บทที่หนึ่ง
เวิ้งนภาอึมครึม วายุประดุจคมดาบ กรวดทรายปลิวว่อนอยู่เหนือผืนดินที่แตกระแหง ตีต้นไม้ใบหญ้าที่เหี่ยวเฉากับภูเขาหินให้บังเกิดเสียงดังแซกซ่า พิภพมนุษย์อันไพศาลบัดนี้มีเพียงความเปลี่ยวร้าง
เซวียนชิงกำลังวิ่งตะบึงอยู่ในพิภพมนุษย์ อาภรณ์สีขาวบนร่างเปรอะคราบโลหิตเป็นด่างดวง ครั้นสองเท้าของเขาย่ำผ่านผิวดินซึ่งสลับด้วยร่องลึก ก็จะหอบเอากองฝุ่นฟุ้งขึ้นที่เบื้องหลัง
“หยุดนะ! มารดามันเถอะ เจ้าฆ่าลูกชายข้าแล้วยังจะกล้าหนีอีกรึ!” บุรุษวัยกลางคนสวมชุดสีม่วงผู้หนึ่งพลันโฉบลงมาจากฟ้า กุมกระบี่ขวางอยู่เบื้องหน้าเขา
เซวียนชิงใช้กระบี่ค้ำยันพื้น ลมหายใจหอบฮัก “ท่านเทพจื่ออิน ข้าเคารพท่านเป็นผู้อาวุโส แต่ท่านกลับไม่แยกแยะถูกผิดล่าสังหารข้าไม่เลิกรา การตายของบุตรชายท่าน ข้าก็ได้ชี้แจงไปหลายหนแล้ว เป็นบุตรชายท่านที่ลงมือจะเอาชีวิตข้าก่อน สุดท้ายก็พลาดพลั้งจนตายภายใต้คมกระบี่ของตนเอง ท่านจะพูดกันด้วยเหตุผลไม่ได้หรือ”
“เหตุผล? ตอนนี้ในสามพิภพ กระทั่งไก่ที่ออกไข่ได้สักตัวก็ยังไม่มี ข้ามีบุตรชายโทนผู้นี้เพียงคนเดียว พอเขาตายไป ข้าก็สิ้นทายาทแล้ว ยังจะมีเหตุผลอะไรให้ต้องพูดกันอีก!” ในมือของจื่ออินเสกกระบี่ที่ใบมีดบางและมีขนาดยาวราวสามฉื่อ ขึ้นมาเล่มหนึ่ง จากนั้นก็แทงปราดมาทันที
เซวียนชิงสกัดเขาออกไปด้วยหนึ่งกระบี่ ก่อนจะถอยหลังติดกันหลายก้าว “ข้ายังนึกว่าท่านทำเพื่อชำระแค้นให้บุตรชายเสียอีก ที่แท้สิ่งที่ใส่ใจก็มิใช่บุตรชาย แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่าการสืบสายโลหิตเท่านั้นเอง”
“พูดพล่ามไร้สาระ! มารดามันเถอะ มีใครหน้าไหนบ้างที่ไม่ใส่ใจ!” คมกระบี่ของจื่ออินตวัดไปรอบด้านปราดหนึ่ง “เจ้าลองมองดูสิ พิภพมนุษย์มีสภาพรกร้างเพียงใด! ทั่วทั้งสามพิภพไม่อาจให้กำเนิดทายาทรุ่นหลังมาตั้งพันปีแล้ว เดิมทีข้ายังดีใจที่ได้ทิ้งสายโลหิตของตนไว้แต่เนิ่นๆ พลังเทพในร่างนี้จะได้สืบทอดต่อไป แต่นึกไม่ถึงว่าต้องมาพินาศด้วยน้ำมือเจ้า แล้วจะให้ข้ายอมรับได้อย่างไรกัน! สรุปคือวันนี้ไม่เจ้าตาย ก็คือข้าสิ้น!”
เซวียนชิงเห็นอีกฝ่ายคล้ายถูกจิตมารครอบงำแล้ว เขาก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าปะทะ ได้แต่ฝืนเร่งลมปราณแล้วกลับหลังหันออกวิ่งโดยไม่รั้งรอ
จื่ออินมองว่านี่เป็นการกระทำอันสูญเปล่า เขาจึงหัวเราะหยามหยันก่อนจะหลับตาท่องคาถา พอลืมตาขึ้นอีกครา เขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้าของเซวียนชิงแล้ว “ตอนนี้เจ้ามีสภาพสะบักสะบอมเป็นดั่งตะพาบในไห ยังจะมีปัญญาหนีไปที่ใดได้อีก”
สีหน้าของเซวียนชิงซีดเผือด เขาหันหลังหนีไม่ทันแล้ว เพียงเห็นจื่ออินยกสองแขนขึ้น แสงสีขาวสี่สายก็ถูกยิงออกจากแขนเสื้อมาถึงเบื้องหน้าของเซวียนชิง แล้วทะลวงเข้าสู่ข้อมือกับข้อเท้าพอดิบพอดี อาการปวดระบมระลอกหนึ่งแล่นมาพร้อมไอเย็นเฉียบเสียดแทงกระดูก กระแสพลังมหาศาลนั้นผลักให้เซวียนชิงกระเด็นไปทางด้านหลัง จวบจนกระแทกเข้ากับหน้าผาจึงหยุดเคลื่อนที่ ร่างของเขาถูกแสงสีขาวสี่สายนี้ตอกตรึงไว้บนหน้าผาอย่างแน่นหนาแล้ว
เซวียนชิงกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง ลอบตระหนกอยู่ในใจ นี่คือตะปูตรึงวิญญาณ เป็นวิชาบ่อนทำลายดวงจิตที่ก่อความเสียหายต่อทั้งสองฝ่าย ถือเป็นวิชาต้องห้ามของพิภพสวรรค์มานานแล้ว ยามนี้เพื่อจะจัดการเขา จื่ออินถึงขั้นไม่สนใจดวงจิตตนเอง
“สมน้ำหน้านักที่เจ้าหนีมาพิภพมนุษย์ ตอนนี้ที่นี่นอกจากสัตว์อสูรที่ดุร้ายแล้วก็ไร้สิ่งมีชีวิตอื่นอีก ไม่มีใครมาช่วยเจ้าได้แล้ว ข้าจะกักตัวเจ้าไว้ที่นี่ ทรมานให้สาแก่ใจก่อนค่อยฆ่าทิ้ง จะได้ไม่ปล่อยให้เจ้าสบายเกินไป” จื่ออินเหินร่างมาถึงเบื้องหน้าเซวียนชิง ก่อนจะใช้คมกระบี่สะกิดสายคาดเอวของอีกฝ่ายพลางยิ้มหยันและเอ่ยอย่างโหดเหี้ยม “ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มลองความรู้สึกของการสิ้นทายาทดูเสียบ้าง สะบั้นกล่องดวงใจของเจ้าทิ้งก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน”
เซวียนชิงเงยหน้าขึ้นทันใด “ช้าก่อน! ขอเพียงท่านยอมปล่อยข้าไป ข้าจะช่วยท่านตามหามหาเทพบรรพกาลจ่งเสิน* นางควบคุมดูแลการกำเนิดและการขยายพงศ์พันธุ์ของสรรพชีวิต มีนางอยู่ ท่านจะต้องมีทายาทได้อีกแน่!”
จื่ออินพ่นลมขึ้นจมูกอย่างดูแคลน “จ่งเสินก็เป็นแค่ตำนานเล่าขานเท่านั้น เจ้าเห็นข้าเป็นเด็กสามขวบหรือไร!”
“ที่ข้าพูดมานี้ไม่ใช่คำลวงแน่นอน! ข้าได้ยินว่าสรรพชีวิตทุกฝ่ายในสามพิภพต่างก็แอบตามหานางมานานแล้ว!”
“ถุย! ต่อให้จ่งเสินปรากฏตัวขึ้นจริง ดูจากความวุ่นวายของสามพิภพในเวลานี้ ขอเพียงเป็นบุรุษเพศก็ต้องโผล่หัวออกมายื้อแย่งนางกันทั้งนั้น ข้าจะไปมีโอกาสชนะสักเท่าไรเชียว นี่เจ้ากำลังสร้างศัตรูนับพันนับหมื่นให้ข้าอยู่ชัดๆ ช่างคิดคำนวณได้เก่งนักนะ!”
“…”
จื่ออินยกกระบี่ตั้งขึ้นตรงหว่างคิ้ว เริ่มท่องคาถา ฉับพลันก็ชี้กระบี่ไปเบื้องหน้า พาให้ชั้นเมฆม้วนตลบดุจเกลียวคลื่น สีท้องฟ้าขมุกขมัวทันใด หมอกสีดำพุ่งมาจากรอบด้าน นัยน์ตาสีแดงเลือดทั้งคู่ของเขาปรากฏให้เห็นรำไรท่ามกลางหมอกสีดำนั้น
“ไม่ว่าจ่งเสินจะปรากฏตัวขึ้นมาหรือไม่ ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่มีทางยื้อเวลาออกไปได้อีกแล้ว ข้าจะตอนเจ้าทิ้งประเดี๋ยวนี้”
เซวียนชิงถูกหมอกสีดำห่อหุ้มไว้จนไม่อาจขยับเขยื้อน ได้แต่เบิกตามองกระบี่ที่มีไอมารเข้มข้นเล่มนั้นเขี่ยสายคาดเอวของเขาออก ตามติดด้วยหนึ่งกระบี่ที่ทั้งฉับไวและดุดัน กับโลหิตสดๆ ที่อาบท่วม
เขาร้องโหยหวนหนึ่งหน ขณะที่แขนขาทั้งสี่ข้างยังถูกพันธนาการอยู่ ร่างกายโน้มมาข้างหน้า อาภรณ์สีขาวค่อยๆ ถูกเลือดสดย้อมจนแดงฉาน
“ฮ่าๆๆ” จื่ออินจรดกระบี่ยาวลงกับพื้น เปล่งเสียงหัวเราะร่วน ชุดยาวแขนกว้างสีม่วงที่อยู่บนร่างกระพือลมบังเกิดเสียงดังพึ่บพั่บ
เซวียนชิงก้มหน้าหอบหนักไม่หยุด เนิ่นนานถึงข่มกลั้นความเจ็บปวดลงไปได้ เขาช้อนตาขึ้นถลึงจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “เจ้าอำมหิตถึงเพียงนี้ เสียทีที่เป็นถึงเทพระดับสูง!”
“สามพิภพสิ้นระเบียบ พลังชีวิตโรยรา ข้าแม้เป็นเทพโดยกำเนิด แต่สุดท้ายก็ต้องดับสูญไปอยู่ดี เทพเยี่ยงนี้ไม่เป็นก็ช่างปะไร!” เพียงจื่ออินโบกมือ ตะปูตรึงวิญญาณก็เสียบลึกเข้าไปอีก รอยยิ้มของเขาก็ยิ่งเบิกบานสำราญใจขึ้นตามไปด้วย
เซวียนชิงเป็นตะคริวไปทั้งร่าง หลุดเสียงร้องครวญครางออกมาอีกหน ขณะที่เหงื่อกาฬไหลอาบลงมาโซมกาย ดวงตาก็ถลึงจ้องอีกฝ่าย “ข้าถูกเหยียดหยามให้ต้องอัปยศถึงเพียงนี้ ต่อให้ตายอยู่ที่นี่ก็จะไม่ยอมถูกเจ้าทรมานต่อไปเด็ดขาด!” ร่างกายของเขาโน้มไปเบื้องหน้ามากขึ้นพลางออกแรงดึงแขนขา ส่งผลให้ตะปูตรึงวิญญาณสี่ตัวนั้นจมมิดเข้าไปในเนื้อหนัง และทำให้แผ่นหลังของเขาค่อยๆ ผละห่างออกมาจากหน้าผาได้
“อย่าโทษว่าข้าไม่ได้เตือนเจ้าก็แล้วกัน หากยังฝืนให้หลุดจากตะปูตรึงวิญญาณเช่นนี้ เจ้าจะต้องแตกดับทั้งสังขารและดวงจิตเชียวนะ” จื่ออินมองเซวียนชิงเฉกเช่นกำลังดูมดปลวกตัวหนึ่งกระเสือกกระสนเฮือกสุดท้าย
เซวียนชิงไม่ได้ผ่อนแรงเลย ราวกับได้ลืมเลือนความเจ็บปวดไปสิ้นแล้ว ในที่สุดเขาก็หลุดพ้นจากพันธนาการทั้งปวง ร่วงลงบนพื้นพร้อมกับผงฝุ่นที่ลอยฟุ้ง
โลหิตสดๆ ซึมแทรกเข้าสู่ผืนดินที่แตกระแหง ในสายลมคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เสียงแผดร้องของสัตว์ร้ายเริ่มดังมาจากบริเวณที่ห่างไกล เขาฟุบอยู่บนพื้นดุจว่าวที่ขาดวิ่น แม้แต่เสียงครวญครางก็แผ่วโผยจนแทบจะไม่ได้ยิน
จื่ออินก้าวยาวๆ เข้ามาใกล้ ก่อนใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนหน้าของเซวียนชิง แผ่นหลังของเขาโก่งขึ้นหมายจะตะกายลุกขึ้นมา แต่ก็ต้องทรุดลงไปเช่นเดิม สองมือทำได้เพียงจิกนิ้วลงในดินอย่างดุดันเท่านั้น
“จุ๊ๆ เห็นทีคงต้องปล่อยให้เดรัจฉานพวกนั้นได้อิ่มหนำเสียแล้ว วันนี้พวกมันจะได้กินเทพผู้หนึ่งเชียวนะ” หลังจากใช้หนึ่งเท้าเตะเซวียนชิง จื่ออินก็ทะยานร่างขึ้นไปในอากาศ เหยียบขึ้นก้อนเมฆด้วยฝีเท้าที่ซวนเซ “สมใจนัก! สาสมใจเป็นที่สุด! ข้าได้ล้างแค้นเอาคืนจนได้! ฮ่าๆๆๆ” จื่ออินหัวเราะเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง เขาถูกจิตมารครอบงำโดยสมบูรณ์แล้ว ไม่เหลือท่าทางของผู้เป็นเทพอีกแม้แต่น้อย
จวบจนเขาอันตรธานไปท่ามกลางหมู่เมฆ ถึงไม่ได้ยินเสียงหัวเราะอีก
กาลเวลาเคลื่อนคล้อยไปช้าๆ ขณะที่สายลมยิ่งพัดยิ่งกระโชกแรง สีของอาทิตย์อัสดงก็โอบล้อมรอบด้าน ฟ้าดินมีเพียงความสงบเงียบ ประหนึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดอะไรขึ้น
ท่ามกลางความเงียบงันนี้ เซวียนชิงที่นอนจมกองเลือดอยู่พลันขยับเปลือกตา ก่อนจะหลับตาลงรวบรวมสมาธิ ค่อยๆ ถอดดวงจิตของตนออกไปเบื้องนอกทีละนิด
กายเนื้อนี้กำลังจะตายแล้ว เขาต้องรีบถอดดวงจิตกลับคืนสู่ร่างต้นกำเนิดให้ได้ ก่อนที่ดวงจิตนี้จะดับสูญไปพร้อมกับกายเนื้อ
เซวียนชิงรวดร้าวไปทั้งตัว…โดยเฉพาะช่วงล่าง เจ้าเฒ่าสารเลวจื่ออินนั่นถึงกับลงมือหนักเพียงนี้! ยังดีที่กายเนื้อนี้เป็นแค่ร่างแบ่งภาคร่างหนึ่งของข้า มิเช่นนั้นข้าไม่ต้องสิ้นลูกสิ้นหลานไปจริงๆ หรือไร
แม้สภาพการณ์ของสามพิภพในตอนนี้จะไม่ต่างอะไรกับสิ้นลูกสิ้นหลานแล้วก็ตามที…
พูดตามตรงเขาชอบฐานะเซวียนชิงนี้มากทีเดียว เรื่องบางเรื่องหากใช้ร่างแบ่งภาคนี้มาจัดการ ยังง่ายดายกว่าตัวเขาออกหน้าเองมากนัก
เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะไปพบเจอจื่ออินตัวเคราะห์ภัยนี่เสียได้ พ่อลูกคู่นี้เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน เนื้อหนังเป็นเทพทว่าหัวใจเป็นสัตว์ คนพ่อนี่ยิ่งรับมือยากยิ่งกว่าคนลูกเสียอีก ตลอดมาเขากลัวความยุ่งยากเป็นที่สุด บัดนี้ถูกไล่ล่าจนรำคาญเหลือทนแล้วจึงจำใจละทิ้งฐานะนี้ไป
ดวงจิตซึ่งเบาไร้รูปค่อยๆ ผละหลุดจากกายเนื้อ แปรสภาพเป็นอากาศธาตุอันเลือนรางพุ่งตรงสู่ชั้นฟ้า ขณะเดียวกันสองตาของเซวียนชิงก็ค่อยๆ ขาดประกายชีวิต ทว่าก่อนที่สติรับรู้สุดท้ายจะสูญสิ้นไปนั้น ในสายตาพลันปรากฏภาพบางอย่างขึ้นมาเสียนี่
นั่นคือเท้าคู่หนึ่ง…ซึ่งกำลังวิ่งตรงมาหาเขา
เซวียนชิงพยายามยกเปลือกตาขึ้น จนกระทั่งเห็นว่าเจ้าของเท้าที่วิ่งมา ถึงกับเป็นสาวน้อยคนหนึ่ง นางแต่งกายพิลึกคนยิ่ง เรือนผมยาวแผ่สยาย มีเพียงบริเวณหน้าอก ท้อง และร่างกายท่อนล่างที่พันด้วยหนังสัตว์ แผ่นหลังกับสองเท้าเปิดเปลือยเผยผิวพรรณนุ่มเนียนสีขาวหิมะออกมา ดูคล้ายกับเป็นคนป่าอย่างไรอย่างนั้น
สาวน้อยผู้นั้นวิ่งมาถึงเบื้องหน้าแล้วเดินวนรอบๆ ตัวเขา “ถึงกับเป็นคนจริงๆ ด้วย! นานเพียงนี้แล้ว ในที่สุดก็ได้พบเจอคนเป็นๆ เสียที!” นางพลันโน้มกายลงมาสูดดม จากนั้นดวงตากลมโตซึ่งมีนัยน์ตาสีขาวสีดำตัดกันชัดเจนคู่นั้นก็เบิกโตยิ่งกว่าเดิม “โอ๊ะ! ที่แท้ยังเป็นเทพเสียด้วย!”
เซวียนชิงรู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งกว่านางเสียอีก เขายุติการถอดดวงจิตลงชั่วคราว พลางรีบเพ่งฌานสำรวจนางอย่างละเอียด สาวน้อยผู้นี้แม้บนร่างจะมีปราณวิเศษอยู่บ้าง ทว่าในแก่นกระดูกกลับไม่มีอะไรผิดแผก…เป็นมนุษย์ธรรมดาโดยแท้
มนุษย์?!
กายเนื้อของเซวียนชิงถึงขีดจำกัดแล้ว ปากจึงไม่อาจกล่าววาจา ร่างก็ไม่อาจเคลื่อนไหว วิธีที่จะแสดงออกซึ่งความตกตะลึงพรึงเพริดได้จึงมีเพียงใช้นิ้วมือครูดกับผงดินหนหนึ่งเท่านั้น
เป็นไปไม่ได้หรอก ทั่วทั้งสามพิภพไม่อาจให้กำเนิดทายาทรุ่นหลังมาตั้งหนึ่งพันปีแล้ว เทพเซียน มาร ปีศาจ และสัตว์อสูรล้วนแต่มีอายุขัยยืนยาว จึงยังดำรงอยู่มาได้อย่างมั่นคงปลอดภัย แต่มนุษย์ทั้งหลายได้สาบสูญไปจากพิภพมนุษย์นานแล้วนี่ สาวน้อยที่ดูเหมือนเพิ่งจะอายุสิบสี่สิบห้านางนี้จะใช่มนุษย์ได้อย่างไรกัน
“ไม่ง่ายเลยกว่าจะพบใครสักคนที่พูดคุยด้วยได้ จะปล่อยให้เจ้าตายไม่ได้เชียว” สาวน้อยพึมพำพลางย่อกายลง จากนั้นก็กัดนิ้วมือของตนเองจนได้แผล แล้วยัดเข้ามาในปากของเขา
เซวียนชิงสัมผัสกับเลือดของนางโดยไม่ทันตั้งตัว ที่น่าแปลกก็คือร่างกายของเขารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอันเด่นชัดในทันที มิใช่แค่ลมหายใจที่ปลอดโปร่ง กระทั่งเนื้อตัวก็มีเรี่ยวแรงขึ้นมา สติรับรู้ยิ่งแจ่มใสขึ้นมาก แม้แต่ปากแผลก็ไม่หลั่งเลือดออกมาแล้ว
อาการบาดเจ็บที่เกิดจากตะปูตรึงวิญญาณนั้น แม้แต่เทพเซียนยังต้องจนปัญญา ไม่นึกเลยว่าเลือดของมนุษย์ธรรมดาเช่นนางกลับมีสรรพคุณถึงเพียงนี้ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ซาบซึ้งใจแต่อย่างใด ร่างแบ่งภาคยิ่งอ่อนแอสิถึงจะยิ่งส่งผลดีต่อการถอดดวงจิต การที่นางช่วยเขาเท่ากับมีเจตนาดีแต่ทำให้เป็นเรื่องร้ายโดยแท้!
สาวน้อยนางนี้ยังกวาดตาผ่านช่วงล่างของเขาไปแวบหนึ่ง ดูเหมือนนางจะรู้สึกเสียดายยิ่ง “เจ้าช่างน่าอนาถเสียจริง จนใจที่ข้าเทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว ได้แต่กล้อมแกล้มช่วยต่อชีวิตให้เจ้าเท่านั้น” นางชักนิ้วมือกลับมาปาดเช็ดให้เลือดแห้ง ก่อนจะจัดอาภรณ์ให้เขาจนเข้าที่เข้าทาง ทั้งรัดสายคาดเอวให้เป็นอย่างดี “นี่ เจ้าหนู ดีขึ้นบ้างหรือยังล่ะ”
มีชีวิตอยู่มาก็หลายพันปีแล้ว นี่นับเป็นครั้งแรกที่เซวียนชิงถูกเรียกขานว่า ‘เจ้าหนู’ มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังเป็นเพียงสาวน้อยเช่นนี้ด้วย เขานึกขันอยู่ในใจ ทว่าติดขัดที่ตนเองบาดเจ็บสาหัสและตอบสนองใดๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น
สาวน้อยไม่ได้รับคำตอบจึงเบะปาก นางนั่งลงกับพื้นแล้วเท้าคางมองเขา “ข้าต้องคิดดูสักหน่อยว่าควรจะจัดที่ทางให้เจ้าอย่างไรดี”
แม้เซวียนชิงจะสนใจใคร่รู้ในตัวสาวน้อยนางนี้อย่างเต็มเปี่ยม ทว่าฤทธิ์ของตะปูตรึงวิญญาณยังคงอยู่ เรื่องเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้จึงต้องกลับคืนสู่ร่างต้นกำเนิดโดยไว อีกอย่างเขาก็ยังมีหน้าที่บนสวรรค์ติดตัวอยู่ด้วย
เซวียนชิงเพิ่งจะรวบรวมสมาธิร่ายอาคม เสียงสัตว์คำรามก็พลันดังมาแต่ไกล สาวน้อยกระโดดพรวดขึ้นทันควัน เหลียวมองไปสี่ทิศรอบหนึ่งอย่างตื่นตัว จากนั้นจึงโน้มกายลงมาหิ้วร่างเขาลุกขึ้นในคราวเดียว
“สัตว์อสูรกำลังจะมาที่นี่แล้ว ไปกันเร็ว!”
เซวียนชิงไม่ได้อยากจะไปด้วยเลยสักนิด แต่นึกไม่ถึงว่าสาวน้อยรูปร่างผอมบางดูอ่อนแอผู้นี้กลับมีพละกำลังใช้ได้ นางถึงกับกึ่งพยุงกึ่งลากเขาไปเช่นนี้ พาวิ่งหนีเข้าไปในทิวเขาที่อยู่ด้านหลัง ระหว่างทางเซวียนชิงยังคงลองถอดดวงจิตตนเองต่อ แต่จนใจที่พื้นขรุขระตลอดทาง ทำให้ยากจะมีสมาธิจดจ่อได้จริงๆ เขาได้แต่จำใจเลิกล้มไปชั่วคราว
หลังตัดผ่านช่องเขาแคบช่องหนึ่ง จนกระทั่งอ้อมมาถึงด้านข้างของหน้าผา เซวียนชิงก็เห็นเถาวัลย์เส้นหนึ่งห้อยคาอยู่ตรงนั้น สาวน้อยผูกเขาเข้ากับเถาวัลย์ ส่วนนางก็ใช้ทั้งมือและเท้าปีนป่ายตามเถาวัลย์เส้นนั้นขึ้นไปข้างบนก่อน จากนั้นจึงค่อยดึงเขาตามขึ้นไป ที่แท้ข้างบนนี้ก็ยังมีถ้ำอยู่อีกแห่งหนึ่ง
ขณะถูกดึงตัวขึ้นมา ร่างของเซวียนชิงก็กระแทกครูดกับหินไปหลายหน ร่างกายที่เพิ่งจะดีขึ้นเล็กน้อยจึงเริ่มเจ็บปวดขึ้นมาอีก เขานอนอยู่ที่หน้าปากถ้ำโดยไม่อาจเคลื่อนไหว ครั้นกลอกลูกตาไปมองสาวน้อยนางนั้น ก็เห็นนางนอนหมดเรี่ยวสิ้นแรงอยู่บนพื้น กำลังหอบหายใจไม่หยุด ที่แท้นางก็รู้จักเหนื่อยเป็นเช่นกัน
กระทั่งเสียงสัตว์คำรามที่เบื้องล่างดังประชิดเข้ามาทุกที สาวน้อยถึงค่อยลุกขึ้นไปที่หน้าปากถ้ำ เก็บเถาวัลย์เส้นนั้นกลับมาอย่างคล่องแคล่วแล้วถือโอกาสมองสำรวจไปเบื้องล่างปราดหนึ่ง
เซวียนชิงเอียงศีรษะมองไปเบื้องล่างบ้าง บริเวณเมื่อครู่ที่พวกเขาอยู่นั้นยังเหลือคราบโลหิตกองโตซึ่งแห้งกรังเป็นสีน้ำตาลไปนานแล้ว สัตว์อสูรขนาดมหึมาหลายตัวกำลังกลุ้มรุมเลียพื้นบริเวณนั้นอยู่ ลักษณะของแต่ละตัวล้วนพิสดารยิ่ง
เซวียนชิงหลับตาลงด้วยฤทธิ์ของตะปูตรึงวิญญาณกำเริบขึ้นอีกครา เขาประคองร่างต่อไปไม่ไหวแล้ว
“เฮ้อ เป็นมนุษย์นี่ช่างน่าหงุดหงิดยิ่งนัก ในยามเช้าไม่อาจคาดเดาถึงความเป็นไปในยามค่ำจริงๆ” สาวน้อยบ่นเสียงค่อยหนึ่งประโยค ก่อนจะหันมาเห็นเซวียนชิงที่มีสีหน้าเขียวคล้ำ นางจึงรีบขยับเข้ามาใกล้ ประคองใบหน้าของเขามาสังเกตอย่างละเอียด ก่อนจะออกแรงจิกเล็บไปที่ปลายนิ้วหนึ่งหน ครั้นจุดที่ก่อนหน้านี้ถูกกัดเป็นแผลค่อยๆ มีเลือดซึมออกมาอีก นางก็ยกมือข้างนั้นขึ้นวาดขีดหลายขีดไปบนหน้าผากเซวียนชิงอย่างว่องไว
รอยเลือดหลายขีดนั้นสลับซับซ้อน ประกอบขึ้นกลายเป็นรูปอันแปลกประหลาด ก่อนจะเร้นหายไปในหน้าผากอย่างรวดเร็ว
เซวียนชิงลืมตาขึ้นมองนางพร้อมหัวคิ้วที่กระตุก
สาวน้อยดูดปลายนิ้วหนึ่งหนแล้วยิ้มเล็กน้อย “เจ้าหนู อาการบาดเจ็บของเจ้าช่างแปลกประหลาดจริงๆ ข้าจึงต้องใช้วิชาหุ่นเวทเพื่อช่วยเหลือเจ้า ข้าชื่อว่าเฟิงจง เจ้าจำไว้ให้ดีล่ะ นับแต่นี้ไปข้าจะช่วยต่อชีวิตให้เจ้า ถือเสียว่าเป็นการแลกเปลี่ยน ส่วนเจ้าก็มาเป็นหุ่นเวทของข้าแล้วกัน”
หืม? เซวียนชิงนึกว่าตนเองฟังผิดไป สาวน้อยที่เป็นมนุษย์เดินดินคนหนึ่งถึงกับประกาศว่าจะให้เทพสวรรค์เช่นข้ามาเป็นหุ่นเวทเชียวหรือ นี่เจ้านึกว่ามนุษย์สามารถบงการเทพได้จริงหรือไร
“ไม่ส่งเสียงก็ถือว่าเจ้าเห็นด้วยแล้วนะ”
เลิกก่อกวนได้แล้ว ตอนนี้ข้ายังพูดไม่ได้ต่างหาก
“อืม เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้!”
“…”
มนุษย์ล้วนยำเกรงเทพเซียนเสมอมา แต่เห็นได้ชัดว่าเฟิงจงผู้นี้ไม่จัดอยู่ในกลุ่มนี้แต่อย่างใด
ประเสริฐนัก! มนุษย์เอ๋ย เจ้าดึงดูดความสนใจของเทพเช่นข้าสำเร็จแล้ว!
ไม่นานผืนฟ้าก็มืดสนิท เบื้องนอกลมแรงโหมกระโชก สัตว์อสูรประสานเสียงแผดร้อง สภาพอากาศของพิภพมนุษย์ในปัจจุบันนี้นึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน กระทั่งฤดูกาลทั้งสี่ก็ไม่อาจแยกแยะได้แล้ว
เฟิงจงย้ายเถาวัลย์หลายเส้นมาขวางบังปากถ้ำไว้ก่อนจะก่อกองไฟ จากนั้นเพื่อแสดงการต้อนรับอันเป็นการให้เกียรติ เพราะเขาจะมาเป็นแขนซ้ายขวาให้กับนางในวันข้างหน้า นางจึงรองหนังสัตว์หนึ่งผืนเพิ่มไว้ใต้ร่างของเขาเป็นพิเศษ พร้อมทั้งป้อนเลือดให้เขาด้วยอีกคำหนึ่ง
ทุกครั้งที่เซวียนชิงได้รับเลือดของนาง ร่างกายเขาก็จะมีอาการดีขึ้นเสมอ ทว่าจนใจที่อีกไม่นานดวงจิตของเขาก็จะต้องถูกตะปูตรึงวิญญาณทำลายล้างจนแตกดับไปอยู่ดี ดังนั้นหากไม่อาจกลับคืนสู่ร่างต้นกำเนิดโดยเร็ว ร่างแบ่งภาคนี้ก็จะกลายเป็นเปลือกที่ไร้จิตวิญญาณร่างหนึ่ง ขณะเดียวกันดวงจิตในร่างต้นกำเนิดของเขาก็จะไม่มีวันครบสมบูรณ์ไปตลอดกาล
ทว่าเฟิงจงกลับไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องนี้สักนิด นางยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ใส่ใจยิ่ง “วางใจได้ ติดตามข้าแล้ว เจ้าก็ต้องอยู่รอดต่อไปได้แน่นอน”
เซวียนชิงไม่อาจเอ่ยปาก หรือต่อให้เขาเอ่ยปากได้ก็ไม่อาจบอกความจริงเรื่องนี้กับนางอยู่ดี เขาจึงทำเพียงหลับตามุ่งมั่นกับการถอดดวงจิตต่อไป
แปลกจริงๆ เดิมทีก็ยังถอดดวงจิตได้อยู่เลย เหตุใดตอนนี้ลองมาตั้งหลายครั้งแล้วกลับไม่สำเร็จเสียทีเล่า ดวงจิตคล้ายกับถูกอะไรบางอย่างพันธนาการไว้อย่างแน่นหนา ไม่ว่าทำอย่างไรเซวียนชิงก็ไม่อาจถอดดวงจิตออกจากร่างนี้ได้ มิหนำซ้ำเขายังรู้สึกเจ็บแปลบแสบร้อนตรงหน้าผากทุกครั้งที่พยายามจะถอดดวงจิตด้วย
เขาลืมตาขึ้นทันใด จับจ้องเฟิงจงเขม็ง…หรือเมื่อครู่ที่นางใช้เลือดวาดก็คือยันต์หุ่นเวท?
เฟิงจงย่อมไม่อาจล่วงรู้ถึงส่วนลึกในใจเซวียนชิงที่กำลังปั่นป่วนอย่างหนัก นางล้มตัวลงนอนข้างๆ กองไฟเรียบร้อยแล้ว อาหารที่ก่อนหน้านี้นางออกไปเสาะหามาล้วนสูญหายไปขณะหลบหลีกสัตว์อสูร ยามนี้ในท้องของนางจึงว่างโหวง ได้แต่ใช้การนอนมากลบเกลื่อนความรู้สึกหิวโหยไป ทุกคราที่ถึงเวลาเช่นนี้ นางเป็นต้องสะท้อนใจให้กับความแตกต่างระหว่างการเป็นเทพและมนุษย์อยู่เสมอ
ไม่นานมานี้เอง เมื่อนางตื่นขึ้นมาจากนิทราตลอดหลายพันปีอย่างงุนงง มหาเทพบรรพกาลผู้เป็นที่เคารพนับถือของสามพิภพเช่นนางก็กลายเป็นมนุษย์อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะมัดไก่เสียแล้ว ซ้ำร้ายร่างกายยังกลับมาสู่วัยแรกรุ่น เหลือเพียงพลังวิเศษอันน้อยนิดที่ตกค้างอยู่ในสายเลือดเท่านั้น
และที่น่าสังเวชใจยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ…พิภพมนุษย์ซึ่งแต่เดิมควรรุ่งเรืองเฟื่องฟูถึงกับเปลี่ยวร้างไปแล้ว กระทั่งมนุษย์เป็นๆ สักคนยังไม่มี มีแต่สัตว์อสูรดุร้ายที่มาอยู่ในพิภพมนุษย์
วันนี้สามารถเก็บเทพน้อยผู้นี้ได้ก็ถือเป็นวาสนา เฟิงจงไม่รู้สาเหตุที่เขาบาดเจ็บ รู้เพียงว่าเขาบาดเจ็บสาหัสยิ่งนัก ทั้งยังตัวคนเดียวไม่มีใครไยดี หากนางไม่ยื่นมือช่วย เขาจะต้องแตกดับทั้งสังขารและดวงจิตเป็นแน่ ยันต์หุ่นเวทที่นางวาดไว้บนหน้าผากเขาก็คือกุญแจสำคัญในการต่อชีวิต วิชาหุ่นเวทที่มีมาแต่บรรพกาลนี้สามารถทำให้เลือดของนายผู้เลี้ยงหุ่นเวทกับดวงจิตของหุ่นเวทค่อยๆ หลอมรวมเข้าด้วยกัน มีแต่ทำเช่นนี้ถึงจะรักษาชีวิตเขาไว้ได้
บัดนี้นางเป็นเพียงมนุษย์ อันที่จริงไม่สมควรสิ้นเปลืองโลหิตทิพย์ของตนมากเกินไป ทว่าเมื่อตรองดูแล้ว หากมีเทพน้อยผู้นี้คอยช่วยเหลืออยู่ด้านข้าง นางย่อมมีหวังที่จะฟื้นฟูพลังเทพได้ในเร็ววัน ถึงตอนนั้นนางก็จะมีกำลังแก้ไขสถานการณ์ของพิภพมนุษย์ให้ดีขึ้นได้ การได้พบเจอเทพน้อยผู้นี้คงจะเป็นลิขิตของมหาเทพหนี่ว์วา กระมัง
เฟิงจงเพ่งมองหุ่นเวทผู้นี้ผ่านกองไฟที่คั่นอยู่ตรงกลาง ก่อนจะหลับตาลงอย่างพึงพอใจ
ลมแรงพัดคำรามตลอดราตรี จวบจนยามฟ้าสางพอเห็นแสงตะวันหลังเมฆครึ้มได้แล้วถึงค่อยสงบ
เฟิงจงตื่นเช้ายิ่ง ทว่าพอลืมตากลับเห็นหุ่นเวทขัดสมาธิเข้าฌานอยู่ข้างกองไฟที่ดับมอดแล้ว เขาดูจดจ่อกระทั่งหัวคิ้วยังขมวดแน่น ไม่รู้เช่นกันว่าเป็นเพราะเหตุใด
นางขยี้ใบหน้าหนหนึ่ง แล้วกุมท้องที่ร้องโครกครากพลางลุกขึ้นยืน “จากท่าทางของเจ้าคงจะใช้พลังเทพได้แล้วสินะ ข้าหิวแล้ว เจ้าไปหาของกินมาสักหน่อยน่าจะพอได้กระมัง”
เซวียนชิงลืมตาขึ้นมองนาง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปทางปากถ้ำ แม้การเคลื่อนไหวยังเชื่องช้าอยู่บ้าง แต่เทียบกับเมื่อวานแล้วกลับดีกว่าไม่รู้ตั้งเท่าไร
เฟิงจงช่วยย้ายเถาวัลย์ที่ขวางบังปากถ้ำออกให้เขา ยามที่มองส่งเขาเหาะเหินออกไป หัวใจนางก็ท่วมท้นด้วยความปลาบปลื้ม…เขาเป็นผู้ช่วยให้ข้าได้จริงๆ ด้วย!
ทว่าเซวียนชิงใจดีจนออกไปหาของกินให้นางเสียเมื่อไรเล่า
ตลอดทั้งคืนเขาไม่ได้นอนเลยสักนิด ทั้งที่พยายามฝ่าทลายพันธนาการอยู่ครึ่งค่อนคืน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังถอดดวงจิตไม่สำเร็จ แม้เขาสามารถเรียกให้ร่างต้นกำเนิดมาดึงดวงจิตถึงที่นี่เลยก็ได้ แต่หากพลังกักกันตรงหน้าผากนี้ยังไม่ถูกขจัด เกรงว่าคงจะมาเสียเที่ยวอยู่ดี สุดท้ายเนื่องจากอับจนหนทางแล้วจริงๆ เขาจึงตัดสินใจออกไปทรมานสังขาร รนหาที่ตายดูสักครั้งเสียเลย รอให้ลมหายใจรวยรินเป็นคำรบสอง ดวงจิตก็น่าจะหลุดออกจากร่างได้กระมัง!
เฟิงจงรอคอยอยู่ในถ้ำภูเขานานแล้วก็ยังไม่เห็นเขากลับมา นางท้องว่างจนรู้สึกหิวกระสับกระส่าย กระทั่งทนไม่ไหวอีกแล้วจึงได้ตัดสินใจออกไปตามหาเขา
เวลานี้เบื้องนอกฟ้าครึ้มจนแทบไม่เห็นดวงตะวันเผยโฉม นางจรดนิ้วทำมุทรา แล้วเดินมุ่งหน้าไปตามทิศทางที่สัมผัสกับจิตของหุ่นเวทได้ กระนั้นเฟิงจงก็รู้สึกได้ว่านางกำลังอยู่ห่างไกลจากเขามากขึ้นทุกที
เจ้าหนูนี่เป็นเทพไม่ใช่หรือไร เทพก็หลงทางกันด้วยหรือนี่
รอจนออกจากทิวเขาอันเป็นสถานที่ซ่อนกายแห่งนั้นแล้ว ทิวทัศน์เบื้องหน้าก็เปิดโล่งขึ้นเรื่อยๆ ภาพที่เห็นล้วนเป็นทุ่งร้างกว้างจนสุดสายตา เพื่อป้องกันภัยที่อาจจู่โจมเข้ามากะทันหัน เฟิงจงจึงเดินระมัดระวังยิ่ง นอกจากเสียงจ๊อกๆ ที่ดังมาจากท้องของนางเป็นระยะแล้วก็แทบปราศจากเสียงอื่นใด
หลังเวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ* เมื่อเบื้องหน้าสายตาปรากฏแอ่งลาดต่ำแห่งหนึ่ง เฟิงจงถึงได้หยุดฝีเท้า
มองดูก็รู้ว่าแต่เดิมแอ่งลาดต่ำแห่งนี้คือทะเลสาบที่ลึกจนไม่เห็นก้นบึ้ง ทว่ายามนี้กลับแห้งขอดจนเห็นได้ถึงก้นทะเลสาบ แอ่งทรงกลมขนาดใหญ่ปานนี้กลับเหลือน้ำอยู่เพียงน้อยนิดตรงใจกลาง รอบๆ แอ่งก็มีต้นไม้ขึ้นหร็อมแหร็มอยู่แค่ไม่กี่ต้น ทั้งสภาพยังร่อแร่ดูสีเหลืองๆ เขียวๆ ใช้เพียงมือคู่เดียวก็นับผลที่ติดอยู่บนต้นไม้เหล่านั้นได้ครบแล้ว
ยามนี้เจ้าหนูนั่นก็กำลังยืนเหม่อมองฟ้าอยู่บนยอดไม้ต้นที่สูงที่สุดนั้นเอง
เฟิงจงหิวโหยมากแล้ว นางรีบเขย่งเท้าเด็ดผลไม้ที่มีอยู่ไม่กี่ลูกจากบนต้นแล้ววิ่งไปที่ริมน้ำ ล้างผลไม้เพียงลวกๆ ก็จับยัดเข้าปากไปทั้งหมด
หลังกินเสร็จจึงนับว่าค่อยยังชั่วขึ้นหน่อย นางเดินกลับไปที่ใต้ต้นไม้ แหงนหน้ามองเซวียนชิง “นี่ เจ้าหนู ไหนตกลงกันว่าจะมาหาของกินมิใช่หรือ แล้วเจ้ามายืนตัวเปื้อนคราบเลือดอยู่บนยอดไม้นี่เพื่ออะไร”
เซวียนชิงไม่ได้แยแสนาง ยังคงมองฟ้าโดยไม่ส่งเสียง
เฟิงจงต้องทนหิวมานานเช่นนี้ นางย่อมเข้าใจว่าเขามีเจตนากลั่นแกล้งจึงไม่แคล้วมีโทสะ “ยังไม่ลงมาอีก!” เสียงพูดเพิ่งจะขาดคำ บนใบหน้าของสาวน้อยก็พลันรู้สึกเย็นวูบ นางยกมือลูบสัมผัสเย็นบนใบหน้าทันใดและพบว่านั่นถึงกับเป็นเลือด ครั้นมองขึ้นไปด้านบน จึงเห็นว่าบนมือของเขาเหมือนจะเป็นแผล ยามนี้ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตสดๆ กำลังไหลเป็นหยดๆ ลงมาเบื้องล่าง
“รีบลงมาให้ไว! สัตว์อสูรโปรดปรานคาวเลือดเป็นที่สุด ขืนเจ้ายังยืนเฉยเช่นนี้ต่อไป แล้วชักนำให้พวกมันแห่กันมาจะทำอย่างไรเล่า!”
ร่างแบ่งภาคจะมีลักษณะท่าทางที่เป็นเฉพาะตัว แม้ยังคงไว้ซึ่งความคิดจิตใจของร่างต้นกำเนิด ทว่ากิริยาวาจาที่แสดงออกมานั้นกลับแตกต่างกันมากทีเดียว เซวียนชิงเป็นหนุ่มน้อยผู้มีความอ่อนโยน ต่อให้ยามนี้ในใจกลัดกลุ้มรุ่มร้อนเพียงใด เขาก็ทำแค่มองนางเงียบๆ ด้วยใบหน้าที่ไร้สีเลือดแล้วเท่านั้น
สาเหตุที่เขายืนอยู่สูงลิบลิ่วเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้นางยื่นมือมาช่วยได้อีก คนโง่งมน่ะสิถึงจะลงไป!
เฟิงจงถูกสายตาของเขาจ้องมองเสียจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ขณะจะเอ่ยปากอีกครั้งนางก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ดูเหมือนรอบด้านจะเงียบงันผิดปกติอยู่บ้าง
สาวน้อยหันหน้ากวาดมองไปทั่วอย่างช้าๆ กระทั่งพบว่าห่างออกไปสามจั้ง เศษมีเถาอู้ ขนาดใหญ่มากตัวหนึ่งหมอบอยู่หลังต้นไม้ มันมีขนยาว กรงเล็บดุจพยัคฆ์ นัยน์ตาสีแดง ปากสีโลหิต เขี้ยวอันน่าพรั่นพรึงยาวโง้งออกมาเบื้องนอก ดูท่าคงลอบประชิดเข้ามานานแล้ว และพร้อมกระโจนออกมาได้ทุกเวลา
เถาอู้เป็นสัตว์ร้ายบรรพกาล ไม่ได้เคลื่อนไหวในพิภพมนุษย์มานานมากแล้ว บัดนี้พิภพมนุษย์ปราศจากผู้คน มันจึงออกมาอวดเบ่งอีกครา หากเป็นเมื่อก่อนเจ้าตัวปลายแถวนี่กระทั่งจะมาเป็นสัตว์เลี้ยงของนางก็ยังไม่เข้าตาเลยด้วยซ้ำ ทว่ายามนี้นางเป็นแค่มนุษย์เดินดิน กลายเป็นต้องร้องขอชีวิตอยู่ใต้กรงเล็บอันคมกริบของมันเสียแล้ว
เฟิงจงถอยหลังไปอย่างระมัดระวัง มือซ้ายไพล่หลังเพื่อทำมุทรา ปากก็ท่องคาถาเรียกตัวหุ่นเวท
ในที่สุดเซวียนชิงก็กระโดดพลิ้วลงมาอยู่เบื้องหน้านาง ทว่ากลับทำเพียงมองนางเรียบๆ ปราดหนึ่งแล้วนั่งลงขัดสมาธิ
นี่เขากำลังบอกนางอยู่ว่า…เขาไม่ได้ตกอยู่ในการควบคุมของนางสักนิด นางควรตื่นจากฝันเรื่องหุ่นเวทนั่นเสียแต่เนิ่นๆ เถิด รีบหนีเอาชีวิตรอดไว้ก่อนสำคัญกว่า ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่คิดจะต่อกรกับเถาอู้เลยด้วย เดิมทีดวงจิตในร่างแบ่งภาคนี้ก็เป็นเพียงเสี้ยวดวงจิตในร่างต้นกำเนิด อีกทั้งก่อนหน้านี้เขาก็ได้ถอดดวงจิตส่วนใหญ่ของร่างเซวียนชิงกลับไปรวมกับร่างต้นกำเนิดแล้ว ตอนนี้ดวงจิตในร่างนี้เหลืออยู่ไม่มากนัก คิดจะต่อกรกับสัตว์ร้ายบรรพกาลระดับนี้มีโอกาสชนะแน่เสียเมื่อไร
สรุปคือเขามุ่งหวังเพียงได้ตายอย่างสงบ ฉะนั้นจงอย่าได้มาขัดขวางเขาเชียว
ทว่าจนใจที่เถาอู้สัตว์ร้ายบรรพกาลตัวนี้กลับเลือกจู่โจม แม้บนร่างเฟิงจงจะมีเนื้ออยู่ไม่ถึงสองตำลึง แต่กลิ่นหอมหวนซึ่งแผ่ซ่านมาจากพลังวิเศษบนร่างของนางก็ยังน่าเย้ายวนเกินต้านทาน ความสนใจทั้งหมดของมันจึงไปรวมอยู่ที่ร่างของมนุษย์ผู้นี้ และมองเมินเทพอย่างเซวียนชิงโดยสิ้นเชิง
เฟิงจงเครียดเกร็งไปทั้งร่าง นางจรดนิ้วทำมุทราจนจวนจะห้อเลือดอยู่แล้ว ปากก็ท่องคาถาไปหลายต่อหลายรอบ ทว่าหุ่นเวทกลับยังคงนั่งนิ่งไม่สะทกสะท้าน ไม่มีการตอบสนองใดเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังยื่นมือที่บาดเจ็บไปกวักเรียกเถาอู้ให้เข้ามาเสียอีก ท่าทางราวกับอยากจะให้มันรีบปรี่เข้ามาขย้ำเขาอย่างไรอย่างนั้น
สาวน้อยกัดฟันถอยหลังติดกันไปหลายก้าว พอเถาอู้เห็นนางขยับ มันก็กระโจนเข้ามาใกล้แล้วแผดเสียงคำรามลั่นหนหนึ่ง เสียงนั้นประหนึ่งวายุคลั่งโหมเข้าใส่ สะท้านสะเทือนจนแก้วหูแทบดับ
เฟิงจงฝืนอดทนเอาไว้ นางถึงได้ยังไม่หนีเตลิด เพราะต่อให้นางวิ่งจนสุดฝีเท้าก็หนีไม่พ้นอยู่ดี ขณะที่ดวงตาของนางมองดูเดรัจฉานตัวนั้นขยับใกล้เข้ามาทุกขณะ หัวใจก็รัวกระหน่ำดั่งย่ำกลอง
หรือว่าวันนี้ข้าจะต้องฝังร่างอยู่ที่นี่เสียแล้ว?
ครั้งนั้นมหาเทพหนี่ว์วาทำให้นางถือกำเนิดขึ้นด้วยการชโลมวิสุทธิ์โลหิตไปยังเมล็ดพันธุ์ จากนั้นยังประทานชื่อและพลังเทพแก่นาง เพื่อให้นางทำหน้าที่ปกปักรักษาความอุดมสมบูรณ์ของพลังชีวิตในพิภพมนุษย์
‘นับแต่นี้เมื่อมีเจ้าอยู่ก็จะมีพลังชีวิต ใต้หล้าก็จะมีความหวัง’ จวบจนบัดนี้นางก็ยังจดจำถ้อยคำที่มหาเทพหนี่ว์วาเคยกล่าวกับนางไม่ต่ำกว่าหนึ่งหนนี้ได้
ทว่ายามนี้นางกลับต้องมาอยู่ในสภาพตกอับเช่นนี้เสียแล้ว พลังชีวิตในพิภพมนุษย์อยู่ที่ใด ความหวังเล่าอยู่แห่งหนใด กระทั่งหุ่นเวทนางก็ยังไม่มีปัญญาจะควบคุมเลยด้วยซ้ำ!
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่ามหาเทพบรรพกาลจ่งเสินผู้เกรียงไกรเช่นข้าจะต้องสิ้นชื่อถูกกลืนเข้าปากของเจ้าเดรัจฉานตัวนี้!” นางกัดนิ้วอย่างแรงราวกับไม่คำนึงถึงสิ่งใดอีกแล้ว จากนั้นก็ชี้นิ้วไปเบื้องหน้าทันที “ลุกขึ้น!”
เมื่อโลหิตสดๆ จากปลายนิ้วหยดสู่ผืนดิน ต้นกล้าต้นหนึ่งซึ่งถูกกระตุ้นให้งอกออกมาก็ลู่ไหวไปมากลางสายลม พร้อมกันนั้นเงาร่างสีขาวที่อยู่เบื้องหน้าสายตาของเฟิงจงก็ขยับวูบ เซวียนชิงพลันลุกพรวดขึ้น ในมือของเขาเสกกระบี่ยาวแล้วผ่าใส่เถาอู้โดยไม่รั้งรอ
เสียงแผดร้องสะท้านฟ้าพลันดังติดตามมา เถาอู้ไม่ได้เห็นเซวียนชิงเป็นเป้าหมายแม้แต่น้อย ดังนั้นกระบี่นี้จึงไม่พบเจออุปสรรคใด สามารถผ่าตรงจากหน้าอกจรดท้องของมันได้ในทีเดียว กรีดเปิดเป็นแผลยาวราวสามฉื่อเศษ โลหิตสดๆ ทะลักออกมา กระเซ็นเปรอะทั่วร่างของทั้งสอง
เถาอู้คำรามก้องด้วยความเจ็บปวดพลางตวัดอุ้งเท้ามาหนึ่งข้าง เซวียนชิงถูกตะปบจนล้มกระแทกพื้น หอบเอาฝุ่นฟุ้งขึ้นมาระลอกหนึ่ง
หลังจากรีบใช้หนึ่งกระบี่คุกคามเถาอู้ให้ถอยห่างไป เซวียนชิงก็ดีดตัวขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็วแล้วยกมือลูบหน้าผากในทันที เมื่อครู่ตรงนี้เริ่มเจ็บแปลบแสบร้อนขึ้นมาอีกแล้ว ถัดจากนั้นการเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่ได้อยู่ในความควบคุมของตนเองอีก ยามนี้เมื่อเทียบกับความเจ็บแล้ว เขากลับรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริดยิ่งกว่า
เมื่อครู่นางพูดว่าอะไรนะ…จ่งเสิน?
เฟิงจงกลับหลังหันออกวิ่งไปไกลนานแล้ว ครู่ก่อนตอนที่เดินมานางสังเกตเห็นว่าบริเวณไกลออกไปมีซากหอซึ่งพังถล่มลงมา ตรงนั้นมีหินกองเกลื่อนกลาดอยู่เป็นจำนวนมาก บางทีอาจพอให้ใช้ประโยชน์อะไรได้
เถาอู้จดจำบัญชีแค้นนี้ในใจ แล้วไล่กวดไปทางนางโดยไม่รอช้า
สาวน้อยรีบทำมุทราท่องคาถา เซวียนชิงจึงต้องรุดตามหลังเถาอู้มาติดๆ ก่อนจะเหาะร่อน ลงบนแผ่นหลังของมันแล้วแทงหนึ่งกระบี่เข้าที่กลางหลัง
ในใจเฟิงจงพลันยินดีปรีดา เพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้เซวียนชิง นางจึงวิ่งหลอกล่อเถาอู้อยู่ด้านหน้าต่อไป
เถาอู้เดือดดาลอย่างมาก เสียงคำรามเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหอบกระชั้นดังโฮกฮาก ฟังแล้วชวนสะพรึงยิ่งกว่าเดิม เพียงแค่มันสะบัดศีรษะแรงๆ ก็สลัดเซวียนชิงที่อยู่บนแผ่นหลังให้กระเด็นออกไปได้แล้ว ทั้งยังส่งเขาให้ร่วงมาตกอยู่ด้านหน้าของเฟิงจงอีกด้วย
เซวียนชิงครางแผ่วในลำคอ เขาเพิ่งจะใช้กระบี่หยัดกายยืนขึ้น อาการบาดเจ็บเดิมก็กำเริบซ้ำเติม บีบให้เขาต้องกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง รอจนเขาเงยหน้าขึ้นมาก็รีบมองไปทางเฟิงจงทันที
เฟิงจงตระหนักได้แล้วว่าครู่ก่อนเขาหมายจะฆ่าตัวตาย ในใจนางจึงเปี่ยมด้วยโทสะ มองเมินเขาแล้ววิ่งต่อไปข้างหน้าเสียเลย
กลางหลังของเถาอู้ได้รับบาดเจ็บจึงส่งผลให้การเคลื่อนไหวเชื่องช้าลงไม่น้อย ร่างก็ส่ายโคลงเคลงราวกับจะล้มลงได้ทุกเมื่อ กระนั้นมันก็ยังไล่ล่าเฟิงจงไม่เลิกรา ดวงตาสีแดงฉานทั้งคู่ดูคล้ายหมายมั่นจะถลกหนังกลืนกินนางทั้งเป็นให้จงได้
ในที่สุดเฟิงจงก็วิ่งเข้ามาถึงใจกลางกองหินที่หมายตาไว้ ประตูทรงโค้งที่ตั้งตระหง่านอยู่หนึ่งเดียวในบริเวณนั้นยังคงอยู่ นางจงใจผ่อนความเร็วลงเล็กน้อย รอจนตอนที่เถาอู้จวนจะไล่ตามนางมาทันก็รีบท่องคาถา เซวียนชิงที่ถูกเรียกตัวก็มาถึงตรงหน้านางในทันที แล้วโอบพานางลอดผ่านประตูทรงโค้งนั้นไปอย่างรวดเร็ว
เถาอู้ย่อมพุ่งตามหลังมาติดๆ ทว่ารูปร่างของมันไม่อาจนำมาเปรียบกับสองคนของฝ่ายนางได้ ทันทีที่มันฝ่าเข้าประตูทรงโค้ง ร่างก็ติดอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าจะรุกขึ้นหน้าหรือถอยหลังล้วนไม่เป็นผล มีแต่ทำให้ปากแผลบนกลางหลังถูกกดจนเลือดสดๆ ไหลพราก มันดิ้นเร่าคำรามลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยว หวิดจะทำให้ประตูทรงโค้งนี้แตกเป็นเสี่ยงๆ อยู่รอมร่อ
เฟิงจงเอ่ยเร่ง “เร็วเข้า! หากปล่อยให้มันคำรามต่อไปจนเรียกเถาอู้ตัวอื่นมาที่นี่ด้วยก็แย่กันพอดี!”
เซวียนชิงผละออกมาจากร่างเฟิงจง แล้วเหินร่างตรงไปแทงหนึ่งกระบี่เข้ากลางกะโหลกศีรษะของเถาอู้
เสียงแผดสูงอันสะเทือนเลื่อนลั่นส่งผลให้ก้อนหินรอบด้านกระเด็นร่วงหล่นลงมา เฟิงจงป้องจมูกและปากพลางรีบหลบหลีกก้อนหิน ยามนั้นศีรษะใหญ่ของเถาอู้ก็ตกลงมา ลมหายใจของมันค่อยๆ หยุดชะงักไป จนในที่สุดมันก็ไม่ขยับเขยื้อนอีก
เฟิงจงโล่งอก นางหันไปมองเซวียนชิงปราดหนึ่ง “เฉือนเนื้อมันมาหนึ่งก้อน พกให้ดีแล้วตามข้ามา”
เซวียนชิงเอนร่างพิงกับร่างของเถาอู้ เขาหอบฮักโดยไม่ยอมเคลื่อนไหว จวบจนหน้าผากพลันเจ็บแปลบ ถึงค่อยเงื้อกระบี่ขึ้นมาเฉือนเนื้อขาหลังของเถาอู้มาหนึ่งก้อนแต่โดยดี
เมื่อครู่ตอนที่วิ่งหลอกล่อเถาอู้เท้าของเฟิงจงถูกข่วนเป็นแผล ยามที่นางเดิน โลหิตสดๆ ที่หยดลงบนพื้นดินก็กระตุ้นให้ต้นกล้าและหญ้าสดผุดงอกไปตลอดทาง ทว่าทันทีที่หยดเลือดบนดินเหือดแห้ง พืชพรรณเหล่านั้นก็จะเหี่ยวเฉาไป
เซวียนชิงเดินตามอยู่ด้านหลัง เขานึกตื่นเต้นอยู่ในใจ
จู่ๆ เฟิงจงที่อยู่ด้านหน้าก็หันขวับมา “เจ้าหนู เป็นเพราะเจ้าไม่ไยดีในชีวิตของตนเอง หรือเป็นเพราะถูกมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งบงการแล้วรู้สึกยอมรับไม่ได้กันแน่”
เซวียนชิงรู้สึกว่าเขาสามารถพูดจาได้แล้ว แต่ตอนกำลังจะเอ่ยปากก็ได้ยินนางเอ่ยขัดขึ้นมาอย่างฉุนเฉียวว่า “กลั้นเอาไว้ในใจนั่นล่ะ!”
เมื่อกลับถึงถ้ำภูเขาก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว เฟิงจงที่ปวดเมื่อยไปทั้งร่างจึงล้มตัวลงนอนทันที แม้หางตาจะเหลือบไปเห็นมือที่บาดเจ็บของเซวียนชิงยังคงมีเลือดซึมออกมา นางก็ทำเป็นเพียงมองไม่เห็น
แต่เดิมนางคือเทพผู้ดูแลชีวิต ย่อมนึกชิงชังผู้ที่ไม่หวงแหนชีวิตเป็นธรรมดา เสียแรงนักที่นางใช้โลหิตช่วยเจ้าหนูนี่โดยไม่เสียดาย แต่เขากลับเจตนาที่จะปลิดชีพตนเอง แน่นอนว่านางย่อมต้องรู้สึกโมโห
นอนพักรอบนี้เฟิงจงหลับลึกดีมาก ทว่าต่อมานางก็รู้สึกไม่สบายตัวจริงๆ จึงตื่นขึ้นมา ในอากาศที่สูดเข้าจมูกมีแต่กลิ่นเหม็นคาว นางลุกขึ้นนั่งสำรวจเนื้อตัว และพบว่าชุดหนังสัตว์ที่มีอยู่เพียงชุดเดียวนี้เปรอะเลอะไปด้วยเลือดของเถาอู้ ตอนนี้ชุดแห้งติดหนึบไปกับร่างแล้ว มิน่าเล่าข้าถึงได้รู้สึกอึดอัดเช่นนี้
เฟิงจงปรายตามองหุ่นเวทปราดหนึ่ง เห็นเจ้าหนูนั่นนั่งพิงผนังถ้ำ กำลังจับจ้องนางตาไม่กะพริบ
ผืนฟ้านอกถ้ำมืดมิดแล้ว จันทราเสี้ยวหนึ่งลอยอยู่กลางเวหา รอบด้านสุกสว่างด้วยรัศมีสีขาว เฟิงจงลุกขึ้นยืน นางเพิ่งจะทำมุทราก็ได้ยินเขาถามขึ้นก่อน
“เจ้าคิดจะทำอะไร” น้ำเสียงของเขายังคงแหบพร่านิดๆ
เฟิงจงหาได้แยแส ทันทีที่ท่องคาถาในใจ เซวียนชิงก็ยืนขึ้นพรวดราวกับต้นหอมที่ถูกถอนจากดิน เขายกมือข้างหนึ่งมาโอบนางไว้แล้วเหินร่างออกจากปากถ้ำไปโดยไม่รอช้า
ส่วนลึกในใจของเซวียนชิงกำลังปฏิเสธ ทว่าเขาไม่อาจต่อต้านพลังอันรุนแรงของวิชาหุ่นเวทนี้ได้ หัวใจของเขาในยามนี้พลันเย็นเฉียบเสียยิ่งกว่าแสงจันทร์
เพียงไม่นานทั้งสองก็สัมผัสพื้น เบื้องหน้าสายตาคือยอดเขาแห่งหนึ่ง เนื่องจากพื้นที่ยุบตัวลงตามธรรมชาติ ด้านในจึงเก็บกักน้ำฝนไว้จนเต็ม แลคล้ายสระเล็กๆ หนึ่งสระ
“สัตว์อสูรล้วนมารวมตัวกันอยู่บริเวณต้นน้ำ จะมีก็แต่สภาพพื้นที่สูงเช่นที่นี่ พวกมันถึงไม่อาจมาได้ ปกติข้าจะมาตักน้ำจากที่นี่เสมอ เพียงแต่การปีนป่ายค่อนข้างยุ่งยาก” ในที่สุดเฟิงจงก็เอ่ยปาก ทว่าน้ำเสียงไม่นุ่มนวลเช่นเมื่อก่อนแล้ว ที่นางพูดเช่นนี้ย่อมหมายความว่าต่อไปหน้าที่ตักน้ำนี้ได้ถูกยกให้เขาแล้ว
เซวียนชิงมุ่นคิ้ว หากฐานะของนางไม่มีอะไรผิดพลาดล่ะก็ ท่าทีของนางที่แปรเปลี่ยนไปก็ต้องเป็นเพราะกำลังขุ่นเคืองเรื่องที่เขาจงใจฆ่าตัวตายอยู่เป็นแน่
เฟิงจงเดินไปที่ริมน้ำ ก้มลงไปวักน้ำขึ้นมาชะล้างบาดแผลบนเท้าก่อน ทันทีที่คราบเลือดละลายปะปนลงในแหล่งน้ำ ระดับน้ำก็ถึงกับเพิ่มสูงขึ้นมาอีกชุ่น* เศษ ตอนนี้นางถึงค่อยก้าวเท้าลงน้ำไป จวบจนยามที่เดินไปถึงตรงใจกลาง ระดับน้ำก็สูงขึ้นมาถึงลำคอแล้ว นางรวบเรือนผมยาวไปรวมไว้บนบ่าข้างหนึ่งก่อนจะบรรจงล้างทำความสะอาดเส้นผมรวมถึงชำระกาย นัยน์ตาที่หลุบลงนิดๆ นั้นฉายสะท้อนแสงจันทร์ ไม่เพียงงามเปี่ยมเสน่ห์ หากยังผสานไว้ซึ่งความสง่าภูมิฐานอีกหลายส่วน
ก่อนหน้านี้เซวียนชิงเสียเลือดไปมากจากการพยายามปลิดชีพตนเอง ยามนี้จึงอ่อนระโหยโรยแรงอยู่บ้าง เขาหายใจเข้าเฮือกหนึ่งพลางจรดสายตาชมภาพเหตุการณ์นี้อย่างหน้าตาเฉย กระทั่งชั่วครู่ให้หลังถึงค่อยได้สติ พบว่าตนถึงกับไม่ดูตาม้าตาเรือมองสตรีนางหนึ่งอาบน้ำเสียได้ เขารีบหันหลังให้แทบไม่ทัน
ผ่านไปเนิ่นนานกว่าเฟิงจงจะชำระร่างกายเสร็จและกลับขึ้นมาบนฝั่ง หนังสัตว์ที่ใช้พันกายบัดนี้เปียกโชกจนน้ำหยดติ๋งๆ แน่นอนว่าไม่อาจใช้สวมใส่ได้อีกต่อไป ทว่าตอนนี้ไม่นับเป็นปัญหาอะไรแล้ว นางปรายตามองเงาหลังของเซวียนชิงก่อนจะจรดนิ้วทำมุทรา
หน้าผากของเซวียนชิงพลันร้อนวาบขึ้นทันใด เขาหมุนกายเดินขึ้นหน้ามาตามจิตใต้สำนึก จากนั้นใช้นิ้วมือจุ่มน้ำมาแตะบนอาภรณ์ของตนเองแล้วร่ายอาคม ไม่ทันไรอาภรณ์ทั้งชุดก็ขาวสะอาดเหมือนใหม่ ปลิวไสวล้อลมดังพึ่บพั่บ
เฟิงจงคว้าสาบเสื้อของเขาไว้ก่อนจะออกแรงฉีกผ้ามาได้หนึ่งผืน เพียงพริบตาหน้าอกของเขาก็ถูกเผยออกมากว่าครึ่ง พอจะมองเห็นรอยแผลทั้งเก่าและใหม่ได้รางๆ รวมถึงแผลบางแห่งที่ยังคงมีเลือดไหลอยู่ นางนำผ้าผืนนั้นมาวางคลุมบนไหล่ของตนแล้วมองเซวียนชิง
ในใจเซวียนชิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ทั้งที่ใบหน้าแดงเรื่อด้วยความกระดากอาย แต่หนุ่มน้อยก็อ่านเจตนาของเฟิงจงออกได้อย่างชัดเจน เขาจึงแตะนิ้วมือลงบนผ้าผืนนั้น เพียงชั่วอึดใจผ้าก็แปรสภาพเป็นอาภรณ์ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่พาดอยู่บนร่างของนางหนึ่งชุด จากนั้นพอเขาแตะนิ้วมือบนร่างตนเอง อาภรณ์ซึ่งเดิมถูกฉีกเสียหายก็คืนสู่สภาพสมบูรณ์ไร้ตำหนิ
การเป็นเทพเซียนนับว่ามีความสะดวกสบายอยู่หลายอย่าง เช่นเรื่องของเสื้อผ้า…อาภรณ์สวรรค์นั้นไร้ตะเข็บ เพียงหยดน้ำร่ายอาคมก็จะเปลี่ยนเป็นใหม่เอี่ยม อีกทั้งมีให้ใช้ไม่หมดสิ้น เห็นได้ชัดว่าเฟิงจงเข้าใจเรื่องเหล่านี้ละเอียดดียิ่ง
“เห็นทีเจ้าคงจะเป็นจ่งเสินจริงๆ”
“ยังจะเอ่ยถึงจ่งเสินอะไรอีก ตอนนี้ข้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น หาไม่เจ้าจะคับแค้นใจที่ถูกข้าบงการเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า” เฟิงจงแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา ก่อนประคองอาภรณ์ชุดนั้นเดินไปที่เบื้องหลังหินภูเขา
เซวียนชิงลูบจมูกอย่างวางหน้าไม่สนิท
ว่ากันว่าเมื่อแรกมหาเทพหนี่ว์วาใช้วิสุทธิ์โลหิตของตนเองชโลมเมล็ดพันธุ์จนถือกำเนิดขึ้นเป็นจ่งเสิน มหาเทพหนี่ว์วามีนามว่าเฟิงหลี่ชี ส่วนสาวน้อยนางนี้ก็มีชื่อว่าเฟิงจง เหตุใดเขาไม่ทันขบคิดให้ลึกซึ้งถึงข้อนี้นะ สาเหตุที่เขาทำลายผนึกหุ่นเวทที่หน้าผากไม่ได้ก็เป็นเพราะในผนึกนี้มีวิสุทธิ์โลหิตของมหาเทพหนี่ว์วาอยู่ด้วย
เพียงแต่ได้ยินคำเล่าลือว่าจ่งเสินเป็นเทพธิดาผู้มีรูปโฉมพิลาสหยาดเยิ้ม ท่วงท่างดงามเป็นเลิศ ไฉนนางจึงกลายเป็นแม่นางน้อยแสนจะธรรมดาเช่นนี้ไปได้
ในสามพิภพมีคำเล่าขานมาตลอดว่า…ผู้ใดได้จ่งเสินมาครอง ผู้นั้นก็จะได้สืบทอดทายาท เกรงว่านางคงยังไม่รู้ตัวกระมังว่าตนเองถูกบุรุษมากมายเพียงใดจับจ้องอยู่
เพียงไม่นานเฟิงจงก็สวมอาภรณ์เสร็จ นางเดินออกมาแล้วออกคำสั่งให้เซวียนชิงเสกรองเท้า ถุงเท้า กับผ้าผูกผมต่อ จวบจนนางสวมใส่ทีละชิ้นจนเรียบร้อยดีแล้ว ดวงหน้าที่เย็นชาก็ยังคงขุ่นเคืองอยู่
เมื่อได้สวมอาภรณ์สวรรค์ ตัวนางก็ยิ่งเปล่งปลั่งด้วยปราณวิเศษ เซวียนชิงอดไม่ได้ต้องมองนางเพิ่มอีกสองหน ก่อนจะเห็นนางกำลังทำมุทราท่องคาถาอีกแล้ว จากนั้นร่างกายของเขาก็อยู่เหนือการควบคุมของตนเอง ขยับไปโอบนางไว้แล้วเหินร่างพุ่งกลับไปยังปากถ้ำ
หมดกัน เหตุใดข้าเริ่มจะเหมือนหุ่นตัวหนึ่งเข้าไปทุกทีแล้ว!
ความเป็นจริงยังเลวร้ายยิ่งกว่าที่เซวียนชิงคิดไว้เสียอีก เดิมทีเมื่อก่อนเฟิงจงปฏิบัติต่อเขาด้วยไมตรีจิตอันล้นเหลือ สีหน้าก็ยิ้มแย้มอ่อนโยน ทว่าตั้งแต่นั้นมานางก็ชักสีหน้าสั่งการเขาอย่างเดียว เหมือนจะเห็นเขาเป็นหุ่นไปจริงๆ แล้วอย่างไรอย่างนั้น
ด้วยมีเนื้อก้อนนั้นของเถาอู้ เซวียนชิงจึงมีเวลาหลายวันที่ไม่ต้องถูกควบคุมให้ออกไปหาอาหาร กระนั้นก็ไม่พ้นถูกสั่งให้ไปเป็นคนครัวแทน
“จงหั่นเนื้อส่วนหนึ่งออกมาย่าง อย่าให้เหนียวไป และก็อย่าให้นุ่มเกิน” เฟิงจงเอนร่างอยู่บนหนังสัตว์ผืนที่เคยรองให้เขา มือข้างหนึ่งของนางหนุนศีรษะ มืออีกข้างก็วางพาดอยู่บนหน้าท้อง “ไฟของพิภพมนุษย์มีกลิ่นไม่บริสุทธิ์ ข้าต้องการให้ย่างด้วยเพลิงกสิณ*”
เหตุใดเจ้าไม่ขึ้นไปย่างเนื้อบนสวรรค์เสียเลยเล่า
เซวียนชิงช่างมีอารมณ์เย็นนัก ถึงขั้นนี้แล้วก็ยังไม่ระเบิดโทสะออกมา ช่วยไม่ได้ที่แม้แต่ร่างต้นกำเนิดก็ไม่อาจควบคุมการแสดงความรู้สึกของร่างแบ่งภาคได้
กระนั้นเซวียนชิงก็ยังรู้สึกอึดอัดใจแทบแย่อยู่ดี!
ช่างเถอะ เรื่องนี้ข้าเองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ ยิ่งไปกว่านั้นนางคือจ่งเสินเชียวนะ อดทนไปก่อนแล้วกัน เซวียนชิงเกลี้ยกล่อมตนเองก่อนจะจุดเพลิงกสิณขึ้นเงียบๆ
ทุกเช้าเซวียนชิงจะต้องเหาะไปบนยอดเขาเพื่อตักน้ำมาให้เฟิงจงล้างหน้าบ้วนปาก เมื่อใดที่นางเปรยว่าหิวแล้ว เขาก็ต้องตระเตรียมของกินในทันที
เซวียนชิงมุ่งหวังอย่างแรงกล้าที่จะได้กลับคืนสู่ร่างต้นกำเนิด ทว่าดูเหมือนวันเวลาเช่นนี้จะยังไม่มีที่สิ้นสุดเสียที
หลายวันมานี้เว้นแต่ออกจากถ้ำไปปลดทุกข์แล้ว เวลาที่เหลือเฟิงจงก็ไม่เคยเคลื่อนไหวร่างไปที่ใด นางกินจุดื่มเก่งเสียจนทั้งเนื้อทั้งตัวดูอวบอิ่มมีน้ำมีนวลขึ้นหลายส่วน
(ติดตามตอนต่อไปวันพรุ่งนี้)
Comments
comments
No tags for this post.