X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหยกรัตติกาลแห่งฉางอัน

ทดลองอ่าน หยกรัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 34

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 34

เฮ่อหมิงเซิงตะลึงงัน ลิ่นเฉิงโย่วกล่าวประโยคนั้นจบก็นั่งลงที่เดิม ไม่คิดจะเดินไปที่ใดอีก

ไม่นานก็มีสาวใช้เดินห้อมล้อมหญิงงามสองคนเข้ามา คนทางซ้ายนั้นชื่อเว่ยจื่อ เนินอกสองข้างขาวเนียนเปล่งปลั่งราวเกล็ดน้ำค้าง ขณะเดินเยื้องย่างหน้าอกสั่นไหวเย้ายวนยิ่ง

ส่วนหญิงงามพริ้มเพรานิ่มนวลอีกคนชื่อเหยาหวง บนเรือนร่างคล้ายมีกลิ่นอายเย่อหยิ่งไว้ตัวราวคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์

คำกล่าวของเฮ่อหมิงเซิงมิใช่ความเท็จ พวกนางสองคนต่างมีท่าทางอ่อนเพลียเล็กน้อย ริมฝีปากเว่ยจื่อแต้มชาดสีแดงเข้มฉ่ำวาว ทว่ากลับปกปิดสีหน้าซีดเซียวเอาไว้ไม่มิด

ใบหน้าเหยาหวงก็แลดูซูบลงเช่นกัน โชคดีที่จิตใจยังสดชื่นแจ่มใสไม่เลว สายคาดกระโปรงของนางเหมือนรมด้วยกลิ่นหอมประหลาด ยามเดินเหินกลิ่นหอมฟุ้งกระจายถึงผู้คนรอบข้าง พอก้าวมาหยุดตรงหน้าจึงเอ่ยเสียงหวานใสไพเราะดั่งเสียงนกขมิ้นว่า “คารวะซื่อจื่อเจ้าค่ะ”

เถิงอวี้อี้ประทับใจเสียงเพลงของเหยาหวงอย่างลึกซึ้งมาแต่แรก เวลานี้ฟังนางเอื้อนเอ่ยวาจาก็รู้สึกถึงความชุ่มฉ่ำดุจละอองฝนพร่างพรม

เมื่อหลุดจากภวังค์จึงหันหน้ากลับมา เห็นเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อนิ่งอึ้งไปแล้ว นางตระหนักดีว่าไม่อาจชมเรื่องสนุกนี้ต่อไปได้ จึงรีบพาพวกเขาสองคนกลับเรือนหลัง พอมาถึงห้องพักนางก็ยิ้มตาหยีแล้วรินน้ำชาให้เด็กทั้งสอง ศิษย์พี่จะหาความสำราญกับหญิงคณิกาอย่างเปิดเผยไม่รู้สึกกระดากอาย กลับทำให้ศิษย์น้องอึดอัดใจจนอยู่ในสภาพเช่นนี้

“เมื่อครู่พวกท่านไปที่ใดกันมาหรือ” นางหวังดีจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“ความจริงก็ไม่ได้ไปไกลนักหรอก” เจวี๋ยเซิ่งรับถ้วยน้ำชาด้วยสองมือ “ศิษย์พี่กับเจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนเริ่มจากเดินไปที่ร้านผลไม้ฝั่งตรงข้ามเพื่อสอบถามว่ามีใครมาซื้ออิงเถาแช่อิ่มบ้างหรือไม่ จากนั้นก็ไปร้านเครื่องประดับในละแวกนี้เพื่อสอบถามเบาะแสต่างๆ สุดท้ายไปที่ร้านรับจำนำแล้วเดินวนสำรวจอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อเดินออกมาเห็นเวลาล่วงเลยไปมากแล้วศิษย์พี่กับเจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนจึงไปกินอาหารที่ร้านสุราใกล้ๆ”

ร้านผลไม้? ร้านเครื่องประดับ? เถิงอวี้อี้จิบน้ำชา เรื่องนี้คาดเดาได้ไม่ยาก ก็แค่พบอะไรบางอย่างเข้าในห้องของชิงจือผู้นั้นกระมัง

แต่ร้านรับจำนำนี่มันเรื่องอะไรกัน ตอนชิงจือยังมีชีวิตอยู่เคยเอาสิ่งของไปจำนำหรือ

ชี่จื้อหยิบขนมหลายห่อออกจากอกเสื้อ “คุณหนูเถิง ท่านลองชิมขนมชนิดนี้ดูสิ”

เถิงอวี้อี้เห็นว่าเป็นขนมแป้งม้วนยัดไส้ คิดว่าลิ่นเฉิงโย่วคงซื้อมาให้ศิษย์น้อง นางจึงไม่ยอมรับมา ได้แต่เอ่ยยิ้มๆ ว่า “พวกท่านเก็บไว้กินเองเถอะ ข้าไม่ชอบกินอาหารชาวหูสักเท่าไร”

ชี่จื้อวางขนมในมือเถิงอวี้อี้โดยไม่ยอมให้ปฏิเสธ “อันนี้ไม่เหมือนกัน คุณหนูเถิงลองกินดูก็รู้แล้ว”

เจวี๋ยเซิ่งพยักหน้าสุดชีวิต “ข้ากับชี่จื้อเพิ่งเคยกินขนมแป้งม้วนยัดไส้ชนิดนี้เป็นครั้งแรก คิดว่าพวกท่านก็คงชอบถึงได้เอากลับมาหลายห่อ ลุงเฉิง พี่ฮั่วชิว นี่เป็นส่วนของพวกท่านนะ”

ลุงเฉิงกับฮั่วชิวเผยรอยยิ้มประหลาดใจ “ของพวกเราก็มีด้วยหรือ”

เถิงอวี้อี้ถือขนมห่อนั้นขึ้นมาพลางครุ่นคิด ถึงแม้ลิ่นเฉิงโย่วจะเป็นคนออกเงิน แต่น้ำใจนี้กลับเป็นของนักพรตน้อยสองคนที่อุตส่าห์เอากลับมาฝากพวกตน ไม่กินก็ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว ดังนั้นจึงยิ้มแย้มด้วยความยินดี “ในเมื่อเป็นน้ำใจของนักพรตน้อย ถ้าอย่างนั้นก็กินเถอะ พวกเรานายบ่าวไม่ต้องเตรียมอาหารกลางวันอีก กินขนมพวกนี้คงพออิ่มท้องแล้ว”

เพิ่งกินไปได้หนึ่งคำนางก็ตะลึงงันแล้ว “เอ๋? นี่มันไส้อะไรกัน”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อดวงตาเป็นประกาย “คาดเดาไม่ถูกใช่หรือไม่ พวกเราก็คาดเดาไม่ถูกเช่นกัน จากคำบอกเล่าของเถ้าแก่ร้านชาวหู เขาว่าในขนมชนิดนี้จะใส่วัตถุดิบประมาณยี่สิบสามสิบอย่าง นอกจากเห็ดหอม ขนมแป้งนุ่มโท่วฮวาฉือ* กับน้ำนมหมักแล้ว ยังมีวัตถุดิบที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนอีกหลายอย่าง”

เมื่อก่อนลุงเฉิงมักจะเดินวนเวียนอยู่ตามตรอกซอกซอย ก็นับได้ว่าเป็นผู้มีความรอบรู้และประสบการณ์กว้างขวาง ได้ยินคำพูดนี้แล้วก็รู้สึกงุนงงอยู่บ้าง “ท่านนักพรตน้อย ขนมแป้งม้วนยัดไส้ชุดหนึ่งใส่ของดีตั้งมากมายเพียงนี้ กลัวว่าคงตั้งราคาขายไม่ใช่ง่ายๆ กระมัง เพราะขายถูกก็ขาดทุน ขายแพงไปก็ไม่มีคนซื้ออีก”

เจวี๋ยเซิ่งกล่าวกับลุงเฉิงว่า “ลุงเฉิง ท่านคงจะไม่รู้ เถ้าแก่ร้านชาวหูผู้นี้เป็นคนรู้จักเก่าแก่ของศิษย์พี่ พอเห็นศิษย์พี่มาเยือนถึงได้เข้าครัวด้วยตนเอง ปกติไม่ทำขายหรอก ให้เงินเยอะเท่าใดก็ไม่ขาย”

ตอนแรกเถิงอวี้อี้ตั้งใจจะกินเล่นสองคำ ปรากฏว่ากินไปเรื่อยๆ กลับเพลิดเพลินจนวางไม่ลง ความกรุบกรอบของเห็ดหอมกับความหวานหนึบของน้ำนมหมักคละเคล้าอบอวลอยู่ในปากทำให้คนยากจะตัดใจ เพิ่งกินอิ่มไปมื้อหนึ่งก็เริ่มคิดถึงมื้อต่อไปแล้ว

นางใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดมือพลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ร้านนี้ตั้งอยู่ที่ใดหรือ วันหน้าข้าจะซื้อไปให้ญาติผู้พี่กับท่านป้าได้ลิ้มลองสักสองสามห่อ”

“อยู่ข้างหน้าออกไปไม่ไกล เถ้าแก่ชื่อเฮอโม่ แต่คุณหนูเถิงอย่าไปเลยดีกว่า อย่างที่บอกเฮอโม่ไม่มีทางขายให้หรอก ต่อเพิ่มเงินให้มากเพียงใดก็ไม่ขาย”

“เป็นเพราะเหตุใดกัน”

เจวี๋ยเซิ่งโบกไม้โบกมือ “คนผู้นี้นิสัยแปลกประหลาดนัก หลังทำขนมแป้งม้วนยัดไส้เสร็จแล้ว ออกมาทักทายศิษย์พี่คำหนึ่งก็หายหน้าไปเลย ลองเปลี่ยนเป็นคนอื่นคิดว่าแม้แต่หน้าคงไม่โผล่มาให้เห็น กระทั่งเจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนจะชวนเฮอโม่คุยด้วยเขาก็ยังไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ”

เถิงอวี้อี้จึงไม่กล่าวอะไรต่อแล้ว เถ้าแก่ร้านชาวหูผู้นี้เร้นกายอยู่ในตรอกร้านค้า จะต้องเป็นคนมีนิสัยหยิ่งทะนงรักสันโดษอยู่บ้าง ในเมื่อไม่สนใจไยดีทรัพย์สินเงินทอง คิดว่าคงไม่เห็นเรื่องอำนาจใดๆ อยู่ในสายตาเช่นกัน ทำขนมแป้งม้วนยัดไส้ด้วยตนเองก็มิได้ทำเพื่อเอาใจลิ่นเฉิงโย่ว แต่เห็นเขาเป็นสหายอย่างแท้จริงต่างหาก ดูท่าข้างกายลิ่นเฉิงโย่วคงมีสหายกลุ่มสามคำสอนเก้าสำนักไม่น้อยเลยทีเดียว

“เจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนกับศิษย์พี่ของท่านไปเดินเตร็ดเตร่ตั้งหลายที่ปานนั้นเพราะสงสัยว่าชิงจือไม่ได้ฆ่าตัวตายใช่หรือไม่”

ชี่จื้อเกาศีรษะแกรกๆ “เรื่องนี้พวกข้าก็ไม่รู้หรอก เจ้าหน้าที่ไต่สวนเหยียนกับศิษย์พี่ไม่ได้บอกอันใดเลย”

เถิงอวี้อี้เอ่ยขึ้นว่า “หากชิงจือถูกใครฆ่าตาย มิเท่ากับว่าคนร้ายแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ปะปนอยู่ในหอได้เลยหรอกหรือ เงยหน้าไม่เห็นก้มหน้ากลับเห็น** ไม่แน่ว่าอาจจะเคยร่วมโต๊ะอาหารกับพวกเราก็ได้”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อกระซิบถามว่า “คุณหนูเถิง ท่านคิดว่าชิงจือถูกใครวางแผนฆ่าใช่หรือไม่”

“ไม่กล้าคาดเดาส่งเดช เมื่อคืนศิษย์พี่ของพวกท่านกับเหล่านักพรตพักอยู่ในศาลเจ้า อยู่ห่างจากบ่อน้ำนั้นไม่ไกลนัก หากชิงจือถูกผู้ใดฆ่าตายตรงหน้าบ่อน้ำจะต้องดิ้นรนร้องขอความช่วยเหลือแน่ ดูจากโสตประสาทของศิษย์พี่พวกท่านไม่มีทางไม่ได้ยินอะไรเลย หากโดนฆ่าจากที่อื่นค่อยเคลื่อนย้ายร่างมายังบ่อน้ำ ระยะทางไกลพอสมควรอย่างนั้น เป็นไปได้สูงว่าจะถูกใครพบเห็นเข้า หลายวันมานี้สถานการณ์อ่อนไหวเป็นพิเศษ มารผีดิบอาจบุกเข้ามาแผลงฤทธิ์ได้ทุกเมื่อ แม้คนร้ายจะเหิมเกริมสักเท่าใดก็คงไม่เลือกลงมือในเวลานี้แน่ ดังนั้นข้าจึงคาดเดาว่าชิงจือฆ่าตัวตาย” เถิงอวี้อี้กล่าว

“แต่ถ้าฆ่าตัวตาย แล้วเหตุใดศิษย์พี่ต้องเชิญสหายร่วมงานจากศาลต้าหลี่มาสืบคดีด้วยเล่า”

เถิงอวี้อี้ไม่ได้ต่อความ หากไม่เป็นเช่นที่นางคิด การที่ลิ่นเฉิงโย่วเรียกสหายจากศาลต้าหลี่มาเช่นนี้คงเป็นเพราะว่าการตายของชิงจือจะต้องมีจุดที่น่าสงสัยแน่ นางเอ่ยเปลี่ยนประเด็นสนทนา “อย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีเรื่องราวน่ากังวล ถ้าอย่างนั้นให้เป้าจูกับเจวี่ยนเอ๋อร์หลีมาร้องเพลงให้ฟังดีกว่า”

เป้าจูกับเจวี่ยนเอ๋อร์หลีมาถึงอย่างรวดเร็ว เพียงแต่สีหน้าย่ำแย่กว่าปกติ

เถิงอวี้อี้รินน้ำชาให้พวกนางด้วยตนเองพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าจำได้ ครั้งก่อนพวกเจ้าบอกว่าช่วงหลายวันมานี้ชิงจือฝันร้ายอยู่บ่อยๆ พวกเจ้าคุ้นเคยกับชิงจือหรือไม่”

เป้าจูยกถ้วยน้ำชาขึ้นแล้วส่ายหน้า “ข้าน้อยไม่คุ้นเคยกับชิงจือเท่าใดนัก แต่เจวี่ยนเอ๋อร์หลีกลับเป็นเหมือนคนบ้านเดียวกันกับชิงจือ พอชิงจือจากไปกะทันหัน ช่วงเช้าเจวี่ยนเอ๋อร์หลีก็จิตใจว้าวุ่นอยู่ตลอด”

เถิงอวี้อี้เพิ่งสังเกตเห็นว่าเจวี่ยนเอ๋อร์หลีมีสีหน้าเหม่อลอย

เป้าจูผลักแขนเจวี่ยนเอ๋อร์หลีเบาๆ “คุณชายถามเจ้าอยู่นะ”

เจวี่ยนเอ๋อร์หลีได้สติกลับมาก็กล่าวตอบอย่างหดหู่ใจ “เรียนคุณชาย ข้าน้อยกับชิงจือจะเรียกว่าเป็นคนบ้านเดียวกันก็ไม่ถูก เพียงแค่ปีนั้นถูกขายมาอยู่ในมือพ่อค้าทาสคนเดียวกัน ข้าน้อยเป็นชาวหู ส่วนชิงจือกลับถูกขายมาจากเมืองสิงหยาง จำได้ตอนนั้นชิงจือพูดอยู่เสมอว่าในครอบครัวยังมีพี่สาวน้องสาวร่วมสายเลือด น่าเสียดายไม่ทันระวังพลัดพรากจากกันไป ข้าน้อยอยู่ร่วมกับนางหลายเดือนก็สนิทสนมกันแล้ว ภายหลังข้าน้อยถูกเอ้อต้าเหนียงซื้อตัวไป ส่วนชิงจือถูกขายให้ว่อต้าเหนียง นับจากนั้นก็ไม่เคยพบหน้ากันอีกเลย จนกระทั่งหอไฉ่เฟิ่งเปิดกิจการข้าน้อยถึงได้พบหน้าชิงจืออีกครั้ง ชิงจือบอกกับข้าน้อยว่าว่อต้าเหนียงรังเกียจที่นางรูปโฉมธรรมดาสามัญ ซื้อตัวนางมาแล้วกลับไม่เคยสอนศิลปะดนตรีให้นางเลย”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อรู้สึกสับสน จากประโยคนี้มิใช่หมายความว่าชิงจือผู้นี้อยากเป็นหญิงคณิกาด้วยอย่างนั้นหรือ

เป้าจูเอ่ยด้วยใบหน้าแดงเรื่อ “คุณชายหวังอาจไม่ทราบ สตรีที่ถูกขายมาอยู่ในหอคณิกาชั่วชีวิตนี้ถูกกำหนดให้มีชะตากรรมน่าเวทนา ชิงจือต่อให้ไม่ต้องปรนนิบัติบุรุษแต่ก็ไม่อาจแต่งเข้าไปในครอบครัวที่มีฐานะดีอย่างเปิดเผยได้ นางไม่ยินยอมที่จะทำงานหนักอยู่ในหอคณิกาไปทั้งชาติ ดังนั้น…ดังนั้น…”

เถิงอวี้อี้เข้าใจแล้ว บางทีในสายตาชิงจือการเป็นหญิงคณิกาเลื่องชื่อดูมีเกียรติกว่าการเป็นสาวใช้ทำงานหนักมากนัก

เจวี่ยนเอ๋อร์หลีกล่าวต่อว่า “ข้าน้อยถามชิงจือว่าหลายปีมานี้ตามหาพี่น้องร่วมสายเลือดเจอหรือไม่ ชิงจือบอกว่ายังไม่เจอเลย แต่นางบอกว่าว่อต้าเหนียงก็ดีกับนางไม่เลว หากทำงานขยันขันแข็ง เดือนหนึ่งก็เก็บเงินได้หลายเฉียน ต่อมาแม่นางเก๋อจินมาอยู่ที่นี่ เถ้าแก่ก็เรียกให้ชิงจือไปคอยรับใช้แม่นางเก๋อจินแล้ว”

“ถ้าเป็นไปตามนี้ ชิงจือไม่เหมือนคนไม่ไยดีกับชีวิตจนฆ่าตัวตายได้เลยนะ” เถิงอวี้อี้นึกถึงท่าทางหวาดกลัวเสียขวัญของเก๋อจินเมื่อเช้าจึงอดเอ่ยถามไม่ได้ “เก๋อจินดีต่อชิงจือหรือไม่”

“ดีเจ้าค่ะ” เจวี่ยนเอ๋อร์หลีพยักหน้าอย่างเลื่อนลอย “แม่นางเก๋อจินกิริยาสุภาพมีมารยาท นิสัยก็เปิดเผยตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง บุตรหลานชนชั้นสูงเหล่านั้นสรรหาของล้ำค่าหายากมาเอาใจนางเป็นประจำ นางจะแบ่งปันให้คนข้างกายได้ลิ้มลองอย่างใจกว้าง คนข้างนอกส่งเนื้อกวางย่างกับปลาเปรี้ยวหวานมาให้ก็ไม่เคยเก็บไว้กินผู้เดียว นางมาถึงได้ไม่นาน คนในหอทั้งนายบ่าวต่างชื่นชอบนาง ชิงจือมักพูดอยู่เสมอว่าตนเองช่างมีวาสนานัก โชคดีที่ได้รับใช้เจ้านายเช่นนี้”

เป้าจูพลันเอ่ยขึ้นว่า “ไม่หรอก ใช่ว่าจะเป็นเช่นนั้นไปเสียหมด”

“อ้อ หรือว่าพวกนางนายบ่าวเคยมีเรื่องบาดหมางกัน”

“เมื่อก่อนก็ยังดีอยู่หรอกเจ้าค่ะ แต่ชิงจือบอกว่าหลังแม่นางเก๋อจินเสียโฉมราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ชอบพาลโมโหใส่นางอย่างไร้เหตุผลอยู่บ่อยๆ บางครั้งยังทุบตีดุด่านาง ชิงจือทำงานหามรุ่งหามค่ำดูแลเก๋อจิน กลับได้แต่คำตำหนิกลับมา นางบ่นว่าลับหลังกับคนอื่นเป็นประจำ มีครั้งหนึ่งยังไปขอร้องให้ว่อต้าเหนียงเปลี่ยนเจ้านายที่นางต้องรับใช้ ว่อต้าเหนียงดุด่าชิงจือไปยกใหญ่ บอกว่านางไม่สำนึกคุณคน ตอนเจ้านายมีหน้ามีตาก็คอยประจบประแจง ตอนเจ้านายตกต่ำลง สิ่งแรกที่คิดคืออยากเปลี่ยนไปรับใช้ผู้อื่น คนพรรค์นี้จะเก็บเอาไว้ด้วยเหตุใด สมควรตีให้ตายไปเสียดีกว่า ชิงจือตกใจรีบโขกศีรษะขออภัย ตั้งแต่นั้นก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก”

เถิงอวี้อี้คิดทบทวนพลางเอ่ย “เช่นนั้นก็หมายความว่าตอนแม่นางเก๋อจินเพิ่งเกิดเรื่อง ชิงจือยังไม่ได้ฝันร้าย หลายวันมานี้ถึงเริ่มนอนหลับไม่สนิทใช่หรือไม่”

เป้าจูผงกศีรษะ “ชิงจือเป็นคนที่ใช้แต่เรี่ยวแรงไม่ใช้หัวคิด แม่นางเก๋อจินโดนวิญญาณอาฆาตทำร้าย คนในหอต่างตกอยู่ในอันตราย ชิงจือกลับมีท่าทางเป็นปกติดีอยู่ เพียงแค่กลัดกลุ้มอนาคตของแม่นางเก๋อจินกับตนเอง บอกว่าหากรูปโฉมแม่นางเก๋อจินไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิม อาหารรสโอชาหายากที่เมื่อก่อนเคยอาศัยวาสนาของอีกฝ่ายถึงได้ลิ้มลอง วันหน้าคงจะไม่มีโอกาสได้กินอีกแล้วใช่หรือไม่”

เถิงอวี้อี้ส่งเสียงจิ๊ด้วยความประหลาดใจ นี่หาใช่เพียงใช้เรี่ยวแรงไม่ใช้หัวคิด แต่เรียกได้ว่านางไม่มีหัวใจเลยต่างหาก

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อคิดแล้วยังสับสน “คนที่นิสัยเช่นนี้เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงนอนหลับไม่สนิทได้ ระยะนี้ตอนกลางคืนชิงจือฝันร้ายอยู่บ่อยๆ คนที่นอนร่วมห้องไม่ถามหาสาเหตุจากนางบ้างหรือ”

“เรื่องนี้…ข้าน้อยก็ไม่ทราบแล้วเจ้าค่ะ”

เถิงอวี้อี้ร้องอุทานในลำคอ บรรดาหญิงสาวในหอคณิกาแยกแยะระดับชัดเจน เอ้อจีทุ่มเทเงินทองและหยาดเหงื่อแรงกายไปมากเพียงนี้ คงเพราะหวังให้เจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับเป้าจูกลายเป็นดาวเด่นในอนาคต ชิงจือเป็นสาวใช้ทำงานหนักผู้หนึ่ง เอ้อจีไม่มีทางยอมให้หญิงสาวที่ตนเองประคบประหงมเลี้ยงดูสนิทสนมกับนางเกินไป

เถิงอวี้อี้ยกมือดันหน้าผาก “ช่างเถอะ คุยกันมาตั้งมากมายเพียงนี้คงเหนื่อยแล้วสิ ข้างนอกก็เอะอะวุ่นวาย พวกเจ้านั่งพักอยู่ในห้องข้างประเดี๋ยวหนึ่งค่อยไปเถอะ”

เป้าจูกับเจวี่ยนเอ๋อร์หลีมีท่าทีกระสับกระส่าย “คุณชายไม่ให้พวกเราเล่นดนตรีแล้วหรือเจ้าคะ”

“อย่าเอาเพลงชาวหูดีกว่า เล่นลำนำเก็บดอกบัวก็แล้วกัน”

หญิงสาวทั้งสองขานรับพร้อมกัน เจวี่ยนเอ๋อร์หลีเริ่มเล่นเครื่องเป่าก่อน เป้าจูก็ดีดเครื่องสายตามมา

เพลงเพิ่งจะบรรเลงไปได้ค่อนทาง เป้าจูกลับพลันหยุดชะงัก

“เป้าจู?”

เป้าจูสีหน้าซีดเผือดขึ้นมาในพริบตา แต่ก็กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว นางมองไปทางอิงเถาอบแห้งบนโต๊ะจานนั้น “ข้าน้อยนึกออกแล้ว ครั้งนั้นเถ้าแก่ให้ข้าน้อยไปส่งยาให้แม่นางเก๋อจิน เคาะประตูแล้วไม่ได้ยินเสียงขานรับ ข้าน้อยก็เลยต้องไปหาชิงจือ เพิ่งเดินเข้าประตูก็เห็นชิงจือกำลังกินอะไรบางอย่างอยู่ พอนางเห็นข้าน้อยเดินเข้ามาก็รีบร้อนยัดห่อของสิ่งนั้นกลับไปใต้หมอน สุดท้ายไม่ระวังทำร่วงลงพื้น ข้าน้อยเห็นว่าเป็นอิงเถาอบแห้งห่อหนึ่งจึงไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก ตอนนี้นึกขึ้นมาได้ ของห่อนั้นดูเหมือนจะหนักอึ้ง ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งคล้ายเก็บของจำพวกปิ่นปักผมและต่างหูเอาไว้ ชิงจือวุ่นกับการยัดของเข้าใต้หมอนพร้อมบอกว่า ‘ข้าพบคนรู้จักเก่าแก่ผู้หนึ่ง เขาผู้นั้นให้อิงเถาอบแห้งห่อนี้มา ข้าอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก คงไม่อาจแบ่งให้พี่สาวกินได้’ ”

“คนรู้จักเก่าแก่? นางบอกหรือไม่ว่าเป็นบุรุษหรือสตรี”

“ไม่ได้บอก ตอนนั้นชิงจือท่าทางลนลานมาก รีบร้อนจนจะผลักไสข้าน้อยออกไป”

“เจ้าสงสัยว่าชิงจือเอาของบางสิ่งซ่อนไว้ใต้กองอิงเถา?”

เป้าจูผงกศีรษะแล้วเอ่ยว่า “เช่นนี้ต่อให้มีใครพบเห็นเข้า ก็คิดเพียงว่านางแอบกินอะไรอยู่ ถ้าไม่ได้ทำร่วงลงพื้น ข้าน้อยก็คงไม่รู้สึกว่ามีพิรุธอะไร”

“ซ่อนเอาไว้สักเท่าใดกัน”

“คิดว่าด้านบนคงมีแค่อิงเถาอบแห้งทับไว้ชั้นหนึ่ง ข้างใต้ล้วนเป็นของจำพวกไข่มุกและหยกเจ้าค่ะ”

เถิงอวี้อี้ลอบขมวดคิ้วมุ่น มิน่าเล่าลิ่นเฉิงโย่วถึงได้ไปสืบเบาะแสที่ร้านผลไม้กับร้านเครื่องประดับ อย่างนี้สิน่าสนใจขึ้นมาแล้ว สาวใช้ทำงานหนักผู้หนึ่งจะมีเครื่องประดับมากมายเช่นนั้นได้อย่างไร ขโมยมาหรือว่าผู้อื่นให้มา? เก๋อจินมักแบ่งผลไม้กับอาหารให้กินก็แล้วไปเถอะ นี่ยังแบ่งเครื่องประดับมีค่าให้สาวใช้ด้วยหรือไร

ในตอนนี้เองจู่ๆ ข้างนอกมีเสียงคนเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายหวัง คุณชายหวัง?”

ลุงเฉิงเดินไปเปิดประตู เฮ่อหมิงเซิงพลันชะโงกใบหน้ายิ้มแย้มเข้ามา “คุณชายหวัง ข้าน้อยผู้แซ่เฮ่อมีเรื่องจะปรึกษากับท่าน”

เถิงอวี้อี้แปลกใจเล็กน้อย “เรื่องอันใดหรือ”

เฮ่อหมิงเซิงเผยรอยยิ้มระบายเต็มใบหน้า “ซื่อจื่ออยากให้เป้าจูกับเจวี่ยนเอ๋อร์หลีไปปรนนิบัติ”

เถิงอวี้อี้นิ่งงันไปชั่วขณะ “หากจำไม่ผิด ซื่อจื่อเรียกแม่นางไปกว่าสิบคนในคราวเดียวแล้ว เพราะเหตุใดถึงยังไม่พอใจอีก”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อไอแห้งๆ แทบอยากจะแทรกตัวหายไปในรอยแยกบนพื้น

เฮ่อหมิงเซิงถอนหายใจ “คุณชายหวังอาจไม่ทราบ บุรุษหนุ่มแน่นเช่นนี้ ครั้งแรกมักหุนหันพลันแล่นเกินไปสักหน่อยทั้งนั้น ซื่อจื่อบอกว่าอยากเลือกคนที่มีทุกแง่มุมตรงกับที่ใจต้องการ กลัวว่าจะเลือกกันจนตาลาย ถึงได้อยากชมดูไปทีละคนในที่รโหฐาน พอได้ยินว่าหญิงคณิกาหน้าตาสะสวยในหอหลายคนยังไม่ยอมไป ก็สั่งข้าน้อยผู้แซ่เฮ่อให้มาเชิญด้วยตนเอง”

เถิงอวี้อี้เอ่ยว่า “เขาจะเรียกคนทั้งหอไปก็ไม่เป็นไร แต่ข้าตกลงกับเอ้อต้าเหนียงไว้แล้ว ตอนนี้เจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับเป้าจูเป็นคนของข้า ข้าไม่เห็นด้วยหากพวกนางต้องไปปรนนิบัติผู้ใด ให้ซื่อจื่อไปหาคนอื่นแทนเถอะ”

เฮ่อหมิงเซิงเงยหน้าขึ้นปาดเหงื่อ “คุณชายหวัง เรื่องนี้ต้องโทษข้าน้อยผู้แซ่เฮ่อที่โง่เขลาไม่รู้ความ ก่อนอื่นข้าน้อยต้องขออภัยท่านด้วย ทางซื่อจื่อยืนกรานว่าต้องการคนไปให้ได้ บอกว่าหากภายในครึ่งชั่วยามไม่ส่งคนไป จะมาเอาเรื่องกับข้าน้อย หลายวันมานี้ข้าน้อยยุ่งจนหัวหมุนไปหมด แทบจะแบกรับความกดดันไม่ไหวแล้ว คุณชายหวัง ขอแค่ท่านยอมปล่อยคน จะให้ข้าน้อยขออภัยอย่างไรก็ได้ ของที่เอ้อจีรับมาเป็นการส่วนตัวข้าน้อยจะคืนให้คุณชายหวังครบตามจำนวน เช่นนี้เป็นอย่างไร”

เถิงอวี้อี้เหลือบมองเจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับเป้าจูแวบหนึ่ง พวกนางสองคนก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไรสักคำ คิดว่าคงไม่ยินยอมให้ถูกเรียกไปปรนนิบัติบุรุษ เพียงแต่เถ้าแก่มาเรียกคนด้วยตนเองเช่นนี้พวกนางคงกล้าโกรธไม่กล้าเอ่ยปากกระมัง

เถิงอวี้อี้หาใช่ผู้มีใจเมตตาดั่งพระโพธิสัตว์ ทว่านางรับรองความปลอดภัยของพวกนางสองคนไว้แล้ว นี่เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วัน จะปล่อยให้ทั้งสองถูกทำลายคามือลิ่นเฉิงโย่วได้อย่างไร

นางแย้มยิ้มเอ่ย “พูดจาน่าสงสารจริงเชียว เถ้าแก่เฮ่อฐานะมั่งคั่งร่ำรวย ย่อมไม่เห็นลูกปัดแก้วสองเม็ดอยู่ในสายตาแน่ วันนี้หากเจ้ากล้าคืนลูกปัดของข้า พรุ่งนี้ข้าจะให้คนปล่อยข่าวเรื่องนี้ออกไป ทำให้ผู้คนรู้กันทั่วว่าเถ้าแก่หอไฉ่เฟิ่งพูดจากลับกลอก ดูซิว่าวันหน้าผู้ใดยังกล้ามาค้าขายกับเจ้าอีก”

เฮ่อหมิงเซิงส่งเสียงโอดครวญ “สวรรค์! นี่มันเทพเซียนฟาดฟัน ผีน้อยรับเคราะห์* ชัดๆ ทางฝั่งนั้นซื่อจื่อก็คุยกันไม่รู้เรื่อง ทางฝั่งนี้คุณชายหวังก็ไม่ยอมถอยให้เช่นกัน ข้าน้อยผู้แซ่เฮ่อโดนบีบอยู่ตรงกลางจนใกล้จะขาดใจตายแล้ว เอาอย่างนี้ดีกว่า ซื่อจื่อยังรอให้กลับไปรายงานอยู่ทางนั้น รบกวนคุณชายหวังตามข้าน้อยไปสักหน่อยเถอะ ไปคุยกับซื่อจื่อให้รู้เรื่องเองดีหรือไม่ขอรับ”

เถิงอวี้อี้คิดไตร่ตรองชั่วครู่ ลิ่นเฉิงโย่วอยากได้คนจากนาง อย่างไรเขาก็ควรเป็นฝ่ายมาพูดคุยให้รู้เรื่องถึงจะถูก ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาใช้อารมณ์แก้ปัญหา หากลิ่นเฉิงโย่วตัดสินใจว่าจะตั้งตนเป็นศัตรูกับนาง นางคงไม่อาจปกป้องเป้าจูกับเจวี่ยนเอ๋อร์หลีได้

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดไม่จา เกรงว่าในใจก็รู้สึกอึดอัดไม่น้อย ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจนาง ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “มีเรื่องต้องหารือกับพวกท่าน”

หลังสั่งกำชับเด็กชายทั้งสองเป็นอย่างดีแล้ว นางก็เชิดหน้าขึ้นกล่าวกับเฮ่อหมิงเซิงว่า “นำทางเถอะ”

สถานที่แห่งนั้นอยู่ในเขตเรือนหลัง ห่างจากศาลเจ้าไม่เท่าไร เดิมทีเป็นห้องโถงบุปผาขนาดเล็ก แล้วเปลี่ยนมาเป็นห้องพักอาศัยชั่วคราว ตรงหน้าบันไดต้นไม้เขียวขจีรกครึ้ม เป็นอาณาบริเวณที่เงียบสงบดีเหลือเกิน ตอนเถิงอวี้อี้เดินเข้าไป ลิ่นเฉิงโย่วเพิ่งจะเดินมาจากทางเดินอีกเส้นหนึ่ง ด้านหลังมีคนติดตามมาพร้อมกันหลายคน เอ้อจีก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย

“ซื่อจื่อ”

ลิ่นเฉิงโย่วหยุดฝีเท้า “ตามคนมาครบแล้วหรือ”

เฮ่อหมิงเซิงเอ่ยยิ้มๆ “คนอื่นคุยกันง่าย เหลือเพียงเจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับเป้าจูที่ยุ่งยากเล็กน้อยขอรับ”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อชำเลืองมองห้องนั้น ช่องหน้าต่างเปิดแง้มเอาไว้ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเงาร่างอรชรในชุดงดงามพลิ้วไหวอย่างเลือนรางอยู่ภายในห้อง

เด็กชายสองคนใบหน้าเป็นสีแดงก่ำทันที ก่อนจะวิ่งไปหยุดตรงหน้าลิ่นเฉิงโย่ว กระชากแขนเสื้ออีกฝ่ายพลางว่า “ศิษย์พี่ ท่านจะทำเช่นนี้ไม่ได้”

ลิ่นเฉิงโย่วท่าทางไม่สะทกสะท้าน “ข้าทำอะไรหรือ”

“ศิษย์พี่เรียกแม่นางเหล่านี้มาเป็นสิบคนแล้ว ไฉนต้องเรียกเจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับเป้าจูด้วย พวกนางเป็นคนดีนะ ศิษย์พี่ ท่าน…ท่านจะ…”

สองคำสุดท้ายเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ ลิ่นเฉิงโย่วลูบคลำใบหู ได้ยินไม่ค่อยจะชัด แต่ตระหนักได้ว่าคำนั้นคงจะเป็นคำว่า ‘ย่ำยี’

เขาไม่โกรธ แต่กลับยิ้มแย้ม “ข้าจะย่ำยีพวกนาง?”

เจวี๋ยเซิ่งรวบรวมความกล้าเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ขอบังอาจถามท่านสักคำ วันนี้พอออกจากห้องนี้ไปแล้วท่านยังเรียกชื่อพวกนางได้หรือไม่”

“แล้วเหตุใดข้าจะต้องเรียกชื่อพวกนางได้ด้วยเล่า”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อสีหน้าย่ำแย่กว่าเก่า เผยอริมฝีปากกล่าวเสียงอึกอักว่า “ศิษย์พี่ อย่างนี้ไม่ดีเลย พวกนางถูกขายมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ ชาติกำเนิดก็น่าสงสารมากอยู่แล้ว ศิษย์พี่ ท่าน…ท่านจะซ้ำเติมเคราะห์ร้ายให้พวกนางไม่ได้นะ”

“ใช่ๆๆ หากได้แล้วทิ้งขว้าง ถือว่าผิดหลักคำสอนของท่านอาจารย์นะขอรับ”

นี่เป็นถ้อยคำที่เถิงอวี้อี้สอนมา ซึ่งพวกเขาต้องข่มกลั้นไว้ตั้งนานถึงจะหลุดปากออกมาได้

ลิ่นเฉิงโย่วโดนตำหนิตีแสกหน้าอย่างจังยกหนึ่ง ครุ่นคิดในใจว่าพวกเขาไปเรียนคำพูดคำจาเช่นนี้มาจากที่ใด ท่านยังเรียกชื่อพวกนางได้หรือไม่? ซ้ำเติมเคราะห์ร้าย? ได้แล้วทิ้งขว้าง? สายตาของเขามองปราดไปทางเถิงอวี้อี้โดยพลัน ก่อนยกยิ้มเยาะหยันกล่าว “ข้าก็ว่านี่มันเรื่องอันใดกัน ที่แท้เป็นเรื่องดีงามฝีมือคุณชายหวังนี่เอง”

เถิงอวี้อี้ลอบถอยหลังไปหนึ่งก้าว ลิ่นเฉิงโย่วกลับสาวเท้าเดินมาหานาง ค่อยๆ เข้ามาใกล้แล้วชายตามองลงมาที่นาง “คำพูดพวกนี้เจ้าเป็นคนสอนพวกเขาหรือ”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อรีบเอ่ยว่า “ไม่ใช่ๆ ตอนเถ้าแก่เฮ่อมาคุยกับคุณชายหวัง พวกข้าได้ยินมาเองต่างหาก คำพูดนี้ก็เป็นสิ่งพวกข้าอยากจะพูดขอรับ”

เถิงอวี้อี้คลี่ยิ้มบางๆ “ข้าน้อยขอร้องให้นักพรตน้อยทั้งสองมาพูดแทนจริงๆ นั่นล่ะ เด็กสาวสองนางนี้ที่ซื่อจื่อหมายตาไว้บังเอิญว่าเมื่อหลายวันก่อนก็ถูกใจข้าน้อยเช่นกัน จึงมอบเงินทองจำนวนหนึ่งแก่เอ้อต้าเหนียง ให้ภายในครึ่งปีนี้พวกนางไม่ต้องไปปรนนิบัติผู้อื่น จะว่าไปซื่อจื่อไม่เคยทราบเรื่องนี้เลย ก่อนอื่นข้าน้อยต้องกล่าวขออภัยต่อซื่อจื่อ เจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับเป้าจูไม่อาจไปปรนนิบัติซื่อจื่อได้แล้ว”

ลิ่นเฉิงโย่วพยักหน้า “เจ้าไม่ยอมตัดใจมอบให้ ก็เลยยุยงให้เด็กโง่สองคนนี้มาพูดว่าข้าข่มเหงรังแกคน?”

“ซื่อจื่อเข้าใจผิดแล้ว นักพรตน้อยสองคนเห็นศิษย์พี่เป็นแบบอย่างที่ดี ปกติไม่ว่าเรื่องใดล้วนปฏิบัติตามศิษย์พี่ด้วยความภาคภูมิใจ วันนี้เรื่องที่ซื่อจื่อจะหาความสุขกับหญิงคณิกาในหอเป็นที่รู้กันทั่ว นักพรตน้อยยังเยาว์วัย อาจมีบางเรื่องขบคิดแล้วไม่เข้าใจ ข้าน้อยกลัวว่าพวกเขาจะคิดเป็นจริงเป็นจัง จึงต้องอธิบายแทนท่านเล็กน้อย ไม่มีคำพูดให้ร้ายแม้แต่คำเดียวเด็ดขาด ยิ่งไม่อาจพูดว่าซื่อจื่อข่มเหงรังแกคน”

รอยยิ้มบนใบหน้าลิ่นเฉิงโย่วไม่จางหาย ทว่าในใจกลับมีไฟโทสะลุกโชน เพิ่งสงบเสงี่ยมมาได้คืนเดียวนางก็มาหาเรื่องเขาอีกแล้ว เขาคิดออกเป็นฉากๆ เลยว่านางช่วย ‘อธิบายแทน’ เขาอย่างไร จะต้องไม่มีอะไรดีงามสักคำเป็นแน่ มิน่าเล่าเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อถึงได้มองเขาเช่นนั้น ไม่รู้ว่านางพูดอะไรกรอกหูเด็กโง่สองคนนี้ แล้วเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อก็ดันหลงเชื่อนางเสียด้วย

เถิงอวี้อี้เอ่ยเสียงนุ่มนวล “ซื่อจื่อมิใช่คนไร้เหตุผลไม่เห็นแก่ผู้ใด ตอนนี้อธิบายต้นสายปลายเหตุกระจ่างแล้ว หวังว่าซื่อจื่อจะเข้าใจและให้อภัยด้วย สับเปลี่ยนหญิงงามคนอื่นไปปรนนิบัติแทนเถอะ”

ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มเยาะ “หากวันนี้ข้ายืนกรานจะเป็นคนไร้เหตุผลไม่เห็นแก่ผู้ใดเล่า”

เถิงอวี้อี้ถอนหายใจกล่าว “เจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับเป้าจูจนถึงวันนี้ยังไม่เคยปรนนิบัติใคร หลายเรื่องยังโง่เขลาขาดไหวพริบ หากดันทุรังเข้าไปปรนนิบัติ ไม่แน่ว่าอาจจะขัดความสำราญของซื่อจื่อ ถึงอย่างไรในห้องก็มีหญิงงามสิบกว่านางแล้ว ไยต้องให้เจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับเป้าจูไปเพิ่มความยุ่งยากให้ท่านด้วย”

ลิ่นเฉิงโย่วแหงนหน้ามองฟ้าแล้วครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ฟังดูแล้วมีเหตุผลยิ่ง น่าเสียดายข้าบอกว่าต้องการคนมากถึงเพียงนี้ นั่นหมายความว่าขาดไปไม่ได้เลยสักคนเดียว คำพูดของคุณชายหวังข้าฟังเข้าใจแล้ว ก็แค่บอกว่าข้าบังคับฝืนใจคน เอาอย่างนี้ดีกว่า ข้าจะลองถามพวกนางเองว่ายินยอมหรือไม่ หากพวกนางยินยอม คุณชายหวังจะขัดขวางอีกหรือไม่”

เถิงอวี้อี้ลอบคิดในใจ คนมากเพียงนี้ปรนนิบัติบุรุษผู้เดียวพร้อมกัน คนโง่งมเท่านั้นถึงจะยินยอม…

นางยกมือไพล่หลังแล้วยืดอกผึ่งผาย “เช่นนั้นก็ทำตามที่ซื่อจื่อว่า หากพวกนางยินยอม ข้าน้อยไม่มีทางขัดขวางอยู่แล้ว”

ลิ่นเฉิงโย่วหันหน้าไปทางเจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับเป้าจู “วันนี้ถึงจะเรียกคนมามาก แต่ข้าจะเลือกเพียงคนเดียว คนที่ได้รับเลือกนั้นข้ามีของขวัญอย่างงามจะมอบให้ พวกเจ้าอยากจะลองดูหรือไม่”

เอ้อจีที่อยู่ด้านหลังหันไปขยิบตาให้เด็กสาวทั้งสอง ในสายตาของนาง ลิ่นเฉิงโย่วไม่ใช่บุตรหลานตระกูลใหญ่ทั่วไป ขอเพียงเขายินยอม ให้ซื้อหอไฉ่เฟิ่งทั้งหอยังไม่ใช่ปัญหา หาได้ยากที่เขาจะยอมเรียกคนมาปรนนิบัติ จะพลาดโอกาสเยี่ยงนี้ไปได้อย่างไร แม้คนที่ถูกเรียกตัวมาในวันนี้จะมีจำนวนมาก แต่มีเพียงเจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับเป้าจูที่ร่างกายยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง หากว่าเป็นที่พอใจของลิ่นเฉิงโย่ว ยังต้องกังวลเรื่องอนาคตอันสดใสอีกหรือ

เด็กโง่สองคนนี้เหตุใดยังไม่ขยับเล่า เอ้อจีกระแอมกระไอเสียงดังออกมาทันใด เจวี่ยนเอ๋อร์หลีราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน แต่ใบหน้าของนางซีดขาว นอกจากจะไม่ยอมเดินไปข้างหน้าแล้ว กลับค่อยๆ หลบไปอยู่ด้านหลังเถิงอวี้อี้

รอยยิ้มลิ่นเฉิงโย่วเจื่อนลงไปเล็กน้อย ดวงตาเถิงอวี้อี้ฉายแววเย้ยหยันอย่างปิดไม่มิด ความหมายนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง ลิ่นเฉิงโย่ว เจ้ามองว่าตนเองเป็นของล้ำค่าหายากจริงหรือ ดูนี่สิ คนที่ไม่สนใจเจ้ายังมีอยู่เช่นกัน

ลิ่นเฉิงโย่วเหลือบมองเถิงอวี้อี้ ก่อนจะหันไปถามเป้าจู “เจ้าเล่า”

เป้าจูไม่ตอบอะไร เถิงอวี้อี้มองไปที่นางด้วยความพอใจ แต่อยู่ๆ กลับต้องนิ่งอึ้งไปเมื่อมองเห็นใบหน้าเป้าจูเป็นสีแดงก่ำลามจนถึงติ่งหู คล้ายดอกไห่ถังที่บานสะพรั่งอย่างเงียบงัน

ลิ่นเฉิงโย่วถามอย่างแปลกใจ “นี่คือยินยอมแล้วใช่หรือไม่”

เป้าจูบิดผ้าเช็ดหน้าในมือแล้วมองไปที่เอ้อจีอย่างขลาดกลัว

เถิงอวี้อี้ยิ้มไม่ออกแล้ว

เอ้อจีดีอกดีใจหนักหนา “ซื่อจื่อ นางชื่อเป้าจูเจ้าค่ะ”

เป้าจูค้อมกายคำนับ ก่อนผละจากเถิงอวี้อี้เดินไปอยู่ข้างกายเอ้อจี

ลิ่นเฉิงโย่วเอ่ยขึ้นกะทันหันว่า “ช้าก่อน”

เป้าจูชะงักฝีเท้าอย่างประหลาดใจยิ่ง

ลิ่นเฉิงโย่วยิ้มอย่างประชดประชัน “คุณชายหวังทำทุกวิถีทางเพื่อรับรองความปลอดภัยของพวกเจ้า เจ้าทิ้งนางไปอย่างนี้ จะไม่หันกลับไปมองนางสักนิดเลยหรือ”

เป้าจูขบกัดริมฝีปาก ก้มศีรษะลงต่ำยิ่งกว่าเดิมแล้ว

ลิ่นเฉิงโย่วชำเลืองมองเถิงอวี้อี้ “คุณชายหวังเห็นชัดเจนแล้วสิ คนผู้นี้เจ้าคงไม่อาจปกป้องได้แล้วกระมัง ข้าพาไปก่อนนะ”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อยังจะไล่ตามไป กลับโดนเถิงอวี้อี้ห้ามปรามไว้ นางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ช่างเถิด”

พอเถิงอวี้อี้หันหลังเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินลิ่นเฉิงโย่วกล่าวกับเอ้อจีว่า “เจ้าก็เข้าไปด้วย”

ยามนี้เอ้อจีกำลังจูงมือเป้าจูแอบกระซิบพูดคุย สีหน้าแช่มชื่นเบิกบาน ไม่รู้ว่ากำลังถ่ายทอดเคล็ดลับอะไรอยู่ เมื่อประโยคนี้ลอยมาประหนึ่งเสียงฟ้าคำรามให้สะดุ้งตกใจ

เอ้อจีตะลึงงันแทบพูดไม่ออก “ข้า…ข้าน้อยด้วยรึ”

เป้าจูสีหน้าเหม่อลอย เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อฝีเท้าซวนเซเสียการทรงตัว

แม้กระทั่งลุงเฉิงกับฮั่วชิวที่นิ่งเงียบมาตลอดก็ตกใจไปด้วยเช่นกัน

คราแรกเถิงอวี้อี้รู้สึกตกใจอย่างยิ่ง ก่อนจะฉุกคิดอย่างสงสัยขึ้นมาทันควัน อย่าว่าแต่ลิ่นเฉิงโย่วเรียกคนตั้งมากเช่นนี้ในคราวเดียวเลย แม่เล้าอายุเลยวัยสาวสะพรั่งมาแล้วยังไม่ละเว้นด้วยซ้ำ นี่เหมือนคนต้องการเสพสุขกับหญิงในหอคณิกาที่ใดกันเล่า

เมื่อความสงสัยผุดขึ้นมาในใจ นางจึงไม่รีบร้อนจะเดินจากไปแล้ว

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อกระทืบเท้า วิ่งปรี่มาถึงตรงหน้าลิ่นเฉิงโย่ว “ศิษย์พี่”

ลิ่นเฉิงโย่วดึงหูของชี่จื้อไว้ ก่อนแสยะยิ้มชั่วร้าย “รอข้าก่อนเถอะ หมดเรื่องยุ่งแล้วค่อยกลับมาคิดบัญชีกับพวกเจ้า”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อรู้สึกสับสน ทอดสายตามองแผ่นหลังของลิ่นเฉิงโย่วอย่างโง่งม

เถิงอวี้อี้เหลียวซ้ายแลขวา บังเอิญเห็นห่างไปไม่ไกลมีศาลานั่งเล่นหลังหนึ่ง จึงพาเจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อเดินไปทางนั้น

ก่อนหน้านี้เจวี่ยนเอ๋อร์หลีโดนเอ้อจีเชือดเฉือนอย่างดุดันไปไม่น้อย ตอนนี้จะให้เดินจากไปก็ไม่ได้จะอยู่ต่อก็ไม่ดี จำต้องเดินตามเถิงอวี้อี้ไป

ลิ่นเฉิงโย่วไม่ได้รีบร้อนจะเข้าห้อง แต่เขามายืนตรงขั้นบันไดเหมือนกำลังรอใครบางคนอยู่ จนกระทั่งเฮ่อหมิงเซิงเชิญหญิงสาวที่มีรูปโฉมค่อนข้างโดดเด่นมาเพิ่มอีกสิบกว่านางถึงได้ผลักประตูเดินเข้าไปข้างใน

ทันทีที่ประตูปิดสนิท หน้าต่างก็ถูกบังเอาไว้ด้วย

สายลมเย็นสบายพัดโชยผ่านมาระลอกหนึ่ง กิ่งดอกไม้ริมรั้วระเบียงทางเดินเสียดสีกันดังหวีดหวิว คนที่อยู่ภายในศาลาต่างนั่งมองหน้ากันไปมา

เถิงอวี้อี้ยิ้มแห้งๆ พลางเอ่ยขึ้นว่า “เริ่มรู้สึกเย็นๆ แล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเรากลับห้องกันเถอะ ดีหรือไม่”

เจวี๋ยเซิ่งกับชี่จื้อกระโดดลุกขึ้นมา “ศิษย์พี่ให้พวกข้าวาดยันต์ เมื่อครู่เพิ่งจะวาดไปได้เพียงครึ่งเดียว คงต้องกลับแล้ว”

ภายในห้องที่ลิ่นเฉิงโย่วก้าวเข้าไปนั้น

เฮ่อหมิงเซิงที่อยู่ในห้องกัดฟันบอกกับลิ่นเฉิงโย่วว่า “ซื่อจื่อ เว้นแต่เจวี่ยนเอ๋อร์หลีกับเก๋อจิน หญิงงามแถวหน้าในหอล้วนมาอยู่ที่นี่หมดแล้ว”

ในห้องมีคนรออยู่แล้วสี่คน ส่วนคนที่เหลืออยู่ห้องด้านนอก

เหล่าหญิงงามมองหน้ากัน แต่ละคนสีหน้าสับสนคลางแคลง

ลิ่นเฉิงโย่วยกมือไพล่หลังเดินย่ำวนไปมา เพ่งพินิจดูใบหน้าทุกคนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง สุดท้ายผลักประตูเข้าไปยังห้องชั้นในสุด ก่อนก้มตัวลงช้อนน้ำในถังไม้ขึ้นมา

น้ำสำหรับอาบเป็นสีน้ำตาลอ่อน ส่งกลิ่นหอมแปลกประหลาดเบาบาง

“คงพอใช้ได้แล้ว ลงมาแช่น้ำเถอะ”

หญิงสาวสี่คนในห้องใจเต้นระรัวไม่หยุด คล้ายกำลังลังเลว่าจะถอดเสื้อผ้าก่อนลงถังดี หรือว่าลงไปแล้วค่อยถอดดี ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นเฮ่อหมิงเซิงยังอยู่หน้าห้องชั้นใน ประหลาดใจที่ลิ่นเฉิงโย่วไม่มีท่าทีจะให้เขาออกไป ที่สำคัญไม่เพียงแค่เฮ่อหมิงเซิงไม่ออกไป ห้องชั้นนอกยังมีนักพรตเฒ่าเข้ามาเพิ่มอีกสองสามคน

นักพรตเฒ่ามองตรงเข้ามายังห้องชั้นใน วางมาดเคร่งขรึมเอ่ยว่า “ข้าน้อยมาถึงแล้ว ไม่ทราบว่าเรียกมาด้วยเรื่องอันใด”

พวกเว่ยจื่อต่างร้องออกมาอย่างตกใจ “ซื่อจื่อ?”

ลิ่นเฉิงโย่วนั่งลงบนตั่งเตี้ยริมหน้าต่าง หยิบทองคำออกมาจากแขนเสื้อหลายก้อนแล้ววางลงบนโต๊ะน้ำชาอย่างไม่รีบร้อนก้อนแล้วก้อนเล่า จากนั้นเงยหน้าพร้อมยิ้มออกมา “ลงไปในถังไม้โดยไม่ต้องถอดเสื้อผ้า ผู้ใดกลั้นหายใจใต้น้ำได้นานที่สุด ข้าจะยกทองคำกองนี้เป็นรางวัลให้คนผู้นั้น”

 

เถิงอวี้อี้กลับมาถึงห้องก็นอนพักผ่อนเต็มอิ่ม จนถึงยามโพล้เพล้จึงรู้สึกตัวตื่น พอลุกขึ้นจากเตียงแล้วก็เรียกลุงเฉิงกับฮั่วชิวเข้ามาสอบถาม “พวกท่านสองคนเคยถอนเขี้ยวสัตว์ร้ายหรือไม่”

ลุงเฉิงเหลือบตาขึ้นมอง “คุณหนู คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร”

“ข้าลองถามดูเฉยๆ น่ะ” เถิงอวี้อี้แสร้งไม่รู้ไม่ชี้ “ได้ยินว่าเขี้ยวของสัตว์ร้ายถอนยากนัก มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”

ลุงเฉิงหน้าไม่เปลี่ยนสี “เมื่อช่วงเที่ยงตอนอยู่หอหน้า คุณหนูยอมใช้สุราเป็นเหยื่อล่อเพื่อสอบถามจุดสำคัญของมารผีดิบ มาตอนนี้เพิ่งจะรู้ว่าจุดสำคัญของมารผีดิบคือฟันเขี้ยว แล้วยังมาถามเรื่องถอนเขี้ยวสัตว์ร้ายกับข้าน้อยอีก ข้าน้อยรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ต้องขอให้คุณหนูช่วยอธิบายด้วย”

เถิงอวี้อี้เอียงศีรษะมองลุงเฉิง รู้สึกเสียใจว่าไม่ควรพาลุงเฉิงมาด้วยเลย คนผู้นี้ความคิดละเอียดรอบคอบ ไม่มีเรื่องใดรอดพ้นสายตาเฉียบคมของเขาไปได้

นางยิ้มหน้าระรื่น “ลุงเฉิง มีเรื่องหนึ่งข้าอยากถามท่านมานานแล้ว ท่านพ่อบอกว่าท่านเพิ่งจะอายุห้าสิบ เหตุใดเส้นผมกับหนวดเคราของท่านถึงขาวโพลนไปหมดเล่า”

คำพูดประโยคนี้เป็นความจริง ลุงเฉิงเส้นผมและหนวดเคราเป็นสีขาวโพลนดุจหิมะ มีเพียงขนคิ้วคู่นั้นที่ทั้งเรียวยาวทั้งดำสนิท พอปรายตามองไปอย่างไม่ตั้งใจ ราวกับมีคนใช้พู่กันจุ่มน้ำหมึกจนชุ่มแล้วลากเส้นบนกระดาษสีขาวส่งเดชสองเส้นอย่างไรอย่างนั้น

ลุงเฉิงยังมีท่าทีสงบนิ่งไม่หวั่นไหว ไม่สนใจต่อคำถามเรื่องเส้นผมหนวดเคราของเถิงอวี้อี้ แต่กลับคลี่ยิ้มอ่อนโยนเป็นมิตรแล้วเอ่ยว่า “เด็กสาวทั่วไปพอได้ยินเรื่องประหลาดหาคำอธิบายไม่ได้เช่นนี้ ต่างตกใจกลัวกันทั้งนั้น เหตุใดคุณหนูถึงอยากสอบถามรายละเอียดได้ จะว่าไปนับตั้งแต่คุณหนูได้กระบี่หยกมรกตเล่มนั้นมา ดูเหมือนจะสนใจเรื่องภูตผีปีศาจเพิ่มขึ้นนะขอรับ”

เถิงอวี้อี้รีบเอ่ยแก้ไขคำพูดของลุงเฉิง “กระบี่เล่มนี้ของข้ามีชื่อแล้ว มันชื่อว่าเสี่ยวหยา”

“ได้ขอรับ กระบี่เสี่ยวหยา” ลุงเฉิงเปลี่ยนคำเรียกให้ถูกต้องทันที “มารผีดิบเข้ามาเกาะติดคุณหนู นายท่านไม่มีทางเลือกอื่นถึงได้ฝากคุณหนูให้อยู่ในมือนักพรตอารามตงหมิงและอารามชิงอวิ๋น เรื่องกำจัดปีศาจย่อมมีนักพรตคอยรับผิดชอบอยู่แล้ว คุณหนูอย่าพาตนเองไปเสี่ยงอันตรายเลย หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมา จะให้ข้าน้อยอธิบายกับนายท่านอย่างไรกัน”

เถิงอวี้อี้อดทนฟังลุงเฉิงพร่ำบ่นจนจบ “ลุงเฉิง นานมาแล้วท่านเคยติดตามท่านพ่อรบทัพจับศึก จะว่าไปก็เป็นคนเก่งกล้าดั่งวีรบุรุษ มาวันนี้ถอดชุดเกราะทหารมาทำงานจิปาถะในจวน ไม่สมกับความสามารถที่มีเลยจริงๆ”

ลุงเฉิงสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน “ข้าน้อยกับภรรยาเป็นหนี้บุญคุณนายท่านกับฮูหยินอย่างใหญ่หลวง ในชาตินี้มอบชีวิตให้นายท่านไปนานแล้ว อย่าว่าแต่ดูแลงานเล็กน้อยในจวนเลย ต่อให้ต้องอุทิศทั้งชีวิตรับใช้ก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว”

เถิงอวี้อี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ลุงเฉิง ท่านกับข้าคุยเล่นเรื่องสัพเพเหระ อยู่ดีๆ มาคุยเรื่องเช่นนี้ด้วยเหตุใดกัน ถึงแม้ท่านจะเรียกตนเองว่าเป็นบ่าว แต่ในใจข้ามองเห็นท่านเป็นผู้อาวุโสผู้หนึ่งมาตลอด ข้าก็ไม่อยากปิดบังท่าน ครั้งก่อนนักพรตอารามตงหมิงเคยพูดกับข้าไว้ ของวิเศษลัทธิเต๋าอย่างกระบี่เสี่ยวหยาเล่มนี้ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อเป็นอาวุธกำจัดปีศาจปราบมาร ทุกระยะเวลาที่กำหนดจะต้องเอาปีศาจร้ายมาเซ่นสังเวยกระบี่เล่มนี้ หากไม่ดูแลเอาใจใส่ให้ดี สักวันหนึ่งจะกลายเป็นของธรรมดาไปในที่สุด ลุงเฉิง ท่านเป็นคนรอบรู้มากประสบการณ์ คิดว่าต้องเคยได้ยินเรื่องเล่าขานเช่นนี้มาบ้างกระมัง”

“ข้าน้อยเคยได้ยินมาจริงๆ”

เถิงอวี้อี้ลูบไล้ด้ามกระบี่ช้าๆ “หลังข้าพลัดตกน้ำก็เอาแต่ฝันร้าย มีกระบี่เสี่ยวหยาคุ้มครองถึงได้นอนหลับสนิท หลายครั้งที่ผ่านมานี้เวลาเผชิญหน้ากับปีศาจ ก็เป็นเพราะมีมันคุ้มครองถึงพลิกร้ายเป็นดีได้ ดังนั้นข้าจึงคิดเอาไว้นานแล้วว่าจะต้องรักษาอิทธิฤทธิ์ของมันเอาไว้ให้ดี แต่ในเมื่อข้าไม่รู้วิชาเต๋า จะไปหาปีศาจมารร้ายจากที่ใดมาเซ่นไหว้กระบี่เล่มนี้ได้ ตอนนี้มีนักพรตจากสองอารามมากำจัดปีศาจที่นี่ ข้าไม่อยากพลาดโอกาสนี้ไป หากเอาปีศาจสองตนมาสังเวยกระบี่ได้จะดียิ่งนัก แต่หากสถานการณ์อันตรายเกินไป ข้าก็ไม่มีทางเข้าไปรนหาที่ตายแน่”

คำอธิบายกว่าครึ่งเป็นความจริงทั้งสิ้น เพียงซ่อนรายละเอียดเกี่ยวกับ ‘วิชายืมดวงชะตา’ ไป

“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” ลุงเฉิงไตร่ตรองก่อนเอ่ยขึ้น “คุณหนูมอบกระบี่เล่มนี้ให้ข้าน้อยดีกว่า ฝีมือของข้าน้อยไม่ย่ำแย่ รอให้เหล่านักพรตกำราบปีศาจสองตนนั้นลงได้ ค่อยเล็งหาโอกาสจ้วงแทงจุดสำคัญของมัน”

“วิธีนี้คงใช้ไม่ได้” เถิงอวี้อี้ยิ้มเจื่อนๆ “กระบี่เล่มนี้ยอมรับเพียงเจ้านายของตน เมื่อพ้นจากมือของข้าไปก็จะกลายเป็นเครื่องหยกมรกตธรรมดาชิ้นหนึ่ง”

ลุงเฉิงเดินวนเวียนไปรอบห้องพักใหญ่ ดวงตาสองข้างก็หรี่ลงพลางเอ่ยว่า “ข้าน้อยเพิ่งนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หลายปีก่อนข้าน้อยเดินทางกลับมายังฉางอัน เคยพบเจอสหายเก่าแก่ผู้หนึ่งในตลาด คนผู้นี้เพิ่งกลับมาจากการประจำการชายแดนแคว้นหนานจ้าว ตอนดื่มสุรากับข้าน้อยเล่าว่าเคยพบราชาผีดิบในท้องถิ่นแถบนั้น”

หัวใจเถิงอวี้อี้สั่นไหว เป็นแคว้นหนานจ้าวอีกแล้ว

“ราชาผีดิบก็มีเขี้ยวงอกออกมาคู่หนึ่ง โผล่ขึ้นมาจากผืนดินแล้วออกอาละวาดไปทั่ว บุกโจมตีค่ายทหารทุกคืน กินพลทหารไปหลายนายในคราวเดียว ก็มีหมอผีที่เชี่ยวชาญวิชากู่แถวนั้นมาให้คำแนะนำ บอกว่าให้ใช้สายพิณเหนียวทนบางเฉียบสองเส้นมาผูกเป็นบ่วงเชือก คล้องรัดฟันเขี้ยวของราชาผีดิบไว้ให้แน่น แล้วปลายอีกข้างหนึ่งให้ทหารหลายสิบนายออกแรงดึงพร้อมกัน จะสามารถกระชากเขี้ยวจนหักได้ในคราวเดียว ผู้บัญชาการค่ายทหารใช้วิธีการนี้จึงกำจัดมันไปได้อย่างราบรื่น ความดุร้ายของมารผีดิบถึงจะอยู่เหนือกว่าราชาผีดิบ แต่เขี้ยวคู่นั้นในเมื่อสามารถยืดหดได้ ตามหลักแล้วน่าจะมีส่วนเว้าลึก ถ้ามีส่วนเว้าลึกก็ง่ายสักหน่อยแล้ว จะต้องต้านทานแรงกระชากที่รุนแรงไม่ได้แน่”

เถิงอวี้อี้คิดทบทวน “วิธีการนี้ก็ดีใช้ได้เลย อีกสักครู่พอพบนักพรตหลายคนนั้น ข้าจะคุยกับพวกเขาอย่างละเอียดเอง แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่กำลังคนเพียงผู้เดียวจะบรรลุเป้าหมายได้ ต่อให้กำจัดมารผีดิบสำเร็จ บุญกุศลจากการกำจัดปีศาจจะไปตกอยู่กับผู้ใด เฮ้อ…ยุ่งยากๆๆ ไม่อย่างนั้นอย่าไปคิดเรื่องมารผีดิบเลย ลองคิดเรื่องปีศาจวิหคตนนั้นดีกว่า”

ระหว่างนายบ่าวสองคนกำลังคุยกัน ฮั่วชิวก็เอ่ยรายงานตรงหน้าประตู “แม่นางเป้าจูมาขอพบขอรับ”

ลุงเฉิงมองไปนอกประตูด้วยแววตาราบเรียบ รินสุราดอกกุ้ยให้เถิงอวี้อี้จอกหนึ่ง ก็ขยับไปยืนกุมมือตนเองอยู่ด้านข้าง

เถิงอวี้อี้หลุบสายตาลงจิบสุราคำหนึ่ง “ให้นางเข้ามาเถอะ”

เป้าจูย่างเท้าเดินเข้ามา จอนผมของนางเปียกชุ่มโชก ปิ่นปักผมเอียงกระเท่เร่ไปข้างหนึ่ง ลำคอขาวหมดจดมีผมเปียกชื้นแนบติดอยู่หลายปอย ท่าทางน่าสงสารเห็นใจเหลือเกิน คงจะขึ้นมาจากถังอาบน้ำทั้งที่เสื้อผ้ายังไม่แห้ง ชั้นนอกห่อหุ้มด้วยเสื้อคลุมผ้าสักหลาดแน่นหนา ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้แล้วริมฝีปากของนางยังเย็นจัดจนซีดขาว หลังเดินเข้ามาก็มองเถิงอวี้อี้น้ำตาคลอ “ข้าน้อยมาขออภัยต่อคุณชายเจ้าค่ะ”

สีหน้าเถิงอวี้อี้ฉายแววประหลาดใจเต็มเปี่ยม “นี่เจ้าเอาผ้าคลุมมาจากที่ใดกัน แล้วเจ้ามีความผิดอะไร”

หยาดน้ำตาเป้าจูไหลพรั่งพรูลงมาปานสร้อยมุกขาดสะบั้น หมอบลงกับพื้นอย่างช้าๆ “ทั้งที่คุณชายตั้งใจปกป้อง ข้าน้อยกลับทำตัวโง่เขลา ไม่เข้าใจเจตนาอันดีของคุณชาย ทำให้คุณชายต้องผิดหวังเสียแรงเปล่า ตอนนี้ข้าน้อยเข้าใจกระจ่างแล้ว รู้สึกละอายใจยิ่งนัก หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ทุ่มเทสุดกำลังชดใช้ ขอร้องคุณชายอย่าได้ถือสาความขุ่นเคืองก่อนหน้านี้ ให้โอกาสข้าน้อยเล่นดนตรีรินสุราให้ท่านอีกครั้งเถิด”

เถิงอวี้อี้พินิจมองถ้วยชาในมือพลางกล่าวตอบอย่างเอื่อยเฉื่อย “ข้าก็นึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง เรื่องนี้จะโทษเจ้าไม่ได้หรอก ‘คัมภีร์พิธีการ’* กล่าวเอาไว้ว่า ‘หากคำสั่งเกี่ยวพันแผนผังตำรา จงเรียนรู้จากแวดวงขุนนาง หากคำสั่งเกี่ยวพันสมบัติสินบน จงเรียนรู้จากคลังเก็บทรัพย์สิน หากคำสั่งเกี่ยวพันยุทโธปกรณ์ จงเรียนรู้จากคลังเก็บอาวุธ หากคำสั่งเกี่ยวพันเรื่องงานบ้านเมือง จงเรียนรู้จากในท้องพระโรง’ แม้ว่าเจ้าจะมิใช่ปัญญาชนหรือราษฎรทั่วไป แต่ก็จำเป็นต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ จะทำการสิ่งใดคงมีความลำบากใจส่วนตัว จะว่าไปแล้วก็เป็นคนน่าเห็นใจ เมื่อครู่เจ้าไม่รังเกียจที่ข้าวุ่นวายก็ดีเพียงใดแล้ว ข้าจะกล้ากล่าวโทษเจ้าได้อย่างไร”

เป้าจูยิ้มออกมาทั้งน้ำตา “คุณชายหวังไม่ถือสาหาความกับข้าน้อย ทำให้ข้าน้อยรู้สึกขอบคุณยิ่งแล้ว ข้าน้อยต้องสิ้นอิสรภาพอยู่ในกรงขัง ไม่อาจทำสิ่งใดตามใจตนเอง เรื่องเมื่อครู่นี้หาใช่เพราะสมัครใจ แต่เอ้อต้าเหนียงบังคับกดดัน ซื่อจื่อเขา…เขา…”

นางกล่าวพลางเงยหน้าขึ้น ในอกพลันบีบรัดแน่น มองเห็นเถิงอวี้อี้มองนางด้วยรอยยิ้มบางๆ ดวงตากลับเปล่งประกายดุจดวงดาราเย็นเยียบ ถึงสีหน้าจะไม่เปิดเผยความรังเกียจเดียดฉันท์ชัดเจน แต่ราวกับมองความคิดของนางออกทะลุปรุโปร่ง

ฝ่ามือเป้าจูเริ่มมีเหงื่อไหลซึม สตรีที่เรียกขานตนเองว่า ‘คุณชายหวัง’ และการแต่งกายอย่างชาวหูผู้นี้มองนางเป็นดั่งธุลีดินไปแล้ว สภาพเช่นนี้น่าอับอายยิ่งกว่าตอนซื่อจื่อซักไซ้นางต่อหน้าผู้คนเมื่อครู่เสียอีก ประหนึ่งทุกอากัปกิริยาของนางเป็นเพียงเรื่องตลกขบขันในสายตาคุณชายหวัง

นางขยุ้มอกเสื้อแน่นโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นเลือนราง คุณชายหวังสามารถหาวิธีปกป้องนางได้ แต่หากใจแข็งขึ้นมาแล้วกลับหนาวเหน็บโหดร้ายยิ่งกว่าธารน้ำแข็งเย็นยะเยือก การคุ้มครองดูแลที่เคยมีอยู่ก่อนหน้านี้ อย่าคิดฝันว่าจะได้รับจากคุณชายหวังอีกเลย

หลังใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบปลอดภัยมาหลายวัน นางเกือบลืมรสชาติการดุด่าทุบตีของแม่เล้ากับแขกคอสุราไปแล้ว ช่วงบ่ายหากไม่ฉวยโอกาสเอาตัวรอดก็ดีหรอก

ตอนนั้นนางครุ่นคิดว่าถึงอย่างไรคุณชายหวังเดิมทีก็เป็นสตรี ตอนนี้แม้ว่าจะคอยดูแลพวกนาง แต่วันหน้าก็อาจจะไม่มาหาดูแลเอาใจใส่พวกนางแล้วก็ได้ มีเพียงการอยู่ในสายตาเฉิงอ๋องซื่อจื่อ วันข้างหน้าถึงจะมีหวังรอดพ้นจากสถานที่เลวร้ายแห่งนี้ ไหนเลยจะรู้ว่าพอนางทุ่มวางเดิมพันหมดหน้าตักกลับแลกมาด้วยความอัปยศอดสูเช่นนี้

นางไม่ยินยอมที่ทั้งสองทางล้วนคว้าน้ำเหลว รีบเค้นน้ำตาออกมาอีกหลายหยด “คุณชายหวัง”

เถิงอวี้อี้วางถ้วยชากระแทกโต๊ะอย่างแรง

ลุงเฉิงกับฮั่วชิวเดินเข้ามาใกล้พลางว่า “แม่นางเป้าจูควรรักษาเกียรติของตนเองไว้บ้าง คุณชายให้ท่านไปก็ไปเถอะ ต่อไปไม่ต้องมาที่นี่อีก”

แพขนตาเป้าจูสั่นไหวเล็กน้อย เมื่อเงยหน้าอีกครั้งก็เห็นดวงตาเถิงอวี้อี้เผยความเย็นชาเด่นชัด ร่างกายนางหนาวสะท้าน ลุกขึ้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก

 

* ขนมแป้งนุ่มโท่วฮวาฉือ เป็นขนมสมัยราชวงศ์ถังชนิดหนึ่งที่ทำจากแป้งข้าวเหนียว โดยตัวแป้งข้าวเหนียวด้านนอกจะนุ่มนิ่มกำลังดีและบางเฉียบดุจปีกจักจั่น ทำให้มองทะลุชั้นแป้งเห็นไส้ขนมจำพวกถั่วกวนที่อยู่ด้านในได้อย่างชัดเจน

** เงยหน้าไม่เห็นก้มหน้ากลับเห็น หมายถึงมีโอกาสพบหน้ากันบ่อยครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้

* เทพเซียนฟาดฟัน ผีน้อยรับเคราะห์ เป็นการเปรียบเปรยว่าเมื่อผู้มีตำแหน่งสูงเกิดความขัดแย้งกันหรือเกิดการต่อสู้กัน ทำให้ผู้ที่มีตำแหน่งต่ำกว่าหรือผู้บริสุทธิ์ที่อ่อนแอกว่าพลอยเดือดร้อนไปด้วย

* คัมภีร์พิธีการ (หลี่จี้) มีเนื้อหาว่าด้วยวิธีการประพฤติตนให้มีความรู้และคุณธรรม เป็นหนึ่งในคัมภีร์ทั้งห้าซึ่งประกอบด้วย คัมภีร์โหราศาสตร์ (อี้จิง) ตำราประวัติศาสตร์ (ซั่งซู) คัมภีร์กวี (ซือจิง) บันทึกพงศาวดาร (ชุนชิว) และคัมภีร์พิธีการ (หลี่จี้)

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: