บทที่เก้า
เย็นวันนี้เฉิงซั่วมีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงในพระราชวัง ตรัสว่าเป็นการฉลองที่เฉิงตั๋วได้รับชัย ทั้งยังตรงกับวันชาติ สมควรแก่การเฉลิมฉลองเล็กๆ อย่างไรก็ตามการเฉลิมฉลองเล็กๆ นี้กลับไม่ได้เล็กจริงๆ ขุนนางในราชสำนัก รวมไปถึงตระกูลสูงศักดิ์ทุกตระกูลล้วนมาเข้าร่วม ตงฟางได้ที่นั่งในตำแหน่งด้านหลังสุด เดิมทีเขามานั่งด้วยใจอยากรับชมความครึกครื้น ทว่ากลับถูกความครึกครื้นนี้ก่อกวนจนทนไม่ไหวขึ้นมา บนเวทีเป็นการบรรเลงดนตรีไม่ขาดตอน ล่างเวทีเป็นการยกจอกสุราคารวะกันไม่เลิก ทั้งบนทั้งล่าง ตงฟางมองไม่เห็นถึงความเจ็บปวดของพระราชโองการตำหนิพระองค์เองเลยแม้แต่น้อย
โชคดีที่รสสุราในวังยังนับว่าดี เขาหันหน้าไปก็บังเอิญเห็นจ้าวสุ่น จ้าวสุ่นชูจอกสุราให้เขา ตงฟางจึงชูตอบ ทั้งสองคนต่างดื่มหมดจอก คราวนี้จ้าวสุ่นก็เดินทางกลับมาพร้อมเฉิงตั๋ว แต่ปกติมักจะอยู่ในจวนของตัวเองเลยไม่ได้พบหน้ากัน
ยามที่เสวยน้ำจัณฑ์ไปได้สักพัก เฉิงซั่วก็ทรงนึกอารมณ์ดี สั่งให้ขุนนางบุ๋นแต่งกลอน ขุนนางบู๊รำกระบี่ เรื่องสร้างความบันเทิงให้ทุกคนประเภทนี้ ผู้ที่มีหน้ามีตามีฐานะส่วนใหญ่ไม่มีทางลงมือ ดังนั้นขุนนางบู๊ระดับล่างบางส่วนจึงผลัดกันออกมารำกระบี่ไม้ พอรับชมแก้เบื่อได้
ตงฟางมองบรรยากาศร่ำสุราคลอเสียงดนตรี ผู้คนสวมอาภรณ์ประทินโฉมฉูดฉาด ก็รู้สึกไม่เข้าหูเข้าตาอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นบรรดาสตรีในวังหลังยังคอยแอบส่งสายตาให้เขาอยู่เรื่อย ตงฟางพลันนึกถึงท้องทุ่งเงียบสงบในหุบเขาไร้นามทางตะวันตกของเมืองผิงเหยา เมื่อมองเบื้องหน้าอันรุ่งเรืองโอ่อ่า ในใจก็ลอบคิดว่านี่หรือคือสิ่งที่ตนต้องการ ครั้นคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกหงุดหงิดกลัดกลุ้มขึ้นมา
เขาพลันเหลือบไปเห็นเฉิงจิ่นนั่งดื่มอยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่ได้สนทนากับผู้ใด ก็ให้รู้สึกว่านางช่างเสแสร้งทำตัวสูงส่งเป็นที่สุด จากนั้นก็นึกถึงสายตาที่นางใช้มองตนยามแรกพบตอนที่อยู่ด้านนอกจวนจิ้งหย่วนอ๋อง ภายหลังเขายังได้ยินนางหัวเราะเยาะคนที่แต่งกลอนให้ ตงฟางจึงหยิบพู่กันขึ้นมา แต่งกลอนยาวบทหนึ่งแล้วส่งเข้าไปรวมข้างหน้า
ขันทีถวายบทกลอนที่แต่ละคนแต่งขึ้นไปให้ฮ่องเต้ เฉิงซั่วกวาดพระเนตรมองผ่านๆ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นกลอนยอพระเกียรติ จึงแค่พยักพระพักตร์ ตรัสว่า “ไม่เลว ขุนนางทุกท่านล้วนมีความสามารถ” แล้วก็ยื่นส่งไปให้ฮองเฮาทรงชื่นชม จากนั้นถึงส่งต่อไปถึงมือเชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูงคนอื่นๆ
เฉิงจิ่นหยิบขึ้นมาอ่านด้วยเช่นกัน ทันใดนั้นก็เห็นว่าในบรรดากลอนทั้งหลายมีกลอนโบราณ ‘บทสรรเสริญต้นหลิว’ อยู่ด้วยบทหนึ่ง แม้หัวข้อจะคร่ำครึโบราณ เนื้อหากลับละเอียดอ่อน จึงหยิบขึ้นมาอ่าน กลอนบรรยายถึงต้นหลิวที่ไหวพลิ้วไปตามกระแสลม ค่อนข้างน่าสนใจ ทว่าการชื่นชมจนต้นหลิวดูสูงส่งมิสามัญเกินไป กลับทำให้ดูเสแสร้งมากกว่า วรรคสุดท้ายกลอนเขียนไว้ว่า ‘แสงตะวันมิทอถึงกิ่งโคนปลาย แสงงามพรายมิสลายล้างฝุ่นผง มรกตประดับเงาอ่อนเอวองค์ เหตุใดดวงตานางมิปรายมอง’
เฉิงจิ่นอ่านไปรอบหนึ่ง ในใจเกิดความสงสัยขึ้นมา พอเห็นชื่อที่ลงนามไว้เป็น ‘ซั่นฉีฉางซื่อตงฟางฮู่’ นางจึงเงยหน้ามองตงฟางที่ตำแหน่งด้านหลังงานเลี้ยงคราหนึ่ง ตงฟางพยักหน้ายิ้มน้อยๆ ตอบ เฉิงจิ่นบังเกิดโทสะขึ้นมาทันใด เขากำลังลอบเย้ยหยันว่านางมองสูง ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่เข้าตา ซ้ำยังนำต้นหลิวซึ่งเป็นพืชธาตุน้ำทั่วไปมาเปรียบเทียบ นี่มิใช่เป็นการบอกว่านางชั้นต่ำ เล่นกับความรู้สึกผู้อื่นหรอกหรือ แต่เขาก็ไม่ได้สื่อออกมาตรงๆ จึงทำให้มีเพียงนางผู้เดียวที่รู้ความหมาย
เฉิงจิ่นถือกลอนแผ่นนั้นเอาไว้ครู่หนึ่ง ตั้งใจจะทำอะไรบางอย่าง จึงยกจอกสุราขึ้นเม้มปากจิบไปหนึ่งอึก ก่อนจะวางจอกลงอย่างแรง
ระบำจบไปหนึ่งบทเพลง เสียงปี่ เซิง และเซียว หยุดลง จู่ๆ เฉิงจิ่นก็ลุกขึ้นยืน หันไปทางบัลลังก์ทอง กล่าวว่า “วันนี้เสด็จพี่ทรงมีพระอารมณ์สุนทรีย์จัดงานเลี้ยง แม้น้องสาวไร้ความสามารถ แต่ก็เต็มใจแต่งกลอนถวาย สร้างความรื่นเริงเพคะ”
เฉิงตั๋วได้ยินก็ลอบประหลาดใจ ปกติเฉิงจิ่นไม่ใช่คนชอบโอ้อวด แต่เหตุใดวันนี้จึงได้เข้าร่วมสร้างความครึกครื้นด้วยเล่า
เฉิงซั่วพระราชทานอนุญาตอย่างพอพระทัย รับสั่งให้นางกำนัลนำกระดาษและพู่กันมาให้ ชั่วขณะหนึ่งไม่มีผู้ใดส่งเสียง ล้วนรอชมเฉิงจิ่นแต่งโคลงกลอน เฉิงซั่วทรงให้ใช้งานเลี้ยงครั้งนี้เป็นหัวข้อ เฉิงจิ่นไม่แม้แต่จะคิด หยิบพู่กันขึ้นมาจรดลงไปบนกระดาษลายเมฆห้าสี เขียนกลอนออกมาบทหนึ่งทันที “เมืองหลวงเลี้ยงสังสรรค์รำร่าย รับข่าวชัยเร็วรี่จากด่านเขา มิใช่บัณฑิตยากไร้ปั้นแต่งเอา หากเป็นสามทัพมีแม่ทัพเก่งกล้าแท้จริง”
เฉิงซั่วสั่งให้ขันทีอ่าน เมื่อทรงสดับก็แย้มสรวล “น้องสิบสามมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับน้องห้าเสียจริง”
เฉิงจิ่นเอ่ยขอบพระทัย เหล่าบรรดานางสนมก็พากันร้องยกย่องว่าดีอย่างนอบน้อม
ตงฟางยิ้มออกมา นางเอ่ยชื่นชมพี่ห้าของนางในที่แจ้ง ลับหลังกลับด่าว่าเขาเป็นบัณฑิตยากไร้
เฉิงซั่วทรงนึกสนุกขึ้นมา จึงไม่ได้สั่งให้เฉิงจิ่นวางพู่กัน หากสั่งให้ใช้ฤดูกาลเป็นหัวข้อ แต่งโคลงกลอนออกมาอีกบทหนึ่ง
เฉิงจิ่นจรดพู่กันส่งๆ ก็เขียนกลอนออกมาอีกบทอย่างรวดเร็ว “ลมอุ่นมีใจเร่งกิ่งเขียวขจี ท้องทุ่งไร้ไมตรีย้อมแก้มแดงระเรื่อ มิปล่อยลมบูรพาอ้อยอิ่งยืดเยื้อ ให้หอบพัดปุยนุ่นปลิวปรายไปได้หรือ”
เมื่อเฉิงซั่วพยักพระพักตร์ บรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นก็ต้องกล่าวชื่นชมขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
ตงฟางได้ยินแล้วก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม เมื่อครู่นี้ตนเขียนกลอนไปว่าต้นหลิวเขียวขจี นางจึงจงใจแก้ตัว ในใจเขาลอบชื่นชมว่านางมีไหวพริบปฏิภาณ
ฮองเฮาตรัสด้วยสุรเสียงอ่อนโยน “กลอนบทนี้ของน้องสาวค่อนข้างทระนงองอาจนัก” จากนั้นก็ส่งแจกันที่มีกิ่งดอกท้อปักอยู่ไปให้เฉิงจิ่น “ดอกท้อนี้เป็นของเก่า น้องสิบสามจะสามารถรังสรรค์สิ่งใหม่ออกมาได้หรือไม่”
เฉิงจิ่นมองดอกท้อดอกนั้น ความคิดผุดขึ้นในหัว จรดพู่กันลงเขียนช้าๆ “อุทยานช่อท้อใหม่บังหลิวเก่า ตำหนักหน้างานเลี้ยงเหล้าร่ายกวี ใต้เท้าท่านมิรู้ใจกิ่งบุปผา โปรดจงอย่าส่งมอบสู่มือผู้ใด”
หนนี้ตงฟางกลับไม่ยิ้มเสียแล้ว
แม้โคลงกลอนสองบทแรกจะมีเพียงพวกเขาสองคนที่เข้าใจความนัย แต่โคลงกลอนบทที่สามนี้เฉิงตั๋วกลับฟังออกแล้วเช่นกัน เฉิงจิ่นเปรียบดอกไม้ในแจกันนี้เป็นตัวเอง ในพระราชวังโอ่อ่างดงามแห่งนี้ นางก็เป็นแค่ของประดับตกแต่งในงานเลี้ยง สักวันหนึ่งต้องแต่งกับขุนนาง หรือแต่งออกไปเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี นางล้วนไม่อาจเลือกเอง จะนำมาเทียบกับเกสรที่โบยบินอย่างอิสรเสรีก็ยังเทียบไม่ได้เลย
กลอนบทนี้ยังคงได้รับคำชื่นชมจากผู้คนรอบด้าน เฉิงจิ่นตอบรับเรียบๆ ในใจตระหนักดีว่ากลอนบทนี้ก็เพียงเท่านั้นเอง ไม่มีผู้ใดวิพากษ์วิจารณ์และก็ไม่มีผู้ใดเข้าใจ นางพลันรู้สึกหมดสนุก ดื่มสุราลงไปอีกสองจอกแล้วจึงอาศัยข้ออ้างว่ายามดึกน้ำค้างแรง ขอตัวออกมา
เฉิงตั๋วรู้ดีว่าที่ผ่านมานางจิตใจหยิ่งทระนง แต่วันนี้จู่ๆ กลับเปิดเผยความน่าสงสารออกมาต่อหน้าทุกคน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง หลังนั่งต่อได้ไม่นานจึงลุกออกจากงานเลี้ยงไปเยี่ยมเฉิงจิ่นที่ตำหนักของนาง
เมื่อมาถึงตำหนักบรรทมของเฉิงจิ่น นางกำนัลก็เข้าไปรายงาน เฉิงจิ่นสนิทสนมกับเฉิงตั๋วมาตั้งแต่เด็ก ทุกครั้งที่ได้เจอหน้ากันจะมีแต่เรื่องสนุกเสมอ แต่เมื่อนางนึกถึงตงฟางฮู่ผู้น่ารังเกียจที่เฉิงตั๋วเป็นคนพากลับมา โทสะก็เต็มแน่นอยู่ในอกไม่มีที่ระบาย จึงกล่าวกับเหยาเสียนสาวใช้รุ่นใหญ่ของตนว่า “เจ้าไปบอกกับท่านอ๋องว่าข้าเมามายเล็กน้อย เพิ่งจะอาบน้ำนอนไปแล้ว”
เหยาเสียนออกมาถ่ายทอดคำพูดแก่เฉิงตั๋วตามคำสั่ง เฉิงตั๋วจึงได้แต่เอ่ยกำชับนางสั้นๆ แล้วกลับออกมา
ยามที่เฉิงตั๋วกลับมา งานเลี้ยงก็เลิกราแล้ว ตงฟางกำลังรอตนอยู่ ทั้งสองคนเดินทางกลับจวนจิ้งหย่วนอ๋องด้วยกัน ตงฟางไม่พูดอะไรตลอดทาง นิ่งเงียบเย็นชา เฉิงตั๋วประหลาดใจ เมื่อกลับมาถึงจวนอ๋องจึงเดินเป็นเพื่อนไปถึงตำหนักที่เขาพักอาศัยอยู่ ครั้นเห็นเขายังคงไม่พูดอะไรจึงคิดจะเปิดปากถาม ขณะนั้นตงฟางกลับเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านอ๋องทรงเดินทางกลับมาแต่ไกล ไม่เสด็จไปบรรทมกอดหญิงงาม มายืนอยู่ที่ตำหนักทางด้านนี้ทำไมกันหรือ”
เฉิงตั๋วได้ยินน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ของเขา ก็พูดด้วยความประหลาดใจ “วันนี้ข้าดวงซวยอะไรกันหนอ จึงถูกคนรังเกียจไปทั่ว”
ตงฟางเดินไปนั่งที่โต๊ะด้านใน รินน้ำชาถ้วยหนึ่งให้ตัวเอง เฉิงตั๋วพูดไม่ออก ได้แต่ส่ายหน้า “ช่างเถิด เอาตามที่เจ้าว่า” ทว่าเดินไปได้สองก้าวก็หันกลับมา “ข้าจะให้เจ๋อซิวมาอยู่ที่นี่ เจ้ามีธุระอะไรก็สั่งเขาได้”
ตงฟางขานรับ “พ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงตั๋วจึงเดินจากมา เขาเดินออกจากห้องรับแขกตรงไปที่ตำหนักกลาง ตลอดเส้นทางรู้สึกเพียงรอบด้านเงียบสงัด แสงจันทร์งดงาม สายลมโชยพัด จู่ๆ เฉิงตั๋วก็รู้สึกว่าจวนอ๋องแห่งนี้แปลกปลอมนัก มีบางคราที่เขาอาจปลดปล่อยตัวเอง ทว่าไม่มีวันมั่วโลกีย์ไร้ขอบเขต กลับกันยังเข้มงวดกับตัวเองยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการปลดปล่อยทางกายหรือทางจิตใจก็ล้วนไร้ประโยชน์ การกระทำที่มากเกินไปยิ่งทำให้รู้สึกอ้างว้าง เขากลับมาเมืองหลวงน้อยครั้งนัก เวลาที่อยู่จวนอ๋องก็มักจะกินนอนอยู่ในห้องหนังสือ ในสายตาเขา สตรีส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เหมือนกัน เจ้าอารมณ์เมื่ออยู่ใกล้ แค้นเคืองเมื่ออยู่ไกล ส่วนสตรีที่ฐานะต้อยต่ำไม่มีทางล้ำเส้น ไม่ต้องรับมือ สามารถโยนทิ้งได้ตามใจ
เหล่าชายารองที่บอบบางสูงศักดิ์ เขาแต่งพวกนาง แล้วก็แต่งอำนาจของตระกูลพวกนางด้วย ครอบครัวของพวกนางกับตัวพวกนางเอง ไม่มีผู้ใดไม่คาดหวังว่าจะได้ครอบครองพื้นที่ในใจเขา เมื่อมีความคิดเช่นนี้ก็ยากที่จะไม่มีแผนการ ตั้งแต่ในวังหลวงจนถึงจวนอ๋อง เหล่าสตรีล้วนเข้มแข็ง เด็ดขาด อำมหิตยิ่งกว่าเปลือกนอกของพวกนางมากนัก แม้นี่จะเป็นสัญชาตญาณเอาตัวรอด ทว่ากลับเกินขอบเขตได้ง่าย ผู้ที่ยืนอยู่นอกสถานการณ์อาจสามารถชื่นชม แต่บุรุษที่อยู่ด้านในไม่มีวันตกหลุมรักได้ลง
และกับเฉิงตั๋ว เขาถึงขั้นเรียกได้ว่ารังเกียจถึงที่สุด ความรังเกียจเช่นนี้มีมานานแล้ว ความแค้นบางอย่าง สุดท้ายอาจจะสลายไป แต่ความเสียดายบางอย่างกลับไม่มีวันได้รับการชดเชย
เหล่าขุนนางและชนชั้นสูงในเมืองหลวงไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าจิ้งหย่วนชินอ๋องเก่งกล้าในการรบ ทว่ากลับไร้ซึ่งทายาท ชายาเอกเซียวซื่อของเขาตายจากไปเพราะคลอดยาก แม่ลูกจากไปทั้งคู่ อนุของเขาก็มีบ้างที่ตั้งครรภ์ ทว่าล้วนแท้งกันไปหมด ส่วนชายารองเซี่ยซื่อเคยมีบุตรชายคนหนึ่ง แต่ยามที่เด็กน้อยอายุได้หนึ่งขวบก็จากไป ดังนั้นจึงเริ่มเกิดข่าวลือขึ้นมา ล้วนพูดกันว่าเป็นเพราะเขาทำสงครามมากเกินไป กลิ่นอายสังหารหนักหนาเกินไป ดังนั้นสวรรค์จึงลิขิตให้ไร้ทายาท
เฉิงตั๋วเพียงยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ใส่ใจ หากไม่มีสงคราม ความสงบสุขจะมาจากที่ใด โลกอันสงบร่มเย็นจำเป็นต้องมีความมั่นคงภายใน ความสงบภายนอก ไม่มีสิ่งใดที่ไม่ต้องหลั่งโลหิตแลกมา ในหนึ่งปีสิบสองเดือนมีสิบเดือนที่เขาไม่ได้อยู่ในจวนอ๋อง หากภรรยาและอนุของเขาท้องขึ้นมานั่นถึงจะเลวร้าย เป็นไปได้อย่างมากว่าหมวกของเขาจะเปลี่ยนสีไปแล้ว
เฉิงตั๋วเดินกลับมาที่ห้องหนังสือในตำหนัก ความจริงแล้วห้องหนังสือแห่งนี้เป็นห้องชุดหลายห้อง ข้างในและนอกเชื่อมต่อกัน กว้างขวางอย่างยิ่ง ไม่เหมือนโครงสร้างของเรือนโดยทั่วไป เพราะสร้างตามที่เฉิงตั๋วต้องการ เขารู้สึกว่าการตกแต่งอย่างไรสะดวกสบายน่าชมก็จะตกแต่งเช่นนั้น ห้องหนังสือด้านนอกจึงเชื่อมกับห้องนอน เมื่อเดินต่อไปข้างหลัง ผ่านป่าไผ่ผืนหนึ่งก็จะเป็นบ่อน้ำพุร้อน อาณาเขตแห่งนี้เป็นที่ส่วนตัวของเขา มีองครักษ์คอยรับใช้ หากเขาไม่อนุญาต แม้เป็นผู้คนในจวนก็ไม่อาจเข้ามา
ความจริงแล้วหากคนผู้หนึ่งต้องการหลบเลี่ยงลมฝนพายุ พื้นที่ห้องแค่เพียงหนึ่งจั้งก็พอแล้ว ในยามที่เฉิงตั๋วอยู่ที่จวนอ๋องแห่งนี้ พื้นที่ที่เขาโปรดปรานก็มีเพียงห้องหนังสือและบ่อน้ำพุร้อนไร้นามแห่งนี้ของเขาเท่านั้น สถานที่แห่งอื่นในจวนอ๋องกลับดูมากเกินความจำเป็น
เจ๋ออี้อยู่รอเขากลับมา เฉิงตั๋วไม่มีเรื่องอะไรแล้วจึงไล่เจ๋ออี้ไปนอน เขาผลักประตูเข้าไป ภายในห้องหนังสือมืดสนิทไร้แสงเทียน ด้านในห้องนอนจุดตะเกียงห้ากิ่งเอาไว้ มันส่องแสงสลัวราง ฉาฉาฟุบตัวหลับอยู่ที่มุมเตียง เฉิงตั๋วไม่เคยเห็นผู้ใดรักการนอนยิ่งกว่านางมาก่อน
เขาถอดเสื้อขนสัตว์ตัวนอกออก หากอยู่ที่เยี่ยนโจวเขาไม่มีทางสวมใส่เช่นนี้ แต่งานเลี้ยงภายในวังจะสะเพร่าละเลยไม่ได้ จำเป็นต้องแต่งกายตามลำดับขั้น ไม่อาจสวมใส่ได้ตามใจชอบ เฉิงตั๋วปลดข้อแขนขนจิ้งจอกดำที่พันอยู่บนข้อมือออก หันไปมองภายในห้อง รอบด้านเงียบสงัด
ฉาฉามีข้อดีอย่างหนึ่งก็คือในตอนที่เจ้าไม่ต้องการเห็นนาง เจ้าก็สามารถทำเหมือนนางไม่มีตัวตนอยู่ได้โดยสมบูรณ์ แต่อย่างไรก็ตามวันนี้เฉิงตั๋วถูกคนเมินใส่ติดต่อกัน จำเป็นต้องตามหาความรู้สึกมีตัวตนอย่างเร่งด่วน ดังนั้นเขาจึงเดินไปตบปลุกฉาฉาทีหนึ่ง ฉาฉาถูกเขาปลุกตื่นสะลึมสะลือ เมื่อเงยหน้าแล้วเห็นว่าเป็นเขาก็รีบร้อนลุกขึ้น
เฉิงตั๋วนั่งลงบนขอบเตียง เตียงหลังนี้ใหญ่มาก ทำมาจากไม้ซึ่งสลักเป็นลวดลายคลื่น เฉิงตั๋วไม่ชอบลวดลายบุปผากระจุ๋มกระจิ๋มพรรค์นั้น ดังนั้นจึงไม่มีลายแกะสลักบุปผาสักแห่งเดียว แม้งานแกะสลักจะเรียบง่าย ทว่าฝีมือประณีต ยามที่พลิกตัวไปมาบนเตียงไม่มีทางส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด เฉิงตั๋วไพล่มือข้างหนึ่งไปด้านหลัง ทำท่าบ่งบอกให้ฉาฉาเข้ามาใกล้ ฉาฉาซึ่งเพิ่งตื่นเขยิบมาข้างกายเขา เฉิงตั๋วนำมือขวาที่ซ่อนไว้ด้านหลังออกมาให้นางดู
ฉาฉาเห็นในมือเฉิงตั๋วจับสัตว์ตัวเล็กขนปุกปุยเอาไว้ตัวหนึ่ง มือซ้ายของเขาประคองอยู่ใต้มือขวา คล้ายเกรงว่าจะเผลอบีบมัน เขายื่นมือเข้าไปใกล้ตรงหน้านาง ฉาฉารู้สึกกลัวอยู่บ้าง
เฉิงตั๋วจึงกล่าวว่า “ไม่ต้องกลัว ดูสิว่านี่คืออะไร” ภายใต้แสงเทียน ฉาฉามองเห็นไม่ชัดเท่าใดนัก ในตอนที่กำลังพิจารณา สัตว์ตัวนั้นก็เหมือนจะดิ้นรนน้อยๆ มือซ้ายของเฉิงตั๋วที่ประคองอยู่ขยับ จับไว้ไม่ทัน สัตว์ตัวนั้นจึงกระโจนเข้าใส่ร่างนาง
ฉาฉาตกใจจนกระโดดตัวลอยดุจกระต่าย สะบัดมันทิ้งอย่างรวดเร็วแล้วขยับไปอยู่ทางด้านซ้ายเฉิงตั๋ว คว้าแขนเสื้อจับต้นแขนเขามาบังอยู่ข้างหน้า เฉิงตั๋วหัวเราะเสียงดังอย่างห้ามไม่อยู่ เจ้าของปุกปุยชิ้นนั้นนอนแผ่ตัวอยู่บนพื้น สิ่งนี้ก็คือข้อแขนขนจิ้งจอกของเขานั่นเอง พอฉาฉาเห็นชัดก็ปล่อยมือออกทันที
เฉิงตั๋วไม่ได้ก้มเก็บข้อแขนขนจิ้งจอก กลับอุ้มตัวฉาฉามานั่งบนตัก ถามว่า “วันนี้เจ้าทำอะไรบ้าง” แน่นอนว่าฉาฉาตอบกลับไม่ได้ เฉิงตั๋วถามต่อ “ยังคงเป็นลูกมือของหลี่หมัวมัวหรือไม่” คราวนี้ฉาฉาพยักหน้า
“ข้าว่าอีกสองปีให้หลังเจ้าจะต้องเป็นเหมือนนางแน่” ฉาฉาไม่มีอาการตอบสนอง
“ดูสิ นางเข้มงวดถึงเพียงนั้น แต่สีหน้าของเจ้ายังเปลี่ยนแปลงยากยิ่งกว่านางเสียอีก วันหน้าเจ้าจะต้องกลายเป็นหญิงแก่หน้าตาย ทำให้ผู้คนหวาดกลัวเป็นแน่” ฉาฉาไม่ไว้หน้ากับมุกตลกของเขา ยังคงมองอย่างนิ่งเฉย
เฉิงตั๋วไม่ถือสา สั่งสอนต่อไป “คนผู้หนึ่งไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร ห้ามเอาแต่ซึมเศร้าหดหู่อยู่ทั้งวันเหมือนคนตายทั้งเป็น มิฉะนั้นมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไร้ความหมาย คนเช่นนี้สู้ตายไปเลยไม่ดีกว่าหรือ”
ฉาฉายังคงมองเขานิ่งๆ
เฉิงตั๋วเอ่ยเสริม “ส่วนคนประเภทที่ความจริงแล้วฉลาดมีไหวพริบมาก แต่กลับแสดงเป็นคนไร้ความรู้สึกนั้นน่ารังเกียจเป็นพิเศษ!” ฉาฉาอ้าปาก แสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา เหมือนพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ใช่คนประเภทที่เขาว่า
เฉิงตั๋วพูดต่อ รอยยิ้มอ่อนโยนขึ้นบ้าง “สติปัญญาของเจ้าไม่เลว ตัวคนก็มีไหวพริบ ทั้งยังโชคดีที่พูดไม่ได้ มิฉะนั้นถ้าวาจาฉะฉานก็ไม่ค่อยน่ารักแล้ว”
ฉาฉามองเขาอย่างสงสัย หรือว่าการพูดไม่ได้จะกลายเป็นข้อดีไปเสียแล้ว
เฉิงตั๋วคล้ายอ่านความหมายของนางออก จึงพยักหน้า “นี่เป็นข้อดีข้อใหญ่ที่ทำให้เจ้าแตกต่างจากสตรีอื่น อย่าได้คิดดูถูกเด็ดขาด”
ฉาฉาไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรกับเขาจริงๆ แต่แน่นอนว่าเดิมทีนางก็พูดไม่ได้อยู่แล้ว
เฉิงตั๋วถามเสียงอ่อนโยน “เจ้าเป็นใบ้มาตั้งแต่เกิดหรือไม่”
ฉาฉาส่ายหน้าเบาๆ
เฉิงตั๋วลูบคอนาง จู่ๆ ก็ถามแปลกๆ “ครั้งสุดท้ายที่เจ้าพูดออกมา สถานการณ์ในตอนนั้นเป็นอย่างไร”
ฉาฉานิ่งงัน แววตาหม่นแสงลง
เฉิงตั๋วก้มหน้าลงพึมพำกับตัวเอง “จะต้องไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีแน่ ไม่อยากนึกถึงก็ช่างเถอะ”
ฉาฉาช้อนดวงตาล้ำลึกดุจธารน้ำขึ้นมา พลันสัมผัสได้ว่าในสีหน้าที่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปรเสมอของเฉิงตั๋วมีบางอย่างไม่ปกติ นางรู้สึกอย่างเลือนรางว่าเมื่อครู่นี้ บางทีเขาอาจจะปลอบประโลมนางอยู่
แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ถนัดทางด้านนี้จริงๆ
ชีวิตในจวนอ๋องสำหรับฉาฉาไม่ได้น่าเบื่อเลยสักนิด ยังถึงขั้นสมบูรณ์ล้นเกินไปด้วยซ้ำ เฉิงตั๋วมีเรื่องเล็กๆ ใหญ่ๆ ให้จัดการ ดังนั้นตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบเข้ามาในจวนอ๋องก็ส่งตัวนางให้กับแม่นมชราผู้เข้มงวดที่ทุกคนเรียกขานกันว่าหลี่หมัวมัว
หลี่หมัวมัวมีความเป็นมาอย่างไรฉาฉาไม่รู้ รู้แค่ว่าเรื่องเล็กใหญ่ทุกเรื่องภายในจวนแห่งนี้ล้วนมีนางเป็นผู้ดูแล ทุกคนภายในจวนต่างกลัวนาง ฉาฉาโชคร้ายที่ตกมาอยู่ในเงื้อมมือนาง หลายวันที่ผ่านมาต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง
ครั้งแรกที่ฉาฉาได้พบหลี่หมัวมัวก็เห็นนางขมวดคิ้ว มองมาที่ตนอย่างเย็นชา โดยรวมคือให้ความรู้สึกว่ากำลังคิดว่าเฉิงตั๋วไม่ควรเอาวัชพืชพรรค์นี้กลับมาจวนอ๋องด้วย ครั้งที่สองที่ฉาฉาได้พบหลี่หมัวมัว ก็ถูกนางจับอาบน้ำแต่งตัวใหม่ไปรอบหนึ่งด้วยใบหน้าเคร่งขรึม กลายสภาพมาเป็นสาวใช้ของจวนอ๋อง
ครั้งที่สามที่ฉาฉาได้พบหลี่หมัวมัว แม้หมัวมัวผู้นี้จะไม่ได้ขมวดคิ้วแล้ว ทว่าสีหน้ายังคงเย็นชา กล่าวสั่งสอนนางว่า “แม้เจ้าจะเป็นคนของท่านอ๋อง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นทาส ตามเจตนาของท่านอ๋องคือทรงอนุญาตให้เจ้าพักอยู่ที่ห้องหนังสือ เรื่องอื่นๆ ล้วนไม่สนใจ ท่านอ๋องปฏิบัติต่อเจ้าเช่นนี้นับเป็นการยกย่องเจ้ามากแล้ว เจ้าอย่าได้อาศัยที่ท่านอ๋องยกย่อง กระทำการลำพองใจขึ้นมาเด็ดขาด”
นางไม่ได้พูดเสียงดัง ทว่าเด็ดขาดชัดเจน แฝงไปด้วยอำนาจทุกถ้อยคำ ทำให้คนฟังอดก้มหน้าลงเองไม่ได้ ฉาฉาก็ให้ความร่วมมือ แสดงท่าที่อ่อนน้อมเชื่อฟังอย่างยิ่ง
“จวนอ๋องมีกฎของจวนอ๋อง ไม่เลี้ยงดูคนที่ไร้ประโยชน์ เจ้าเป็นคนใบ้ ครั้นจะเรียกใช้งาน เจ้าก็ขานรับไม่ได้ จะให้ส่งต่อคำพูด เจ้าก็พูดไม่ได้ ดังนั้นข้าจะให้เจ้ามาติดตามอยู่ข้างกายข้า ขยันขันแข็งหน่อย และอย่าได้เล่นลูกไม้อะไรกับข้า!” หลี่หมัวมัวพูดจบก็หมุนตัวจากไป
ฉาฉาก้มหน้าเดินตาม ขณะไม่ทันตั้งตัว จู่ๆ นางก็หันกลับมาพูดอีกว่า “เจ้าต้องปรนนิบัติท่านอ๋องเข้านอน ตอนเช้าอนุญาตให้เจ้าตื่นสายหนึ่งชั่วยาม”
ฉาฉาอึดอัดใจอย่างมาก โชคดีที่หลี่หมัวมัวเดินจากไปแล้ว
หลังติดตามหลี่หมัวมัวอย่างเชื่อฟังมาหลายวัน เช้านี้ตื่นขึ้นมา ฉาฉาเดินเข้าไปในห้องโถงเล็กฝั่งตำหนักตะวันตก หลี่หมัวมัวยืนรออยู่ที่นั่นแล้ว เมื่อเห็นนางก็มองประเมินพร้อมเอ่ยถาม “บาดแผลบนตัวไม่เป็นอะไรมากแล้วใช่หรือไม่”
ฉาฉาพยักหน้า ลอบประหลาดใจว่านางรู้ได้อย่างไร
“ตั้งแต่วันนี้ให้เจ้าเริ่มตามข้าเข้าครัว เจ้ามาถึงหลายวันแล้วแต่ยังไม่เคยพบสวีฮูหยิน* พระชายาทรงจากไปเร็ว ดังนั้นสวีฮูหยินจึงมีลำดับขั้นสูงสุดในฝ่ายใน ประเดี๋ยวจะพาเจ้าไปโขกศีรษะคารวะ” หลี่หมัวมัวพูดจบ สาวใช้คนหนึ่งก็ยกถาดใบใหญ่เข้ามา บนถาดวางกาน้ำชาหนึ่งกา ถ้วยชาหลายใบ นอกจากนี้ยังมีถ้วยยาอีกหนึ่งถ้วย
หลี่หมัวมัวให้ฉาฉายกยาเดินตามไป ฉาฉาไม่รู้ว่ายาถ้วยนั้นเพิ่งต้มมาใหม่ๆ ผิวถ้วยร้อนลวก ด้วยไม่ทันระวังจึงพลันปล่อยถ้วยยาลงบนถาด มันกระแทกโดนถ้วยชาซึ่งวางอยู่ด้านข้างใบหนึ่งกลิ้งตกมาแตกบนพื้น
หลี่หมัวมัวกล่าวด้วยความปวดใจ “ทาสชาวหูเช่นเจ้าเทียบกับสาวใช้ทั่วไปยังไม่ได้เลย กระทั่งเบี้ยหวัดทั่วไปก็ไม่มี หนนี้ทำลายข้าวของจะชดใช้อย่างไรกัน! เฮ้อ ข้าก็ต้องเป็นคนชดใช้ให้อีก!”
สาวใช้ที่ยกถาดมารีบกล่อมนาง “หมัวมัวอย่าได้มีโทสะเลย ท่านอ๋องจะทรงให้ท่านชดใช้ค่าถ้วยชาได้อย่างไร เรื่อง…เรื่องนี้พี่สาวเองก็ไม่ได้ตั้งใจ ครั้งหน้าย่อมไม่กล้าแล้ว”
หลี่หมัวมัวถลึงตาใส่นาง “ต่อให้เป็นท่านอ๋อง หากทรงทำถ้วยแตกก็ต้องนำเงินจากส่วนกลางออกมาชดเชย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราเป็นบ่าว ผู้ใดจะกล้าจงใจทำข้าวของแตก” สาวใช้โดนถลึงตาใส่จนตกใจ ไม่กล้าพูดอะไรอีก
“ไม่เคยเห็นผู้ใดซื่อบื้อเช่นนี้มาก่อนจริงๆ! เจ้าลองทำถ้วยแตกดูอีกสักใบ ข้าจะตัดนิ้วเจ้าออกมา” ฉาฉาถูกนางขู่ให้กลัว ลูบนิ้วเพรียวยาวของตนโดยไม่รู้ตัว
ตามกฎแล้วไม่ว่าจะเป็นตระกูลที่ร่ำรวยมากอำนาจแค่ไหน แต่กับบ่าวภายในบ้านล้วนไม่อาจสั่งสอนตามอำเภอใจ แต่ทาสชาวหูที่ได้มาจากการรบนั้นไม่ต่างอะไรกับหมูหมากาไก่ ต่อให้เจ้าเอานางมาต้มกินยังไม่นับว่าผิดกฎ
หลี่หมัวมัวพูดเสียงดัง “ยังไม่รีบไปเปลี่ยนมาใหม่อีก! นอกจากปากจะพูดไม่ได้แล้วสมองยังช้าอีกหรือไร”
ฉาฉารีบเก็บเศษถ้วยเหล่านั้น แล้วเดินไปที่ห้องน้ำชา หลี่หมัวมัวตะโกนอย่างปวดใจ “ผิดทางแล้ว!”
ฉาฉาหยุดอยู่กับที่ มองไปรอบๆ ในที่สุดก็หาทางที่ถูกเจอ ก่อนจะรีบวิ่งหายไปโดยไม่กล้ามองหลี่หมัวมัวอีกสักครั้ง
ผ่านไปนานครู่ใหญ่ถึงได้ถ้วยใบใหม่ที่เข้าคู่กับชุดถ้วยชานั้นกลับมา นอกจากนี้ยังมีถาดอีกใบ หลี่หมัวมัวแค่นเสียงดูแคลน ขยับเท้าก้าวเดินทันที ฉาฉาใช้ถาดประคองถ้วยยาเดินตามอยู่ข้างหลัง ยิ่งเดินก็ยิ่งช้าลงเรื่อยๆ เพราะว่ายาในถ้วยมักจะกระเซ็นออกมาเสมอ ไม่ว่านางจะขยับประคองถาดไปซ้ายขวาอย่างไรก็ล้วนไม่ช่วย
หลี่หมัวมัวชำเลืองมองนางอย่างดูถูก “ไม่เคยยกถาดหรือ”
ฉาฉามองนางด้วยความลำบากใจ
หลี่หมัวมัวรับถาดมาถือเดินด้วยมือเดียว เดินเร็วเสียยิ่งกว่าเมื่อครู่ แต่ยาในถ้วยกลับอยู่นิ่งไม่กระฉอกออกมาสักหยด ฉาฉามองนางเดินผ่านประตูข้างของตำหนักตะวันตกจนมาถึงยังตำหนักส่วนตัวแห่งหนึ่ง หลี่หมัวมัวจึงยื่นถาดมาให้นางถืออีกครั้ง ส่วนตัวเองเดินเข้าประตูตำหนักไป ฉาฉายกถาดเดินตาม หนนี้กลับไม่ทำยากระฉอกออกมาอีกแล้ว
เพิ่งเดินมาถึงหน้าม่านประตูชั้นในของห้องโถงข้างก็ได้ยินเสียงสตรีผู้หนึ่งพูดเสียงแผ่วเบา “ท่านอ๋องเสด็จกลับมาหลายวันแล้ว ทว่าไม่เห็นแม้แต่เงาคน ปล่อยหญิงงามชั้นเลิศเอาไว้ไม่เข้าใกล้ แต่กลับเสด็จไปคลุกคลีอยู่กับพวกทาสนางบำเรอชั้นต่ำ”
น้ำเสียงกังวานของคนอีกคนหนึ่งเอ่ยปากกล่อม “ท่านอ๋องกับสตรีนางนั้นจะมีอะไรกันได้เจ้าคะ ก็แค่ทรงต้องการความสะใจเท่านั้น ฮูหยินไม่จำเป็นต้องถือสา ท่านเป็นฮูหยินขั้นหนึ่งที่มีตำแหน่งมีฐานะของชินอ๋อง ในเมื่อตำแหน่งชายาเอกยังว่างเว้น สตรีทุกคนในจวนแห่งนี้จะมีผู้ใดข้ามหน้าข้ามตาท่านได้อีกหรือเจ้าคะ”
สวีซื่อถอนหายใจเบาๆ “แล้วอย่างไรกันเล่า เกรงว่าท่านอ๋องจะทรงจดจำข้าไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ” นางลดเสียงลง กล่าวต่อว่า “ได้ยินมาว่าสตรีผู้นั้นถึงกับอยู่ปรนนิบัติในห้องหนังสือของท่านอ๋อง สถานที่แห่งนั้นหากไม่ได้รับอนุญาต ผู้ใดก็ไม่อาจเข้าไป ไม่ใช่เพียงห้องหนังสือข้างนอก กลับยังพักอยู่ห้องข้างใน ท่านอ๋องทรงเป็นอะไรไปแล้ว ข้าไม่เข้าใจเลย”
สตรีน้ำเสียงใสกังวานผู้นั้นคือลวี่เชี่ยว สาวใช้ข้างกายสวีซื่อ ลวี่เชี่ยวเอ่ยปากกลั้วหัวเราะ “บ่าวไปสืบข่าวมาแล้ว แม่นางผู้นั้นชั้นต่ำยิ่งนักจริงๆ เป็นหญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้า แต่ก่อนยังเป็นของเล่นให้พวกขนดกชาวหูอีกด้วยนะเจ้าคะ” ลวี่เชี่ยวพูดจบก็ปิดปากหัวเราะคิกคัก
สวีซื่อเลิกคิ้ว สีหน้าดูแคลน
ลวี่เชี่ยวพูดต่อ “ไม่รู้ว่าเคยนอนกับบุรุษมาแล้วกี่คน จะยังตั้งครรภ์ได้อีกหรือ ต่อให้ท่านอ๋องทรงเต็มใจมอบโอกาสให้นาง นางก็เสนอหน้าขึ้นมาไม่ได้ มิฉะนั้นหลายเดือนมานี้ นางตัวติดกับท่านอ๋องถึงเพียงนั้น แต่เหตุใดในท้องจึงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้นเล่าเจ้าคะ”
ลวี่เชี่ยวกล่าวได้ถูกใจ สวีซื่อจึงหัวเราะจนตัวงอ หยิกแก้มนาง พูดว่า “เจ้าปากคอเราะรายขึ้นทุกวันแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ล้วนพูดออกมาได้”
หลี่หมัวมัวหันกลับมาสังเกตฉาฉา เห็นฉาฉายืนยกถาดนิ่งเฉย บนใบหน้าไม่แสดงอาการใดๆ ทั้งสิ้น หลี่หมัวมัวกระแอมไอเบาๆ เสียงหัวเราะข้างในหยุดลงทันควัน ได้ยินสวีซื่อเอ่ยถามว่า “ผู้ใดอยู่ข้างนอก”
หลี่หมัวมัวขานรับ “บ่าวเองเจ้าค่ะ บ่าวนำยามาให้ฮูหยิน” พูดจบก็เลิกม่านเดินเข้าไป ฉาฉาก็ตามเข้าไปในห้องโถงข้างแห่งนั้นด้วย
แม้ยามนี้จะเข้าสู่ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่บนพื้นห้องโถงข้างยังคงตั้งกระถางซึ่งเผาถ่านหอมเอาไว้ บนตั่งนุ่มมีสตรีสวมชุดลำลองผู้หนึ่งนั่งอยู่ อายุประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหกปี พูดถึงรูปโฉม นับได้ว่าอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางบน ด้วยเพราะแต่งกายได้เหมาะสม มองไปแล้วจึงให้ความรู้สึกชื่นตาชื่นใจ ข้างกายนางมีสาวใช้ผู้หนึ่งยืนอยู่ มือกำผ้าเช็ดหน้า คอยทุบบ่าให้สวีซื่ออยู่เนืองๆ
ทันทีที่หลี่หมัวมัวเดินเข้ามา สวีซื่อก็ชิงยิ้ม รีบพูดว่า “เรื่องเช่นนี้จะกล้ารบกวนหลี่หมัวมัวได้อย่างไรกัน” พอพูดจบก็มองเห็นฉาฉาพอดี นางพลันนิ่งงันไปทันใด
หลี่หมัวมัวบอกให้ฉาฉาคุกเข่าลง ฉาฉาก็คุกเข่าลง มือยกถาดขึ้น สัมผัสได้เพียงว่าสายตาของสวีซื่อกับลวี่เชี่ยวทิ่มแทงมาที่นางประหนึ่งคมมีด ฉาฉาค่อยๆ เงยหน้ามองไปที่สวีซื่อ
หลี่หมัวมัวเดินเข้ามาประคองถ้วยยา ยื่นส่งให้สวีซื่ออย่างนอบน้อม สวีซื่อก้มตัวลงรับ แต่กลับถูกฉาฉามองจนรู้สึกแปลกๆ จึงวางถ้วยลงเบาๆ
ลวี่เชี่ยวตวาด “บ่าวสามหาว กล้าจ้องเจ้านายเช่นนี้ได้อย่างไร!”
ฉาฉากลับไม่เกรงกลัวเสียงตวาดของนาง แต่หันไปมองแทน แววตาลวี่เชี่ยวเต็มไปด้วยโทสะ แต่ดวงตาของฉาฉากลับยังนิ่งสงบดุจน้ำในทะเลสาบ หลังมองลวี่เชี่ยวอยู่สักพักก็เก็บสายตากลับมานิ่งๆ เอาแต่มองขอบถาดสีแดงชาดใบนั้น
สวีซื่อกับลวี่เชี่ยวรู้สึกว่าถูกเหยียดหยามขึ้นมาทันใด ทว่ากลับพูดไม่ออกว่าฉาฉาเหยียดหยามพวกนางอย่างไรกันแน่ ในดวงตาของฉาฉาไม่มีแววดูแคลน แต่กลับแฝงเจตนาอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าในสายตาของฉาฉาแล้ว สตรีสองคนนี้ไม่ต่างอะไรจากถาดสีแดงชาดในมือ เหมือนเก้าอี้เถาวัลย์ที่นอกทางเดิน เป็นเพียงแค่สิ่งของอย่างหนึ่ง
หลี่หมัวมัวเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยิน ฉาฉาผู้นี้เป็นใบ้ พูดไม่ได้ ขออภัยที่นางไม่อาจเอ่ยคารวะได้ด้วยเจ้าค่ะ”
“ไม่ว่าจะชื่อว่าอะไรก็ช่างเถอะ แต่ชื่อชาวหูชั้นต่ำเช่นนี้จะนำมาใช้ในจวนได้อย่างไร”
หลี่หมัวมัวตอบกลับอย่างไม่นอบน้อมทว่าก็ไม่เย่อหยิ่ง “ชื่อนี้ท่านอ๋องทรงตั้งให้ด้วยพระองค์เองเจ้าค่ะ”
สวีซื่อพูดไม่ออกไปชั่วขณะ นางยกถ้วยยาขึ้นแก้เก้อ “นางเป็นชนต่างเผ่า ไม่เคยเรียนรู้เรื่องมารยาท เจ้าต้องอบรมสั่งสอนให้ดีจึงจะถูก”
หลี่หมัวมัวขานรับ คารวะอีกครั้งก็พาตัวฉาฉาออกมา ฉาฉาไม่ได้มองสองคนนั้นอีก เพียงเดินตามออกมาเงียบๆ สวีซื่อมองนางเดินออกไป ก่อนจะก้มหน้าลง ไม่รู้ว่าคิดอะไร ลวี่เชี่ยวกลับถุยน้ำลาย พูดว่า “ดวงตาทรงเสน่ห์ที่กระชากวิญญาณคนได้ แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ของดีอะไร”
เมื่อกลับออกมาก็ใกล้ยามซื่อแล้ว หลี่หมัวมัวเดินไปที่ห้องครัวข้างหลัง ฉาฉาเพิ่งเข้ามาในห้องครัวครั้งแรก ครั้นคนกลุ่มใหญ่เห็นหลี่หมัวมัวก็ยืนรวบมือรอกันเงียบๆ หลี่หมัวมัวราวกับขุนนางใหญ่ที่ออกตรวจตราชายแดนอย่างไรอย่างนั้น นางเดินวนดู บรรดาวัตถุดิบสดใหม่ที่เข้ามาในจวนตอนเช้า วัตถุดิบที่ล้างเรียบร้อยแล้วต้องผ่านเข้ามาในสายตานางรอบหนึ่ง หลี่หมัวมัวเลือกวัตถุดิบบางอย่างพร้อมสั่งให้คนหยิบแล้วเดินตามนางมา
ฉาฉาเดินอุ้มผักหนึ่งกระจาดตามไป วันนี้นางเพิ่งได้รู้ว่าภายในห้องครัวยังสามารถมีห้องครัวได้อีก ส่วนอาหารที่เฉิงตั๋วกินนั้น ที่แท้หลี่หมัวมัวล้วนเป็นผู้ทำเองกับมือในห้องครัวนี้
ผักกระจาดนั้นของนางถูกจัดการอย่างรวดเร็วยิ่ง หั่นส่วนที่ยื่นออกมาจนเหลือแค่แกนกลาง แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ อีกครั้ง สุดท้ายในกระจาดก็เหลือเพียงแค่ปริมาณหนึ่งส่วนสามจากเดิม เวลาหลี่หมัวมัวทำอาหารเรียกได้ว่าน่าดูชมอย่างยิ่ง ผักทั้งกองเกิดจากทักษะการใช้มีดอันประณีตของนาง ส่วนฉาฉายืนอยู่นานครู่ใหญ่ก็ทำได้แค่ล้างต้นหอมไปไม่กี่ต้นเท่านั้น
หลี่หมัวมัวพูดว่า “จัดการมันเสีย” ฉาฉาสงสัย อะไรเรียกว่าจัดการ พอคิดๆ ดูแล้วก็เห็นว่าภายในจวนแห่งนี้ไม่ว่าจะทำอะไรก็ล้วนสิ้นเปลือง ดังนั้นจึงตัดสินใจดึงใบชั้นนอกของต้นหอมออกจนหมดโดยไม่สนใจว่าจะดีหรือเน่า สุดท้ายต้นหอมต้นนี้ก็ถูกหลี่หมัวมัวสับจนกลายเป็นฝอยสม่ำเสมอ
ข้ารับใช้หญิงคนหนึ่งจุดไฟตั้งเตาเรียบร้อยแล้ว ผักทุกอย่างที่หลี่หมัวมัวหั่นถูกยกเข้าไป เช็ดกระทะ ลงน้ำมัน ทยอยทำออกมาทีละอย่างๆ ข้ารับใช้หญิงผู้นั้นเห็นว่ามีฉาฉายืนอยู่แล้ว จึงหาโอกาสเดินหลบออกไป
หลี่หมัวมัวกำลังผัดกับข้าวอย่างหนึ่ง ในตอนที่ใกล้จะผัดเสร็จก็พูดกับฉาฉา “ส่งเกลือมาให้ข้า”
ฉาฉาหันหน้ามองไปรอบๆ พอเห็นถ้วยจานชามจำนวนนับไม่ถ้วน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นลำบากใจ
หลี่หมัวมัวกล่าวเร่ง “มัวแต่ยืนอึ้งอะไรอยู่”
ฉาฉาถูกนางต่อว่าก็รีบก้มหน้าลง มองบรรดาเครื่องปรุงเหล่านั้น
หลี่หมัวมัวหยิบกระปุกใบหนึ่งไป ใช้ช้อนคันเล็กสาดสิ่งที่อยู่ในนั้นลงกระทะพร้อมสั่ง “ไปยืนด้านข้าง”
ฉาฉาจึงไปยืนอยู่ด้านข้าง
กับข้าวจานหนึ่งผัดเสร็จแล้ว หลี่หมัวมัวเทใส่ชาม ทั้งยังแบ่งส่วนที่เหลืออยู่เล็กน้อยเทใส่จานเล็กวางลงข้างๆ แล้วเรียกข้ารับใช้คนหนึ่งมาล้างกระทะ อาศัยช่วงว่างนี้ หลี่หมัวมัวหันหน้ากลับมาถามฉาฉา “อันใดคือน้ำตาล”
ฉาฉายื่นมือออกไป คิดอยากชี้แต่ลังเล สุดท้ายก็เก็บมือกลับมาพลางส่ายหน้า
“อันใดคือน้ำมัน”
ฉาฉาเงยหน้าขึ้น มองแยกแยะอีกครั้ง ท่าทางไม่ค่อยมั่นใจนัก สุดท้ายยังคงส่ายหน้าเช่นเดิม
หลี่หมัวมัวประหลาดใจ “เจ้าไม่เคยทำอาหารนั้นไม่เท่าไร แต่กลับไม่เคยเห็นผู้อื่นทำมาก่อนด้วยอย่างนั้นหรือ!”
ฉาฉาส่ายหน้าอีกครั้งด้วยความอึดอัดใจ กลัวหลี่หมัวมัวจะคิดว่านางแกล้งโง่ อย่างไรก็ตาม ในอดีตนางเคยทำอะไร เมื่อครู่นี้ลวี่เชี่ยวก็ได้พูดออกมาชัดแล้ว
“หรือว่าชาวหูไม่ใช่แค่ทำอาหารไม่เป็น กระทั่งเกลือก็ไม่กินอย่างนั้นหรือ”
เรื่องนี้…ฉาฉามองนางอย่างลำบากใจยิ่ง
“ตอนเด็กๆ ก็ไม่เคยเห็นคนในครอบครัวทำอาหาร?”
ฉาฉาส่ายหน้าอีกครั้ง
หลี่หมัวมัวไม่ถามอะไรอีก เพียงกล่าวว่า “หากทำไม่เป็นก็เรียนรู้เสีย!”
ฉาฉาพยักหน้าตั้งใจ
หลี่หมัวมัวเช็ดมือ ก่อนจะถามว่า “อันใดคือเกลือ”
ฉาฉาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะหยิบกระปุกที่เมื่อครู่หลี่หมัวมัวใช้ขึ้นมา บนใบหน้านางปรากฏรอยยิ้มอย่างหาได้ยาก ก่อนจะหันกลับไปทำอาหารต่อ
รอจนสำรับอาหารเที่ยงของเฉิงตั๋วเตรียมเสร็จแล้ว หลี่หมัวมัวจึงชิมอาหารแต่ละอย่างที่ตักออกมาเมื่อครู่ไปอย่างละนิด ฉาฉาก็กินตาม ไม่รู้สึกว่ามีพิษ แต่รู้สึกว่าอร่อยถึงที่สุด นางอดมองหลี่หมัวมัวในแง่มุมใหม่ไม่ได้
หลังอาหารเที่ยงหลี่หมัวมัวให้ฉาฉาทำความรู้จักกับเครื่องปรุงต่างๆ ลิ้มรสเครื่องปรุงทุกชนิดไปอย่างละรอบ แล้วเอาอาหารที่เมื่อครู่ตักแยกออกมาให้นางชิมอย่างละเอียดอีกที คิดไม่ถึงว่าฉาฉากลับสนใจเต็มเปี่ยม แม้แต่อาหารเที่ยงยังไม่ยอมกิน เอาแต่จดจำบรรดาเครื่องปรุงทั้งหลาย สุดท้ายหลี่หมัวมัวยกกับข้าวสองอย่างที่เฉิงตั๋วกินเหลือมา ดึงตัวนางให้มานั่งกินอาหารเที่ยงด้วยกัน
ยามที่มื้อเย็นมาถึง ฉาฉาก็สามารถหยิบเครื่องปรุงต่างๆ ในห้องครัวได้แล้ว น้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชู เหล่านี้ไม่ต้องพูดถึง ส่วนจันทร์แปดกลีบ เครื่องเทศ พริกไทย แป้งข้าวเหนียว แป้งมัน แป้งข้าวเจ้า ขิง กระเทียม ต่อให้นางไม่รู้ว่าเอามาใช้ทำอะไร ทว่ากลับจดจำชื่อได้อย่างแม่นยำ หลี่หมัวมัวพูดออกมารอบหนึ่ง นางไม่มีหยิบผิดสักอย่างเดียว
หลี่หมัวมัวอดสงสัยไม่ได้ “เจ้าไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนจริงๆ หรือ” ฉาฉายิ้มส่ายหน้า แสดงท่าทีให้นางทดสอบตนอีกครั้ง หลี่หมัวมัวคิดดูแล้วก็เห็นว่าคงไม่ผิด แม้แต่ตะเกียบฉาฉายังใช้ได้ไม่คล่องแคล่ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องทำอาหารแล้ว ถึงจะสงสัย หากนางก็ได้แต่ปล่อยวางลงชั่วคราว
หลังกินอาหารเย็นเสร็จ ฉาฉาถูกหลี่หมัวมัวพากลับมาที่ห้องหนังสือของเฉิงตั๋วอีกครั้งประหนึ่งนักโทษ หลี่หมัวมัวสั่งให้ฉาฉาไปนำเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนของเฉิงตั๋วมา ฉาฉาเดินออกไปแล้ว นางถึงหันไปพูดกับเฉิงตั๋ว “ฉาฉาผู้นี้ ท่านอ๋องทรงรู้ถึงความเป็นมาของนางหรือไม่เพคะ”
“มีอะไรหรือ”
“หม่อมฉันรู้สึกว่าเด็กคนนี้ไม่เหมือนลูกชาวบ้านทั่วไป อากัปกิริยาก็ไม่เหมือนเหล่าสาวใช้ ทั้งยังมีความใจกว้างอยู่บ้าง”
เฉิงตั๋วเหลือบสายตาขึ้นมอง “หมายความว่าอย่างไร”
“ท่านอ๋องทรงปฏิบัติต่อนางดี ช่วยไม่ได้ที่บางคนจะพูดถึงภูมิหลังของนาง ซ้ำยังพูดได้ไม่น่าฟังยิ่ง หม่อมฉันซึ่งเป็นคนนอกได้ยินยังรู้สึกแย่ แต่ตัวนางกลับทำเหมือนไม่มีอะไรทั้งนั้น”
เฉิงตั๋วนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไร
หลี่หมัวมัวไม่พูดมากอีก เพียงเอ่ยว่า “ดึกแล้ว ท่านอ๋องเข้าบรรทมเร็วหน่อยเถอะเพคะ อย่าเอาแต่เร่งทรงงาน” ขณะพูดจบฉาฉาก็กลับมาแล้ว หลี่หมัวมัวจึงดึงนางมากำชับ “เจ้าอยู่ปรนนิบัติท่านอ๋องดีๆ ข้าจะไปตรวจดูของที่จะใช้ทำอาหารเช้าวันพรุ่งนี้ที่ห้องครัว”
เฉิงตั๋วลุกขึ้นยืน เดินไปส่งนางถึงหน้าประตู “หมัวมัวก็พักผ่อนให้เร็วหน่อยเถอะ เรื่องพวกนี้ปล่อยให้พวกบ่าวทำไปก็พอแล้ว”
“หม่อมฉันจัดการไหวเพคะ ท่านอ๋องไม่ต้องทรงกังวล” นางโบกมือไปมา ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
เฉิงตั๋วหันมาจัดเอกสารให้เรียบร้อย เตรียมจะเดินไปทางบ่อน้ำพุร้อน เมื่อหันกลับมาก็เห็นฉาฉายังคงยืนอยู่ที่เดิม เขาจึงทำท่าบอก “เจ้าตามข้ามา”
ฉาฉาเดินตามไป ผ่านลานด้านหลังห้องหนังสือมาจนถึงบ่อน้ำพุร้อน กลับเห็นว่าตรงหน้าเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ด้านกว้างด้านยาวมีระยะหนึ่งจั้ง ลึกประมาณหนึ่งตัวคน มีระบบดึงน้ำให้ไหลเข้ามาในสระและชักนำออกไปอีกทางหนึ่ง บันไดทำมาจากหินอ่อน ที่ก้นสระปูด้วยหินกรวดสีเรียบ
เฉิงตั๋วถอดรองเท้าเหยียบไปบนขั้นบันได ฉาฉาจึงถอดรองเท้าเดินตามลงไป น้ำพุร้อนร้อนมาก ไอสีขาวพวยพุ่งขึ้นมาจนทำให้คนมองถึงกับรู้สึกมึนๆ งงๆ เฉิงตั๋วถอดเสื้อผ้าเดินลงไปแช่แล้ว ส่วนฉาฉากลับยังยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ
เฉิงตั๋วจึงกล่าวว่า “ถอดเสื้อผ้าลงมา”
ฉาฉายังคงไม่ขยับ
เฉิงตั๋วพูดต่อ “เจ้าอยู่ในห้องครัว ถูกควันรมมาทั้งวัน คิดจะขึ้นเตียงข้าทั้งสภาพเช่นนี้หรือไร” ฉาฉากัดปาก เฉิงตั๋วไม่อาจเข้าใจสีหน้าลังเลเช่นนี้ของนาง จึงยื่นมือไปกระชากปลายเสื้อ ดึงนางลงน้ำทันที
เมื่อดึงนางลงมาในน้ำ เฉิงตั๋วก็นึกเสียใจทันควัน เพราะฉาฉาดิ้นรนด้วยพละกำลังมหาศาลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตบโดนเฉิงตั๋วไปเต็มๆ สองฝ่ามือ สุดท้ายยังถึงกับจะบีบคอเขา นางหอบหายใจอย่างแตกตื่น เฉิงตั๋วอดโมโหขึ้นมานิดๆ ไม่ได้ จับแขนนาง พูดว่า “ไม่จมน้ำตายหรอก ปล่อยมือเสีย!”
คนส่วนใหญ่ที่ว่ายน้ำไม่เป็น เมื่อต้องลงน้ำในระดับที่สูงถึงหน้าอกก็จะรู้สึกลนลานขึ้นมา ยามนั้นฉาฉาไม่สนใจว่าเขาจะโมโห ค่อยๆ หย่อนเท้าเหยียบลงไปที่ก้นสระช้าๆ แล้วคลายมือออกจากคอเฉิงตั๋วมาวางบนบ่าเขา ไม่กล้าขยับตัวอีกสักนิด
เฉิงตั๋วกระชากชุดนางไม่กี่ครั้งก็ถอดได้ สะบัดโยนไปไว้ข้างบนสระ ตอนนี้ฉาฉาไม่กลัวแม้แต่เขาแล้ว เอาแต่กลัวน้ำ ท่าทางที่มือวางอยู่บนบ่าเขาก็ดูเสนอตัวอย่างมาก เฉิงตั๋วจึงยื่นมือหนึ่งไปโอบเอวนางไว้ อีกมือลูบตั้งแต่หน้าอกมาถึงบั้นท้าย สีหน้าฉาฉาไม่เปลี่ยนไปสักนิด คล้ายกับทำใจรอรับศึกใหญ่อยู่นานแล้ว เฉิงตั๋วจิกเล็บเบาๆ ลงที่ข้างเอวนาง ฉาฉาไม่ได้หลบ เพียงแค่ขมวดคิ้วนิดๆ
เฉิงตั๋วยกมือขึ้นเช็ดหยดน้ำออกจากใบหน้านาง “เมื่อวานเพิ่งจะบอกว่าเจ้าเป็นเหมือนหญิงแก่ วันนี้ก็ดูแก่ขึ้นอีกสองปีจริงๆ” ฉาฉาเบี่ยงหน้าหลบแต่หลบไม่พ้น จำต้องปล่อยให้เฉิงตั๋วเช็ดหยดน้ำบนใบหน้านางออก เขาเชิดปลายคางนางขึ้น ก้มหน้ามองนาง “เจ้าพูดภาษาพวกเราเป็นหรือไม่ เจ้าลองพูดดูได้ ไม่ต้องส่งเสียง ข้าก็อ่านปากออก”
‘พูดอะไร’ ฉาฉาขยับปากหยั่งเชิง
เขาประชิดเข้าใกล้ ถามเสียงต่ำ “พูดมาว่าเจ้าเป็นใครกันแน่”
(ติดตามต่อในเล่ม)
Comments
comments
No tags for this post.