บทที่ 95 ชาติที่แล้ว
อวี๋ชิงจยานั่งอยู่ในรถม้า ได้ยินเสียงล้อรถม้าบดกับพื้นอิฐดังกึกกัก นางได้ยินเสียงของหลี่ซื่อดังมา ดูเหมือนจะมีอวี๋เหล่าจวินด้วย หลายคนกำลังไล่ตามหลังรถม้า สุดท้ายรถม้าค่อยๆ เริ่มวิ่งและทิ้งเสียงทั้งหมดไว้ด้านหลัง
ไป๋จื่อตกใจเมื่อได้ยินเสียงบ่าวรับใช้สกุลอวี๋ไล่ตามรถม้า นางกำมือของอวี๋ชิงจยาไว้แน่นตามจิตใต้สำนึก ม่านรถทางด้านหลังสะบัดขึ้นเบาๆ กีบเท้าม้าที่ย่ำบนถนนอิฐสีนิลส่งเสียงดังกุบกับ อาศัยเพียงกำลังมนุษย์ไม่สามารถไล่ทันได้ ไป๋จื่อจึงโล่งใจในที่สุด มือทั้งสองของนางสั่นเทา ไม่รู้ว่ามีความสุขหรือเศร้า ดวงตาเปล่งประกายจากหยาดน้ำที่ซึมออกมา “คุณหนู พวกเราออกมาแล้วเจ้าค่ะ”
“ใช่” อวี๋ชิงจยาตอบรับเบาๆ นางปฏิเสธการขัดขวางของไป๋จื่อและยื่นมือไปเลิกม่านรถม้า มองไปทางข้างหลัง ตรอกเจี้ยนอันที่มีบ้านเรือนเรียงรายไกลออกไป ชายคาสีน้ำตาลเข้มของสกุลอวี๋ผสานกลมกลืนไปกับทิวทัศน์เบื้องหลังอันเลือนราง สองข้างทางของถนนเริ่มมีผู้คนและพ่อค้าหาบเร่ตะโกนมากขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นอายของตลาดที่แตกต่างจากตรอกเจี้ยนอันอย่างสิ้นเชิงเข้ามาแทนที่
อวี๋ชิงจยาถอนหายใจแล้วกล่าวเสียงเบา “พวกเราออกมาแล้ว ท่านแม่ ท่านเห็นหรือยังเจ้าคะ ในที่สุดพวกเราก็ได้จากมาอย่างสง่าผ่าเผยแล้ว”
อวี๋ชิงจยานั่งอยู่ในรถม้า ไม่รู้ว่าเดินทางโคลงเคลงนานเท่าไร ในที่สุดก็ได้ยินอวี๋เหวินจวิ้นเอ่ยว่า “หยุด!”
อวี๋ชิงจยาเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ได้ยินเสียงอวี๋เหวินจวิ้นลงจากรถ ทักทายกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเป็นมิตร ท่าทางตื่นเต้นมาก ดูเหมือนว่าทั้งสองจะเป็นสหายเก่ากัน อวี๋ชิงจยาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยกับไป๋จื่อ “คิดไม่ถึงว่าเจ้าบ้านจะมาต้อนรับถึงที่ประตูด้วยตนเอง ช่างให้ความสำคัญเกินไปแล้ว”
เห็นได้ชัดว่าอวี๋เหวินจวิ้นในตอนนี้พาอวี๋ชิงจยามาขออาศัยที่บ้านสหาย โดยทั่วไปเจ้าบ้านจะรอต้อนรับแขกที่เดินทางไกลอยู่ด้านหน้าห้องโถงหลักของลานเรือน ถึงอวี๋เหวินจวิ้นกับเจ้าบ้านจะมีความสัมพันธ์เป็นสหายกัน เจ้าบ้านก็ไม่จำเป็นต้องมาต้อนรับถึงที่ประตูด้วยตนเอง แต่การต้อนรับของเจ้าบ้านในเวลานี้ไม่ใช่แค่มีมารยาทเท่านั้น แต่เรียกว่า ‘เคารพมากเกินไป’ เสียด้วยซ้ำ
ไป๋จื่อรู้สึกแปลกใจเช่นกัน นางกล่าว “คงเป็นเพราะเจ้าบ้านกับนายท่านเป็นสหายเก่ากัน อีกทั้งยังไม่ได้พบสหายเก่ามานาน ก็เลยอดใจรออยู่ข้างในไม่ได้เจ้าค่ะ”
อวี๋ชิงจยารู้สึกไม่ค่อยถูกต้อง เพราะต่อให้เป็นสหายเก่าแก่ แต่อวี๋เหวินจวิ้นพาพวกตนมาหยุดที่หน้าประตูเรือนของอีกฝ่ายโดยตรง เห็นได้ว่าในยามปกติยังมีการติดต่อหากันอยู่ ระยะทางที่เดินทางนั้นไม่มากไม่น้อย อวี๋ชิงจยาคาดเดาคร่าวๆ ว่าแม้ออกจากเมืองมาแล้ว แต่ก็ยังเป็นเมืองในเขตปกครองเดียวกัน ไม่ได้อยู่ห่างไกลถึงขนาดข้ามน้ำข้ามภูเขาไม่พบหน้ากันหลายปี เจ้าบ้านจะแสดงท่าทางตื่นเต้นต่ออวี๋เหวินจวิ้นถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
ไป๋จื่อก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ถึงอย่างนั้นนางก็ปลอบใจอวี๋ชิงจยาว่า “คุณหนูไม่ต้องคิดมากนะเจ้าคะ ถึงอย่างไรนายท่านก็ไม่ทำร้ายพวกเรา เจ้าบ้านอาจจะเป็นคนอัธยาศัยดีก็ได้เจ้าค่ะ”
อวี๋ชิงจยาพยักหน้าอย่างช้าๆ และยอมรับคำอธิบายนี้ชั่วคราว
ไป๋หรงได้ยินการคาดเดาของไป๋จื่อก็หลุบตาลงอย่างเงียบๆ และไม่พูดจา
อวี๋เหวินจวิ้นสนทนากับเจ้าบ้านอีกครู่หนึ่ง รถม้าก็เคลื่อนไปอีกครั้ง โดยวิ่งไปตามทางอันคดเคี้ยว สุดท้ายก็จอดลงอย่างช้าๆ มีสาวใช้เคาะผนังรถม้าจากด้านนอกแล้วกล่าวอย่างพร้อมเพรียง “คุณหนูหก ถึงเรือนของท่านแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูหกลงจากรถได้เลยเจ้าค่ะ”
เวลานี้รถม้าเข้ามาในเรือนแล้ว ไม่จำเป็นต้องสวมหมวกม่านแพรอีก อวี๋ชิงจยาจับมือของไป๋จีลงจากรถม้าโดยตรง เมื่อนางลงจากรถม้าก็มองไปรอบๆ โดยไม่รู้ตัว ไป๋จื่อเห็นแล้วเอ่ยถามขึ้น “คุณหนู ท่านหาอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”
อวี๋ชิงจยาเพิ่งพบว่าตนตามหาจิ่งหวนตามจิตใต้สำนึก วันนี้ตอนออกมามู่หรงเหยียนไม่ได้ร่วมรถม้าคันเดียวกับอวี๋ชิงจยา แต่นั่งตามลำพังอยู่ในรถม้าอีกคันหนึ่ง นางอยากถามว่าเขาไปที่ใด แต่พอคำพูดจะออกจากปากก็รู้สึกว่าคำถามนี้ฟังดูแปลกประหลาด สถานะในนามของจิ่งหวนกับนางแตกต่างกัน เดิมทีควรแยกกันพักอาศัย ซึ่งตอนนี้อยู่ต่อหน้าคนนอก นางยิ่งไม่ควรถาม
อวี๋เหวินจวิ้นคบหาสหายมากมาย ครั้งนี้พวกเขามาขอพักอาศัยอยู่ในเรือนที่อยู่ชานเมืองของสหายผู้หนึ่ง เรือนแห่งนี้สร้างขึ้นบริเวณชานเมือง ทิวทัศน์งดงาม มีสะพานเล็กและสายน้ำไหล ปกติเจ้าบ้านไม่ได้พักอาศัยอยู่ที่นี่ เรือนจึงว่างมานาน แต่เครื่องเรือนภายในเรือนยังใหม่ทั้งหมด อวี๋ชิงจยาพักอยู่ในเรือนเล็กๆ ตามลำพัง ตัวเรือนมีชายคามุมแหลมงอน ขนาดเรือนเล็กกะทัดรัดและทำขึ้นอย่างงามประณีต ล้อมรอบด้วยแปลงดอกไม้และต้นไม้ สงบเงียบและสง่างาม พวกไป๋จื่อติดตามอวี๋ชิงจยาเดินเข้าไปแล้วก็ตกตะลึงอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นสภาพแวดล้อมนี้
จนกระทั่งสาวใช้ที่นำทางจากไปแล้ว ไป๋จีก็มองซ้ายมองขวา กล่าวกับอวี๋ชิงจยาว่า “คุณหนู ทีแรกบ่าวคิดว่าที่พักชั่วคราวนี้คงจะมีหลายสิ่งที่ไม่ถูกใจ ไม่คิดว่าจะงดงามเช่นนี้เจ้าค่ะ”
ไป๋จื่อหอบเครื่องนอนออกมาจากเรือน พอได้ยินคำพูดนี้ก็เข้ามาคุยด้วย “ใช่เจ้าค่ะ แม้เจ้าบ้านจะบอกว่าตั้งแต่สร้างที่นี่ก็ไม่เคยมาใช้เลย แต่บ่าวเห็นเครื่องเรือนภายในเรือนนั้นสะอาดสะอ้านมาก ไม่เหมือนถูกทิ้งว่างมานานเลยเจ้าค่ะ รอบเรือนหลังนี้มีต้นไม้เยอะ ทีแรกบ่าวกังวลว่าเครื่องนอนจะชื้นจึงเข้าไปจับดู พบว่าเนื้อผ้าของผ้าห่มยังใหม่เอี่ยม สำลีข้างในก็ฟูและนุ่ม บ่าวนำออกมาตากสักหน่อย กลางคืนคุณหนูก็ใช้ได้แล้วเจ้าค่ะ”
ไป๋จื่อเริ่มดูแลเรือนใหม่ด้วยท่าทางกระตือรือร้น ส่วนสาวใช้คนอื่นๆ ก็งานยุ่งเช่นกัน พากันยกเตากำยาน หยกแกะสลัก และอื่นๆ ออกมาจัดวางทีละชิ้น ไป๋จื่อทำงานด้วยอารมณ์ฮึกเหิมตลอดช่วงบ่าย เมื่อหันกลับมาก็เห็นอวี๋ชิงจยานั่งตัวตรงอยู่ริมหน้าต่าง กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย การเคลื่อนไหวที่มือของไป๋จื่อช้าลง นางวางของลงแล้วเดินย่องเข้าไปใกล้ “คุณหนูเป็นอะไรหรือเจ้าคะ ท่านไม่ชอบที่นี่หรือ”
อวี๋ชิงจยาได้สติคืนมาก็ส่ายหน้าพลางหัวเราะเบาๆ “เปล่า ที่นี่สงบเงียบและสวยงามมาก ข้าย่อมพอใจมาก”
ไป๋จื่อคุกเข่าอยู่ข้างๆ อวี๋ชิงจยา แล้วมองนางด้วยสายตาห่วงใย “เช่นนั้นคุณหนูเป็นอะไรหรือ บ่าวเห็นคุณหนูเหมือนมีเรื่องในใจนะเจ้าคะ”
ไป๋จื่ออยู่กับอวี๋ชิงจยามาหลายปี นางเข้าใจกิริยาท่าทางอันละเอียดอ่อนของอวี๋ชิงจยา อาจจะมากกว่าที่อวี๋เหวินจวิ้นเข้าใจเสียด้วยซ้ำ อวี๋ชิงจยารู้ว่าตนเองไม่อาจปิดบังไป๋จื่อได้จึงก้มหน้ากล่าว “ไม่มีอะไร แค่ข้ารู้สึกแปลกนิดหน่อย”
ไป๋จื่อคาดไม่ถึง เอ่ยปากถามขึ้น “แปลกตรงที่ใดหรือเจ้าคะ”
“ข้าเองก็บอกไม่ถูก” สายตาของอวี๋ชิงจยามองไปยังแสงสีเขียวเข้มๆ อ่อนๆ ที่ส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่างพลางทำสีหน้าครุ่นคิด “ข้ามักรู้สึกเหมือนตนเองละเลยสิ่งสำคัญไปอย่างหนึ่ง ที่จริงก็รู้สึกเช่นนี้มานานแล้ว แต่ชัดเจนที่สุดตอนมาอยู่ที่แห่งนี้”
ไป๋จื่อไม่เข้าใจคำพูดของอวี๋ชิงจยา นางนั่งเป็นเพื่อนอีกฝ่ายครู่หนึ่ง มืออันอบอุ่นกำนิ้วมือของอวี๋ชิงจยาหลวมๆ “คุณหนู หากท่านมีเรื่องกลุ้มใจอะไร ท่านเล่าให้บ่าวฟังได้นะเจ้าคะ แม้ว่าบ่าวจะไม่เคยเรียนหนังสือและไม่รู้ตัวอักษร แต่อย่างน้อยก็ช่วยออกความคิดให้ท่านได้ ท่านอย่าได้เก็บทุกอย่างไว้ในใจตนเองเลยนะเจ้าคะ”
อวี๋ชิงจยายิ้มให้ไป๋จื่อแล้วกล่าว “ข้ารู้ คงเพราะวันนี้เกิดเรื่องขึ้นมากเกินไป ข้าถึงรู้สึกปลงตกไปชั่วขณะ ตอนท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ต้องใช้ชีวิตอย่างหดหู่ใจอยู่ที่จวนสกุลอวี๋ ยามนี้ในที่สุดพวกเราก็ย้ายออกมาแล้ว แต่กลับไม่ได้พบนางอีกต่อไป”
ไป๋จื่อฟังแล้วก็ถอนหายใจ “ฮูหยินรูปโฉมงดงาม ดวงชะตาอาภัพ ถ้าดวงวิญญาณของฮูหยินอยู่บนสวรรค์ จะต้องไม่อยากให้คุณหนูกลัดกลุ้มทุกข์ใจแน่นอนเจ้าค่ะ”
อวี๋ชิงจยามีชีวิตชีวาขึ้นมา ยิ้มพลางกล่าวเห็นด้วย ตอบรับไป๋จื่อไปอย่างส่งๆ
ในวันนั้นอวี๋ชิงจยาไม่พบมู่หรงเหยียน สิ่งที่แปลกคือหลังจากนั้นหลายวันนางพบหน้ามู่หรงเหยียนน้อยมาก
ฝนเพิ่งตกในช่วงเช้าตรู่ มีเสียงนกร้องและในสายลมมีไอน้ำปะปนเล็กน้อย อวี๋ชิงจยานั่งหวีผมประทินโฉมอยู่หน้าคันฉ่อง ไป๋จื่อนั่งคุกเข่าข้างหลังอวี๋ชิงจยา ค่อยๆ หวีผมให้คุณหนูของตนอย่างพิถีพิถัน ซี่หวีไม้จมลงไปในเส้นผมและเลื่อนผ่านเส้นผมที่ราวกับม่านน้ำตกสีดำไปจนสุดปลาย
ไป๋จื่อหวีผมให้อวี๋ชิงจยาอย่างนุ่มนวล อิ๋นจูนั่งคุกเข่าแล้วบิดผ้าเช็ดหน้าอยู่อีกฝั่งหนึ่งพลางพูดสัพเพเหระ “คุณหนู ได้ยินคนเฝ้าประตูบอกว่าไม่กี่วันก่อนอวี๋เหล่าจวินส่งคนมาอีกแล้วเจ้าค่ะ ผู้ที่มาครั้งนี้เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งในสกุลอวี๋ คุยกับนายท่านอยู่พักใหญ่ เห็นว่ามาเกลี้ยกล่อมให้นายท่านกลับไปเจ้าค่ะ”
ต่อให้อวี๋เหวินจวิ้นจงใจปิดบัง อวี๋ชิงจยาก็รู้ถึงผลที่ตามมามากมายหลังจากแยกจากตระกูลอยู่ดี อีกทั้งอวี๋เหวินจวิ้นยังนำรถม้าออกจากสกุลอวี๋ต่อหน้าสายตาผู้คน การตัดขาดนั้นเด็ดเดี่ยวมาก ไม่ถึงวันเรื่องของสกุลอวี๋ก็แพร่สะพัดไปทั่ว
ในสายตาเหล่าตระกูลขุนนาง พฤติกรรมของอวี๋เหวินจวิ้นนั้นอกตัญญูมากอย่างไม่ต้องสงสัย หลายคนที่อ้างตนเป็นผู้ยึดถือคุณธรรมวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง แต่ก็มีคนบางส่วนที่ไม่ได้สนใจหลักคำสอนช่วยพูดแทนอวี๋เหวินจวิ้น แต่เพราะบ้านเมืองกำลังวุ่นวาย จึงส่งผลกระทบต่ออวี๋เหวินจวิ้นไม่มาก อวี๋ชิงจยาอยู่ในเรือนอันเงียบสงบที่ห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า ทุกๆ วันดีดพิณ วาดรูป อ่านตำรา เขียนอักษร ชีวิตเป็นไปอย่างสงบสุขและผ่อนคลายสบายใจ ไม่ว่าคนภายนอกจะวิจารณ์อย่างไรก็ล้วนไม่เกี่ยวกับนาง
พวกไป๋จื่อพูดเกี่ยวกับสกุลอวี๋สองสามประโยคแล้วพากันเปลี่ยนเรื่อง ครึ่งเดือนที่ผ่านมาชีวิตความเป็นอยู่เงียบสงบ สามารถตัดสินใจเองได้ในทุกเรื่อง เมื่อได้ฟังเรื่องของคนนั้นคนนี้ในสกุลอวี๋ก็ราวกับเป็นความฝัน พวกนางพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย และประเด็นสนทนาก็ค่อยๆ เข้าสู่เหตุการณ์ในเมืองหลวง
เดือนสาม แม่ทัพอาวุโสเกิ่งเดินทางกลับเมืองหลวงตามพระราชโองการ แม้จะบอกว่าพระราชโองการเขียนด้วยมือของฮ่องเต้ แต่ใครๆ ก็รู้ว่านี่คือแผนชั่วของอัครมหาเสนาบดี แม่ทัพอาวุโสเกิ่งเข้าเมืองเยี่ยเฉิง แม้จะมีความสามารถติดตัว แต่สองกำปั้นจะเอาชนะสี่มือได้อย่างไร เมื่อประตูเมืองปิดลง แม่ทัพอาวุโสเกิ่งก็ไม่ต่างอะไรจากปลาบนเขียง
ทุกคนต่างจับตาดูการเคลื่อนไหวในเมืองหลวงอยู่ตลอด ในด้านหนึ่งพวกเขารู้สึกวิตกกังวลแทนแม่ทัพอาวุโสเกิ่ง อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกว่าอิ่นอี้คุนเป็นคนถ่อยที่ฉวยโอกาส กล้าแตะต้องแม่ทัพอาวุโสเกิ่งผู้มีผลงานรบโด่งดังได้อย่างไร แต่เดือนหกในปีนี้มีข่าวมาจากเมืองหลวงกะทันหันว่าอิ่นอี้คุนส่งคนไปจับกุมแม่ทัพอาวุโสเกิ่ง
เรื่องใหญ่เช่นนี้แม้แต่บ่าวหญิงในตระกูลอย่างไป๋จื่อก็ยังได้ยิน พวกนางกังวลใจอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายก็หันมามองหน้ากัน แล้วถอนหายใจด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง
สถานการณ์บ้านเมืองย่ำแย่ คนชั่วใช้อำนาจบาตรใหญ่ ชีวิตคนแย่เสียยิ่งกว่าต้นหญ้าในถิ่นทุรกันดาร
ไป๋หรงฟังนิ่งๆ หลังผ่านไปครู่หนึ่งนางก็จากไปอย่างเงียบๆ
อวี๋เหวินจวิ้นออกมาจากสกุลอวี๋อย่างเร่งรีบ เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางหาที่พักที่เหมาะสม เงียบสงบ และปลอดภัยเช่นนี้ได้ในทันที ที่บอกว่าเป็นเรือนที่สหายไม่ได้ใช้ล้วนเป็นข้ออ้างทั้งนั้น
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเดิมทีพื้นที่เรือนแห่งนี้เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของมู่หรงเหยียน ตอนนี้แค่อ้างในนาม ‘สหาย’ ของอวี๋เหวินจวิ้นให้ใช้อย่างเปิดเผยเท่านั้น ก่อนหน้านี้ที่เจ้าของเรือนในนามมารอตรงหน้าประตูด้วยตนเอง จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อต้อนรับอวี๋เหวินจวิ้น แต่ต้อนรับมู่หรงเหยียนต่างหาก
ไป๋หรงไปที่พักของมู่หรงเหยียนเงียบๆ ข่าวของเมืองเยี่ยเฉิงในช่วงหลายวันมานี้แพร่ไปทั่วราวกับปุยหิมะลอยละล่อง มู่หรงเหยียนกลับมาอยู่ในที่ของตนเอง จึงไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวโดยคำนึงถึงผู้อื่นอีก สิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันจึงเยอะมาก ไป๋หรงคิดว่าวันนี้มู่หรงเหยียนจะหารือกับขุนนางที่ปรึกษา แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ กลับพบว่าหน้าประตูและตัวเรือนบรรยากาศดูเคร่งเครียด ข้ารับใช้ต่างปล่อยแขนลงและยืนเฝ้าอยู่ข้างนอกอย่างเคร่งขรึม
ไป๋หรงได้รับความกดดันโดยไม่รู้ตัว นางลดเสียงลงและกระซิบถาม “เกิดอะไรขึ้น”
“วันนี้เจ้านายตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่ปกติ จนถึงตอนนี้ก็ไม่ยอมให้คนนอกเข้าไปรบกวน”
ไป๋หรงส่งเสียงร้องประหลาดใจ คุณชายตื่นขึ้นมาท่าทางไม่ปกติ หรือว่าจะฝันไม่ดี หลังจากคิดเช่นนี้ไป๋หรงก็รู้สึกไม่เชื่อ คนอย่างคุณชายจะได้รับผลกระทบทางอารมณ์จากความฝันเนี่ยนะ
ภายในห้อง ผมยาวของมู่หรงเหยียนรวบด้วยเกี้ยว อาภรณ์สีขาวหมดจดตลอดทั้งร่าง เขายืนอยู่ข้างหน้าต่าง นิ้วมือเย็นเฉียบ เห็นได้ชัดว่ายืนอยู่ตรงนี้มานานแล้ว
มู่หรงเหยียนเคยหัวเราะเยาะให้กับการตีความความฝัน และยิ่งนึกดูแคลนคนที่คิดว่าความฝันจะเป็นจริง แต่เมื่อวานนี้เขาฝันถึงเรื่องหนึ่ง
ในความฝันเขามองเห็นเปลวไฟสูงเสียดฟ้าที่เมืองเกาผิง ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยกล่าวอย่างเย็นชาว่า ‘ในเมื่อนางไม่อยู่แล้ว เช่นนั้นจะเหลือจวนสกุลอวี๋ไปด้วยเหตุใดอีก’
นั่นคือเสียงของเขาเอง
ความฝันมาอย่างกะทันหัน และจบลงอย่างรวดเร็ว มู่หรงเหยียนยืนอยู่ที่นี่ตลอดตั้งแต่ที่ตื่นขึ้นมา ไม่ได้ขยับออกจากตำแหน่งนี้แม้แต่น้อย เขาหยุดคิดไม่ได้ว่าความฝันนั้นหมายความว่าอย่างไร ‘นางไม่อยู่แล้ว’ ที่พูดออกมาหมายความว่าอย่างไร
ในความฝันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้นางจากข้าไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 31 ก.ค. 67
Comments
comments
No tags for this post.