค้าริมทางสักคนแล้ว อีกอย่างจากบันทึกที่ร้านเครื่องประดับเก็บไว้ กำไลแขนทองคำคู่นั้นไม่ได้แกะสลักด้วยวิธีพิเศษ ในฉางอันผู้คนมากมายเหลือจะนับ อยากตามหากำไลแขนทองคำหน้าตาธรรมดาๆ สักคู่ใช่เรื่องง่ายดายเสียที่ใด”

ห้านักพรตส่งเสียงโหวกเหวกขึ้นมาทันที “ได้ยินมาว่ากำไลแขนไม่เหมือนเครื่องประดับชนิดอื่น คับไปก็ไม่พอเหมาะพอดี หลวมเกินไปสักหน่อยก็ลื่นหลุดจากแขน ดังนั้นร้านเครื่องประดับจะมีกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรข้อหนึ่ง ตอนสั่งทำกำไลแขนจะต้องบอกความหนาของวงแขนมาพร้อมกันด้วย ในเมื่อชิงจือสั่งทำกำไลแขน ก็ต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ ข้าเห็นดาวเด่นหลายคนในหอรูปร่างแตกต่างกันออกไป บางคนอวบอิ่ม บางคนผอมบาง คิดว่าขนาดแขนคงไม่เท่ากัน ตกลงชิงจือสั่งทำให้ผู้ใด ตรวจสอบดูก็รู้แล้วกระมัง”

เอ้อจีกับว่อจีหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ท่านนักพรตล้อเล่นแล้ว กำไลแขนถึงแม้ต้องวัดขนาดให้ดี แต่สามารถปรับเลื่อนขึ้นลงได้ ที่สำคัญความอ้วนผอมของแม่นางทั้งหลายไม่แน่นอน ต่อให้จะพอดีกับขนาดแขนของใคร ก็ไม่อาจชี้ชัดได้หรอกว่าทำให้คนผู้นั้น”

เหยาหวงใช้ผ้าเช็ดหน้ากดตรงมุมปากเบาๆ สีหน้ายิ่งสงบนิ่งไม่สะทกสะท้าน

เถิงอวี้อี้ชมดูสีหน้าของเหยาหวง นั่งพักเงียบสงบมาพักหนึ่งแขนขาสี่ข้างของนางก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง โชคดีที่ฝึกเพลงกระบี่ไปแล้วรอบหนึ่ง พลังประหลาดยังไม่ถึงขั้นพลุ่งพล่านไปทั่ว แต่น่าแปลกว่าตั้งแต่เกิดเรื่องจนบัดนี้เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อยังไม่โผล่หน้ามาเลย หรือว่าทำความสะอาดข้างใต้ห้องพระนั้นอยู่ เวลาลิ่นเฉิงโย่วลงโทษศิษย์น้องขึ้นมาไม่เคยออมมือเลยจริงๆ

เปลวไฟสายหนึ่งไร้ซึ่งหนทางระบายออก จะให้วิ่งออกไปฝึกกระบี่ประเดี๋ยวนี้ก็ไม่เหมาะสม ในเมื่อเหยาหวงผู้นี้กล่าววาจาฉะฉานคมกริบ ไยไม่ลองใช้นางมาระบายโทสะดูเล่า

เถิงอวี้อี้ยิ้มจนตาหยีแล้วเอ่ยปาก “ต้าเหนียงทั้งสองพูดได้ไม่เลว กำไลแขนทองคำมีกันเกือบทุกคน หากรูปแบบเรียบง่ายธรรมดา ทำหายไปแล้วอาศัยเพียงรูปลักษณ์ภายนอกคงมองไม่ออก แต่เมื่อก่อนชิงจือมักขโมยเครื่องประดับผู้อื่นอยู่บ่อยๆ พอถึงเวลาตนเองสั่งทำเครื่องประดับบ้างข้าคิดว่านางต้องหาทางป้องกันเรื่องนี้ไว้แน่”

เหยาหวงตะลึงงัน เบนสายตาไปทางเถิงอวี้อี้ ไม่รู้ว่าคิดถึงสิ่งใดขึ้นมาได้จึงพลันตกใจจนหน้าถอดสี

เถิงอวี้อี้จ้องหน้าเหยาหวง มุมปากยกโค้งขึ้นมาอย่างนึกสนุก “หากข้าเป็นนาง จะต้องฝากรอยตราพิเศษเอาไว้ด้านในกำไลแขน เช่นนี้แล้วต่อให้ของถูกใครขโมยหรือพลาดพลั้งทำหล่นหาย ก็สามารถตามหากลับมาได้ในเวลาไม่นาน ซื่อจื่อ ท่านตรวจสอบไปถึงร้านเครื่องประดับแล้ว คิดว่าคงรู้อยู่ก่อนว่ารอยตราที่ชิงจือฝากเอาไว้คืออะไรกระมัง”

เมื่อเถิงอวี้อี้เอ่ยประโยคนี้ออกมา ลิ่นเฉิงโย่วก็คลี่ยิ้มบางๆ

นางแค่นเสียงหึอยู่ในใจ เขารู้อยู่แต่แรกจริงดังคาด กลับรีรอไม่ยอมปริปากเพียงเพราะว่ายังเล่นปาหี่แมวจับหนูไม่สาแก่ใจ

ด้านลิ่นเฉิงโย่วเองก็ไม่แปลกใจสักนิดที่เถิงอวี้อี้สามารถคาดเดาได้ “ด้านในกำไลแขนข้างหนึ่งสลักไว้ว่า ‘เนี่ยอาฝู’ ส่วนด้านในกำไลแขนอีกข้างสลักไว้ว่า ‘เนี่ยอาฉวี’ แม่นางเหยาหวง เมื่อครู่เจ้าบอกว่ากระไรนะ ‘ในสัญญาขายตัวเขียนไว้ชัดเจน’ ใครชื่อเนี่ยอาฝู เจ้าคงไม่หลงลืมแม้กระทั่งชื่อเดิมของตนเองใช่หรือไม่”

ภายในห้องโถงประหนึ่งมีใครโยนก้อนหินยักษ์ร่วงหล่นโครมลงมา ชั่วอึดใจเดียวคลื่นความตกใจถาโถมโหมซัดสาด ทุกคนอุทานเสียงต่ำด้วยความประหลาดใจ สายตามากมายนับไม่ถ้วนพุ่งตรงทิ่มแทงเหยาหวง

เอ้อจีกับว่อจีเอ่ยถามอย่างเหลือเชื่อ “เหยาหวง? เป็นเจ้าจริงรึ”

เหยาหวงขบกัดริมฝีปากล่างแน่น สีหน้าเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ราวกับผ้าสีเทาซอมซ่อ

ลิ่นเฉิงโย่วยกมือไพล่หลังเดินไปเดินมา “เจ้าคิดคำนวณไว้ทุกเรื่องแล้ว มีเพียงเรื่องเดียวที่คิดไม่ถึงคือชิงจือจะไปสั่งทำกำไลแขนคู่นี้ลับหลังเจ้า หลังเกิดเรื่องแม้ว่าเจ้าจะค้นหาของสิ่งนี้จนเจอในห้องของนาง แต่เพราะว่ารีบร้อนเก็บกวาดหลักฐานยืนยันความผิดจึงไม่ทันตรวจดูอักษรที่แกะสลักเอาไว้ในกำไลแขนให้ละเอียด

ข้าคิดว่าสาเหตุที่ชิงจือสั่งทำกำไลแขนคู่นี้ก็เพื่อระลึกถึงการพบกันอีกครั้งของพวกเจ้าพี่น้อง นางเป็นคนที่ไม่มีวันลืมฐานะเดิม ฟังจากเรื่องที่นางยืนกรานว่าตนเองเป็นชาวเยวี่ยโจวในครั้งนั้นก็มองออกแล้ว นางตั้งตารอให้เจ้าไถ่ตัวพวกเจ้าทั้งสองคนออกไปได้ ดังนั้นจึงยอมทำตามที่เจ้าบอกทุกอย่าง เจ้าให้นางทำร้ายแม่นางเก๋อจินจนเสียโฉม นางก็ทำ เจ้าให้นางโยนความผิดให้แม่นางเว่ยจื่อ นางก็ทำ เจ้ารู้สึกว่านางหมดประโยชน์แล้ว จึงนัดแนะนางไปพูดคุยข้างบ่อน้ำในเรือนชั้นใน นางไม่สงสัยอะไรแม้แต่น้อย ถึงจะถูกเจ้าผลักตกลงไปในบ่อน้ำก็ไม่กล้าตะโกนขอความช่วยเหลือ ด้วยเหตุนี้เองทั้งที่ตอนเกิดเรื่องพวกเราอยู่ในห้องพระห่างออกไปไม่ไกลกลับไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวสักนิด”

“ไม่ใช่!” เหยาหวงเงยหน้าขึ้นทันควัน “ข้าไม่ได้ทำร้ายอาฉวีนะ ข้ากับนางพลัดพรากจากกันมาเจ็ดปี กว่าจะจดจำกันได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วข้าจะหักใจทำร้ายนางได้อย่างไร”

พวกเจี้ยนเทียนส่งเสียงโวยวาย “เยี่ยมเลย ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับว่านางเป็นน้องสาวเจ้าแล้ว!”

“หญิงสาวงามบอบบางดั่งบุปผา น้ำมือกลับโหดเหี้ยมปานนี้ ทำร้ายแม่นางสองคนยังไม่พอ แม้แต่น้องสาวแท้ๆ ของตนเองก็ยังลงมือได้”

เหยาหวงนั่งลงกับพื้นอย่างเซื่องซึม น้ำตาไหลทะลักออกมาในพริบตา “ไม่…ไม่…ไม่นะ ไม่ใช่ ข้าไม่ได้ทำร้ายอาฉวี!” นางเงยหน้าขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลน คลานเข่าไปทางปลายเท้าลิ่นเฉิงโย่ว “ซื่อจื่อเจ้าคะ เรื่องมาถึงตอนนี้ข้าน้อยไม่มีสิ่งใดให้ปิดบังแล้ว ท่านพูดมาถูกต้องทุกอย่าง เรื่องพวกนั้นเป็นฝีมือข้าน้อยเอง วิธีการก็เป็นเหมือนที่ท่านว่ามานั่นล่ะ เริ่มจากทำร้ายเก๋อจินเสียโฉม ค่อยฉวยโอกาสโยนความผิดให้เว่ยจื่อ ข้าน้อยอยากหนีออกไปจากกรงขังแห่งนี้มานานแล้ว หลังจดจำอาฉวีได้ก็ยิ่งครุ่นคิดอยากไถ่ตัวพวกเราสองคนอยู่ทุกคืนวัน ฐานะยอดบุปผาแตกต่างจากหญิงสาวดาวเด่นทั่วไป เงินทองที่เก็บออมได้จากการตกรางวัลในปีหนึ่งมีมากมายนับไม่ถ้วน อยากจะหนีไปให้พ้นจากทะเลทุกข์แห่งนี้ นี่เป็นวิธีการที่รวดเร็วที่สุดแล้ว บรรดาหญิงสาวดาวเด่นในผิงคังฟางไม่มีใครไม่อยากเป็นยอดบุปผา แต่หากพลาดโอกาสครั้งนี้ไปครั้งหน้าก็คืออีกสามปีหลังจากนี้ ถึงตอนนั้นข้าก็อายุยี่สิบต้นๆ รอจนถึงวันนั้นความสดใสแรกแย้มร่วงโรย ยิ่งไม่มีความหวังว่าจะเอาชนะผู้ใดได้แล้ว”

ลิ่นเฉิงโย่วร้องอ้อเสียงยืดยาวก่อนเอ่ย “ที่แท้นี่เป็นความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของใครคนหนึ่ง อาศัยการทำร้ายผู้อื่นเพื่อทำสิ่งที่ต้องการให้เป็นจริงก็ได้หรือ ตอนเจ้าวางแผนทำร้ายแม่นางเก๋อจินจนเสียโฉมเคยคิดหรือไม่ว่าเท่ากับทำลายทั้งชีวิตของนาง ตอนโยนความผิดให้แม่นางเว่ยจื่อเคยคิดหรือไม่ว่านางก็มีชาติกำเนิดน่าเห็นใจไม่ต่างจากเจ้าเลย น้ำมือเจ้าโหดเหี้ยมปานนี้กลับพร่ำบอกไม่หยุดว่าตนเองมีความลำบากใจอยู่ เจ้าไม่รู้สึกว่ามันน่าขำหรอกหรือ”

เก๋อจินยกมือปิดปากร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างคับแค้นใจ รอยแผลเป็นบนพวงแก้มเปียกชื้นด้วยหยาดน้ำตายิ่งเป็นสีแดงเข้มน่ากลัว

เหยาหวงแววตาร้อนรนไม่กล้ามองหน้าเก๋อจินโดยตรง ทำได้เพียงหมอบลงด้วยความหวาดกลัว ก่อนโขกศีรษะให้เก๋อจินกับเว่ยจื่ออย่างแรง “เหยาหวงรู้แก่ใจดีว่าทำบาปมหันต์ ไม่กล้าพลิกลิ้นแก้ต่างให้ตนเอง นับตั้งแต่กระทำความผิดใหญ่หลวงก็หวาดวิตกอยู่ตลอดเวลา ไม่มีคืนใดนอนหลับได้สนิทใจ มาวันนี้นอกจากทำไม่สำเร็จสมดังหวังแล้ว ยังต้องสูญเสียน้องสาวแท้ๆ ที่กว่าจะจดจำกันได้ช่างแสนยากเย็นไปด้วย…” นางกัดฟันกรอด “ทั้งหมดนี้เป็นข้าหาเรื่องใส่ตนเอง ข้ายินยอมถูกประหารชีวิตเพื่อไถ่โทษ หนี้แค้นที่ติดค้างพวกเจ้าทั้งสอง คงต้องรอชาติหน้ากลายเป็นวัวเป็นม้าชดใช้แล้ว”

จากนั้นนางก็หันขวับไปโขกศีรษะให้ลิ่นเฉิงโย่ว “เมื่อครู่ไม่ใช่ข้าน้อยไม่ยอมรับโทษ แต่รู้ว่าหากยอมรับโทษก็จะไม่มีใครแก้แค้นให้อาฉวี วันนั้นพอเกิดเรื่องกับอาฉวีข้าน้อยก็รู้ว่านางจะต้องถูกคนทำร้ายเป็นแน่ ความยากลำบากหลายปีมานี้ก็อดทนผ่านพ้นมาได้แล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะตั้งตารอถึงวันที่พี่น้องพบหน้ากัน เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงคิดสั้นฆ่าตัวตายได้ แต่วันนั้นซื่อจื่อกับเจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนต่างบอกว่าอาฉวีฆ่าตัวตาย ข้าน้อยทั้งไม่อาจพูดความจริงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างข้าน้อยกับนาง แล้วก็ไม่อาจหาพยานหลักฐานได้ด้วย แต่ซื่อจื่อ ท่านจะต้องเชื่อข้าน้อยนะเจ้าคะ…” นางร้องไห้คร่ำครวญอย่างเจ็บปวด “ข้าน้อยไม่มีทางทำร้ายอาฉวีแน่นอน…”

ลิ่นเฉิงโย่วขมวดคิ้วไตร่ตรอง เหยาหวงทำร้ายคนไม่ผิดแน่ แต่การตายของชิงจือยังมีจุดที่น่าสงสัยหลายอย่างจริงๆ มองแวบแรกแต่ละอย่างล้วนบ่งชี้ว่าเหยาหวงเป็นคนทำ แต่หากลองคิดให้ละเอียดแล้วกลับรู้สึกได้ว่ามันผิดปกติ ตกลงผิดปกติที่ส่วนใดกันแน่

เหยาหวงคิดว่าจิตใจลิ่นเฉิงโย่วเริ่มสั่นคลอน ก็รีบหมอบต่ำลงอีกครั้ง ก่อนกล่าวอย่างหวาดหวั่นว่า “อาฉวีตายอย่างเป็นปริศนา คนที่ทำร้ายนางจะต้องยังอยู่ในหอแห่งนี้แน่ ซื่อจื่อ ท่านมีสติปัญญาล้ำเลิศ มีแต่ท่านที่จะตามหาได้ว่าคนร้ายคือผู้ใด”

ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยว่า “เงยหน้าขึ้นพูด”

เหยาหวงเงยหน้าขึ้นมาอย่างตกใจระคนยินดี จู่ๆ เบื้องหน้าปรากฏประกายแสงสีส้มสว่างวาบ ลิ่นเฉิงโย่วดีดลูกปัดอาคมออกไปโดยเล็งที่ดวงตาของนาง

คนรอบข้างมองเห็นอย่างชัดเจน อดอุทานออกมาอย่างแผ่วเบาไม่ได้ กระบวนท่านี้จู่โจมฉับพลันยามฝ่ายตรงข้ามพลั้งเผลอ นอกจากเป็นคนมีฝีมือ มิฉะนั้นจะไม่มีทางหลบพ้นได้เด็ดขาด นี่ดูท่าจะแย่แน่แล้ว ดวงตาของเหยาหวงเกรงว่าคงรักษาเอาไว้ไม่ได้อีก

เถิงอวี้อี้ลอบสะดุ้งตกใจ เหยาหวงยอมเอ่ยปากแล้ว ไม่ช้าก็เร็วจะสารภาพหมดเปลือกเอง ในห้องโถงยังมีสหายร่วมงานจากศาลต้าหลี่ เหตุใดลิ่นเฉิงโย่วต้องดีดลูกปัดอาคมใส่ผู้กระทำผิดให้ตาบอดด้วยเล่า

ทันใดนั้นสีหน้าเหยาหวงพลันแสดงอารมณ์หลากหลาย ทว่าร่างกายคล้ายจะหยุดชะงักไม่อาจขยับเขยื้อน

ลูกปัดอาคมเม็ดนั้นพุ่งฉิวไปไวดุจดาวตก อีกเพียงนิดก็จะถึงระยะขนตาเหยาหวงแล้ว เมื่อเห็นว่าใกล้จะโดนลูกปัดเข้าเต็มๆ ห้านักพรตก็กระโดดลุกพรวดขึ้นมาจากที่นั่ง ไม่คิดว่าลูกปัดเม็ดนั้นจะดีดตัวกลับแล้วลอยหายเข้าไปในแขนเสื้อลิ่นเฉิงโย่วตามเดิม

ร่างกายเหยาหวงสั่นสะท้านประหนึ่งตะแกรงร่อนรำข้าว นางทรุดฮวบลงกับพื้นเหมือนโคลนเลน “ซื่อจื่อ ทุกคำพูดของข้าน้อยเป็นความจริงทั้งสิ้น เพราะเหตุใดท่านถึงไม่ยอมเชื่อ”

“ข้าเชื่อสิ เหตุใดข้าจะไม่เชื่อเจ้า” ลิ่นเฉิงโย่วเดินมาหยุดตรงหน้าเหยาหวงแล้วย่อตัวลง “หากคนที่ทำร้ายชิงจือเป็นคนอื่น คนผู้นั้นรู้ว่าเจ้าเป็นพี่สาวแท้ๆ ของชิงจือ ไม่นานจะต้องจัดการเจ้าแน่ ตอนนี้ข้ากับเจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนยังอยู่ คนผู้นั้นคงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม หากเจ้าอยากมีชีวิตรอด ก็รีบบอกทุกอย่างที่เจ้ารู้ออกมาประเดี๋ยวนี้”

ปลายขนตาเหยาหวงยังมีหยาดน้ำตาเกาะพราว ใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มประหลาดใจ “ได้ เช่นนั้นข้าน้อยจะขอสรุปสั้นๆ ว่าถึงแม้ข้าน้อยจะมอบเงินทองให้อาฉวีอยู่บ่อยๆ แต่เพราะกลัวว่าจะกระตุ้นให้ผู้อื่นเกิดความสงสัยจึงไม่เคยมอบเครื่องประดับให้นาง หากไม่ใช่เพราะวันนี้ได้ยินเป้าจูเอ่ยถึง ข้าน้อยก็ไม่รู้เช่นกันว่าอาฉวีลักลอบซ่อนของอะไรเอาไว้ ที่สำคัญก่อนนางจะตายข้าน้อยไม่เคยไปที่ห้องของนาง ข้าน้อยไม่เคยหยิบของพวกนั้นไป…”

นางกล่าวยังไม่ทันจบประโยค อยู่ๆ ในดวงตาก็ถูกย้อมด้วยสีฟ้าครามชวนพิศวง

ลิ่นเฉิงโย่วตกใจหน้าเปลี่ยนสี รีบยกมือขึ้นสกัดจุดชีพจรสำคัญของนาง ก่อนหยิบยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งจากในแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว แล้วบีบขากรรไกรล่างของนางเพื่อป้อนยาเข้าไป

แต่เจ้าสิ่งนั้นแปลกพิสดารยากจะอธิบาย แม้ลิ่นเฉิงโย่วจะลงมือว่องไวปานสายฟ้า สุดท้ายก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง เหยาหวงชักกระตุกล้มลงกับพื้น ประเดี๋ยวเดียวก็แน่นิ่งไม่ไหวติง

 

 

* ปาหินก้อนเดียวได้นกสองตัว หมายถึงการกระทำเพียงหนึ่งอย่างแต่ได้ผลประโยชน์สองต่อ ตรงกับสำนวนไทยว่า ‘ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว’

* คลำแตงตามเถา หมายถึงยึดตามเบาะแสที่มีสืบสาวต่อเนื่องไปจนกระทั่งพบผลลัพธ์

* พิณผีผา เป็นเครื่องดนตรีจีนประเภทเครื่องดีด มี 4 สาย จำพวกเดียวกับกีตาร์ ทำจากไม้ รูปทรงเลียนอย่างลูกผีผา (มะปรางจีน)

 

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนกันยายน 66)

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: