X
    Categories: ทดลองอ่านทาสหญิงพลิกแผ่นดินมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ทาสหญิงพลิกแผ่นดิน บทที่ 7 – บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 17

บทที่เจ็ด

เมื่อเฉิงตั๋วเอ่ยประโยคนี้ออกมา ภายในกระโจมก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด ผ่านไปครู่หนึ่งเจ๋อเหรินถึงได้ตอบสนอง ตระหนักได้ว่าเฉิงตั๋วกำลังถามตน จึงตอบกลับ “พ่ะย่ะค่ะ”

เฉิงตั๋วลุกขึ้นยืน มองไปที่เขา “หรือข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดี?”

เจ๋อเหรินคุกเข่าลง “กระหม่อมไม่เข้าใจความหมายของท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”

เฉิงตั๋วขมวดคิ้ว ถอนหายใจ กล่าวว่า “ความไม่เข้าใจของเจ้ากลับทำให้ข้าไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดอย่างไร”

ภายในกระโจมเงียบไปอีกครา ได้ยินเพียงเสียงฉาฉาหอบหายใจเบาๆ ความเจ็บปวดแผ่ลามไปทั่วร่างกายช้าๆ นางฟุบอยู่บนท่อนแขนตัวเอง ขบฟันทนความเจ็บปวดรุนแรงที่ถูกส่งมาจากบาดแผลเงียบๆ นึกสงสัยว่าเหตุใดเมื่อครู่ตนถึงได้รู้สึกเศร้าใจ หากความเศร้าไม่ได้รับการตอบกลับด้วยความเห็นใจ นั่นก็เป็นแค่ความทุกข์ใจอันเสียเปล่าเท่านั้น ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่เคยรู้สึกเศร้า

เฉิงตั๋วไม่เห็นใจนาง เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัย แต่ในคืนข้ามปีวันนั้นเขาเคยเห็นใจนางมาก่อนจริงๆ เช่นนั้นที่นางเศร้าใจคงเป็นเพราะความไม่เห็นใจหลังจากที่เคยเห็นใจกระมัง คิดอยู่สักพัก ในที่สุดนางก็ทนต่อไปไม่ไหว หมดสติไปดังใจหวัง

“หนนี้กลับมาเยี่ยนโจว ข้าก็รู้สึกได้ว่าเยี่ยนโจวไม่เหมือนเยี่ยนโจวเมื่อสองปีก่อนแล้ว” เฉิงตั๋วกลับไปนั่งบนเก้าอี้ “ข้ากลับมาคราวนี้เป็นเรื่องกะทันหัน ซิวถูอ๋องไม่รู้สักนิดว่าจะถูกข้าบุกโจมตี หลังเสร็จเรื่องข้าไปเมืองผิงเหยา ระหว่างทางพบคนผู้หนึ่ง เขาบอกข้าว่าเห็นชาวหู”

สีหน้าเจ๋อเหรินยังคงราบเรียบว่างเปล่า “ท่านอ๋องมิใช่ตรัสถึงเด็กน้อยที่ความเป็นมาไม่ชัดเจนผู้นั้นหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ใดเสียแล้ว”

“ตอนที่ข้าพบเขา เขาบอกข้าว่าเขาซ่อนตัวอยู่ในร่องหิมะมาหนึ่งคืนแล้ว หากประโยคนี้เป็นความจริง ชาวหูเหล่านั้นต้องไม่ใช่ทหารแตกทัพที่เหลือ ทั้งยังไม่ใช่ทหารทัพเสริม แต่เป็นพวกเชลยที่ข้าออกคำสั่งให้ปล่อยกลับไป! การที่พวกเขาสามารถเดินทางไปถึงที่นั่นได้อย่างปลอดภัย จะต้องเป็นเพราะมีคนคอยช่วยอยู่อย่างแน่นอน ดังนั้นในค่ายทหารของข้าจึงต้องมีไส้ศึก เจ้าว่าใช่หรือไม่”

ยามนี้เจ๋อเหรินใจเย็นลงแล้ว เขายิ้มน้อยๆ “เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่กระหม่อมไร้ความสามารถ ไม่มีทั้งเวลาและกำลังไปช่วยเหลือเชลยสงครามมากมายถึงเพียงนั้น”

เฉิงตั๋วคลี่ยิ้มเช่นกัน “เจ้าย่อมไม่ทำเรื่องชั่วแทนผู้อื่นอยู่แล้ว ในตอนที่ตงฟางเพิ่งมาถึง มีคนคิดอยากสืบหาความเป็นมาของเขา จึงหาโอกาสไปรื้อค้นกระโจมของเขา ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าการจัดวางภายในกระโจมนั้นจะเป็นค่ายกลเก้าวังสิบทิศ หลังคนผู้นั้นลงมือค้น ภายนอกมองดูเหมือนไม่มีอะไรแตกต่าง แต่แท้จริงกลับทำลายค่ายกลไปเสียแล้ว ดังนั้นการกระทำนี้จึงถูกเปิดเผยออกมา เจ้าว่าใช่หรือไม่”

เจ๋อเหรินมองเฉิงตั๋ว คลายยิ้มก่อนตอบกลับว่า “พ่ะย่ะค่ะ”

“วันนั้นอาซือไห่มารายงาน บอกว่าทหารม้าของหูตี๋เตรียมโจมตีค่ายเรากลางดึก ข้าให้หยางโหย่วหลินและจ้าวสุ่นแอบจัดวางกำลังพลซุ่มรออยู่ และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้พวกหนังสือถูกทหารของศัตรูทำลาย ตอนบ่ายข้าจึงได้เก็บโต๊ะภายในกระโจมใหญ่ ปรากฏว่าคืนนั้นทหารม้าชาวหูบุกโจมตีเข้ามาจริงๆ เห็นได้ว่าก่อนหน้านี้ข่าวสารไม่ได้หลุดออกไป อย่างไรก็ตามหลังบุกสังหารมาได้ครึ่งทาง กำลังเสริมก็ตามมาเพิ่มไม่น้อย มองจากร่องรอยดูเหมือนรู้แล้วว่าที่ทัพหน้ามีการดักซุ่มเอาไว้ เมื่อคำนวณเวลาดู ไส้ศึกผู้นี้จะต้องรู้เรื่องหลังบ่ายพอดี ดังนั้นข่าวสารจึงถูกส่งออกไปอย่างรีบร้อน ถึงได้ทำให้เรื่องกลายเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นแล้วคนผู้นี้ก็จะต้องเป็นคนรับใช้ใกล้ชิดที่เข้าออกกระโจมใหญ่ของข้าอยู่บ่อยๆ”

เจ๋อเหรินมองฉาฉาที่นอนสลบอยู่บนพื้น “ดังนั้นช่วงหลังนี้ท่านอ๋องจึงทรงทำตัวผิดไปจากปกติ พาสตรีมาอยู่ในกระโจมใหญ่ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเข้ามาสืบข่าวหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เฉิงตั๋วพยักหน้า “น่าเสียดายที่เจ้ายังคงหนักแน่นไม่มากพอ คิดอยากขับไล่นางออกไปทันที ถึงกับเอาเรื่องเล็กๆ ไม่เป็นเรื่องที่เกิดในเพิงหญิงบำเรอมาถามข้า หลังเกิดเรื่องข้าให้เจ้าจับตาดูฉาฉา เจ้ารู้ว่าข้าสงสัยนาง จึงคิดใช้นางเป็นตัวตายตัวแทน เพียงแค่ว่าปกติฉาฉาไม่ไปมาหาสู่กับใคร ดังนั้นเจ้าจึงลอบบอกข้าเป็นนัยๆ ว่าตงฟางกับนางเป็นพวกเดียวกัน แต่การลอบบอกเป็นนัยๆ ครั้งนี้ของเจ้ากลับทำให้เจ้าเผยพิรุธออกมาอีกครั้ง สาเหตุไม่มีอะไรอย่างอื่น นอกจากหากคนผู้หนึ่งบอกว่าคนคนหนึ่งมีปัญหา คนคนนั้นอาจมีปัญหาจริงๆ แต่ถ้าคนผู้หนึ่งบอกว่าคนอื่นๆ ทุกคนล้วนมีปัญหา เช่นนั้นตัวคนผู้นี้ก็มีปัญหาเองแล้ว”

เจ๋อเหรินร้อง “อ้อ” เสมือนได้รับการสั่งสอน

เฉิงตั๋วดึงแหวนน้าว ซึ่งทำจากหยกมันแพะ ที่นิ้วโป้งออกมาช้าๆ แล้วสวมกลับเข้าไปใหม่ “เมื่อวานตอนที่อาซือไห่กลับมา เจ๋ออี้อยู่ข้างกายข้า แต่เจ้าไม่อยู่ ตอนนั้นฉาฉาบังเอิญออกมาเดินเล่นที่นอกกระโจมพอดี เจ้าจึงอาศัยช่วงเวลานั้นนำขวดกระเบื้องเคลือบไปวางในกระโจมของข้า หลังฉาฉากลับมา…” เฉิงตั๋วมองไปยังฉาฉาที่ยังคงสลบไสล “ได้บังเอิญ…พบขวดกระเบื้องเคลือบขวดนั้นจึงหยิบออกไปโยนทิ้งในห้องสุขา ทำให้เจ้าเปลืองแรงไปโดยเสียเปล่า”

“ดังนั้นท่านอ๋องจึงทรงออกคำสั่งให้เฆี่ยนตีนาง ทั้งเพื่อหยั่งเชิงกระหม่อมแล้วก็หยั่งเชิงนางด้วย” สีหน้าเจ๋อเหรินเรียบเฉย พยักหน้าเบาๆ “เป็นกระหม่อมที่ใจร้อนไป คิดอยากเฆี่ยนนางให้ตาย นางจะได้ไม่มีโอกาสกล่าวแก้ตัว ทั้งข้อสงสัยเหล่านี้ก็ล้วนสามารถโยนไปให้นางได้ทั้งหมด หรือก็เป็นไปได้ว่านางอาจจะทนรับการเฆี่ยนตีไม่ไหว ยอมรับผิดขึ้นมาเองเพื่อให้ความทรมานจบลง”

คำพูดของเจ๋อเหรินเท่ากับยอมรับแล้ว เฉิงตั๋วไม่พูดอะไรอีก เจ๋อเหรินก็เช่นกัน นอกจากฉาฉาที่สลบอยู่ คนอื่นๆ ล้วนรู้สึกว่าผลลัพธ์เหนือความคาดหมาย ภายในกระโจมตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกครั้ง

เจ๋อเหรินนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะยิ้มและพูดเสียงเศร้า “ในเมื่อท่านอ๋องทรงรู้ความจริงมานานแล้ว เหตุใดจึงจงใจผ่อนปรนมาจนถึงวันนี้เล่า”

เฉิงตั๋วเอ่ยเน้นทีละคำ “เจ๋อเหริน เจ้าติดตามข้ามาสิบสองปี ข้าเข้าร่วมศึกครั้งแรกตอนอายุสิบห้า เจ้าอายุสิบสาม ตั้งแต่นั้นเจ้าก็ติดตามอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลา เวลาผ่านมาถึงวันนี้ ข้าเองไม่อยากทรมานเจ้า เพียงแค่อยากรู้ว่าเพราะอะไร เจ้าบอกข้ามา นายท่านผู้นั้นของเจ้าเป็นใคร”

เจ๋อเหรินมองเขาเงียบๆ พลันร้องเรียก “ท่านอ๋อง…”

เฉิงตั๋วเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกข้าอีก!”

เจ๋อเหรินคุกเข่าก้มหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เจ๋อเหรินไม่เต็มใจทำร้ายท่านอ๋องจริงๆ แต่ในเมื่อทำลงไปแล้ว ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ล้วนไม่มีเหตุผลมากพอ เป็นเพราะว่าเมื่อสิบสองปีก่อนกระหม่อมก็ไม่ใช่คนของท่านอ๋องอยู่แล้ว นามของท่านผู้นั้น ขอท่านอ๋องทรงอภัยที่กระหม่อมไม่อาจพูด”

เฉิงตั๋วจ้องเขาสักพักถึงค่อยพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ๋ออี้ เอาดาบให้เขาจัดการตัวเองเถิด”

ที่ผ่านมาเจ๋ออี้กับเจ๋อเหรินอยู่ด้วยกันมาโดยตลอด เป็นคนที่คุ้นเคยกันที่สุด แต่ในยามนี้เจ๋ออี้ก็ได้แต่ปลดดาบข้างเอวลง เดินเข้าไปยื่นส่งให้เจ๋อเหริน เจ๋อเหรินรับมา มองมันเงียบๆ สักพักจึงค่อยเงยหน้ามองเฉิงตั๋ว คิดอยากจะพูดอะไร ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้พูด เขาเลื่อนมือชักดาบออกจากฝัก

เฉิงตั๋วเอ่ย “หากเจ้ามีเรื่องจะขอร้อง บางทีข้าอาจจะรับปากเจ้า”

เจ๋อเหรินส่ายหน้า “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”

เฉิงตั๋วแค่นเสียงดูแคลนเบาๆ เอ่ยเนิบช้า “เจ้าหยิ่งทระนงเกินไป ยินยอมตายจากไปด้วยความเสียดาย ทว่าไม่ยอมพูดความจริงออกมา”

เจ๋อเหรินยิ้มเย้ยหยันตัวเอง แต่แทนที่จะพูดว่ายิ้ม มิสู้พูดว่ามุมปากกระตุกเล็กน้อยจะดีกว่า เขาวางดาบพาดขวางคอ เงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “ท่านอ๋องทรงลืมคนอกตัญญูอย่างเจ๋อเหรินไปนับแต่นี้เถอะพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบก็ขยับแขน ปาดคอปลิดชีพตัวเอง

ทุกคนในกระโจมมองเหตุการณ์ตรงหน้า เพราะสีหน้าเฉิงตั๋วเคร่งขรึมเย็นชา คนอื่นๆ จึงไม่กล้าเปล่งเสียงออกมา

ตงฟางมองฉาฉาที่อยู่บนพื้น ในใจคิดว่าแต่ละเหตุผลของนางเมื่อครู่ มองดูคล้ายมีเหตุมีผล ทว่าก็เป็นเหตุผลที่พอฟังได้อย่างฝืนทน แต่ให้ตั้งใจสืบค้นต่อก็หาพิรุธไม่พบอยู่ดี มิใช่เพราะฉาฉาบริสุทธิ์ แต่เป็นเพราะนางแสดงได้ดีเกินไปแล้วจริงๆ

หลังผ่านไปครู่ใหญ่ เฉิงตั๋วจึงหันมาสั่งเจ๋ออี้ “เอาเจ๋อเหรินไปฝังเสีย” เจ๋ออี้รับคำ ในดวงตาฉายแวว ‘กระต่ายตายจิ้งจอกอาลัย’ อยู่บ้าง เฉิงตั๋วเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ในใจก็พลันเจ็บปวดขึ้นมาน้อยๆ ทว่าไม่พูดอะไร ไม่สนใจคนอื่นๆ ภายในกระโจม เพียงเดินไปคว้าตัวฉาฉาขึ้นมา

ฉาฉาเจ็บปวดอย่างมากจนร่างกายสั่นสะท้านน้อยๆ นางฟื้นขึ้นช้าๆ เห็นว่าเฉิงตั๋วกำลังอุ้มตนเดินไปทางนอกกระโจม หัวใจจึงลอบสงบลง นางสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกเหมือนร่างกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ จึงเอนพิงบนหัวไหล่เฉิงตั๋ว ปล่อยให้ตนหมดสติไปอีกครั้งเสียเลย

นับตั้งแต่หมดสติไปวันนั้น ฉาฉาก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีก เฉิงตั๋วใช้กำลังภายในหยั่งชีพจรนาง รู้สึกว่าอาการไม่ได้ร้ายแรงอะไร ไม่ควรจะหมดสติไม่ฟื้นเช่นนี้ ตงฟางจับชีพจรนางอยู่นาน รู้สึกว่าชีพจรสม่ำเสมอ น่าจะไม่มีปัญหาใหญ่โตอะไร ที่ไม่ตื่นเสียทีน่าจะเป็นเพราะตัวนางเองไม่อยากตื่น

“ตัวเองไม่อยากตื่น?” เฉิงตั๋วไม่เคยได้ยินคำพูดเช่นนี้มาก่อน

“บางครั้งตื่นขึ้นมายังมิสู้หมดสติ ดังนั้นจึงไม่ฟื้น นี่ไม่ใช่การตั้งใจทำ และก็ไม่ได้มีสาเหตุมาจากบาดแผล การหลีกเลี่ยงอันตรายเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ จริงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

น้อยครั้งที่เฉิงตั๋วจะไม่ยอมเผชิญหน้ากับความจริง ดังนั้นจึงไม่ค่อยเข้าใจความหมายนัก ทั้งยังรู้สึกเหมือนว่าตงฟางกำลังตำหนิเรื่องที่เขาสั่งให้เฆี่ยนฉาฉา จึงไม่พูดอะไรอีก แต่เพิ่งผ่านไปหนึ่งวัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ฉาฉากลับสะดุ้งตื่นขึ้นมา ดวงตากลมโตคู่นั้นเบิกกว้าง มองมาที่เฉิงตั๋วด้วยอาการตื่นตกใจ

เฉิงตั๋วพึมพำกับตัวเองเบาๆ “ไม่อยากจะตื่นแต่ก็ต้องตื่นเพราะหวาดกลัวข้า ดูเหมือนข้าควรอ่อนโยนกว่านี้หน่อย”

 

ผ่านไปเช่นนี้อีกหลายสิบวัน แม้บาดแผลของฉาฉาจะยังไม่หายดีทั้งหมด ทว่าก็สามารถลงจากเตียงมาเคลื่อนไหวได้แล้ว วันที่สองหลังนางฟื้นขึ้นมา เฉิงตั๋วก็จับนางอาบน้ำตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง แล้วนำกลับไปปล่อยไว้บนเตียง

ส่วนที่ว่าเหตุใดเฉิงตั๋วจึงต้องให้นางพักรักษาตัวบนเตียงของเขา ฉาฉาเองก็ไม่แน่ใจ นางลอบรู้สึกว่าอาการคลั่งไคล้ความสะอาดของเฉิงตั๋วไม่ได้เป็นเพราะกลัวจะสกปรก แต่เป็นเพราะเขารู้สึกว่าสิ่งของทุกอย่างที่แตะต้องได้ล้วนแต่ชั่วคราวทั้งสิ้น เสมือนไม่เกี่ยวข้องกับเขา แม้แต่ฝุ่นผงในอากาศยังไม่เกี่ยวอันใดกับเขา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องล้างออกไป อาการเช่นนี้ก้าวหน้าไปถึงขั้นที่ค่อนข้างรุนแรงแล้ว

คนผู้หนึ่งหากเหินห่างกับโลกที่อาศัยอยู่มากถึงเพียงนี้ ในส่วนลึกของหัวใจจะโดดเดี่ยวเพียงใดกัน ด้วยเหตุนี้ฉาฉาจึงรู้สึกว่าคนอย่างเฉิงตั๋วคาดเดาได้ยากอย่างน่ากลัว หากไม่จำต้องรับมือกับเขา นางก็จะไม่รับมือ หากไม่จำต้องหาเรื่องเขา นางก็จะไม่หาเรื่อง เฉิงตั๋วจะวางนางไว้บนเตียงให้เป็นผ้าห่มหรือว่าเป็นหมอน ก็แล้วแต่ที่เขาชอบเถิด

นอกจากนี้ การได้นอนบนเตียงเฉิงตั๋วก็ช่างเป็นสิทธิพิเศษอย่างหนึ่งจริงๆ สบายและอบอุ่นยิ่งกว่าเบาะรองกับพรมมากนัก เวลาที่ซุกหน้าลงไปยังได้กลิ่นผ้าฝ้ายที่ผ่านการซักสะอาด ฉาฉาห่อตัวอยู่ในผ้าห่ม พลิกตัวซุกหน้าเข้าไปในผ้าห่มเสียเลย ยามนั้นพลันได้ยินเสียงม่านกระโจมถูกเปิดออก มีคนเดินเข้ามา ต่อมาก็มีเสียงของบางอย่างถูกวางลงบนโต๊ะ ขณะฉาฉาถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย ผ้าห่มก็ถูกเฉิงตั๋วดึงออก

“ลุกขึ้น” เขาสั่งเสียงเด็ดขาด จากนั้นก็นั่งลงที่ขอบเตียง ยื่นมือออกไปหยิบยาถ้วยหนึ่ง ฉาฉาได้แต่ลุกขึ้นนั่ง เอนพิงอยู่บนหมอน รับยาถ้วยนั้นมา นางพยายามกลืนน้ำยาสีดำลงไปให้ไวที่สุด

รอจนนางดื่มเสร็จและกำลังขมวดคิ้วแน่น เฉิงตั๋วก็ยัดสิ่งหนึ่งเข้าปากนางโดยไม่ทันให้ตั้งตัว

กลิ่นนมเข้มข้นเข้ามาแทนที่ความขมฝาดของยาทันที รสหวานอ่อนๆ แฝงรสเปรี้ยวแผ่กระจายออกมาช้าๆ สิ่งนี้คือเนยแข็งของแดนหู เป็นอาหารที่มีอยู่ประจำในครอบครัวคนเลี้ยงสัตว์ทางตอนเหนือ ฉาฉาดื่มด่ำรสชาติของเนยแข็งก้อนนี้อย่างตะกละตะกลาม รู้สึกเหมือนไม่เคยได้กินของอร่อยเช่นนี้มาก่อน

เฉิงตั๋วถามเสียงเรียบ “ไม่ขมแล้วสินะ”

ฉาฉาสงสัยว่าเหตุใดวันนี้เขาถึงได้ใจดีเช่นนี้ จึงพยักหน้าอย่างลังเล ทันใดนั้นริมฝีปากของเฉิงตั๋วพลันทาบทับลงมา ปลายลิ้นสอดแทรกเข้าไปในปากนางโดยไม่ลังเลสักนิด มือหนึ่งปลดสายรัดชุดของนางออก ฉาฉารู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมาทันใด

เฉิงตั๋วไม่ใช่มนุษย์ที่มีความปรารถนาไม่สิ้นสุด แต่เวลาปรารถนาขึ้นมาจะไม่ค่อยเหมือนมนุษย์ เมื่อหลายวันก่อนเขายุ่งวุ่นวายกับเรื่องสงคราม แม้ฉาฉาจะพักอยู่ในกระโจมของเขา แต่เขาก็ไม่แตะต้อง มาวันนี้ดูเหมือนจู่ๆ ก็เกิดมีอารมณ์ปรารถนาขึ้นมา แต่กลับรอให้นางกินยาอย่างเชื่องช้าจนหมดเสียก่อน ฉาฉาคาดการณ์จากหลัก ‘ให้ลูกอมกินก็จะให้กระบองหนึ่งไม้’ ของเขา จึงคิดว่าวันนี้เขาคงตั้งใจจะชดเชยเรื่องที่ค้างคาเอาไว้หลายวันก่อนให้หมด เมื่อคิดได้เช่นนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็ตอบสนองไม่ลงแล้ว

เฉิงตั๋วพลิกตัวนางให้นอนคว่ำอยู่บนผ้าห่ม ลูบไล้รอยแผลบนแผ่นหลังของนาง เอ่ยปลอบประโลม “ไม่ต้องกลัว ข้าไม่มีทางทำอะไรเจ้า” ปลายนิ้วเขากดลงบนรอยแผล ฉาฉารู้สึกเจ็บจากอาการช้ำ อดนึกถึงเหตุการณ์ที่ถูกเจ๋อเหรินเฆี่ยนขึ้นมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ในใจพลันหวาดกลัว นางเป็นเช่นนี้ไปแล้ว จะยังไม่เป็นอะไรได้อีกหรือ คำพูดของเขาไม่รู้ว่าหมายถึงวันนี้ชีวิตน้อยๆ ของนางจะไม่เป็นอะไร หรือว่าชีวิตวันหน้ายากจะไม่เป็นอะไร บุรุษผู้นี้มีศาสตร์มีศิลป์ในการเอื้อนเอ่ยจริงๆ

เฉิงตั๋วจับหน้าฉาฉาหันมา ป้อนเนยแข็งให้นางอีกก้อน รอจนนางอมจนละลายถึงประชิดหน้าเข้าไปแบ่งปันอีกครั้ง ฉาฉาไม่กล้าขัดขืนแม้แต่น้อย คล้อยตามเขาอย่างเชื่อฟัง เฉิงตั๋วแย่งรสเนยแข็งในปากนางไปอย่างหมดจด เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกดเอวนาง กล่าวว่า “หากอยากกินอีกก็หยิบเอง”

ฉาฉาเห็นท่าทีของเขายังนับได้ว่าเป็นมิตร หลังซุกหน้ากับท่อนแขน ปรับอารมณ์เล็กน้อยก็คว้าเนยแข็งก้อนค่อนข้างใหญ่จากในถาดมาหนึ่งก้อน ก้มตัวกอดผ้าห่ม กัดเคี้ยวกินด้วยอารมณ์เคียดแค้นเล็กน้อย

 

ไม่ว่าอย่างไรฉาฉาก็ยังบาดเจ็บอยู่ ตอนบ่ายเฉิงตั๋วจึงไม่ได้สร้างความลำบากอะไรให้นาง ภายหลังยังให้นางนอนหลับงีบใหญ่ ส่วนตัวเขาออกไปเดินตรวจตราทางตะวันออก จวบจนช่วงย่ำค่ำถึงได้กลับมา เป็นเพราะหูตี๋แพ้สงคราม แนวรบตลอดทั้งแนวจึงเคลื่อนไปทางทิศตะวันตก ส่วนกำลังทหารของเฉิงตั๋วที่แนวรบตะวันออกของเยี่ยนโจวก็เรียกเก็บกลับมาแล้ว

ในเวลาสั้นๆ ชาวหูยังไม่อาจรวบรวมกำลังคนและม้าได้เพียงพอ จึงรักษาการณ์อยู่ในเมืองหลวงของพวกเขาไม่ออกมา เฉิงตั๋วก็ไม่ได้บุกลึกเข้าไป บนท้องทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไม่มีสถานที่ให้ครอบครอง ทั้งยังไม่ง่ายต่อการตั้งรับเป็นเวลานาน ดังนั้นเมื่อสงครามทางเหนือสงบลงบ้างแล้ว ในวังจึงมีพระราชโองการถ่ายทอดลงมาให้ผู้บัญชาการทหารอวิ๋นโจวเฉิงเสี่ยนทำหน้าที่ป้องกันชายแดนทางเหนือแทน เรียกตัวเฉิงตั๋วกลับเมืองหลวง

ในเมื่อเฉิงตั๋วต้องจากไปชั่วคราว ดังนั้นจึงต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย กับกิจทางทหารบางอย่าง เขาไม่เคยรังเกียจความยุ่งยากของมัน คิดเสมอว่าหากจำเป็นก็ต้องไปตรวจสอบด้วยตัวเองจึงจะวางใจได้

รอจนกลับมาถึงค่ายใหญ่เยี่ยนโจวก็เห็นตงฟางสวมชุดเดินทาง ขี่ม้ารออยู่ที่หน้าค่าย หมิงจียืนอยู่ข้างกายเขา เมื่อเห็นเฉิงตั๋วกลับมา ตงฟางก็ประสานมือเอ่ย “ท่านอ๋อง เดิมทีกระหม่อมต้องการร่วมทางกลับเมืองหลวงพร้อมพระองค์ แต่ตอนนี้เป็นเพราะมีเรื่องจุกจิกบางอย่าง จำต้องออกเดินทางล่วงหน้า ดังนั้นจึงขอนำไปก่อนหนึ่งก้าวพ่ะย่ะค่ะ”

“ตอนนี้?” เฉิงตั๋วตกใจอยู่บ้าง เพราะเวลานี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว

“พ่ะย่ะค่ะ เดิมทีกระหม่อมตั้งใจจะไปตอนบ่าย แต่เพราะท่านอ๋องไม่ทรงอยู่ที่ค่าย หากไปโดยไม่ลาย่อมไม่เหมาะสม กระหม่อมขอลาท่านอ๋องตรงนี้ รอท่านอ๋องเสด็จกลับถึงเมืองหลวงแล้ว กระหม่อมค่อยไปคารวะที่จวนอีกครั้ง น้องสาวของกระหม่อมกับนกพิราบก็ต้องรบกวนให้ท่านอ๋องทรงช่วยดูแลแทนแล้ว”

เฉิงตั๋วเห็นเขาร้อนใจจะไปก็ไม่ได้ถามว่าเรื่องอะไร เพียงพยักหน้า พูดว่า “ตกลง” แล้วถอดแหวนน้าวหยกมันแพะขาวที่สวมติดกายตลอดเวลายื่นส่งให้ “รอข้ากลับไปเมืองหลวง เจ้านำของสิ่งนี้ไปหาข้าที่จวนจิ้งหย่วนอ๋อง”

ตงฟางรับมา ประสานมือกล่าวขอบคุณ ก่อนจะสะบัดแส้หวดม้าให้ห้อตะบึงไปในราตรีทันที ถึงขั้นไม่ได้หันไปมองหมิงจีที่อยู่ข้างกายสักครั้ง

เฉิงตั๋วมองตงฟางจากไปไกลแล้วถึงได้หันกลับมามองหมิงจีซึ่งยืนอยู่ตรงนั้น นางมองตามทางที่พี่ชายจากไป เฉิงตั๋วกระโดดลงจากหลังม้า ตะโกนเรียกให้นางกลับเข้าค่าย หมิงจียังคงมองต่ออีกแวบหนึ่งถึงได้เดินตามเขากลับเข้าไปในค่ายช้าๆ เฉิงตั๋วยิ้มกล่าวว่า “รออีกสองวันเจ้าตามข้ากลับไปเมืองหลวง อีกไม่เกินครึ่งเดือนก็ได้เจอพี่เจ้าแล้ว”

หมิงจีไม่ได้มองเฉิงตั๋ว เพียงถอนหายใจ “เมื่อก่อนพี่ชายไม่อยู่บ้าน ท่านแม่จากไปแล้วเขาถึงได้กลับมา แต่ยามจะไปไหนก็ไป หม่อมฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาทำอะไรอยู่”

“ปณิธานของบุรุษอยู่ที่โลกกว้าง แม้เขาจะไม่อยู่ข้างกายเจ้า แต่ก็คอยพะวงถึงเจ้าเสมอ” เฉิงตั๋วกล่าว ระหว่างที่พูดคุยกันก็เดินมาถึงใจกลางค่ายแล้ว เฉิงตั๋วหยุดฝีเท้าลง

หมิงจีหยุดยืน ยอบกายเอ่ยขอบคุณ “ท่านอ๋อง หม่อมฉันขอตัวก่อนแล้วเพคะ”

เฉิงตั๋วกำชับนาง “หากเจ้ามีของอะไรจะเอาไปก็อย่าลืมเก็บให้เรียบร้อย ส่วนนกพิราบของเขาหรือสิ่งของอย่างอื่น หากต้องการจะเอาไป ข้าจะส่งเจ๋ออี้ไปช่วยเจ้า”

หมิงจีอ้าปากกำลังจะพูดอะไร เฉิงตั๋วกลับยกมือขึ้นห้าม “นอกจากนี้ แม่นางหมิงจีก็เกรงใจเกินไปแล้ว ข้าเห็นว่าเจ้ากับพวกจ้าวสุ่น อาซือไห่ล้วนสนิทสนมกันดี มีเพียงเวลาเจอข้าเท่านั้นที่จะระมัดระวังตัว ความจริงข้าเองก็เป็นคนเหมือนกับในตอนที่พบเจ้าบนถนนเมืองผิงเหยา ไม่ใช่เสือเสียหน่อย”

หมิงจีหน้าแดง “นั่นเป็นเพราะหม่อมฉันล่วงเกินท่านอ๋อง เกรงว่าท่านอ๋องจะทรงเอาเรื่อง…”

เฉิงตั๋วหัวเราะ “ข้าเป็นคนใจแคบถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ไม่เป็นไร เจ้าล่วงเกินข้าได้เลยเต็มที่ ข้าไม่เอาโทษกับเจ้า เจ้ารีบกลับกระโจมไปเถอะ ข้ายังมีธุระอีกเล็กน้อย”

หมิงจียิ้มแย้มพยักหน้า สะบัดผมเปียเดินจากไป

 

ช่วงเวลานี้อากาศค่อยๆ ร้อนขึ้นเรื่อยๆ ตงฟางนั่งอยู่ในร้านเล็กๆ ข้างจุดพักม้า รู้สึกกระหายน้ำมาก เถ้าแก่ร้านยกน้ำชามาให้ เขาดื่มไปอึกหนึ่ง หลังเดินทางลงใต้ติดต่อกันหลายวัน กำลังม้าไม่เพียงพอ เมื่อวานจึงมาเปลี่ยนม้าที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ ต้นไม้ใบหญ้าข้างทางล้วนแตกใบเขียวชอุ่ม ทิวทัศน์งดงามสบายตา เขาจึงนั่งพักผ่อนสักเล็กน้อย ก่อนจะเร่งรีบเดินทางต่อ

เสี่ยวเอ้อร์ของร้านทยอยยกอาหารมาวาง ตงฟางจับตะเกียบกำลังจะคีบกับข้าว ทันใดนั้นก็พลันเหลือบไปเห็นที่ใต้โต๊ะมีบางอย่างวูบไหว เขาชะงักไป ก่อนคีบผักกินคู่กับหมั่นโถวต่อ จากนั้นขอบโต๊ะก็ปรากฏนิ้วสีดำ ตามมาด้วยเรือนผมยุ่งเหยิง และดวงตาที่กลอกมองไปมา เด็กน้อยที่ต้องการอาหารผู้หนึ่งเกาะอยู่ขอบโต๊ะฝั่งตรงข้ามเขา ยิ้มสู้พร้อมขานเรียก “ฮี่ๆ นายท่าน”

ตงฟางราวกับไม่ได้ยิน กินต่อไป ยามนี้เถ้าแก่ร้านเห็นเด็กคนนี้แล้ว ส่วนเสี่ยวเอ้อร์ก็หยิบผ้าเช็ดน้ำมันในห้องครัวขึ้นมาปัดไล่เหมือนปัดแมลง “ชิ่วๆ เจ้าขอทานน้อยผู้นี้วิ่งมาที่ร้านผู้อื่นแต่เช้าได้อย่างไร อัปมงคลเสียจริง!”

ตงฟางยังคงคีบกับข้าว เพียงแค่หันไปพูดกับเสี่ยวเอ้อร์ “เจ้าไม่ต้องสนใจเขา ไปทำงานของเจ้าเถอะ”

เสี่ยวเอ้อร์ประหลาดใจ แต่ในเมื่อลูกค้าไม่ว่าอะไร เขาเองก็ไม่สะดวกจะพูด จึงเดินกลับห้องครัวไปถกกับเถ้าแก่ร้านด้วยความงุนงง

เด็กคนนั้นเห็นตงฟางพูดเช่นนี้ จึงมองไปที่สำรับอาหารบนโต๊ะ สลับกับมองเขา ก่อนจะหยิบหมั่นโถวลูกหนึ่งขึ้นมาตะกละตะกลามกินอย่างรวดเร็ว ขณะกลืนกลับติดคอขึ้นมา จึงคว้าชาของตงฟางมาดื่มไปอึกหนึ่ง หลังดื่มเสร็จก็รินเติมอีกถ้วย ตงฟางเพิ่งกินหมั่นโถวของตนไปได้แค่ครึ่งลูก เด็กน้อยกลับยัดหมั่นโถวทั้งลูกลงท้องไปเรียบร้อยแล้ว

เด็กน้อยลังเลอยู่ชั่วอึดใจก็ยื่นมือออก คิดจะหยิบหมั่นโถวอีก แต่ถูกตงฟางจับข้อมือเอาไว้ เขาร้องขอความเมตตาทันที “นายท่าน ข้าๆ ข้าไม่เอาแล้ว ข้า…”

ตงฟางส่ายหน้า “เจ้าอดมานานเกินไป ไม่อาจกินเยอะในคราวเดียว”

เด็กน้อยกลืนน้ำลาย ก่อนเอ่ยว่า “ขอรับๆ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่านายท่านเป็นคนมีเมตตา!”

“คนที่ดูมีเมตตา อาจไม่ได้มีใจเมตตา”

“ขอรับๆ นายท่านกล่าวได้ถูกต้องยิ่ง แค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนมีความรู้กว้างขวาง”

ตงฟางยิ้มน้อยๆ “เช่นนั้นเจ้าเป็นคนเช่นไรเล่า”

“ข้า?” เด็กน้อยจ้องไปที่กับข้าวบนโต๊ะ “ข้าชื่อติงจื่อ”

“ติงจื่อ? เช่นนั้นข้ามิต้องชื่อฉี่จื่อหรอกหรือ”

“ฮี่ๆ ขอแค่ท่านไม่ชื่อฉุยจื่อ ก็พอแล้วขอรับ” เขาเงยหน้ามองตงฟางพร้อมหัวเราะฮี่ๆ

ตงฟางกินเสร็จแล้ววางตะเกียบลง ก่อนจะหยิบเงินขึ้นมา สั่งเสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นว่า “ห่อหมั่นโถวให้ข้าอีกสักสองสามลูกด้วย” แล้วหันกลับไปพูดกับติงจื่อ “ที่เหลืออยู่นี้ เจ้าเอาไปเถอะ”

ติงจื่อกอดหมั่นโถวเอาไว้ สายตามองตงฟาง “นายท่าน ท่านต้องการเด็กรับใช้หรือไม่ขอรับ แม้ข้าจะยังเด็ก ทว่ารู้อักษร ทำได้ทุกอย่าง ท่านออกเดินทางตามลำพัง ไม่มีคนคอยปรนนิบัติ รับข้าเป็นเด็กรับใช้ท่านเถิด”

“ข้าจะเอาตะปูไปทำอะไร หากไม่ทันระวังจะถูกทิ่มมืออีกด้วย” ตงฟางกล่าว

“จะเป็นไปได้อย่างไรเล่าขอรับ ข้าไม่เรื่องมาก ขอร้องท่านได้โปรดพาข้าไปด้วยเถอะ” ติงจื่อจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว

ตงฟางโบกมือ “ข้าไม่ต้องการเด็กรับใช้ แต่สามารถหางานเด็กรับใช้ให้เจ้าได้” ติงจื่อเปลี่ยนเป็นยิ้มออกทันที เขากระโดดโลดเต้นไปข้างหน้า ตงฟางพูดเสริมอีกประโยคหนึ่ง “เพียงแต่พวกเราต้องเร่งรีบเดินทางอีกสองวัน”

 

ในที่สุดติงจื่อจึงตอกตัวเองลงบนหลังม้าของตงฟาง ทั้งสองคนออกเดินทางโยกๆ คลอนๆ ไปหนึ่งวันก็มาถึงชานเมืองหลวง ตงฟางรั้งบังเหียนหยุดม้าช้าๆ ก่อนจะวนรอบทุ่งนาผืนตรงหน้ารอบหนึ่ง เขาพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เดิมทีในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิจะเป็นช่วงที่ชาวนากำลังเพาะปลูกพอดี แต่ตามทุ่งนารอบด้านกลับว่างเปล่า เขาบังคับม้าเดินวนอยู่นานครู่ใหญ่ถึงได้พบชาวนาชราผู้หนึ่งซึ่งพับขากางเกงขึ้น ก้มตัวปักต้นกล้าข้าวอยู่ในนา

ตงฟางลงจากหลังม้าแล้วจูงม้าเดินเข้าไปหา ค้อมตัวลงเรียก “ท่านผู้เฒ่า”

ชายชรายืดตัวขึ้นครึ่งหนึ่ง ขานรับพลางทุบเอว “หือ?”

“ตอนนี้เป็นช่วงเตรียมดินเพาะปลูก เหตุใดบนที่ดินอุดมสมบูรณ์รอบด้านจึงมีแค่ท่านผู้เฒ่าคนเดียวที่กำลังปักกล้าเล่า”

ชายชราไม่แม้แต่จะยกเปลือกตาขึ้น “ข้าไม่กลัวตาย ถึงได้ออกมาทำนา”

ตงฟางยื่นบังเหียนม้าให้ติงจื่อ แล้วย่อตัวลงรินน้ำจากในกาดินเผาข้างทางชามหนึ่ง ยื่นส่งให้ชายชราผู้นั้น ทว่ากลับเหลือบเห็นในตะกร้าไผ่บนพื้นของเขามีมีดทำครัวเล่มหนาทอประกายเงาวับ

ชายชรารับมาดื่ม เช็ดเหงื่อแล้วถอนหายใจ “เฮ้อ เจ้ารีบไปเถอะ สถานที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดกล้ามาแล้ว”

“เพราะอะไรหรือขอรับ”

ชายชรานั่งลงคุยกับตงฟางบนคันนา “ตั้งแต่เมื่อต้นปี ที่แห่งนี้ก็มีสัตว์ป่าออกมาทำร้ายคน จนคนนอนตายอยู่บนพื้น ดูน่าสังเวชนัก ไม่นานคนตายก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ขุนนางท้องถิ่นส่งนายพรานกับเจ้าหน้าที่มาจับสัตว์ป่า แต่กลับจับไม่ได้ ซ้ำยังส่งคนไปตายเปล่าจำนวนไม่น้อย ผู้คนต่างพูดว่าจะต้องเป็นเสือแน่ เพียงแต่สถานที่แห่งนี้ไม่ได้อยู่ใกล้ป่ารกครึ้ม สัตว์ป่าไม่ควรมาที่นี่ ภายหลังฝ่าบาททรงส่งทหารมาโอบล้อมป่าเขาละแวกใกล้ๆ คิดจะจับตายสัตว์ป่าตัวนี้”

ชายชราเบิกตากว้าง เล่าต่อไป “คืนวันหนึ่งบนภูเขาห่างจากที่นี่ไปห้าหลี่ ในที่สุดก็เจอตัวมัน น่าตกใจมากจริงๆ ได้ยินมาว่าดวงตามันใหญ่ปานชามยักษ์ เสียงคำรามดุจฟ้าผ่า ไม่อาจเข้าใกล้จนใช้ดาบขวานได้เลย ตอนนั้นทหารได้รับบาดเจ็บไปหลายสิบนาย คนที่เหลือต่างตกใจวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง นับจากนั้นคนที่อยู่ที่นี่ก็ทยอยหนีกันไปจนหมด”

ตงฟางฟังจนจบ ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก “นั่นเป็นตัวอะไรหรือ”

ชายชราส่ายหน้า ดวงตาขุ่นมัว “ไม่รู้ รู้แค่ว่าเป็นสัตว์ประหลาด ฝ่าบาททรงสั่งอพยพผู้คนที่นี่ไปทางตะวันตก ทุกคนไปหมดแล้ว ส่วนข้าอายุใกล้เจ็ดสิบ อยู่ที่นี่มาทั้งชีวิต ไม่มีทายาท เลยไม่คิดจะไป เห็นพื้นดินว่างๆ เลยซื้อต้นกล้ามาปลูก”

ตงฟางลุกขึ้นยืน เงยหน้ามองขุนเขาธารารอบด้านแล้วเอ่ยถาม “ในอดีตที่นี่มีผู้คนอาศัยอยู่มาก ดูท่าคงจะไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อนใช่หรือไม่”

ชายชราก็ลุกขึ้นยืน ส่ายหน้า ก่อนจะเดินลงไปในทุ่งนาอีกครั้ง

ตงฟางมองเขา ยังคงถามต่อ “ทุกคนพูดถึงเรื่องนี้กันอย่างไรบ้าง”

“จะพูดอะไรได้อีก นอกจากจะต้องเป็นเพราะสวรรค์เห็นบางอย่างไม่ถูกต้อง ถึงได้ส่งสัตว์ประหลาดพรรค์นี้มาลงโทษมนุษย์ ฮ่องเต้ไม่ได้ทรงออกราชโองการตำหนิพระองค์เองแล้วหรอกหรือ”

ตงฟางยิ้มน้อยๆ พับแขนเสื้อขึ้น “ท่านผู้เฒ่าทำคนเดียวไม่สะดวก มิสู้ให้ข้าช่วยท่านเถอะ”

ชายชรายืดตัวขึ้น ราวกับรู้สึกตกใจอยู่บ้าง ยังไม่ทันได้ตอบอะไร ติงจื่อก็ร้องเรียกเสียงเบาจากบนหลังม้า “ท่านตงฟางๆ” ตงฟางไม่ให้เขาเรียก ‘นายท่าน’ เขาก็เลยเรียก ‘ท่านตงฟาง’ แทน

ตงฟางเดินเข้าไปหา ติงจื่อก็โน้มตัวลงมา พูดเสียงเบาด้วยใบหน้าอมทุกข์ “ท่านตงฟาง พวกเรารีบไปกันเถอะ สถานที่แห่งนี้อันตรายนัก อีกสักพักจะต้องมีสัตว์ประหลาดมา…”

“ไม่เป็นไร สถานที่แห่งนี้โล่งกว้าง ไม่ว่าอะไรก็ล้วนมองเห็นได้ ไฉนจู่ๆ จะมีสัตว์ประหลาดเดินมาถึงตรงหน้าเจ้าได้ แต่ถ้าเจ้าอยากไปก็ไปเองเถอะ” ติงจื่อมองทางข้างหน้า กลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกว่าอยู่ในสถานที่ที่มีคนมากยังค่อนข้างปลอดภัยกว่า ถึงแม้จะเพิ่มมาอีกแค่สองคนก็ตาม

ตงฟางพับขากางเกงขึ้น กระโดดลงไปในนาข้าว เริ่มลงมือปักต้นกล้า ชายชรามองการเคลื่อนไหวของเขาอย่างประหลาดใจ “เจ้าทำนาเป็นหรือ”

“ครอบครัวข้าก็เป็นชาวนา”

ในตอนที่ใกล้จะเที่ยง ต้นกล้าจำนวนไม่มากเหล่านั้นก็ถูกทั้งสองคนปักลงนาจนเสร็จแล้ว ตงฟางเช็ดมือเท้าให้แห้งพร้อมเอ่ย “ท่านผู้เฒ่าพักอยู่ที่ใดหรือ ให้ข้าไปส่งท่านเถอะ” ก่อนจะจูงม้าเดินตามชาวนาชราผู้นั้นไปถึงกระท่อมดินผุพังแห่งหนึ่ง กระท่อมหลังนั้นประตูและหน้าต่างล้วนตอกลูกกรงปิด เหลือไว้แค่เพียงประตูรั้วครึ่งบานที่ด้านล่างเปิดให้คนก้มตัวเข้าออกได้

ชายชรากล่าวว่า “กระท่อมแห่งนี้เก่าผุพังแล้ว ตอนเย็นข้านอนใต้ดิน เจ้าจะเข้ามาดูหรือไม่”

ตงฟางยกมือขึ้น “ไม่แล้ว ท่านผู้เฒ่ารีบเข้าไปพักผ่อนเถอะขอรับ ช่วงนี้ระมัดระวังตัวให้มาก” ชายชราถอนหายใจ เอ่ยขอบคุณเขา ก่อนจะยกตะกร้ามุดเข้าไปในประตูรั้วบานนั้น

ตงฟางตวัดกายขึ้นหลังม้า ไม่พูดอะไรอีก ทันทีที่ออกแรงหนีบท้องม้า ม้าก็วิ่งตะบึงออกไป ครั้นเดินทางมาจนยามพลบค่ำถึงได้เห็นบ้านคนอีกครั้ง พวกเขาพักผ่อนหนึ่งคืนจึงค่อยเดินทางต่ออีกหนึ่งวัน กระทั่งมาถึงเมืองหลวง

ทัศนียภาพของเมืองหลวงย่อมต่างไปจากที่อื่น ไม่เพียงมีกำแพงเมืองตั้งสูงตระหง่าน ผู้คน วัฒนธรรมภายในเมืองก็แตกต่างอย่างมาก ไม่เหมือนผู้คนชายแดนทางเหนือที่ห้าวหาญซึ่งมักพกกระบี่ติดตัว ตงฟางเดินจูงม้าไปบนถนนอันเจริญรุ่งเรือง ในคลองจักษุเต็มไปด้วยชุดผ้าไหมแพรพรรณ ติงจื่อไม่เคยเห็นเมืองใหญ่โตเช่นนี้มาก่อน จึงชะเง้อชะแง้คอมองไปทั่ว อยากรู้อยากเห็นอย่างมาก ตงฟางซื้อน้ำตาลปั้นให้เขากิน ตอนเย็นก็เลือกหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเข้าพัก

 

รุ่งสางวันต่อมาเพิ่งจะพ้นยามเหม่า ตงฟางตื่นขึ้นมาแต่เช้า ยังคงพาติงจื่อไปด้วย หลังเดินเลี้ยวลดคดเคี้ยวไปครึ่งชั่วยามก็มาถึงที่ทำการแห่งหนึ่ง ติงจื่อเงยหน้าขึ้นอ่านตัวอักษรข้างบนนั้น นึกไม่ถึงว่าจะอ่านออกทั้งหมด เขาพูดออกมาทีละตัวๆ “สำนักโหราจารย์”

ตงฟางยิ้มน้อยๆ เดินเข้าไปพูดบางอย่างกับทหารยาม ทหารยามจึงปล่อยให้พวกเขาเข้าไป

ด้านในเป็นทางเดินยาวเส้นหนึ่ง สองข้างทางปลูกต้นไม้สูงเสียดฟ้าเอาไว้หลายต้น ที่อยู่ตรงหน้าเป็นเรือนใหญ่โตหลังหนึ่ง มีผู้ดูแลนั่งอยู่ข้างใน ตงฟางให้ติงจื่อลงจากหลังม้าแล้วเดินเข้าไปคุยกับเขา คนผู้นั้นชี้บอกทางให้ ตงฟางหันกลับมาบอกให้ติงจื่อเดินต่อ เดินทะลุผ่านประตูเล็กไปจนถึงยังหอคอยแห่งหนึ่ง

ตงฟางเดินขึ้นบันไดไปช้าๆ กลับเห็นประตูลงกลอนสนิท บนเสาไม้ใต้ระเบียงติดกระดาษแผ่นหนึ่งเอาไว้ ตงฟางขมวดคิ้ว หยิบลงมาอ่าน บนกระดาษเขียนบทกลอนสั้นๆ เอาไว้บทหนึ่ง ‘ทุ่งราบก่อกำแพง ห่านป่าแดงร่อนลงเกาะ หนึ่งวันคืนร้องจำเพาะ เพียงครวญคร่ำไม่เอ่ยคำ’

ตงฟางอ่านไปหนึ่งรอบก็ยิ้มออกมาน้อยๆ พอหันกลับไปเห็นติงจื่อมองมาที่ตน จึงส่งกระดาษให้เขาพร้อมถาม “หนนี้ยังอ่านออกหรือไม่” ติงจื่อตั้งอ่านตะแคงอ่านอยู่นานครู่ใหญ่ ก่อนจะตอบ “ไม่ได้อ่านออกทั้งหมดขอรับ มันพูดถึงอะไรหรือขอรับ”

ตงฟางจูงเขาพาเดินกลับไปตามเส้นทางเดิม “พูดถึงว่ามีคนกำลังก่อกำแพง จู่ๆ ก็มีห่านป่าสีแดงตัวใหญ่มาเกาะอยู่ข้างบน ส่งเสียงร้องแหลมหนึ่งวันหนึ่งคืน ฟังดูโศกเศร้าอย่างมาก”

“ห่านป่าตัวนั้นน่าชังจริง ว่าแต่ ท่านตงฟาง พวกเราจะไปที่ใดกันหรือขอรับ”

ตงฟางเอ่ย “ไปหาผู้ที่ทิ้งข้อความนี้เอาไว้ให้ข้า”

ทั้งสองคนขึ้นหลังม้ามุ่งตรงไปทางใต้ หลังเดินทางอีกกว่าครึ่งชั่วยามก็ออกจากตัวเมืองอันคึกคัก ค่อยๆ มุ่งหน้าตามสวนผักไปยังกระท่อมร้านยาแห่งหนึ่ง ประตูไม้ไผ่เปิดแง้มเอาไว้ ตงฟางผลักเปิดเข้าไป ภายในลานบ้านมีชั้นวางสมุนไพรตากแดด ประตูด้านในปิดสนิท ตงฟางจึงเดินอ้อมตัวบ้านไปยังลานด้านหลัง ที่ใต้ซุ้มดอกสายน้ำผึ้งมีผู้เฒ่าผมหงอกขาวผู้หนึ่งนั่งอยู่ เขาสวมใส่เสื้อผ้าเรียบง่าย อายุประมาณหกเจ็ดสิบปี กำลังคัดสมุนไพรอยู่ในกระด้งใบใหญ่

ตงฟางเดินตรงไปข้างหน้าสองก้าว จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนคารวะ “ท่านอาจารย์”

ทันทีที่ผู้เฒ่าเห็นตงฟางก็ยิ้มพร้อมลุกขึ้นยืนแล้วก้าวมาจับตัว  “ข้าหลงคิดว่าเจ้าจะมาถึงตั้งแต่เมื่อวานเสียอีก คงมิใช่ว่ากลอนบทนั้นทำให้เจ้าต้องครุ่นคิดถึงหนึ่งวันจึงจะเข้าใจหรอกนะ” ชายชราผู้นี้ก็คือหัวหน้าสำนักโหราจารย์ ราชครูสุ่ยจิ้งนั่นเอง

“แม้ศิษย์จะไม่ได้รับการสั่งสอนมาหลายปี แต่ก็ไม่ถึงขั้นโง่งมเพียงนั้น ระหว่างทางมีเรื่องทำให้เสียเวลา เมื่อวานกว่าจะเข้าเมืองก็มืดค่ำแล้ว เช้าวันนี้ไปขอเข้าพบท่านอาจารย์ที่สำนักโหราจารย์ถึงได้พบข้อความที่ทิ้งไว้” ตงฟางเอ่ยจบก็นำกระดาษแผ่นนั้นออกมา “ก่อกำแพงบนทุ่งราบ ต้องมีดิน (土) จึงจะสำเร็จ (成) ทั้งความหมายและรูปลักษณ์ต่างสื่อถึงอักษรเมือง (城) ส่วนห่านป่าแดงนั้นหมายถึงหงส์ชาด สัตว์เทพประจำทิศใต้ (南) หนึ่งวันคืนหมายถึงหนึ่งวัน (一日) รวมเป็นอักษรเก่า (旧) ใน ‘ตำราไสยเวท’ เขียนเอาไว้ว่าสัตว์ทั้งหลายได้แต่เปล่งเสียงร้องทว่าไม่อาจพูด ด้วยเหตุที่มีลิ้นต่างจาก ‘ลิ้นมนุษย์ (人舌)’ ดังนั้นบทกลอนทั้งสี่วรรคจึงหมายถึง ‘บ้านพักเก่าทางใต้ของเมือง’ (城南旧舍)”

สุ่ยจิ้งลูบเครา พยักหน้า “ไม่เลวๆ แล้วนั่นเป็นผู้ใดกัน”

“อ้อ” ตงฟางหันมากวักมือเรียกติงจื่อ “เด็กคนนี้เป็นขอทานที่ข้าพบบนถนน ไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ เขารู้จักอักษรอีกทั้งยังมีไหวพริบ สามารถรับเป็นเด็กรับใช้ของท่านอาจารย์ได้หรือไม่ขอรับ”

ทันทีที่ติงจื่อได้ยินประโยคนี้ก็รีบเดินเข้าไปคำนับสุ่ยจิ้ง สุ่ยจิ้งพยักหน้า สีหน้าเมตตา “เจ้ายังคงมีน้ำใจเช่นนี้เสมอ มักทนเห็นคนทุกข์ยากไม่ได้” พูดจบก็เดินไปทางกระท่อมตรงหน้า

ตงฟางรีบตามไปติดๆ “ครั้งนี้ที่ท่านอาจารย์ตามตัวข้ากลับเมืองหลวง มีเรื่องเร่งด่วนอะไรหรือขอรับ”

“ตอนผ่านชานเมืองหลวง เจ้าได้พบเจอเหตุประหลาดอะไรหรือไม่”

“ได้ยินมาว่ามีสัตว์ประหลาดปรากฏกายขอรับ”

สุ่ยจิ้งพยักหน้า “ถูกต้อง เรื่องนี้สร้างความวุ่นวายมานานแล้ว ฝ่าบาททรงสั่งให้สำนักโหราจารย์ทำนายเจตนาฟ้า ตัวข้าไม่ได้ถวายฎีกาต่อฝ่าบาทว่าทรงละเลยต่อราชกิจ บ้านเมืองไม่สงบสุข จึงส่งผลให้สวรรค์ลงทัณฑ์ แต่ข้าออกเดินทางมาหลายปีก็ไม่เคยพบเจอเรื่องประหลาดเช่นนี้มาก่อน”

ตงฟางครุ่นคิด “ท่านอาจารย์คิดว่าเรื่องนี้เกิดจากฝีมือมนุษย์หรือขอรับ”

สุ่ยจิ้งไม่ตอบ เขาผลักประตูเข้าไป ภายในห้องเป็นพวกโต๊ะเก้าอี้ บนกำแพงมีภาพโบราณ ‘ชายชราตกปลากลางหมอกทึบ’ แขวนเอาไว้ ตงฟางกำลังพิเคราะห์ตัวอักษรในภาพนั้น สุ่ยจิ้งก็พูดขึ้นว่า “ช่วงสิ้นปีที่แล้ว ดาวจื่อเวย ยุ่งเหยิง เกรงว่าราชสำนักจะไม่สงบ ดาวหางพาดผ่านไปทางทิศตะวันออก แม่ทัพมุ่งหวังบัลลังก์จักรพรรดิ ดูท่าเจ้าคงเห็นแล้ว”

ตงฟางก้มหน้าลงครุ่นคิดสักพัก “ขอรับ แต่…ไม่ใช่องค์ที่อยู่เยี่ยนโจวพระองค์นั้น”

“หืม?” สุ่ยจิ้งเลิกคิ้วขึ้น

“บัดนี้ศิษย์ติดตามอ๋องห้าขอรับ”

“หา?” สุ่ยจิ้งตกใจ

ตงฟางเห็นอาจารย์ของตนเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เขานั่งลง พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าเคยหยั่งเชิงอ๋องห้าที่เยี่ยนโจว หลายเดือนมานี้ล้วนพักอยู่ในค่ายทหารของอ๋องห้า ข้ารู้สึกว่า…ทรงเป็นคนไม่เก็บความสามารถของตนเท่านั้น แต่ไม่ได้มีพระทัยทะเยอทะยาน”

สุ่ยจิ้งสังเกตตงฟางอย่างละเอียด นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยขึ้น “เดิมข้าคิดอยากให้เจ้ามาช่วยข้า แต่ในเมื่อเจ้าติดตามอ๋องห้าเข้าสู่ทางโลก…เมื่อเริ่มแล้วก็ต้องทำต่อไปจนจบสินะ”

ตงฟางอยากอธิบาย แต่ก็รู้สึกว่าไม่จำเป็น จึงแค่พยักหน้า “ขอรับ ว่าแต่ท่านอาจารย์พบเจอเรื่องยากอะไรหรือขอรับ”

“ล้วนเป็นแค่งานเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร” สุ่ยจิ้งมองสีหน้าเขา ลูบเคราเอ่ยว่า “ระยะนี้เจ้ามีดาวหงหลวน โคจรมา เกรงว่าจะมีการพบเจออันไม่คาดฝัน แฝงไปด้วยภัยอันตราย ต้องระมัดระวังไว้”

ติงจื่อนั่งอยู่บนธรณีประตู มองดวงอาทิตย์ที่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า นึกสงสัยว่าดาวหงหลวนคือดาวอะไรหนอ เหตุใดท่านตงฟางได้ยินแล้วจึงหน้าแดง เดิมเขาคิดอยากติดตามตงฟางต่อไป เพราะไม่ว่าอย่างไรอยู่กับคนแก่ก็น่าเบื่อ ไม่สนุกสนาน แต่เขาคิดว่าตนไม่น่าจะขอร้องตงฟางได้สำเร็จ หลังกลัดกลุ้มอยู่สักพักก็เริ่มมองมดย้ายรังบนพื้นด้วยความเบื่อหน่าย

บทที่แปด

กว่าเฉิงตั๋วจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงก็เป็นเวลาอีกสิบวันให้หลัง ได้ยินมาว่ามีคนไปรอต้อนรับค่อนข้างเอิกเกริกยิ่งใหญ่ แต่ตงฟางไม่ได้ไปด้วย ยามบ่ายวันที่สอง ตงฟางคาดการณ์ว่าเขาคงไม่มีธุระปะปังอะไรแล้ว ถึงได้เดินทางไปที่จวนจิ้งหย่วนอ๋อง จวนอ๋องของเฉิงตั๋วตั้งอยู่ที่ตีนเขาฝั่งตะวันตกของเมือง ไม่นับว่าเป็นสถานที่เจริญรุ่งเรืองอันใด เหตุผลที่จวนจิ้งหย่วนอ๋องอยู่ที่นั่น พูดไปแล้วก็น่าขัน เหตุผลที่สำคัญที่สุดคือที่นั่นมีบ่อน้ำพุร้อน ได้ยินจากช่างที่ทำงานซ่อมบำรุงจวนจิ้งหย่วนอ๋องเล่าว่า ห้องหับภายในจวนจิ้งหย่วนอ๋องต่างสร้างอย่างเปิดโล่งเรียบง่าย มีแค่สระน้ำเท่านั้นที่ก่อสร้างอย่างพิถีพิถันยิ่ง สามารถชักนำน้ำพุร้อนเข้าไปข้างในได้ เป็นสถานที่ที่อ๋องห้าชื่นชอบเป็นพิเศษ และเพื่อเรื่องวิเศษเรื่องเดียวนี้ เขาถึงกับยอมพักอยู่ทางตะวันตกของเมืองซึ่งอยู่ห่างจากวังหลวงไปไกล ไม่สนใจว่าทุกวันจะต้องขี่ม้าเร่งไปร่วมประชุมเช้าตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง แม้ว่าในหนึ่งปีอ๋องห้าจะพักอยู่ในเมืองหลวงแค่เดือนสองเดือนเท่านั้นก็ตาม

จากทางใต้ของเมืองไปทางตะวันตก ต้องใช้เวลาเดินทางกว่าครึ่งชั่วยาม ตงฟางเดินผ่านถนนเส้นหนึ่ง เห็นเพิงขายขนมข้าวเหนียวซึ่งเป็นขนมที่ชาวบ้านมักกินบ่อยที่สุดในฤดูร้อน เขาจึงนั่งลงสั่งกินถ้วยหนึ่งเสียเลย ขนมข้าวเหนียวทำมาจากแป้งข้าวเหนียวกับข้าวเจ้า เสริมด้วยเมล็ดสน อบเชย พุทรา ก่อนนำมาวางบนโต๊ะจะโรยผงถั่วเหลืองอีกชั้น หวานแต่ไม่เลี่ยน นุ่มนิ่มลื่นคอ

ขนมของเมืองหลวงยังคงอร่อยเหมือนที่เคยกินเมื่อหลายปีก่อน ตงฟางรู้สึกชื่นใจจนสั่งชาเมล็ดซิ่ง มาดื่มอีกชาม ทันใดนั้นหูพลันได้ยินเสียงถอนหายใจเนิบช้าของสตรีโต๊ะข้างหลังโดยไม่ตั้งใจ “หลงจู๊หวังร้านแพรไหมที่มุมถนนผู้นั้น ระยะนี้ตามตอแยข้าไม่จบไม่สิ้น ชวนให้ผู้คนหงุดหงิดเสียจริง” น้ำเสียงสตรีนางนี้ทุ้มต่ำ แหบพร่าเล็กน้อย แต่ไม่ได้ฟังดูอ่อนโยน ทว่าให้ความรู้สึกดัดจริต

สตรีอีกคนพูดเสียงเบา “พี่สาวจะสนใจคนพรรค์นั้นไปทำไม ใช่ว่าไม่มีตัวเลือกอื่นเสียหน่อย”

สตรีที่พูดขึ้นก่อนหน้าคล้ายจะขวยเขินและลำพองใจอยู่บ้าง “น้องสาว เจ้านี่จริงๆ เลย เหตุใดจึงได้เอ่ยหยอกล้อข้าขึ้นมาแล้ว” พูดจบก็ไล่เรียงชื่อคุณชายสกุลจ้าว เฉียน ซุน หลี่ โจว อู๋ เจิ้ง หวังไปรอบหนึ่ง เป็นนัยว่าทุกคนต่างมาเกี้ยวนาง น้ำเสียงติดจะโอ้อวด สตรีที่อยู่ด้านข้างเพียงแค่ตอบรับสั้นๆ เอาใจนาง

ขณะกินช้าๆ ตงฟางก็ได้ฟังไปไม่น้อย ในตอนที่ลุกขึ้นยืนเตรียมจะจากไปก็มองไปทางโต๊ะนั้นคล้ายไม่เจตนา แต่ทันทีที่เห็น ต่อให้เขาได้รับการอบรมมาดีกว่านี้ก็ยังอดยิ้มออกมาน้อยๆ ไม่ได้

สตรีผู้นั้นอายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี นับไม่ได้ว่าเป็นหญิงงามสะพรั่ง นางแต่งหน้าหนาเตอะ สีของใบหน้ากับลำคอแตกต่างกันอย่างมาก ชาดที่ปาดบนใบหน้าขาวผ่องยังพอรับได้ แต่ริมฝีปากแดงสดนั้นเหมือนเพิ่งกินคนมา เครื่องประดับที่สวมใส่ก็สีสันจัดจ้านยิ่ง เมื่อรวมเข้ากับท่าทางขมวดคิ้วกลัดกลุ้มของนาง การที่ตงฟางจะยิ้มขันนิดๆ ก็ไม่นับว่าเกินเลยไป

อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มนี้ของตงฟางกลับไม่ได้ออกมาในเวลาที่เหมาะนัก ถูกสตรีผู้นั้นเห็นเข้าพอดี สีหน้ากลัดกลุ้มของนางชะงักไป ก่อนจะถลึงตาใส่เขา “เจ้ายิ้มอะไรกัน!”

ตงฟางถูกบรรยากาศกดดันผู้คนของนางทำให้ตกตะลึง ถึงกับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่ชั่วขณะต่อมาก็ยิ้ม ตอบว่า “ไม่มีอะไร แค่อยากยิ้มเท่านั้น” พูดจบก็วางเงินลงบนโต๊ะแล้วหมุนตัวเดินออกไปจากร้าน

เพิ่งจะออกมา เสียงเนิบช้าของสตรีผู้นั้นก็ดังมาจากด้านหลัง “เฮ้อ พวกเติงถูจื่อ พวกนี้น่ารำคาญเสียจริง”

ตงฟางได้ยินแล้วเข่าอ่อนไปเล็กน้อย เหล่าสตรีที่เดิมสนทนากับนางอยู่ด้านข้างหัวเราะขบขัน

ตงฟางเดินไปหลายช่วงถนนถึงขจัดความกลุ้มใจที่ได้พบเจอกับเรื่องประหลาดได้ในที่สุด ในตอนที่มาถึงประตูทิศตะวันตกของวังหลวง เขาเดินไปซื้อบันทึกประตูวังมาหนึ่งแผ่น ขุนนางเล็กๆ ผู้นั้นรับเงินไป ดึงบันทึกแผ่นหนึ่งมาให้เขาอย่างไม่ใส่ใจนัก รอยน้ำหมึกบนนั้นจืดจางอย่างมาก

สิ่งที่เรียกว่าบันทึกประตูวังคือช่องทางข่าวสารของราชสำนัก ทุกๆ สิบวันราชสำนักจะออกเอกสารมาฉบับหนึ่ง บันทึกเกี่ยวกับพระราชกฤษฎีกาข่าวสารในช่วงเวลานั้นๆ เพียงแต่บันทึกมีราคาแผ่นละสิบเหรียญทองแดง ชาวบ้านทั่วไปรู้สึกว่าแพงมาก จึงมีน้อยคนนักที่จะซื้อ

ตงฟางถือบันทึกแผ่นนั้นไว้ในมือ ไม่ได้รีบร้อนอ่านดู ที่ใต้กำแพงวังหลวงมีคนประมาณสี่ห้าคนยืนล้อมรอบอ่านกระดาษสีเหลืองขาดรุ่งริ่งแผ่นหนึ่ง ตงฟางเดินเข้าไป เงยหน้ามอง แล้วก็พบว่าเป็นพระราชโองการตำหนิพระองค์เองใบหนึ่ง เกรงว่าจะแปะอยู่เป็นเวลานานสักพักหนึ่งแล้ว บนนั้นเขียนว่า ‘นับตั้งแต่เราครองราชย์มา สืบเสาะบากบั่น ปฏิบัติตามเจตนารมณ์ฟ้า บำรุงสุขปวงประชา อย่างไรก็ตาม ชานเมืองหลวงกลับมีสัตว์ประหลาดปรากฏตัว คร่าชีวิตมนุษย์ ทำให้ราษฎรอยู่อย่างไม่สงบสุข ล้วนเป็นเพราะเราขาดคุณธรรม ไม่ดูแลบ้านเมือง ขุนนางทั้งบนล่างไม่ปฏิบัติหน้าที่ ส่งผลให้เกิดเหตุผิดธรรมชาติเป็นสัญญาณเตือน…’

ตงฟางกวาดตามองคร่าวๆ รอบหนึ่ง จากนั้นจึงหันตัวเดินไปทางจวนจิ้งหย่วนอ๋อง เป็นเพราะเมื่อหลายปีก่อนเขาเคยมาเมืองหลวง อีกทั้งหลายวันมานี้ก็จดจำถนนหนทางได้แล้ว ดังนั้นจึงเดินไปกางบันทึกประตูวังแผ่นนั้นออกอ่านไป ในนั้นเขียนเรื่องที่เฉิงตั๋วรบชนะชาวหูเมื่อสิบวันก่อน เรื่องถอดถอนขุนนางกรมปกครองสามคน เรื่องการเพาะปลูกเตรียมดิน เรื่องไท่เฟย อาวุโสผู้หนึ่งประชวรหนัก เรื่องฮ่องเต้ทรงพระราชทานอภัยโทษเพื่อเป็นการขอพรให้ไท่เฟยแข็งแรง เป็นต้น

หลังตงฟางกวาดตาอ่านลวกๆ รอบหนึ่งแล้วก็พับเก็บเข้าสาบเสื้อ เขาเดินผ่านตรอกเล็กแห่งหนึ่งไปทางทิศตะวันตก สามารถมองเห็นตัวตำหนักของจวนจิ้งหย่วนอ๋องจากที่ไกลๆ ได้แล้ว เมื่อเดินไปถึงปากตรอก ทางด้านซ้ายมือพลันมีคนสองคนเดินมา เป็นเด็กสาวผู้หนึ่งจูงสาวใช้อีกคน ตงฟางเกือบชนกับพวกนาง

บนใบหน้าของเด็กสาวผู้นั้นคลุมด้วยผ้าโปร่ง เปิดเผยเพียงดวงตา อย่างไรก็ตาม แค่เพียงดวงตาคู่เดียวก็มากเพียงพอให้คนลืมไม่ลงแล้ว นั่นเป็นดวงตาที่งดงามมากคู่หนึ่ง ดวงตาของฉาฉาเองก็ทำให้คนเห็นแล้วลืมไม่ลง ละสายตาไม่ได้เช่นกัน เพียงแต่แววตาของฉาฉาลึกล้ำเก็บงำ ราวกับสระมรกตลึกที่สะท้อนภาพท้องฟ้าใสกระจ่าง แต่แววตาของเด็กสาวผู้นี้กลับเหมือนสายธารไหลเอื่อย แฝงไปด้วยสีสันอันร่าเริงสดใส

นางจูงสาวใช้เดินเลี้ยวขวาเข้าไปในอีกแยกหนึ่ง ตงฟางก็บังเอิญต้องเดินไปทางเดียวกันพอดีจึงเดินตามไป สาวใช้ข้างกายเด็กสาวกระซิบกระซาบบางอย่างกับนาง นางหันกลับมาตวัดสายตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตงฟางมองไปรอบๆ ในตรอกแคบแห่งนี้ไม่มีใครอีก นางคงหลงคิดว่าเขาจงใจเดินตาม จึงผ่อนฝีเท้าลง ปล่อยให้เด็กสาวผู้นั้นเดินนำไปก่อนเสียเลย

เมื่อเดินเลี้ยวอีกสองครั้งก็เข้าใกล้ถนนหลักของจวนจิ้งหย่วนอ๋อง ที่นี่ไม่ได้มีผู้คนบางตาเหมือนเมื่อครู่อีกแล้ว ตงฟางเดินเลี้ยวผ่านปากตรอกแห่งหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นเด็กสาวผู้นั้นเดินชายเสื้อพลิ้วไสวอยู่ข้างหน้าอีกครั้ง สาวใช้รู้สึกว่าด้านหลังมีคนจึงหันหน้ากลับมามอง ก่อนจะรีบร้อนบอกเด็กสาว เด็กสาวหันกลับมามองสองครั้งติด คิ้วขมวด

ตงฟางเห็นสีหน้าเช่นนี้ของนางก็อดคิดไม่ได้ว่า หรือข้าจะหน้าตาคล้ายอันธพาล? ทั้งยังเป็นประเภทที่ชอบหยอกเย้าสตรี? เมื่อคิดเช่นนี้ก็รู้สึกเศร้าใจอย่างยิ่ง ทันทีที่ออกจากภวังค์ความคิด เขาก็ไม่เห็นเด็กสาวผู้นั้นแล้ว ตงฟางพลันสัมผัสได้ถึงบางสิ่งจึงหยุดเดิน รอบข้างเขาปรากฏบุรุษชุดดำสี่คนกระโจนลงมายืนขวางทางเอาไว้แล้ว หนึ่งในนั้นชี้เขา พูดว่า “เจ้าอันธพาลขวัญกล้า กลางวันแสกๆ เยี่ยงนี้ เจ้าเดินตามคุณหนูบ้านข้าทำไมกัน”

ตงฟางมองไปรอบๆ บนกำแพงจวนจิ้งหย่วนอ๋องทางถนนด้านซ้ายค่อนไปด้านหลังมีประตูข้างบานหนึ่งที่เขาเพิ่งเดินผ่านมา ส่วนถนนด้านขวาค่อนไปข้างหน้าเป็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ใต้ชายคามีร้านค้าเล็กๆ บัดนี้คนบางส่วนที่อยู่ตรงนั้นต่างลุกขึ้นมาชะเง้อคอมองแล้ว ตงฟางยิ้มอย่างอดไม่ได้ “ถนนในใต้หล้ามีให้คนในใต้หล้าเดิน คุณหนูเจ้าเดินได้ ข้าเองก็เดินได้ เหตุใดจึงกลายเป็นเดินตามไปเสียเล่า”

คนผู้นั้นแค่นเสียงเย็น “เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไปแก้ตัวที่จวนว่าการเถอะ” พูดจบก็ต้องการจะลงมือ

ตงฟางคาดไม่ถึงว่าเขาจะพูดถึงจวนว่าการ ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าโชคดีที่ที่แห่งนี้เป็นบนถนน มีชาวบ้านเดินผ่านไปมา หากก่อเรื่องใหญ่โตให้ข่าวแพร่กระจายออกไป ก็จะกลายเป็นคนบางคนใช้บารมีข่มคน อำนาจเหนือกฎหมาย รังแกราษฎรตามใจชอบ…

ตงฟางคิดได้ดังนั้นจึงไม่เอ่ยล้อเล่นอีก ยื่นมือซ้ายออกไปกำเป็นหมัด ยกนิ้วโป้งขึ้น “ข้ากับนายท่านของพวกเจ้ามีนัดหมายกัน ของสิ่งนี้เป็นหลักฐาน หากเจ้าไม่รู้จักก็จงเรียกหัวหน้าของเจ้ามาถามเสีย”

บุรุษชุดดำเห็นบนนิ้วโป้งของเขามีแหวนน้าวหยกมันแพะอยู่วงหนึ่ง สีหยกเกลี้ยงเกลาเป็นของชั้นเลิศ ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือหลอก ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้ผายมือ กล่าว “เชิญ”

ตงฟางเห็นเขาเปิดทางให้ตนเดินกลับไปทางที่เพิ่งเดินผ่านมา จึงเชิดหน้าขึ้น “ข้าใช้ชีวิตผ่าเผยตรงไปตรงมา ไม่ชอบเดินเข้าประตูข้าง จวนของนายท่านเจ้าไม่มีประตูใหญ่หรือไร”

บุรุษชุดดำผู้นั้นพลันมีโทสะ แต่เห็นตงฟางมีสีหน้าผ่อนคลาย จึงได้แต่เดินนำไปไม่พูดอะไร ตงฟางก็ไม่เอ่ยปากอะไรเช่นกัน เดินตามเขาไปเงียบๆ เมื่อเลี้ยวอีกครั้งก็เป็นถนนหลักของจวนจิ้งหย่วนอ๋องแล้ว ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา ความครึกครื้นบนถนนเพิ่มขึ้นหลายส่วน บุรุษชุดดำสี่คนเมื่อครู่นี้ ตอนนี้เหลือเพียงคนนำทางผู้เดียว อีกสามคนที่เหลือไม่ได้ส่งเสียงสักคำก็หายตัวไปโดยไม่ทราบทิศทางประหนึ่งเงาเจอแสง

เมื่อมาถึงประตูหลัก เสาคานตั้งสูง ด้านหน้ามีองครักษ์ถือจี่ยืนรักษาการณ์อยู่ บุรุษชุดดำผู้นั้นเดินนำตงฟางเข้าไปทางประตูรอง ด้านในประตูมีอาลักษณ์ของจวนจิ้งหย่วนอ๋อง อาลักษณ์สอบถามเทียบเชิญจากตงฟาง เขาตอบว่าไม่มี อาลักษณ์ผู้นั้นจึงกลอกตาใส่เขาคราหนึ่ง แล้วให้ลงนามในกระดาษแผ่นหนึ่ง ตงฟางเขียนลงไป ก่อนจะเดินตามบุรุษชุดดำไปข้างหน้าต่อ

เป็นเพราะเฉิงตั๋วคุมกำลังทหาร องครักษ์ที่ยืนอยู่ภายในจวนจิ้งหย่วนอ๋องนี้จึงล้วนเป็นทหารจากค่ายอารักขาเมืองหลวง ทั้งสองคนเดินมาถึงในห้องแยกเปิดโล่งแห่งหนึ่ง บุรุษชุดดำเดินไปคารวะชายชราซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน แล้วทำท่าบอกให้ตงฟางเข้าไปพูดคุยกับเขา จากนั้นจึงล่าถอยออกไป

ชายชราผู้นั้นเงยหน้า มองประเมินตงฟางแวบหนึ่ง ถาม “มีเรื่องอันใด”

ตงฟางก้าวไปข้างหน้า ถอดแหวนน้าววงนั้นออก วางบนโต๊ะ “ข้ามีนัดกับท่านอ๋องห้า วันนี้ตั้งใจมาเยี่ยมคารวะ”

ชายชราหยิบแหวนน้าวขึ้นดู ก่อนลุกขึ้นยืน ประคองส่งแหวนน้าวคืนให้ด้วยสองมือ เอ่ยอย่างไม่นอบน้อมทว่าก็ไม่เย่อหยิ่ง “ข้าน้อยสกุลอวี๋ เป็นข้าหลวงฝ่ายในของจวนจิ้งหย่วนอ๋อง ทำหน้าที่รับผิดชอบเรื่องราวทั้งภายในและภายนอกจวนโดยเฉพาะ ตอนนี้ท่านอ๋องทรงกำลังรับแขกอยู่ เชิญคุณชายติดตามข้าไปรอทางด้านนั้นสักครู่เถอะขอรับ”

ข้าหลวงฝ่ายในจวนอ๋องของเฉิงตั๋วคือขุนนางลำดับหลักขั้นหกของราชสำนัก ตงฟางจึงให้เกียรติตามมารยาทด้วยเช่นกัน

ชายชราเดินผ่านประตูลานมาถึงตำหนักแห่งหนึ่ง เมื่อครู่นี้ภายในตำหนักมีสาวใช้สองคนเดินออกมา ส่วนบรรดาทหารที่พกอาวุธต่างไม่เข้ามาหลังกำแพงนี้ ตงฟางถึงตระหนักว่าที่นี่เป็นส่วนในของจวนจิ้งหย่วนอ๋องแล้ว จึงติดตามอยู่ด้านหลังข้าหลวงฝ่ายในอย่างสำรวม สายตาไม่ว่อกแว่ก

เมื่อมาถึงตำหนัก ข้างในมีข้ารับใช้ทั่วไปบางส่วนยืนอยู่ ชายชราหันไปเอ่ยกับข้ารับใช้หญิงอายุประมาณสามสิบปีผู้หนึ่ง “หลี่หมัวมัว* อยู่หรือไม่”

บ่าวหญิงผู้นั้นตอบกลับ “เมื่อครู่เดินไปทางห้องอาหาร อีกประเดี๋ยวก็กลับมาเจ้าค่ะ”

ข้าหลวงฝ่ายในชรากล่าวว่า “คุณชายท่านนี้เป็นแขกที่ท่านอ๋องทรงเชิญมา ประเดี๋ยวรบกวนแจ้งแก่หลี่หมัวมัวด้วย ข้าขอตัวก่อนแล้ว”

บ่าวหญิงผู้นั้นรับคำ ก่อนจะพาตงฟางเข้าไปรอในห้องด้านข้าง แล้วยกชามาให้

ตงฟางไม่ได้ดื่มสักอึก รู้สึกเพียงว่าการจะพบเฉิงตั๋วสักครั้งช่างยุ่งยากนัก ในเมื่อยุ่งยากเช่นนี้ก็ไม่ต้องพบแล้วเสียเลย ชั่วขณะหนึ่งพลันหงุดหงิดขึ้นมา แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากด้านนอก “หลี่หมัวมัวมาแล้ว”

ทุกคนเดินไปยืนนิ่งอยู่ด้านข้างอย่างเรียบร้อย ก่อนจะมีหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้าประตูตำหนักมาช้าๆ

หญิงวัยกลางคนผู้นี้อายุราวสี่สิบกว่าปี สวมชุดดูมีสง่าราศี ทว่าสีหน้ากลับเข้มงวดเกินไป เสมือนตั้งใจบ่งบอกว่านางมีลำดับอาวุโสมากแล้ว เมื่อนางยืนอยู่ที่นั่น บรรดาข้ารับใช้ต่างก็ไม่กล้ากระทั่งจะหายใจแรง

ตงฟางพลันเหลือบไปเห็นว่าที่ด้านหลังนางมีเงาร่างสีเหลืองขนห่านติดตามอยู่ กลับเป็นฉาฉาที่ยืนถือถาดอยู่ข้างหลัง เขาเดินเตร่มาค่อนวัน ในที่สุดก็ได้เจอคนคุ้นหน้า ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง ชุดสีขาวตัวนั้นของฉาฉาไม่อาจสวมใส่ในจวนอ๋องแห่งนี้ เพราะหากไม่ได้กำลังไว้ทุกข์จะไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้สวมชุดขาว กระนั้นนางที่เปลี่ยนมาสวมชุดสีเหลืองขนห่านตัวนี้ก็ดูเหมาะสมเข้ากัน น่ามองอย่างยิ่ง ตงฟางอดมองอยู่นานไม่ได้ เขาคิดไม่ถึงว่าเฉิงตั๋วจะพานางกลับมาด้วย

ฉาฉาประหลาดใจที่พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นตงฟาง ถึงแม้จะไม่ได้ยิ้ม แต่ในก้นบึ้งดวงตาก็มีแววยิ้มเล็กๆ

หลี่หมัวมัวกระแอมไอเบาๆ ถลึงตาใส่นางคราหนึ่ง ฉาฉารีบร้อนก้มหน้าลงอย่างรู้ความ ตงฟางคิดในใจว่าคราวนี้แย่แล้ว แม้ฉาฉาจะไม่มีตำแหน่ง ฐานะต้อยต่ำ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นคนของเฉิงตั๋ว ตนไม่ควรมองแม้แต่ครั้งเดียว ตัวเขาเองไม่เป็นอะไร แค่กลัวว่าฉาฉาจะมีปัญหา จึงชิงทำความเคารพหมัวมัวผู้ที่ดูเข้มงวดผู้นี้ก่อน

ข้ารับใช้หญิงที่ยกน้ำชามาให้เขาเมื่อครู่เดินเข้าไปรายงานเรื่องตงฟาง หลี่หมัวมัวสั่ง “เช่นนั้นเจ้าก็พาเขาไปรอที่ห้องน้ำชาของท่านอ๋อง” นางพูดไม่ช้าไม่เร็ว มีความน่าเกรงขามชนิดหนึ่งในน้ำเสียง พูดจบก็เดินตรงไปที่เรือนด้านหลังแห่งนั้น ฉาฉาไม่กล้าแม้แต่จะช้อนสายตาขึ้นมองอีก เดินยกถาดตามนางไป รอจนนางเดินผ่านไป ข้ารับใช้หญิงผู้นั้นถึงได้เดินนำตงฟางออกไป ผ่านทางเดินหินเส้นเล็ก ผ่านหมู่ดอกไม้ต้นไม้ เดินไปครึ่งค่อนวันกว่าจะทะลุผ่านประตูชั้นในบานหนึ่ง จากนั้นจึงเป็นระเบียงข้างตำหนักหลายตำหนัก

เพิ่งเดินเข้าไปใกล้ระเบียงแห่งนั้นก็ได้ยินเสียงสตรีผู้หนึ่งพูดกลั้วหัวเราะ “ท่านไม่ได้เห็นสีหน้าของเสด็จพี่ในวันนั้น ทรงแทบอยากจะติดปีกให้ข้าแล้วส่งข้ากลับไปหาประมุขข่านหูตี๋ทันที ในใจข้าโมโหนัก ต่างเป็นพี่ชายเหมือนกัน แต่เหตุใดเสด็จพี่จึงเป็นเช่นนั้น ข้าบอกว่าไม่ทันแล้ว ตอนนี้พี่ห้าทำสงครามขึ้นมาแล้ว” เสียงของสตรีผู้นั้นไพเราะอ่อนหวาน ฟังรื่นหูยิ่ง

ได้ยินเพียงเสียงเฉิงตั๋วพูดว่า “ระยะนี้เสด็จพี่รองก็ยุ่งวุ่นวายกับหลายเรื่อง เจ้าอย่าได้กล่าวโทษพระองค์ ทั้งหมดล้วนเป็นพวกตาแก่เหล่านั้นที่ส่งเสริม”

ข้ารับใช้หญิงผู้นั้นปล่อยให้ตงฟางรออยู่บนระเบียง ส่วนตนเข้าไปฝากฝังเขากับสาวใช้ที่ยืนรอปรนนิบัติอยู่ที่ระเบียง จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปแล้ว สาวใช้เชิญตงฟางไปนั่งในห้องด้านข้าง ทว่าเขากลับไม่ยอมไป เอาแต่ยืนอยู่ที่ระเบียง สาวใช้ลำบากใจอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่กล้าผลีผลามเข้าไปรายงาน ได้แต่ปล่อยให้เขายืนอยู่ตรงนั้น ตงฟางจึงได้ยินเสียงสตรีภายในห้องเอ่ยหยอกเย้าเฉิงตั๋วขึ้นอีก “ท่านไม่ได้หมายถึงอัครเสนาบดีเซียวใช่หรือไม่”

ทุกคนต่างรู้ว่าอัครเสนาบดีเซียวเป็นพ่อตาของเฉิงตั๋ว แม้ชายาเอกเซียวจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรเฉิงตั๋วก็ไม่ได้แต่งตั้งชายาเอกคนใหม่ ความสัมพันธ์ทางการแต่งงานก็ขจัดไปไม่พ้น แต่เซียวอวิ๋นซานและเฉิงตั๋วทั้งสองคนก็ปรองดองกันไม่ได้แล้ว นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนในราชสำนักล้วนรับรู้

ดูเหมือนเฉิงตั๋วจะไม่อยากคุยเรื่องนี้ จึงพูดขึ้นว่า “เจ้าเองก็นับว่าเป็นตัวหายนะของเมืองหลวง หนนี้เห็นอยู่ว่าจากไปไกล นึกไม่ถึงว่าจะกลับมาอีก เจ้าจะทำให้บรรดาคุณชายทั้งสุขทั้งทุกข์ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกมากเท่าใดกัน”

ตงฟางลอบคาดเดาได้แล้วว่าสตรีที่กำลังพูดอยู่ คือองค์หญิงสิบสามเฉิงจิ่นที่ต้องไปแต่งงานก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าเขายิ่งเดาออกนานแล้วว่าสตรีนางนี้ก็คือสตรีที่คลุมหน้าด้วยผ้าโปร่ง ผู้ซึ่งส่งข้ารับใช้มาสร้างความลำบากให้เขาด้านนอกจวนเมื่อครู่

เฉิงจิ่นหลุดขำ “กลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกสิ ไม่ใช่ความผิดของข้าเสียหน่อย น่าชังนักที่คุณชายรอง บุตรของเสนาบดีเสิ่นถึงกับเอาบทกลอนไม่ได้ความเช่นนั้นมาให้ข้าอ่าน ชวนให้หัวเราะก็ไม่ใช่ โมโหก็ไม่ใช่จริงๆ”

“ไม่แน่ว่าเขาอาจหาพวกบัณฑิตตกยากมาช่วยเขียนกลอนแทนให้ก็ได้ เจ้าไม่ใส่ใจก็ช่างเถิด แต่ไม่ควรไปเยาะเย้ยอีก” เฉิงตั๋วว่า

“ข้าเกรงใจมากแล้ว ยังแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าผู้ใดเขียนอีกด้วย”

เฉิงตั๋วยิ้ม “เจ้าไม่ต้องไปสนใจ การสนใจคนเหล่านี้จะกลายเป็นเสียเกียรติแทน”

เฉิงจิ่นอธิบาย “พี่ห้า ไม่ใช่ว่าข้าดูถูก แต่เป็นเพราะเห็นมาเยอะแล้วถึงรู้สึกหงุดหงิด หากข้าไม่ตอบโต้ก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะคิดไปเองอย่างไร หนหน้าเจอกันก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น”

เฉิงตั๋วหัวเราะเสียงดัง “ข้าว่าพวกเขาคงไม่คิดเข้าข้างตัวเองถึงเพียงนั้นกระมัง”

ตงฟางขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ในใจลอบคิดว่า เหตุใดสตรีในเมืองหลวงถึงได้มีชะตาชีวิตไม่ธรรมดากันเช่นนี้!

เสียงหัวเราะของเฉิงตั๋วหยุดลง บนระเบียงมีคนผู้หนึ่งเดินมา เป็นเจ๋ออี้นั่นเอง เจ๋ออี้เห็นตงฟางยืนอยู่ที่ระเบียงก็ประสานมือให้เขา ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปข้างใน

เฉิงตั๋วร้องออกมาว่า “จริงหรือ” จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน เดินออกมาข้างนอกทันที เฉิงจิ่นเองก็ตามเขาออกมา

นางถอดผ้าโปร่งออกไปแล้ว นัยน์ตาดั่งระลอกคลื่น ยามมองมีประกายระยิบระยับ ตุ้มหูไข่มุกยาวที่ห้อยลงมาขยับไหวอยู่ข้างแก้ม ขับเน้นให้นางดูขาวผ่อง ยามเม้มปากน้อยๆ ลักยิ้มคู่หนึ่งก็จะปรากฏขึ้นมาบนแก้ม รอยบุ๋มเล็กๆ นั้นคล้ายจะสามารถบรรจุแสงของฤดูใบไม้ผลิได้อย่างไร้ขอบเขต

ครั้นเฉิงจิ่นเห็นผู้ที่ยืนอยู่บนระเบียงก็ชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด คนผู้นั้นแสดงสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ทั้งยังทำท่าคารวะที่มากเกินไปออกมา นางได้ยินเฉิงตั๋วพูดอย่างกระตือรือร้น “เป็นเจ้าได้อย่างไร! ข้าก็คิดอยู่ว่าผู้ใดยืนอยู่นอกระเบียงเป็นนาน แต่กลับไม่มีใครเข้ามารายงาน!”

 

เดิมตงฟางคิดจะหาเช่าที่พักตรงถนน แต่เฉิงตั๋วไม่อนุญาต รั้งจะให้เขาพักอยู่ในจวนอ๋องของตนให้ได้ อีกทั้งในตอนที่หมิงจีกลับมาพร้อมกับเฉิงตั๋ว นางก็พักอยู่ในตำหนักเดี่ยวซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจวนแล้ว ตงฟางจึงได้แต่ทำตามที่เจ้าบ้านบอก เข้าไปพักอาศัย เพียงแต่ปฏิเสธบรรดาสาวใช้ที่เฉิงตั๋วจัดเตรียมไว้ให้ เหลือแค่สาวใช้คนหนึ่งไว้คอยปรนนิบัติหมิงจี ความจริงคือเขากลัวว่าหมิงจีจะเบื่อหน่าย จึงรับไว้คนหนึ่งให้นางมีเพื่อนคลายเหงา

วันที่สองในตอนที่เฉิงตั๋วไปร่วมประชุมเช้าก็ชวนตงฟางไปด้วยกัน ทว่าเขาไม่อยากไป เฉิงตั๋วบอกว่าจะพาไปให้ฮ่องเต้ได้พบหน้า ให้ทุกคนรู้จักกันเอาไว้เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาอื่น เขาจึงตอบตกลง

ยามที่ตงฟางรออยู่ในห้องรับรองของราชสำนัก จึงได้เห็นอำนาจบารมีที่แท้จริงของเฉิงตั๋ว คนไร้ชื่อเสียงอย่างตน เพียงเพราะเฉิงตั๋วเป็นผู้แนะนำเข้ามา บรรดาขุนนางถึงกับไม่มีผู้ใดกล้าละเลย ส่วนตัวเฉิงตั๋วเองยิ่งเป็นบุคคลที่ทุกคนต้องก้มหน้าลงน้อยๆ ยามพูดคุยด้วย เฉิงตั๋วยังคงมีสีหน้าเย็นชาไม่สนใจ ตงฟางนึกถึงคำ ‘แม่ทัพมุ่งหวังบัลลังก์จักรพรรดิ’ ที่สุ่ยจิ้งพูดถึง ในใจก็ประเมินถึงปณิธานของเฉิงตั๋ว คิดไปถึงคนที่พบในคราแรกที่เมืองผิงเหยา สิ่งใดถึงจะเป็นเจตนารมณ์ที่แท้จริงของเขากันแน่ หรือว่าเขาจะเป็นผู้ที่ร่อนเร่พเนจรไปทั่วแต่แรก สูงขึ้นไปสามารถเป็นราชา ต่ำลงมาสามารถเป็นราษฎร ขอเพียงแค่เขาต้องการเท่านั้น

ตงฟางรออยู่หนึ่งชั่วยามเต็มๆ การประชุมเช้าถึงได้จบลง ฮ่องเต้ทรงรั้งตัวขุนนางขั้นสูงให้ไปปรึกษาต่อที่ห้องทรงพระอักษรฝั่งเหนือ เฉิงตั๋วจึงส่งเจ๋ออี้มาเรียกตัวเขาไป ตงฟางเดินตามองครักษ์ผู้หนึ่งผ่านคานเสาสลักลายตลอดเส้นทาง กระทั่งมาถึงห้องทรงพระอักษรฝั่งเหนือ หลังขันทีกราบทูล ตงฟางจึงเข้าไป เขาหมอบกราบคำนับ แจ้งชื่อเสียงเรียงนามของตน จากนั้นหูก็ได้ยินสุรเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นว่า “ลุกขึ้นเถอะ”

ตงฟางแค่ได้ยินก็สัมผัสได้ว่าลมปราณหลักในน้ำเสียงของคนผู้นี้คล้ายจะไม่เพียงพอ เมื่อลุกขึ้นยืน เงยหน้ามองก็พบผู้เป็นฮ่องเต้ เฉิงซั่ว พี่ชายคนรองร่วมมารดาของเฉิงตั๋ว ประทับอยู่ด้านหลังโต๊ะ บนเสื้อคลุมแพรปักลายมังกรห้าเล็บ มีพระชนมพรรษาประมาณสี่สิบ

เฉิงตั๋วยืนอยู่ทางซ้ายของโต๊ะ ด้านล่างซ้ายขวามีขุนนางจำนวนหนึ่งยืนเรียงราย ล้วนสวมชุดขุนนางขั้นหนึ่งขั้นสองกันทั้งสิ้น ตงฟางกวาดตามองดูคราหนึ่งก็เก็บสายตากลับมา เฉิงตั๋วเอ่ยกับเฉิงซั่ว “เสด็จพี่ คนผู้นี้ก็คือตงฟางฮู่ที่กระหม่อมพูดถึง”

เฉิงซั่วพยักพระพักตร์ ตรัส “เป็นบุคคลที่มีความสามารถจริงๆ”

เฉิงตั๋วกล่าวต่อ “ที่กระหม่อมแนะนำเขามาที่นี่ ไม่ได้เป็นเพราะคนผู้นี้คล้ายคลึงกับกระหม่อมที่ชำนาญด้านการรบ แต่เขามีแผนกลยุทธ์ทางด้านความเป็นอยู่ของราษฎรและการเมืองการปกครอง ทุกวันนี้กำลังในราชสำนักเรายังไม่แกร่งกล้า จำเป็นต้องดูแลอย่างเร่งด่วน ดังนั้นกระหม่อมถึงได้นำเขามาเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

เฉิงซั่วคล้ายสนพระทัยขึ้นมาแล้ว ทรงหันไปตรัสกับตงฟาง “บัดนี้บ้านเมืองอ่อนแอ เสบียงและทรัพย์สินในคลังหลวงล้วนไม่อุดมสมบูรณ์ แต่การเก็บภาษีก็ทำให้ขุนนางกับราษฎรไม่ลงรอยกันอยู่เสมอ เราได้ยินมาว่าเจ้าค่อนข้างมีชื่อเสียงที่บ้านเกิด ดังนั้นเจ้าจะสามารถพูดสภาพความเป็นจริงของชาวบ้าน และหลักการแก้ไขกับเราได้หรือไม่”

เดิมตงฟางออกเดินทางพเนจรไปทั่ว ได้เห็นโรคภัยมาไม่น้อย ฉะนั้นหลังได้ฟังเฉิงซั่วตรัสออกมาสั้นๆ ก็สัมผัสได้ว่าพระองค์จะต้องมีโรคภัยแฝงอยู่ ส่งผลให้ม้ามอ่อนแอ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้ ตงฟางจึงเปิดปากตอบคำถาม “พ่ะย่ะค่ะ แต่ก่อนชาวบ้านในแถบชายแดนดำรงชีพด้วยการเพาะปลูก อย่างไรก็ตามการทำสงครามก่อให้เกิดความชุลมุน ม้าของชาวหูเหยียบย่ำผืนดิน ทำให้ส่วนใหญ่ไม่อาจเพาะปลูก ที่ปลูกได้ก็ไม่อาจเก็บเกี่ยว ดังนั้นชีวิตของชาวบ้านที่อยู่ตามชายแดนจึงยากจะดำเนินต่อไป หากฝ่าบาททรงต้องการปกครองให้ปวงประชาสงบสุขเป็นเวลานาน จำเป็นต้องปราบปรามชาวหูพ่ะย่ะค่ะ

แต่อย่างไรก็ตาม ศึกหนานสวีวุ่นวาย ซ้ำบ้านเมืองยังต้องเผชิญกับภัยแล้งและน้ำท่วมติดต่อกัน หากทำศึกต่อเนื่องเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นเงิน เสบียง คน ม้า ล้วนมีไม่เพียงพอ แต่หากราชสำนักเรียกเก็บเงิน เสบียง และเกณฑ์ทหารมากเกินไป ก็จะกระตุ้นให้เกิดความไม่พอใจได้ง่าย การเก็บภาษีที่ผ่านมากำหนดตามจำนวนสมาชิกในครอบครัว วิธีการเช่นนี้ชาวบ้านรู้สึกว่าไม่ค่อยยืดหยุ่นเท่าใดนัก” ตงฟางพูดมาถึงตรงนี้ก็เงียบลงครุ่นคิด

เฉิงซั่วก็ทรงนิ่ง ไม่ตรัสอะไร ขุนนางกรมอากรที่อยู่ด้านข้างทนไม่ไหว พูดขึ้นมาว่า “อิงจากความเห็นของเจ้า หากการเก็บภาษีไม่กำหนดตามจำนวนสมาชิก ก็ให้ราษฎรอยากจ่ายเท่าไรก็จ่ายเท่านั้น นี่จึงจะเรียกว่ายืดหยุ่นใช่หรือไม่”

ตงฟางตอบ “มิใช่เช่นนั้น สิ่งที่สงครามต้องใช้คือกำลังคนและสิ่งของ ผู้คนในใต้หล้ามีร่ำรวยมียากจน หากใช้ตัวเลขที่แน่นอนไปกำหนดกฎเกณฑ์ให้คนทุกคน จะส่งผลให้ผู้ที่อยู่สูงเกินไปหรือต่ำเกินไปเกิดความแค้นเคือง ข้าคิดว่ามิสู้ให้คนรวยออกเงิน คนจนออกแรง และออกกฎหมายให้สามารถจ่ายภาษีเป็นเงิน เสบียง แพรพรรณ หรือแรงงาน หากจ่ายภาษีเป็นเงินหรือเสบียงมากหน่อยก็สามารถเลี่ยงไม่ต้องเกณฑ์ทหารได้ หากเงินหรือเสบียงมีไม่มากก็มาเกณฑ์ทหารแทนการจ่ายภาษี เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะสามารถสะสมได้ทั้งกำลังคนและสิ่งของ”

ขุนนางอากรผู้นั้นหลังจากพิเคราะห์อย่างละเอียด ดวงตาก็สว่างวาบ หันไปทูลเฉิงซั่ว “ที่ผ่านมาตระกูลร่ำรวยมักติดสินบนขุนนางให้ละเว้นการเกณฑ์ทหาร ขุนนางชั้นล่างบีบบังคับให้คนจนจ่ายภาษี หากวิธีการนี้ใช้ได้ จะต้องทำให้ขุนนางยากที่จะเรียกสินบน ราษฎรไม่ต้องปิดบังจำนวนภาษี นับเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่งจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”

เฉิงซั่วแย้มสรวล “ไม่เลว แต่ยังจำเป็นต้องลงรายละเอียดแต่ละรายการ เจ้าชื่อตงฟางฮู่หรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ” ตงฟางขานรับ

“เราแต่งตั้งให้เจ้าเป็นซั่นฉีฉางซื่อ ขั้นห้า ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งว่างงาน เจ้ากลับไปคิดวิธีการของเจ้าให้ดีๆ แล้วเขียนฎีกาให้น้องห้าส่งขึ้นมา พวกเจ้ากรมอากรเองก็ให้ไปปรึกษากัน ร่วมกันวางแผน”

ทุกคนส่งเสียงขานรับพร้อมกัน ตงฟางรู้สึกว่าเฉิงซั่วทรงทำงานได้คล้ายเฉิงตั๋ว ขอแค่มีประโยชน์ก็สามารถแต่งตั้งให้รับผิดชอบได้ แต่การทำเช่นนี้ก็สร้างแรงกดดันแก่ผู้คนได้ง่ายเช่นกัน

เมื่อทุกคนพูดคุยกันลงตัวก็เตรียมจะแยกย้ายไปแล้ว คาดไม่ถึงว่าจู่ๆ เฉิงตั๋วจะเอ่ยปากขึ้นมา “เสด็จพี่ ก่อนหน้านี้ท่านอัครเสนาบดีอาศัยเหตุผลที่ว่าเสบียงไม่เพียงพอ เกลี้ยกล่อมให้เกิดการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี กระหม่อมเห็นว่าตอนนี้การทำสงครามสยบชาวหูเป็นเรื่องจำเป็น บ้านเมืองเราก่อตั้งมาหลายสิบรุ่น บัดนี้รอบด้านต่างยอมศิโรราบ ที่เหลืออยู่คือพวกทางเหนือ บัดนี้พวกมันถูกกระหม่อมทำร้ายจนเจ็บหนัก สามารถทำลายรากฐานให้หมดสิ้น เหนื่อยครั้งเดียวสบายไปตลอดชีวิตได้พอดีพ่ะย่ะค่ะ

การเจรจาสงบศึกก็เหมือนคนผู้หนึ่งที่ใช้ชีวิตโดยมีหนี้ ดอกเบี้ยเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน วันหน้ายิ่งลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ แต่หากไม่มีหนี้ ต่อให้ตอนนี้จะยากลำบาก แต่ภายหน้าย่อมสามารถเข้มแข็งขึ้นมาได้แน่นอน กระหม่อมไม่สนใจว่าทางเหนือจะหนาวเหน็บ ถึงขั้นขัดพระราชโองการ เดินทางไปสยบหูตี๋ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความสงบสุขอันยาวนานของแว่นแคว้น ดังที่ตงฟางพูด ใช้วิธีการนั้นสะสมกำลังคนและเสบียง รอกระทั่งหลังศึกตัดสินผ่านพ้น รอบด้านสงบสุข จากนั้นก็สามารถพักฟื้นชีวิตราษฎร สร้างความเจริญรุ่งเรืองได้” ทันใดนั้นเฉิงตั๋วก็จัดชุดแล้วหมอบคำนับ “กระหม่อมเสนอให้ตงฟางฮู่รั้งอยู่ที่เมืองหลวง หาวิธีเพิ่มเสบียง เกณฑ์ทหารหาญ รับผิดชอบการเตรียมทำศึกตัดสินกับหูตี๋ให้กระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”

ตงฟางหันไปมองเขา กัดฟันอย่างห้ามไม่ได้

เฉิงซั่วทรงขมวดคิ้ว ตรัสว่า “น้องห้า อีกฝ่ายแกร่งพวกเราอ่อนแอ อีกทั้งตอนนี้พวกเขายังถอยเข้าไปในเมืองหลวง ไม่ได้ข้ามชายแดนมา ทหารของเรายัง…”

“ตอนนี้เป็นช่วงรอยต่อระหว่างฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อน อากาศทางเหนือเริ่มกลับมาอบอุ่น เป็นจังหวะเหมาะจะเดินทัพพอดี เดือนห้ากลับไปยังเยี่ยนโจว ใช้เวลาสามเดือนกำราบศัตรู หากไม่อาจชนะ กระหม่อมยินดียุติสงคราม ลาออกและรับโทษทัณฑ์!” ในตอนที่เฉิงตั๋วเอ่ยประโยคนี้ออกมา บรรดาขุนนางบ้างก็สูดลมหายใจบ้างก็ขมวดคิ้ว แต่ตงฟางกลับยินดีในความทุกข์ของผู้อื่นอยู่บ้าง

เฉิงซั่วทรงยังไม่ทันได้ตอบรับ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนมาจากด้านนอก “ไม่ได้!”

ชายชราเครายาวหงอกขาวผู้หนึ่ง สวมชุดขุนนางสีม่วงเข้ม ถือฮู่ งาช้างพุ่งเข้ามา เขาถวายความเคารพเฉิงซั่ว ในตอนที่เงยหน้าขึ้น สีหน้าบนใบหน้าคล้ายจะโมโหอย่างมาก

เฉิงซั่วทรงอดแย้มสรวลไม่ได้ รีบร้อนตรัส “ท่านอัครเสนาบดีเซียวลุกขึ้นได้” ส่วนเฉิงตั๋วกลับลอบขมวดคิ้ว

เซียวอวิ๋นซานหยัดกายขึ้น ชี้หน้าเฉิงตั๋วกล่าวเสียงดุดัน “ท่านอ๋องทรงไม่ได้ดูแลการปกครองภายใน ไม่รู้ความทุกข์ยากของราษฎร เงินทุนในการศึก ราษฎรเป็นผู้จ่าย หากไร้ราษฎรจะยังเป็นบ้านเมืองได้อย่างไร!”

เฉิงตั๋วลอบถอนหายใจ พูดอย่างไม่เร่งไม่ร้อน “ใต้เท้าอัครเสนาบดีไม่ดูแลศึกภายนอก ไม่รู้ว่าขุนเขาธาราเรางดงาม พวกชนเผ่าป่าเถื่อนภายนอกจึงจับจ้องตาเป็นมัน หากไร้บ้านเมืองจะยังมีราษฎรได้อย่างไร”

เฉิงซั่วทอดพระเนตรเห็นว่ากำลังจะมีเรื่อง จึงทรงรีบห้ามปรามเซียวอวิ๋นซานพร้อมตรัสกับเฉิงตั๋ว “ที่น้องห้าพูดเมื่อครู่นี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ในเมื่อเขาพูดถึงบทลงโทษมาแล้ว ก็ให้เป็นไปตามที่เขาบอกเถิด เขาเสนอให้ขุนนางตงฟางผู้นี้ไปหาวิธีเพิ่มทุนทรัพย์ทางการทหารให้เขา ภายในสามเดือนหากเขาไม่สามารถกำราบศัตรูได้ เราจะต้องลงโทษเขาอย่างหนักแน่นอน”

เซียวอวิ๋นซานกำลังจะพูดต่อ เฉิงซั่วก็รีบตรัส “เจ้าคงมาปรึกษาเรื่องเมื่อวานเป็นแน่ มาๆ”

เฉิงตั๋วได้รับสัญญาณเป็นนัย จึงถวายความเคารพแล้วล่าถอยออกมา ตงฟางเองก็ถวายความเคารพฮ่องเต้และคำนับขุนนางขั้นสูงทั้งหลาย เซียวอวิ๋นซานถลึงตาใส่เขาอย่างอำมหิตคราหนึ่ง ตงฟางไม่สนใจ เพียงประสานมือคำนับ

ทันทีที่ทั้งสองคนเดินเลี้ยวผ่านห้องทรงพระอักษรนั้นมา เฉิงตั๋วก็เอ่ยกับตงฟางอย่างหนักแน่นยิ่ง “ตอนนี้ภาระหนักนี้เป็นของเจ้าแล้ว หากรับไม่ไหว วันหน้าก็ลำบากแล้ว” พูดจบก็ตบบ่าเขา “ข้าคาดหวังกับเจ้านะ!”

ตงฟางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ได้แต่จ้องเขาพลางพูดว่า “ท่านอ๋องทรงดีดลูกคิดคำนวณเรื่องนี้มานานแค่ไหนแล้วหรือ กระหม่อมรู้ว่าพ่อตาของท่านอ๋องกับท่านอ๋องไม่ลงรอยกันอย่างมาก เขาเป็นขุนนางเก่าของฮ่องเต้พระองค์ก่อน หากเขาพูดว่าไม่ ในราชสำนักไม่มีผู้ใดกล้าพูดว่าได้ ท่านอ๋องทรงต้องการทำสงคราม หากเขาไม่เห็นด้วย เงินทุนในการศึกจะมีผู้ใดหามาให้อีก ตัวท่านอ๋องตรัสจบก็เสด็จกลับเยี่ยนโจวไปแล้ว แต่กลับทรงยัดเยียดงานลำบากนี้ใส่มือกระหม่อม ให้กระหม่อมถือไว้ แม้ลวกมือก็โยนทิ้งก็ไม่ได้ จิ๊ๆ พี่สีเจี้ยนช่างมีคุณธรรมยิ่งนัก”

เฉิงตั๋วยิ้ม “ข้าไม่เคยชอบคนที่ปากพูดจาสูงส่ง แต่ยามลงมือจริงกลับไร้ฝีมือ ยิ่งไม่มีทางใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวมาแนะนำคนไร้ประโยชน์ หากเจ้าทำได้ดีก็เป็นความดีความชอบของเจ้า หากทำได้ไม่ดี เช่นนั้นก็โทษข้าไม่ได้เช่นกัน”

ตงฟางเองก็ยิ้ม “เห็นแก่ที่ท่านอ๋องตรัสว่าจะรับบทลงโทษหากไม่สำเร็จ กระหม่อมก็จะไม่คิดเล็กคิดน้อย ในเมื่อท่านอ๋องทรงมีปัญหายากลำบาก กระหม่อมย่อมช่วยเหลือ จะพยายามฝืนติดต่อคบค้ากับบรรดาใต้เท้าเหล่านี้ก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ”

เฉิงตั๋วรู้สึกว่าประโยคนี้ตรงใจมาก จึงวางแขนพาดบ่าตงฟาง ท่าทางคล้ายกับพวกนักเลง “เจ้าเห็นว่าข้าเป็นพวกเลือกงานสบายหลีกเลี่ยงงานหนัก พอมีเหตุการณ์ใดก็หลบไปอยู่ข้างๆ หรือไร แต่ในเมื่อเจ้ารับปากแล้ว แสดงว่ามีแผนการอะไรใช่หรือไม่”

ตงฟางขมวดคิ้วน้อยๆ “แผนการนั้นถึงอย่างไรก็ต้องมีพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังคิดไม่ออก ให้กระหม่อมใคร่ครวญดูก่อน”

จู่ๆ เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นจากด้านหลัง “เสด็จอาห้า”

เฉิงตั๋วมีฐานะสูงศักดิ์เป็นถึงชินอ๋อง กิริยาวางแขนพาดบ่าผู้อื่นเช่นนี้ดูไม่งามสง่าอย่างยิ่งจริงๆ เขาจึงรีบปล่อยมือลง หันกลับไป ตงฟางก็หันไปมองเช่นกัน พบว่าเป็นคุณชายอายุสิบสี่สิบห้าปีผู้หนึ่ง สวมเสื้อคลุมแพรกันหนาว เสื้อตัวนั้นไม่ได้ปักลายบุปผาใดๆ คุณชายผู้นี้หน้าตาน่าเอ็นดู กำลังค้อมตัวลงคำนับเฉิงตั๋ว เดิมทีขันทีและสาวใช้สองคนที่เดินติดตามมาข้างหลังคุณชายน้อยกำลังมองเฉิงตั๋วกับตงฟางตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นเขาหันมาก็รีบร้อนก้มหน้าลงคารวะเฉิงตั๋วเช่นเดียวกัน

ผ่านไปนานครู่ใหญ่ เฉิงตั๋วถึงนึกขึ้นมาได้ “เป็น…อวิ่นหนิงสินะ ไม่ได้พบกันนาน โตขึ้นเพียงนี้แล้ว”

อวิ่นหนิงยังคงพูดอย่างนอบน้อม “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จอาเพิ่งเดินทางไกลกลับมาย่อมเหน็ดเหนื่อย หลานไม่กล้าไปรบกวน เมื่อครู่หลานมาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อที่ห้องทรงพระอักษร แต่เสด็จพ่อทรงกำลังปรึกษาราชกิจ หลานไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไป จึงยืนรออยู่ตรงนี้พ่ะย่ะค่ะ”

เฉิงตั๋วยิ้ม “เจ้าไม่ต้องเกรงใจถึงเพียงนี้” พูดจบ คิดๆ ดูแล้วก็ไม่มีอะไรให้พูดอีก

อวิ่นหนิงกลับยกมือขึ้น ค้อมตัวคารวะตงฟางต่อ ตงฟางไม่คาดคิดว่าเขาจะทำเช่นนี้ จึงรีบร้อนค้อมตัวคารวะกลับ อวิ่นหนิงกล่าวว่า “คำพูดของใต้เท้าตงฟางในห้องทรงพระอักษรเมื่อครู่นี้มีเหตุผลอย่างยิ่ง ทั้งยังมองภาพได้กว้างไกล ข้าความรู้ตื้นเขิน ยินดีรับฟังคำสั่งสอน หวังให้ใต้เท้าช่วยชี้แนะในภายหน้า”

ตงฟางตอบกลับว่า “มิกล้า”

เฉิงตั๋วจึงหันไปพูดกับตงฟาง “นี่เป็นโอรสองค์ที่สามของเสด็จพี่ข้า” ความหมายโดยนัยคือเจ้าตัดสินใจเอาเองเลย

ตงฟางจึงตอบกลับตามมารยาท “หากกระหม่อมมีเวลาจะต้องไปเยี่ยมคารวะอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

อวิ่นหนิงไม่พูดอะไรอีกเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างบอกลากันไป

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 17

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: