X
    Categories: ตื่นเสียทีจะไม่มีทายาทแล้ว!ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตื่นเสียทีจะไม่มีทายาทแล้ว! บทที่ 9

หน้าที่แล้ว1 of 13

บทที่เก้า

ตลอดหนึ่งพันปีมานี้ทั่วสามพิภพล้วนไม่อาจให้กำเนิดทายาทรุ่นต่อไปได้ แม้จะใช้ทุกวิธีการแล้วก็ยังไร้ผล ทุกผู้คนจึงเริ่มตำหนิกันลับหลังว่าเป็นเพราะการปกครองของเทียนตี้ที่บกพร่องคุณธรรม เทียนตี้ผู้ทรงแบกหม้อดำรู้สึกเสียใจยิ่งนัก จึงหนีหน้าไปกักตนบำเพ็ญตบะที่เทือกเขาคุนหลุนเสียเลย

เดิมทีเทียนโฮ่ว* สามารถดูแลงานแทนได้ แต่ด้วยความห่วงใยในเทียนตี้ นางจึงรุดไปเกลี้ยกล่อมยังเทือกเขาคุนหลุนอยู่หลายหน ทว่าล้วนไม่เกิดผลแต่อย่างใด สุดท้ายก็ทำให้นางมีโทสะจนถึงขั้นตัดสินใจหายอดเขาอีกยอดบนเทือกเขาคุนหลุนแล้วกักตนบ้างเสียเลย

บัดนี้แม้พิภพสวรรค์จะมีทวยเทพทำหน้าที่ของตนเองอยู่ ทว่าแท้จริงแล้วกลับเป็นเสมือนฝูงมังกรที่ไร้เศียร เทพเซียนกลุ่มนั้นถึงได้กล้าต่อสู้กันอย่างเปิดเผยที่นอกประตูสวรรค์ทักษิณเช่นนี้ ก่อนจากมาซีกวงจึงได้แต่ไปแจ้งต่อเทพผู้คุมกฎ คาดว่าตอนนี้ความวุ่นวายที่เบื้องบนน่าจะยุติลงแล้วกระมัง

ยามฟ้าสาง เขาก็พาเฟิงจงมุ่งหน้าไปทางตะวันออกมาไกลมากแล้ว นับแต่โบราณมาเขตบูรพาก็เป็นดินแดนที่เปี่ยมด้วยไอมงคล ซึ่งไม่เพียงโอบล้อมด้วยทิวเขา ทะเลสาบ และทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล ที่นี่ยังแทบไม่มีสัตว์อสูรร้ายๆ โผล่มาให้พบเห็น ผืนแผ่นดินก็ชุ่มชื้นขึ้นมาก หลายพื้นที่ยังปกคลุมด้วยสีเขียวชอุ่มชั้นบางๆ

ร่างกายของเฟิงจงยังคงอ่อนแอยิ่งนัก ซ้ำก่อนหน้านี้ยังถูกภูตยักษ์โจมตีอีก นางจึงหลับใหลไปตั้งแต่ตอนที่ซีกวงพาเหาะอยู่บนฟ้าแล้ว จวบจนบัดนี้ถึงค่อยรู้สึกตัวตื่น นางก้มหน้ามองดูฉยงฉีเป็นอย่างแรก หลังจากมันกินภูตยักษ์เข้าไปก็ท้องอืดตลอดทั้งคืน กระทั่งตอนนี้อาการก็ยังไม่ดีขึ้น พุงยังคงป่องไม่หาย มันเพียงซุกตัวอย่างเกียจคร้านอยู่ในอ้อมอกของนางโดยไม่คิดขยับตัวเลยแม้แต่น้อย

ตอนนี้เองท้องของเฟิงจงก็พลันส่งเสียง สาวน้อยหันหน้าไปมองซีกวงเงียบๆ ทุกสิ่งล้วนชัดเจนโดยมิต้องเอื้อนเอ่ยว่านางหิว

แม้ซีกวงทำเหมือนมองไม่เห็นสีหน้าของเฟิงจง ทว่าเขาก็ยังโอบนางลงไปหยุดพักบนเนินเล็กที่เบื้องล่าง มือหนึ่งประคองนางนั่งลง อีกมือช้อนตัวฉยงฉีในอ้อมอกนางออกมาวางไว้อีกด้าน ที่นี่แม้ปลอดภัย แต่เมื่อคำนึงว่ายามนี้เฟิงจงยังอ่อนแออยู่มาก เขาจึงวางข่ายอาคมไว้เช่นเคย เสร็จแล้วถึงค่อยเดินไปทางป่าที่อยู่ด้านข้าง เงาหลังของเขายืดตรงสูงสง่า

เฟิงจงวางคทาหม่อนมังกรไว้บนตักแล้วขัดสมาธิเพื่อนั่งสมาธิ ทว่าเพิ่งจะหลับตาลงนางก็ได้กลิ่นไอมารเข้มข้นแล้ว นางรีบลืมตาขึ้นเหลียวมองไปรอบด้าน พบว่าทุกสิ่งยังคงเป็นปกติดี ครั้นเบนสายตาไปจรดบนร่างฉยงฉีที่อยู่ข้างกาย นางก็ต้องตระหนกอย่างช่วยไม่ได้ ไอมารนั้นถึงกับแผ่ซ่านออกมาจากร่างของมันนี่เอง

ไม่เพียงเท่านี้ บนร่างของฉยงฉีกำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างรวดเร็ว…ท้องที่พองป่องพลันแฟบลง กายของมันขยายใหญ่ในพริบตา เส้นขนสีขาวหิมะแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ละเส้นล้วนชี้ชันดุจเข็มแหลม เขี้ยวในปากก็ยาวโง้งออกมา ทอประกายดุจเดียวกับคมมีด ชวนให้คนรู้สึกหนาวเยือกยิ่งนัก

ฉยงฉียืนขึ้นแล้ว ไม่เพียงแค่เสียงที่เปลี่ยนเป็นคำรามทุ้มต่ำ สองตาที่เป็นประกายสีแดงชวนสะพรึงคู่นั้นก็จับจ้องเฟิงจงเขม็ง ท่าทางของมันราวกับพร้อมกระโจนเข้ามาได้ทุกเมื่อ

เฟิงจงไม่ขยับเขยื้อน เพียงกุมกระชับคทาหม่อนมังกรในมือให้แน่นกว่าเดิม

นับแต่ไปเยือนแดนฮุ่นตุ้นมาหนึ่งหน บนร่างฉยงฉีก็มีไอมารเพิ่มขึ้นอย่างมาก เฟิงจงสัมผัสได้แต่แรกแล้ว ทว่าเดิมทีมันก็เป็นสัตว์อสูร นี่ไม่น่าจะเป็นปัญหาอันใด ที่ผ่านมานางจึงไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก วันนี้ที่มันเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นเช่นนี้ คงเป็นเพราะเมื่อคืนมันกลืนกินภูตยักษ์นั่นเข้าไป

เพียงชั่วพริบตาเดียวฉยงฉีก็แปรสภาพจากตัวเล็กจ้อยมาเป็นสัตว์ร้ายโตเต็มวัยแล้ว มันเดินกลับไปกลับมาอยู่เบื้องหน้าสายตานางไม่หยุด ปากก็เปล่งเสียงคำรามต่ำอย่างยากจะข่มกลั้น สายตาที่มันมองเฟิงจงคล้ายกำลังมองศัตรูคู่แค้น และในที่สุดมันก็ทนไม่ไหวพุ่งปราดเข้ามาจนได้

เฟิงจงเบี่ยงกายหลบได้ทันท่วงที พอลุกขึ้นนางก็รีบวิ่งออกจากข่ายอาคมไป นางต้องการประวิงเวลาไว้สักพัก รอให้พลังวิเศษฟื้นฟูมากกว่านี้อีกสักหน่อยนางก็จะใช้วิชาหุ่นเวทควบคุมมันได้

ฉยงฉีที่สูญเสียสติไปแล้วไล่ล่าเฟิงจงอย่างไม่ลดละ กระทั่งต้อนนางไปถึงเงาไม้ที่อยู่เบื้องหลังเนินเล็ก เฟิงจงก็ไม่อาจยื้อเวลาต่อไปได้อีก นางจำต้องจรดนิ้วเตรียมท่องคาถา ทั้งที่ในใจยังไม่มีความมั่นใจเลย ทันใดนั้นเองเบื้องหลังก็มีกระแสลมเย็นระลอกหนึ่งโชยผ่าน เบื้องหน้าสายตานางถูกปกคลุมด้วยเงาดำใหญ่มหึมาสายหนึ่ง จากนั้นลมกระโชกก็กวาดผ่านเหนือศีรษะนางไป

ฉยงฉีที่แผดเสียงดังและโถมร่างเข้ามาพลันถูกซัดหงาย ร่างร่วงกระแทกเข้ากับเนินเล็กอย่างหนักหน่วง ทว่าชั่วพริบตาเดียวมันก็สะบัดขนกลับมายืนขึ้นในอาการที่เดือดดาลอย่างมาก หนนี้มันพุ่งเป้ามาที่แผ่นหลังของเฟิงจง พอกระโจนร่างขึ้นก็ตวัดกรงเล็บอันคมกริบทันที

เฟิงจงย่อกายหลบพ้น จากนั้นก็มีลมกระโชกกวาดออกไปอีกระลอก ส่งฉยงฉีให้ปลิวกระเด็นไปซ้ำสอง ครั้งนี้มันกลิ้งหลุนๆ ไปหลายรอบกว่าจะหยุดลงได้ และเหมือนว่ามันจะไม่มีเรี่ยวแรงคืบคลานขึ้นมาอีก ยามที่ตัวของมันค่อยๆ หดเล็กลงไป ท้องก็กลับมาพองป่องเช่นเดิม พอกรงเล็บคมกริบหดหายไป เส้นขนที่ชี้ชันสีแดงก็เปลี่ยนกลับมาเป็นสีขาวหิมะอีกครั้ง

มันตะกายลุกขึ้นมามองซ้ายขวา เหมือนว่าจะถูกกระแทกจนได้สติแล้ว ปากกลับมาร้องเสียงดังพูชือพูชือในอาการที่ยังงุนงงไม่หาย

เฟิงจงรีบหันขวับกลับไป ทว่าเงาใหญ่มหึมาที่อยู่ด้านหลังได้หลบเข้าไปยังส่วนลึกของป่าแล้ว รวดเร็วราวกับเป็นภาพลวงตาอย่างไรอย่างนั้น กระนั้นนางก็ยังมองออกในปราดเดียว…มันก็คือวิญญาณร่อนเร่ที่ช่วยนางต่อกรกับภูตยักษ์เมื่อคืนนั่นเอง

จวบจนด้านข้างมีคนประคองแขนของนางไว้ เฟิงจงถึงค่อยได้สติ พบว่าซีกวงยืนอยู่ข้างกายนางนี่เอง ในมือของเขายังถือผลไม้หลายพวงที่ไม่รู้ว่าไปเด็ดมาจากที่ใดด้วย

“เป็นอะไรไป”

เฟิงจงบอกเขาเรื่องที่ถูกภูตยักษ์ลอบจู่โจมเมื่อคืน ทั้งเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ด้วยรอบหนึ่ง ก่อนที่นางจะมองไปยังส่วนลึกของป่า “วิญญาณร่อนเร่ตนนั้นเก่งกาจยิ่ง มันช่วยข้าไว้สองครั้งแล้ว ราวกับรู้จักข้าอย่างนั้นล่ะ”

ซีกวงประหลาดใจยิ่ง มีเขาอยู่ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมีสิ่งใดจากตำหนักยมโลกมาเข้าใกล้นาง ทว่าวิญญาณร่อนเร่ตนนี้กลับตามรอยมาได้ตลอดทาง ช่างแปลกพิกลนัก “พอร่องรอยของเจ้าเปิดเผยต่อสามพิภพ สิ่งนี้ก็ปรากฏตัวขึ้น บางทีมันอาจรู้จักเจ้าจริงๆ”

เฟิงจงกระตุกผลไม้ลูกหนึ่งจากในมือของซีกวง ทั้งยังเช็ดกับแขนเสื้อของเขาด้วย นางยัดผลไม้ลูกนั้นเข้าปาก เคี้ยวเพียงสองสามคำก็กลืนลงไป “ข้าอยากถามให้ชัดเจนยิ่งนัก แต่ทุกครั้งมันล้วนไม่ยอมรั้งอยู่ต่อ พิลึกแท้”

“คราวหน้าค่อยคิดหาวิธีถามมันก็แล้วกัน”

เฟิงจงผงกศีรษะรับ นางรู้สึกว่าผลไม้มีรสหวานถูกปากจึงเลียริมฝีปากเล็กน้อยอย่างอดไม่อยู่

ซีกวงพอเห็นเช่นนั้นก็คล้ายถูกภูตผีวิญญาณดลใจ เขาถึงกับเป็นฝ่ายเด็ดผลไม้อีกลูกยื่นส่งถึงริมฝีปากเฟิงจงเอง นางก็อ้าปากกินทันทีโดยไม่คิดจะปฏิเสธ ยามที่ริมฝีปากนางสัมผัสถูกปลายนิ้วของเขา ถึงกับทำให้ปลายนิ้วชาวาบทีเดียว ตอนนี้ซีกวงถึงค่อยได้สติ รีบยัดผลไม้ทั้งหมดใส่มือนาง

เฟิงจงผิดหวังยิ่งนักกับการกระทำครึ่งๆ กลางๆ ของเขา “กำลังคิดจะชมอยู่เชียวว่าเจ้าทำงานละเอียดรอบคอบ”

ซีกวงเดินไปถึงข้างกายฉยงฉี อุ้มมันขึ้นมาพลิกไปมารอบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มตอบนาง “ไม่ได้หรอกเมล็ดพันธุ์น้อย ข้ากลัวว่าหากตามใจเจ้าเช่นนี้ วันหน้าเกิดเจ้าเกียจคร้านอย่างฉยงฉีขึ้นมาก็แย่น่ะสิ”

“…”

ฉยงฉียามนี้สงบเสงี่ยมดียิ่ง กระทั่งไม่ติดใจที่เขากล่าวหาว่ามันเกียจคร้าน เนื่องจากมันกลืนภูตยักษ์ลงไป จวบจนบัดนี้จึงยังไม่รู้สึกหิว มันถึงขั้นยกมือปิดตายามที่เห็นเฟิงจงกินผลไม้ด้วยซ้ำ ท่าทางราวกับต่อแต่นี้ไปไม่อยากจะกินอาหารใดๆ อีกแล้ว

ซีกวงเอ่ย “มันยังอยู่ในวัยเยาว์ การฝืนกลืนวิญญาณที่ชั่วร้ายเพียงนั้นลงไปก็ต้องเป็นเช่นนี้ หากมันสามารถสยบปราณอันดุดันนี้แล้วเก็บพลังไว้ใช้เองได้ สถานการณ์ก็น่าจะคลี่คลายไม่น้อย ไม่แน่อาจยังได้โชคในคราวเคราะห์อีกด้วย”

มือของเฟิงจงที่กำลังจะส่งผลไม้เข้าปากพลันหยุดชะงัก นางต้องการจะถามเขาให้ชัดเจนกว่านี้ แต่แล้วจู่ๆ นางก็ตวาดไปอีกด้านหนึ่งแทน “นั่นใคร ออกมาเดี๋ยวนี้!”

ได้พักผ่อนมาจนถึงยามนี้ทำให้พลังวิเศษของเฟิงจงฟื้นฟูขึ้นมาบ้างแล้ว แม้ยังไม่อาจตรวจสอบได้อย่างละเอียด ทว่าขอเพียงอยู่ใกล้ๆ นางก็สัมผัสถึงกลิ่นอายที่ไม่คุ้นเคยได้

ซีกวงยืนขึ้นทันใด

สตรีชุดสีครามผู้หนึ่งเดินเนิบนาบขึ้นมาจากด้านล่างของเนินเล็ก นางมีนัยน์ตาสุกสกาว แนวฟันขาวกระจ่าง ปิ่นมุกกับหยกประดับส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งขณะเยื้องย่าง นางมองดูเฟิงจงก่อน รอจนเบนสายตาไปมองซีกวง นางถึงค่อยเอ่ยปากพลางชี้มือไปทางฉยงฉี “ข้ามีวิธีช่วยมัน”

เฟิงจงมองพิจารณาอีกฝ่ายขึ้นลงสองหน “เจ้าคือ…”

สตรีผู้นั้นกล่าวตอบ “เรียกข้าว่าชิงเสวียนก็ได้”

เฟิงจงสบตากับซีกวง ก่อนจะเอ่ยถามนางอีกครั้ง “เจ้าจะช่วยมันอย่างไร”

ชิงเสวียนเดินไปถึงข้างกายฉยงฉี ย่อกายลงแล้วยื่นสองนิ้วออกไป รัศมีสีครามอ่อนๆ พลันรวมตัวขึ้นที่ปลายนิ้ว หลังจากกดคลึงไปบนร่างของมันรอบหนึ่ง ไม่ทันไรท้องอันกลมเป่งของมันก็ฟีบลง จากนั้นนางจึงหยิบหญ้าสมุนไพรที่ดูอ่อนนุ่มต้นหนึ่งออกจากอกเสื้อ บีบปากฉยงฉีให้อ้าออกแล้วป้อนหญ้าต้นนั้นเข้าไป

ซีกวงพลันเลิกคิ้ว “โอ๊ะ นี่หญ้านพกาฬเชียวรึ สมุนไพรล้ำค่าเพียงนี้เจ้าจะมอบให้พวกเราเฉยๆ เลยหรือ”

ชิงเสวียนยืนขึ้น “ขอกล่าวตามตรงโดยไม่ปิดบัง ข้าก็มีเรื่องจะขอร้องเช่นกัน ผู้ที่ข้าจะขอร้องก็คือนาง” ชิงเสวียนชี้ไปทางเฟิงจง

เฟิงจงกล่าว “เจ้าใช้สมุนไพรวิเศษที่ล้ำค่าเพียงนี้ช่วยฉยงฉีเอาไว้ก็เท่ากับได้ช่วยข้าแล้ว หากมีข้อเรียกร้องอะไรเจ้าก็พูดมาได้อย่างเต็มที่ ขอเพียงข้าสามารถทำได้ก็จะไม่ปฏิเสธเป็นอันขาด”

บนใบหน้าของชิงเสวียนเผยรอยยิ้มอันคลุมเครือ “เช่นนั้น…ก็ขอบังอาจถามจ่งเสิน ไม่ทราบจะชี้แนะข้าได้หรือไม่ว่าต้องทำเช่นไรจึงจะฟูมฟักทายาทออกมาได้”

เฟิงจงกลอกลูกตาไปมา “ที่แท้เจ้าก็พุ่งเป้ามาที่ข้าตั้งแต่แรกแล้ว ทว่าเรื่องนี้ข้าอับจนหนทางจะชี้แนะเจ้าได้”

ชิงเสวียนพลันหน้าเปลี่ยนสี “ข้าว่าไม่ใช่อับจนหนทางจะชี้แนะหรอก หากแต่ไม่ยินยอมจะชี้แนะเสียมากกว่า คงไม่ใช่กลัวว่าขาดความสามารถนี้ไปแล้ว เจ้าก็จะไม่เป็นที่ชื่นชมของเหล่าเทพเซียนบุรุษในพิภพสวรรค์ได้ต่อไปกระมัง” นางปรายตามองซีกวงปราดหนึ่ง “เขาก็มาเพื่อทายาทเช่นกันสินะ รูปโฉมก็ไม่เลวอยู่หรอก แต่น่าเสียดายที่ดีสู้ชิงหลีไม่ได้”

เฟิงจงไม่มีโทสะ ทั้งยังคลี่ยิ้มเอ่ย “ตกลงเจ้าเป็นใครกันแน่”

ชิงเสวียนพ่นลมขึ้นจมูกเสียงดังฮึ “ข้าก็บอกไปแล้วว่าข้าคือชิงเสวียน ชิงเสวียนกับชิงหลี แค่นี้เจ้าก็ยังไม่กระจ่างอีกหรือว่าพวกเรามีความเกี่ยวข้องใดกัน”

เฟิงจงพลันตระหนักได้ “อ้อ พี่ชายกับน้องสาวนี่เอง”

ชิงเสวียนโกรธจนหน้าแดงก่ำ “พี่น้องอะไรเล่า เป็นคู่กันต่างหาก! พวกเราเกิดมาเป็นวิหคครามเพศผู้กับเพศเมียหนึ่งคู่ ถูกลิขิตมาแล้วว่าจะต้องอยู่ด้วยกัน!”

เฟิงจงขบขัน “ก็ชื่อคล้ายกันออกปานนี้ เหมือนคู่กันเสียเมื่อไร”

ชิงเสวียนไม่อยากจะต่อความกับนางด้วยเรื่องนี้แล้ว จึงเอ่ยประณามพร้อมใบหน้าที่แดงด้วยโทสะ “สตรีทั้งหลายในสามพิภพล้วนไม่มีใครให้กำเนิดทายาทรุ่นหลังได้ ทว่าเจ้ากลับเก็บงำวิธีการไว้เพียงผู้เดียวโดยไม่ยอมช่วยเหลือใคร บัดนี้พิภพสวรรค์โกลาหลไปทั่วก็เพราะเจ้า ข้าว่าเจ้าไม่ใช่เทพอะไรหรอก แต่เป็นมารที่ออกมาสร้างความวุ่นวายแก่สามพิภพเสียมากกว่า!” นางพูดๆ อยู่สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ในมือเผยกระบี่เรียวเล็กยาวสามฉื่อเล่มหนึ่ง จากนั้นก็แทงตรงมาทันที

วิหคครามมีความสามารถในการสำรวจค้นหาเป็นที่สุด อีกทั้งนางกับชิงหลียังเป็นวิหคที่เกิดมาพร้อมกัน จึงยิ่งสื่อจิตถึงกันได้อย่างลึกซึ้ง เดิมทีนางบำเพ็ญตบะอยู่ที่เกาะเผิงไหลมาตลอด กระทั่งเมื่อวานรู้ข่าวที่พิภพสวรรค์เกิดการต่อสู้กันภายใน ด้วยความเป็นห่วงชิงหลี นางถึงได้รีบรุดออกจากเกาะมาตามหาเขา ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อไล่ตามกลิ่นอายของเขาเรื่อยมาจนถึงพิภพมนุษย์แล้ว กลับเห็นเขาผู้ซึ่งแต่ไรมาไม่เห็นหัวใคร ถึงกับยืนนบนอบเอาใจจ่งเสินอยู่ท่ามกลางสายลมที่กระโชกแรง ชิงเสวียนยากจะทำใจเชื่อได้ และรู้สึกปวดใจเป็นที่สุด ยิ่งกลัวเขาจะพบว่านางได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้ว จึงรีบหันหลังหลบมาทันที

ไม่คาดว่าวันนี้ระหว่างทางกลับเกาะเผิงไหลจะพบเจอจ่งเสินเช่นนี้

ในเมื่อเป็นจ่งเสิน ก็สมควรจะสร้างประโยชน์สุขแก่สามพิภพสิ เหตุใดต้องเก็บงำวิธีการไว้ด้วยเล่า ไม่ใช่เพราะเจตนาจะล่อลวงเหล่าเทพเซียนบุรุษให้ต่อสู้กันเองเพื่อนางหรือ เกิดมาเป็นเทพแท้ๆ แต่กลับเห็นแก่ตัว ไม่รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น แล้วจะไม่ให้ตนโกรธเกรี้ยวได้อย่างไรกัน!

เฟิงจงถอยหลังติดๆ กันหลายก้าว ขณะที่ปลายกระบี่เล่มนั้นจ่อมาถึงเบื้องหน้านางแล้ว ทว่าจู่ๆ ก็มีพลังดีดสะท้อนออกมารางๆ ตัวกระบี่ที่พุ่งมาถึงกับโค้งงอ กระทั่งไม่อาจรุกคืบต่อไปได้อีก

ชิงเสวียนเพิ่งพบว่ามีข่ายอาคมอยู่ นางมองปราดไปทางซีกวงอย่างฉุนเฉียว “ต้องเป็นเจ้าหนุ่มนี่ที่ถูกเจ้าล่อลวงมาแน่ๆ เขาถึงได้คอยปกป้องเจ้าเช่นนี้!”

เฟิงจงใช้คทาหม่อนมังกรพยุงกาย เดินออกจากข่ายอาคมมายืนนิ่งอยู่ด้านข้างชิงเสวียน “ต่อให้ไม่มีข่ายอาคม ก็ไม่แน่ว่าเจ้าจะทำร้ายข้าได้”

“พูดโอ้อวดไม่อายปาก!” ชิงเสวียนควงกระบี่โจมตีใส่เฟิงจงทันที

คทาหม่อนมังกรในมือเฟิงจงแตะพื้นเพียงแผ่วเบา เถาวัลย์ก็งอกเงยรัดพันเท้าของชิงเสวียนไว้แน่น นางพลันถลาล้มไปเบื้องหน้า ต้องรีบใช้กระบี่ค้ำยันไว้จึงไม่ถึงกับล้มคะมำ เพียงทรุดเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นเท่านั้น

“นี่ถึงค่อยเหมือนท่าคารวะของผู้เยาว์ ลุกขึ้นมาเถอะ” เฟิงจงถึงกับยื่นมือออกไปลูบบนศีรษะของชิงเสวียนด้วย

ชิงเสวียนยืนขึ้นทันใด หากผู้ที่อยู่เบื้องหน้านางเป็นเช่นจ่งเสินตามคำเล่าลือก็แล้วไปเถอะ แต่นี่เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ที่ยังเยาว์กว่านางมาก ยังมีหน้ามาเรียกนางเป็นผู้เยาว์อีก แล้วจะให้นางยอมรับนับถือได้อย่างไร!

ชิงเสวียนปลุกความฮึกเหิมขึ้นอีกครั้ง ก่อนจู่โจมใส่เฟิงจงรอบสอง ตัวกระบี่ฉาบไปด้วยประกายสีคราม ครั้งนี้นับว่านางทุ่มสุดตัวแล้ว

เฟิงจงขยับเท้าก้าวไปทางข่ายอาคมเพราะไม่อยากฝืนปะทะต่อไป เนื่องจากเมื่อครู่นางแค่คิดจะสั่งสอนอีกฝ่ายที่ชวนทะเลาะอย่างไร้เหตุผลเท่านั้นถึงได้ใช้พลังวิเศษออกไป ซึ่งยามนี้ก็รู้สึกอ่อนแรงแล้ว

ชิงเสวียนมองความคิดของเฟิงจงอย่างทะลุปรุโปร่ง ยามที่มือขวาส่งกระบี่ออกไป มือซ้ายของนางก็ซัดพลังฝ่ามือออกไปด้วย หมายบีบให้เฟิงจงต้องถอยห่างจากขอบเขตของข่ายอาคม

เฟิงจงถอยหลังไปหลายก้าว ยามที่กระบี่กำลังจะถากถูกหน้าอกของนาง ขาดอีกเพียงนิดก็จะฝากรอยแผลไว้หนึ่งแผลนั้น แต่กระบี่กลับชะงักไปเสียเฉยๆ เนื่องจากปลายกระบี่ได้ถูกหนีบอยู่ระหว่างนิ้วมือทั้งสองของซีกวงอย่างมั่นคงแล้ว

เพียงนิ้วมือของเขาดันส่งไปครั้งหนึ่งก็สามารถทำให้ชิงเสวียนต้องเซถอยติดกันไปหลายก้าวกว่าจะยืนได้อย่างมั่นคง บรรดาเทพเซียนบนพิภพสวรรค์นางก็รู้จักแค่ชิงหลี เทพสวรรค์เจ้าของเรือนผมสีดำอาภรณ์สีดำผู้นี้นางย่อมจะไม่เคยพบมาก่อน ทั้งที่รู้ตัวว่าไม่อาจต่อกรด้วยได้ แต่นางก็ยังดึงดันไม่ยอมจากไป

ซีกวงเอ่ยปนยิ้ม “หากข้าเป็นเจ้า ตอนนี้คงจะจากไปแล้ว หาไม่ชิงหลีผู้นั้นจะต้องตามกลิ่นอายของเจ้าจนตามมาถึงที่นี่อย่างแน่นอน”

แววตาของชิงเสวียนสั่นไหวนิดๆ

เฟิงจงฉวยโอกาสตอนที่ชิงเสวียนเสียสมาธิกระตุกแขนเสื้อของซีกวงหนหนึ่ง เขาเข้าใจความนัยทันที จึงช้อนตัวฉยงฉีขึ้นมาแล้วจับจูงนางจากไปด้วยการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วดุจสายลม เหลือเพียงเสียงของเฟิงจงที่ลอยละล่องมาแต่ไกล “ขอบคุณยิ่งนักสำหรับหญ้านพกาฬของเจ้า วันหน้าจะต้องตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน”

ชิงเสวียนขบคิดเล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ได้ไล่ตามไป

ขณะเตรียมจะออกเดินทางกลับเกาะเผิงไหล นางก็รู้สึกได้ว่าที่เบื้องหลังมีความผิดปกติ พอหันขวับไปก็ปะทะเข้ากับลมกระโชกระลอกหนึ่ง นางถูกหอบปลิวไปด้านหลังแล้วร่วงกระแทกอย่างหนักหน่วง ครั้นแหงนหน้าขึ้นก็เห็นเพียงเงาดำใหญ่มหึมาสายหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางเงาไม้ คล้ายกำลังพิศมองนางอยู่

ชิงเสวียนตระหนกตกใจยิ่ง ไม่รู้ว่าตนเองไปตอแยถูกตัวอะไรเข้ากันแน่ นางจำต้องข่มกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้แล้วรีบรุดจากไปในทันที

ซีกวงพาเฟิงจงเดินไปทางตะวันออกต่อไป เบื้องล่างคือเขตแดนของชิงชิวแล้ว สภาพทิวเขาดูแปลกตา นอกจากภูเขาเก้าลูกที่ทอดตัวสลับซับซ้อนแล้ว ยังมีปราณเซียนแผ่กำจายออกมารางๆ เขาเคยมาเยือนที่นี่จึงคุ้นเคยเป็นอย่างดี ฝั่งทางใต้ของทิวเขานี้มีหยกเขียวอยู่ชนิดหนึ่ง หากพกพาไว้จะช่วยเพิ่มปราณวิเศษได้ เขาตั้งใจแต่แรกแล้วว่าเมื่อผ่านมาที่นี่จะไปหาหยกเขียวชนิดนั้นมาให้เฟิงจงสักชิ้น

เพิ่งจะขี่เมฆลงต่ำ เตรียมจะหยุดพักละแวกนั้นโดยไม่ให้ภูตผีวิญญาณหรือบรรดาเทพเซียนล่วงรู้ ด้านข้างก็พลันมีเสียงหวานตวาดดังขึ้นเสียก่อน “โจรจากที่ใดกันถึงกับกล้าบุกรุกชิงชิวของตระกูลถูซานข้า!”

ซีกวงกุมหน้าผาก อยากจะเผ่นหนีก็ไม่ทันแล้ว

เสียงกระพรวนกังวานใสดังออกมาจากในป่า มีสาวน้อยร่างบอบบางผู้หนึ่งเดินออกมาจากเงาไม้ชั้นแล้วชั้นเล่า บนข้อเท้าของนางผูกกระพรวนอยู่หนึ่งลูกซึ่งดูสะดุดตา เบื้องหลังยังติดตามมาด้วยชายหนุ่มร่างสูงโปร่งอีกคนหนึ่ง ทั้งสองล้วนมีเรือนผมสีเงิน สวมอาภรณ์สีขาว

“เป็นข้าเอง” ซีกวงเป็นฝ่ายเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว

“เอ๋? นี่ตงจวินมิใช่หรือ” สาวน้อยมองปราดเดียวก็จดจำซีกวงได้แล้ว นางเผยรอยยิ้มบนใบหน้า พอวิ่งเข้ามาใกล้ สายตาก็ชะงักอยู่บนร่างเฟิงจงที่อยู่ในอ้อมอกเขา สาวน้อยผมสีเงินตะลึงงันไปทันใด “มนุษย์?”

ชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหลังเร่งสาวเท้าก้าวใหญ่มาพิจารณาเฟิงจง ก่อนจะเอ่ยกับสาวน้อยผู้นั้นว่า “ซิ่วซิ่ว พาพวกเขาไปพบหัวหน้าเผ่า เจ้าอย่าได้คิดทำอะไรแปลกๆ เชียว”

สาวน้อยไหนเลยจะไยดีในสิ่งที่เขาพูด นางผลักซีกวงออกห่าง จากนั้นทั้งเกาะแขนของเฟิงจงไว้ ทั้งคลี่ยิ้มกว้างดุจบุปผาบาน “น้องสาว ข้ามีนามว่าถูซานซิ่วซิ่ว เจ้าล่ะมีนามว่าอะไร ต่อไปเจ้าก็มาพำนักร่วมกับข้าที่ตระกูลถูซานดีหรือไม่ ข้าจะดีต่อเจ้าให้มากๆ ข้ายังจะ…”

ขณะที่เฟิงจงพยายามเอียงศีรษะหลบดวงหน้าของอีกฝ่ายที่ชิดใกล้เข้ามาทุกที นางก็พลันนึกถึงถูซานสือฟางขึ้นมา พวกเซียนจิ้งจอกนี่ช่างอาวรณ์ปราณมนุษย์เสียจริง

เมื่อเห็นนางไม่มีทีท่าจะยินยอมคล้อยตาม ถูซานซิ่วซิ่วก็ตบหน้าผากตนเองทีหนึ่ง “เฮ้อ ดูข้าสิ คงเพราะเข้าใจความชื่นชอบของเจ้าผิดพลาดไปแน่ๆ เจ้าชมชอบบุรุษใช่หรือไม่” นางพูดพลางพลิกโฉมแปลงกายมาเป็นหนุ่มน้อยรูปงามสง่าผู้หนึ่ง “เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าจะยอมรั้งอยู่ที่นี่ได้หรือยัง”

ซีกวงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ทางหนึ่งรีบสกัดขวางท่าทางตอแยของถูซานซิ่วซิ่ว อีกทางก็เอ่ยเรียกชายหนุ่มผู้นั้น “ถูซานเฟิ่ง เจ้าก็ควบคุมนางเสียบ้างสิ”

ชายหนุ่มนามถูซานเฟิ่งจึงคว้าหลังคอของถูซานซิ่วซิ่วไว้ในคราวเดียว เพียงตีเบาๆ ไปบนศีรษะนาง ชั่วพริบตานางก็กลายร่างเป็นจิ้งจอกน้อยเก้าหางที่ถูกหิ้วอยู่ในมือของเขาแล้ว เขาคล้ายเคยชินแต่แรกจึงไม่ได้เก็บท่าทีของจิ้งจอกน้อยมาใส่ใจ เพียงยกมือผายมาทางซีกวงกับเฟิงจง “ทั้งสองท่านโปรดตามข้าไปพบหัวหน้าเผ่าด้วย นี่เป็นกฎ”

แม้วาจาฟังดูเกรงอกเกรงใจ แต่ที่จริงแล้วเขาเองก็จับจ้องเฟิงจงไม่วางตามาตลอดเช่นกัน นานกี่ปีแล้วที่ไม่ได้พบเจอมนุษย์เป็นๆ อีกเลย กลิ่นอายนี้ช่างชวนให้ระลึกถึงยิ่งนัก

ฉยงฉีที่กระโดดโลดเต้นได้เช่นเดิมแล้วคอยเดินตามอยู่ด้านหลัง ประจวบเหมาะที่อยู่ใกล้กับจิ้งจอกเก้าหางที่ถูกถูซานเฟิ่งหิ้วอยู่ พวงหางสีขาวฟูฟ่องทั้งเก้านั้นกวาดมาบนตัวของมันเป็นระยะ ชวนให้สบายตัวยิ่ง มันจึงยื่นอุ้งเท้าเจ้าเนื้อของตนไปเขี่ยพวงหางนั้นตลอดทาง ผลคือทำให้ถูซานซิ่วซิ่วมีโทสะ แยกเขี้ยวตวาดแว้ดใส่มันประโยคหนึ่ง “เจ้าสัตว์อสูรอย่ามาแตะต้องตัวข้านะ!”

ฉยงฉีแยกเขี้ยวโต้กลับไปเช่นกัน “พู! ชือชือชือพู!” หน็อย! ก็บิดาจะแตะต้อง แน่จริงมาสู้กับบิดาสิ!

ถูซานเฟิ่งปรายตามองฉยงฉีปราดหนึ่ง ความสนใจใคร่รู้ในตัวมนุษย์ผู้นั้นยิ่งเพิ่มสูงขึ้นไปอีก นับแต่พลังชีวิตในพิภพมนุษย์โรยรา จิ้งจอกเก้าหางตระกูลถูซานก็ออกกฎเข้มงวดในระดับสูงสุด เป็นเหตุให้มีการติดต่อกับโลกภายนอกน้อยครั้งยิ่ง พวกเขาไม่รู้ข่าวคราวภายนอกสักนิดว่าจ่งเสินได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว ถูซานเฟิ่งจึงเพียงรู้สึกว่านางเป็นมนุษย์พิเศษที่ถึงกับสยบสัตว์อสูรร้ายกาจเช่นนี้ได้

เนื่องจากร่างกายยังคงอ่อนแออยู่ ตลอดทางเฟิงจงจึงพูดน้อยยิ่ง แม้ได้ซีกวงช่วยประคองเดิน แต่นางก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ดี ผลจึงกลายเป็นว่านางนึกอิจฉาถูซานซิ่วซิ่วที่ถูกหิ้วตัวอยู่ หากถูกหิ้วตัวเช่นนั้นบ้างก็คงดี

ถูซานซิ่วซิ่วเห็นนางมองดูตน จึงรีบเกาเอวถูซานเฟิ่งไม่หยุด “นี่ๆ ดูเร็วเข้า ดูเร็ว แม่นางน้อยผู้นี้ชมชอบข้า แม่นางน้อยนี่เป็นของข้าแล้วนะ! พวกเจ้าไม่ว่าใครที่บังอาจคิดแย่งนางกับข้า ข้าจะเอาเรื่องกับคนผู้นั้น ฮึ่ม!”

ถูซานเฟิ่งยกมือตกรางวัลให้ถูซานซิ่วซิ่วด้วยการดีดหนึ่งดัชนีใส่หน้าผากที่มีขนฟูฟ่อง ดัชนีนี้ทำเอานางเจ็บจนไม่กล้าส่งเสียงพูดอีกเลย

“พู! ชือชือ!” ฉยงฉีที่อยู่อีกด้านหนึ่งกำลังเริงรื่นในคราวเคราะห์ของผู้อื่น

ในที่สุดซีกวงก็สังเกตเห็นอาการอ่อนเพลียของเฟิงจง เขาเหลียวมองซ้ายขวาก่อนจะประชิดมาเอ่ยกระซิบ “หากเจ้าไม่ถือสา ข้าสามารถแบกเจ้าได้นะ”

เฟิงจงตอบทันใด “ข้าจะถือสาอะไรเล่า ข้ากำลังรออยู่เลยต่างหาก ข้าจะเหนื่อยตายอยู่แล้ว เพื่อสั่งสอนวิหคน้อยนั่น กระทั่งเรี่ยวแรงสักนิดข้าก็ไม่มีเหลือ” ที่นางพูดถึงก็คือชิงเสวียน

ซีกวงจึงย่อกายลงแบกนางขึ้นหลังทันที

ถูซานซิ่วซิ่วอดร้องประท้วงขึ้นมาไม่ได้ “ตงจวิน ท่านอย่ามาแย่งแม่นางน้อยผู้นี้กับข้าสิ ท่านเป็นถึงเทพสวรรค์แท้ๆ มาแย่งมนุษย์ผู้หนึ่งกับข้าเพื่ออะไร ท่านไม่กระดากอายบ้างเลยหรือ!”

ครานี้ถูซานเฟิ่งไม่ได้ลงมือกับถูซานซิ่วซิ่วอีก แต่เลือกที่จะปิดปากนางไว้เลย “ถึงแล้ว”

เฟิงจงช้อนตามองไป เมื่อครู่ยังรู้สึกว่าสองข้างทางล้วนเป็นแมกไม้ เบื้องหน้ามีแต่หมอกขาวเลือนรางกลุ่มหนึ่ง ยามนี้เบื้องหลังหมอกขาวนั้นถึงกับเผยให้เห็นหมู่เรือนอันสลับซับซ้อน ทั้งหมดเป็นเรือนเตี้ยๆ ที่เรียบง่ายยิ่ง เป็นรูปแบบของตระกูลถูซานในความทรงจำของนางจริงเสียด้วย

ดูเหมือนซีกวงจะคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี ไม่ต้องให้ถูซานเฟิ่งนำทาง เขาก็แบกนางเดินเข้าไปในเรือนหลังใหญ่ที่สุดด้วยตนเองแล้ว

ทันทีที่ผ่านเข้าประตูไปก็สูดได้กลิ่นอายอันเข้มข้นของเซียนจิ้งจอก เบื้องหน้าจัดวางตั่งไม้กับโต๊ะเตี้ยอย่างเรียบง่าย ด้านในคือเตียงขนาดใหญ่ที่คลี่คลุมด้วยม่านมุ้ง ภายในนั้นมีเงาร่างของคนผู้หนึ่งเอนร่างนอนอยู่

ซีกวงเอ่ย “หัวหน้าเผ่า ข้ามาเยี่ยมคารวะท่านแล้ว”

“โอ๊ะ ตงจวินหรือ ท่านไม่ได้มาเยี่ยมยายเฒ่าอย่างข้านานทีเดียวนะ” น้ำเสียงชราภาพของสตรีดังมาจากด้านใน

ถูซานเฟิ่งที่ตามมาด้านหลังเอ่ยรายงาน “หัวหน้าเผ่า ผู้ที่มาพร้อมกับตงจวินยังมีมนุษย์อีกคนขอรับ”

“มนุษย์?” หัวหน้าเผ่าใช้มือข้างหนึ่งแง้มม่านคลุมเตียง มือข้างนั้นเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น นางเผยดวงตาเพียงข้างเดียวมองดูเฟิงจง จากนั้นก็ร้องเสียงพิกลก่อนกระถดถอยกลับเข้าไปข้างในทันที ทุกคนในที่นี้ล้วนตกใจจนชะงักไปกันหมด

ถูซานเฟิ่งถึงกับพลั้งมือโยนถูซานซิ่วซิ่วลงพื้น ให้นางสบช่องกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ดังเดิม พอนางดึงตัวเฟิงจงลงจากแผ่นหลังของซีกวงมาได้ก็รีบพาอีกฝ่ายเดินไปที่ข้างเตียง “ท่านย่า ท่านมาดูเร็วเข้า นี่เป็นมนุษย์แท้ๆ เชียวนะ ข้านึกแล้วเชียวว่าท่านจะต้องประหลาดใจจนร้องออกมา!”

“ยะ…อย่าเข้ามา!” หัวหน้าเผ่าดึงม่านปิดเอาไว้อย่างลนลาน “รอก่อน แค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ข้าใกล้จะเรียบร้อยแล้ว!”

ถูซานซิ่วซิ่วหยุดฝีเท้าด้วยความงุนงง เฟิงจงที่ถูกนางฉุดลากมานั้นรีบฉวยจังหวะนี้ชักแขนออกมาแล้วยืนให้มั่นคง

ม่านมุ้งที่โรยต่ำพลันขยับไหวก่อนจะถูกแง้มเปิดอีกครา ทว่ามือที่ยื่นออกมาคราวนี้กลายเป็นมีผิวพรรณเปล่งปลั่งขาวเนียนแล้ว ผู้ที่ยื่นกายตามออกมาจากด้านในคือสตรีชุดสีขาวที่เกล้าเรือนผมสลวยขึ้นสูง คิ้วตาเปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์

ถูซานซิ่วซิ่วถามด้วยความประหลาดใจ “จู่ๆ ท่านย่าแปลงร่างเป็นสาวถึงเพียงนี้ทำไมกัน”

หัวหน้าเผ่าเดินมาถึงเบื้องหน้าเฟิงจงโดยไม่แยแสผู้เป็นหลานสาว รอจนมองพิจารณาเฟิงจงอย่างละเอียดแล้ว หัวหน้าเผ่าก็ตกตะลึงจนผงะถอยไปสองก้าว “เจ้าเมล็ดพันธุ์ เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย!”

เฟิงจงตะลึงงัน พินิจมองอีกฝ่ายขึ้นลงอยู่เป็นนาน “เจ้าคือ…ถูซานจิ่วหลิง?”

“ใช่แล้วข้าเอง!” ถูซานจิ่วหลิงลูบใบหน้า “ยังดีนะที่ข้าสามารถรักษารูปโฉมนี้ไว้ได้ เจ้าเปลี่ยนเป็นอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้แล้ว หากข้าพบเจ้าด้วยสภาพแก่ชรา ก็ไม่แคล้วขายหน้าหมดน่ะสิ”

เฟิงจงนึกขันระคนประหลาดใจอยู่บ้าง “ข้านึกว่าเจ้าเลือกที่จะนิทราเช่นเดียวกับสหายเก่าเหล่านั้นเสียอีก”

“นิทราอะไรเล่า มีเจ้าเด็กน้อยฝูงนี้อยู่ ผู้ใดจะไปนิทราลง!” ถูซานจิ่วหลิงกวักมือเรียกถูซานซิ่วซิ่วกับถูซานเฟิ่ง “มาๆ นี่คือจ่งเสินเฟิงจงผู้เป็นศิษย์ของมหาเทพหนี่ว์วา พวกเจ้ามาคารวะนางสิ แม้นางกับข้าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่นางเป็นศิษย์ของมหาเทพหนี่ว์วาเช่นเดียวกับท่านแม่ข้า ดังนั้นลำดับอาวุโสจึงสูงกว่าข้าเสียอีก พวกเจ้าก็เรียกนางว่าย่าทวดแล้วกัน”

ตอนนี้เวียนมาถึงคราวที่ถูซานซิ่วซิ่วต้องร้องเสียงหลงบ้างแล้ว “เมื่อครู่ข้าพบนาง ยังเรียกนางว่าน้องสาวอยู่เลย เหตุ…เหตุใดนางกลายเป็นย่าทวดไปเสียแล้วเล่า!”

ถูซานเฟิ่งก้าวขึ้นหน้ามาคารวะแต่โดยดี ทว่าไม่ได้เอ่ยปากเรียกขาน คาดว่าอยู่ต่อหน้าแม่นางน้อยผู้หนึ่งเช่นนี้ เขาคงจะเรียก ‘ท่านย่าทวด’ ออกจากปากไม่ได้จริงๆ

ถูซานจิ่วหลิงเองก็ไม่ได้ติดใจ นางประหลาดใจเรื่องเฟิงจงมากเหลือเกิน จึงดึงมืออีกฝ่ายมาสอบถามโดยทิ้งซีกวงไว้อีกทางหนึ่ง “เจ้ามาอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร”

เฟิงจงทอดถอนใจ ก่อนจะเล่าเรื่องตอนที่นางเพิ่งตื่นจากนิทราให้ถูซานจิ่วหลิงฟังอย่างคร่าวๆ

“เจ้าวิ่งวุ่นอยู่ในพิภพมนุษย์อันรกร้างนั่นเพียงลำพังด้วยหรือ” ถูซานจิ่วหลิงท่าทางตื่นเต้นราวกับกำลังฟังเรื่องเล่าอยู่

“เดิมทีก็มีข้าเพียงคนเดียว ต่อมาข้าเก็บเทพน้อยที่บาดเจ็บสาหัสได้ผู้หนึ่งจึงต่อชีวิตให้เขา และให้เขาเป็นหุ่นเวทของข้า”

ถูซานจิ่วหลิงจุปาก “เทพน้อยนั่นช่างดวงดีเกินไปแล้ว ถึงกับได้เป็นหุ่นเวทของเจ้า เมื่อก่อนหุ่นเวทของเจ้าต้องผ่านการคัดสรรจากมหาเทพหนี่ว์วาเองเชียวนะ”

เฟิงจงแย้มยิ้ม “ตอนนี้แม้แต่ฐานรากดวงจิตของข้าก็ยังไม่มั่นคงเลย จะเอ่ยถึงเมื่อก่อนไปทำไม นั่นล้วนเป็นความรุ่งโรจน์ที่ผ่านเลยไปหมดแล้ว”

ถูซานจิ่วหลิงเพิ่งจะนึกถึงซีกวงในตอนนี้เอง “ตงจวินมาพร้อมกับเจ้าด้วย หรือว่าจะมาด้วยเรื่องดวงจิตของเจ้า?”

ซีกวงสบช่องจึงใช้ให้เกิดประโยชน์ทันที “หัวหน้าเผ่าจะต้องมีวิธีแน่”

“เรื่องนี้ไม่ยากเลย ช่วงที่ผ่านมาในเผ่าข้ามีบางคนพลาดพลั้งด่วนจากไป หลังจากตายข้าก็ยังเก็บรักษาลูกกลอนปราณในร่างเอาไว้ ลูกกลอนปราณนี้มีประโยชน์กว่าให้พวกเจ้าไปตามหายอดโอสถอะไรเป็นไหนๆ ในเมื่อผู้ที่ต้องการใช้คือเจ้าเมล็ดพันธุ์ ข้าก็จะมอบให้เจ้าหนึ่งลูก”

เฟิงจงโล่งอก “ได้พบเจ้าช่างวิเศษโดยแท้ หาไม่ก็ยังไม่รู้ว่าพวกเราต้องตามหาโอสถไปอีกนานเท่าไร”

ถูซานจิ่วหลิงกล่าว “ในเมื่อเจ้ากลายมาเป็นเช่นนี้แล้ว ก็คงจะเป็นลิขิตของสวรรค์เบื้องบน มิสู้เจ้าอยู่ที่นี่เสียเลย นับแต่โบราณมาพวกเราจิ้งจอกเก้าหางตระกูลถูซานก็มากลูกมากหลานอยู่แล้ว ตอนนี้เจ้าเป็นมนุษย์ก็ควรจะแต่งงานเกี่ยวดองกับเผ่าจิ้งจอกเก้าหางของข้า รับรองว่าจะต้องสืบทอดทายาทได้มากมายเป็นแน่ นี่ก็เป็นเรื่องดีที่จะสร้างประโยชน์สุขแก่พิภพมนุษย์ด้วยเช่นกัน”

ซีกวงพลันขมวดคิ้วมุ่น รีบมองสีหน้าของเฟิงจง เขาพบว่านางถึงกับใคร่ครวญอย่างจริงจังอยู่

“พูดไปแล้ววาจานี้ก็ใช่ว่าไม่ดี…”

เฟิงจงเพิ่งจะเริ่มต้นประโยคเท่านั้น ถูซานซิ่วซิ่วก็ร้อนใจยิ่ง “ท่านย่า หากข้าบำเพ็ญร่างบุรุษเสียแต่ตอนนี้ยังจะทันเวลาอยู่หรือไม่!”

ถูซานจิ่วหลิงกลอกตามองหลานสาว “เจ้าไม่ต้องมาเสนอตัวเลย!” นางพูดพลางชำเลืองมองถูซานเฟิ่ง ผู้ที่นางพออกพอใจมากกว่าก็คือเขา

เฟิงจงเอ่ยประโยคต่อจนจบ “เพียงแต่ตอนที่ข้าประมือกับอวี้ถูที่ทะเลเขี้ยวพิโรธ เขาแย้มพรายว่าที่พิภพมนุษย์ลงเอยเช่นนี้ก็เพราะมนุษย์ไปแตะต้องถูกสิ่งที่ไม่พึงจะแตะต้องเข้า ข้าจึงอยากไปสืบหาต้นเหตุดูสักหน่อย รอจนฐานรากดวงจิตของข้ามั่นคงและยืมวิสุทธิ์โลหิตมาฟื้นฟูความเป็นเทพแล้ว ข้าถึงจะลงมือแก้ไขสภาพของพิภพมนุษย์ได้”

ถูซานจิ่วหลิงลูบจอนผมตนเอง “พิภพมนุษย์ตกอยู่ในสภาพนี้แล้ว เกรงว่าคง…” นางชำเลืองมองสีหน้าของเฟิงจงแล้วไม่ได้พูดต่อ นี่คือหน้าที่อันพึงกระทำของผู้เป็นจ่งเสิน นางย่อมไม่อาจห้ามปรามอีกฝ่ายได้

บรรยากาศหนักอึ้งอยู่บ้าง ถูซานเฟิ่งจึงเข้ามาพูดแก้สถานการณ์ให้ “หัวหน้าเผ่า เหตุใดท่านไม่เชิญแขกไปพักสักครู่ก่อนเล่าขอรับ พวกเขาเองก็เหน็ดเหนื่อยกันแล้ว”

ถูซานจิ่วหลิงก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน นางจึงผงกศีรษะรับแล้วเอ่ยกำชับว่าต้องดูแลเฟิงจงให้ดี ทั้งยังถือโอกาสนี้รีบคว้าตัวถูซานซิ่วซิ่วที่เกาะติดเฟิงจงเอาไว้ด้วย

ซีกวงข่มอารมณ์ไว้ เดินมาประคองเฟิงจงแล้วตามหลังถูซานเฟิ่งออกจากประตูไป

ระหว่างทางเฟิงจงพลันถามขึ้นหนึ่งประโยค “เจ้ารู้จักถูซานสือฟางหรือไม่”

ถูซานเฟิ่งหันหน้ามาแล้วขบคิด “ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

“เขาอยู่ที่แดนฮุ่นตุ้นน่ะ”

ถูซานเฟิ่งกล่าว “เช่นนั้นก็ไม่แปลกอะไร จิ้งจอกตระกูลถูซานที่อยู่ในแดนฮุ่นตุ้น เป็นไปได้มากที่จะประพฤติตัวไม่ดี เขาจะต้องเปลี่ยนชื่อเป็นแน่ ข้าย่อมจะไม่รู้จัก”

เฟิงจงผงกศีรษะ

ซีกวงที่อยู่ด้านข้างไม่แสดงสีหน้าใดๆ

ถูซานเฟิ่งพลันนึกอะไรขึ้นได้ จึงสอบถามซีกวงดู “ตงจวิน เมื่อก่อนหัวหน้าเผ่าก็เคยมอบลูกกลอนปราณให้ท่านลูกหนึ่งมิใช่หรือ ท่านใช้แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง”

ลูกกลอนปราณจากการบำเพ็ญเซียนของจิ้งจอกเก้าหางมีประโยชน์ใช้สอยอยู่หลายประการ นอกจากใช้รักษาฐานรากดวงจิตให้มั่นคงแล้ว ยังสามารถหลอมรวมเข้าสู่ร่างกายเพื่อที่จะใช้อาคมมายาและอัคคีจิ้งจอกได้เช่นเดียวกับชนเผ่าจิ้งจอกเก้าหาง

ซีกวงปรายตามองเฟิงจงปราดหนึ่งก่อนตอบ “สิ่งนั้นล้ำค่าเกินไป ข้าจึงถนอมรักษาไว้เป็นอย่างดี”

ถูซานเฟิ่งพยักหน้าโดยไม่ได้ซักถามอะไรอีก

เฟิงจงเลิกคิ้วใส่เขา “นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าจะสนิทสนมกับตระกูลถูซานด้วย”

ซีกวงกล่าว “เมื่อก่อนตอนที่ผู้คนในพิภพมนุษย์จวนจะสาบสูญไป ระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ข้าได้ช่วยชีวิตเซียนจิ้งจอกผู้หนึ่งไว้ และส่งเขากลับมายังชิงชิว หัวหน้าเผ่าจึงมอบลูกกลอนปราณลูกหนึ่งให้ข้าเป็นการตอบแทน เช่นนี้ถึงได้ผูกวาสนากัน”

แน่นอนว่าเขาได้ใช้ลูกกลอนปราณลูกนั้นไปสร้างร่างแบ่งภาคแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ไม่อาจพูดออกไปได้

 

ถูซานจิ่วหลิงมอบลูกกลอนปราณให้อย่างที่พูดไว้ เฟิงจงพักผ่อนไปหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นถูซานเฟิ่งก็นำลูกกลอนปราณมาส่งให้ถึงเบื้องหน้านางแล้ว

ที่ผ่านมาเฟิงจงไม่เคยคิดจะเป็นฝ่ายไปหาเหล่าสหายเก่ามาก่อนเลย ด้วยความที่เกิดมาก็ได้รับการเคารพนับถืออย่างสูง นางย่อมจะไม่ยินดีให้สหายเก่าได้เห็นสภาพตกอับของตนเอง ดังนั้นนางจึงหวังมาตลอดว่ารอให้ตนคืนสู่ความเป็นเทพเช่นเดิมก่อน แล้วค่อยไปปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา ซึ่งครั้งนี้นับว่าเป็นโชคดีแล้วจริงๆ ที่ได้สหายเก่ามาช่วยเหลือ

ภายหลังจากที่กลืนลูกกลอนปราณลงไปแล้ว นางจำเป็นต้องนั่งเข้าฌานเพื่อหลอมรวมมันเข้าสู่ร่างกาย เรือนที่ถูซานเฟิ่งจัดเตรียมให้นางหลังนี้ลับตาและเงียบสงบ เหมาะแก่การพักฟื้นพอดี

นางขัดสมาธิอยู่บนเตียงก่อนจะเข้าฌานอย่างสงบใจ แม้แต่ฉยงฉีก็ยังหมอบอยู่ด้านข้างไม่กล้ารบกวน แต่แล้วจู่ๆ กลับได้ยินเสียงเปิดประตูดังแอ๊ด

พอลืมตาขึ้น เฟิงจงก็เห็นจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่งเบี่ยงตัวจากข้างนอกเข้ามาหมอบอยู่ใต้เตียงด้วยฝีเท้าอันแผ่วเบา มันสะบัดพวงหางทั้งเก้าพลางมองนางด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้มยิ่ง

เสียงประตูดังขึ้นอีกหน จิ้งจอกน้อยมุดเข้ามาอีกตัวแล้ว มันมาล้อมอยู่ข้างกายนางโดยไม่ส่งเสียงเช่นเดียวกับตัวก่อนหน้า

จากนั้นก็มีตัวที่สาม…ตัวที่สี่…

เพียงชั่วครู่จิ้งจอกน้อยขนปุยสีขาวหิมะตัวแล้วตัวเล่าก็เข้ามาเบียดเสียดกันอยู่บนพื้นข้างเตียง เรื่อยไปจนถึงธรณีประตู กระทั่งเกือบจะมาอยู่จนเต็มเรือนแล้ว พวกมันบ้างนั่งบ้างนอน บ้างก็เล่นกันเงียบๆ มีพวกมันมาห้อมล้อมนางอยู่ในเรือนเช่นนี้ กระทั่งประตูเรือนก็ยังปิดไม่ได้เลย

เฟิงจงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ผิดกับฉยงฉีที่ดีอกดีใจยิ่ง ด้วยหางของมันสั้นเกินไป มันจึงชื่นชอบหางยาวฟูฟ่องของจิ้งจอกเก้าหางเป็นอย่างยิ่ง มันชอบจนถึงขั้นกระโดดลงไปเล่นกับพวกจิ้งจอกน้อยเสียเลย

ยามที่ดวงตะวันคล้อยสู่ทิศตะวันตก ถูซานเฟิ่งก็ยกอาหารเข้ามาส่ง เมื่อเผชิญหน้ากับภาพเหล่าจิ้งจอกน้อยนั่งนอนเต็มพื้นนี้ เขาไม่เพียงสงบนิ่งยิ่ง ยังหาช่องว่างบนพื้นเดินเขย่งเข้ามาอย่างมีน้ำอดน้ำทน รอจนวางอาหารป่าที่ย่างสุกกับผลไม้สดอีกจานไว้บนขอบเตียง เขาจึงค่อยยกมือผายมาทางเฟิงจงในท่าเชื้อเชิญ

เฟิงจงชี้มือไปยังเหล่าจิ้งจอกบนพื้น นึกว่าเขาจะจัดการอะไรให้บ้าง ไหนเลยจะรู้เขากลับทำเป็นมองไม่เห็น เพียงแค่กล่าวอำลาออกไป

ถูซานเฟิ่งเพิ่งจะคล้อยหลังจากไป ถูซานจิ่วหลิงก็มาถึงแล้ว ถูซานซิ่วซิ่วก็ตามหลังมาด้วย ยามเดินเหินกระพรวนบนข้อเท้าของนางจะส่งเสียงกังวานใส สองย่าหลานเป็นเช่นเดียวกับถูซานเฟิ่ง มองข้ามเหล่าจิ้งจอกน้อยที่อยู่เต็มเรือน เขย่งฝีเท้ามาจนถึงเบื้องหน้าของเฟิงจงแล้วนั่งชิดประกบซ้ายขวา จากนั้นก็โปรยยิ้มหวานที่ทำให้ผู้อื่นขนลุกได้ทีเดียว

“เจ้าเมล็ดพันธุ์ พวกเราไม่ได้พบกันตั้งนานแล้ว คืนนี้มานอนคุยกันดีกว่า” ก่อนหน้านี้ถูซานจิ่วหลิงเปลี่ยนสีผมของตนให้เป็นสีดำก็จริง ทว่ายามนี้เรือนผมได้กลับมาเป็นสีเงินตามลักษณะของตระกูลถูซานแล้ว นอกจากนี้เครื่องหน้าอันงามเฉิดฉายก็ยังมีปราณเซียนเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน

เฟิงจงมองแขนซ้ายที่ถูกอีกฝ่ายกอดแน่น ก่อนจะเบนสายตาไปมองแขนขวาที่ถูกถูซานซิ่วซิ่วรัดไว้ “เหตุใดเมื่อก่อนข้าไม่เคยรู้เลยว่าตระกูลถูซานจะมีไมตรีเร่าร้อนถึงเพียงนี้”

“ก็เมื่อก่อนเจ้าไม่ใช่มนุษย์นี่” ถูซานจิ่วหลิงยิ้มเย้า ก่อนจะประชิดเข้ามาสูดดมนางแล้วมุ่นคิ้ว “แปลกจริง เจ้าอยู่ร่วมกับตงจวินแท้ๆ เหตุใดบนร่างถึงได้มีกลิ่นอายของวิญญาณเล่า”

เฟิงจงตะลึงไปทันที สองวันมานี้ร่างกายนางอ่อนแอ พลังวิเศษก็ขาดๆ หายๆ นางถึงกับไม่รู้สึกเลยสักนิด “มีจริงหรือ”

ถูซานจิ่วหลิงสีหน้าจริงจังยิ่ง “ข้าจะหลอกเจ้าทำไม เจ้าบอกเองมิใช่หรือว่าอวี้ถูทำตัวเป็นอริกับเจ้า จะใช่บริวารที่เขาส่งมาตามรอยเจ้าหรือไม่”

เฟิงจงนึกถึงวิญญาณร่อนเร่ร่างใหญ่มหึมานั้นขึ้นมาในพริบตา จากนั้นก็ส่ายศีรษะกล่าว “น่าจะไม่ใช่ มีซีกวงอยู่ด้วย สิ่งที่มาจากตำหนักยมโลกไม่อาจเข้าใกล้ข้าได้หรอก คงจะเป็นวิญญาณร่อนเร่ที่พักนี้คอยติดตามข้าอย่างมีเงื่อนงำนั่นมากกว่า ข้าเองก็นึกสงสัยถึงสาเหตุที่วิญญาณร่อนเร่นั่นตามติดข้ามาตลอด”

“มีตงจวินอยู่มันก็ยังเข้าใกล้เจ้าได้? เห็นทีวิญญาณตนนี้จะต้องมีกลิ่นอายที่บริสุทธิ์ ไม่มีเจตนาร้ายแม้แต่น้อย นับว่าเรื่องนี้แปลกจริงเชียว”

เฟิงจงผงกศีรษะอย่างเห็นพ้อง

ถูซานซิ่วซิ่วเอ่ยอย่างร้อนใจ “ถึงไม่มีเจตนาร้ายก็ไม่ได้! ท่านย่ารีบคิดหาหนทางเร็วเข้าเถอะ อยู่ดีๆ คนเป็นๆ ผู้หนึ่งกลับถูกวิญญาณตามพัวพัน มันจะใช้ได้อย่างไร!”

ถูซานจิ่วหลิงรำคาญที่หลานสาวเอะอะโวยวายเช่นนี้ จึงสะบัดมือตีปรามนางไปหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยกับเฟิงจงต่อ “ข้าร่ายค่ายกลเวทไว้บนร่างเจ้าดีกว่า มันสามารถอำพรางปราณชีวิตบนร่างของเจ้ากับตงจวินได้ชั่วคราว หากวิญญาณตนนั้นปรากฏกายขึ้นอีก เจ้าก็จะมองเห็นรูปโฉมเมื่อครั้งที่อีกฝ่ายยังมีชีวิตได้ชัดเจน บางทีเจ้าอาจจะพบคำตอบที่ตามหาก็เป็นได้”

เฟิงจงผงกศีรษะรับ ถูซานจิ่วหลิงจึงร่ายเวทบนร่างนางอย่างรวดเร็ว ทันทีที่รั้งมือกลับมา ความเคร่งขรึมที่เพิ่งฉาบอยู่บนใบหน้าก็เลือนหายไปในพริบตาเดียว เปลี่ยนเป็นอาการอยากจะโผทั้งตัวไปเกาะหนึบบนร่างเฟิงจงให้ชื่นใจแล้ว

“โอ๊ยๆ เจ้าเมล็ดพันธุ์ เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าชื่นชอบปราณชีวิตทั่วกายของเจ้าในยามนี้มากเพียงใด ข้าแทบอยากจะผูกติดอยู่กับเจ้าทุกวันถึงจะสบายใจ”

“ผูกข้าไปด้วยนะ! ผูกข้าด้วย!” ถูซานซิ่วซิ่วเกาะอยู่บนร่างอีกครึ่งของเฟิงจง ขณะนี้สองย่าหลานดูไม่ต่างอะไรกับเครื่องประดับที่ห้อยอยู่บนร่างของนางเลย

เฟิงจงนวดคลึงลูกกลอนปราณที่กำลังหลอมรวมอยู่ในท้องของตนอย่างเชื่องช้า “พูดตามตรงว่านี่เป็นครั้งแรกนับแต่ข้าตื่นจากนิทราที่รู้สึกว่าเป็นมนุษย์นั้นยอดเยี่ยมกว่าเป็นเทพ”

ฉยงฉีร้อง “ชือ” ก่อนจะมุดทั้งศีรษะเข้าไปอยู่ท่ามกลางปุยขนอันฟูฟ่องกองหนึ่ง นี่ก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่มันรู้สึกว่าเป็นหุ่นเวทยอดเยี่ยมกว่าเป็นสัตว์อสูร

ตกดึก ยามที่ซีกวงอาบแสงจันทร์อันอ่อนจางจนเดินมาถึงหน้าประตูเรือน เขาก็พบถูซานเฟิ่งกอดอกยืนพิงอยู่ข้างผนัง ในเรือนมีแสงไฟสว่างไสว จิ้งจอกน้อยที่นั่งเรียงรายเป็นระเบียบอยู่เต็มพื้นต่างแหงนหน้ามองไปที่เตียงเป็นตาเดียว

ถูซานจิ่วหลิงกำลังแอบอิงเฟิงจงพลางพูดจ้อฉะฉานอยู่บนเตียง “ข้าจะบอกพวกเจ้าอย่าง เมื่อก่อนจ่งเสินน่ะเป็นที่เคารพยกย่องของทุกคน บรรดาเทพเซียนในพิภพสวรรค์ยังต้องให้เกียรตินางสามส่วน เพราะนางคือทายาทผู้สืบทอดวิสุทธิ์โลหิตของมหาเทพหนี่ว์วาเชียวนะ”

ถูซานซิ่วซิ่วรับฟังจนสองตาเปล่งประกาย เหล่าจิ้งจอกน้อยยิ่งร้องอุทานกันเสียงดังเซ็งแซ่ ทว่ายามนี้ทายาทที่ถูกพูดถึงผู้นั้นกลับตาปรือ มีท่าทีง่วงงุน ดูแล้วพร้อมที่จะล้มตัวลงนอนไปได้ทุกเวลา

ซีกวงเดินเนิบนาบเข้าประตูไปแล้วหยุดยืนที่ริมหน้าต่าง หยิบขลุ่ยสั้นอันประณีตเลาหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เขาวางขลุ่ยจรดกับริมฝีปากแล้วเป่า ทั้งยังแหงนหน้ามองไปทางจันทรา

สายตาทุกคู่ในเรือนล้วนถูกดึงดูดด้วยท่วงทำนองที่เขาเป่าบรรเลง ถูซานจิ่วหลิงรีบเอ่ยขึ้นทันใด “ตงจวินหยุดเป่าเร็วเข้า ดึกดื่นป่านนี้แล้วท่านยังจะเป่าคาถาเรียกมังกรอีกหรือ”

ซีกวงเบนขลุ่ยสั้นออกจากปากแล้วหันหน้ามา “ข้าเห็นว่าพวกท่านยังดูคึกคักกระปรี้กระเปร่า ราวกับยามนี้ไม่ใช่กลางราตรีอันดึกสงัด จึงตั้งใจจะเรียกหลงต้ากับหลงเอ้อร์ที่ตำหนักข้าให้ส่งดวงตะวันขึ้นสู่ยอดต้นฝูซังก่อนเวลาเสียเลย”

ถูซานจิ่วหลิงพลันหน้าแดงด้วยความกระดาก นางเองก็มองออกว่าเฟิงจงง่วงงุนมากแล้ว แต่ด้วยความที่ไม่มีปราณมนุษย์หล่อเลี้ยงมาเนิ่นนานเพียงนี้ พวกนางจึงไม่แคล้วตื่นเต้นยินดีจนเลยเถิดไปสักหน่อย ยามนี้เห็นซีกวงมาแบบนิ่งสุขุม ก็ยิ่งไม่เป็นการสมควรที่พวกนางจะอยู่รบกวนต่อ ดังนั้นถูซานจิ่วหลิงจึงกระแอมแก้เก้อแล้วยืนขึ้นโบกมือเรียกเหล่าจิ้งจอกน้อย “เอาล่ะ เด็กๆ ทั้งหลาย รีบกลับไปกันเถอะ ควรเข้านอนกันได้แล้ว”

เหล่าจิ้งจอกน้อยล้วนอยู่ในโอวาทยิ่ง แม้พวกมันจะยังรู้สึกไม่จุใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังลุกขึ้นเดินเรียงกันออกจากประตูไป ตอนนี้ถูซานเฟิ่งที่อยู่นอกประตูถึงได้ขยับเท้า นำพาเจ้าตัวน้อยขนปุยสีขาวหิมะกลุ่มนี้กลับไปยังที่พัก

ฉยงฉียังคงอาลัยอาวรณ์เดินตามมาส่งจนถึงหน้าประตู มันคร่ำครวญด้วยเสียงพูชือ ก่อนจะหันไปเห็นว่า ’นายพรานชุดดำ’ กำลังถลึงตาใส่มันอยู่ มันถึงค่อยสำรวมท่าทีขึ้นมาบ้าง รีบตัดใจวิ่งกลับไปอยู่ข้างกายเฟิงจง

ทว่าถูซานซิ่วซิ่วกลับไม่ยอมจากไป ทั้งไม่รู้สึกตัวสักนิดว่าเมื่อครู่ซีกวงออกปากไล่คนมาแล้ว นางยังคงพัวพันแขนของเฟิงจงไม่ยอมปล่อยมือ สุดท้ายจึงถูกผู้เป็นย่าออกกระบวนท่าเดียว ฟาดนางคืนร่างเดิมแล้วหิ้วตัวกลับไปเสียเลย

เฟิงจงไม่รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวภายในเรือนแม้แต่น้อย แม้นางจะรักษาอิริยาบถนั่งขัดสมาธิเอาไว้ได้ แต่สองตากลับปิดไปนานแล้ว ขณะที่สติรับรู้เริ่มเลือนราง บนพวงแก้มนางก็พลันเย็นวูบ นางสะดุ้งตื่นขึ้นทันใด ก่อนจะพบว่าอาภรณ์สีดำของซีกวงอยู่เบื้องหน้าสายตาแล้ว มือข้างหนึ่งของเขาถืออะไรบางอย่างแนบแก้มของนางด้วย

มือเฟิงจงหยิบของชิ้นนั้นมาดูที่เบื้องหน้าสายตา ที่แท้เป็นหยกเขียวชิ้นหนึ่ง ตอนนี้นางถึงค่อยคิดใคร่ครวญได้ “นี่ก็คือหยกเขียวที่เจ้าบอกว่าเพิ่มพูนพลังวิเศษได้น่ะหรือ”

ซีกวงผงกศีรษะรับ “ฝั่งทางใต้ของทิวเขาชิงชิวอุดมด้วยหยกจริงเสียด้วย พอข้าบอกซิ่วซิ่วว่าจะหามาให้เจ้า นางก็สั่งการเป็นพิเศษให้คนในเผ่าพาข้าไปจนกระทั่งพบสิ่งนี้”

เห็นชัดว่าหยกเขียวเพิ่งผ่านการเจียระไนมาหมาดๆ ยามที่เฟิงจงพกหยกเขียวไว้ในอกเสื้อก็รู้สึกสบายตัวขึ้นจริงๆ นางจึงคลี่ยิ้มถามเขาว่า “ข้าต้องขอบคุณเจ้าอย่างไรดี”

ซีกวงเหลียวมองซ้ายขวา เมื่อแน่ใจว่าด้านนอกไม่มีใคร ถึงได้โน้มกายมาตอบใกล้ๆ “เจ้าเร่งไปจากที่นี่ก็นับเป็นการขอบคุณข้าแล้ว”

“หืม?” เฟิงจงเพิ่งจะพูดได้คำเดียว ตัวนางก็ถูกเขารวบเข้าไปในอ้อมอก มืออีกข้างของเขาพลันหิ้วตัวฉยงฉีไว้ จากนั้นกระโดดออกนอกหน้าต่างไปอย่างรวดเร็ว แล้วขึ้นไปบนก้อนเมฆที่ลอยละล่องรออยู่

ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดแสงประหนึ่งสายน้ำ หลังจากเหาะไปได้ไกลแล้ว เฟิงจงก้มหน้ามองลงไปก็พบถูซานเฟิ่งเดินอยู่ละแวกนั้น

น้ำเสียงของซีกวงเย็นเยียบทันใด “มองอะไรของเจ้า หากข้ายังไม่พาเจ้าจากไปล่ะก็ อีกไม่กี่วันถูซานจิ่วหลิงต้องเอ่ยเรื่องแต่งงานนั่นอีกแน่ แปดในสิบส่วนผู้ที่นางจะเสนอก็คือเจ้าหนูนี่”

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 พ.ย. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 13

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: