X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหยกรัตติกาลแห่งฉางอัน

ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 35

หน้าที่แล้ว1 of 15

บทที่ 35

เป้าจูเพิ่งจะเดินจากไป เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อก็โผล่มา “คุณชายหวัง พวกเราตั้งใจว่าจะไปที่ศาลเจ้ายืมกระดาษยันต์มาใช้ เวลาล่วงเลยมามากแล้ว ท่านจะไปกับพวกเราด้วยหรือไม่”

เด็กชายทั้งสองท่าทางเซื่องซึม คิดว่าคงยังไม่สบายใจกับเรื่องเมื่อตอนบ่าย

เถิงอวี้อี้เป็นคนที่อยู่เฉยๆ ไม่ได้ นับตั้งแต่รู้ว่าจุดสำคัญของมารผีดิบกับคุณชายเสื้อทองคำอยู่ตรงที่ใด ก็ครุ่นคิดตลอดเวลาว่าจะต้องทำอะไรบางอย่าง พอได้ยินว่าจะไปพบห้านักพรตนางจึงตอบรับอย่างรวดเร็ว “ไปกันเถอะ”

พอเดินเข้าประตูก็มองเห็นม้วนไม้ไผ่วางกองเกลื่อนกลาดอยู่ในศาลเจ้า ห้านักพรตแห่งอารามตงหมิงกำลังก้มหน้าก้มตาหาอะไรบางอย่าง

“เอ๋? คุณชายหวังก็มาด้วยหรือ” เจี้ยนสี่ผลักห่อผ้ากองตรงปลายเท้าออกไป ยิ้มแย้มหน้าระรื่น “เชิญนั่งๆ”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อถามขึ้นว่า “ช่วงบ่ายผู้อาวุโสทุกท่านไปที่ใดมาหรือ ผู้เยาว์ตามหาทั้งในหอหน้าและเรือนหลังอยู่นานก็ไม่พบเลย”

“พวกเราจะไปที่ใดได้ ถ้าไม่ใช่อยู่ด้วยกันกับซื่อจื่อ”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อสะดุ้งตกใจ “อยู่ด้วยกันกับศิษย์พี่?”

เจี้ยนเซียนเห็นสีหน้าของพวกเขาก็กุมท้องหัวเราะลั่นขึ้นมา “มิน่าเล่าศิษย์พี่พวกเจ้าอยู่ว่างๆ ถึงมีเรื่องดุด่าพวกเจ้าเสมอ ในสมองของพวกเจ้าวันวันหนึ่งมัวแต่คิดอะไรอยู่กัน”

เถิงอวี้อี้รู้สึกว่าเรื่องเมื่อบ่ายผิดปกติอยู่ก่อนแล้ว พอได้ยินคำพูดประโยคนี้ก็ไม่แปลกใจ “พวกท่านทุกคนไปช่วยซื่อจื่อกำจัดปีศาจที่ใดมาหรือ”

“ไม่ถือว่ากำจัดปีศาจหรอก เมื่อเช้าชิงจือผู้นั้นไม่ใช่ตายอย่างเป็นปริศนาหรือไร ซื่อจื่อสงสัยว่าจะมีสิ่งชั่วร้ายปะปนเข้ามาในหอ ตอนบ่ายจึงเรียกพวกเราไปช่วยเหลือ”

เจี้ยนเหม่ยกล่าวต่อ “เจ้าสิ่งนั้นเป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจ โดนมารผีดิบบงการกลับไม่รู้ตัว วิธีการแยกแยะภูตผีเช่นปกติพิสูจน์ไม่ได้ จึงต้องใช้วิธีการไม่ปกติมาทดสอบดูน่ะสิ”

ประกายแสงสีขาวสว่างวาบในสมองเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อ ศิษย์พี่ให้คนเตรียมถังอาบน้ำมากเพียงนั้น ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้เอง

“ศิษย์พี่เรียกหญิงสาวในหอทุกคนไปด้วยเพราะอยากจะหาตัวปีศาจ?”

“ไม่อย่างนั้นแล้วจะเรียกไปด้วยเหตุใดเล่า”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเกาศีรษะอย่างคับแค้นใจ โชคไม่ดีที่พวกเขาพูดจาไม่รู้จักหนักเบาไปตั้งมาก คิดว่าศิษย์พี่คงโมโหแทบอกแตกตายแล้ว

เถิงอวี้อี้นึกในใจว่า จะตำหนิว่าเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อคิดเหลวไหลไม่ได้หรอก ลิ่นเฉิงโย่วปิดบังผู้อื่นก็แล้วไปเถอะ แม้กระทั่งศิษย์น้องสองคนก็ยังปิดบังด้วย ทั้งยังกระทำการเอิกเกริกปานนั้น จะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นบุรุษเสเพลก็ไม่เกินเลยไปสักนิด

“ศิษย์พี่คงไม่ได้ละลายยันต์แยกวิญญาณลงในน้ำอาบกระมัง”

“ถูกต้องแล้ว เจ้าสิ่งนั้นแม้จะเรียกว่าเป็นครึ่งคนครึ่งผี แต่ยังหลงเหลือจิตใจอยู่ครึ่งหนึ่ง เมื่อมีทองคำเป็นเหยื่อล่อ จะต้องหาวิธีกลั้นหายใจในน้ำให้นานที่สุดแน่ แต่ในเมื่อนางถูกมารผีดิบใช้งาน ทวารทั้งเจ็ด* คงโดนพลังอินเข้าแทรกซึมไปนานแล้ว ขอเพียงแช่ในถังอาบน้ำนานสักหน่อยจะต้องเผยพิรุธออกมาแน่”

เถิงอวี้อี้ถามด้วยความอยากรู้ “แล้วตามหาคนผู้นั้นเจอหรือไม่”

“ไม่เจอเลย” ห้านักพรตถอนหายใจอย่างฉงนสงสัย “แต่ไหนแต่ไรมาวิธีนี้ใช้ทดสอบคนครึ่งอินครึ่งหยาง ไม่เคยมีครั้งใดผิดพลาด มาวันนี้พอทดสอบดูแล้วกลับไม่มีใครผิดปกติ”

ชี่จื้อนั่งยองแล้วเอามือเท้าคางขบคิด “หญิงสาวในหอถูกตรวจสอบหมดแล้วใช่หรือไม่ หรือว่าจะมีผู้ใดตกหล่นไป”

เจี้ยนเทียนส่ายหน้ากล่าว “ยายเฒ่าที่รับผิดชอบงานทำความสะอาด ซื่อจื่อก็เรียกไปทดสอบด้วย ขนาดเฮ่อหมิงเซิงยังโดนบังคับให้แช่น้ำในถังตั้งนาน คนชราคนหนุ่มสาวถูกตรวจสอบไปรอบหนึ่งแล้ว สุดท้ายยังหาไม่เจอว่าใครผิดปกติ”

เจี้ยนเหม่ยชี้มาทางเถิงอวี้อี้ “ก็ไม่แน่หรอก พวกคุณชายหวังไม่ใช่ว่ายังไม่ได้ไปทดสอบแช่น้ำหรอกหรือ”

“นั่นเพราะพวกนางสามคนไม่มีทางเป็นหุ่นเชิดไปได้” เจี้ยนเล่อพลิกเปิดม้วนไม้ไผ่ในมือ “พวกเจ้าอย่าลืมสิว่าเจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับเก๋อจินเคยถูกปีศาจจับตัวไป ต้องเสี่ยงอันตรายกว่าจะได้รับการช่วยเหลือ ส่วนคุณชายหวังถูกมารผีดิบไล่ล่ามาสองครั้งแล้ว หากมารผีดิบอยากให้พวกนางเป็นหุ่นเชิด ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเช่นนี้เลย อย่างมากเพียงป้อนน้ำลายให้พวกนางกินสักนิดก็สิ้นเรื่อง รับรองว่าต้องเชื่อฟังแต่โดยดีเป็นแน่”

เถิงอวี้อี้ตกตะลึง “วิธีที่มารผีดิบเปลี่ยนคนให้เป็นหุ่นเชิดก็คือการป้อนน้ำลาย?”

เจี้ยนเล่อตบหน้าขาฉาดใหญ่พร้อมหัวเราะลั่น “น่าขยะแขยงมากใช่หรือไม่ น้ำลายของนางเป็นของล้ำค่ามากทีเดียว ปกติป้อนไปคำเดียว ต่อให้คนผู้นั้นมองผิวเผินไม่แตกต่างจากคนธรรมดา ทว่าจิตใจกลับโดนควบคุมจนอยู่หมัดแล้ว”

เถิงอวี้อี้ตัวสั่นขึ้นมาทันใด หากเป็นเช่นนี้ คืนนั้นตอนอยู่ในวังเฉิงอ๋องหลายคนที่ตกเป็นหุ่นเชิดมิเท่ากับเคยกินน้ำลายมารผีดิบเข้าไปรึ นางคิดถึงกู้เซี่ยนจากแคว้นหนานจ้าวผู้นั้น หากเขาตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าโดนมารผีดิบป้อนน้ำลายให้กิน เกรงว่าคงคลื่นไส้จนกินข้าวไม่ลงไปเป็นเดือนเลยกระมัง

“ป้อนน้ำลายมากก็โดนควบคุมได้นาน ป้อนน้ำลายน้อยก็โดนควบคุมได้ไม่นาน วิธีนี้ไม่เพียงหยาบช้าและเห็นผลชัดเจน หุ่นเชิดที่สร้างขึ้นมายังเชื่อฟังคำสั่งเป็นอย่างดีด้วย ต่อให้สุดท้ายจะโดนมารผีดิบคว้านหัวใจ หุ่นเชิดก็จะไม่มีความโกรธแค้น ดังนั้นมารผีดิบจะไม่มีทางเอาหัวใจจากหุ่นเชิด คนที่จะโดนนางเอาหัวใจไปจะต้องเป็นคนที่มีสติรู้ตัว เพราะคนลักษณะนี้เท่านั้นถึงจะมีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา* ถึงได้โดนภาพมายาของมารผีดิบทรมานให้เจ็บปวดแทบทนไม่ไหว”

เจี้ยนสี่เอ่ยต่อว่า “นอกจากนี้ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง ก็คือครั้งก่อนหลังเจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับเก๋อจินถูกช่วยกลับมา ก็ถูกป้อนยาลูกกลอนชำระจิตทันที สำหรับคนที่ตกเป็นหุ่นเชิดมานานยาลูกกลอนชนิดนี้จะไม่มีประโยชน์มากนัก แต่หากเพิ่งโดนมารผีดิบควบคุม ยาเม็ดเดียวก็ทำให้พวกนางได้สติแล้ว”

เถิงอวี้อี้พยักหน้าเงียบๆ มิน่าเล่าลินเฉิงโย่วถึงได้รับปากปล่อยเจวี่ยนเอ๋อร์หลีไปง่ายดายเช่นนั้น ที่แท้ก็ไม่คิดจะเรียกนางเข้าไปทดสอบแช่น้ำอยู่แล้วนี่เอง

นางกล่าวขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ “ในเมื่อคนที่ควรทดสอบก็ทดสอบครบแล้ว หมายความว่าไม่มีสิ่งชั่วร้ายซ่อนอยู่ในหอแล้วมิใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นการตายของชิงจือก็ไม่มีอะไรน่าสงสัยแล้วสิ คงเป็นการกระโดดบ่อฆ่าตัวตายกระมัง”

เจี้ยนเทียนเบะปากทันใด “เมื่อเช้าข้าก็เห็นแล้ว แค่มองศพของชิงจือก็เห็นชัดเจนว่าเป็นการตายเพราะสำลักน้ำ ซื่อจื่อกลับนั่งมองอยู่ข้างศพชิงจือพักหนึ่ง คงจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างบนเสื้อผ้านางได้ แต่ข้างบ่อน้ำทั้งไม่พบวี่แววสิ่งชั่วร้าย แล้วก็ไม่พบร่องรอยการตั้งค่ายกล ข้ายังไม่ทันมองสำรวจศพอย่างละเอียด ขุนนางฝ่ายกฎหมายของอำเภอที่ได้ยินข่าวก็มาถึงอย่างรวดเร็ว ต่อจากนั้นก็ไล่ข้าไปอยู่อีกทางหนึ่ง ไม่อนุญาตให้ข้าเข้าใกล้แล้ว”

เจี้ยนเซียนกล่าวด้วยความงุนงง “เช่นนี้หมายความว่าซื่อจื่อจะต้องพบอะไรบางอย่าง แต่เหตุใดถึงไม่ยอมเอ่ยถึงสักคำเลยเล่า”

“เป็นไปได้ว่าซื่อจื่อคงมีเรื่องที่วิตกกังวลอยู่ ข้าเพียงแปลกใจว่าหากชิงจือถูกใครฆ่าตาย เพราะเหตุใดคนร้ายถึงรอต่อไปอีกสองสามวันไม่ได้ ดึงดันจะถือโอกาสลงมือทั้งที่พวกเรากับซื่อจื่อยังอยู่ คนร้ายไม่กลัวว่าจะเผยช่องโหว่หรือไร”

เถิงอวี้อี้คิดทบทวนแล้วก้มตัวเก็บม้วนไม้ไผ่ตรงปลายเท้าขึ้นมา “คิดว่าคงถึงขั้นต้องลงมืออย่างเลี่ยงไม่ได้แล้ว หากชิงจือไม่ตาย จุดอ่อนของคนผู้นั้นจะถูกเปิดโปงออกมาได้ทุกเมื่อ ชิงจือตายไปแล้ว พวกท่านก็ไม่แน่ว่าจะสืบหาความจริงได้ ข้าคาดเดาว่าคนร้ายคงเดิมพันเรื่องนี้เอาไว้เช่นนี้”

จากนั้นได้ยินเสียงคนจากนอกประตูเอ่ยว่า “คุณชายหวังไม่อยู่ในห้องตนเอง เที่ยววิ่งโร่มานั่งคุยเล่นกับพวกเราถึงที่นี่เลยหรือ”

ทุกคนหันขวับไปมองตามเสียง จึงเห็นบุรุษหนุ่มสวมเสื้อแพรประดับเกี้ยวหยกเดินเข้ามาข้างใน ไม่ใช่ลิ่นเฉิงโย่วแล้วจะเป็นใครได้

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อประหนึ่งบั้นท้ายโดนไฟลวกร้อนผ่าว ต่างกระเด้งตัวลุกพรวดขึ้นมา “ศิษย์พี่!”

ลิ่นเฉิงโย่วสะพายซองธนู ตรงจอนผมมองเห็นเหงื่อไหลซึม พอเข้ามาแล้วชำเลืองมองเถิงอวี้อี้แวบหนึ่ง พร้อมทั้งโยนของที่ถือไว้ลงบนโต๊ะน้ำชาอย่างไม่ใส่ใจ

เถิงอวี้อี้เพ่งมองตามไป เห็นว่าเป็นห่อของขนาดเล็กๆ ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น

เหล่านักพรตถามอย่างแปลกใจ “ซื่อจื่อ นี่ท่านไปที่ใดมาหรือ เหตุใดมองดูเหมือนเพิ่งไปประมือกับใครมาเลยเล่า”

ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยตอบ “กำลังจะพูดกับพวกท่านอยู่นี่อย่างไร เรื่องเกี่ยวกับชิงจือ…” จู่ๆ ก็หันไปทางเถิงอวี้อี้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณชายหวัง เวลาล่วงเลยมามากแล้ว พวกข้าทางนี้ไม่สะดวกจะให้เจ้าอยู่ที่นี่ เชิญเจ้ากลับไปเถอะ”

เถิงอวี้อี้นึกแปลกใจว่าเหตุใดลิ่นเฉิงโย่วเป็นฝ่ายเอ่ยถึงชิงจือขึ้นมาก่อน พอเห็นแววตายั่วยุยียวนก็เข้าใจกระจ่าง คงเป็นเพราะได้ยินคำพูดเหล่านั้นของนางตอนอยู่หน้าประตู รู้ว่านางสงสัยเรื่องนี้อยู่ถึงจงใจเอ่ยปากแต่กลับไม่พูดอะไรต่อ คำสั่งไล่แขกก็ออกมาแล้ว แม้ว่านางจะอยากรู้จนหัวใจคันยุบยิบก็ต้องจากไปอยู่ดี

ชี่จื้อกล่าวด้วยความลำบากใจ “ศิษย์พี่ ตอนนี้ก็มืดค่ำแล้ว มารผีดิบอาจบุกเข้ามาอาละวาดได้ทุกเมื่อ คุณชายหวังอยู่ในห้องผู้เดียวเกรงว่าจะไม่เหมาะ ต้องให้พวกเรากลับไปพร้อมกันเลยหรือไม่ขอรับ แต่พวกเรายังอยากอยู่กับศิษย์พี่ต่ออีกสักหน่อย”

“พวกเจ้าต้องอยู่ต่อ นับตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปตั้งใจเรียนรู้ทำตัวสงบเสงี่ยมสักหน่อย จะได้ไม่โดนผู้อื่นยุยงไม่กี่ประโยคก็ลืมกระทั่งว่าตนเองเป็นศิษย์อารามชิงอวิ๋น!”

ขณะที่เขาเอ่ยประโยคนี้ก็เผยรอยยิ้มระบายเต็มใบหน้า แต่นัยน์ตานิ่งขรึมราวกับเคลือบเกล็ดน้ำค้างแข็งเอาไว้

เจวี๋ยเซิ่งตกใจจนหดคอหนีโดยพลัน รีบบอกใบ้ให้ชี่จื้อรู้ว่าอย่าพูดอะไรต่อไปอีกเลย มองไม่เห็นหรือว่าศิษย์พี่ยังโกรธไม่หาย พอเดินเข้ามาก็หาเรื่องคุณหนูเถิง ตอนนี้พวกเขาเป็นพระโพธิสัตว์ดินเหนียวข้ามแม่น้ำเอาตัวไม่รอด* คุณหนูเถิงจะแย่อย่างไรยังมีกระดิ่งเสวียนอินที่ศิษย์พี่มอบให้ หากมารผีดิบบุกมาจริง ทันทีที่กระดิ่งเสวียนอินบนข้อมือคุณหนูเถิงสั่นไหวศิษย์พี่ก็จะรีบไปอยู่แล้ว

ไม่คาดคิดว่าเถิงอวี้อี้นอกจากจะไม่ไปแล้ว กลับยิ้มแย้มหวานหยดแล้วนั่งลง “ซื่อจื่อ ข้าน้อยมาเพราะมีเรื่องสำคัญจะบอกกล่าว กว่าจะรอจนซื่อจื่อโผล่หน้ามาไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่คิดว่าซื่อจื่อเพิ่งมาถึงก็จะไล่ข้าน้อยไปแล้ว ข้าน้อยเดินจากไปไม่เป็นไรหรอก แต่เรื่องเกี่ยวพันถึงวิธีการกำจัดมารผีดิบ ไม่พูดออกไปเกรงว่าจะเสียงานได้”

ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยปากยิ้มๆ “ข้าไม่รู้เลยว่าคุณชายหวังยังกำจัดมารผีดิบได้ด้วย หากเจ้ามีวิธีดีๆ รับมือมารผีดิบได้จริง ก็ปกป้องตนเองได้แล้วสิ ยังต้องให้อารามชิงอวิ๋นกับอารามตงหมิงคุ้มครองอีกด้วยหรือ”

“ข้าน้อยก็เพิ่งรู้วิธีนี้มาเมื่อช่วงบ่าย หากลองทำตามวิธีการนี้ดู บางทีอาจกำจัดมารผีดิบได้อย่างราบรื่นก็ได้”

ลิ่นเฉิงโย่วไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว มารผีดิบเป็นถึงเจ้าแห่งสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง ผู้อาวุโสที่มีอาคมเต๋าสูงส่งตั้งไม่รู้เท่าใดยังหาวิธีจัดการไม่ได้ สองสามวันมานี้เถิงอวี้อี้โดนกักตัวอยู่ในหอไฉ่เฟิ่ง จะไปสืบหาวิธีการล้ำเลิศนั้นมาจากที่ใด สตรีนางนี้เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว พลาดพลั้งไปสักนิดก็จะโดนนางวางแผนเอาคืน เมื่อบ่ายเพิ่งยุยงให้เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อมาทะเลาะกับเขาเพื่อปกป้องคนของตน หากกล่าวการยั่วยุผู้อื่นให้ไฟโทสะลุกโชนเรียกว่าเก่งกาจเป็นที่หนึ่ง เวลานี้ไม่มีอันใดทำก็โผล่มาแสดงความขยันขันแข็ง ผู้ใดจะรู้ว่านางกำลังคิดคำนวณอะไรอยู่ในใจอีก

หากเป็นยามปกติเขาก็พอมีเวลามาต้อนรับขับสู้นางอยู่ แต่ตอนนี้เขาทั้งเหนื่อยทั้งหิว ไม่มีกะจิตกะใจจะทำสิ่งใดทั้งนั้น

ก็แค่ไม่ยอมจากไปมิใช่หรือ ข้าย่อมมีวิธีอื่นมาจัดการนางอยู่แล้ว

เขาหันหลังเดินไปอีกทางหนึ่ง ระหว่างเดินไปก็ถอดซองธนูสะพายหลังลงมา

คราแรกเถิงอวี้อี้ยังรอให้ลิ่นเฉิงโย่วซักถาม มองไปเรื่อยๆ ก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติแล้ว ห้องโถงข้างวางเบาะที่นอนหนาๆ เอาไว้ มองดูแล้วน่าจะเป็นพื้นที่นอนหลับพักผ่อนยามค่ำคืน สองวันนี้ลิ่นเฉิงโย่วคงนอนในศาลเจ้าเพื่อที่จะตามจับปีศาจได้สะดวก

ลิ่นเฉิงโย่วเดินไปถึงหน้าเบาะที่นอน ล้มตัวลงไปข้างหน้าอย่างเกียจคร้าน “สองสามวันมานี้ข้าเหนื่อยแทบตายแล้ว ตอนกลางคืนยังต้องวิ่งวุ่นอีก นอนพักสักงีบก่อนแล้วกัน”

เหล่านักพรตต่างตกใจ

เถิงอวี้อี้พลันหน้าแดงก่ำ ผุดลุกขึ้นมาทันใด

ลิ่นเฉิงโย่วคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ยียวน ก่อนพลิกตัวลุกขึ้นมานั่ง แสร้งทำท่าจะถอดรองเท้า “คุณชายหวังอย่าเพิ่งไปสิ ก็แค่เห็นข้าตอนนอนหลับเองไม่ใช่หรือ ข้าไม่ถือสาเลยแม้แต่น้อย กลัวแต่ว่าแพร่งพรายออกไปแล้วจะไม่เป็นผลดีกับชื่อเสียงคุณชายหวังน่ะสิ”

เถิงอวี้อี้ลอบกัดฟันกรอด หันหลังให้ลิ่นเฉิงโย่วแล้วเร่งฝีเท้าเดินออกไปข้างนอก “ในอดีตมีวิธีหนึ่งเคยใช้กำราบราชาผีดิบแคว้นหนานจ้าวสำเร็จมาแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับวิชาเต๋า นับเป็นวิธีการแปลกใหม่อีกทางหนึ่ง น่าเสียดายซื่อจื่อไม่อยากฟัง ข้าน้อยยังต้องพูดจามากความไปด้วยเหตุใดกัน เอาเถิด ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยก็ขอตัวก่อน”

เดิมทีลิ่นเฉิงโย่วไม่ได้คิดจะปลดเข็มขัดถอดเสื้อจริงหรอก เพียงแค่อยากวางมาดข่มขวัญเถิงอวี้อี้เท่านั้น พอได้ยินนางเอ่ยถึงราชาผีดิบแคว้นหนานจ้าวสองมือก็หยุดชะงักการเคลื่อนไหว

หรือว่านางจะล่วงรู้วิธีดีๆ อะไรมาจริง

เขารีบปั้นหน้ายิ้มแย้ม “คุณชายหวังอย่าลืมเสียเล่า หากมารผีดิบยังไม่โดนจับ คนแรกที่จะต้องเคราะห์ร้ายก็คือเจ้า”

เถิงอวี้อี้ก็หัวเราะออกมา แต่ไม่คิดจะหยุดฝีเท้าลง “ต่อให้ข้าน้อยตายไปแล้ว ซื่อจื่อยังต้องรับมือมารผีดิบอยู่ดีไม่ใช่หรือ ทั้งที่มีวิธีดีๆ เป็นต้นแบบอยู่ซื่อจื่อกลับไม่อยากฟัง ถึงอย่างไรพวกท่านก็มีความสามารถน่าอัศจรรย์อยู่แล้ว คิดว่าไม่หวังให้ผู้อื่นมาช่วยเสนอแผนการ อย่างมากก็เหน็ดเหนื่อยไปอีกไม่กี่รอบ สุดท้ายแล้วสักวันหนึ่งคงปราบปีศาจสองตนนั้นได้เอง”

ลิ่นเฉิงโย่วไอค่อกแค่กคำหนึ่ง ใช้สายตาสื่อสารบอกเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อให้ไปขวางเถิงอวี้อี้เอาไว้

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อกัดฟันวิ่งตามไป “คุณชายหวัง โปรดหยุดก่อน”

เถิงอวี้อี้เดินอ้อมเด็กชายสองคนออกไป “ไม่ต้องรั้งข้าเอาไว้เลย ศิษย์พี่ของพวกท่านมาทำกิริยารุ่มร่ามใส่ข้าก่อน นอกจากจะมากล่าวขออภัยต่อข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อรีบเข้าไปล้อมนางไว้อีก ทว่าก็จนปัญญาเพราะเถิงอวี้อี้ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไป

ลุงเฉิงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็เข้ามาขวางหน้าเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อ กล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยนเป็นมิตร “ท่านนักพรตทั้งสอง รบกวนหลีกทางด้วย”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อตะลึงงัน ลุงเฉิงเป็นบ่าวผู้ภักดีของจวนสกุลเถิง ภายนอกท่าทางสุภาพเป็นกันเอง ความจริงแล้วนิสัยเด็ดเดี่ยวมีไหวพริบ หากยังขัดขวางไม่ยอมให้คุณหนูเถิงจากไปอีก สองฝ่ายจะต้องเกิดความบาดหมางต่อกันแน่

เด็กชายทั้งสองทำอะไรไม่ถูก มองไปทางลิ่นเฉิงโย่วคล้ายจะขอความช่วยเหลือ

โดยปกติเหล่านักพรตช่างเจรจาพาที เวลานี้กลับสงบปากสงบคำอย่างจงใจ ลิ่นเฉิงโย่วเป็นฝ่ายล่วงเกินผู้อื่น จะจบเรื่องก็ควรต้องจัดการเองไม่ใช่หรือ

ลิ่นเฉิงโย่วลุกขึ้นมานานแล้ว เขายิ้มกว้างแล้วเดินทอดน่องเข้ามาใกล้เถิงอวี้อี้ “คุณชายหวัง เจ้ากินอาหารมาหรือยัง”

เถิงอวี้อี้เลิกคิ้วเรียวงามขึ้นเล็กน้อย ดูจากนิสัยโอหังถือดีปานนั้นของลิ่นเฉิงโย่ว จะให้เขาก้มหน้ายอมรับผิดกลัวว่าจะยากเย็นยิ่งกว่าการปีนป่ายขึ้นสวรรค์เสียอีก ถามเช่นนี้กะทันหัน คงอยากจะกลบเกลื่อนเรื่องเมื่อครู่นี้ไปง่ายๆ กระมัง

นางเอ่ยตอบอย่างเฉยชา “ท่านช่วยเตือนพอดี ข้าน้อยกำลังจะกลับไปกินอาหาร”

เมื่อกล่าวจบแล้วนางก็ย่างเท้าเดินต่อทันที

“บังเอิญถึงเพียงนี้เชียว ข้าก็หิวแล้ว” ลิ่นเฉิงโย่วหน้าหนาหาใดเปรียบ อมยิ้มพลางขวางเถิงอวี้อี้ไว้ “ข้าเป็นห่วงว่าตอนกลางคืนปีศาจสองตนจะบุกเข้ามา เพิ่งสั่งเถ้าแก่เฮ่อให้เตรียมสุราอาหารโต๊ะใหญ่ หากคุณชายหวังยินดีให้เกียรติร่วมโต๊ะ ข้าจะให้พวกเขาส่งสุราหลงเกาที่คุณชายหวังชอบดื่มมาเพิ่มด้วย”

ประกายในดวงตาเถิงอวี้อี้ไหววูบ ลิ่นเฉิงโย่วนับเป็นคนยืดได้หดได้ คงเพราะมั่นใจว่านางจะต้องหวั่นไหว ถึงกับนำสุราหลงเกามาเจรจาสงบศึกกับนาง สุราชนิดนี้ราคาแพงเกินไป ตัดใจเรื่องค่าสุราได้เพียงใดก็ไม่อาจดื่มได้ทุกวัน นางยอมรับว่าจิตใจหวั่นไหวแล้ว มิหนำซ้ำเดิมทีก็ไม่คิดจะจากไปอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงแสร้งถามอย่างไม่เต็มใจนัก “กี่กาหรือ”

ลิ่นเฉิงโย่วเพ่งพินิจมองเถิงอวี้อี้ สตรีนางนี้ดวงตาสีดำขลับเป็นประกาย มองปราดเดียวก็รู้ว่ามีความคิดชั่วร้ายอยู่ คาดการณ์ไว้แต่แรกว่านางต้องโลภไม่รู้จักพอแน่ แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คิดไว้ นางมั่นใจว่าเขาจะต้องอยากรู้วิธีนั้น ถึงได้ไร้ความหวั่นเกรงเพราะมีไม้ตายอยู่ในมือ

หากเป็นเมื่อก่อนจะมีคนกล้าบังคับขู่เข็ญเขาอย่างนี้หรือ ไม่รอให้คนผู้นั้นมาวางแผนทำร้าย เขาคงทำให้ฝ่ายตรงข้ามเดือดร้อนแสนสาหัสไปนานแล้ว น่าเสียดายมารผีดิบเจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัดเกินไป เขาไม่อยากพลาดโอกาสที่จะจัดการกับเจ้ามารตนนี้ อีกอย่างเมื่อครู่ก็นับว่าเขาหยอกเย้านางเกินงาม ดูจากคนนิสัยเช่นนางจะต้องไม่ยอมเลิกราโดยง่าย ก็แค่สุราไม่กี่กาเองไม่ใช่หรือ ขอเพียงสืบพบเบาะแสที่เป็นประโยชน์ได้ นางชอบดื่มสุราก็ให้นางดื่มไปสิ

“ในเมื่อข้าจะเป็นเจ้าภาพ คุณชายหวังอยากดื่มเท่าไรก็เชิญได้เลย”

เถิงอวี้อี้ยิ้มกว้างด้วยความพอใจ “ความปรารถนาดีของซื่อจื่อข้าไม่อยากจะปฏิเสธ ลุงเฉิง หาได้ยากที่ซื่อจื่อจะต้อนรับอย่างมีน้ำใจไมตรีเช่นนี้ ท่านไปเรียกฮั่วชิวมาด้วย คืนนี้พวกเรานายบ่าวจะกินอาหารกันที่นี่แล้ว”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อดีใจเหลือเกิน คนหนึ่งเดินไปที่หอหน้าสั่งกำชับห้องครัวให้เตรียมอาหารอย่างเบิกบานใจ ส่วนอีกคนหนึ่งยุ่งกับการทำความสะอาดเบาะที่นั่ง

ลิ่นเฉิงโย่วดึงตัวชี่จื้อเอาไว้ แล้วส่งของห่อนั้นที่วางบนโต๊ะก่อนหน้านี้ให้เขา “ให้ห้องครัวเอาสิ่งนี้ไปต้มน้ำแกงแล้วยกมา เจ้าคอยจับตาดูอยู่ข้างๆ ด้วย”

พวกเจี้ยนเทียนชะโงกมองคอยาว ก่อนตกตะลึงหน้าถอดสีไปฉับพลัน “รากวิญญาณหยกเพลิง!”

เถิงอวี้อี้รู้สึกฉงนสงสัย รากวิญญาณหยกเพลิงคือสิ่งใดกัน

เหล่านักพรตวิ่งกรูกันเข้าไปห้อมล้อมข้างกายลิ่นเฉิงโย่ว มองดูไปพลางส่งเสียงอุทานแสดงความประหลาดใจ “เป็นรากวิญญาณหยกเพลิงจริงๆ ด้วย ‘สระหยกน้ำใสหลั่งไหลสู่รากวิญญาณ’ แต่ไหนแต่ไรมาเคยเห็นชื่อนี้แค่ใน ‘คัมภีร์เหวินชิงอวี้ซ่าน’ วันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ว่ากันว่าในอดีตท่านเยี่ยนหมิงนำของสิ่งนี้กลับมาจากแคว้นผอหลัว ใช้อาคมเต๋าเพาะปลูก ผ่านร้อนผ่านหนาวกว่าร่วมสิบปีถึงจะแตกกิ่งออกมาสักกิ่ง ดื่มน้ำแกงจากมันแล้วไม่เพียงช่วยขจัดโรคภัยยืดอายุขัย ยังมีสรรพคุณช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้ายด้วย”

เจี้ยนเทียนกวักมือเรียกเถิงอวี้อี้อย่างยินดีปรีดา “คุณชายหวังมานี่เร็วเข้า รู้อยู่ว่าท่านถือกำเนิดในตระกูลขุนนางใหญ่ ที่ผ่านมาคงเคยพบเห็นอะไรมาไม่น้อย แต่ข้ากล้าพนันได้เลยว่าท่านไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อนอย่างแน่นอน”

เถิงอวี้อี้เดินเข้าไปพินิจพิจารณาโดยละเอียด มองเห็นว่ากลางฝ่ามือข้างขวาของลิ่นเฉิงโย่วถือของสิ่งหนึ่งมีรูปร่างคล้ายร่มเห็ดขนาดใหญ่ มองแวบแรกดูเหมือนเห็ดหลิงจือ แต่ของสิ่งนี้แยกออกเป็นสองสีอย่างชัดเจน หมวกเห็ดด้านบนสีเข้มดุจเปลวเพลิง ส่วนก้านด้านล่างกลับเปล่งประกายเย็นเยียบดั่งหยกขาว สีแดงกับสีขาวต่างขับเน้นความโดดเด่นของอีกฝ่าย ราวกับน้ำแข็งและเปลวเพลิงหลอมรวมอยู่ด้วยกัน

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อลูบศีรษะเบาๆ “ที่แท้ศิษย์พี่เพิ่งไปเอาเจ้าสิ่งนี้มานี่เอง พอกินมันเข้าไปแล้วจะช่วยให้รับมือมารผีดิบง่ายขึ้นบ้างใช่หรือไม่ขอรับ”

ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยตอบ “ไม่ได้น่าอัศจรรย์ปานนั้น แต่ก็มีสรรพคุณช่วยปกป้องคุ้มครองอยู่ ดื่มน้ำแกงของมันแล้วชีพจรหัวใจจะได้รับการปกป้องจากฤทธิ์ยา ต่อให้โดนปีศาจทำร้ายบาดเจ็บ ก็จะโชคดีรอดตายมาได้ แต่น่าเสียดายยาออกฤทธิ์สั้นเหลือเกิน อย่างมากที่สุดคงอยู่ได้เพียงสามวันเท่านั้น”

“สามวันเพียงพอแล้ว” เหล่านักพรตดีใจจนเนื้อเต้น ไหนเลยจะคิดมากถึงเพียงนั้น “หลายปีมานี้ไม่รู้ว่ามีผู้คนมากมากเท่าใดออกตามหารากวิญญาณหยกเพลิง น่าเสียดายเนื้อหาในคัมภีร์เล่มนั้นหายสาบสูญไปครึ่งหนึ่ง คนทั่วหล้าทั้งไม่รู้ว่ามันถูกปลูกเอาไว้ที่ใด แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าจะต้องกินเข้าไปอย่างไร มาวันนี้เข้าใจทุกอย่างแล้ว ที่แท้เอามาต้มน้ำแกงดื่มนี่เอง ซื่อจื่อ ของหายากระดับนี้ท่านไปได้มาจากที่ใดหรือ”

พอกล่าวจบแล้วถึงรู้สึกว่าประโยคนี้ไม่จำเป็นต้องถามเลย สมุนไพรล้ำค่าระดับนี้จะหาพบข้างนอกได้อย่างไร คาดว่าคงไปเอามาจากในวังหลวง จะว่าไปแล้วด้วยนิสัยดื้อรั้นเกเรไม่มีใครเทียมของลิ่นเฉิงโย่ว ตราบใดที่เขาตั้งใจตามหา ไม่ว่าจะสมุนไพรเซียนที่ลอยล่องบนฟ้า หลบซ่อนอยู่บนพื้นดิน งอกงามอยู่ในภูเขาลึก หรืออยู่กับมังกรสีชาดที่อยู่ใต้น้ำ ก็ไม่มีสิ่งใดที่เขาจะหามาไม่ได้

ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยว่า “ปีศาจสองตนนี้ซุ่มเงียบมาสองวันเต็มแล้ว ทั้งในเมืองและนอกเมืองไร้ความเคลื่อนไหว เรื่องนี้ผิดปกติอย่างยิ่ง คำนวณวันที่ออกจากค่ายกลดู อย่างช้าที่สุดภายในสองวันนี้พวกมันจะต้องออกมาก่อความวุ่นวาย เพื่อป้องกันไม่ให้มีอะไรผิดพลาดข้าจึงสั่งคนให้ไปเอาเจ้าสิ่งนี้มาโดยเฉพาะ ชี่จื้อ เอาไปที่ห้องครัวเถอะ”

เหล่านักพรตดีใจเป็นล้นพ้น “ดีๆๆ ใครจะคิดว่าตอนยังมีชีวิตอยู่จะได้กินน้ำแกงเคี่ยวจากรากวิญญาณหยกเพลิงสักครั้งหนึ่ง”

ชี่จื้อถือรากวิญญาณหยกเพลิงจากไปอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ ทุกคนช่วยกันเก็บกวาดศาลเจ้าเล็กๆ แห่งนี้ ไม่นานนักก็ทำความสะอาดพื้นที่ส่วนใหญ่เสร็จเรียบร้อย เพียงแต่ทางห้องครัวปรุงอาหารชักช้ายิ่ง รอจนกระทั่งบรรดาสาวใช้จัดวางชามตะเกียบเสร็จและกลับออกไปแล้วอาหารก็ยังไม่ยกมาตั้งโต๊ะ

ทุกคนเดินอ้อมโต๊ะน้ำชามานั่งประจำที่ ลำดับที่นั่งก็ไม่มีการแบ่งแยกยศศักดิ์ ลุงเฉิงกับฮั่วชิวพยายามปฏิเสธสุดกำลัง แต่จนใจที่ห้านักพรตยืนกรานลากพวกเขามานั่งด้วยให้ได้ พอเห็นว่าลิ่นเฉิงโย่วกับเถิงอวี้อี้ไม่มีความเห็นเป็นอื่น ก็เลยต้องตอบรับคำเชิญนั่งร่วมโต๊ะ

เมื่อเป็นเช่นนี้บรรยากาศภายในศาลเจ้าจึงสนุกสนานครื้นเครง เนื่องจากประตูหน้าต่างเปิดกว้าง พอเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นสวนท่ามกลางความมืดยามราตรี สายลมโชยแผ่วโอบล้อม จันทร์เต็มดวงขมุกขมัว ทิวทัศน์มีเสน่ห์น่ารื่นรมย์

เจี้ยนเล่อจิบสุราหลงเกาอย่างอิ่มเอมพลางกล่าว “คุณชายหวัง วิธีจัดการมารผีดิบที่ท่านพูดถึงนั้นคืออะไรกัน ในใจข้าอึดอัดเหมือนโดนแมวข่วน ท่านก็อย่าเก็บเงียบไว้ผู้เดียวเลย รีบเล่าให้พวกเราฟังเถอะ”

เถิงอวี้อี้เอ่ยยิ้มๆ “ในอดีตเมื่อครั้งราชาผีดิบในแคว้นหนานจ้าวออกอาละวาด ผู้ที่กำราบมันได้ไม่ใช่ภิกษุนักบวช แต่เป็นพลทหารในค่าย วิธีการนี้ไม่เกี่ยวข้องกับวิชาเต๋า จะว่าไปช่างธรรมดาสามัญนัก”

“วิธีธรรมดาสามัญ ทั้งยังไม่เกี่ยวข้องกับวิชาเต๋า?” น้ำเสียงลิ่นเฉิงโย่วฉายแววเยาะหยัน “คุณชายหวังคงจะไม่บอกว่าพวกเขาถอนเขี้ยวคู่นั้นของมันกระมัง”

เถิงอวี้อี้คลี่ยิ้มบางๆ “ใช่แล้ว มารผีดิบเจาะจงบุกค่ายทหาร แต่ละคืนเข่นฆ่าทหารไปร่วมสิบนาย ภายหลังมีหมอผีเสนอแผนการรับมือ ท่านแม่ทัพจึงสั่งคนให้หาสายพิณแหลมคมมาสองเส้นมาผูกเป็นบ่วง ทางหนึ่งคล้องกับเขี้ยวราชาผีดิบไว้ ส่วนอีกด้านให้เหล่าทหารกล้าร่วมกันออกแรงกระชากเขี้ยวคู่นั้นหลุดออกมา”

ลิ่นเฉิงโย่วสีหน้าแปลกพิกล เหล่านักพรตก็ตกตะลึงพูดไม่ออก

เถิงอวี้อี้กวาดสายตามองจากซ้ายไปขวารอบหนึ่ง ความคลางแคลงผุดขึ้นมาในใจ “เรื่องนี้มีอะไรไม่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ”

ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มเยาะ “คุณชายหวัง เรื่องนี้ท่านไปได้ยินมาจากที่ใดกัน”

เถิงอวี้อี้กะพริบตาปริบๆ ลุงเฉิงเป็นคนสุขุมรอบคอบมาตลอด ไม่มีทางพูดโกหกกับเรื่องเช่นนี้เด็ดขาด แต่เพราะเหตุใดแววตาพวกลิ่นเฉิงโย่วจึงแปลกไปเช่นนี้

“เรียนซื่อจื่อ” ลุงเฉิงเป็นฝ่ายลุกขึ้นคำนับ “เรื่องนี้ข้าน้อยเป็นคนเล่าให้คุณชายฟังเอง ตอนนั้นข้าน้อยมีสหายเก่าผู้หนึ่งชื่อถานซวิน หลายปีก่อนเคยติดตามกองทัพไปประจำการชายแดนแถบแคว้นหนานจ้าวระยะหนึ่ง ข่าวลือเกี่ยวกับราชาผีดิบเขาก็เล่าให้ข้าน้อยฟังหลังกลับมาฉางอันแล้ว ตามที่ถานซวินเล่ามาหลังราชาผีดิบโดนถอนเขี้ยวแล้วร่างสลายกลายเป็นน้ำหนองกองหนึ่งทันที หลังจากนั้นไม่มีมารผีดิบออกอาละวาดอีกเลย คำพูดของเขาหนักแน่นน่าเชื่อถือ กล่าวว่าตนเองเห็นมากับตา แต่ข้าน้อยไม่เคยสืบหารายละเอียด เรื่องนี้ผ่านไปกว่าสิบปีแล้ว วันนี้ได้ยินทุกท่านเอ่ยถึงเขี้ยวของมารผีดิบข้าน้อยถึงนึกมาได้ว่าเคยมีเรื่องเช่นนี้อยู่ด้วย”

ลิ่นเฉิงโย่วกับเหล่านักพรตสบตากันแวบหนึ่ง บนโต๊ะอาหารเงียบเสียงลงอย่างประหลาด

เถิงอวี้อี้เอ่ยถามด้วยความสงสัย “มีตรงที่ใดผิดปกติหรือ”

ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มเย้ยหยัน “เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้”

ลุงเฉิงสีหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย “ซื่อจื่อ ทุกคำที่ข้าน้อยพูดมาเป็นความจริงทั้งสิ้น…”

ลิ่นเฉิงโย่วอธิบายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าไม่ใช่จะสงสัยว่าเจ้าโกหก แต่ไม่ว่ามารผีดิบหรือราชาผีดิบ เขี้ยวเป็นจุดสำคัญของพวกมันทั้งนั้น เมื่อใดโดนถอนออกไปก็จะสลายกลายเป็นน้ำหนองกองหนึ่งอย่างที่เจ้าว่า เพื่อรักษาชีวิตตนเองเอาไว้พวกมันจึงฝึกฝนให้เขี้ยวคู่นั้นแข็งแกร่งดั่งก้อนหิน ไม่ว่าจะไฟเผา มีดฟัน สายฟ้าฟาด เชือกดึง ก็สร้างความเสียหายให้มันไม่ได้เลย คนรุ่นก่อนก็เคยลองใช้เหล็กหลอมเป็นเชือกเส้นบางๆ มาถอนเขี้ยว สุดท้ายก็พ่ายแพ้ยับเยิน ดังนั้นเรื่องที่คนชื่อถานซวินนั่นเล่ามา บอกว่าใช้สายพิณสองเส้นก็สามารถถอนเขี้ยวของราชาผีดิบได้จึงไม่น่าเชื่อถือเลยจริงๆ อย่าว่าแต่วิธีที่ว่าจนทุกวันนี้ยังไม่เคยมีใครทำสำเร็จเลย สายพิณเดิมทีก็ขาดง่ายอยู่แล้ว จะใช้ดึงสิ่งที่แข็งแกร่งระดับนี้ได้อย่างไร”

เถิงอวี้อี้หัวใจเต้นโครมครามขึ้นมาโดยพลัน จู่ๆ ก็นึกถึงเส้นไหมในมือคนประหลาดที่ฆ่านางในชาติก่อนได้ มองดูว่าบางเฉียบถึงเพียงนั้น กลับสามารถเฉือนหนังตัดกระดูกได้ เพียงแต่อย่างหนึ่งเป็นเส้นไหม อีกอย่างหนึ่งเป็นสายพิณ

“ข้าว่าเจ้าคนแซ่ถานนั่นพูดโกหกแน่ๆ” เจี้ยนเล่อกล่าวด้วยความไม่พอใจ “อิทธิฤทธิ์ราชาผีดิบห่างชั้นกับมารผีดิบอยู่นะ ไม่แน่ว่าชาวหนานจ้าวอาจใช้วิธีอะไรสักอย่างปราบมันแล้วผู้คนในท้องที่แถวนั้นกลับเอาไปเล่าลือกันปากต่อปากแบบผิดๆ จนกลายเป็นเรื่องเหลวไหลเกินจริง”

“เป็นเรื่องเหลวไหลเกินจริงหรือไม่ ตามหาถานซวินผู้นี้ให้เจอก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ” ลิ่นเฉิงโย่วหันไปมองลุงเฉิง “พ่อบ้านเฉิง ตอนนี้เขายังอยู่ในฉางอันหรือไม่”

ลุงเฉิงตอบอย่างเยือกเย็น “ข้าน้อยก็ไม่ทราบ ได้ยินว่าไม่กี่ปีก่อนถานซวินลาออกจากตำแหน่งกลับไปพักผ่อนอยู่บ้านเพราะอาการบาดเจ็บที่เอว อาศัยอยู่ที่อันเต๋อฟางทางทิศใต้ของฉางอันมาตลอด แต่ข้าน้อยไม่ได้ไปมาหาสู่กับเขานานแล้ว จึงไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”

“ข้าจะให้คนไปสืบข่าวดู หากเขายังอยู่ในฉางอัน อีกสองวันก็คงได้ข่าวแล้ว”

ลิ่นเฉิงโย่วชำเลืองมองเถิงอวี้อี้ นางท่าทางผิดปกติมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว สีหน้าซีดขาวเห็นได้ชัดว่ามีเรื่องในใจ “คุณชายหวัง?”

เถิงอวี้อี้ยกแขนเสื้อบังแล้วจิบสุราคำหนึ่ง คลี่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ประเด็นที่ไม่สมเหตุผลที่สุดของเรื่องนี้ก็คือสายพิณคู่นั้น แต่หากบนโลกนี้มีอาวุธที่คมกริบปานนี้จริงเล่า ถึงแม้จะบางเฉียบดั่งสายฝนก็สามารถเฉือนหนังตัดกระดูกได้ มีความยืดหยุ่นบิดเป็นเกลียว และแน่นเหนียวไม่ด้อยไปกว่าของวิเศษ ไยไม่ลองสืบหาที่มาที่ไปของ ‘สายพิณ’ ที่ว่านี้ดูสักหน่อย หากสืบหาพบว่ามีอยู่จริง ยังต้องกังวลว่าจะไม่มีวิธีรับมือมารผีดิบอีกหรือ”

เจวี๋ยเซิ่งจิตใจว้าวุ่นสับสนไปชั่วขณะ นึกถึงภาพวาดที่เถิงอวี้อี้เคยให้พวกเขาดูในคืนนั้นขึ้นมาได้กะทันหัน ในภาพวาดเป็นเส้นไหมที่บางเฉียบดั่งสายฝนเส้นหนึ่งพอดี ‘เส้นไหม’ นี้คงไม่เกี่ยวข้องกับ ‘สายพิณ’ ที่ใช้จัดการราชาผีดิบแคว้นหนานจ้าวหรอกนะ

“บางเฉียบดั่งสายฝน? ทั้งยังเฉือนหนังตัดกระดูกได้?” ลิ่นเฉิงโย่วขมวดคิ้วมุ่น “เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินว่ามีของดีเช่นนี้อยู่ด้วย คุณชายหวังไปได้ยินมาจากที่ใดกัน”

เถิงอวี้อี้รู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย ไม่น่าเชื่อว่ากระทั่งลิ่นเฉิงโย่วก็ยังไม่เคยเห็นอาวุธลับชนิดนี้มาก่อน เรื่องนี้ผิดปกติมากเกินไปแล้ว คืนนั้นนางคงไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่ นางเข้าใจผิดว่าเป็นอาวุธลับ ความจริงแล้วเป็นเพียงเส้นไหมธรรมดาเส้นหนึ่ง เพียงเพราะคนผู้นั้นวรยุทธ์ลึกล้ำ ถึงได้กลายเป็นอาวุธคมกริบสังหารคน?

“ข้าน้อยไม่มีความรู้เรื่องอาวุธแม้แต่น้อย” นางคิดทบทวนก่อนเอ่ยว่า “บังเอิญได้ยินนักเดินทางพูดคุยเรื่องนี้กันก่อนจะลงเรือ ระหว่างข้าน้อยเดินทางมาฉางอันเมื่อไม่นานมานี้พวกท่านก็รู้ว่ายามเรือจอดเทียบท่าต้านลม เหล่าจอมยุทธ์และปัญญาชนมักจะนั่งดื่มสุราพูดคุยกันตรงกราบเรือ ตลอดเส้นทางกลับเมืองหลวง เดินทางไปหยุดพักไป ข้าน้อยจึงได้ฟังเรื่องเล่าลือแปลกพิสดารจากต่างแดนมาไม่น้อย”

เจี้ยนเทียนถามขึ้นบ้าง “พูดเสียจนข้าอยากรู้ขึ้นมาแล้ว บนโลกนี้มีอาวุธชนิดนี้จริงหรือ เพราะเหตุใดถึงไม่เคยพบเห็นในตลาดของฉางอันเลยเล่า”

ลิ่นเฉิงโย่วลูบไล้ขอบจอกสุรา เรื่องที่ในค่ายทหารหนานจ้าวใช้สายพิณถอนเขี้ยวอาจเป็นความเท็จ แต่นับจากนั้นราชาผีดิบก็ไม่ออกอาละวาดอีกเลยเป็นความจริง หากไม่ใช่วิธีนี้ แล้วปราบราชาผีดิบได้อย่างไรกัน เรื่องนี้ต่อให้มีแปดส่วนปั้นแต่งขึ้นมา อย่างน้อยก็มีสองส่วนเกิดขึ้นจริง หรือคืนนี้จะให้คนไปสืบเรื่องถานซวินผู้นี้เลยดีหรือไม่กันนะ

ในตอนนี้เองก็มีคนโผล่หน้าเข้ามารายงาน “ซื่อจื่อ มีคนส่งจดหมายจากข้างนอกมาแล้วขอรับ คนอยู่ที่หอหน้าบอกว่าต้องการมอบจดหมายให้ท่านเองกับมือ”

ลิ่นเฉิงโย่วจึงลุกขึ้น “ทุกท่านค่อยๆ ดื่ม ขออภัยที่ข้าต้องขอตัวสักครู่”

ลิ่นเฉิงโย่วเดินออกไปไม่นาน ชี่จื้อก็เดินนำบรรดาสาวใช้มาส่งอาหารอย่างเริงร่า “รบกวนให้ทุกท่านรอนานแล้ว”

เมื่ออาหารหลากหลายสีสันถูกยกมาตั้งโต๊ะ บรรยากาศภายในศาลเจ้าก็คึกคักขึ้นมาในพริบตา

ก่อนจะลงหม้อรากวิญญาณหยกเพลิงงดงามน่าตื่นตา แต่หลังต้มน้ำแกงแล้วกลับส่งกลิ่นแปลกประหลาด เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเดินวนวุ่นวายไปรอบโต๊ะเพื่อแบ่งน้ำแกงให้ทุกคน

ทุกคนที่ร่วมโต๊ะอาหารได้รับส่วนแบ่งคนละชาม เถิงอวี้อี้ก็เช่นกัน นางไม่รีบร้อนดื่มน้ำแกง แต่พิจารณามองน้ำแกงในชามก่อน ของสิ่งนั้นสีเดิมจางหายไปหมดแล้ว ลักษณะคล้ายผ้าฝ้ายเกาะตัวเป็นกระจุก

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อปิดฝาครอบชามน้ำแกงของลิ่นเฉิงโย่วอย่างระมัดระวัง แล้วนั่งลงยกน้ำแกงของตนเองดื่มรวดเดียวหมด พอเงยหน้าขึ้นเห็นเถิงอวี้อี้ลังเลไม่ยอมดื่มจึงรีบเอ่ยเตือนว่า “คุณชายหวังดื่มเร็วเข้าเถอะ น้ำแกงสมุนไพรวิเศษชนิดนี้ต้องดื่มตอนร้อนๆ ถึงจะออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด”

เถิงอวี้อี้พยักหน้ารับรู้ ฝืนใจดื่มคำหนึ่ง โชคดีว่าถึงน้ำแกงจะส่งกลิ่นประหลาดไปบ้าง แต่รสชาติกลับไม่เข้มข้นจนเกินไป ขณะที่นางกำลังจะดื่มให้หมดในคราวเดียวลิ่นเฉิงโย่วก็ถือจดหมายฉบับหนึ่งเดินกลับมา พอย่างเข้าประตูเห็นเถิงอวี้อี้ยกชามน้ำแกงขึ้นดื่มสีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ท่าทางคล้ายอยากจะยับยั้งเอาไว้

“ช้า…”

ทว่าก็ช้าไปแล้วก้าวหนึ่ง เถิงอวี้อี้ดื่มน้ำแกงที่เหลือรวดเดียวหมดเกลี้ยงแล้ว พอดื่มเสร็จก็สบสายตาแปลกพิกลของลิ่นเฉิงโย่ว นางจึงอดงุนงงไม่ได้ “มีอะไรหรือ”

สีหน้าลิ่นเฉิงโย่วกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เขาเดินกลับมานั่งที่เดิม มองหน้าเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้ออย่างมีความหมายลึกซึ้งแอบแฝง

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเปิดฝาครอบชามของลิ่นเฉิงโย่ว “ศิษย์พี่ รีบดื่มเถอะ ขืนชักช้าจะเย็นชืดเสียหมด”

ลิ่นเฉิงโย่วครุ่นคิดแต่ไม่เอ่ยปาก รับชามน้ำแกงมาดื่มหมดในคราวเดียว

แต่ไหนแต่ไรมาเถิงอวี้อี้จะมีอาการมือเท้าเย็น แต่ดื่มน้ำแกงแล้วกลับรู้สึกร้อนผ่าวทั่วลำคอ สองเท้าราวกับแช่อยู่ในน้ำอุ่น กลางฝ่าเท้ามีไออุ่นลอยขึ้นมาอย่างอ้อยอิ่ง หลังจากนั้นไม่นานกระทั่งแผ่นหลังก็เริ่มมีเหงื่อออก อบอุ่นสบายไปทั้งตัวคล้ายนั่งอยู่หน้าเตาไฟ

นางค่อยๆ เช็ดเหงื่อที่ไหลซึม สมุนไพรชนิดนี้ออกฤทธิ์ดีเยี่ยมสมคำเล่าลือจริงๆ

ลุงเฉิงกับฮั่วชิววางชามกับตะเกียบลงอย่างไม่สบายใจ “คุณชาย เหตุใดหน้าท่านถึงแดงเช่นนี้”

คนทั้งสองสีหน้าเป็นปกติ ไม่เห็นมีเหงื่อออกสักนิด เถิงอวี้อี้เอ่ยถามด้วยความฉงนใจ “พวกท่านไม่รู้สึกร้อนบ้างหรือ”

“ร้อน?” เจี้ยนเซียนยุ่งกับการคีบกับข้าวลงในชามของตน “ดื่มน้ำแกงแล้วกินอาหารต่อ ดูเหมือนจะร้อนขึ้นมาสักหน่อยนะ เอ๋? คุณชายหวัง บนศีรษะท่านเหตุใดมีเหงื่อผุดพรายอย่างนั้นเล่า”

แม้ทุกคนจะมีใบหน้าแดงเปล่งปลั่ง แต่กลับไม่เหงื่อแตกพลั่กอย่างเถิงอวี้อี้ นางเหลียวซ้ายแลขวา สบสายตาแปลกพิกลของลิ่นเฉิงโย่วอย่างไม่ทันตั้งตัว หัวใจพลันเต้นตุบๆ เร็วระรัวขึ้นมา

ลิ่นเฉิงโย่วแสร้งไม่รู้ไม่ชี้ “รากวิญญาณหยกเพลิงเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณบำรุงชั้นเลิศ คุณชายหวังไม่มีกำลังภายในเหมือนพวกข้า เพิ่งจะดื่มลงท้องจึงปรับตัวไม่ได้อยู่บ้าง ข่มฤทธิ์ยาไปสักสองสามวันประเดี๋ยวก็ดีขึ้น”

“ใช่ๆ ตอนข้ายังหนุ่มเวลากินของบำรุงลมปราณ ก็เคยมีเหงื่อร้อนๆ แตกพลั่กอย่างคุณชายหวังนี่ล่ะ”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อพยักหน้าทันควัน “คุณชายหวังไม่ต้องเป็นห่วง นี่เป็นเรื่องดีนะ ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ รากวิญญาณหยกเพลิงสรรพคุณล้ำเลิศ หากท่านมีโรคเก่าเรื้อรังอันใด อาศัยฤทธิ์ยาในน้ำแกงชามนี้ ไม่แน่อาจจะขจัดต้นตอโรคภัยไปหมดสิ้นก็ได้”

ลุงเฉิงได้ยินประโยคนี้แล้วทั้งรู้สึกยินดีและวิตกกังวล นับตั้งแต่คุณหนูพลัดตกน้ำครั้งก่อนเขาก็เป็นห่วงอยู่เสมอว่าคุณหนูจะหลงเหลืออาการเจ็บป่วยใดไว้ ดื่มน้ำแกงสมุนไพรวิเศษนี้แล้วไม่แน่ว่าจะหายดีเป็นปลิดทิ้ง เขาเพ่งพินิจสีหน้าเถิงอวี้อี้อย่างละเอียด ก่อนเอ่ยถามอย่างเคร่งเครียด “ท่านรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่”

เถิงอวี้อี้ลองจับสังเกตเงียบๆ พักหนึ่ง รับรู้ได้ว่าร่างกายไม่มีส่วนใดรู้สึกไม่สบาย จึงยิ้มออกมาพลางว่า “ทำให้ทุกท่านต้องขบขันแล้ว คิดว่าพอได้ระบายเหงื่อออกมาก็คงจะดีขึ้นเอง”

ในตอนนี้เองก็มีบ่าวรับใช้ในหอโผล่มาชะโงกหน้าด้อมๆ มองๆ อยู่ข้างนอก “ซื่อจื่อขอรับ ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญจะรายงาน”

ลิ่นเฉิงโย่วกวักมือเรียกคนผู้นั้น

บ่าวรับใช้ในหอผู้นี้ชื่ออาเหยียน ปกติคอยรับผิดชอบต้อนรับและส่งแขกอยู่ที่หน้าหอ เป็นชายรูปร่างห้าใหญ่สามหนา* วิ่งเหยาะๆ มาจนถึงตรงหน้าลิ่นเฉิงโย่ว “แม่นางเก๋อจินกับเจวี่ยนเอ๋อร์หลีมีปากเสียงกันขอรับ เจวี่ยนเอ๋อร์หลีทำหยกประดับชิ้นหนึ่งของแม่นางเก๋อจินร่วงแตก แม่นางเก๋อจินโมโหเดือดดาล ด่าทอเจวี่ยนเอ๋อร์หลียกใหญ่ เจวี่ยนเอ๋อร์หลีตกใจเสียขวัญมาก พยายามจะชดใช้ความผิดเต็มที่ แต่แม่นางเก๋อจินไม่ยอมรับฟัง ยืนกรานจะให้เจวี่ยนเอ๋อร์หลีย้ายออกจากห้องนอนของนางประเดี๋ยวนี้เลย พวกนางสองคนทะเลาะกันไม่เลิกราทำให้คนในหอตื่นตกใจไปด้วยแล้ว เอ้อต้าเหนียง ว่อต้าเหนียง แล้วก็เถ้าแก่เร่งไปเกลี้ยกล่อมอยู่นานก็ไม่มีประโยชน์ จำต้องให้ข้าน้อยมาสอบถามซื่อจื่อ เอะอะโวยวายอย่างนี้ต่อไปก็ไม่สมควร จะให้พวกนางสองคนแยกห้องกันอยู่ได้หรือไม่”

คนร่วมโต๊ะอาหารต่างตะลึงงัน เดิมทีเจวี่ยนเอ๋อร์หลีพักอาศัยอยู่เรือนหลังเดียวกับเหล่าหญิงคณิกาอายุน้อย แต่เพราะโดนมารผีดิบจับจ้องอยู่ ลิ่นเฉิงโย่วจึงจัดให้นางย้ายมาพักอยู่ห้องเดียวกับเก๋อจินชั่วคราว ส่วนเถิงอวี้อี้นั้นพักอยู่ห้องฝั่งตรงข้ามกับพวกนาง เมื่อเป็นเช่นนี้เวลามารผีดิบบุกมาแผลงฤทธิ์จะได้ดูแลพวกนางง่ายสักหน่อย

อาเหยียนมีทักษะรู้จักสังเกตสีหน้าคน อีกทั้งนับว่าพอมีฝีปากฉะฉานใช้ได้ เผยสีหน้าลำบากใจแล้วเอ่ย “เถ้าแก่บอกว่าความจริงเรื่องจุกจิกเช่นนี้ไม่ควรมารบกวนซื่อจื่อ แต่ซื่อจื่อเคยสั่งเอาไว้ เจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับแม่นางเก๋อจินไม่อาจย้ายที่พักได้ตามอำเภอใจ ดังนั้นเถ้าแก่จึงตั้งใจให้ข้าน้อยมาขอคำแนะนำจากซื่อจื่อ”

ลิ่นเฉิงโย่วตอบรับอย่างไม่ลังเล “ในเมื่อทะเลาะกันขึ้นมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ให้พวกนางสองคนแยกกันอยู่เถอะ แต่เจวี่ยนเอ๋อร์หลีผู้นั้นจะย้ายออกไปอยู่ไกลมากไม่ได้ หาห้องพักให้นางบนระเบียงทางเดินเส้นนั้นแล้วกัน ระยะห่างไม่ให้เกินสองห้อง ประเดี๋ยวจะดูแลกันได้ไม่ทั่วถึง จัดการเรียบร้อยแล้วให้มาบอกเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อ พวกเขาจะไปวาดยันต์ติดนอกประตูห้องให้ใหม่”

อาเหยียนค้อมกายลงรับฟังคำสั่ง “ทำให้ซื่อจื่อต้องขบขันแล้ว หลังแม่นางเก๋อจินเสียโฉมก็ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แต่ก่อนใครๆ ก็ชื่นชอบนาง ตอนนี้นางกลับกลายเป็นหญิงคลุ้มคลั่ง แต่ว่าจะโทษนางก็ไม่ได้…” ทันใดนั้นก็สะดุ้งตกใจจนตัวสั่น แล้วส่งยิ้มประจบประแจง “ข้าน้อยปากมากจริงเชียว เรื่องพวกนี้คิดว่าซื่อจื่อคงสืบทราบมาหมดแล้ว”

ลิ่นเฉิงโย่วอุทานออกมาคำหนึ่ง “ข้าชอบคนปากมากอย่างเจ้านี่ล่ะ! ฟังเรื่องแปลกใหม่เพิ่มเติมบ้างก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร เจ้าแค่พูดมาก็พอ นึกเรื่องอะไรได้ก็เล่าออกมา เล่าได้ดีจะมีรางวัลให้”

อาเหยียนมีท่าทีกระตือรือร้นขึ้นมาทันที ถูมือไปมาอย่างเบิกบานใจ เค้นสมองขบคิดรอบหนึ่งก็เผยสีหน้าทุกข์ระทม “ข้าน้อยมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง ยิ่งอยากจะพูดยิ่งคิดอะไรไม่ออก ไม่อย่างนั้นซื่อจื่อถามข้าน้อยสักสองสามคำถามได้หรือไม่ขอรับ”

เจี้ยนเล่อยิ้มหน้าระรื่น “เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจแล้ว อันที่จริงดาวเด่นในหอของพวกเจ้าก็มีการแบ่งระดับชนชั้น ในเมื่อเก๋อจินมาอยู่หอไฉ่เฟิ่งของพวกเจ้าได้ไม่นาน ก่อนนางจะมาแม่นางคนใดที่มีอำนาจมากที่สุด”

“เรียนท่านนักพรต ก่อนแม่นางเก๋อจินจะมา เดิมทีเว่ยจื่อกับเหยาหวงมีอำนาจมากที่สุด พอแม่นางเก๋อจินมาถึง สองคนนี้ก็ถูกกดข่มลงไป ฟังจากเถ้าแก่ได้ความว่าหากแม่นางเก๋อจินไม่เกิดเรื่อง เดือนนี้ก็จะได้รับการตัดสินชื่อเป็น ‘ยอดบุปผา’ แล้ว ถึงเวลานั้นเพียงแค่ค่าสุราแม่นางเก๋อจินก็ได้ส่วนแบ่งสองพันเฉียน นี่ยังไม่นับรวมรางวัลอื่นอีก หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เพียงไม่กี่ปีแม่นางเก๋อจินก็ไถ่ตนเองได้แล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าวูบเดียวทุกอย่างกลับพังไม่เป็นท่า”

ห้านักพรตถามขึ้น “เว่ยจื่อ? เหยาหวง? สองคนนั้นที่ล้มป่วยอยู่ใช่หรือไม่ ข้าจำได้ว่าวันนี้ตอนซื่อจื่อเรียกแม่นางทั้งหลายในหอไปแช่น้ำในถัง สองคนนี้อ้างว่าป่วยจึงพักผ่อนอยู่ในห้อง เมื่อซื่อจื่อเรียกตัวถึงยินยอมออกมา”

“เป็นพวกนางสองคนนี่ล่ะ แม่นางเว่ยจื่อเชี่ยวชาญทั้งการร่ายรำทั้งบทกวี ตอนหอไฉ่เฟิ่งยังไม่เปิดกิจการก็มีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว อย่ามองว่านางรูปร่างอวบอิ่มกว่าแม่นางคนอื่น ยามร่ายรำกลับคล่องแคล่วพลิ้วไหวอย่างยิ่ง โดยเฉพาะระบำหูเสวียน ถึงแม้จะมอบลูกกลมขนาดเล็กเพียงใดให้ นางก็สามารถหมุนเหนือศีรษะได้ดุจนกโบยบิน

ส่วนแม่นางเหยาหวง ยิ่งไม่ต้องพูดให้มากความ รูปโฉมและความสามารถล้วนโดดเด่นกว่าใคร ยามขับขานบทเพลงไพเราะน่าฟังดุจนกขมิ้นบนต้นไม้ไม่มีผิด นอกจากนี้นางยังมีพรสวรรค์เป็นเลิศอีกอย่าง นั่นก็คือสามารถเลียนเสียงร้องของลิงกับนกได้ จากที่นางเล่ามาตอนยังเล็กเคยเรียนรู้ศิลปะการเปล่งเสียงจากบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่ง ดังนั้นจะให้เลียนเสียงอะไรก็ได้ทั้งนั้น จำได้ว่าหอไฉ่เฟิ่งเปิดกิจการสองสามเดือนแรกคุณชายตระกูลแม่ทัพพวกนั้นยังมาที่นี่เพราะนางเลย”

เจี้ยนเทียนถามขึ้นว่า “พวกนางสองคนเริ่มป่วยเมื่อใดกัน”

“แม่นางเว่ยจื่อล้มป่วยมาหลายวันแล้ว ส่วนแม่นางเหยาหวงตกใจเสียขวัญเช้าวันนี้หลังรู้เรื่องชิงจือกระโดดบ่อน้ำขอรับ”

ห้านักพรตสีหน้าผิดแผกไปเล็กน้อย นี่จะล้มป่วยได้ประจวบเหมาะไปหรือไม่

เจี้ยนสี่เอ่ยถามขึ้นอีก “พวกนางกับแม่นางเก๋อจินสนิทสนมกันดีหรือไม่”

อาเหยียนหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน “ปกติข้าน้อยรับผิดชอบเพียงการต้อนรับและส่งแขกหน้าประตู กว่าจะได้พบเจอแม่นางในหอช่างยากเย็น ดาวเด่นเลื่องชื่อสองสามนางนี้ยิ่งเป็นคนสำคัญดั่งเทพเซียน บางครั้งข้าน้อยได้เห็นแวบหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางเป็นอย่างไรข้าน้อยก็ไม่อาจรู้ได้ขอรับ”

เจี้ยนเทียนยังซักไซ้อย่างไม่ยอมแพ้ “แม่นางเก๋อจินถูกทำร้ายเสียโฉมเป็นเรื่องใหญ่ ช่วงหลายวันนั้นหอไฉ่เฟิ่งของพวกเจ้าจะต้องโกลาหลวุ่นวายแน่ คืนนั้นเว่ยจื่อกับเหยาหวงอยู่ที่ใด ไม่มีใครสงสัยพวกนางเลยหรือ”

อาเหยียนตกตะลึงอ้าปากค้าง “บอกว่าเป็นฝีมือวิญญาณอาฆาตไม่ใช่หรือขอรับ ในหอวุ่นวายอยู่ตั้งหลายวัน วิญญาณหญิงสาวดวงนั้นมีคนเคยพบเห็นไม่น้อย”

“เถ้าแก่ของพวกเจ้าก็เชื่อคำกล่าวอ้างเช่นนี้ด้วย ยอดบุปผาประจำหออยู่ๆ โดนทำร้ายเสียโฉม เขาไม่รู้สึกเสียดายคนก็ต้องรู้สึกเสียดายเงินบ้าง หลังเกิดเรื่องไม่เคยคิดเรียกผู้ใดมาซักถามเลยหรือ”

ยามนี้เองลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยปากเล่าอย่างไม่รีบร้อน “ถามแล้ว คืนนั้นเว่ยจื่อไปร่วมงานเลี้ยงเป็นเพื่อนรองเสนาบดีหลินแห่งกรมอากร ส่วนเหยาหวงไปร่วมงานชมโคมไฟกับคุณชายใหญ่เว่ยบุตรชายหนิงอันป๋อ* ที่สระฉวี่เจียง คนที่ติดตามไปมีจำนวนมาก เที่ยวเล่นยามพลบค่ำ วันต่อมาถึงกลับ”

ห้านักพรตนิ่งอึ้งไป “ที่แท้ซื่อจื่อตรวจสอบมาก่อนแล้ว”

อาเหยียนยิ้มเจื่อน “ความจริงเถ้าแก่ของพวกเราก็เคยเรียกคนในหอมาซักถามทีละคนนะขอรับ จะบังเอิญก็ตรงที่ดาวเด่นหลายคนนั้นหากไม่อยู่เป็นเพื่อนแขกที่หอหน้า ก็ติดตามแขกออกไปข้างนอก กลับไม่พบใครน่าสงสัยสักคน รวมกับเรื่องในหอมีผีสิงเป็นเรื่องจริง เถ้าแก่ถึงได้เชื่อว่าแม่นางเก๋อจินถูกวิญญาณอาฆาตทำร้ายบาดเจ็บ”

เถิงอวี้อี้นั่งฟังอย่างสงบมาระยะหนึ่ง ร่างกายยิ่งร้อนผ่าวขึ้นทุกขณะ แม้อยากจะฟังบ่าวรับใช้ผู้นี้เล่าเรื่องให้ละเอียด ทว่าจนใจที่เหงื่อแตกพลั่กไม่ยอมหยุด เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากเรื่องนี้จึงอดเอ่ยถามไม่ได้ว่า “ตอนเที่ยงวันข้าดื่มน้ำชาอยู่ที่หอหน้า คลับคล้ายได้ยินคนพูดว่าช่วงนี้ชิงจือใช้เงินฟุ่มเฟือยขึ้นมาก หอไฉ่เฟิ่งก็มีคนทั้งหมดอยู่เท่านี้ เจ้าอาจไม่คุ้นเคยกับเหล่าดาวเด่นในหอ แต่ก็น่าจะสนิทสนมกับชิงจืออยู่บ้าง เจ้ารู้หรือไม่ว่านางไปได้เงินมาจากที่ใดกัน”

อาเหยียนกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ชิงจือมีเงินใช้ฟุ่มเฟือย? มิน่าเล่าช่วงที่ผ่านมานางเด็กผู้นี้ไม่มาขอดื่มสุรากับพวกเราแล้ว คุณชายไม่รู้อะไร สาวใช้ชื่อชิงจือนางนี้บางครั้งท่าทางทึ่มๆ ดูไม่มีเล่ห์เหลี่ยม บางครั้งฉลาดทันคน ข้อเสียสำคัญที่สุดของนางคือความตะกละ พอเจอสุราอาหาร หลอกขอกินได้เป็นหลอก แย่งกินได้เป็นแย่ง ตอนนางรับใช้อยู่ข้างกายแม่นางเก๋อจินเดิมทีมีหน้ามีตานักล่ะ หลังแม่นางเก๋อจินถูกทำร้ายเสียโฉม สถานะบ่าวไพร่ระดับล่างก็พลอยตกต่ำลงตามไปด้วย ชิงจือก็ไม่กล้าไปขโมยอาหารที่ห้องครัว ได้แต่ขอกินขอดื่มตามห้องนั้นห้องนี้ไปทั่ว ไล่เท่าไรก็ไล่ไม่ไป ใครต่อใครเห็นหน้านางก็รู้สึกรำคาญ คุณชายพูดเช่นนี้ขึ้นมาข้าน้อยจึงนึกขึ้นมาได้ หลายวันก่อนหน้านี้นางมีท่าทางผิดปกติอยู่สักหน่อยจริงๆ สีหน้ายิ้มแย้มเหมือนดอกไม้บานอย่างกับเก็บสมบัติล้ำค่ามาได้”

เถิงอวี้อี้มองหน้าลิ่นเฉิงโย่ว ประหลาดใจที่เห็นสีหน้าเขาสงบราบเรียบ ดูไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย

“ระยะนี้ปีศาจออกอาละวาด คนในหอต่างตกอยู่ในอันตราย นางมีเรื่องอะไรให้ดีใจถึงเพียงนั้นกัน เคยมีคนมาหานางหรือไม่ หรือว่าเมื่อไม่นานมานี้ได้ไปรู้จักพบเจอกับผู้ใดเข้า”

“น่าจะไม่มีขอรับ” อาเหยียนไตร่ตรองอย่างรอบคอบ “หลังแม่นางเก๋อจินเสียโฉมข้างกายขาดคนไม่ได้ ตอนแรกชิงจือยังตั้งตารอให้แม่นางเก๋อจินกลับมารูปโฉมงดงามดังเดิม ดังนั้นจึงคอยปรนนิบัติรับใช้อย่างขยันขันแข็งเลยทีเดียว หลายวันก่อนยุ่งปานนั้น แค่จะนอนหลับให้สบายยังยาก จะหาโอกาสใดไปคบหาสหายเพิ่ม ต่อมาไม่นานก็เกิดเรื่องมีปีศาจโผล่มา หอไฉ่เฟิ่งโดนสั่งปิด คนในหอไม่มีโอกาสออกไปข้างนอกเลย ชิงจือก็ไม่มีข้อยกเว้น มิหนำซ้ำที่ผ่านมาข้าน้อยก็อยู่หน้าประตูคอยรับส่งแขก ไม่เคยได้ยินเลยว่ามีคนมาหาชิงจือ”

“เรื่องพวกนี้ไม่แปลกใหม่มากพอ” ลิ่นเฉิงโย่วหมุนจอกสุราเล่น “ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่ เจ้าลองคิดให้ดีๆ สิ ไม่อย่างนั้นเงินค่าสุราของข้าพวกนี้อยากจะตัดใจให้ก็คงทำไม่ลงแล้ว”

อาเหยียนเค้นสมองคิดอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ “มีแล้วขอรับ ชิงจือชอบพูดว่าตนเองมีพี่สาวอยู่ผู้หนึ่ง ในอดีตสองพี่น้องพลัดพรากจากกัน เงียบหายไร้ข่าวคราวมาตลอด ปกติพอนางเก็บออมเงินได้จำนวนหนึ่งจะเอาไปใช้ไหว้วานคนสืบหาเบาะแสพี่สาวของนางจนหมด ว่อต้าเหนียงได้ยินเข้าจึงเอาแต่ดุด่าว่าชิงจือโง่เง่าเสียสติ บอกว่าชิงจือไม่มีพี่สาวสักหน่อย ในครอบครัวมีเพียงน้องสาวผู้เดียว ที่สำคัญน้องสาวนางตายไปนานแล้วตั้งแต่โดนขายออกไปโน่น ตอนนี้เรื่องก็ผ่านมาตั้งหลายปี จะไปมีพี่สาวมาจากที่ใดกันได้อีก”

ดูท่าทางลิ่นเฉิงโย่วจะสนใจเรื่องนี้มากทีเดียว เขาใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยว่า “ยังมีอีกหรือไม่”

อาเหยียนหนังศีรษะชาหนึบ แทบอยากจะรีดเค้นทุกสิ่งออกมาให้หมดไส้หมดพุง “ขอข้าน้อยคิดให้ดีก่อนขอรับ…ขอคิดให้ดีก่อน”

ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยเตือนสติเขา “ระยะนี้ชิงจือพูดจาอะไรแปลกๆ บ้างหรือไม่”

อาเหยียนเหม่อมองอากาศธาตุครุ่นคิดอยู่นานสองนาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงดัง “มีขอรับ! จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งคุยเรื่องในหอมีผีสิงกันอยู่ ขณะทุกคนกำลังหวาดกลัว อยู่ดีๆ ชิงจือพูดขึ้นมาอย่างไร้ที่มาที่ไป บอกว่านางกับอนุภรรยาคนงามที่โดนฮูหยินเถ้าแก่ร้านคนก่อนบีบให้ฆ่าตัวตายเป็นคนบ้านเดียวกัน พวกเราตื่นตกใจกันถ้วนหน้า ถามนางเสียงสั่นๆ ว่า ‘เคยได้ยินแต่คนประจบสอพลอผู้สูงศักดิ์ ไม่เคยได้ยินว่าใครอยากจะเกี่ยวข้องกับคนตาย ตอนอนุภรรยาคนงามนั่นกระโดดบ่อน้ำหอไฉ่เฟิ่งยังไม่เปิดกิจการเลยนะ ชิงจือ เจ้าเคยเจออนุภรรยาผู้นั้นที่ใด แล้วรู้ได้อย่างไรว่าตนเองกับนางเป็นคนบ้านเดียวกัน ชิงจือ เจ้าโดนขายมาตั้งหลายปีแล้ว จำได้หรือว่าตนเองมาจากที่ใด’ ทุกคนรุมซักถามนางชุดใหญ่ ชิงจือกลับกระโดดลงจากบันไดวิ่งหนีไปอย่างภูมิใจหนักหนา ก็ไม่รู้ว่านางมีอะไรให้ภูมิใจกัน รู้จักคนตายผู้หนึ่งทำเหมือนได้สมบัติอย่างไรอย่างนั้น”

เดิมทีลิ่นเฉิงโย่วท่าทางเอ้อระเหยลอยชาย พอได้ยินดังนั้นแล้วสีหน้าพลันเคร่งขรึมลง “คนบ้านเดียวกัน? ชิงจือบอกว่านางกับอนุภรรยาของเถ้าแก่คนก่อนเป็นคนบ้านเดียวกันหรือ”

“ใช่ขอรับ แต่เด็กอย่างชิงจือชอบคุยโวอยู่แล้ว คำพูดของนางจึงมีไม่กี่คนที่เชื่อ ไม่แน่ว่าอาจเห็นทุกคนกลัวผีถึงจงใจเล่าเรื่องนี้ข่มขวัญ ทุกคนไม่อยากให้นางได้หน้า หมดเรื่องก็เลยไม่มีใครซักถามให้ละเอียด”

ลิ่นเฉิงโย่วแววตาสาดประกายดั่งสายฟ้า “เจ้าลองคิดดูให้ดีอีกครั้ง หลังจากนั้นชิงจือเคยพูดจาทำนองนี้อีกหรือไม่”

อาเหยียนตื่นตกใจ ทุกครั้งเวลาพบหน้าซื่อจื่อผู้นี้จะเห็นเขาพูดคุยยิ้มแย้มเสมอ ท่าทางสง่าผ่าเผยเจ้าสำราญ สีหน้าเคร่งขรึมวาจาเร่งรัดเช่นนี้ทำให้คนจิตใจหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก

เขากุมศีรษะขบคิดสุดกำลัง แต่ยิ่งร้อนรนก็ยิ่งคิดไม่ออก สุดท้ายก็ส่ายหน้าแล้วฝืนยิ้ม ขณะจะเอ่ยปากพลันมีเสียงคนเรียกจากข้างนอก “อาเหยียน เจ้ามัวชักช้าอะไรอยู่ เถ้าแก่เรียกหาเจ้าน่ะ”

“ไปแล้วๆ จะไปประเดี๋ยวนี้” อาเหยียนขานรับอย่างลนลาน พร้อมทั้งส่งเสียงหัวเราะแห้งแล้ง “ซื่อจื่อ…”

ลิ่นเฉิงโย่วควักเงินพวงหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อโยนให้อาเหยียน “เรื่องที่พูดมาในคืนนี้ ออกไปแล้วอย่าไปพูดให้ผู้อื่นฟังอีก หากนึกอะไรออก ไม่ว่ายามใดให้รีบมาหาข้าทันที”

อาเหยียนเดินจากไปอย่างดีอกดีใจ ตอนนี้เองลิ่นเฉิงโย่วถึงได้ฉีกซองจดหมายข้างตัว

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อถามเสียงแผ่วเบา “ศิษย์พี่ เป็นจดหมายจากลั่วหยางหรือ สืบหาเบื้องหลังนักพรตในลั่วหยางผู้นั้นได้แล้วใช่หรือไม่”

ลิ่นเฉิงโย่วไม่เอ่ยตอบคำ เพียงกวาดสายตาอ่านจดหมายจนจบอย่างรวดเร็ว แววตาจดจ้องนิ่งงัน ต่อมาจึงหันหน้าไปมองรูปปั้นเทพเด็กยืนบนดอกบัวหลังโต๊ะเซ่นไหว้ แล้วลุกขึ้นเดินวนเวียนรอบรูปปั้นนั้น

ความคิดของพวกเจี้ยนสี่ยังติดอยู่กับคำบอกเล่าของอาเหยียน พวกเขาเอ่ยปากซุบซิบกัน “ข้าฟังมาตั้งนาน เหตุใดรู้สึกว่าชิงจือผู้นี้แปลกๆ เรื่องใบหน้าเสียโฉมของแม่นางเก๋อจินจะเป็นฝีมือนางหรือไม่”

เจี้ยนเทียนกระดกดื่มน้ำแกงผักฉุนไช่* ดังอั้กๆ จนหมดชาม แล้วกล่าวโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา “เจ้าโง่ จะเป็นใครก็ไม่มีทางเป็นชิงจือ อย่าลืมว่าชิงจือเป็นสาวใช้ประจำตัวของแม่นางเก๋อจิน ตอนวิญญาณอาฆาตดวงนั้นข่วนหน้าแม่นางเก๋อจินก็สบถด่าเสียงดังลั่นเช่นนั้น หากเป็นเสียงชิงจือจริงๆ แม่นางเก๋อจินคงฟังออกนานแล้ว”

“ก็ถูกนะ” เจวี๋ยเซิ่งเกาศีรษะแกรกๆ “ไม่อย่างนั้นอาจจะเป็นแม่นางเว่ยจื่อหรือแม่นางเหยาหวง ถึงอย่างไรพวกนางก็จะได้เป็นยอดบุปผาอยู่แล้ว พอแม่นางเก๋อจินมาถึงได้พังหมด”

เจี้ยนเหม่ยตอบเสียงรื่นเริง “เมื่อครู่นี้ศิษย์พี่ของพวกเจ้าบอกแล้วอย่างไรเล่า พวกนางสองคนไม่ได้อยู่ในหอแต่แรก ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ยังมีรองเสนาบดีหลินกับคุณชายใหญ่เว่ยเป็นพยานด้วย”

“แต่เรื่องนี้ก็ประจวบเหมาะเกินไป จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าสองคนนี้อยากหลุดพ้นความผิดจึงไปขอร้องให้รองเสนาบดีหลินกับคุณชายใหญ่เว่ยช่วยพวกนางโกหก หญิงงามดั่งบุปผาลือเลื่อง อาจพบเจอแต่ไม่อาจคว้ามาครอง พวกเขาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากไม่ใช่หรือ บางทีเว่ยจื่อกับเหยาหวงร้องห่มร้องไห้ไม่กี่คำ รองเสนาบดีหลินกับคุณชายใหญ่เว่ยก็ใจอ่อนรับปากแล้ว”

เวลานี้เถิงอวี้อี้ดื่มน้ำอ้อยเย็นเฉียบไปตั้งมากแล้ว แต่ความร้อนรุ่มในร่างกายยังไม่บรรเทาลง ได้ยินพวกเขายิ่งพูดจายิ่งพิลึกพิลั่นเข้าไปทุกทีจึงอดเอ่ยปากไม่ได้ “อย่าลืมสิว่าแม่นางเว่ยจื่อไปร่วมงานชุมนุมกวี งานเลี้ยงเช่นนี้มักมีแขกเหรื่อมากมาย คืนนั้นหากเว่ยจื่อไม่อยู่ในงาน ลองไปสอบถามดูก็รู้เรื่องแล้ว ต่อให้รองเสนาบดีหลินอยากช่วยปิดบังแทนนาง ก็คงไม่มีทางกล่าวคำโกหกเลอะเทอะอย่างนี้หรอก สำหรับแม่นางเหยาหวงที่ไปงานชมโคมไฟริมสระฉวี่เจียง เรื่องนี้ไม่เพียงมีคุณชายใหญ่เว่ยเป็นพยาน ยังมีผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งด้วย”

เจี้ยนเทียนเมื่อท้องอิ่มจึงเรอเสียงดังก่อนกล่าวว่า “คุณชายหวังพูดถูกต้อง ข้าขอเตือน พวกเจ้าพูดให้น้อยๆ เถอะ เรื่องที่พวกเจ้าคิดออก ซื่อจื่อกับขุนนางศาลต้าหลี่พวกนั้นคงตรวจสอบไปนานแล้ว”

เจี้ยนเล่อเอ่ยขึ้นอย่างตื่นตระหนก “ใช่แล้ว ชิงจือมักจะบอกว่าตนเองมีพี่น้อง เมื่อครู่บ่าวรับใช้ในหอคนนั้นยังบอกอีกว่าชิงจือเคยพูดว่านางกับอนุภรรยาคนงามของเถ้าแก่ร้านผ้าไหมเป็นคนบ้านเดียวกัน คงไม่ใช่ว่าอนุภรรยาคนงามนั่นคือพี่น้องของนางหรอกนะ”

เถิงอวี้อี้แหงนหน้ามองฟ้าพร้อมถอนหายใจยืดยาว

ชี่จื้อหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “หลายปีมานี้ชิงจือคิดถึงพี่น้องผู้นั้นของนางมาตลอด จู่ๆ ได้ข่าวว่าพี่น้องของนางตายไป ทั้งยังตายอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนี้ ยังร้องไห้เสียใจแทบไม่ทัน แล้วจะมา ‘ภูมิใจหนักหนา’ ได้อย่างไร”

เจี้ยนเล่อโบกมืออย่างหงุดหงิด “ไม่คาดเดาแล้วๆ เดิมทีพวกเราฉลาดหลักแหลมมากนะ ดื่มสุราไปถึงได้เลอะเลือนอย่างนี้ อีกอย่างพวกเราไม่ใช่ขุนนางฝ่ายกฎหมายเสียหน่อย จะคาดเดาไม่ถูกก็ไม่เห็นแปลก”

เถิงอวี้อี้ชำเลืองมองลิ่นเฉิงโย่ว ตอนนางเอ่ยขึ้นมาว่าชิงจือมีพี่น้องผู้หนึ่ง ลิ่นเฉิงโย่วไม่หันหน้ากลับมาด้วยซ้ำไป ทั้งที่เขาสนใจเรื่องของชิงจือมากแท้ๆ กลับแสดงท่าทีนิ่งเฉยปานนี้ มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวคือเขาได้ยินเรื่องนี้มาก่อนแล้ว

เถิงอวี้อี้ลูบหนวดปลอมของตนเอง หากชิงจือถูกคนฆ่าตาย คนร้ายจนถึงตอนนี้ยังไม่โดนจับกุม ในเมื่อลิ่นเฉิงโย่วกำลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ นางรู้สึกว่าจำเป็นต้องเล่าเรื่องที่ตนเองรู้มาให้ฟัง

“ได้ยินว่าชิงจือซ่อนห่ออิงเถาอบแห้งเอาไว้ในห้องห่อหนึ่ง ด้านบนใส่ของกินไว้ แต่ด้านล่างกลับซ่อนเครื่องประดับของมีค่าจำนวนหนึ่ง วันนั้นหลังถูกคนพบเห็นเข้านางก็พูดโกหกออกมาว่าคนรู้จักเก่าแก่ส่งมาให้”

ลิ่นเฉิงโย่วนั่งยองลงตรวจสอบใต้โต๊ะวางเครื่องเซ่นไหว้ ได้ยินเรื่องนี้แล้วยังไม่ยอมหันหน้ากลับมา เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจเรื่องนี้สักนิด

เถิงอวี้อี้เลิกคิ้วขึ้น เรื่องนี้เขาก็เคยได้ยินมาแล้ว?

นางได้ยินเรื่องนี้จากปากเป้าจูเชียวนะ คนที่ไปพบเห็นชิงจือเข้าก็คือเป้าจู เช่นนั้นคนที่บอกเรื่องนี้กับลิ่นเฉิงโย่วก็คงมีแต่เป้าจูเองแล้ว

ทุกคนกวาดสายตามองไปทางลิ่นเฉิงโย่วอย่างพร้อมเพรียง ไม่รู้ว่าในจดหมายจากลั่วหยางฉบับนั้นเขียนอะไรเอาไว้ หลังลิ่นเฉิงโย่วอ่านจบถึงได้เอาแต่เพ่งพินิจรูปปั้นเทพเด็กองค์นั้นมาตลอด

ห้านักพรตเข้าไปดูใกล้ๆ ด้วยความอยากรู้ “ซื่อจื่อ จดหมายฉบับนั้นใครส่งมาหรือ”

ลิ่นเฉิงโย่วตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา “จำได้หรือไม่ว่าตอนเฮ่อหมิงเซิงเพิ่งซื้อขาดหอแห่งนี้ เพราะไม่อาจทนกับผีร้ายออกอาละวาดในหอได้จึงเชิญผู้วิเศษจากลั่วหยางมาท่านหนึ่งโดยเฉพาะ ห้องพระแห่งนี้ก็เป็นจุดที่ผู้มีวิชาผู้นั้นสั่งคนให้สร้างขึ้นมา”

เถิงอวี้อี้มองสำรวจโต๊ะเซ่นไหว้ คืนนั้นคุณชายเสื้อทองคำกลายร่างเป็นงูสีทองตัวหนึ่ง ต่อสู้กับลิ่นเฉิงโย่วเป็นพัลวันจนสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ศาลเจ้าขนาดเล็กแห่งนี้ได้รับความเสียหายอย่างหนัก รูปปั้นเทพเด็กองค์นี้ก็พลอยล้มคว่ำลงมาจากแท่นวาง แม้ตอนนี้จะถูกจับตั้งขึ้นไปอย่างเดิมแล้ว ทว่าสีเคลือบก็หลุดล่อนไปไม่น้อย

เจี้ยนเทียนกอดอกพลางเอ่ยว่า “ค่ายกลนี้ไม่มีปัญหานะ เป็นค่ายกลเทพไท่ไป๋* ปราบมารที่ถูกต้องเหมาะสม รูปปั้นหล่อขึ้นรูปได้ไม่เลวเลย ยันต์ก็วาดได้ประณีตเรียบร้อยดี หากไม่ใช่เพราะข้างใต้นั้นบังเอิญสะกดมารผีดิบกับคุณชายเสื้อทองคำไว้ ค่ายกลนี้ก็เพียงพอจะคุ้มครองให้หอนี้สงบสุขปลอดภัยได้แล้ว แต่ว่าเรื่องนี้ก็โทษผู้มีวิชาท่านนั้นไม่ได้ ใครจะคิดว่าที่นี่กลับสะกดปีศาจร้ายเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนเอาไว้”

“ข้าก็มองไม่ออกเช่นกันว่ามีปัญหา” ลิ่นเฉิงโย่วมองสำรวจร่องรอยที่เหลือของผงชาดบริเวณรอบนอกตาค่ายกล “แต่เมื่อครู่จดหมายจากลั่วหยางบอกว่าพวกเขาตามหาไปทั่วลั่วหยางแล้ว ก็ยังตามหาผู้มีวิชาผู้นี้ไม่พบ”

ห้านักพรตตะลึงงัน “ออกพเนจรทั่วทิศไปแล้ว?!”

“หลายวันก่อนหน้านี้เฮ่อหมิงเซิงเคยไปลั่วหยางเที่ยวหนึ่ง ก็ตามหาผู้มีวิชาผู้นี้ไม่พบมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ข้าไม่แปลกใจที่คนผู้นี้จะไม่ปรากฏร่องรอยแน่ชัด เพียงรู้สึกว่าช่วงเวลาที่เขาหายตัวไปมันประจวบเหมาะยิ่ง”

หลังจากเถิงอวี้อี้ดื่มน้ำแกงรากวิญญาณหยกเพลิง ไอร้อนในร่างกายก็เพิ่มพูนไม่หยุดหย่อน อดทนมาถึงตอนนี้จนเหงื่อเปียกเสื้อผ้าตัวในชุ่มโชกไปหลายชั้นแล้ว เนื้อตัวจึงเหนียวเหนอะหนะเป็นพิเศษ ราวกับนั่งจมอยู่ในกองดินโคลน นางโบกพัดไล่เหงื่อแล้วลุกขึ้นยืน “ขออภัยด้วย ข้าน้อยรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก จำเป็นต้องกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อย ทุกท่านค่อยๆ พูดคุยกันไปเถิด ข้าน้อยต้องขอตัวก่อนแล้ว”

ห้านักพรตไม่คาดคิดว่าเถิงอวี้อี้บอกจะไปก็ไป ยังไม่ทันเอ่ยปากรั้งตัวเอาไว้เลย

ลิ่นเฉิงโย่วหันหน้าไปมองเถิงอวี้อี้ที่เดินจากไป เดิมทีคิดจะบอกอะไรบางอย่าง แต่เถิงอวี้อี้เร่งฝีเท้าเดินออกจากประตูไปไม่เหลียวหลังกลับมามองด้วยซ้ำ

พอเดินออกมาข้างนอก สายลมยามค่ำคืนโชยมาปะทะ นอกจากเถิงอวี้อี้จะไม่รู้สึกดีขึ้นแล้วกลับเหงื่อไหลไคลย้อยยิ่งกว่าเก่า ร่างกายประหนึ่งมีพลังปราณล้นทะลักยามก้าวเดิน เพียงก้าวเดียวฉับไวเท่ากับสามก้าวในเวลาปกติ

ร่างกายนางเบาหวิวดุจเหินบิน กึ่งเดินกึ่งโจนทะยานไปตลอดทาง ไม่นานก็ทิ้งห่างลุงเฉิงกับฮั่วชิวอยู่ข้างหลังไกลๆ

ลุงเฉิงกับฮั่วชิวทั้งตกใจปนสงสัย เหตุใดจู่ๆ คุณหนูถึงมีท่าร่างคล่องแคล่วปราดเปรียวขึ้นมากปานนี้ พวกเขากลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันจึงรีบสูดลมหายใจเข้าแล้วไล่ตามไป โชคดีที่ถึงแม้เถิงอวี้อี้จะฝีเท้าว่องไว ทว่ากำลังภายในกลับไม่เพียงพอ หลังพวกเขาใช้กำลังภายในเสริม ไม่กี่อึดใจก็ไล่ตามมาทัน

เถิงอวี้อี้รู้สึกได้ว่าไอร้อนผ่าวสายหนึ่งในร่างตนเองไหลเวียนสะเปะสะปะไปหมด หน้าอกร้อนจัดคล้ายจะระเบิดออกมา ต้องออกแรงวิ่งห้อตะบึงถึงจะระบายพลังประหลาดไร้ที่มาสายนี้ออกไปได้ นางวิ่งปร๋อกลับสระหนานเจ๋อไวปานสายลม ขณะวิ่งผ่านห้องของเก๋อจินนั้นบังเอิญเห็นเจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับเป้าจูขนย้ายผ้าห่มกับที่นอนออกมาจากข้างใน

บริเวณระเบียงทางเดินเสียงดังวุ่นวาย มีผู้คนยืนมุงดูอยู่ไม่น้อย บางคนพูดจาโน้มน้าวเก๋อจิน บางคนพูดจาให้เจวี่ยนเอ๋อร์หลีคลายโทสะ บางคนพูดจาประชดประชัน บางคนพูดจาถนอมน้ำใจทั้งสองฝ่าย ส่วนเก๋อจินสีหน้าเย็นเยียบปานเกล็ดน้ำค้างแข็ง นั่งนิ่งไม่ขยับอยู่ริมหน้าต่าง

หากเป็นเวลาปกติเถิงอวี้อี้จะต้องอยู่ชมเรื่องสนุกสักประเดี๋ยวหนึ่ง ทว่ายามนี้กลับไม่มีกะจิตกะใจจะทำเช่นนั้นแล้ว นางวิ่งฉิวกลับเข้าห้องของตน สั่งสาวใช้ข้างนอกให้ส่งน้ำสำหรับอาบเข้ามา ในห้องมีถังไม้อาบน้ำอยู่แล้ว ในหอก็มีน้ำร้อนเตรียมพร้อมอยู่เช่นกัน รอจนสาวใช้ยกน้ำร้อนมาเรียบร้อยเถิงอวี้อี้จึงปิดประตูอาบน้ำล้างหน้าล้างตัว แต่หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วไอร้อนในร่างก็ยังไม่บรรเทาเบาบางลงอยู่ดี

นางเท้าสะเอวเดินย่ำไปมาอยู่ในห้องอย่างกระวนกระวาย เสื้อผ้าชาวหูก็นำมาเพียงชุดเดียว ส่วนที่เหลือเป็นเสื้อหลันซานกับหมวกผ้าของบุรุษจงหยวน ไม่มีเวลาจะมาตกแต่งใบหน้าแล้ว นางรื้อค้นหาเสื้อผ้าบุรุษสะอาดสะอ้านชุดหนึ่งมาผลัดเปลี่ยน จากนั้นสวมกระดิ่งเสวียนอินแล้วกระชากประตูเปิดออก “ลุงเฉิง ฮั่วชิว”

เถิงอวี้อี้เพิ่งจะเปิดประตูก็ต้องสะดุ้งตกใจ ไอร้อนจากจุดตันเถียน* พวยพุ่งขึ้นไปเหนือศีรษะ น้ำเสียงแหลมสูงกว่าปกติไม่น้อย

ลุงเฉิงกับฮั่วชิวกระโดดพรวดออกมาจากห้องข้างๆ มองเถิงอวี้อี้อย่างประหลาดใจ “คุณชาย?!”

เถิงอวี้อี้กระแอมกระไอสองคำ ก่อนกดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “พวกท่านไปเดินเล่นในสวนเป็นเพื่อนข้าสักหน่อย”

ไม่รอให้พวกเขาสองคนเอ่ยตอบคำเถิงอวี้อี้ก็กลับหลังหันเดินออกไปแล้ว แทนที่จะเรียกว่า ‘เดิน’ สู้เรียกว่า ‘วิ่ง’ เสียดีกว่า พอวิ่งมาถึงหน้าบันได เนื่องจากรีบร้อนจนไม่ได้มองทางตรงหน้าให้ชัดเจนจึงยั้งฝีเท้าเอาไว้ไม่ทัน ล้มคะมำไปข้างหน้าทั้งตัวอย่างน่าอเนจอนาถ

ลุงเฉิงกับฮั่วชิวตกใจจนหน้าถอดสี คนหนึ่งวิ่งถลาออกไปอย่างรวดเร็วปานลูกธนู คาดไม่ถึงว่าเถิงอวี้อี้กลับมาอยู่ในท่านั่งม้า** ท่ามกลางความแตกตื่นลนลาน จนทรงตัวยืนมั่นคงได้เองอย่างไม่น่าเชื่อ

ลุงเฉิงรู้สึกใจหายไปหลายรอบ “คุณหนู เช่นนี้มันผิดปกติแล้ว ฝีมือของท่าน…” เหตุใดถึงปราดเปรียวเป็นลิงเป็นค่างขึ้นมากะทันหันได้

เถิงอวี้อี้หายใจเหนื่อยหอบพลางมองสำรวจท่าทางแปลกประหลาดของตน แล้วกัดฟันกรอดเอ่ยว่า “จะต้องเป็นเพราะน้ำแกงรากวิญญาณหยกเพลิงนั่นออกฤทธิ์แน่! ลิ่น-เฉิง-โย่ว!”

ในตอนนี้เองเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อก็หอบยันต์ปึกใหญ่วิ่งมาทางนี้แล้ว

เด็กชายทั้งสองมองเห็นเด็กหนุ่มกิริยางามสง่า สวมเสื้อหลันซานคอกลมสีเขียวเข้มเกือบดำผู้หนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ มองแวบแรกยังไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด จนกระทั่งมองเห็นลุงเฉิงกับฮั่วชิวถึงตระหนักได้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้คือเถิงอวี้อี้

“เอ๋?! คุณชายหวัง เหตุใดท่านมาอยู่ที่นี่ได้”

ไฟโทสะในใจเถิงอวี้ร้อนแรงยิ่งกว่าไฟประหลาดในร่างหลายเท่า ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ไปคว้าแขนอวบอ้วนของเจวี๋ยเซิ่ง “ศิษย์พี่ของพวกท่านอยู่ที่ใด!”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อต่างตกใจ คุณหนูเถิงผิดปกติไปอย่างชัดเจน น้ำเสียงไม่นุ่มนวลรื่นหูเหมือนอย่างเคย ดวงตาก็ลุกวาว จ้องทีราวกับจะแผดเผาพวกตนอย่างไรอย่างนั้น

เจวี๋ยเซิ่งเอ่ยตอบอย่างอึ้งงันว่า “ศิษย์พี่โกรธจัดเพราะเรื่องเมื่อตอนบ่าย บอกว่าต้องลงโทษพวกเราให้หลาบจำ สั่งการพวกเราให้ไปติดยันต์นอกประตูห้องเจวี่ยนเอ๋อร์หลีก่อนค่อยกลับไปเก็บกวาดตาค่ายกลในศาลเจ้านั่น ยังบอกอีกว่าต่อให้คืนนี้พวกเราไม่ได้นอน ก็ต้องเก็บห้องสุสานที่ใช้สะกดปีศาจสองตนในอดีตให้สะอาด”

ชี่จื้อมองสำรวงเถิงอวี้อี้อย่างระแวดระวัง “คุณ…ชายหวัง ท่านเป็นอะไรไปหรือ”

“ข้าจะเป็นอะไรได้!” เถิงอวี้อี้โกรธจนยั้งอารมณ์ไม่อยู่ “ไม่ใช่เพราะเรื่องดีงามฝีมือศิษย์พี่ของพวกท่านหรือ พวกท่านบอกข้ามาตามตรง รากวิญญาณหยกเพลิงนั่นตกลงมีอะไรแปลกๆ ซ่อนอยู่กันแน่”

เด็กชายทั้งสองตกใจทำอะไรไม่ถูก “คุณชายหวังดื่มน้ำแกงแล้วไม่สบายหรือ ไม่ถูกสิ น้ำแกงนี้พวกเราก็ดื่มด้วย ลุงเฉิงกับพี่ฮั่วชิว ผู้อาวุโสอารามตงหมิงก็ดื่ม ทุกคนยังเป็นปกติดีอยู่เลย”

เถิงอวี้อี้ข่มกลั้นไฟโทสะพลางครุ่นคิด ช่างเถิด เรื่องนี้ต้องเป็นลิ่นเฉิงโย่วเล่นพิเรนทร์อะไรแน่ เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อก็บอกชัดเจนแล้ว ดังนั้นนางจึงอดทนข่มกลั้นแล้วพยักหน้ารับ ปล่อยแขนเจวี๋ยเซิ่งแล้วมุ่งหน้าไปต่อ

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อมองอย่างเหม่อลอย เตรียมจะตามไปอย่างร้อนใจ

ลุงเฉิงสีหน้าเคร่งขรึมเย็นชา “ท่านนักพรตทั้งสองคงจะเห็นแล้ว คุณชายของพวกเราตอนนี้ผิดปกติอย่างยิ่ง ก่อนกินอาหารยังสบายดีอยู่ ดื่มน้ำแกงไปแล้วถึงได้มีท่าทางแปลกไปเช่นนี้ ถ้านักพรตน้อยรู้อะไร ทางที่ดีรีบพูดออกมาดีกว่า”

“พวกเราไม่รู้จริงๆ” เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อกระทืบเท้า หันไปเห็นเถิงอวี้อี้วิ่งจ้ำอ้าวไปทางศาลเจ้าแล้ว พวกเขาจำต้องตลบชายเสื้อคลุมขึ้นวิ่งไล่ตามไป

“คุณชายหวัง รากวิญญาณหยกเพลิงเป็นสมุนไพรวิเศษซึ่งบันทึกอยู่ในคัมภีร์ที่สืบทอดกันมาของลัทธิเต๋า ไม่มีทางออกฤทธิ์ทำร้ายคนแน่นอน คุณชายหวัง ท่านไม่สบายตรงที่ใดกันแน่ จะใช่ไข้หนาวลมหรือไม่ ว่าตามกันหลักแล้วการกินรากวิญญาณหยกเพลิงนั้นมีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษเลยนะ”

“ข้าไม่สบายไปหมดทั้งตัวนั่นล่ะ” เถิงอวี้อี้รับรู้เพียงว่าในอกมีไอร้อนพลุ่งพล่าน ยามเอ่ยปากก็สามารถพ่นไฟร้อนแรงออกมาได้ หากพ่นใส่ต้นไม้ใบหญ้า ไม่แน่ว่าอาจจุดไฟลุกพึ่บไปทั้งสวน

นางปิดปากสนิทตามสัญชาตญาณ ประเสริฐนัก เจ้าสิ่งนี้ไม่เพียงทำให้คนมีพละกำลังมหาศาล ดูเหมือนยังปั่นป่วนจิตใจคนได้อีกต่างหาก นางรู้สึกเสมือนมีเสี่ยวหยาเข้าสิงร่าง หงุดหงิดฉุนเฉียวจนคิดแต่จะด่าทอผู้คน

“ท่านนักพรตเจี้ยนเซียนบอกแล้วไม่ใช่หรือ ม้วนคัมภีร์ที่บันทึกเกี่ยวกับรากวิญญาณหยกเพลิงหายสาบสูญไปครึ่งหนึ่ง บางทีโทษของสมุนไพรชนิดนี้อาจอยู่ในม้วนคัมภีร์อีกครึ่งหนึ่ง ในเมื่อลิ่นเฉิงโย่วกล้าไปเอารากวิญญาณหยกเพลิงมากิน จะต้องรู้แน่ว่าม้วนคัมภีร์ครึ่งนั้นเขียนสิ่งใดเอาไว้ ข้าจะไปซักถามเขาต่อหน้าว่าก่อนหน้านี้เขาเล่นลูกไม้อะไรกันแน่!”

ชี่จื้อรีบเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ไม่อยู่ในศาลเจ้านั่น”

เถิงอวี้อี้หยุดฝีเท้าโดยพลัน แล้วกลับหลังหันวิ่งไปทางประตูใหญ่ของสวนดอกไม้ “ไม่อย่างนั้นก็อยู่หอหน้า!”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเบิกตากว้าง ใต้ฝ่าเท้าคุณหนูเถิงเหมือนมีกงล้อลมแล่นฉิว ชั่วพริบตาเดียวก็วิ่งออกไปไกลลิบแล้ว พวกเขาสองคนอยากจะไปห้ามทัพอยู่หรอก แต่ก็ไม่อาจทิ้งเจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับแม่นางเก๋อจินไปโดยไม่เหลียวแล จึงจำต้องหยุดยืนอยู่ที่เดิม มองดูเถิงอวี้อี้หายลับไปทางประตูเข้าสวนตาปริบๆ

เถิงอวี้อี้วิ่งพรวดเดียวมาถึงหอหน้า ท้องฟ้าเริ่มมืดสนิทแล้ว หน้าระเบียงจุดโคมไฟให้แสงสว่าง ห้องโถงกลางมีเพียงบ่าวรับใช้กับบ่าวหญิงทำงานอยู่

เถิงอวี้อี้กวาดสายตามองหาไปทั่ว ก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า “พวกเจ้าเห็นเฉิงอ๋องซื่อจื่อบ้างหรือไม่”

หลายคนนั้นหันหน้ามามอง อดงุนงงขึ้นมาไม่ได้ ปกติเห็นเถิงอวี้อี้แต่งกายเช่นชาวหูจนชินตา เกือบจะมองไม่ออกว่าหนุ่มน้อยสะโอดสะองผู้นี้คือใคร

“โอ้ คุณชายหวังนี่เอง!” มีบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งได้สติกลับคืนมา ปั้นหน้ายิ้มแย้มเดินเข้ามาหา “ซื่อจื่ออยู่ที่ชั้นสองขอรับ”

เสียงของเขายังไม่ทันเงียบหาย ก็มีลมพัดวูบแฉลบผ่านหน้าไป ตรงหน้ายังมีเงาร่างเถิงอวี้อี้อยู่ที่ใดกัน

บ่าวรับใช้มีสีหน้ามึนงง ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินขึ้นชั้นบนดัง ‘ตึง ตึง ตึง’ จึงมองตามไปอย่างฉงนใจ เห็นเถิงอวี้อี้ผลุนผลันวิ่งจากไป กระโจนถึงมุมเลี้ยวตรงบันไดแล้ว

เถิงอวี้อี้วิ่งตะบึงมาถึงชั้นสองอย่างรวดเร็ว นางจดจำแผนผังหอหน้าได้แม่นยำมานานแล้ว ชั้นสองเป็นห้องส่วนตัวหรูหราทั้งหมด ปกติจะมีแขกเข้าพักจนเต็ม ระยะนี้ว่างลงเพราะหอไฉ่เฟิ่งปิดตัวชั่วคราว

นางเดินค้นหาเลียบระเบียบทางเดิน จนแล้วจนรอดก็ยังมองหาลิ่นเฉิงโย่วไม่พบ กระทั่งผลักประตูห้องสุดท้ายเปิดผางก็ยังคงไม่เห็นเงาคน แต่โต๊ะริมหน้าต่างตัวหนึ่งมีโคมแก้ววางอยู่ หมายความว่าเคยมีคนมาที่นี่

เถิงอวี้อี้สาวเท้าเดินฉับๆ มาถึงริมหน้าต่าง โคมดวงเดียวดุจเมล็ดถั่วส่องแสงสลัวภายในห้อง บนโต๊ะตัวนั้นยังมีม้วนไม้ไผ่วางอยู่ม้วนหนึ่ง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นบันทึกเรื่องลี้ลับของอารามตงหมิง

เนื่องจากวิ่งมาตลอดทาง ร่างกายเถิงอวี้อี้จึงมีเหงื่อแตกพลั่กไม่รู้เท่าใด อาบน้ำไปเสียเปล่าโดยแท้ ไอร้อนจากเหงื่อลอยขึ้นมาจากขอบคอเสื้อ

นางเช็ดเหงื่อพลางเดินไปรอบห้องด้วยความกระวนกระวาย อยากจะสงบสติอารมณ์ลงก็ทำไม่ได้ จะว่าไปแล้วน่าแปลกนัก ก่อนหน้านี้ยังร้อนผ่าวไปทั้งตัว มาตอนนี้แม้กระทั่งใบหน้ายังรู้สึกคันยุบยิบ

“ลิ่นเฉิงโย่ว!”

เพราะไม่ได้ยินเสียงลิ่นเฉิงโย่วตอบกลับมา เถิงอวี้อี้จึงเหลียวมองไปโดยรอบอย่างหวาดระแวง คนทั้งคนอยู่ดีๆ ไม่มีทางหายไปกลางอากาศแน่ จึงเกาะขอบหน้าต่างมองออกไปภายนอก พลันได้ยินเสียงแกร๊กลอยมาจากด้านบน เหมือนมีคนกำลังเดินย่ำอยู่บนสันหลังคาแล้วไม่ทันระวังไปโดนกระเบื้องกระนั้น

หากเป็นยามปกติเถิงอวี้อี้จะต้องตกใจไม่น้อย แต่ยามนี้ในร่างมีพลังประหลาดค้ำจุนเอาไว้ ความ ‘ตกใจ’ จึงแปรเปลี่ยนเป็น ‘ความโกรธ’

น่าแปลกที่โสตประสาทก็ดีเยี่ยมกว่าเมื่อก่อนด้วย แต่พอตั้งใจฟังให้ดีแล้วกลับไม่อาจแยกแยะออกว่าคนผู้นั้นคือใคร ขณะกำลังจะตะโกนถามก็ได้ยินเสียงคนหัวเราะลอยมาเหนือศีรษะแต่ไกล ไม่ใช่ลิ่นเฉิงโย่วแล้วจะเป็นใครได้

ไฟโทสะของเถิงอวี้อี้ลุกโชน นางเงยหน้าขึ้นเอ่ยปากเรียกคน “ลิ่นเฉิงโย่ว! เจ้าลงมานี่ประเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

ครั้งนี้กลายเป็นเสียงคำรามแล้ว

ทว่าไม่รู้ลิ่นเฉิงโย่วไม่ได้ยินหรือจงใจไม่แยแสถึงได้ไม่ส่งเสียงตอบรับกลับมาสักคำ เถิงอวี้อี้ขยุ้มสาบเสื้อ ในอกประหนึ่งมีเตาไฟซ่อนอยู่ ทำให้เนื้อตัวนางร้อนระอุไปทุกส่วน หากมัวแต่ประวิงเวลาต่อไปจะต้องมีควันพุ่งออกมาจากทวารทั้งเจ็ดเป็นแน่

แต่ก็จนใจที่ไม่อาจปีนขึ้นไปบนหลังคาห้อง ทำได้เพียงเดือดเนื้อร้อนใจอยู่อย่างนี้ เถิงอวี้อี้กวาดสายตามองไปทั่วห้องอย่างว้าวุ่น ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นตำแหน่งชั้นหนังสือฝั่งหนึ่งอยู่ผิดที่ผิดทาง เดิมทีสมควรตั้งอยู่แนบติดผนังห้อง ขณะนี้กลับถูกคนลากออกมาครึ่งหนึ่ง

หัวใจเถิงอวี้อี้พลันสั่นไหว เดินเข้าไปจดจ้องเพ่งดูใกล้ๆ นางต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าบนชั้นหนังสือตั้งของสิ่งหนึ่งที่ดูคล้ายกลไกเอาไว้ ของสิ่งนี้จัดทำขึ้นอย่างโดดเด่นสะดุดตา คาดว่าปกติมีไว้ให้สำหรับเหล่าช่างฝีมือใช้เวลาขึ้นลงหลังคา

เถิงอวี้อี้ยกแขนขึ้นลองสั่นกระดิ่งเสวียนอิน พบว่ากระดิ่งยังเงียบสนิทไร้สุ้มเสียง คิดว่าคงไม่มีสิ่งชั่วร้ายใดๆ อยู่ในบริเวณนี้ ฉะนั้นจึงกดลงบนกลไกอย่างสบายใจ มีเสียงพรืดดังขึ้นแล้วบันไดเชือกเส้นหนึ่งก็ร่วงลงมาจากเพดาน ตอนนางรวบชายเสื้อขึ้นไปลุงเฉิงกับฮั่วชิวก็บุกเข้ามาแล้ว

“คุณชาย”

“ลิ่นเฉิงโย่วอยู่บนหลังคา ข้าจะขึ้นไปคุยกับเขาไม่กี่คำ พวกท่านรีบตามมาเร็ว!”

ระหว่างพูดคุยกันนางก็ปีนป่ายตามบันไดขึ้นไปถึงหลังคา ทันทีที่โผล่หน้าออกมาก็หันซ้ายหันขวามองหาลิ่นเฉิงโย่ว แล้วก็เห็นลิ่นเฉิงโย่วอยู่บนสันหลังคาทางฝั่งตะวันออกจริงดังคาด เขาได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านล่างตั้งนานแล้วชัดๆ พอหันมามองเถิงอวี้อี้สีหน้าไม่ฉายแววประหลาดใจแต่อย่างใด เพียงยิ้มเยาะก่อนเอ่ยว่า “นี่ไม่ใช่คุณชายหวังหรอกหรือ ไม่อยู่ในห้องตนเอง ขึ้นมาบนหลังคาเพื่ออะไรกัน”

ในดวงตาเถิงอวี้อี้ร้อนระอุด้วยไฟโทสะลุกโชน นางเหลียวมองไปรอบกายอย่างรวดเร็ว บนหลังคามองไม่เห็นใครอื่นสักคนนอกจากลิ่นเฉิงโย่ว มันจะแปลกเกินไปแล้ว ทั้งที่เมื่อครู่เหมือนได้ยินเสียงลิ่นเฉิงโย่วหัวเราะพูดคุยกับผู้ใดอยู่ชัดๆ เวลาชั่วพริบตาเดียวคนผู้นั้นหายไปที่ใดกัน

เพียงแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องนั้นเลย นางเหยียบลงบนกระเบื้องอย่างระมัดระวัง กางสองแขนกว้างเพื่อให้ทรงตัวได้มั่นคง “ข้ามาคิดบัญชีกับเจ้า เจ้าเล่นเล่ห์กลอันใดกับน้ำแกงชามนั้นกันแน่ รีบส่งยาถอนพิษมาให้ข้าประเดี๋ยวนี้”

ลิ่นเฉิงโย่วลอบหัวเราะในใจ เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเจ้าเด็กโง่สองคนนี้ทำผิดพลาดด้วยความประสงค์ดีเสียแล้ว ถึงขั้นทำให้เถิงอวี้อี้ต้องเดือดร้อนเป็นการหนัก เจ้าเด็กโง่รู้แต่ว่าน้ำแกงรากวิญญาณหยกเพลิงเป็นของดี ก่อนหน้านี้จึงโน้มน้าวให้เถิงอวี้อี้ดื่มโดยไม่รู้เลยว่าสมุนไพรวิเศษชนิดนี้ข่มฤทธิ์ยาได้ยาก คนที่มีวรยุทธ์ดื่มแล้วจะช่วยเพิ่มพูนกำลังภายใน คนที่ไม่มีวรยุทธ์ดื่มเข้าไปแล้วมีแต่จะเกิดเรื่องวุ่นวายเปล่าๆ

เรื่องนี้จะว่าไปแล้วคงต้องโทษเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อที่ตัดสินใจโดยพลการ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางกล่าวโทษมาถึงเขาได้ แต่เกียจคร้านจะอธิบายให้ถูกต้อง มองดูท่าทางตอนนางโกรธน่าสนุกดีจะตาย เช่นนั้นก็ให้นางเข้าใจผิดว่าเขาเจตนาทำไปแล้วกัน

เขาแสร้งปั้นหน้าเคร่งขรึมถามขึ้นว่า “คุณชายหวัง ข้าหวังดีเชิญเจ้าดื่มน้ำแกง เจ้าไม่รับน้ำใจก็แล้วไปเถอะ เหตุใดถึงมาว่ากล่าวกันได้”

เถิงอวี้อี้เคียดแค้นจนกัดฟันกรอด หลังนางดื่มน้ำแกงแล้วร่างกายก็ร้อนรุ่มเหมือนโดนย่างบนกองไฟ ลิ่นเฉิงโย่วยังกล้าวางมาดดัดจริต นางลองย่างเท้าก้าวหนึ่งก็หยุดชะงัก เดิมทีนึกว่าร่างกายจะโงนเงน นึกไม่ถึงว่าสองเท้ากลับหยัดยืนได้มั่นคง นางมีแผนการอยู่ในใจแล้ว ตอนแรกเริ่มเดินไปอย่างเชื่องช้า ต่อมาจึงเร่งฝีเท้าว่องไวดุจเหินบิน อีกทั้งยิ่งเดินก็ยิ่งเร็วขึ้นไปทุกที เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้าลิ่นเฉิงโย่วแล้ว

ลิ่นเฉิงโย่วมองเถิงอวี้อี้เข้ามาประชิดตัวอย่างนึกสนุก น้ำแกงชามนั้นน่าสนใจอย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วย เถิงอวี้อี้ไม่เพียงเสียงสูงกังวานขึ้น อากัปกิริยายังหงุดหงิดฉุนเฉียวกว่าที่เคยเป็นมา พวงแก้มสองข้างกับริมฝีปากเป็นสีแดงก่ำ ดูเหมือนอยู่ในอาการเมามาย เวลาออกวิ่งคล่องแคล่วดั่งใจ แตกต่างจากการไว้ตัวสำรวมกิริยาในยามปกติอย่างกับเป็นคนละคน

“คุณชายหวังไม่สบายตรงที่ใดกัน” เขาแสร้งถามอย่างห่วงใย

เถิงอวี้อี้หยุดยืนนิ่งๆ แล้ว “คืนนี้นอกจากน้ำแกงรากวิญญาณหยกเพลิงชามนั้นแล้วข้าก็ไม่ได้กินอะไรเลย อยู่ดีๆ กลับกลายเป็นเช่นนี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับน้ำแกงนั้นแน่นอน ลิ่นเฉิงโย่ว อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าเป็นฝีมือเจ้าเล่นลูกไม้ รีบส่งยาถอนพิษมาให้ข้า ไม่อย่างนั้นข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด!”

ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มเย้ยหยัน “ไม่ปล่อยข้าไป? อย่าว่าแต่ข้าไม่มียาถอนพิษเลย ถึงมียาถอนพิษจริงก็ไม่ให้เจ้า แล้วเจ้าคิดจะจัดการข้าอย่างไรเล่า”

เขายังกล่าวไม่จบประโยค ฝ่ามือข้างหนึ่งก็โจมตีสวนกลับมา ไม่น่าเชื่อว่าเถิงอวี้อี้บอกจะลงมือก็ลงมือ

ลิ่นเฉิงโย่วเอียงศีรษะหลบไปด้านข้าง ยกมือขึ้นคว้าแขนเถิงอวี้อี้เอาไว้ “คุณชายหวัง เจ้าใจกล้าไม่เบา บังอาจทำตัวกำเริบเสิบสานต่อหน้าข้า!”

เถิงอวี้อี้เหงื่อไหลท่วมตัวคล้ายเปียกฝนชุ่มโชก สะบัดมืออีกข้างออกมาโดยไม่รีรอ ก่อนส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ย “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าลอบทำร้ายข้าก่อน ข้าคงไม่หงุดหงิดจนต้องมาวอนหาเรื่องเจ้าหรอก! รีบส่งยาถอนพิษออกมา ไม่อย่างนั้นข้าจะสู้ตายกับเจ้าแน่”

ลิ่นเฉิงโย่วจะปล่อยให้เถิงอวี้อี้ทำสำเร็จได้อย่างไร เขาพลิกตัวหลบไปด้านหลัง ก่อนจะไปยืนอยู่บนรูปปั้นสัตว์บนชายคา ครุ่นคิดอยู่ในใจว่าแม้เถิงอวี้อี้จะมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว กลับมิใช่คนโกรธง่ายและหุนหันพลันแล่น วันนี้นิสัยเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ไม่ต้องสงสัยว่ารากวิญญาณหยกเพลิงนี้มีฤทธิ์มอมเมาจิตใจคนด้วย

เขามองสำรวจนางอย่างใจเย็น “ข้าขอเตือนเจ้าให้เก็บเรี่ยวแรงเอาไว้ดีกว่า อย่าว่าแต่ตอนนี้เจ้ามีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ต่อให้ไปเรียนวิชามาจริงก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้เลย”

เถิงอวี้อี้ตวาดกลับเสียงดุดัน “เจ้าก็ลองดูสิ!” แต่ถึงนางจะมีพลังประหลาดที่ใช้ได้ล้นเหลือ หากดูกันที่กระบวนท่ากลับแตะแขนเสื้อลิ่นเฉิงโย่วไม่ได้ด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่นางจวนเข้าประชิดตัว ลิ่นเฉิงโย่วก็จะแสยะยิ้มร้ายแล้วแฉลบตัวหลบไปด้านข้าง

เมื่อเห็นว่าลิ่นเฉิงโย่วหลบได้ลื่นไหลดั่งปลาหนีชิว* ไฟในใจเถิงอวี้อี้ยิ่งลุกโชนขึ้น จู่ๆ เห็นเขาหยุดเคลื่อนไหวจึงซัดฝ่ามือไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล แต่คิดไม่ถึงว่าจะไล่ตามลิ่นเฉิงโย่วไม่ทัน แล้วยังพลาดท่าเท้าลื่นไถลจนร่วงหล่นลงไปตามแนวกระเบื้องหลังคา

ชั่วพริบตานั้นเถิงอวี้อี้หลั่งเหงื่อเย็นเยียบ “ลุงเฉิง!”

ลุงเฉิงได้ยินเสียงบานหน้าต่างกระแทกดังสนั่นก็พุ่งทะยานออกมาจากในห้องแต่แรกแล้ว เขาพลิกตัวหมุนคว้างกลางอากาศอย่างปราดเปรียวดั่งนกเหยี่ยว ยืดตัวหมายจะรับร่างเถิงอวี้อี้ แต่สุดท้ายอยู่ไกลกันเกินไป แม้ท่าร่างเขาจะว่องไวปานสายฟ้าแลบก็ยังห่างเพียงเอื้อมมือเท่านั้น

ลุงเฉิงขบคิดเร็วรี่ เปลี่ยนเป็นกระโจนลงไปข้างล่าง เขามีกำลังภายในลึกล้ำ ขอเพียงช่วงชิงโอกาสก่อนร่วงลงพื้นก้าวหนึ่งได้ย่อมปกป้องเถิงอวี้อี้ได้ไม่ยาก

ต่อมาฮั่วชิวก็กระโดดหน้าต่างไล่ตามมาอย่างร้อนรน ตั้งใจจะคอยช่วยเหลือลุงเฉิงจากด้านบนอีกที

เถิงอวี้อี้ตกใจจนวิญญาณหลุดออกจากร่างไปครึ่งหนึ่งแล้ว กลัวอยู่อย่างเดียวว่าลุงเฉิงจะรับร่างตนเองไม่ทัน ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งกลิ้งหล่นจากชายคาคอเสื้อก็ถูกคนคว้าหมับจากทางด้านหลัง นางหันกลับไปมองด้วยความตื่นตระหนกก็เห็นสาบเสื้อของลิ่นเฉิงโย่วเข้าพอดี

ลิ่นเฉิงโย่วคว้าคอเสื้อด้านหลังของเถิงอวี้อี้ไว้แน่น แล้วหิ้วร่างนางกลับมาอยู่บนหลังคา “เมื่อครู่ข้าเตือนแล้วเจ้ากลับไม่ยอมเชื่อเอง ครั้งนี้นับว่าเจ้าโชคดี วันนี้บังเอิญเป็นวันที่สิบห้า ข้าต้องกินเจสร้างกุศล แต่ว่าเพียงครั้งนี้ครั้งเดียว อีกประเดี๋ยวหากเจ้าจะตกลงไปอีกข้าก็คร้านจะยื่นมือช่วยแล้ว”

เถิงอวี้อี้ทรุดตัวลงนั่งบนกระเบื้องแล้วปาดเหงื่อ ก่อนช้อนสายตาขึ้นมองลิ่นเฉิงโย่ว เขาก้มหน้าลงมองนาง หัวคิ้วหางตาล้วนเผยเจตนาประชดประชัน

เถิงอวี้อี้ตบสาบเสื้อเบาๆ พยายามจะลุกขึ้นยืน ทว่าก็จนปัญญาเพราะสองขาอ่อนแรง น่าแปลกที่เปลวไฟในร่างดูคล้ายจะลดความร้อนแรงลง สติก็แจ่มใสขึ้นมาหลายส่วน นางครุ่นคิดอย่างสับสน

หรือจะมีสาเหตุมาจากความตกใจจนหลั่งเหงื่อเย็นเยียบเมื่อครู่กัน

นางรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจตามตอแยไม่เลิกรา แต่คิดว่าซื่อจื่อคงเห็นแล้ว หลังอาหารมื้อเย็นข้าน้อยเหงื่อออกไม่หยุดจนน่าแปลกใจ อารมณ์แปรปรวนควบคุมไม่ได้ เหมือนร่างกายอยู่กลางกองไฟ จิตใจอยู่ในขุมนรกก็ไม่ปาน ทั้งหมดล้วนเกิดจากน้ำแกงรากวิญญาณหยกเพลิงชามนั้น คืนนี้คนดื่มน้ำแกงมีมากกว่าหนึ่งคน เพราะเหตุใดถึงมีข้าน้อยผู้เดียวที่เป็นเช่นนี้ ในเมื่อสมุนไพรวิเศษนี้ซื่อจื่อเป็นคนนำมา ขอซื่อจื่อโปรดไขข้อข้องใจให้ด้วย”

ลิ่นเฉิงโย่วเดินห่างออกไปอีกทาง ตลบชายเสื้อคลุมขึ้นแล้วนั่งลงในท่าขัดสมาธิ “คุณชายหวัง ไอร้อนในร่างสายนั้นสงบลงบ้างแล้วใช่หรือไม่”

เถิงอวี้อี้ถามกลับอย่างสงสัย “ใช่ แล้วนี่มันหมายความว่าอะไรกัน”

“หากคุณชายหวังอึดอัดเหลือเกินจริงๆ ก็ออกกำลังยืดเส้นยืดสาย ถ้ายังไม่หายก็ไปประมือหลายๆ กระบวนท่ากับใครสักคน ให้ร่างกายเหงื่อออกมากหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว”

เถิงอวี้อี้ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ “นี่ซื่อจื่อยอมรับแล้วใช่หรือไม่ว่าเล่นลูกไม้อะไรกับน้ำแกง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าข้าน้อยไปล่วงเกินซื่อจื่อตรงที่ใด ขอซื่อจื่อโปรดอภัยด้วย ส่งยาถอนพิษให้ข้าน้อยเถอะ”

สายตาลิ่นเฉิงโย่วมองตรงไปข้างหน้า “คำพูดประโยคนี้ของคุณชายหวังข้าฟังไม่เข้าใจเลย แม้ว่าเรื่องที่เจ้าเคยล่วงเกินข้ามีมากมายจนนับไม่ไหว แต่น้ำแกงชามนี้ข้าก็ไม่ได้บังคับให้เจ้าดื่มนะ ต่อให้ข้ามีความสามารถเลิศล้ำแค่เพียงใด ก็ไม่มีทางลอบทำร้ายเจ้าท่ามกลางสายตาผู้คนที่จับจ้องอยู่ได้หรอก หากจะโทษก็โทษที่ร่างกายเจ้าอ่อนแอเกินไป ข่มฤทธิ์สมุนไพรวิเศษอย่างรากวิญญาณหยกเพลิงไม่ไหว ไม่เชื่อเจ้าลองดูองครักษ์สองคนนั้นของเจ้าสิ พวกเขาก็สบายดีอยู่ไม่ใช่หรือไร”

เถิงอวี้อี้มองตามสายตาของลิ่นเฉิงโย่วไป คืนนี้สายลมโชยอ่อนดวงจันทร์สุกสกาว เมื่อยืนอยู่บนหอสูงจะมองเห็นทิวทัศน์ภายในหอไฉ่เฟิ่งแบบแจ่มชัดในคราวเดียว ภาพนางวิ่งห้อตะบึงกระโดดโลดเต้นในลานกว้างเมื่อครู่คิดว่าลิ่นเฉิงโย่วน่าจะเห็นทุกอย่างแล้ว เขาคงกุมท้องหัวเราะขบขันไปยกใหญ่ มิน่าเล่าถึงอารมณ์ดีเพียงนี้

นางสูดลมหายใจรับลมเย็นเข้าไปเต็มที่ เปลวไฟร้อนรุ่มในอกเหล่านั้นเดิมทีมอดดับเรียบร้อยแล้ว แต่อึดใจเดียวก็มีเค้าลางว่าจะลุกโชนขึ้นมาใหม่ “จะว่าไปคืนนี้ในบรรดาคนที่ดื่มน้ำแกงมีแต่ข้าน้อยที่ไม่มีกำลังภายใน ซื่อจื่อก็รู้ว่าข้าน้อยข่มฤทธิ์ยาน้ำแกงรากวิญญาณหยกเพลิงไม่ได้กลับไม่ยอมเตือน ยามนี้ข้าน้อยร้อนใจนั่งไม่ติด ไม่มาหาซื่อจื่อจะให้ไปหาใครเล่า”

ลิ่นเฉิงโย่วหยิบขลุ่ยหยกเลาหนึ่งจากข้างเอว เคาะลงบนฝ่ามือเล่นอย่างเอ้อระเหย ตอนนั้นในสมองเขามีแต่เรื่องของคนร้าย จนลืมเตือนเถิงอวี้อี้เป็นการส่วนตัวไปเสียสนิท แต่ตอนเขาออกไปน้ำแกงยังไม่ทันยกมาขึ้นโต๊ะเลย จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขาแค่ไปหยิบจดหมายฉบับหนึ่งที่หอหน้า ตอนกลับมาถึงคนกลุ่มนี้ก็ดื่มน้ำแกงลงท้องไปแล้ว

“ข้าถูกปรักปรำจริงๆ นะ ข้ารู้เพียงว่ารากวิญญาณหยกเพลิงช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้ายบำรุงร่างกาย จะรู้ได้อย่างไรว่าคุณชายหวังกินเข้าไปแล้วจะคลุ้มคลั่งอาละวาดเช่นนี้ เมื่อก่อนเวลามีคนข่มฤทธิ์เดชสมุนไพรไม่ได้ ขับลมร้อนออกไปสักหน่อยก็หายแล้ว บางทีเจ้าสิ่งนี้อาจแตกต่างจากสมุนไพรชนิดอื่น ไม่อย่างนั้นจะเป็นถึงขั้นนี้ได้หรือ เอาอย่างนี้แล้วกัน ตอนข้าเข้าไปเอารากวิญญาณหยกเพลิงในวังหลวง ถือโอกาสหยิบม้วนคัมภีร์ส่วนที่เหลืออยู่ติดมือมาด้วย ตอนนี้ยังไม่มีเวลาอ่าน เห็นแก่ที่เจ้าต้องลำบากปานนี้ข้าจะช่วยดูให้เจ้าเองว่าต้องข่มฤทธิ์สมุนไพรอย่างไร”

เถิงอวี้อี้หรี่ตาลงครุ่นคิด บอกว่ายังไม่เคยอ่านเลยน่ะหรือ เห็นได้ชัดว่าจะต้องวางแผนไว้แต่แรก คนผู้นี้นิสัยเลวร้ายไม่สิ้นสุดจริงๆ เมื่อตอนบ่ายก็สั่งสมโทสะเอาไว้เต็มท้อง คาดว่าคงอยากกลั่นแกล้งนางอยู่นานแล้ว อาการเพิ่งกำเริบมาได้ครึ่งชั่วยาม เขายังรอดูเรื่องตลกขบขันของนางอยู่ไม่ใช่หรือ จะเป็นฝ่ายบอกวิธีข่มฤทธิ์ยาให้ได้อย่างไร

นางกลับอยากเห็นเหมือนกันว่าเขาจะกลั่นแกล้งนางต่อไปเช่นไร จึงเค้นเสียงลอดไรฟันออกมาประโยคหนึ่ง “เช่นนั้นคงต้องรบกวนซื่อจื่อช่วยชี้แนะแล้ว”

ระหว่างการสนทนา ลุงเฉิงกับฮั่วชิวก็ลงแตะมุมชายคาอย่างไร้สุ้มเสียงพลางขยับเข้ามา

ลิ่นเฉิงโย่วแสร้งทำท่าหยิบสมุดเล่มเล็กขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมา มิใช่รูปแบบของม้วนคัมภีร์ที่เถิงอวี้อี้คิดไว้ในคราแรก เขาถืออยู่ในมือพลางพลิกหน้ากระดาษเล่น ก่อนจะชี้ไปที่จุดหนึ่งในสมุดตามอำเภอใจ “เจอแล้ว รากวิญญาณหยกเพลิงมีฤทธิ์ยาแปลกนัก หากมันพบกับผู้แข็งแกร่งจะเป็นคุณ หากมันพบกับผู้อ่อนแอจะเป็นโทษ ผู้ฝึกวรยุทธ์กินแล้วจะเพิ่มพูนพลังปราณเสริมสร้างรากฐาน แต่ถ้าผู้สูงวัยหรือคนอ่อนแอกินเข้าไปฤทธิ์ยากลับจะรุกล้ำเข้าสู่ร่างกายคนผู้นั้น อาการเบาหน่อยก็เป็นไข้ตัวร้อน กระหายน้ำผิดปกติ อารมณ์แปรปรวน อาการหนักหน่อยก็จะเกิดผื่นไอร้อนขึ้นทั่วร่างกาย”

ลุงเฉิงกับฮั่วชิวที่หัวใจบีบรัดแน่นมาตลอดได้ยินประโยคนี้แล้วค่อยถอนหายใจโล่งอก ถึงอย่างไรก็แค่เกิดผื่นคันตามร่างกาย ไม่ถึงขั้นกระทบกระเทือนอวัยวะภายใน “ถ้าอย่างนั้นขอถามซื่อจื่อ วิธีข่มฤทธิ์ยาคืออะไรหรือ”

“วิธีถอนพิษสลายไอร้อนทั่วไปใช้ไม่ได้ผล จะต้องอาศัยกำลังภายในของตนเองเท่านั้นถึงจะสลายฤทธิ์ร้อนของมันไปได้ คนที่ดื่มน้ำแกงแล้วจะต้องฝึกฝนกระบวนท่าสักชุดหนึ่งภายในเวลาอันสั้น ไม่อย่างนั้นจะมีผื่นไอร้อนผุดขึ้นมาไม่จบสิ้น”

เถิงอวี้อี้พอได้ยินว่าจะเกิด ‘ผื่นไอร้อน’ สีหน้าก็ยิ่งย่ำแย่มากกว่าเดิมแล้ว หากในมือมีมีดสักเล่มคงกรีดหน้าลิ่นเฉิงโย่วให้ลายพร้อยไปนานแล้ว ทว่าพอได้ยินคำว่า ‘ฝึกวรยุทธ์’ ก็นิ่งอึ้งไปโดยไม่รู้ตัว

นับตั้งแต่นางฟื้นคืนชีพมาเคยมีแผนการจะฝึกวรยุทธ์จริงๆ แต่เพราะตวนฝูบาดเจ็บยังไม่หายดีจึงปล่อยทิ้งไว้มาจนถึงตอนนี้ หากครั้งนี้กำจัดมารผีดิบได้อย่างราบรื่น หลังกลับไปก็จะจัดการเรื่องฝึกวรยุทธ์แล้ว

ทว่าความสมัครใจกับการถูกบังคับเป็นคนละเรื่องกัน

“คุณชายหวังมองข้าเช่นนี้ด้วยเหตุใดกัน” ลิ่นเฉิงโย่วเผยรอยยิ้มแฝงความหมายลึกซึ้ง “รากวิญญาณหยกเพลิงเป็นของล้ำค่าหายากในใต้หล้านี้ ผู้คนมากมายทำได้เพียงเฝ้าฝันถึง ข้ามอบสมุนไพรวิเศษให้อย่างไม่เสียดาย คุณชายหวังไม่ขอบคุณข้า กลับมาลงไม้ลงมือใส่ข้า ตอนนี้ข้าก็บอกวิธีข่มฤทธิ์ยาให้เจ้าฟังแล้ว ก็แค่ฝึกฝนวิชาเองไม่ใช่หรือ เห็นเจ้าอายุยังน้อย ไม่ฉวยโอกาสนี้ฝึกเรียนรู้ยืดเส้นยืดสาย ทั้งสามารถข่มฤทธิ์ยาได้ ทั้งช่วยให้ร่างกายแข็งแรง รากวิญญาณหยกเพลิงช่วยเพิ่มกำลังภายในอย่างได้ผลจนน่าทึ่ง ขอเพียงเจ้าข่มฤทธิ์ยาสำเร็จราบรื่น พลังวรยุทธ์ก็จะเพิ่มพูนรวดเร็วเจ็ดถึงแปดปีได้อย่างไม่มีปัญหา”

ลิ่นเฉิงโย่วกล่าวพลางมองสำรวจเถิงอวี้อี้ไปด้วย ราวกับกำลังศึกษาว่าผื่นไอร้อนเม็ดแรกของนางจะผุดขึ้นมาจากตรงที่ใด เขาไม่เชื่อว่าเถิงอวี้อี้จะยอมลำบากฝึกวรยุทธ์ ฉะนั้นผื่นไอร้อนไม่อยากจะผุดก็ต้องผุดออกมาแล้ว

หากไม่มองคงไม่รู้เลย เมื่อจ้องมองถึงสังเกตเห็นว่าใบหน้าเถิงอวี้อี้ไม่มีกระทั่งรอยไฝเล็กๆ ผิวพรรณเนียนละเอียดดุจหยก บอบบางเสียยิ่งกว่าดอกอิงฮวาในฤดูใบไม้ผลิ หากมีผื่นไอร้อนสีแดงเข้มผุดขึ้นมาเป็นหย่อมคงสนุกสนานน่าดูชม

เขาครุ่นคิดอยู่ในใจรอบหนึ่ง แสยะยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วถอนสายตากลับมา ไหนเลยจะรู้ว่าแพขนตาของเถิงอวี้อี้กะพริบครั้งเดียวกลับเค้นหยาดน้ำตาใสแวววาวออกมาได้

หยาดน้ำตาไหลรินอย่างเงียบงันดุจหยาดน้ำค้างเกาะพราวบนแก้มนวล จากนั้นนางก็สูดจมูกฟุดฟิด หยาดน้ำตาที่เอ่อคลอขอบตาประหนึ่งสร้อยมุกถูกกระชากขาดสะบั้น ยิ่งกลิ้งออกไปไกลเท่าไรก็ยิ่งดี

ลิ่นเฉิงโย่วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เพียงเท่านี้ก็รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้ว?

น้ำแกงชามนี้นางดื่มเข้าไปเองแท้ๆ เขาไม่ได้บังคับให้นางดื่ม จะว่าไปแล้วตั้งแต่รู้จักกับนางมาเขาก็ไม่เคยมีเวลาว่างเลย เทียบกับสิ่งที่นางทำลงไปตลอดหลายวันมานี้เขาแทบจะเรียกได้ว่ามีจิตใจดั่งพระโพธิสัตว์ คืนนี้ถือว่านางยกหินหล่นทับเท้าตนเอง เคยใช้ประโยชน์จากเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อไปกี่ครั้งแล้ว คงคิดไม่ถึงว่าเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อก็มีช่วงเวลาที่พึ่งพาไม่ได้เช่นกันกระมัง

“คุณชายหวังค่อยๆ ร้องไห้ไปเถอะ” ลิ่นเฉิงโย่วหัวเราะอย่างเริงร่า สองมือไพล่หลังเดินเฉียดผ่านข้างกายเถิงอวี้อี้ “ยาชนิดนี้ไม่ชอบอารมณ์เศร้าสลดหดหู่ที่สุด ยิ่งร้องไห้เท่าไร ผื่นไอร้อนยิ่งขึ้นมากเท่านั้น”

เถิงอวี้อี้สะอื้นออกมาคำหนึ่ง ถึงแม้ลิ่นเฉิงโย่วจะไร้ความรู้สึกดั่งก้อนหิน กลับรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาเช่นกัน เถิงอวี้อี้ไม่เหมือนคนที่พบเจอปัญหาก็เอาแต่ร้องไห้พรรค์นั้นเลย แค่มีผื่นไอร้อนขึ้นมาเองมิใช่หรือ ทำราวกับฟ้าจะถล่มลงมากระนั้น

เขาจึงหยุดฝีเท้าเหลียวกลับไปมองด้วยความอยากรู้ พลันประกายแสงสีเงินพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว เบื้องหน้ามีเข็มเงินลอบจู่โจมประหนึ่งห่าฝน

“ศิษย์พี่ ระวัง!” ชี่จื้อตะโกนลั่น

ก่อนหน้านี้ลิ่นเฉิงโย่วเคยพลาดท่าเพราะเถิงอวี้อี้มาครั้งหนึ่งแล้ว รู้ว่านางชอบซุกซ่อนอาวุธลับเข็มพิษเอาไว้บนร่าง เดิมทีก็คอยระแวดระวังอยู่ทุกขณะ เมื่อครู่การร้องไห้ครั้งนี้เกือบทำให้เขาหลงกลนางแล้ว

เขาสะบัดแขนเสื้อปัดเข็มเงินไปได้มากกว่าครึ่ง แต่กระบวนท่านี้มาอย่างปุบปับฉับพลัน ต่อให้เขาจะลงมือว่องไวปานสายฟ้าแต่ก็ยังคงมีเข็มเงินสองสามเล่มพุ่งตรงเข้าใส่หน้าอกและหน้าท้อง ลิ่นเฉิงโย่วเบี่ยงตัวกระโดดหลบ เหยียบกระเบื้องแล้วเหาะเหินลงไปด้านล่าง ตลอดทางเหยียบย่ำไต่อากาศจนแตะพื้นดินโล่งกว้างหน้าห้องโถงกลางได้อย่างสง่างาม

เขาหันหลังกลับไปมองด้านบนโดยพลัน เห็นเถิงอวี้อี้ยืนจ้องมองเขาอยู่ใต้แสงจันทร์

“เถิงอวี้อี้! เจ้ายังกล้าลอบทำร้ายข้าอีกรึ!”

เพียงชั่วอึดใจเถิงอวี้อี้ก็เก็บน้ำตาเรียบร้อย เชิดหน้าขึ้นเดินเหยียบกระเบื้องจากไป “ขอบคุณซื่อจื่อมากที่บอกวิธีข่มฤทธิ์ยาให้ข้ารู้ ส่วนข้าจะรับสมุนไพรวิเศษนี้ได้หรือไม่คงต้องดูความสามารถของตนเองแล้ว”

ตอนแรกลิ่นเฉิงโย่วคิดจะกระโดดกลับขึ้นไปบนหลังคา แต่แล้วก็เก็บมือกลับมา มองเงาร่างเถิงอวี้อี้แวบหนึ่งด้วยแววตาแฝงความนัย ก่อนจะหันหน้ากลับไปยังเรือนหลัง

 

ทางฝั่งเจวี๋ยเซิ่งเพิ่งจะติดยันต์นอกห้องเจวี่ยนเอ๋อร์หลีเสร็จ พอจัดการงานนี้เรียบร้อยแล้วก็เดินตรวจสอบตามแนวระเบียงทางเดินไปทีละห้อง หลังแม่นางเก๋อจินไล่เจวี่ยนเอ๋อร์หลีออกมาแล้วก็ปิดประตูเงียบเชียบ เขาอยู่ด้านนอกแทบไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว แต่ว่าจะดีจะร้ายอย่างไรยันต์บนประตูก็ยังอยู่ดี

ระหว่างที่เขากำลังขบคิดไตร่ตรองก็หันไปเห็นลิ่นเฉิงโย่วกับชี่จื้อเดินมา จึงรีบเดินเข้าไปรับหน้า “ศิษย์พี่ คุณชายหวังเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยว่า “พวกเจ้ามีใจห่วงใยเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องจริงนะ งานที่ข้าให้ทำเสร็จแล้วหรือ”

“ศิษย์พี่วางใจเถอะ ทำเสร็จหมดแล้วขอรับ” เจวี๋ยเซิ่งตบหน้าอกตนเองดังป้าบๆ

ขณะเอ่ยตอบศิษย์พี่ เขากับชี่จื้อต่างขยิบตาให้กัน หลังกลับมาถึงห้องอย่างกลัดกลุ้มกังวลชี่จื้อก็ยืนอยู่ข้างกายลิ่นเฉิงโย่วอย่างสงบเสงี่ยม เอ่ยเสียงอู้อี้ว่า “ศิษย์พี่ คุณชายหวังไม่สบายตัวถึงเพียงนั้น สาเหตุเป็นเพราะดื่มน้ำแกงรากวิญญาณหยกเพลิงจริงหรือ”

ลิ่นเฉิงโย่วหยิบกระดาษปึกหนึ่งออกจากอกเสื้อ “นางข่มฤทธิ์น้ำแกงรากวิญญาณหยกเพลิงไม่ได้ สองสามวันนี้ต้องลำบากสักหน่อย”

เด็กชายทั้งสองมีสีหน้าตกใจ เป็นเพราะข่มฤทธิ์น้ำแกงรากวิญญาณหยกเพลิงไม่ได้จริงๆ น่ะหรือ

“ถ้า…ถ้าอย่างนั้นต้องทำเช่นไรถึงข่มฤทธิ์ยาได้”

“ข้าบอกวิธีข่มฤทธิ์ยากับนางไปแล้ว ไม่อยากมีผื่นไอร้อนขึ้นตามตัวคงต้องฝึกวรยุทธ์แล้ว ขอเพียงยอมฝึกฝนกำลังภายใน เท่ากับจะได้พลังมาเจ็ดแปดปีโดยไม่ต้องเปลืองแรง หากกระทั่งความลำบากเพียงเท่านี้ยังไม่ยอมรับ ก็โทษคนอื่นไม่ได้แล้ว”

ในตอนนี้ชี่จื้อเข้าใจกระจ่างหมดแล้ว ทั้งรู้สึกละอายใจและเสียใจอย่างห้ามไม่อยู่ “ศิษย์พี่ ถึงอย่างไรคุณชายหวังก็ไม่เคยฝึกวรยุทธ์มาก่อน ตอนนี้แม้ว่ายังอายุไม่มาก แต่ได้ยินว่าก็ล่วงเข้าวัยปักปิ่นแล้ว หากเริ่มฝึกตั้งแต่ต้นจริงจะต้องทรมานมากแน่ๆ แต่ถ้ามัวรีรอไม่ยอมฝึกให้เส้นชีพจรเปิดโล่งสักสองสามเส้น จะมีผื่นไอร้อนขึ้นมาหลายเม็ดจริงๆ ใช่หรือไม่ขอรับ”

“ไม่ใช่แค่เม็ดสองเม็ด แต่ขึ้นเป็นแถบ”

เจวี๋ยเซิ่งคิดถึงสภาพใบหน้าเถิงอวี้อี้ที่มีผื่นไอร้อนขึ้นเต็มไปหมด จู่ๆ ร่างกายก็หนาวสะท้านขึ้นมา “ศิษย์พี่ อย่าว่าแต่คุณชายหวังเลย แม้แต่ขันทีถวายการรับใช้ใกล้ชิดในวังหลวงยังไม่ชอบให้หน้าเป็นรอยแผล คุณชายหวังที่แท้แล้วหน้าตางดงามปานนั้น หากมีผื่นไอร้อนขึ้นมาแล้วทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้เต็มหน้าคงน่าเสียดายยิ่งนัก ศิษย์พี่ ไม่มีวิธีอื่นเลยหรือขอรับ”

“ไม่มี” ลิ่นเฉิงโย่วยกตะเกียงเข้ามาใกล้พลางคลี่เปิดกระดาษที่อยู่ในมือ “รากวิญญาณหยกเพลิงเป็นสมุนไพรวิเศษอันดับหนึ่งในใต้หล้า ในเมื่อจับพลัดจับผลูดื่มไปแล้ว คงต้องอาศัยความสามารถตนเองข่มฤทธิ์มันไป มีอย่างที่ใดจะเอาแต่ผลประโยชน์ไปหมดโดยไม่ยอมทนลำบากสักนิด”

ชี่จื้อเดินวนไปวนมาด้วยความร้อนใจ “เป็นความผิดข้า! เป็นความผิดข้าเอง! รู้แต่แรกก็คงไม่แบ่งน้ำแกงให้คุณชายหวังดื่มแล้ว” ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็สว่างวาบขึ้นมา “ศิษย์พี่ ครั้งก่อนฝ่าบาทเคยตรัสกับท่านอาจารย์ว่าในวังหลวงมีตำรากระบี่ชื่อ ‘กระบี่ดอกท้อหรู่หนาน’ ว่ากันว่าเพลงกระบี่ชุดนี้เหมาะสำหรับคนที่มีร่างกายอ่อนแอใช้ฝึกฝนในช่วงแรก ที่สำคัญกระบวนท่าเรียบง่าย ไม่อย่างนั้นศิษย์พี่ใช้เพลงกระบี่นี้ชี้แนะคุณชายหวังก่อนดีหรือไม่ขอรับ”

ลิ่นเฉิงโย่วมีสีหน้าแปลกพิกลขึ้นมาฉับพลัน “เพลงกระบี่ดอกท้อ? ข้าสอน? ตามความเห็นข้า คนที่ร้อนใจจนประสาทเสียไม่ใช่คุณชายหวัง แต่เป็นเจ้ามากกว่า ชี่จื้อ”

เจวี๋ยเซิ่งทอดถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม “ศิษย์พี่ หากเป็นอาจือจวิ้นจู่มีผื่นไอร้อนขึ้นตามตัว ท่านจะยังนิ่งดูดายหรือไม่”

ลิ่นเฉิงโย่วคลี่ม้วนไม้ไผ่ “แน่นอนว่าไม่มีทางนิ่งดูดาย แต่อาจือเป็นน้องสาวข้า ส่วนคุณชายหวังกับข้าเกี่ยวข้องอะไรกันเล่า”

“ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่ขอเพียงท่านลองคิดว่าอาจือจวิ้นจู่มีผื่นไอร้อนขึ้นตามตัวจะร้อนใจเพียงใด คงพอเข้าใจความรู้สึกคุณชายหวังในตอนนี้ได้แล้ว”

ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยตัดบทศิษย์น้องทั้งสอง “พวกเจ้าลืมไปแล้วใช่หรือไม่ว่าตนเองยังโดนลงโทษอยู่ ยันต์คัดลอกเสร็จแล้ว? ทบทวนบทเรียนเรียบร้อยแล้ว? ไม่อยากกลับไปเข้าห้องกักบริเวณก็อย่าโอ้เอ้ รีบไปที่ศาลเจ้าหลังเล็กทำความสะอาดตาค่ายกลเสีย จำคำที่ข้าพูดไว้ให้ดี ต้องสะอาดทุกซอกทุกมุมไม่มีตกหล่น หากกล้าอู้งานพรุ่งนี้ยังต้องรับโทษหนักอีก”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อตระหนักดีว่าไม่อาจโน้มน้าวใจได้ในชั่วครู่ชั่วยาม ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็กลับห้องแล้ว จะร้อนใจเพียงใดคงต้องรอวันพรุ่งนี้ เด็กชายทั้งสองจำใจลุกขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ศิษย์พี่ ถ้าคืนนี้พวกเราไปอยู่ที่ศาลเจ้า คุณชายหวังกับพวกนางสองคนใครจะคอยดูแลเล่า”

“คืนนี้ข้าจะนอนที่นี่”

เด็กชายสองคนเดินไปถึงข้างประตูแล้วก็รีบวิ่งกลับมา “ศิษย์พี่ ท่านตรวจสอบพบอะไรแล้วใช่หรือไม่”

พวกเขาเอ่ยถามแล้วหันไปมองที่โต๊ะข้าง ต้องประหลาดใจที่เห็นหลักทรัพย์จำนำกองหนึ่ง ของจำนำที่ระบุในตั๋วเป็นเครื่องประดับมีค่าแทบทั้งสิ้น

พออยากจะเห็นว่าคนจำนำของคือผู้ใด แต่ตำแหน่งมุมล่างด้านขวาซึ่งควรจะลงชื่อเอาไว้กลับเป็นรอยนิ้วมือสีแดงเข้มประทับอยู่ พวกเขาคิดดูก็เข้าใจได้ว่าคนผู้นั้นคงไม่รู้หนังสือเป็นแน่

“ศิษย์พี่ ตั๋วจำนำมาจากที่ใดกัน คนผู้นี้เหตุใดต้องจำนำเครื่องประดับมากมายเช่นนี้ด้วย”

ลิ่นเฉิงโย่วไม่สนใจคำถามนี้ เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเบนสายตามองไปทางมุมอื่นอย่างเก้อเขิน บนโต๊ะยังมีกระดาษอีกกองหนึ่ง เมื่อลองพลิกดูทีละใบจึงเห็นว่าเป็นสัญญาขายตัวของดาวเด่นในหอจำนวนสิบคนตามลำดับ โดยด้านบนสุดเขียนชื่อแซ่และบ้านเกิดของแม่นางเว่ยจื่อกับแม่นางเหยาหวงเอาไว้

เพียงเท่านี้ก็แล้วไปเถิด แต่ชื่อที่เขียนอยู่บนกระดาษแผ่นนั้นในมือลิ่นเฉิงโย่วกลับเป็นชื่อที่ไม่คุ้นตาอย่างสิ้นเชิง

“ศิษย์พี่ เถียนอวิ่นเต๋อเป็นใครกันขอรับ”

ลิ่นเฉิงโย่วตัดแต่งไส้ตะเกียงเพื่อให้แสงสว่างจ้ากว่าเดิมพลางเอ่ยตอบ “เถ้าแก่ร้านขายผ้าไหมคนก่อน”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อตกใจกลัวจนตัวสั่น เถ้าแก่ร้านค้าผู้นี้ป่วยตายไปเพราะโรคปวดศีรษะเมื่อปีที่แล้ว

“แล้วชีซื่อผู้นี้เป็นใครอีกเล่า”

ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ย “ภรรยาร่วมผูกผม* ของเถียนอวิ่นเต๋อ”

“สตรีที่บีบให้อนุภรรยาของสามีฆ่าตัวตายน่ะหรือ” เจวี๋ยเซิ่งถามอย่างงุนงง “ศิษย์พี่ ท่านกำลังสืบเรื่องสาเหตุการตายของชิงจืออยู่ไม่ใช่หรือไร ไยถึงไปสืบเรื่องสามีภรรยาเจ้าของร้านขายผ้าไหมอีกเล่า ได้ยินว่าหอไฉ่เฟิ่งเพิ่งเปิดกิจการเมื่อครึ่งปีก่อน แต่สามีภรรยาคู่นี้กลับตายไปหนึ่งปีกว่าแล้ว”

ได้ยินว่า อีกแล้วสิ

ลิ่นเฉิงโย่วเหลือบตามองพวกเขาสองคน “พวกเจ้าอยู่ในหอไม่กี่วันมานี้ หูน้อยๆ ของพวกเจ้าไม่เคยว่างเว้นสักชั่วขณะเลยใช่หรือไม่”

เด็กทั้งสองไม่กล้าพูดสักคำ ศิษย์พี่ยังโกรธพวกเขาไม่หาย หากยังพูดมากต่อไปอีกเกรงว่าจะต้องโดนเพิ่มโทษเท่าหนึ่งแน่

“เมื่อครู่พูดจู้จี้จุกจิกไม่ยอมหยุดปาก พอถึงเวลาต้องพูดกลับใบ้กินอีก ได้ยินอะไรกันมา เล่าให้ข้าฟังสิ”

เจวี๋ยเซิ่งสีหน้าสดชื่นขึ้นมา “ศิษย์พี่ ครั้งก่อนตอนข้าฟังเจวี่ยนเอ๋อร์หลีเล่าเรื่อง ก่อนเถ้าแก่ร้านผ้าไหมจะตายก็ล้มป่วยมาหลายเดือนแล้ว ในคืนที่เขาจากไปมีหมอหลายคนเป็นพยานได้ สาเหตุการตายไม่มีสิ่งใดน่าสงสัย กลับเป็นเถียนฮูหยินหรือชีซื่อผู้นั้น นิสัยใจคอดุร้ายละโมบโลภมากมาตลอด ต่อให้สามีจะป่วยตายไปก็ไม่มีทางคิดสั้นฆ่าตัวตาย แต่ภายหลังขุนนางฝ่ายกฎหมายของอำเภอมาตรวจสอบอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็ไม่พบอะไร”

ชี่จื้อก็เอ่ยด้วยเสียงอ่อนลง “ยังได้ยินว่าเถ้าแก่เถียนผู้นี้หวาดกลัวภรรยายิ่งนัก ทั้งที่รู้ว่าอนุภรรยาโดนฮูหยินบีบให้ฆ่าตัวตาย ก็ยังไม่กล้าโวยวายอาละวาด ต่อมาเถียนอวิ่นเต๋อก็ตกใจจนล้มป่วยเพราะเรื่องนี้ เอาแต่พูดว่าเห็นเงาผีอนุภรรยาเดินวนเวียนอยู่ในลานกว้าง”

ลิ่นเฉิงโย่วจดจ่ออยู่กับการจับพู่กันเขียนลงบนกระดาษ

เถียนอวิ่นเต๋อ ตายตอนอายุสี่สิบปี เป็นชาวจางชิว บรรพบุรุษค้าขายเลี้ยงชีพ เนื่องจากดูแลทรัพย์สินล้มเหลว ฐานะครอบครัวขัดสน ปีติงเหม่าที่เหอหนานประสบภัยอดอยาก จึงอพยพครอบครัวมาฉางอัน ชีซื่อผู้เป็นภรรยาเพื่อหาเงินประทังชีวิตจึงนำสินเจ้าสาวไปจำนองมากมาย เถียนอวิ่นเต๋อใช้เงินทุนก้อนนี้ไปซื้อผ้าไหมแพรพรรณ ด้วยเหตุนี้จึงตั้งตัวทำอาชีพค้าขายผ้าไหม

ชีซื่อ ตายตอนอายุสี่สิบเอ็ด เป็นชาวจางชิว ปีติงเหม่าติดตามสามีมาฉางอัน

 

เจวี๋ยเซิ่งเอ่ยว่า “ปีติงเหม่า? นี่ไม่เท่ากับว่ามาฉางอันเมื่อสิบปีก่อนหรือ ข้าได้ยินเอ้อต้าเหนียงเล่าว่า ร้านผ้าไหมไฉ่ป๋อนี้ขายแต่ผ้าไหมแพรพรรณชั้นเลิศ หลายปีที่ผ่านมากิจการคึกคักรุ่งเรือง เมื่อเอ่ยถึงร้านขายผ้าไหมในฉางอัน ทุกคนต่างแนะนำร้านของเถ้าแก่เถียนเป็นอันดับแรก ข้ายังนึกว่าเถ้าแก่เถียนมีทรัพย์สินเก็บสะสมไว้ถึงได้เปิดกิจการใหญ่โต ไม่คิดว่าเมื่อสิบปีก่อนเขาเพิ่งจะสร้างฐานะ ศิษย์พี่ นี่เรียกว่าสร้างตัวจากสองมือเปล่ากระมัง”

ด้านชี่จื้อกลับส่ายหน้า “ไม่นับหรอกนะ หากไม่ใช่เพราะเถียนฮูหยินยอมขายสินเจ้าสาว เถียนอวิ่นเต๋อก็คงไม่มีทุนรอนทำการค้า มิน่าเล่าเขาถึงกลัวภรรยาปานนั้น”

พวกเขาพูดคุยกันไปพลางเหลียวมองรอบข้างด้วยความสนอกสนใจ หอสูงแห่งนี้แม้จะกลายเป็นหอคณิกาไปแล้ว แต่เครื่องเรือนตกแต่งส่วนใหญ่หลงเหลือมาจากร้านผ้าไหมไฉ่ป๋อ เพียงแค่มองดูศาลา เรือนที่พัก ห้องหับ และรั้วกั้นระเบียงทางเดิน ก่อนหน้านี้จะเห็นความประณีตพิถีพิถันไปทุกส่วน ช่วงเวลาอันสั้นแค่สิบปีสามารถสร้างให้หรูหราโอ่อ่าถึงขั้นนี้ได้ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว น่าเสียดายสองสามีภรรยาบทจะตายก็ด่วนตายจากไปรวดเร็วนัก ทรัพย์สินมากมายมหาศาลจึงกระจัดกระจายหายไปหมดสิ้นในคืนเดียว

ลิ่นเฉิงโย่วปล่อยให้พวกเขาสองคนบ่นพึมพำ ส่วนตนเองหันมาจับพู่กันจดบันทึกเกี่ยวกับบ้านเกิดของคนที่สาม

 

หรงซื่อ เป็นชาวเยวี่ยโจว มารดาเป็นหญิงทอผ้าในเยวี่ยโจว บิดาไม่ทราบแน่ชัด ปีอิ๋นปิ่งเถียนอวิ่นเต๋อไปซื้อผ้าไหมที่เยวี่ยโจว ได้มอบทองคำให้จำนวนมากเพื่อซื้อตัวหรงซื่อมาเป็นอนุภรรยา เดือนหกปีเดียวกันหรงซื่อติดตามเถียนอวิ่นเต๋อกลับฉางอัน เดือนสิบกระโดดบ่อน้ำฆ่าตัวตาย จบชีวิตลงเมื่ออายุสิบหกปี

 

ชี่จื้อเอ่ยปากอย่างอดไม่อยู่ “ที่แท้อนุภรรยาผู้นั้นแซ่หรง จะว่าไปแล้วก็เป็นคนน่าสงสาร แต่งเข้ามาไม่ถึงสี่เดือนก็กระโดดบ่อน้ำฆ่าตัวตายแล้ว จริงสิ ชิงจือบอกว่านางกับหรงซื่อเป็นคนบ้านเดียวกัน หรือว่าชิงจือก็เป็นชาวเยวี่ยโจว”

เจวี๋ยเซิ่งกวาดสายตาตรวจสอบบนโต๊ะข้าง ไม่นานก็ตามหาชื่อของชิงจือจนพบ “ไม่ถูกสิ ไม่ถูก ชิงจือเป็นชาวสิงหยาง น่าแปลกจริง เพราะเหตุใดนางถึงบอกว่าตนเองกับหรงซื่อเป็นคนบ้านเดียวกัน พลั้งเผลอจำผิดไปหรือว่าจงใจโกหกกันแน่”

ชี่จื้อตะลึงงันไปชั่วขณะ สีหน้าเริ่มแปลกพิกลขึ้นมา “ไม่ว่านางจะโกหกหรือไม่ เจวี๋ยเซิ่ง เจ้าไม่รู้สึกว่ามันแปลกๆ บ้างหรือ ชิงจือเพิ่งจะมาหลังหอไฉ่เฟิ่งเปิดกิจการแล้ว ตอนนั้นหรงซื่อกระโดดบ่อน้ำไปเกือบหนึ่งปีแล้ว พวกนางสองคนไม่เคยไปมาหาสู่กัน นางจะเคยเห็นหรงซื่อได้อย่างไร”

เจวี๋ยเซิ่งเอียงศีรษะครุ่นคิด “เรื่องนี้ก็ไม่เห็นแปลก อย่าลืมสิว่าชิงจือติดตามว่อต้าเหนียงมาตั้งแต่เล็ก ว่อต้าเหนียงเป็นถึงแม่เล้าที่มีประสบการณ์โชกโชนที่สุดในผิงคังฟาง ชิงจือมักเดินเตร็ดเตร่อยู่ในย่านนี้ ต้องเดินผ่านร้านผ้าไหมไฉ่ป๋ออย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว บางทีชิงจือคงเคยพบกับหรงซื่อมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว”

ลิ่นเฉิงโย่วดีดกระดาษจดบันทึก “พูดจ้อพอได้หรือยัง หันหน้าไปดูกาน้ำหยด* นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อทำเดินอิดออดถ่วงเวลาไปจนถึงประตู พลันคิดถึงแม่นางเก๋อจินที่โวยวายหาเรื่องเพราะไม่ยอมอยู่ร่วมห้องกับเจวี่ยนเอ๋อร์หลีขึ้นมาได้ จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์พี่ พวกเราอยากถามมานานแล้ว ครั้งก่อนตอนมาหอไฉ่เฟิ่งบาดแผลบนใบหน้าแม่นางเก๋อจินยังดูสดใหม่ เป็นฝีมือคนหรือว่าวิญญาณอาฆาตทำร้าย มองปราดเดียวก็ดูออกแล้ว ทั้งที่แม่นางเก๋อจินโดนคนทำร้าย เพราะเหตุใดศิษย์พี่ถึงบอกว่าเป็นฝีมือวิญญาณอาฆาตข่วนหน้ากัน”

ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยยิ้มๆ “ดีมาก นับว่าพอมีความก้าวหน้า รู้แก่ใจว่าข้าจงใจพูดออกไปผิดๆ กลับไม่ผลีผลามหลุดปากพูดออกมา ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าลองว่ามาซิ เพราะเหตุใดข้าถึงต้องทำเช่นนั้น”

เจวี๋ยเซิ่งดวงตาพลันสว่างวาบ “ศิษย์พี่กลัวว่าพูดความจริงออกไปจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นกระมัง ศิษย์พี่ ท่านรู้แล้วใช่หรือไม่ว่าผู้ใดเป็นคนทำร้ายแม่นางเก๋อจิน ข้าคาดเดาว่าต้องเป็นใครสักคนในบรรดาดาวเด่นทั้งสิบเหล่านั้น เพราะว่าริษยาชิงชังแม่นางเก๋อจินที่มาแย่งชิงความโดดเด่นไปเสียทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นถึงได้ทำให้นางเสียโฉม”

ชี่จื้อเอ่ยขึ้นต่อ “แต่คืนนี้บ่าวรับใช้ผู้นั้นบอกว่าตอนแม่นางเก๋อจินเกิดเรื่องเถ้าแก่เฮ่อเคยตรวจสอบไปแล้ว ดาวเด่นทั้งสิบคนล้วนไม่อยู่ในเรือนหลัง”

“ไม่ใช่ว่ายังมีสาวใช้ประจำตัวหรือบ่าวหญิงอาวุโสหรือไร ตนเองไม่อยู่ในที่เกิดเหตุอาจบงการให้บ่าวไพร่ระดับล่างลงมือก็ได้ ข้ายังรู้สึกว่าแม่นางเว่ยจื่อกับแม่นางเหยาหวงน่าสงสัยที่สุด ถึงอย่างไรบ่าวรับใช้ในหอก็เคยบอกไว้แล้ว ดาวเด่นคนอื่นถึงจะมีความสามารถยอดเยี่ยม กลับไม่มีหวังจะได้เป็นยอดบุปผา แต่แม่นางเว่ยจื่อกับแม่นางเหยาหวงสองคนนี้ขาดอีกเพียงก้าวเดียวก็จะถูกกำหนดชื่อแล้ว ศิษย์พี่ ข้าคาดเดาถูกหรือไม่ขอรับ”

ลิ่นเฉิงโย่วไม่ออกความคิดเห็นใดๆ

เจวี๋ยเซิ่งจึงถือว่าตนเองคาดเดาถูกแล้ว ตบหน้าอกดังปั้กอย่างตื่นเต้นยินดี “ให้ข้าคิดดูก่อน ตอนพวกเราช่วยแม่นางเก๋อจินมาจากคุณชายเสื้อทองคำก็เคยเห็นเครื่องเรือนตกแต่งในห้องนางมาหมดแล้ว ภายในห้องยกเว้นหน้าต่างบานนั้นที่อยู่ข้างเตียงนอนก็มีแค่ประตูห้องแล้ว ตอนเกิดเรื่องคืนนั้นแม่นางเก๋อจินเข้านอนไปนานแล้ว ‘วิญญาณอาฆาต’ วิ่งปรี่ตรงมาที่เตียงข่วนหน้านางจนเหวอะหวะ หากเป็นคนปลอมตัวมาจริงจะแฝงตัวเข้ามาในห้องได้อย่างไรเล่า”

ลิ่นเฉิงโย่วปรบมือเปาะแปะ “มีความก้าวหน้า พวกเจ้าลองคิดให้ดีๆ พิจารณาจากเงื่อนไขในคืนนั้นว่า ‘ผี’ ตนนั้นจะลอบเข้าห้องแม่นางเก๋อจินมาได้อย่างไร”

“หรือว่านางจะงัดกลอนประตู แต่บริเวณข้างเคียงก็มีแม่นางคนอื่นพักอาศัยอยู่ ต่อให้ไม่กลัวว่าแม่นางเก๋อจินจะได้ยินเสียง ก็อาจโดนคนแถวระเบียงทางเดินพบเห็นก็ได้นะ”

ชี่จื้อใบหน้าเปล่งประกายเจิดเจ้า “หรือว่าจะปีนเข้าไปทางหน้าต่าง” ก่อนจะก้มหน้าคอตกทันใด “ไม่ถูกสิ น้ำในสระรอบศาลาริมน้ำไม่ลึกก็จริง แต่ในสวนมีคนเดินขวักไขว่ไปมา ปีนหน้าต่างเข้ามากลางดึกอาจมีคนพบเห็นได้ทุกเมื่อ”

เจวี๋ยเซิ่งเดินวนไปทั่วห้องสองรอบ ห้องนี้มีผังแบบไม่ต่างจากห้องแม่นางเก๋อจินเท่าใด เพียงเล็กกว่าสักเล็กน้อย เขาชี้ไปทางประตูด้วยความสับสน “หรือว่านางจะซ่อนกุญแจห้องของแม่นางเก๋อจินเอาไว้ล่วงหน้า แต่จากหน้าประตูเดินมาถึงข้างเตียงก็มีระยะทางยาวช่วงหนึ่งเลยนะ นางไม่กลัวแม่นางเก๋อจินจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากะทันหันหรือ พออีกฝ่ายกรีดร้องลั่น ไม่รอให้นางข่วนหน้าแม่นางเก๋อจินก็มีคนบุกเข้ามาแล้ว”

ลิ่นเฉิงโย่วทางหนึ่งหยิบพู่กันจุ่มหมึก ทางหนึ่งเอ่ยเตือนสติพวกเขา “พวกเจ้าเพิ่งบอกว่าในห้องเก๋อจินมีของอะไรบ้างนะ”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อมึนงงไปประเดี๋ยวหนึ่ง “หน้าต่างหนึ่งบาน เตียง ประตู อ้อ ใช่แล้ว ยังมีโต๊ะเครื่องแป้ง โต๊ะข้าง ตั่งเตี้ย เบาะที่นอน ฉากบังลม”

ดวงตาของเด็กทั้งสองเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ ประสานเสียงพร้อมกันอย่างคาดไม่ถึง “เตียง?! ตอนนั้นคนร้ายซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงแม่นางเก๋อจินกระมัง”

ลิ่นเฉิงโย่วส่งเสียงอุทานเบาๆ ลูบใบหูแล้วเอ่ยว่า “ต่อให้คาดเดาถูก ก็ไม่เห็นต้องตื่นเต้นกันถึงเพียงนี้”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อกอดกันกลมด้วยความดีใจสุดขีด “ถูกจริงๆ หรือ!”

เจวี๋ยเซิ่งเอ่ยขึ้นอีกว่า “แต่เตียงไม่ใช่ว่าใครก็จะมุดเข้าไปได้ แม่นางเว่ยจื่อรูปร่างอวบอิ่ม เวลามุดเข้าไปคงจะลำบากไม่น้อย ตามความเห็นข้าต้องเป็นแม่นางเหยาหวง นางรูปร่างเล็กบอบบาง ต่อให้ซ่อนอยู่ใต้เตียงหนึ่งชั่วยามก็ไม่ถูกใครพบเห็นแน่นอน”

ชี่จื้อเขย่าร่างเจวี๋ยเซิ่ง “เหตุใดเจ้าถึงได้วนกลับมาที่เว่ยจื่อและเหยาหวงไม่เลิก บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าคืนนั้นพวกนางสองคนไม่ได้อยู่ในหอไฉ่เฟิ่งน่ะ”

ลิ่นเฉิงโย่วเหลือบมองกาน้ำหยด “พอเท่านี้ดีหรือไม่ หากพูดต่อไปอีก เดี๋ยวฟ้าคงสางก่อนแน่ อย่ามัวแต่เกียจคร้าน รีบไปทำงานได้แล้ว ตอนออกไปก็อย่าเอะเอะเสียงดัง เดี๋ยวใครเขาจะตำหนิได้ว่านักพรตน้อยอารามชิงอวิ๋นไม่มีมารยาท หากได้ยินพวกเจ้าคุยกัน พรุ่งนี้ต้องคัด ‘คัมภีร์ยันต์พลังอิน’ เพิ่มหนึ่งร้อยจบ”

แม้เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อจะจิตใจว้าวุ่นเพียงใด ก็ต้องเดินออกไปจากห้องนี้แล้ว พอออกมาแล้วถึงได้สติกลับมา ศิษย์พี่ไม่อนุญาตให้พวกเขาคุยกันตรงระเบียงทางเดินเพราะป้องกันไม่ให้พวกเขาไปหาคุณหนูเถิง

พวกเขาสองคนมองไปทางประตูห้องเถิงอวี้อี้ที่ปิดสนิท พรุ่งนี้จะต้องพูดคุยกับนางให้รู้เรื่อง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าศิษย์พี่เจตนาทำ แต่ก็กลัวว่าพูดไปแล้วคุณหนูเถิงจะไม่เชื่อ ถึงอย่างไรนางกับศิษย์พี่ก็เคยทะเลาะกันมาตั้งหลายครั้งแล้ว

ตอนนี้เถิงอวี้อี้อยู่ในห้องอาบน้ำใหม่อีกรอบแล้ว ก่อนหน้านี้หลังทะเลาะกับลิ่นเฉิงโย่วไปยกนั้นพลังประหลาดในร่างที่พลุ่งพล่านอยู่ตลอดกลับสงบลงในพริบตา นอกจากร่างกายไม่ร้อนผ่าว กลับเย็นสบายปลอดโปร่งเสียด้วย เดิมทีใบหน้ายังคันยุบยิบ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรให้กังวลแล้ว

ดูท่าคืนนี้อาการคงไม่กำเริบซ้ำสอง เถิงอวี้อี้เดินวนไปวนมาในห้อง ก่อนหน้านี้เอาแต่วิ่งห้อตะบึงกระโดดโลดเต้น พอผ่านมาแล้วถึงรู้สึกเหนื่อยล้า พอเห็นว่าตอนนี้เวลาล่วงเลยมามากนางจึงตั้งใจว่าจะนอนหลับสักงีบค่อยว่ากัน

ใครจะรู้ว่านอนหลับไปถึงช่วงกลางดึก ก็ต้องสะดุ้งตื่นเพราะความร้อนอีกแล้ว

เถิงอวี้อี้ลืมตาขึ้นในความมืด สัมผัสได้ว่าแก้มสองข้างคันยุบยิบอย่างประหลาด

คงไม่ได้มีผื่นไอร้อนขึ้นมาแล้วกระมัง

ความง่วงงุนสลายหายไปทันที นางลูบคลำแก้มสองข้างโดยไม่รู้ตัว พอคลำไม่เจออะไรเลยก็รีบหาแท่งจุดไฟมาจุดอย่างร้อนรน แล้วย้ายไปส่องดูตรงคันฉ่องบนโต๊ะเครื่องแป้ง ก็เห็นว่าพวงแก้มเป็นสีแดงเข้มจริงอย่างที่คิดไว้

นางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง มิน่าเล่าลิ่นเฉิงโย่วถึงยอมบอกวิธีข่มฤทธิ์ยาให้นางรู้ ลุงเฉิงคาดการณ์เอาไว้ไม่ผิด เพียงแค่ยืดเส้นยืดสายเล็กน้อยไม่มีทางพอได้ นอกเสียจากว่าจะเร่งฝึกวิชาสักชุดเพื่อข่มฤทธิ์ยาโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นผื่นไอร้อนนี้อาจโผล่ขึ้นมาได้ทุกเมื่อ

ถ้าไม่อยากให้ผื่นไอร้อนขึ้นมาแม้แต่เม็ดเดียว เช่นนั้นก็ต้องฝึกวิชาประเดี๋ยวนี้เท่านั้นแล้ว แต่จะเรียนอย่างไร เรียนเมื่อใด ขึ้นอยู่กับลุงเฉิงซึ่งจะช่วยตัดสินใจแทนนาง

นางสบถด่าลิ่นเฉิงโย่วในใจพลางมองกระดิ่งเสวียนอิน แน่ใจแล้วว่านอกประตูไม่มีสิ่งชั่วร้ายอยู่จึงค่อยๆ เคาะผนังห้องข้างเคียง “ลุงเฉิง”

“ขอรับ” สักพักที่ด้านนอกก็มีคนส่งเสียงเรียกแผ่วเบาพร้อมเคาะประตู

เถิงอวี้อี้แต่งกายและสวมหมวกผ้าเรียบร้อย ก็ดึงประตูเปิดแล้วลดเสียงลงเอ่ยว่า “ยามใดแล้ว”

“ยามจื่อแล้วขอรับ”

“ฤทธิ์ยากำเริบขึ้นมาอีกแล้ว คงรอถึงพรุ่งนี้เช้าไม่ไหว เรียนข้ามคืนไปเลยดีกว่า”

ตอนแรกลุงเฉิงตั้งใจว่าจะให้ฮั่วชิวไปส่งจดหมายถึงเถิงเซ่า ไม่คาดคิดว่าเถิงอวี้อี้จะเป็นฝ่ายเสนอว่าจะเรียนวิชาด้วยตนเอง

เขารู้สึกยินดีระคนกลัดกลุ้ม ที่ผ่านมานายท่านเฝ้ารอให้คุณหนูเรียนรู้กระบวนท่าป้องกันตนเองบางส่วน ทว่าจนใจที่คุณหนูเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมเรียน เหตุการณ์ในคืนนี้ก็นับว่าได้ลาภเพราะทุกข์แล้ว

เขากับฮั่วชิวต่างถือกำเนิดในค่ายทหาร การฝึกวรยุทธ์จึงเรียนรู้แนวทางที่ทรงพลังดุดัน คนหนึ่งชำนาญเพลงหมัด คนหนึ่งชำนาญเพลงดาบ กระบวนท่าที่ใช้งานบ่อยครั้งเหล่านั้นจำเป็นต้องมีกำลังภายในแข็งแกร่งค้ำจุนไว้ คุณหนูไม่มีพื้นฐานเลยแม้แต่น้อย ต่อให้สั่งสอนไปเป็นปีก็ไม่แน่ว่าจะใช้ได้คล่องมือ หลังปรึกษาหารือกันพักหนึ่งลุงเฉิงก็ตัดสินใจจะเริ่มสอนจากเพลงหมัดสกุลเฉิงขั้นพื้นฐานแรกสุด

เถิงอวี้อี้กลับลังเลเล็กน้อย “ไม่มีเพลงกระบี่เรียบง่ายบ้างหรือ ข้าใช้กระบี่เสี่ยวหยาจนคุ้นชินแล้ว ต่อไปเวลาใช้กระบี่เสี่ยวหยาป้องกันตัว รู้เพลงกระบี่เอาไว้ยังดีกว่าไม่รู้ตั้งกี่เท่า”

“ถ้าอย่างนั้นก็เหลือเพียงเพลงกระบี่พิชิตภัยแล้ว” ลุงเฉิงชักกริชเล่มหนึ่งออกมา ตวัดท่าร่างหนึ่งในอากาศ “เรียกว่าเพลงกระบี่ ความจริงก็สามารถใช้กับกริชหรือดาบสั้นได้เช่นกัน มีเพียงสิบกระบวนท่า ยืดหยุ่นยากจะเดาทิศทาง อีกทั้งเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ในห้องไม่กว้างขวางพอ ตามข้าน้อยออกไปในสวนเถอะ”

นายบ่าวสามคนกลัวว่าจะรบกวนคนข้างเคียง จึงเดินย่องออกมาจากห้องอย่างระมัดระวัง

ยามค่ำมืดดึกดื่น บริเวณใกล้เคียงเงียบสงัด ผู้คนในหอไฉ่เฟิ่งทั้งบนล่างล้วนเข้านอนกันหมดแล้ว พวกเขาเดินด้วยฝีเท้าเบาหวิวมาถึงในสวน เพ่งมองไปไกลๆ เห็นว่าข้างหน้ามีต้นไหวใบดกรกครึ้มต้นหนึ่ง ลุงเฉิงกับฮั่วชิวเดินเข้าไปใกล้ กลั้นลมหายใจมองสำรวจอย่างรอบคอบ ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ จึงกล่าวกับเถิงอวี้อี้ว่า “คุณหนู มาฝึกที่ใต้ต้นไม้เถอะขอรับ”

เถิงอวี้อี้ยกมือขึ้นจัดหมวกผ้าให้เข้าที่ แล้วตลบชายเสื้อคลุมขึ้นมายัดเข้าข้างเอว ประเดี๋ยวจะต้องฝึกวิชาอย่างเป็นทางการแล้ว ไม่นึกเลยว่านางจะรู้สึกประหม่าขึ้นมาได้

“เริ่มเลยเถอะ”

ลุงเฉิงพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ พอยกมือซ้ายไพล่หลังเอว มือขวาก็ผลักไปข้างหน้าดุจมังกรทะยาน “คุณหนูดูให้ละเอียดนะขอรับ”

ฮั่วชิวเข้าใจกฎเกณฑ์เป็นอย่างดี ไม่คิดเหลือบมองวิชากระบี่ของลุงเฉิง แต่หันหน้ากลับไปเฝ้าระวังความเคลื่อนไหวโดยรอบแทน

เถิงอวี้อี้เห็นกระบวนท่านั้นธรรมดาสามัญ จึงนึกไปว่าคงเรียบง่ายไม่มีอะไรยากเย็น รอจนลุงเฉิงแสดงให้เห็นครบสิบกระบวนท่านางก็คิดทบทวนในใจเงียบๆ รอบหนึ่ง แต่ละกระบวนท่าของลุงเฉิงเคลื่อนไหวเชื่องช้า เมื่อผ่านพ้นจะแสดงให้เห็นชัดเจนตรงหน้า นางชักกระบี่เสี่ยวหยาออกมา ออกท่าทางเลียนแบบตามนั้นบ้าง

ไม่คาดคิดว่าเพิ่งกระบวนท่าที่สามก็แทบทนไม่ไหวแล้ว กระดูกราวกับจะแตกร้าวแยกออกจากกัน เหงื่อร้อนรุ่มทั่วร่างแปรเปลี่ยนเป็นหลั่งเหงื่อเย็นเยียบด้วยความเจ็บปวด

“ข้าว่าไม่จำเป็นต้องเรียนยากถึงเพียงนี้ก็ได้” นางแสร้งวางมาดผ่อนคลาย นวดคลึงหัวไหล่พลางเอ่ยว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเรียนฝึกวรยุทธ์ เหมาะจะเริ่มต้นจากกระบวนท่าเรียบง่ายที่สุด วิชากระบี่นี้แปลกเกินไป เปลี่ยนเป็นชุดวิชาอื่นที่ง่ายดายเหมาะมือกว่านี้เถอะ”

ลุงเฉิงคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องคิดบิดพลิ้ว เมื่อครั้งยังเด็กก็เป็นเช่นนี้ เติบใหญ่แล้วยิ่งไหลลื่นกว่าเดิม ใครก็ไม่อาจทำอะไรนางได้

“นี่เป็นเพลงกระบี่ที่เรียบง่ายที่สุดแล้วขอรับ” เขาตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มีเพียงสิบกระบวนท่า ไม่จำเป็นต้องกระโดดโจนทะยาน มิหนำซ้ำยังเป็นกระบวนท่าสำหรับการต่อสู้ประชิดตัว ภายในสามวันจึงจะมีหวังโคจรพลังปราณแท้ให้คล่องตัวได้ หากเปลี่ยนเป็นวิชากระบี่อื่น เกือบทั้งหมดล้วนต้องมีวิชาตัวเบาเป็นพื้นฐาน คิดจะฝึกให้เป็นเรื่องเป็นราวอย่างน้อยต้องใช้เวลาครึ่งปี”

เถิงอวี้อี้ร้องอุทานคำหนึ่ง หากรอให้ผ่านไปครึ่งปีจริงใบหน้านางคงทิ้งรอยแผลเป็นจากผื่นไอร้อนเป็นลายพร้อยไปแล้ว นางยกแขนขึ้นมาอย่างอับจนหนทาง ลองออกท่าทางใหม่อีกครั้ง

ลุงเฉิงตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะอาศัยโอกาสนี้ช่วยสอนวิชาพื้นฐานแก่เถิงอวี้อี้ให้จงได้ ฉะนั้นเขาจึงเข้มงวดมากเป็นพิเศษ

“ไหล่ต้องเสมอกัน เอวต้องมั่นคง เช่นนี้ไม่ถูก ข้าน้อยจะแสดงให้ท่านดูอีกรอบ”

“รอประเดี๋ยว รอประเดี๋ยวนะ” เถิงอวี้อี้ฝืนเค้นรอยยิ้มออกมาบางๆ “ลุงเฉิง แขนต้องยกสูงปานนี้เลยหรือ เสมออกแล้วแทงออกไปก็ทำได้สำเร็จเช่นกันถูกหรือไม่ เอวไม่เห็นต้องย่อลงต่ำเช่นนี้เลยก็ได้กระมัง ทั้งที่ยืนตัวตรงก็เตะออกไปได้แท้ๆ”

จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนหัวเราะเบาๆ อยู่บนยอดไม้ เถิงอวี้อี้หวาดผวาขนลุกชัน เงยหน้าขึ้นมองอย่างห้ามไม่อยู่

ลุงเฉิงกับฮั่วชิวรีบทะยานร่างขึ้นไปข้างบน พร้อมชักดาบออกมาและตะคอกเสียงดัง “ใครอยู่บนต้นไม้!”

ใบไม้กระพือสั่นไหวเสียงดังสวบสาบ คนบนต้นไม้ดูเหมือนกำลังบิดขี้เกียจ “วันนี้นับว่าข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ที่แท้เรียนวิชาก็ต่อรองตามความพอใจได้ด้วย”

ลิ่นเฉิงโย่ว?!

เถิงอวี้อี้ตกตะลึงไม่น้อย ลุงเฉิงกับฮั่วชิววรยุทธ์ไม่อ่อนด้อย ลิ่นเฉิงโย่วซุ่มซ่อนอยู่บนต้นไม้นานเพียงนี้พวกเขาสองคนกลับไม่รู้สึกตัวเลย นี่ไม่ใช่สิ่งที่กำลังภายในสามารถทำได้ นอกเสียจากว่าลิ่นเฉิงโย่วใช้วิชาลับลัทธิเต๋าวางค่ายกลไว้บนต้นไม้ล่วงหน้าอะไรทำนองนั้น

ลุงเฉิงกับฮั่วชิวก็รู้สึกเหนือความคาดหมาย พวกเขาเก็บดาบแล้วกระโดดไปถึงบนยอดไม้ มั่นใจว่าเป็นลิ่นเฉิงโย่วอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงได้เอ่ยถามอย่างสงบเยือกเย็น “ซื่อจื่อมาอยู่ตรงนี้นานเพียงใดแล้ว”

ลิ่นเฉิงโย่วเปลี่ยนท่าทางให้สบายกว่าเก่าแล้วเอนพิงต้นไม้ “เดิมทีข้ามางีบหลับอยู่ตรงนี้ ไม่คิดเลยว่ากลางดึกอย่างนี้คุณหนูเถิงจะวิ่งออกมาฝึกวิชา ข้าไม่ได้ตั้งใจจะลักลอบเรียนวิชา แต่ทนกับวาจาหลักแหลมแกมขบขันของคุณหนูเถิงไม่ไหว หากยังฟังต่อไปจะต้องแบกรับความผิดฐาน ‘ลอบเรียนวิชา’ ไปแน่ ก็เลยต้องเตือนพวกเจ้าด้วยความหวังดีสักหน่อย”

เถิงอวี้อี้แค่นเสียงฮึดฮัด “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ทำให้ซื่อจื่อต้องเห็นเรื่องขบขันแล้ว อาศัยวาสนาของซื่อจื่อ ข้าน้อยรอเรียนวิชาวันพรุ่งนี้ไม่ได้แล้ว กลัวว่าจะรบกวนผู้อื่น ตั้งใจมาหามุมเปลี่ยวเงียบฝึกวิชา ไม่คิดว่าซื่อจื่อจะทำตัวเหมือนหัวขโมยซ่อนอยู่บนต้นไม้ พฤติกรรมก็ลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ จะถูกมองเป็นคนร้ายก็ไม่น่าแปลกใจ ข้าน้อยกดข่มพลังประหลาดในร่างไม่ได้ ต่อจากนี้ยังต้องฝึกฝนร่างกาย ขอเชิญซื่อจื่อย้ายไปที่อื่น ประเดี๋ยวจะไม่สะดวกใจกันทั้งสองฝ่าย”

ลิ่นเฉิงโย่วสงบมั่นคงดั่งขุนเขา “คุณหนูเถิงพูดล้อเล่นเก่งจริงเชียว ปกติดูกันที่ลำดับใครมาก่อนหลัง ข้ามาก่อน พวกเจ้ามาทีหลัง ต่อให้ต้องมีคนไป ก็ควรเป็นพวกเจ้าที่ไป”

เถิงอวี้อี้เหลียวซ้ายแลขวา ลิ่นเฉิงโย่วไม่มีทางอยู่ว่างๆ ก็เลยวิ่งออกมารับลมเย็นแน่ เขาเล่นลูกไม้กับพื้นที่รอบต้นไม้ไว้ล่วงหน้า จะต้องมีเหตุผลบางอย่าง ในเมื่อเขาไม่ยอมไป นางก็ไม่มีเหตุผลจะต้องสละพื้นที่ให้เขาเช่นกัน ไม่สู้ถือว่าคนผู้นี้ไม่มีตัวตน พอฝึกเสร็จก็จะไปแล้ว นางข่มกลั้นโทสะแล้วปรายตามองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นจึงจัดท่าทางเตรียมพร้อม “ลุงเฉิง พวกเรามาฝึกกันต่อเถอะ”

ลุงเฉิงกลับลงสู่พื้นดิน เพลงกระบี่พิชิตภัยเป็นวิชากระบี่พื้นฐานแรกเริ่มที่สุดแล้ว ดูจากวรยุทธ์ของเฉิงอ๋องซื่อจื่อไม่มีทางมาลอบเรียนวิชาเป็นแน่ สวนมีอาณาบริเวณกว้างขวางปานนี้ จะให้หาพื้นที่ตรงอื่นฝึกวิชาก็ยุ่งยาก หากต้องเดินวนหาให้วุ่นวายจริง ไม่แน่ว่าคุณหนูอาจฉวยโอกาสไม่ฝึกแล้วก็เป็นได้

ด้วยเหตุนี้เขาจึงตวัดท่าร่างกระบี่อีกครั้ง ยกเท้าซ้ายขึ้นมา แขนขวาจ้วงแทง “ครั้งนี้คุณหนูดูให้ดีนะขอรับ สาเหตุที่คุณหนูปวดกระดูกเป็นเพราะไม่ได้ฝึกเบิกทางชีพจร ยิ่งเป็นเช่นนี้ยิ่งผิดพลาดไม่ได้เลย เพราะความผิดพลาดเล็กน้อยอาจทำให้เสียหายไปหมดได้ ทุกกระบวนท่าไม่อาจฝึกอย่างฉาบฉวย รอจนกระทั่งเข้าใจทะลุปรุโปร่ง ก็จะไม่ทรมานเช่นนี้อีกแล้ว”

ลิ่นเฉิงโย่วหลับตาทำสมาธิอยู่บนต้นไม้ ข้างหูกลับมีแต่เสียงกวัดแกว่งกระบี่ดังอื้ออึง เดิมทีไม่อยากจะฟัง แต่จนใจที่อยู่ใกล้กันเกินไป

เมื่อครู่เห็นนางวิ่งตรงมาทำให้เขาตกใจอย่างแท้จริง ตามความคิดของเขา เถิงอวี้อี้น่าจะยอมให้ผื่นไอร้อนขึ้นตามตัว แต่จะไม่มีทางเรียนวิชา ถึงอย่างไรผื่นไอร้อนเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว การฝึกวิชากลับมีความยากลำบากไม่สิ้นสุด คาดว่าพอนางกลับถึงห้องไปแล้วไม่ใช่ร้องห่มร้องไห้ก็ต้องเร่งส่งจดหมายข้ามคืนไปหาเถิงเซ่าให้ช่วยคิดหาวิธี จะรู้ได้อย่างไรว่านางกลับตัดสินใจเด็ดขาด บอกว่าจะเรียนก็เรียนอย่างนี้

ผลปรากฏว่าผ่านไปไม่นานนักนางก็เริ่มโวยวายไม่มีเหตุผล ดึงดันจะรื้อเปลี่ยนวิชากระบี่ดีๆ ให้เป็นวิชาที่ท่างดงามแต่ไร้ประโยชน์ เขาคิดอย่างเย้ยหยัน นี่สิถึงจะถูกต้อง เถิงอวี้อี้นิสัยเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก เผชิญหน้ากับปัญหาชอบเดินทางลัดเสมอ ทว่าสำหรับการเรียนวิชาเช่นนี้ไม่มีทางลัดให้เดินอย่างแน่นอน

เขาแสยะยิ้มชั่วร้าย หากภายในสามวันไม่อาจโคจรพลังปราณแท้ในร่างให้คล่องตัว ก็ไม่มีทางข่มฤทธิ์ยาในน้ำแกงรากวิญญาณหยกเพลิงได้ เมื่อไม่อาจข่มฤทธิ์ยาในน้ำแกงรากวิญญาณหยกเพลิงได้ ผื่นไอร้อนก็จะผุดขึ้นมารวดเร็วปานหน่อไม้หลังฝนตกในฤดูใบไม้ผลิ

พอคิดเช่นนี้แล้วเขาก็ก้มหน้ามองลงไปด้านล่าง เถิงอวี้อี้สองแขนเหยียดตรง ขาซ้ายยื่นไปด้านหลังแล้วยกขึ้นสูง เป็นกระบวนท่ากระเรียนขาวสยายปีก

หาได้ยากที่หัวไหล่ก็เสมอกัน ขาก็ลอยสูง ถึงกับออกท่าทางได้เหมือนต้นแบบแล้ว

เขาประหลาดใจไม่น้อย ไม่คิดว่านางจะตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง

เมื่อมองไปที่ใบหน้าเถิงอวี้อี้จะเห็นมุมปากเม้มเน้น หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าอดทนอดกลั้นถึงขีดสุดแล้ว

เขามองด้วยแววตาแฝงความหมายลึกซึ้ง น่าสนใจไม่เบา ดูท่าเถิงอวี้อี้จะอยากเรียนวิชาจริงๆ ไม่ว่านางจะถึงวัยปักปิ่นแล้วหรือไม่ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ร่างกายของเด็กน้อยแล้ว เรียนวรยุทธ์ตอนอายุเท่านี้ยากเย็นกว่าตอนยังเล็กๆ เป็นร้อยเท่า หากต้องการเรียนรู้กระบวนท่าให้ถูกต้อง เส้นเอ็นและกระดูกทั่วร่างจะต้องยืดออกใหม่อีกครั้ง สมกับคำกล่าวที่ว่า ‘ยอมลำบากเพียงเล็กน้อย เพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่กว่า’

พอความคิดผุดขึ้นมา เขาก็รู้สึกว่าตนเองมองนางไม่ออกเสียแล้ว

นับตั้งแต่เขากับนางรู้จักกันมา นางไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเพียงครั้งเดียว แม้กระทั่งเด็กน้อยยังคิดหลอกใช้ คนผู้นี้จะมีนิสัยเที่ยงตรงได้หรือ แต่หลายวันมานี้เห็นท่าทีที่นางมีต่อเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะเสแสร้งแกล้งทำไปเสียหมด ความห่วงใยและการปกป้องโดยไม่รู้ตัวนั้นไม่คล้ายการเสแสร้งออกมาเลย

ช่วงบ่ายตอนเขาเรียกตัวหญิงคณิกาสองคนนั้น ตอนแรกนึกว่านางจะนิ่งดูดาย แต่กลับเป็นฝ่ายวิ่งมาต่อรองกับเขาด้วยตนเองเพื่อปกป้องหญิงคณิกาสองคนนั้น หญิงคณิกาสองคนนี้ฐานะต่ำต้อย คิดดูก็รู้ว่าไม่มีอะไรให้นางใช้ประโยชน์ได้ สาเหตุที่นางทำเช่นนี้เพียงเพราะกลัวว่าพวกนางทั้งสองมาอยู่ในกำมือเขาแล้วจะต้องเสียเปรียบ

จากที่เคยรู้สึกว่านางเลวร้าย บางครั้งกลับรู้สึกว่าเนื้อแท้ของนางเป็นคนยึดมั่นในคุณธรรมน้ำใจ

จากที่เคยคิดว่านางต้องไม่ยอมลำบาก จะรู้ได้อย่างไรว่านางบอกจะฝึกวรยุทธ์ก็ฝึก

เขานอนคิดทบทวนซ้ำอยู่บนต้นไม้ เถิงอวี้อี้ที่อยู่ใต้ต้นไม้ก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ

นางอดทนมาถึงขีดสุดอย่างแท้จริงแล้ว ร่างกายเริ่มโงนเงนซวนเซ หูได้ยินเสียงกระดูกเคลื่อนย้ายตำแหน่งเบาๆ เหงื่อร้อนผ่าวไหลรินลงมาไม่ขาดสาย แพขนตามีหยดน้ำเกาะพราวเป็นชั้น

นางกัดฟันกรอดเอ่ยว่า “จะต้องทนอีกนานเพียงใดกัน”

ลุงเฉิงพยักหน้าอย่างพอใจ “กระบวนท่านี้ถูกต้องแล้ว อดทนกำหนดลมหายใจต่ออีกสักหน่อยก็พอขอรับ”

กำหนดลมหายใจ?

เถิงอวี้อี้วิงเวียนตาลาย จิตใจว้าวุ่น นี่เพิ่งจะกระบวนท่าเดียว แล้วสิบกระบวนท่าจะเป็นเช่นไร จะไม่เรียนแล้วได้หรือไม่ ผื่นไอร้อนจะขึ้นก็ขึ้นมาเถอะ น่าเสียดายไม่มีทางถอยแล้ว การปรากฏตัวของลิ่นเฉิงโย่วช่วยเตือนสตินาง หากไม่มีทักษะการป้องกันตัวไว้บ้างมีแต่จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทุกทาง ในชาติก่อนยามประสบเคราะห์กรรม แม้แต่ตวนฝูยังปกป้องนางไว้ไม่ได้ กว่าจะฟื้นคืนชีพมาไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้ซ้ำรอยเดิม

พิชิตภัย…พิชิตภัย เมื่อพบ ‘ภัย’ จึงพิชิต นี่เป็นชื่อที่ดีมากทีเดียว ชาตินี้ในเมื่อต้องเพิ่มพูนทักษะใหม่ๆ หลายอย่าง ก็เริ่มต้นจากเพลงกระบี่พิชิตภัยชุดนี้แล้วกัน

นางกัดฟันแน่น พยายามรักษากระบวนท่าไว้ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดสมองพลันรู้สึกมึนงงขึ้นมา แต่ลุงเฉิงกลับไม่ยอมเอ่ยปากสักที ทุกครั้งจะบอกว่า ‘กำหนดลมหายใจ กำหนดลมหายใจก็พอ’

จะว่าไปแล้วก็แปลกนัก ทุกครั้งยามเถิงอวี้อี้รู้สึกว่าตนเองใกล้จะสำเร็จเซียนเหาะเหินขึ้นสวรรค์ ความเจ็บปวดในร่างกายคล้ายจะปรับเปลี่ยนไปเอง จาก ‘เจ็บปวด’ กลายเป็น ‘ขยายตัว’ ค่อยๆ มีความรู้สึก ‘โปร่งโล่ง’

ตอนนี้พลังประหลาดที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างดั่งแม่น้ำร้อยสายไหลลงสู่ทะเล ไหลทะลักพร้อมกันไปสู่ตำแหน่งนั้น น่าเสียดายเหมือนจะยังขาดกำลังไฟแผดเผาได้ที่ จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีความรู้สึกว่าเปิดทางให้สายน้ำไหลบ่าออกไปได้

พอคิดว่าหากยังฝึกต่อไปวิญญาณคงหลุดออกจากร่างแล้วนางก็ได้ยินลุงเฉิงเอ่ยว่า “พอแล้ว”

เถิงอวี้อี้หอบหายใจเฮือกใหญ่ ปล่อยแขนปล่อยขาลงอย่างหมดแรง ครั้งนี้กระดูกแขนขาสี่ข้างเบาสบายอย่างที่สุด สาสมใจยิ่งกว่าเมื่อตอนออกกระบวนท่าเมื่อครู่เสียด้วยซ้ำ

ลุงเฉิงกล่าวขึ้นด้วยความยินดี “ไม่เลว คุณหนูเรียนกระบวนท่าต่อไปได้แล้ว”

เถิงอวี้อี้ทำท่าหันกลับไปแล้วจ้วงแทงตามต้นแบบ แขนกลับส่งเสียงลั่นดังกร๊อบแกร๊บ

นางร้องอุทานอย่างเจ็บปวด “รอประเดี๋ยว! รอประเดี๋ยวก่อน ครั้งนี้ไม่ได้แกล้งทำแต่เจ็บจริงๆ”

ลิ่นเฉิงโย่วยังหลับตานอนเอ้อระเหยอยู่บนต้นไม้ ทำตามวิธีฝึกเช่นนี้ของเถิงอวี้อี้ภายในสามวันกลัวว่าไม่มีทางฝึกสำเร็จหรอก เพียงแต่หากรากวิญญาณหยกเพลิงจะข่มฤทธิ์ยากันง่ายดายเช่นนี้ ก็คงเรียกว่า ‘สมบัติล้ำค่าในใต้หล้า’ ไม่ได้แล้ว

เถิงอวี้อี้ปรับท่าทางใหม่ชั่วครู่แล้วค่อยแสดงกระบวนท่าที่สอง ครั้งนี้แขนเคลื่อนไหวได้ดีกว่าเดิมแล้ว ลิ่นเฉิงโย่วกลับกระโดดลงมาจากยอดไม้อย่างฉับพลัน

ลุงเฉิงกับฮั่วชิวเผยสีหน้าระแวดระวัง ด้วยเพราะไม่รู้ว่าลิ่นเฉิงโย่วมีเจตนาใดกันแน่

สายตาลิ่นเฉิงโย่วมองตรงไปข้างหน้า ยกนิ้วชี้จรดริมฝีปากบอกให้พวกเขาเงียบเสียงลง

เถิงอวี้อี้มองตามไปก็เห็นว่ามีคนพลิ้วกายวูบโผล่ออกมาจากสระหนานเจ๋อ ภายใต้แสงจันทร์สาดส่องเห็นว่าคนผู้นั้นมีแผ่นหลังงามอรชร สวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้า ก้มศีรษะลงเดินอ้อมศาลาริมน้ำไปอย่างรีบร้อน มุ่งหน้าตรงไปยังเรือนหงเซียง

เถิงอวี้อี้ใจเต้นโครมครามดั่งตีกลอง ในหอแห่งนี้คนที่สวมผ้าคลุมหน้าตลอดทั้งวันมีเพียงผู้เดียว

เก๋อจิน? ดึกดื่นป่านนี้นางวิ่งออกมาทำอะไร

ลิ่นเฉิงโย่วรวบรวมพลังปราณแล้วโจนทะยานติดตามไปอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง

ลุงเฉิงเอ่ยเสียงเคร่งเครียดว่า “คุณหนู เฉิงอ๋องซื่อจื่อไม่มีทางรออยู่ตรงนี้เฉยๆ แน่ จะต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ทางที่ดีพวกเราอย่าอ้อยอิ่งอยู่ต่อไปเลย ควรรีบกลับห้องให้เร็วที่สุดดีกว่า ถึงอย่างไรกระบวนท่าแรกก็ผ่านแล้ว คืนนี้ฤทธิ์ยาคงไม่กำเริบขึ้นมาอีก”

เถิงอวี้อี้จ้องมองทิศทางที่ร่างลิ่นเฉิงโย่วหายลับไปแล้วพยักหน้าตอบ “ไปเถอะ”

นายบ่าวสามคนเดินกลับไปอย่างรีบร้อน ยังไม่ทันเหยียบลงบนขั้นบันไดก็ได้ยินสตรีกรีดร้องเสียงดังโหยหวนอย่างไม่คาดฝัน เสียงลอยมาจากทางศาลาริมน้ำอย่างชัดเจน ทั้งสามมองไปทางนั้นอย่างตกตะลึง

ลุงเฉิงกับฮั่วชิวชักดาบออกมาโดยพร้อมเพรียง “เป็นเรือนหงเซียง!”

เถิงอวี้อี้หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เรือนหงเซียงตั้งอยู่ตรงข้ามกับเรือนอี่อวี้ ผังแบบไม่แตกต่างจากเรือนอี่อวี้เท่าใดนัก ก็เป็นห้องพักสองแถวเหมือนกัน ผู้ที่พักอาศัยเป็นดาวเด่นในหอทั้งสิ้น

เถิงอวี้อี้ตื่นตระหนกสุดจะระงับได้ “พวกท่านรู้สึกหรือไม่ว่าเสียงสตรีนางนี้คุ้นหูนัก”

ฮั่วชิวกับลุงเฉิงต่างพยักหน้า

เถิงอวี้อี้ชักกระบี่เสี่ยวหยาออกมา “ไปดูกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

ลุงเฉิงยับยั้งเถิงอวี้อี้เอาไว้ตามสัญชาตญาณ แต่เสียงกรีดร้องนั้นดูท่าจะสร้างความตกใจให้คนจำนวนไม่น้อย โคมไฟบริเวณสระหนานเจ๋อสั่นไหว ในหอเกิดความโกลาหลวุ่นวาย คาดว่าอีกไม่นานคนทางหอหน้าต้องแห่กันมาตรวจสอบทางนี้แน่

คนทั้งสามเร่งเดินทางมาถึงเรือนหงเซียง เสียงคนที่ยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดินดังเซ็งแซ่ มีสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งผลุนผลันออกมาจากห้อง รีบร้อนจัดปิ่นปักผมกับต่างหูให้เข้าที่พลางเอ่ยเสียงสั่นว่า “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่ เหมือนจะเป็นเสียงเว่ยจื่อ”

เถิงอวี้อี้รู้สึกว่าสตรีนางนี้ช่างคุ้นหน้าคุ้นตา เพ่งพินิจมองให้ถี่ถ้วนถึงมองออกว่าเป็นเอ้อจี ยามค่ำคืนนางมิได้ทาแป้งแต้มชาดจึงขาดความเย้ายวนเปี่ยมเสน่ห์ที่เคยพบเห็นยามปกติ

แม่นางในแต่ละห้องเปิดประตูกวาดสายตามองไปรอบๆ เนื่องจากหวาดกลัวปีศาจร้ายมาอาละวาด จึงไม่กล้าออกจากห้องตามอำเภอใจ

“ได้ยินแล้ว น่าจะเป็นเสียงเว่ยจื่อ เอ้อต้าเหนียงดูนั่นสิ ประตูห้องเว่ยจื่อเปิดอยู่”

“ระวังตัวด้วย อย่าลืมว่าเฉิงอ๋องซื่อจื่อไม่อนุญาตให้พวกเราเดินเพ่นพ่านตอนกลางคืน”

เอ้อจีจ้องมองประตูที่เปิดอ้าอยู่บานนั้น ยังคงลังเลไม่กล้าขยับไปที่ใด พลันหันไปเหลือบเห็นพวกเถิงอวี้อี้นายบ่าว จึงรวบรวมความกล้าเอ่ยเรียก “คุณชายหวัง พวกท่าน…”

ใครจะรู้ว่าในตอนนี้เองมีเสียงกรีดร้องสั้นๆ ของสตรีนางหนึ่งดังออกมาอีก เสียงนี้เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น ฟังดูแล้วกลับไม่เหมือนเสียงเว่ยจื่อ

ทุกคนตกตะลึงอ้าปากค้าง แล้วก็มีสตรีวัยกลางคนโผล่หน้าออกมาจากห้องในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง “เป็นเก๋อจิน! เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

“ว่อต้าเหนียง”

พอเห็นว่อต้าเหนียงวิ่งปร๋อตรงไปทางห้องเว่ยจื่อ คนที่เหลือก็ทนไม่ไหวตามออกมาด้วย

เอ้อจีหันไปสั่งการบ่าวหญิงอาวุโสท่าทางขลาดกลัวสองสามคน “รีบไปแจ้งข่าวให้ซื่อจื่อกับเหล่านักพรตรู้เร็วเข้า!”

เถิงอวี้อี้วิ่งมาถึงหน้าประตูห้องเว่ยจื่อ ภายในห้องจุดโคมไฟแล้ว เมื่อเงยหน้ามองก็ต้องตกใจ คนหนึ่งล้มลงหน้าเตียง ส่วนอีกคนหนึ่งกลับล้มลงกับพื้น

คนที่อยู่หน้าเตียงคือเว่ยจื่อ เห็นได้ชัดว่าตกใจเสียขวัญแย่แล้ว นางกอดไหล่ตนเองเนื้อตัวสั่นเทา ใบหน้าซีดขาวไม่ต่างกับกระดาษ

อีกคนก็คือเก๋อจิน นางล้มคว่ำอยู่บนพื้น ศีรษะพยายามเชิดสูงอย่างดื้อรั้น ผ้าคลุมหน้าถูกกระชากขาดไปนานแล้ว เผยให้เห็นรอยแผลชวนสยดสยองบนใบหน้า

นางจ้องเว่ยจื่อเขม็งไม่ละสายตา อ้าปากเปล่งเสียงดุดัน “ปล่อยข้า! ข้าจะฆ่าสตรีอำมหิตนางนี้”

ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้เพราะสองมือถูกมัดไพล่หลังไว้แล้ว ได้แต่นอนดิ้นรนอย่างเปล่าประโยชน์ ลิ่นเฉิงโย่วนั่งยองลงตรงหน้าเก๋อจิน ดึงกริชในมือนางออกมา

สตรีทั้งหลายต่างตกใจหน้าถอดสี “นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…”

ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าสับสนวุ่นวายดังมาจากระเบียงทางเดิน นักพรตเจี้ยนเทียนแห่งอารามตงหมิงกับเฮ่อหมิงเซิงเดินไล่ตามหลังกันมา

เฮ่อหมิงเซิงไม่ได้สวมหมวกผ้าบนศีรษะ เข็มขัดก็ยังไม่ทันคาดให้เรียบร้อย เนื้ออวบอิ่มบนใบหน้าสั่นกระเพื่อมยามวิ่งเข้ามา หายใจเหนื่อยหอบพลางว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

ทันทีที่มองเห็นสภาพภายในห้องเขาก็หนาวสั่นสะท้านไปทั้งตัว

ลิ่นเฉิงโย่วหันหน้ากลับมา “คืนนี้พวกผู้อาวุโสช่วยเฝ้าประตูด้านหน้าด้านหลัง ในหอไม่มีใครออกไปได้แล้วใช่หรือไม่”

หน้าประตูมีคนยืนเบียดเสียดแน่นขนัด เจี้ยนเทียนไม่อาจแทรกตัวเข้ามาได้ชั่วขณะ ได้แต่ชะเง้อคอยาวตอบไปว่า “มีข้ากับศิษย์น้องหลายคนจับตาดูอยู่ แม้แต่แมลงวันสักตัวยังบินออกไปไม่ได้”

ลิ่นเฉิงโย่วถึงได้หันไปทางเฮ่อหมิงเซิง “เถ้าแก่เฮ่อ อีกไม่นานขุนนางศาลต้าหลี่จะเดินทางมาถึง เรียกคนในหอทั้งหมดไปรวมกันที่หอหน้า ข้ามีเรื่องจะซักถาม”

เก๋อจินกรีดร้องเสียงแหลมขึ้นมา “รีบปล่อยข้าไปนะ! เว่ยจื่อ! เจ้านี่มันสตรีใจอสรพิษ ข้าจะต้องฆ่าเจ้าด้วยมือตนเองให้ได้!”

เถิงอวี้อี้มองเก๋อจินด้วยสีหน้าครุ่นคิด มิน่าเล่าคืนนี้นางถึงต้องไล่เจวี่ยนเอ๋อร์หลีออกไป คาดว่าคงมีความคิดจะแก้แค้นมานานแล้ว หากมีคนอยู่ร่วมห้องด้วยจะทำให้แผนการของนางล้มเหลวหมดสิ้น

ลิ่นเฉิงโย่วไปเฝ้าอยู่บนต้นไม้ล่วงหน้า เกรงว่าก็คงคาดคะเนไว้แล้วว่าคืนนี้เก๋อจินจะมีความเคลื่อนไหวผิดปกติ

เว่ยจื่อพยุงเตียงลุกขึ้นยืนอย่างโซเซ ริมฝีปากแดงสั่นระริก ดวงตาหงส์คู่นั้นถลึงจนดูปูดโปน “เจ้านี่มันหญิงเสียสติ! อย่ามาใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นนะ เจ้าโดนวิญญาณอาฆาตทำร้ายแท้ๆ มาเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”

ลิ่นเฉิงโย่วรีบเอ่ยปากเร่งรัดเฮ่อหมิงเซิง “ยังมัวยืนทำบื้ออะไรอยู่ ไล่คนกลับไปก่อน”

เฮ่อหมิงเซิงนำบ่าวรับใช้สองคนบุกเข้ามา ยืนยันแน่ใจว่าข้างกายเก๋อจินไม่มีอาวุธสังหารแล้วถึงได้ฉุดร่างนางให้ลุกขึ้น ท่าทางเขายังตื่นตระหนกไม่หาย “เก๋อจิน อยู่ดีๆ นี่เจ้าจะทำอะไร เรื่องที่ควรตรวจสอบพวกเราก็ตรวจสอบหมดแล้ว บอกเจ้าไปแต่แรกแล้วว่าไม่ใช่ฝีมือพวกเว่ยจื่อทำร้ายเจ้า”

เก๋อจินแววตาเกรี้ยวกราด “ในเมื่อนางตั้งใจทำร้ายคน จะปล่อยให้พวกท่านจับจุดอ่อนได้อย่างไร โชคดีที่สวรรค์มีตา ทำให้ข้าหาหลักฐานพบจนได้!”

ทุกคนในที่นั้นต่างมึนงง “หลักฐาน? หลักฐานอะไรกัน”

ในตอนนี้เองมีคนวิ่งเข้ามาอีก “ซื่อจื่อขอรับ เจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนแห่งศาลต้าหลี่มาถึงแล้ว”

ผ่านไปไม่นานคนในหอไฉ่เฟิ่งก็มารวมกันครบทั้งหมด เถิงอวี้อี้หาตำแหน่งที่ไม่สะดุดตานักในห้องโถงด้านหน้าพบแล้วนั่งลง ก็มองเห็นขุนนางศาลต้าหลี่ผู้นั้นเมื่อครั้งก่อนดังคาด เขาพาเจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่มาด้วยสิบกว่าคน เฝ้ารอบหอไฉ่เฟิ่งทั้งด้านในและด้านนอก จากนั้นกล่าวกับเฮ่อหมิงเซิงว่า “เรียกแม่เล้าอาวุโสที่มีประสบการณ์สองคนมานำทางด้วย ข้ากับลูกน้องหลายคนจะไปตรวจค้นเรือนชั้นใน”

ทุกคนไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการตรวจค้นสิ่งใดจึงวิตกกังวลไปพักใหญ่

เฮ่อหมิงเซิงชี้ให้สตรีสองนางเดินออกมาอย่างหวาดกลัว ก่อนสั่งพวกนางให้นำทางเหล่าขุนนางไปยังเรือนชั้นใน

ดาวเด่นในหอสิบกว่านางนอกจากเก๋อจินที่โดนมัดไว้ล้วนมายืนอยู่ในห้องโถงกลางกันหมด แต่ละคนมีสีหน้ากระวนกระวายแต่ก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวบุ่มบ่าม

ลิ่นเฉิงโย่วสั่งให้คนพาเก๋อจินมาอยู่ตรงหน้า “พูดมาเถอะ เหตุใดถึงลงมือทำร้ายคน”

เก๋อจินเงยหน้าขึ้นทันควัน “ข้าน้อยทำเพราะต้องการแก้แค้น เดือนก่อนคืนวันที่สิบแปดข้าน้อยถูกคนทำลายรูปโฉม เรื่องนี้ทุกคนต่างรู้ดี ตอนนั้นเถ้าแก่ตรวจสอบทุกคนในหอแล้วกลับไม่พบใครน่าสงสัยเลย ข้าน้อยคิดทบทวนถึงเสียง ‘ผีสาว’ อยู่ทุกคืนวัน พบว่าเป็นเสียงที่ไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย หากเป็นฝีมือคนในหอจะแยกแยะไม่ออกได้อย่างไร รวมถึงก่อนหน้านี้ในหอมีข่าวลือว่ามีผีสิงมาแรมเดือนแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นฝีมือวิญญาณอาฆาต เถ้าแก้พยายามไกล่เกลี่ยให้เรื่องยุติลงจึงไม่เคยไปแจ้งความ”

“ในเมื่อเจ้าไม่รู้ว่าเสียงผีสาวตนนั้นเป็นเสียงใคร เพราะเรื่องอะไรถึงทำให้เจ้าฉุกใจสงสัยได้เล่า”

เก๋อจินมองเว่ยจื่อด้วยแววตาเย็นเยียบ “ข้าน้อยได้รับบาดเจ็บจนเลอะเลือน เดิมทีนึกว่าชาตินี้คงไม่มีทางสืบหาความจริงได้กระจ่างแล้ว ใครจะรู้ว่าสวรรค์ยังมีความยุติธรรม หลายวันก่อนข้าน้อยจึงหาของสิ่งหนึ่งพบใต้เตียง ตอนนี้เก็บอยู่ในถุงหอมข้างเอว เจ้าหน้าที่ไต่สวนกับซื่อจื่อเห็นก็จะรู้เองเจ้าค่ะ”

ลิ่นเฉิงโย่วสั่งคนให้ไปหยิบถุงหอมมา แล้วแกะเชือกตรงปากถุงต่อหน้าธารกำนัล ล้วงเอาของในถุงออกมาดู เป็นอัญมณีเลอค่าส่องประกายแวววาวชิ้นหนึ่ง มันมีสีแดงเข้มและขนาดใหญ่เท่าไข่นกพิราบ

เถิงอวี้อี้ลอบสังเกตสีหน้าของเว่ยจื่ออยู่ตลอด พอของสิ่งนั้นถูกหยิบออกจากถุงสีหน้าเว่ยจื่อก็เปลี่ยนไปในพริบตา

คนในห้องโถงส่วนใหญ่ไม่รู้จักของสิ่งนี้ ลอบซุบซิบพูดคุยกันเบาๆ

ลิ่นเฉิงโย่วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “อัญมณีแห่งโม่เหอ? นี่ก็คือหลักฐานที่เจ้าว่าหรือ”

เก๋อจินผงกศีรษะ “ซื่อจื่อสายตาแหลมคมนัก อัญมณีแห่งโม่เหอขนาดใหญ่เนื้อเกลี้ยงเกลาเช่นนี้ในฉางอันมีเพียงชิ้นเดียว นี่เป็นของขวัญที่องค์ชายจากต่างชนเผ่าองค์หนึ่งมอบให้เว่ยจื่อเมื่อปีก่อน หลังจากได้มาแล้วเว่ยจื่อเคยโอ้อวดให้ทุกคนชื่นชมไม่รู้กี่ครั้ง เรื่องนี้มีเถ้าแก่กับเอ้อต้าเหนียงเป็นพยาน ซื่อจื่อลองถามดูก็รู้แล้วเจ้าค่ะ”

เฮ่อหมิงเซิงสีหน้าฉายแววตกตะลึง

ด้านเอ้อจีกลับลุกขึ้นมามองดูอย่างจริงจัง “ถูกต้องแล้ว ข้าน้อยเคยเห็นของสิ่งนี้มาก่อน คืนนั้นเป็นวันที่สองของงานเลี้ยงใหญ่วันตงจื้อ องค์ชายต่างชนเผ่าพาคนมาหาความสำราญ พวกนางแต่ละคนต่างแสดงความสามารถของตนเอง เก๋อจินดีดพิณแต่งบทกวี เหยาหวงเลียนเสียนนกขมิ้นทำให้คนหัวเราะ เว่ยจื่อร่ายรำระบำหูเสวียน องค์ชายต่างชนเผ่าถูกใจเว่ยจื่อจึงมอบอัญมณีแห่งโม่เหอชิ้นนี้ให้นาง”

เก๋อจินเน้นย้ำทีละคำ “ขอให้เถ้าแก่กับเอ้อต้าเหนียงแยกแยะให้ละเอียด ตกลงนี่เป็นอัญมณีชิ้นนั้นของเว่ยจื่อใช่หรือไม่”

สีหน้าเว่ยจื่อพลันดุร้ายขึ้นมา “มิน่าเล่าหลายวันก่อนอัญมณีแห่งโม่เหอชิ้นนี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ที่แท้เจ้าจงใจใส่ความข้า…”

ลิ่นเฉิงโย่วกล่าวตัดบทเว่ยจื่อ “เถ้าแก่เฮ่อ เอ้อต้าเหนียง พวกเจ้าลองเข้ามาแยกแยะให้ดี”

เอ้อจีมองเว่ยจื่อแวบหนึ่งอย่างลำบากใจแล้วพยักหน้าเงียบๆ

ลิ่นเฉิงโย่วหันไปหาเฮ่อหมิงเซิงอีกครั้ง เฮ่อหมิงเซิงก็ถอนหายใจกล่าว “ชิ้นนี้นี่ล่ะขอรับ”

เว่ยจื่อสีหน้าเปลี่ยนไปฉับพลัน “ซื่อจื่อเจ้าคะ อย่าไปฟังเก๋อจินพูดจาเหลวไหล อัญมณีแห่งโม่เหอชิ้นนี้ ถึงแม้จะเป็นของข้าน้อย แต่หายไปตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว”

เก๋อจินเสียงแหลมสูงขึ้นมา “อัญมณีเลอค่าถึงเพียงนี้หายไปชิ้นหนึ่ง เหตุใดไม่เห็นเจ้าไปแจ้งที่ว่าการ เจ้าคงไม่กล้าแจ้งอันใดใช่หรือไม่เล่า! เพราะว่าเจ้ารู้อยู่แก่ใจดีว่าทำอัญมณีแห่งโม่เหอหล่นหายในคืนนั้น ตอนที่เจ้ามาซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงข้า!”

นางหันไปมองหน้าลิ่นเฉิงโย่ว “ซื่อจื่อ ที่ผ่านมาห้องของข้าน้อยมีชิงจือรับผิดชอบทำความสะอาด แต่หลังจากข้าน้อยเสียโฉมไปในวันนั้นชิงจือก็ยุ่งอยู่กับการยกน้ำแกงส่งยาทั้งวันไม่เคยได้พัก จึงไม่ได้กวาดห้องมานานแล้ว ครั้งก่อนข้าน้อยโดนปีศาจหนุ่มตนนั้นจับตัวไป หลังหายป่วยข้าน้อยอยากปัดเป่าเคราะห์ร้ายจึงสั่งให้ชิงจือทำความสะอาดห้อง ปรากฏว่าหาของสิ่งนี้เจอใต้เตียง คิดว่าคงทำหล่นไว้ตั้งแต่คืนนั้น เว่ยจื่อกลัวว่าเรื่องนี้จะถูกเปิดโปงจึงไม่กล้าย้อนกลับมาค้นหา”

เว่ยจื่อโกรธจัดหน้าแดงก่ำ “มีเจตนาใส่ความคนย่อมหาข้ออ้างได้สารพัด เจ้าเคยบอกเองแท้ๆ ว่าคนผู้นั้นเป็นสตรีวัยกลางคน เสียงของข้าเจ้าฟังไม่ออกหรือไร หากเป็นข้าที่ทำร้ายเจ้าจริง เจ้าคงฟังออกไปนานแล้ว คืนนั้นข้ากับรองเสนาบดีหลินไปร่วมงานชุมนุมกวี มีเหล่าบัณฑิตในหอกวีจ้าวฮุยเป็นพยานได้”

“เสียงเดิมทีก็สามารถปลอมกันได้ คืนนั้นตอนเกิดเรื่องข้าตื่นตระหนกเกินไป ไม่แน่ว่าอาจฟังเสียงไม่ชัดไปชั่วขณะ หอกวีจ้าวฮุยอยู่ห่างจากหอไฉ่เฟิ่งไม่ไกล เจ้าหาข้ออ้างปลีกตัวออกมาได้ทุกเมื่อ คืนนั้นพวกรองเสนาบดีหลินได้แต่เป็นพยานว่าเจ้าเคยปรากฏตัวในงานชุมนุมกวี แต่ไม่อาจรับรองได้ว่าเจ้าไม่เคยจากไปที่ใดเลยตั้งแต่ต้นจนจบ งานชุมนุมกวีที่หอกวีจ้าวฮุยข้าเคยไปตั้งหลายครั้ง ทุกครั้งเมื่อพ้นยามไฮ่ก็จะมีการดื่มสุรารอบใหญ่ ผู้มาร่วมงานมักดื่มสุราจนเมาหัวราน้ำ สติไม่แจ่มชัดยังจะรู้เรื่องได้อย่างไร ตอนข้าโดนทำร้ายเป็นช่วงหลังยามไฮ่พอดี ตอนนั้นหากเจ้าฉวยโอกาสยามวุ่นวายหลบออกมาก็ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยด้วยซ้ำ”

“เหลวไหลทั้งเพ!” เว่ยจื่อเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่า นั่นมิเท่ากับว่าใครๆ ก็ทำร้ายเจ้าได้หรือ”

เก๋อจินหรี่ตาลง “สิ่งที่ตกอยู่ใต้เตียงข้าไม่ใช่ของใครอื่น เป็นอัญมณีแห่งโม่เหอของเจ้า เว่ยจื่อ เจ้าเคยบอกว่าตนเองรักและหวงแหนอัญมณีชิ้นนี้มาก ไม่เคยปล่อยให้ห่างตัวเลย หากไม่ใช่ฝีมือของเจ้า แล้วเหตุใดอยู่ดีๆ มันวิ่งมาอยู่ใต้เตียงข้าได้เล่า”

“ข้าบอกไปแล้วว่าอัญมณีชิ้นนี้หายไปเมื่อหลายวันก่อน” สายตาเว่ยจื่อเป็นประกายวาวโรจน์ “บางทีอาจมีคนจงใจขโมยมันไปเพื่อใช้โยนความผิดให้ข้าก็ได้”

“ข้าขอถามเจ้าข้อเดียว เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปแจ้งที่ว่าการหรือฟ้องร้องอันใดสักอย่างเล่า” แววตาเก๋อจินคมกริบดุจใบมีด น้ำเสียงบีบคั้นทุกย่างก้าว

เว่ยจื่อสั่นสะท้านไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าจะเอ่ยตอบคำถามอย่างไร พวงแก้มอวบอิ่มมีหยาดน้ำตาเกาะพราว มองไม่ออกว่าเป็นเพราะความละอายใจหรือแค้นเคือง

ทุกคนในที่นี้มีสีหน้าแตกต่างกันออกไป ก่อนจะเห็นว่าผ่านไปพักใหญ่เว่ยจื่อยังนิ่งเงียบ ในแววตามีความคลางแคลงใจเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน

เก๋อจินก้มศีรษะให้พวกลิ่นเฉิงโย่วอย่างอ่อนน้อม “ซื่อจื่อ ข้าน้อยเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่ของครอบครัวตั้งแต่เล็ก พลาดพลั้งร่วงหล่นลงในโคลนตม แม้ร่างกายจะต้อยต่ำ แต่จิตใจไม่เคยหมองมัว เดือนก่อนโดนคนทำร้ายจนเสียโฉมอย่างไม่ทราบสาเหตุ จิตใจหมดอาลัยดั่งขี้เถ้ามอดไปนานแล้ว ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ มาถึงตอนนี้เพียงเพื่อตามหาคนร้ายตัวจริง คนผู้นี้ทำลายข้าน้อยไปทั้งชีวิต หากยังไม่ชำระแค้นข้าน้อยจะไม่ยอมตาย วันนี้หลักฐานความผิดอยู่ตรงหน้า ขอให้ซื่อจื่อกับเจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนทวงความยุติธรรมให้ข้าน้อยด้วย”

ทุกคนพากันถอนหายใจ ก่อนเกิดเรื่องเก๋อจินเป็นคนเปิดเผยใจกว้างยิ่งนัก นิสัยมาเปลี่ยนไปกะทันหันเพียงเพราะประสบเคราะห์กรรมครั้งใหญ่ หลังเกิดเรื่องก็มิได้เอาแต่โทษตนเองส่งเดช ยังอดทนกับความอัปยศเพื่อค้นหาตัวคนร้ายได้ จิตใจเข้มแข็งเช่นนี้ชวนให้ผู้คนรู้สึกยกย่องและสงสารเห็นใจ

ลิ่นเฉิงโย่วลุกขึ้นเดินมาอยู่ตรงหน้าเก๋อจิน นั่งยองลงมองหน้านาง

เก๋อจินหมอบลงกับพื้นไม่ลุกขึ้นมา “ข้าน้อยร้องขอเพียงความยุติธรรมเท่านั้น”

เว่ยจื่อมองหน้าเก๋อจินสลับกับลิ่นเฉิงโย่ว ก่อนจะกล่าวอย่างลนลานว่า “ซื่อจื่อเจ้าคะ โปรดฟังข้าน้อยสักคำ…”

ลิ่นเฉิงโย่วยกมือขึ้นบอกให้เว่ยจื่อเงียบไปก่อน แล้วเอ่ยถามเก๋อจินต่อ “วันนั้นเรื่องทำความสะอาดห้อง เจ้าหรือชิงจือเป็นคนเสนอความคิดนี้ขึ้นมา”

เก๋อจินเงยหน้าอย่างประหลาดใจ เดิมทีนึกว่าลิ่นเฉิงโย่วจะซักถามรายละเอียดในคืนนั้น ไหนเลยจะรู้ว่ากลับมาถามเรื่องนี้

นางไม่เข้าใจความนัยแอบแฝง กัดฟันตอบไปว่า “เป็นข้าน้อยเอง”

“เจ้าลองคิดทบทวนให้ดี” ลิ่นเฉิงโย่วเผยรอยยิ้มแปลกพิกล “จะให้ข้าแก้แค้นแทนเจ้า เจ้าต้องนึกเรื่องนี้ออกให้ได้ก่อน”

เก๋อจินใคร่ครวญอยู่นานก็ส่ายหน้า “เรื่องนี้ผ่านไปหลายวันแล้ว ข้าน้อยนึกไม่ออกเจ้าค่ะ”

ลิ่นเฉิงโย่วลุกขึ้นยืนตรง ยกมือไพล่หลังเดินวนรอบเก๋อจินสองรอบ “ข้าได้ยินว่าสาวใช้ชื่อชิงจือผู้นี้ชอบอู้งานเป็นที่สุด เคยรับใช้เจ้าจนเหน็ดเหนื่อยทนไม่ไหว เป็นฝ่ายไปขอว่อต้าเหนียงให้เปลี่ยนเจ้านายคนใหม่ อยู่ๆ เจ้าให้นางทำความสะอาดห้อง นางไม่หาข้ออ้างปฏิเสธเลยหรือ”

เก๋อจินตะลึงงัน “ซื่อจื่อกล่าวเช่นนี้ทำให้ข้าน้อยนึกขึ้นมาได้แล้ว วันนั้นข้าน้อยดื่มน้ำแกงถอนพิษ ไม่ทันระวังทำหกลงพื้นเล็กน้อย ชิงจือบอกว่าระหว่างที่ข้าน้อยป่วยเคยอาเจียนหลายครั้ง มาวันนี้ในเมื่ออาการดีขึ้นแล้ว ไม่สู้ถือโอกาสเก็บกวาดห้องให้สะอาด จะได้ปัดเป่าเอาโรคภัยไข้เจ็บออกไป”

“เช่นนี้ก็ถูกต้องแล้ว” ลิ่นเฉิงโย่วผงกศีรษะ “เจ้าโดนปีศาจวิหคจับตัวไป หลังเจ้ารอดกลับมาก็นอนหลับไม่ได้สติไปสองสามวัน ชิงจือคอยรับใช้ทั้งวันทั้งคืน คิดว่าคงเหนื่อยแทบแย่ หลังจากเจ้าหายดีนางไม่ฉวยโอกาสนี้อู้งานก็นับว่าแปลกแล้ว จะเป็นฝ่ายเสนอตัวขอทำงานได้อย่างไร เจ้าลองคิดถึงเหตุการณ์วันนั้นให้ดี ชิงจือพูดอะไรกับเจ้าบ้าง อัญมณีแห่งโม่เหอชิ้นนั้นเจ้าเป็นคนหาเจอหรือว่าคนอื่นหาเจอกันแน่”

สีหน้าเก๋อจินเปลี่ยนไปเล็กน้อย “…ไม่ถูกสิ…ชิงจือเป็นคนบอกว่าใต้เตียงมีของอะไรอยู่ นี่ซื่อจื่อกำลังจะบอกว่า…”

ลิ่นเฉิงโย่วชำเลืองมองใครบางคนในห้องโถงแล้วยิ้มออกมา “ข้าจะบอกว่าคนที่ทำร้ายเจ้าเป็นคนอื่น”

 

 

* ทวารทั้งเจ็ด หมายถึงหู 2 ข้าง ตา 2 ข้าง จมูก 2 รู และปาก 1 ปาก

* ‘เจ็ดอารมณ์หกปรารถนา’ เจ็ดอารมณ์ ได้แก่ ยินดี โกรธ เศร้า กลัว รัก เกลียด และใคร่ หกปรารถนา ได้แก่ ปรารถนาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ

* พระโพธิสัตว์ดินเหนียวข้ามแม่น้ำเอาตัวไม่รอด หมายถึงแม้แต่ตนเองยังปกป้องไม่ได้ ยิ่งไม่มีทางช่วยเหลือผู้อื่นได้เลย

* ห้าใหญ่สามหนา หมายถึงคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงจะต้องมีห้าใหญ่ประกอบด้วยสองมือ สองเท้า และหนึ่งศีรษะ ส่วนสามหนาประกอบด้วยขา เอว และคอ

* ป๋อ คือหนึ่งในบรรดาศักดิ์ห้าขั้นรองจากชั้นอ๋อง ได้แก่ กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน

* ฉุนไช่ เป็นพืชน้ำชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายใบของบัวสายขนาดเล็ก ใต้ใบของมันจะมียอดอ่อนที่สามารถกินได้อยู่ โดยส่วนต้นอ่อนจะมีเมือกห่อหุ้ม ต้องล้างให้สะอาดก่อนนำไปปรุงอาหาร

* เทพไท่ไป๋ หรือไท่ไป๋ซิงจวิน เป็นเทพชั้นสูงของเต๋าและยังเป็นราชทูตประจำตัวของเง็กเซียนฮ่องเต้ด้วย

* จุดตันเถียน คือชื่อเรียกตำแหน่งชีพจรบริเวณท้องใต้สะดือลงไปประมาณ 3 นิ้ว

** ท่านั่งม้า (หม่าปู้) เป็นท่าฝึกยุทธ์เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของกำลังขาและการทรงตัว โดยการยืนแยกขาให้กว้างกว่าช่วงไหล่ แล้วย่อลงนั่งค้างหลังตรงคล้ายกับกำลังนั่งอยู่บนม้านั่ง

* ปลาหนีชิว เป็นชื่อปลาชนิดหนึ่งมีลักษณะตัวกลมปลายหางแบน หลังสีดำ ท้องสีขาวหรือเทา หัวเล็กแหลม ปากมีหนวด มักจะอยู่ในแม่น้ำ หนอง บึง ชอบซ่อนตัวอยู่ในดินเลน เนื้อใช้รับประทานได้

* ภรรยาร่วมผูกผม หมายถึงภรรยาคนแรกที่ร่วมผูกผมกับสามีตามธรรมเนียมในพิธีแต่งงานจีน เพื่อแสดงถึงความรักมั่นยืนยาว

* กาน้ำหยด เป็นนาฬิกาน้ำในสมัยโบราณของจีน มีลักษณะแตกต่างกันหลากหลายรูปแบบ โดยมากจะใช้ภาชนะที่ทำจากทองแดงเจาะรูให้น้ำหยดลงมาตามท่อเพื่อบอกเวลา ภายหลังได้นำปรอทและทรายมาใช้แทนน้ำ

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 ก.ย. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 15

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: