บทที่ 312
ซูหวั่นหาได้หยุดชะงักไม่ ยังคงเล่าต่อไปว่า “หลังจากข้ามาลี่โจว ค้นพบว่าเหวยฮูหยินสามมีความเกี่ยวโยงกับเถาปี้จึงมาเยือนในยามดึก แต่มาช้าไปก้าวหนึ่ง ข่าวว่าเถาปี้ตายแล้วแพร่มาถึงลี่โจวก่อน เหวยฮูหยินสามรับไม่ไหวจึงแขวนคอจบชีวิตตนเอง ข้ายังหาหลักฐานของเถาปี้ไม่พบ อีกทั้งลี่โจวอยู่ห่างไกล แม้แต่พ่อค้าก็เดินทางมาน้อยยิ่ง คนต่างถิ่นซ่อนตัวได้ไม่นานหรอก ข้าเห็นว่าตนเองกับเหวยฮูหยินสามมีรูปร่างใกล้เคียงกัน จึงแปลงโฉมเป็นนางแล้วแฝงตัวอยู่ในจวนสกุลเหวยมาตลอด คิดว่ารอได้หลักฐานแล้วค่อยแกล้งตายกลับเมืองหลวง ไม่คิดว่านายท่านกับฮูหยินจะมาเยือนเสียก่อน” ซูหวั่นกล่าวพลางมองนอกประตูเล็กน้อย “นายท่าน ข้าต้องอยู่จัดการปัญหาที่ค้างคา อีกทั้งไม่สามารถปล่อยให้ใครจับพิรุธเรื่องตัวตนของข้าได้”
นางคิดเล็กน้อยก่อนลดเสียงลงพลางโน้มตัวมาใกล้ “หลี่จินผิงคิดวิธีการแก้พิษได้สองวิธี วิธีแรกเป็นการใช้ยาแก้พิษจริง ยาลูกกลอนสีเขียวที่ข้ากินในวันนี้ก็คือยาแก้พิษของจริง ส่วนอีกวิธีกลับเป็นการใช้ยาแก้พิษปลอม ผิวเผินดูเหมือนจะหายดี แต่อันที่จริงกลับใช้การเผาผลาญชีวิตมาแลกเปลี่ยน นับแต่ปีกลายถึงปีนี้คนที่ได้กินยาชนิดที่สองเริ่มมีคนตายแล้ว”
ขณะที่พูดซูหวั่นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นหน้าประตูจึงเบ้าตาแดงและเริ่มหลั่งน้ำตาในทันที “บุญคุณของผู้สูงศักดิ์ทั้งสองท่าน ชาวบ้านทั่วทั้งลี่โจวล้วนยากจะลืมเลือนได้ชั่วชีวิต เรื่องไปเป็นพยานยังหลินอัน ข้าย่อมมิอาจปฏิเสธได้ เพียงแต่ยังคงขอให้ผู้มีพระคุณทั้งสองโปรดรอสักประเดี๋ยว ข้าจะไปเก็บของสักหน่อย แล้วจะเดินทางไปกับผู้มีพระคุณทั้งสอง”
ซูหวั่นพูดพลางยกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา “มามา เจ้ามาพอดีเลย เจ้าพาผู้มีพระคุณทั้งสองไปขึ้นรถม้าก่อน ข้าจะตามไปทันที เจ้าไปหลินอันกับข้าเถิด”
มามาชราที่ก่อนหน้านี้อุ้มซูหวั่นไว้ก็ตาแดงเรื่อแล้วเช่นกัน “นายหญิง บ่าวรับคำสั่งเจ้าค่ะ”
เพิ่งแยกกับซูหวั่นได้ไม่นาน เพียงครู่เดียวก็มีสาวใช้น้อยนางหนึ่งวิ่งโซซัดโซเซมาถึงหน้ารถม้า “แย่แล้ว! แย่แล้ว! ฮูหยินสามแขวนคอตายแล้วเจ้าค่ะ”
เฉินวั่งซูสบตากับเหยียนเจวี๋ย จำต้องบอกว่าซูหวั่นผู้นี้ทำงานรวดเร็วเฉียบขาดโดยแท้
เหวยฮูหยินสามตายแล้ว เฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยรีรออยู่ที่ลี่โจวต่อไปก็ไม่มีประโยชน์เท่าไร
ขากลับก็เหมือนกับขามา รถม้าแล่นเร็วปานเหาะ
เฉินวั่งซูจับมีดสั้นเล่มน้อยตบลงบนหน้าของเจินจีที่ถูกมัดไว้อย่างแน่นหนาเบาๆ
“เจ้านึกว่าข้าไม่รู้หรือ นางหญิงบ้าผู้นั้นตายแล้ว ใครจะไปเชื่อคำพูดของหญิงบ้าผู้หนึ่งกัน เผ่าฉีของพวกข้าไม่เป็นอะไรแน่นอน น้องสาวข้าเป็นสนมคนโปรดในวัง…เจ้าคิดว่าเซี่ยนจู่ที่มีตำแหน่งลอยๆ อย่างเจ้าจะเทียบได้?” เจินจีว่าแล้วก็เริ่มหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่งอยู่บ้าง “ฮ่าๆ เจ้ามีดีอะไรกัน อย่างไรเจ้าก็สู้น้องสาวข้าไม่ได้ น้องสาวข้ามียา ยาที่แม้แต่ฝ่าบาทยังต้องลุ่มหลง ถึงเวลานั้นใครจะเป็นฝ่ายชนะยังบอกได้ไม่แน่นอนเลย เจ้าไม่รู้อะไร ท่านพ่อหมอบอกไว้แล้วว่าเผ่าฉีของพวกข้าจะให้กำเนิดฮองเฮา! ใครจะไปเชื่อเรื่องเพี้ยนๆ อย่างการทดลองยาอะไรนั่นเล่า จะแก้พิษย่อมต้องปรุงพิษออกมาให้ได้ก่อนถึงจะสามารถให้ยาตรงกับอาการได้”
เฉินวั่งซูฟังแล้วก็ขยับมือเบาๆ
เจินจีตื่นกลัวในทันที เฉินวั่งซูถือมีดสั้นเล่มนั้นขู่นางอยู่นานมากแล้ว นางคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าอีกฝ่ายจะลงมือกรีดหน้านางจริงๆ
“เจ้า…เจ้า…เจ้า…เจ้าทำอะไร”
เฉินวั่งซูสีหน้าเยียบเย็น “ข้าไม่มีเวลามาฟังเจ้าพร่ำเพ้อ มารดาเจ้ามีน้องสาวฝาแฝดหรือไม่”
เจินจีนิ่งงันไป กำลังจะยอกย้อน กลับมองเห็นมีดของเฉินวั่งซูยื่นมาอีกรอบ นางตัวสั่นสะท้านก่อนตอบว่า “ข้าเคยได้ยินแม่ท่านข้าเอ่ยถึง แต่ไม่เคยพบหน้า คนในเผ่าบอกว่าตอนที่ท่านแม่ข้ายังแบเบาะ ท่านยายข้าได้พานางกลับมาที่เผ่าเพียงลำพัง มีเพียงน้าสาวของข้าถูกหมาป่าคาบไปกลางทาง ขณะท่านยายข้ากลับมาถึงทั้งตัวมีแต่เลือด ขาถูกหมาป่ากัดจนเห็นกระดูก ไม่นานก็ตายไป…” นางกรีดเสียงเอ่ยว่า “เฉินวั่งซู! เจ้ากรีดหน้าข้า ต้องไม่ได้ตายดีแน่”
เฉินวั่งซูมองเหยียนเจวี๋ยปราดหนึ่ง เหยียนเจวี๋ยพยักหน้า จากนั้นมู่จิ่นที่อยู่ด้านข้างก็หิ้วตัวเจินจีไป ก่อนโยนกลับเข้าไปในรถคุมนักโทษประหนึ่งเป็นเหยี่ยวจับนกน้อยก็มิปาน
เฉินวั่งซูปัดมือ สอดมีดสั้นกลับไปไว้ตรงบั้นเอว “เหมือนกับที่ชาวเผ่าฉีคนอื่นบอก เรื่องที่ปู่ของห่าวอวี่ล่วงรู้มาขณะเป็นนักชันสูตรอยู่ที่ลี่โจวเป็นเรื่องจริงมิผิดแน่นอน ยายของเจินจีกับหลี่จินผิงฆ่าสามียกครัวเสร็จก็พาลูกสาวฝาแฝดกลับเผ่าฉี ยามนั้นเผ่าฉียังอยู่ในสภาพปลีกตัวสันโดษเหมือนกับเผ่ามู่ซี ด้วยเหตุนี้ทางการจึงหาไม่พบว่าที่กบดานของพวกนางอยู่ที่ใด คดีนี้จึงเป็นอันจบไป ส่วนระหว่างทางกลับนางจะบังเอิญเจอฝูงหมาป่าก็ดีหรือถูกคนไล่สังหารก็ช่าง สรุปแล้วก็คือนางพาบุตรสาวกลับไปที่เผ่าเพียงคนเดียว แต่เด็กอีกคนกลับหายตัวไป”
เหยียนเจวี๋ยพยักหน้า “มารดาของเจินจีตายไปแล้ว พวกเราจึงหมดหนทางจะยืนยันได้ว่านางมีรูปร่างหน้าตาเช่นไร เหมือนกับท่านแม่ของข้าหรือไม่ ตามคำบอกของพวกเขา เด็กอีกคนไม่ได้อยู่ที่เผ่าฉีมาตั้งแต่แบเบาะ นางไม่อาจเรียนศาสตร์ด้านยาและวิชาการแพทย์ของเผ่าฉีได้โดยสิ้นเชิง ฉะนั้นเรื่องที่ท่านแม่ข้ามีวิชาแพทย์ก็ไม่แน่ว่าจะเกี่ยวข้องกับเผ่าฉี เรื่องนี้ไม่รู้จะหาหลักฐานได้จากที่ใด คงไม่จำเป็นต้องพูดถึง”
เฉินวั่งซูพยักหน้าโดยมิได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เผ่าฉีมิใช่เผ่าที่ดีอะไร เป็นพวกสูญสิ้นความเป็นมนุษย์ไปแล้ว ต่อให้พวกเขาพิสูจน์ได้ว่าหมอหญิงมาจากเผ่าฉีจริง แล้วจะอย่างไรต่อเล่า นี่รังแต่จะเป็นการสาดน้ำโคลนใส่ตัวนางโดยใช่เหตุก็เท่านั้น
หมอหญิงตายไปหลายปีแล้ว สืบสาวเรื่องชาติกำเนิดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว
“เช่นนั้นพวกเรามาคุยกันดีกว่าว่าคำพูดสุดท้ายของซูหวั่นหมายความว่าอย่างไร ท่านลองเดาดู ยาที่หลี่จินผิงให้องค์ชายใหญ่กินเป็นชนิดแรกหรือชนิดที่สอง หากเป็นชนิดแรก นั่นหมายถึงหลี่จินผิงลงเดิมพันไปที่องค์ชายใหญ่ นางหลับนอนกับฝ่าบาทก็เพื่อทดแทนที่ว่างที่หายไปของฮองเฮา คอยเป่าพระกรรณฝ่าบาท หากเป็นชนิดที่สอง นั่นก็น่าสนใจแล้ว หลี่จินผิงให้องค์ชายใหญ่อาการดีขึ้นชั่วคราวก็เพื่อหาเวลาให้ตนเองได้คลอดเจ้าหนูน้ำเต้าคนที่เก้า หรือว่าเบื้องหลังนางอันที่จริงมีผู้อื่นอยู่”
เหยียนเจวี๋ยคิดพลางขมวดคิ้ว พิจารณาไตร่ตรองอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าถามว่า “เผ่าฉีอยู่ไกลถึงลี่โจว ในเมื่อไม่เคยตรวจชีพจรให้องค์ชายใหญ่ แล้วจะรู้ได้อย่างไรกันว่าเขาไม่ได้ป่วยไข้ แต่ถูกยาพิษ แม้ว่าเมื่อครู่นี้คำพูดหนึ่งของเจินจีจะเป็นการเถียงข้างๆ คูๆ แต่เห็นได้ชัดว่ามีเหตุผล หากต้องการหายาแก้ให้พบก็ต้องรู้ก่อนว่ายาพิษคืออะไร หลี่จินผิงจับชาวบ้านลี่โจวมาทดลองยา แล้วเช่นนั้นนางรู้ได้อย่างไรว่าองค์ชายใหญ่ถูกพิษชนิดใด”
เฉินวั่งซูส่งเสียงจุปาก นางดูถูกเจ้าหนูน้ำเต้ากลุ่มนั้นเข้าแล้ว ถึงกับมองไม่ออกเลยว่าหนึ่งในนั้นมีคนเป็นเสือซุ่มอยู่ด้วย!
ใต้ฟ้านี้ไม่ต้องจับชีพจร ไม่ต้องตรวจอาการ ทั้งมีพันขุนเขาหมื่นสายน้ำกั้นกลาง แต่ก็ยังรู้ได้ว่าอีกฝ่ายถูกพิษอะไร นอกจากคนที่วางยาพิษแล้วจะยังเป็นใครไปได้อีก
นางคิดแล้วก็พูดเสริมจากคำพูดเหยียนเจวี๋ย “หากนางตั้งใจจะช่วยรักษาองค์ชายใหญ่ แล้วไยต้องคิดยาแก้อีกชนิดที่เหมือนเป็นการเผาเทียนแห่งชีวิตออกมาด้วย”
บทที่ 313
เฉินวั่งซูคิดแล้วก็ดีอกดีใจขึ้นมาในทันใด “เห็นทีผิงอ๋องคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ในราชสำนักปัจจุบันยังเหลือเจ้าหนูคนใดบ้างที่มีแรงสู้รบตบมือ สี่ หก เจ็ด แปด…”
“เห็นทีเจ้าหนูนี่คงจะชอบกินหน่อไม้ยิ่ง! มิเช่นนั้นไฉนถึงทำร้ายผู้อื่นได้เหมือนกับการปอกหน่อไม้อย่างไรอย่างนั้น ปอกเปลือกหน่อไม้ทีหนึ่งเจอคนเลวที ปอกอีกทีก็เจอคนเลว…”
เหยียนเจวี๋ยเท้าคาง เงยหน้ามองหอกำแพงเมืองหลินอันพลางยกมือชี้ “เห็นทีเรื่องที่ลี่โจวคงจะแพร่มาถึงเมืองหลินอันแล้ว พวกเราทำให้ท้องฟ้าของลี่โจวเปลี่ยนแปลงก็จริง แต่เกรงว่ายามพวกเราจากมา ท้องฟ้าเมืองหลินอันนี้ก็คงเปลี่ยนแปลงแล้วเช่นกัน”
เฉินวั่งซูพูดพลางมองตามสายตาของเขาไป เห็นเพียงบนหอกำแพงเมืองหลินอันนั้นมีผิงอ๋องในชุดตัวยาวสีเหลืองสดยืนอยู่
สีชุดเช่นนี้หากมิใช่ฮ่องเต้และรัชทายาทก็สวมไม่ได้
เห็นทีในช่วงที่พวกนางอยู่ที่ลี่โจว ผิงอ๋องคงจะได้กลายเป็นรัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาสมปรารถนาแล้ว
ดั่งคำกล่าวที่ว่ายิ่งไม่มีสิ่งใดก็ยิ่งชอบโอ้อวดสิ่งนั้น
เมื่อก่อนผิงอ๋องขามีปัญหา บัดนี้เขาจึงชอบอวดว่าขาของตนเองดีแล้วเป็นพิเศษ สวมชุดตัวยาวยังต้องให้สั้นกว่าผู้อื่นสามนิ้วมือ ยืนได้ก็จะไม่นั่ง ยืดตัวตรงได้ก็จะไม่เอนพิงเด็ดขาด
ผู้อื่นล้วนยืนอยู่ด้านล่างหอกำแพงเมือง เขาดันมีความคิดจะไปยืนที่ด้านบน ขาดเพียงไม่ได้ขับร้องเพลงอวดว่า ‘ขาบิดาสามารถวิ่งสามารถกระโดด!’
เฉินวั่งซูขยับมือแสดงท่าทางเล็กน้อย “ท่านว่าข้าหยิบหน้าไม้น้อยยิงจะยิงถูกขาหรือไม่”
เหยียนเจวี๋ยส่ายหน้า ตอบด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “หยิบหน้าไม้น้อยไปด้วยเหตุใด ข้าเก็บหินมาสักก้อนก็ทำขานั่นหักได้แล้ว ใช้หน้าไม้สิ้นเปลืองเกินไป”
เฉินวั่งซูถอนหายใจ “ท่านดูสิ พวกเราสองคนจิตใจดีปานนี้ กิริยาวาจาอ่อนโยนปานนี้ แต่ก็ยังมีคนป้ายสีพวกเราว่าเป็นปีศาจร้าย บ้านเมืองเสื่อมโทรม ใจคนเสื่อมทรามลงโดยแท้”
เฉิงอู่ที่จอดรถม้าลงแล้วได้ยินก็อดจะลอบค่อนแคะกับตนเองในใจไม่ได้ อืม พวกท่านจิตใจดีจริงๆ ดีจนจะหักขาผู้อื่น
ครั้นรถม้าหยุดลงบนหอกำแพงเมืองก็มีธนูยาวเล็งมาพรึบ หัวธนูชี้ตรงมาที่เหยียนเจวี๋ยกับเฉินวั่งซู
เหวยเต๋อลี่ที่ยืนอยู่ในรถคุมนักโทษมองเห็นภาพนี้ก็เริ่มร้องเรียกสุดชีวิต “ท่านอ๋อง…ท่านอ๋อง…ผิงอ๋องพ่ะย่ะค่ะ รีบมาช่วยกระหม่อมด้วย! ใต้เท้าเหยียนกำเริบเสิบสาน วางอำนาจบาตรใหญ่ ทั้งๆ ที่เป็นแค่ขุนนางเล็กๆ ในสามกองงาน แต่กลับเอาขนไก่ไปทำลูกศร* จับคนทั้งตระกูลกระหม่อมขังคุกไม่พอ ยังกลับดำเป็นขาว กลับขาวเป็นดำ ฆ่าล้างตระกูลคนตามอำเภอใจ พฤติการณ์ระดับนี้สวรรค์ไม่ให้อภัยเป็นอันขาด! กระหม่อมถูกปรักปรำจนดวงตะวันยังแทบจะหลั่งน้ำตาตกลงมาเป็นหิมะแล้ว! ท่านอ๋อง…ท่านอ๋อง! ใต้หล้านี้ไม่รู้ว่าเป็นของสกุลเจียงหรือว่าเป็นของสกุลเหยียนกันแน่หนอ!”
เฉินวั่งซูได้ยินแล้วก็จับมือเหยียนเจวี๋ยประคองตัวลงจากรถม้าอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ในมือนางถือถุงหอมไว้ใบหนึ่งพลางโยนขึ้นโยนลง บนหน้านางมีแววแตกตื่นดีใจ คล้ายว่าคนเหล่านั้นมิใช่ถือธนูเล็งใส่นาง แต่กำลังถือประทัดชูธงใหญ่มาต้อนรับนาง
ทหารรักษาเมืองเห็นท่าทีที่สงบปานนี้กลับประหนึ่งว่ามองเห็นผีร้ายในนรก ต่างถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างพร้อมเพรียงกัน ทิ้งผิงอ๋อง…ทิ้งรัชทายาทให้ยืนอยู่ด้านหน้าเพียงผู้เดียวราวกับเป็นเป้านิ่ง!
ผิงอ๋องเห็นแล้วก็พลันหันหน้ากลับมาถลึงตาใส่คนทั้งหลาย
ตอนนั้นเขาพิการ ไม่ได้เห็นวีรกรรมของเฉินวั่งซูที่ใช้ถุงหอมใบเดียวระเบิดพื้นดินจนเป็นหลุมใหญ่ ย่อมจะไม่รู้ว่าท่าทางเหมือนโยนลูกเสี่ยงทายนี้ของนางดูร้ายแรงมากเพียงไรในสายตาทหารรักษาเมือง
นั่นเป็นระดับยมบาลมาเต้นรำพร้อมกับร้องว่า ‘มาสิ! มาสนุกด้วยกัน!’ อยู่หน้าบ้านเจ้าเลยทีเดียว
ผิงอ๋องพลอยถูกบรรยากาศนี้ชักจูง รู้สึกว่าการที่ตนเองยืนอยู่บนหอกำแพงเมืองช่างดูโง่เขลายิ่งยวด จึงกระโดดลงมาโดยแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ เขาจัดคอเสื้อเล็กน้อย ก่อนมองไปที่เหยียนเจวี๋ย
“เหยียนเจวี๋ย เจ้าอาศัยว่าเสด็จพ่อทรงรักใคร่โปรดปรานเจ้าทำตัวกำเริบเสิบสาน วางอำนาจบาตรใหญ่ในเมืองหลินอันจนเป็นนิสัยแล้ว เดิมนึกว่าเจ้าสอบได้จิ้นซื่อ เป็นขุนนางแล้ว มีสามกองงานคอยปกครองจะสามารถกลับเนื้อกลับตัวเป็นผู้เป็นคนนับแต่นี้ไป ทว่า…ข่าวจากลี่โจวแพร่มาดังครึกโครมไปทั่วเมือง สกุลเหวยเฝ้าพิทักษ์แถบซื่อชวน ความซื่อสัตย์ภักดีในตลอดหลายปีมานี้ล้วนเป็นที่ประจักษ์ ฮูหยินสามสกุลเหวยผู้นั้นทั้งใจอัดแน่นไปด้วยความอาฆาต ต้องการจะแก้แค้นเรื่องการตายของบิดา ถึงได้โกหกคำโต เอาคนทั้งเมืองมาทดลองยา เรื่องบ้าๆ พรรค์นี้คนปกติล้วนไม่มีทางเชื่อลง ชาวบ้านที่ลี่โจวมีตา แต่เหตุใดจึงไม่มีใครร้องเรียนต่อเบื้องบนเลยสักคนเล่า กลับซาบซึ้งในบุญคุณเผ่าฉีเป็นอย่างสูง ขุนนางสามกองงานธรรมดาๆ เยี่ยงเจ้าไปถึงเมืองลี่โจวทั้งที ไยไม่ตรวจสอบบัญชี ไม่ตรวจสอบเบี้ยหวัดและเสบียงกองทัพ กลับมาทำเรื่องเกินหน้าที่เยี่ยงนั้น หลอกลวงชาวบ้านชนบทที่ไร้ความรู้ บัดนี้แม้แต่นางหญิงวิกลจริตนั่นก็ฆ่าตัวตายหนีความผิดไปแล้ว”
ผิงอ๋องพูดพลางยกมือชี้เหยียนเจวี๋ย “เจ้าใส่ความผู้จงรักภักดีด้วยความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ฝ่าบาทยังมิได้ทอดพระเนตร กรมอาญา ศาลต้าหลี่ ฝ่ายตรวจการล้วนแต่ยังไม่ได้พิพากษา เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาคุมขังเจ้าเมืองเมืองหนึ่งแล้วคุมตัวมายังเมืองหลวง…เหยียนเจวี๋ย ในสายตาเจ้ายังมีกฎหมายบ้านเมืองอยู่หรือไม่ ข้าจะเป็นตัวแทน…”
เฉินวั่งซูฟังผิงอ๋องพูดแล้วในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นมา “ท่านจะเป็นตัวแทนแห่งดวงจันทร์มาลงทัณฑ์ข้า*?”
ผิงอ๋องตะลึงงันไป สับสนงงงวยอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าควรตอบรับนางต่อตรงจุดใด
เขาค้นพบตั้งแต่ก่อนหน้านี้นานแล้วว่าระหว่างเขากับเฉินวั่งซูจะต้องมีคนหนึ่งเป็นไก่ คนหนึ่งเป็นเป็ด พูดกันคนละภาษาโดยธรรมชาติ
“ข้าก็ว่าอยู่ว่าวันนี้ในเมืองหลินอันมีแดดออกอยู่ดีๆ ไฉนจึงมีฝนตกได้ มาเห็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่นี่นา นั่นเป็นเพราะมีคนยืนอยู่บนหอกำแพงเมือง ปากพ่นน้ำลายออกมาเป็นฝอย”
ผิงอ๋องหน้าเปลี่ยนสี จวนจะระเบิดอยู่รอมร่อแล้ว
แม้จะผ่านไปเพียงชั่วเวลาสั้นๆ แต่เมืองหลินอันในตอนนี้ผิงอ๋องอย่างเขาอยู่ใต้คนเพียงคนเดียว แต่อยู่เหนือคนนับหมื่นแล้ว ไหนเลยจะยังมีใครกล้าพูดฉีกหน้าเขาเยี่ยงนี้
ไม่รอให้ผิงอ๋องได้พูดเฉินวั่งซูก็พลันเปลี่ยนสีหน้า นางยกมือขึ้นมาชี้ผิงอ๋อง “เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน? คำนี้ใช้ได้ดีเป็นพิเศษ ใครบอกว่าท่านอ๋องบุ๋นไม่ดีบู๊ไม่ได้เรื่องกันหนอ ข้าจะไปตบหน้าให้สักฉาด ท่านอ๋องตรัสได้เข็มเดียวเห็นเลือด รู้ลึกรู้จริงชัดๆ เป็นเพราะความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนจริงๆ”
ผิงอ๋องได้ยินก็ดีใจในทันที ในใจลอบยินดีเหลือประมาณ แม้เขาจะไม่รู้ว่าเฉินวั่งซูถูกสิ่งใดเข้าสิง แต่นางยอมรับแล้ว ถึงกับยอมรับต่อหน้ากองทัพใหญ่ ยอมรับว่านางกับเหยียนเจวี๋ยมาเล่นงานเหวยเต๋อลี่กับเผ่าฉีเพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน
“เผ่าฉีทดลองยาอะไรในลี่โจว รักษาโรคอะไร รักษาโรคของใคร” เฉินวั่งซูถามรวดเดียวสามคำถามด้วยท่าทางอันงดงามทรงพลัง จากนั้นก็ไม่รอให้ผู้อื่นได้พูดต่อ นางตอบเองด้วยเสียงอันดังว่า “หลี่จินผิงแห่งเผ่าฉีวางยาพิษชาวบ้านในลี่โจว ทำให้พวกเขามีอาการเจ็บป่วยบริเวณขาเหมือนกันกับผิงอ๋อง จากนั้นก็ทดลองยาไปทีละคน บาดเจ็บล้มตายไปหลายพันคน สุดท้ายเพื่อรักษาผู้ใดจนหายดี”
เฉินวั่งซูพูดพลางชี้ไปที่ขาของผิงอ๋อง “หลี่จินผิงรักษาอาการประชวรของผิงอ๋องจนหายดี นี่เป็น ‘ความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน’ ที่ทำเพื่อท่านอ๋องจริงๆ พระเพลานี้รักษาหายดีแล้ว แต่กลับมีผลข้างเคียง หนังพระพักตร์กลายเป็นหนาเสียแล้ว คนที่ได้ประโยชน์จากสกุลเหวยและเผ่าฉีอย่างท่านมีหน้าอะไรมาทวงความเป็นธรรมให้พวกเขาอยู่ตรงนี้ หรือจะบอกว่าท่านอ๋องมีพระประสงค์จะยิงหม่อมฉันกับเหยียนเจวี๋ยให้ตายอยู่ที่นี่ จากนั้นก็ตกแต่งเรื่องที่เหวยเต๋อลี่กับหลี่จินผิงเข่นฆ่าชาวบ้านผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวให้กลายเป็นคุณงามความดีของพวกเขา อ้อ ชีวิตต่ำต้อยของชาวบ้านสามัญชนเทียบกับพระเพลาเพียงข้างเดียวของรัชทายาทได้เสียที่ใดกันเล่า!”
บทที่ 314
พลทหารที่ยกธนูอยู่เหล่านั้นได้ยินแล้วก็เริ่มมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
แต่ละคนมองไปยังรัชทายาทอย่างเงียบๆ ขาของเขาพิการมาตั้งหลายปี หมอหลวงในวังก็ดี หมอเทวดาในเมืองหลินอันก็ช่าง แต่ละคนล้วนหมดปัญญารักษา
แต่หมอเทวดาหลี่ที่ไม่รู้โผล่ออกมาจากที่ใดผู้นั้น หญิงสาวที่อายุน้อยปานนั้นถึงกับรักษาขาของเขาให้หายดีได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน รัชทายาทกระโดดโลดเต้นได้ไม่ต่างจากคนปกติ ช่างน่าเหลือเชื่อโดยแท้
เรื่องผิดปกตินี้ต้องมีสิ่งแอบแฝง ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดไม่ออกมาโดยตลอด จึงเพียงถือว่าสวรรค์คุ้มครอง…ทว่าบัดนี้…
เฉินวั่งซูรู้สึกได้ถึงความไม่สงบในหมู่ฝูงชนจึงกล่าวต่ออีกว่า “เพื่อที่จะเอาพระทัยรัชทายาท รับรองได้ว่าจะมีความดีความชอบในการติดตามฮ่องเต้ตั้งแต่ก่อนครองราชย์ เหวยเต๋อลี่เจ้าเมืองลี่โจวได้เอาจิตสำนึกไปป้อนสุนัขแล้วจริงๆ”
นางว่าแล้วหางตาก็ชื้นขึ้นมาเล็กน้อย “มีคำกล่าวหนึ่งกล่าวไว้ว่ารักทหารดุจบุตรชาย* ต่อให้ไม่เห็นว่าทหารใต้บังคับบัญชาเป็นบุตรชายในไส้ แต่อย่างน้อยก็ควรเห็นพวกเขาเป็นคน ชีวิตผู้ใดมิใช่ชีวิตบ้างเล่า เหล่าพลทหารต่างเอาชีวิตเข้าสู้อยู่ในกองทัพ หากต้องตายจริงๆ ก็ควรได้ตายอยู่ในสนามรบระหว่างสังหารศัตรู แต่เหล่าพลทหารเมืองลี่โจว พวกเขาตายอยู่ที่ใดกันเล่า…พวกเขาเป็นเหมือนสุกรในเล้า ถูกแม่ทัพของตนเองเข่นฆ่าอย่างปราศจากศักดิ์ศรี”
นางพูดจบก็หลับตาลง
เสียงวิพากษ์วิจารณ์โดยรอบยิ่งดังขึ้น
“รัชทายาททรงกล้าไปเผชิญหน้ากับพวกหม่อมฉันต่อพระพักตร์ฝ่าบาทหรือไม่ หม่อมฉันกับเหยียนเจวี๋ยของหม่อมฉันประพฤติตนซื่อตรงสุจริตเปิดเผย ย่อมจะไม่หวาดเกรงสิ่งใด รัชทายาททรงกล้าหรือไม่” นางว่าแล้วก็มองไปด้านหลัง “รัชทายาททรงครอบครองกองทัพทั้งใต้หล้า ยังจะกลัวหม่อมฉันกับเหยียนเจวี๋ยที่มีกันเพียงสองคนอีกหรือ”
รัชทายาทอึ้งงันไป เริ่มลังเลขึ้นมา
เฉินวั่งซูยิ้มเหยียดหยามก่อนตะโกนลั่น “ทรงกล้าหรือไม่!”
รัชทายาทสังเกตเห็นสายตาของคนโดยรอบก็ยืดอกขึ้นทั้งที่ยังลังเล “ข้า…ข้ามีอะไรไม่กล้ากัน ข้าเองก็ประพฤติตนซื่อตรงสุจริตเปิดเผยเช่นกัน”
เขาเพิ่งจะพูดจบก็มีคนเปิดประตูเมืองหลินอันออกแล้ว
เฉินวั่งซูสะบัดแขนเสื้อ ก้าวขึ้นรถม้าพร้อมกับเหยียนเจวี๋ย ขบวนรถวิ่งเข้าเมืองอย่างยิ่งใหญ่
มู่จิ่นที่นั่งอยู่บนรถม้าจับมือนางด้วยความตื่นเต้นเป็นกังวล “คุณหนู ท่านไม่กลัวโจรสุนัขผู้นั้นฉวยโอกาสขณะพวกเราเข้าเมืองลงมือสังหารพวกเราหรือเจ้าคะ ถ้าเกิดเขาไม่แยแสศีลธรรม ฆ่าก่อนค่อยว่ากันจะทำอย่างไรดีเล่าเจ้าคะ”
เฉินวั่งซูส่ายหน้า “คนเราแต่ละคนกระทำสิ่งใดล้วนมีกฎมีแบบแผนของตนเอง ซึ่งจะเป็นไปตามประสบการณ์และนิสัยใจคอ ไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆ หรอก เมื่อก่อนผิงอ๋องถูกฮองเฮาปกป้องไว้ทุกทาง บุรุษที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการพึ่งพามารดาไปเสียทุกอย่างพรรค์นี้ส่วนใหญ่ล้วนไม่เด็ดขาดพอ เรื่องฆ่าก่อนค่อยว่ากันเขาทำออกมาไม่ได้แน่นอน มิหนำซ้ำ…” เฉินวั่งซูพูดพลางยักคิ้ว “มิหนำซ้ำข้าก็ไม่กลัวเขามาฆ่า แต่กลัวเขาไม่ฆ่าเสียมากกว่า”
มาเลย! มาเลย! ขอเพียงรัชทายาทปล่อยธนูมาแค่ดอกเดียว ข้ากับเหยียนเจวี๋ยก็สามารถเปิดฉากสังหารได้ ถึงเวลานั้นก็ฆ่าเจ้าหนูน้ำเต้าให้หมดแล้วก็แต่งตั้งตนเอง ไหนเลยจะไม่น่าพอใจ!
เฉินวั่งซูพูดจบกลับถามเรื่องอื่นขึ้นมา “เจ้ารู้สึกแปลกหรือไม่ ฝ่าบาททรงขี้ระแวง ตามหลักแล้วไม่ควรแต่งตั้งรัชทายาทเร็วปานนี้ เหตุใดพอพวกเราออกมาจากเมืองลี่โจวที่นี่ก็เปลี่ยนไปแล้ว…ผิงอ๋องถึงกับได้เป็นรัชทายาทแล้วจริงๆ…” เฉินวั่งซูพูดพลางรู้สึกว่าหัวใจบีบรัด นางมองไปที่เหยียนเจวี๋ย “แย่แล้ว หลงกลแล้ว”
เวรเอ๊ย! นางเสียแรงทำเก่งไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ถึงกับละเลยเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งไป นั่นก็คือตลอดทางที่นางกับเหยียนเจวี๋ยคุมตัวเหวยเต๋อลี่มาเมืองหลินอันถึงกับคลื่นลมสงบเงียบ ไม่ได้เจอการดักปล้นกลางทางแม้แต่ครั้งเดียว
ยิ่งสงบก็ยิ่งมีปัญหา…
แม้ว่าคดีสังหารหมู่ที่ลี่โจวจะน่าสะเทือนขวัญ แต่กุญแจสำคัญในการโค่นล้มเจ้าหนูน้ำเต้าคนโตของพวกนางอยู่ที่ใด พูดไปก็ฟังดูเหลวไหล แต่ความจริงก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ในสายตาของฮ่องเต้ผู้เลอะเลือนไร้คุณธรรม เกรงว่าเรื่องที่เจ้าหนูน้ำเต้าคนโตกับเจ้าเมืองลี่โจวสมคบคิดกัน อีกทั้งส่งสตรีที่เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษมาเป็นสนมคนโปรดอยู่ข้างกายเขาเพื่อหมายวางแผนก่อกบฏคงจะสำคัญยิ่งกว่า
ขอเพียงเฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยพาตัวคนเหล่านั้นมาถึงหลินอัน ตำแหน่งรัชทายาทนี้ไม่ว่าอย่างไรก็นั่งไม่ได้แล้ว หากนางเป็นรัชทายาทจะต้องดักฆ่ากลางทาง กลบฝังเรื่องนี้ให้ได้ก่อนที่พวกนางจะมาถึงหลินอัน
ทว่านี่ผิดปกติอย่างยิ่ง ตลอดทางมานี้แม้แต่สุนัขสักตัวยังไม่มี
เจ้าหนูน้ำเต้าคนโตคิดว่าตนเองมีหลักประกันจึงไม่เกรงกลัว คิดเพียงว่าฮ่องเต้อยู่ในเงื้อมมือเขาแล้ว เมืองหลินอันก็อยู่ในเงื้อมมือเขาแล้ว
ก่อนหน้านี้เฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยอยู่นอกเมือง ยังมีความเป็นไปได้ที่จะหันหลังวิ่งหนี แต่เมื่อเข้าประตูเมืองหลินอันมาแล้วก็เท่ากับปิดประตูสังหารมังกร
เฉินวั่งซูไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าอันที่จริงสำนวนนี้ต้องเป็น ‘ปิดประตูตีสุนัข’
ให้ตายเถอะ! นี่เพิ่งผ่านมานานเท่าไรเชียว ใต้หล้าถึงกับเปลี่ยนไปแล้ว
เห็นทีปีนี้บิดาชราที่ทำงานส่งศพผู้นั้นของนางคงจะต้องงานยุ่ง ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงฤดูหนาวคงจะมีเชื้อพระวงศ์ให้ส่งไม่หวาดไม่ไหว มีบุตรหลานชนชั้นสูงให้หามไม่จบไม่สิ้น
เฉินวั่งซูสะท้อนใจ กระตุ้นตนเองให้กระปรี้กระเปร่าเต็มที่ มือกุมหน้าไม้น้อย กลิ้งตัวเข้าอ้อมแขนเหยียนเจวี๋ยอย่างมีสติ จับมือเขามาโอบเอวตนเอง “โอบแน่นๆ หน่อย ประเดี๋ยวพวกเราหนีออกไปกัน ข้าไม่อยากกลายเป็นไม้ที่เสียบผลไม้เคลือบน้ำตาลนั่น”
เหยียนเจวี๋ยตอบรับในลำคอเสียงหนัก
ไม่รู้ว่าเฉินวั่งซูหลอนไปเองหรือไม่ ทว่ารอบข้างเงียบกริบแล้ว
แทบจะได้ยินเสียงธนูยิงมาจากสี่ทิศแปดทาง
เฉินวั่งซูด่าสาดเสียเทเสียในใจไปหลายคำ เสียแรงที่เมื่อครู่นางพูดไปตั้งมากมายปานนั้น เหวยเต๋อลี่ไม่เห็นชาวบ้านเป็นคน องค์ชายใหญ่ที่เป็นพวกเดียวกับเขาได้ขึ้นครองราชย์วันหน้าก็ไม่มีทางเห็นชาวบ้านเป็นคนเช่นกัน
นางนึกว่าคำพูดเหล่านี้จะทำให้จิตใจของทหารเหล่านั้นหวั่นไหวได้แล้วเปลี่ยนข้างในช่วงเวลาสำคัญ ถึงเวลานั้นนางชูแขนเปล่งเสียงร้อง ทหารเหล่านี้ก็พากันขานรับ ช่วยนางยึดพระราชบัลลังก์ ก้าวเดินไปบนเส้นทางสูงสุดของชีวิตนับแต่บัดนี้
ผลคือให้ตายสิ ละครที่มีนางเอกเป็นศูนย์กลางล้วนแต่หลอกลวงคน!
พวกเขาหวั่นไหวก็ส่วนหวั่นไหว แต่ยังคงเชื่อฟังผู้ที่ให้เบี้ยหวัดแก่พวกเขา ธนูประหนึ่งเป็นน้ำแข็งอันเย็นเฉียบระดมฟาดลงบนหน้านาง ชีวิตน้อยๆ เดินมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
มู่จิ่นที่อยู่ด้านข้างสูดหายใจลึก ชกพื้นรถม้าจนทะลุ หากกระโดดขึ้นข้างบนจะกลายเป็นเป้านิ่ง แม้กลิ้งไปกับพื้นจะไม่น่าดู แต่ยังมีโอกาสรอดชีวิต
“กั๋วกงน้อยพาคุณหนูหนีไป บ่าวจะคอยคุ้มกันอยู่ด้านหลังเองเจ้าค่ะ”
มู่จิ่นพูดพลางชักดาบโค้งที่พกไว้ตรงเอวออกมา ก่อนจะล้วงขวดเขียวใบเล็กใบหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อแล้วเทลงบนตัวดาบอย่างปราศจากความลังเล
ดาบโค้งที่เมื่อก่อนเห็นว่าธรรมดาทั่วไป ในฉับพลันนั้นคล้ายว่าได้เปลี่ยนลักษณะไป มันกลายเป็นสีเขียวประหลาดที่ส่งกลิ่นระคายจมูกออกมา
เฉินวั่งซูอึ้งงัน นางรู้สึกว่าตนเองไม่หนีไม่ได้แล้ว หากยังอยู่ในรถม้านี้กับมู่จิ่นอีกแม้เพียงชั่วขณะเดียว นางก็จะตายเพราะถูกพิษนี้เข้า
มู่จิ่นส่งเสียงร้องขึ้นมา ยกเท้าคิดจะยันเฉินวั่งซูลงไป กลับเห็นฝ่ายหลังขยับตัวไปที่รูนั้นอย่างว่าง่ายแล้ว นางจึงหดเท้ากลับมาแต่โดยดี เปิดม่านรถม้า แล้วทำท่าจะพุ่งตัวออกด้านนอก
เฉินวั่งซูกัดฟันพลางสบตากับเหยียนเจวี๋ย
เหยียนเจวี๋ยชะงักเล็กน้อย “คือว่า…ภรรยาไม่ต้องกลัว ธนูยิงไม่ทะลุหรอก ข้าเตรียมการไว้ก่อนแล้ว มู่จิ่น หากเจ้าพุ่งตัวออกไปเวลานี้จะถูกยิงจนพรุน”
รองเท้าที่ยื่นออกไปแล้วครึ่งหนึ่งของมู่จิ่นหดกลับเข้ามาในทันใด
ในเวลานี้ห่าธนูก็พุ่งมาถึงตรงหน้าแล้ว
* เอาขนไก่ไปทำลูกศร หมายถึงการหาเหตุผลในการใช้กำลังของผู้มีอำนาจ
* มีที่มาจากการ์ตูนแนวโชโจะเรื่องเซเลอร์มูน โดยวลีประจำตัวของเซเลอร์มูนคือ ‘ตัวแทนแห่งดวงจันทร์จะลงทัณฑ์แกเอง’
* รักทหารดุจบุตรชาย หมายถึงการปฏิบัติต่อทหารเหมือนบุตรของตน ทหารจะจงรักภักดีจนสามารถสละชีพให้ได้
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนตุลาคม 66)
Comments
comments
No tags for this post.