บทที่ 5
บริโภคอาหารเม็ด
“รู้มั้ยถ้าคุณไม่บอกให้เพื่อนคุณกลับไปก่อน ผมจะเป็นฝ่ายไปแล้วไม่มาเหยียบที่นี่อีก”
หลังจากที่ธรณินกลับไปแล้วภาคินก็ยังพูดด้วยอารมณ์เดือดดาลทั้งๆ ที่รศิตายอมเขาขนาดนี้แล้ว…สิ่งสุดท้ายที่หญิงสาวคิดจะทำคือการทำร้ายจิตใจคนที่ปกป้องเธอมาตลอดอย่างธรณิน แต่เธอก็ต้องทำเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับเขา เพื่อให้น้องภูยังมีพ่อ และเพื่อรักษาครอบครัวไว้
‘ฉันขอโทษด้วยแล้วกันที่ยุ่งเรื่องของแกมากเกินไป’
เห็นสายตาของธรณินแล้วรศิตาเสียใจที่พูดกับเพื่อนแบบนั้น เธออยากอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจแต่เวลานี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องเคลียร์กับภาคินก่อน เพราะยังไงเขาก็คือคนในครอบครัว คือพ่อของลูก
หากไม่เคลียร์กันวันนี้รศิตาก็ไม่รู้ว่าจะเจอภาคินอีกเมื่อไหร่ เพราะระยะหลังๆ เธอแทบจะติดต่อเขาไม่ได้เลย ยิ่งเขาแต่งงานกับผู้หญิงอื่นไปแล้ว เธอคงยิ่งมีโอกาสเจอเขาได้น้อยลง
“เพื่อนคุณนี่เหลือเกินจริงๆ ทำตัวเหมือนเป็นเมียผมซะเอง คิดยังไงถึงบุกไปพูดเรื่องของเราในงานแต่งผมกับตา เพื่อนคุณน่ะทำให้ผมเสียรายได้ไปเป็นล้านๆ เลยนะ คุณเลิกคบเพื่อนอย่างนี้ได้แล้ว คบไปก็มีแต่จะสร้างความวุ่นวาย!” ภาคินระบายอย่างอัดอั้นเหมือนเขาอดทนข่มอารมณ์ไว้นานแล้ว
รศิตาทั้งเสียใจทั้งมึนงงเมื่อสามีไม่คิดจะพูดเรื่องเธอกับเขา หญิงสาวรับรู้ได้เลยว่าจุดประสงค์ที่เขามาที่นี่ก็เพื่อจะพูดเรื่องธรณิน เขาต้องการให้เธอตำหนิเพื่อนและเลิกคบกับอีกฝ่ายซะ
เขาไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของเธอกับลูกเลย
ถ้าไม่ใช่เพราะธรณินไปทำลายงานแต่ง…เขาก็คงไม่คิดจะมาหาเธอ!
เราพาตัวเองมาถึงจุดนี้ได้ยังไงเนี่ย
รศิตาถามตัวเองในใจขณะที่น้ำตาร่วงผล็อยลงมาหยดแล้วหยดเล่า ถ้าธรณินด่าเธอว่าหลงผู้ชายจนหน้ามืดตามัวก็ไม่เกินความจริง เพราะเธอยอมเขาทุกอย่าง เขาถึงได้คิดที่จะควบคุมชีวิตเธอขนาดนี้
ภาคินรู้ว่าเธอรักธรณินมากแต่ก็ยังกล้าออกปากให้เธอเลิกคบกับธรณินทั้งๆ ที่เขาไม่เคยเป็นที่พึ่งให้เธอและใส่ใจเธอไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่ธรณินทำด้วยซ้ำ ขนาดลูกตกชิงช้าหัวแตก เขายังอ้างว่าติดงานจนมาดูลูกไม่ได้ แต่ความจริงเขาไปดินเนอร์กับภรรยาใหม่จนเธอต้องโทรไปบอกให้ธรณินมาอยู่กับลูกแทน
หัวใจของรศิตารวดร้าวไปหมด ที่ผ่านมาเธอพยายามหลอกตัวเองว่าเขาทำเพราะงาน ถึงแม้ว่าเขาจะมีผู้หญิงอีกคน แต่ลึกๆ เขายังรักเธอกับลูก หากเธออยู่เงียบๆ ในมุมของตัวเอง ทุกฝ่ายจะมีชีวิตที่สุขสงบ
เธอยอมเขาทุกอย่าง ยอมให้เขามีผู้หญิงอีกคน ยอมอยู่เงียบๆ ยอมไม่รบกวนเงินค่าเลี้ยงดูลูก ยอมไม่มีตัวตน ยอมให้เขาทำร้ายจิตใจด้วยคำพูดต่างๆ นานา และยอมจนไม่เหลือศักดิ์ศรีอะไรอีกแล้ว
แต่ยิ่งยอม…เธอกลับยิ่งไม่มีคุณค่าในสายตาเขาเลย!
“ฉันคบกับแซนด์มาก่อนคุณนะ”
รศิตาตอบกลับนิ่งๆ ถึงวันนี้เธอจะเลือกภาคิน แต่ไม่มีวันที่เธอจะตัดขาดกับธรณินแน่ๆ แค่นี้เธอก็ไม่เหลือใครแล้ว ถ้าเลิกคบกับธรณินอีก เธอคงไม่มีใครอยู่เคียงข้าง เพราะสามีอย่างเขาก็ไม่สามารถพึ่งพาได้เลย ที่สำคัญเพื่อนอย่างธรณินมีค่าสำหรับเธอมากกว่าสามีเห็นแก่ตัวอย่างเขา
“หมายความว่าไง คุณจะคบกับยายนั่นแล้วเลิกกับผมแทนงั้นเหรอ” ภาคินถามด้วยความโกรธจัด “ทั้งๆ ที่ยายนั่นทำลายชีวิตผม คุณก็ยังเห็นเพื่อนจอมเสือกดีกว่าผมอย่างนั้นใช่มั้ย!”
“ที่แซนด์ทำแบบนั้นก็เพราะแซนด์รู้ว่าฉันมันโง่จนไม่กล้าเรียกร้องอะไรจากคุณ แล้วปล่อยให้คุณย่ำยีความรู้สึกของฉันไง! คุณไปแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นทั้งๆ ที่คุณมีฉันกับลูกอยู่แล้วนะ คิดซะบ้างสิ!” รศิตาตอกกลับเสียงดังเหมือนทนเก็บความเจ็บปวดเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป “คุณไม่เคยรู้ตัวบ้างเหรอว่าตัวเองเลวแค่ไหน คุณทำร้ายจิตใจฉัน และถ้าลูกรู้เรื่องทุกอย่าง มันก็เท่ากับว่าคุณทำร้ายจิตใจลูกด้วย”
“เราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ ผมบอกแล้วไงว่าตาก็อยู่ส่วนตา คุณก็อยู่ส่วนคุณ จะรื้อฟื้นขึ้นมาพูดอีกทำไม ตาเขายอมรับได้ที่ผมมีคุณกับลูก ขอแค่คุณอยู่เงียบๆ อย่าเปิดเผยตัว และอย่าไปวุ่นวายกับตาก็พอ”
‘อยู่เงียบๆ อย่าเปิดเผยตัว…’
รศิตากำหมัดแน่นขณะทบทวนคำพูดของสามีอยู่ในใจด้วยความเจ็บช้ำ เขาจะไม่รักเธอและไม่เห็นคุณค่าของเธอก็ไม่เป็นไร แต่กับลูก…เขาไม่คิดจะรัก ไม่คิดจะเหลียวแลบ้างเลยหรือ
“อย่าชวนผมทะเลาะนะ ผมทำงานก็เหนื่อยพออยู่แล้ว ไหนจะต้องตามล้างตามเช็ดเรื่องที่เพื่อนคุณไปก่อไว้อีก ทำตามที่ผมบอก เราจะได้อยู่กันอย่างสงบๆ แล้วผมจะแวะมาหาคุณกับลูกเดือนละครั้ง”
อีกครั้งที่ภาคินโยนความผิดให้รศิตาคนเดียว แค่เธออยากเรียกร้องสิทธิ์ความเป็นภรรยาให้ตัวเองและเรียกร้องสิทธิ์ความเป็นลูกให้กับน้องภู มันหมายความว่าเธอชวนเขาทะเลาะอย่างนั้นหรือ
ภาคินไม่เคยนึกถึงวันเก่าๆ และจำไม่ได้เลยใช่มั้ยว่าเธอเคยทำอะไรเพื่อเขาบ้าง
ในวันที่เขามีแต่ตัว เธอไม่ใช่หรือที่อยู่ข้างๆ เขา คอยให้กำลังใจเขา สนับสนุนเขา และผลักดันเขาจนมีวันนี้ แต่พอเขาโด่งดังและมีชื่อเสียง เขากลับถีบหัวส่งเธอกับลูกเหมือนหมาข้างถนนไม่มีผิด
‘ผู้ชายคนนี้ไม่เคยรักแกเลย’
‘…’
‘เมื่อก่อนที่เขาดีกับแกก็เพราะแค่มีคนให้เกาะ พอเขาโด่งดังแล้วสันดานชั่วก็ออกมาอย่างที่เห็น เขาทิ้งแกทิ้งลูกไปแต่งงานใหม่เพราะผู้หญิงคนใหม่ทั้งสวยกว่าแก ดังกว่าแก และทำให้เขามีงานมีเงินมากกว่าแก สักวันถ้าเขามีลูกกับผู้หญิงคนนั้น เขาจะยิ่งไม่เห็นค่าของแกกับลูก ตาสว่างสักทีเถอะศิ!’
ต่อให้ใครจะมองว่าธรณินปากร้าย เสนอหน้ายื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องชาวบ้าน และยุยงให้ผัวเมียเลิกกัน แต่สิ่งที่ธรณินพูดเป็นความจริงทุกอย่าง มีแต่เธอเท่านั้นที่ยังจมปลักกับคำว่ารักในอดีตและยังหลอกตัวเอง
รศิตาหลอกตัวเองว่าเธอกับลูกยังมีความหมายสำหรับภาคิน
แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่…
เธอกับลูกไม่มีตัวตนในสายตาเขาเลยด้วยซ้ำ!
“ถ้ามันยากเย็นขนาดนั้นคุณก็อย่ามาเลยดีกว่า ลูกคนเดียวฉันเลี้ยงเองได้”
หญิงสาวกลั้นใจบอกด้วยความเจ็บปวด เธอไม่รู้ว่าตนเองกำลังคิดอะไรถึงกล้าพูดออกไปแบบนั้นทั้งๆ ที่ผ่านมาเธอไม่มีความกล้าหาญที่จะต่อรองกับภาคินเลยสักนิด เพราะกลัวว่าจะต้องเสียเขาไปจริงๆ
แต่ไม่สิ! ครั้งนี้ไม่ใช่การต่อรอง เพียงแต่รศิตารู้สึกว่าทุกวันนี้เธอมีคนรักก็เหมือนไม่มี เธอยอมถอยมามากพอแล้ว เธอยอมเจ็บปวดและยอมเป็นฝ่ายทนจนถึงขีดสุดแล้ว สุดท้ายเธอก็จำเป็นจะต้องเลือกว่าเธอจะทนต่อไปหรือจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว และใช่! ตอนนี้เธอกำลังเลือกที่จะไม่ทน!
ภาคินเพิ่งแต่งงานกับมุกตาภา เขายังทำกับเธอและลูกเหมือนเป็นเพียงเศษฝุ่นธุลี หากวันหนึ่งทั้งสองคนมีลูกด้วยกัน รศิตาไม่อยากจะคิดเลยว่าพวกเขาจะเหยียบย่ำเธอกับลูกขนาดไหน
คนอย่างมุกตาภาไม่มีทางต่างคนต่างอยู่อย่างที่ภาคินพูดแน่ๆ และในอนาคตคงมีเรื่องที่ทำให้เธอกับลูกต้องเจ็บปวดตามมาไม่หยุด ดังนั้นสู้เธอตัด ‘เนื้อร้าย’ ออกไปจากชีวิตซะตั้งแต่วันนี้ยังจะดีกว่า
“ศิ…” ภาคินเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างไม่พอใจเพราะที่ผ่านมาภรรยาจะเป็นฝ่ายยอมเขาเสมอ แต่ครั้งนี้รศิตาทำเหมือนต้องการจะต่อรองกับเขา “คุณเห็นเพื่อนดีกว่าพ่อของลูกอย่างผมงั้นเหรอ”
“อย่าเทียบกันเลยค่ะ แค่คุณคิดจะเทียบกับยายแซนด์ก็ดูเสียมารยาทมากแล้ว”
คำพูดเรียบๆ น้ำเสียงนิ่งๆ ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของภรรยาทำให้ภาคินแสบร้อนไปทั้งอกเพราะมันคือความจริงที่ทิ่มแทงหัวใจ แต่เขาไม่คิดเลยว่าเธอจะกล้าตอกกลับเขาแบบนี้
ใช่…ที่ผ่านมารศิตาไม่กล้าปริปาก แต่วันนี้เธอสุดจะทนแล้ว ภาคินแต่งงานกับมุกตาภา ทั้งสองจดทะเบียนสมรสกัน อยู่กินกันอย่างออกหน้าออกตาและประกาศให้ประชาชนรับรู้ทั่วประเทศ แต่คนที่มาก่อนอย่างเธอกลับมีสถานะเป็นแค่ ‘เมียเก็บ’ ที่อยู่ในมุมมืดและไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะพูดว่าเป็นเมียเขาด้วยซ้ำ
เขาย่ำยีศักดิ์ศรีเธอจนไม่เหลือแล้วจริงๆ!
“คุณพูดเองนะว่าจะเลี้ยงลูกคนเดียว”
ภาคินไม่แม้แต่จะง้อหรือพยายามเหนี่ยวรั้งรศิตาเอาไว้ เพราะเขาคิดว่าตนเองถือไพ่เหนือกว่าเธอมาก ดังนั้นคนที่จะต้องเป็นฝ่ายง้อแล้วอ้อนวอนให้เขากลับไปก็คือผู้หญิงปากเก่งอย่างเธอ
ชายหนุ่มแสดงความไม่พอใจด้วยการเดินกระแทกเท้าทำท่าจะออกจากบ้านไปเหมือนทุกครั้ง และเขาคิดว่าหลังจากนี้อีกไม่กี่วันรศิตาก็คงทนไม่ไหวจนเป็นฝ่ายโทรไปหาเขาเอง เพราะทุกครั้งที่หญิงสาวพยายามจะใจแข็ง เธอก็ต้องยอมแพ้เมื่อลูกรบเร้าว่าอยากเจอพ่อและอยากให้พ่อมาหา
“ผมจะไม่มาที่นี่อีก แล้วคุณก็ไม่ต้องโทรมากวนใจผมด้วย”
ภาคินบอกอย่างไม่แยแส เขารู้ว่ารศิตารักเขามาก เธอขาดเขาไม่ได้ ต่อให้เขาจะทำตัวเลวร้ายสารพัด เธอก็ยังรักเขาอยู่วันยังค่ำ ชายหนุ่มถึงได้ลำพองใจและไม่เห็นคุณค่าของเธอกับลูก
“เราจะจบกันแค่นี้จริงๆ ใช่มั้ย”
รศิตาถามก่อนที่สามีจะเดินออกไป
“ก็คุณเป็นคนพูดเอง”
ภาคินบอกเหมือนเขารอวันนี้มานาน
“คุณไม่คิดจะแคร์น้องภูบ้างเหรอ แกไม่ใช่ลูกของคุณหรือไง คุณถึงไม่แยแสความรู้สึกของลูกเลยสักนิด” รศิตาถามเพื่อลูก เขาตัดขาดความเป็นสามีกับเธอ แต่ก็ควรจะนึกถึงลูกบ้าง
“คนที่อยากเก็บลูกไว้คือคุณไม่ใช่เหรอ…”
พระเอกหนุ่มย้อนถามเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่เขาจะเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองรศิตาอีกเลย…คำถามนั้นเหมือนมีดแหลมคมที่กรีดลงบนหัวใจเธออีกครั้งและครั้งนี้รอยแผลก็บาดลึกยิ่งกว่าที่ผ่านมา มันชัดเจนแล้วว่านอกจากเธอจะไม่มีค่าในชีวิตเขา ลูกก็ไม่ได้มีความหมายสำหรับเขาเช่นกัน!
ในค่ำคืนหนึ่งธรณินแต่งตัวสวยขึ้นมานั่งดินเนอร์ในร้านอาหารบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมหรูแห่งหนึ่งที่หัวหิน เธอหวังว่าอากาศดีๆ และทิวทัศน์อันสวยงามจะช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้น
‘ฉันเคยบอกแกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าพูดเรื่องฉันกับภาคินอีก’
‘…’
‘ฉันเข้าใจว่าแกทำเพื่อปกป้องฉันกับน้องภู แต่…ให้ฉันจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองเถอะ ทุกวันนี้ความสัมพันธ์ของฉันกับภาคินมันก็แย่มากพออยู่แล้ว แกอย่ามาทำให้ทุกอย่างมันแย่ไปมากกว่านี้เลย’
ทว่า…หญิงสาวกลับไม่รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด
ผ่านมาสองวันแล้วที่ธรณินผิดใจกับรศิตา เธออุตส่าห์หอบกายหอบใจมาพักผ่อนไกลถึงหัวหิน แต่คำพูดของเพื่อนรักก็ยังตามมาวนเวียนอยู่ในความคิดไม่หยุดจนทำให้ทริปนี้หมดสนุก
วันนั้นพอออกจากบ้านของรศิตาแล้วธรณินก็ตรงกลับคฤหาสน์ก่อนที่วันต่อมาเธอจะเดินทางมาพักผ่อนที่โรงแรมซึ่งถูกจองเอาไว้ล่วงหน้า หญิงสาวอยากจะมาพักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางบรรยากาศดีๆ เพื่อบำบัดอารมณ์อันแสนหม่นหมอง แต่พออยู่คนเดียวแบบนี้เธอกลับยิ่งคิดมาก
ธรณินไม่ได้ตั้งใจจะติดตามข่าว แต่ทุกครั้งที่เข้าเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์จะต้องมีคนแชร์ข่าวของมุกตาภากับภาคินมาให้เห็น เธอจึงรู้ว่าทั้งสองออกมาปฏิเสธว่าสิ่งที่ธรณินพูดไม่ได้เป็นความจริง พวกเขาไม่เข้าใจเช่นกันว่าเธอทำแบบนั้นทำไม และยังบอกด้วยว่าหากนักข่าวอยากรู้ก็ต้องถามจากเธอ
ตอแหลทั้งคู่!
ธรณินคิดในใจด้วยความกรุ่นโกรธขณะอ่านข่าวดังกล่าว แต่เธอรู้ว่าที่ภาคินกับมุกตาภากล้าให้สัมภาษณ์แบบนั้นเพราะคงคิดว่าเธอจะไม่กล้าแฉต่อ แน่ล่ะ! ภาคินยื่นคำขาดแล้วว่าหากธรณินยังไม่เลิกแฉ เขาก็จะไม่มาหาน้องภูอีก แล้วเธอจะตอกกลับเขาไปได้ยังไง เพราะถ้าพูดไปแล้วเขาไม่มาหาน้องภูจริงๆ รศิตาก็คงโทษว่าเป็นความผิดของเธอที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในครอบครัวมากเกินไป
‘กลับไปเถอะแซนด์ ให้ฉันเคลียร์กับภาคินเองดีกว่า’
ดีไซเนอร์สาวยังจำสายตาว่างเปล่าของเพื่อนรักได้ดี เธอเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึงสายตาคู่นั้นจนสามารถพูดได้เลยว่าการผิดใจกับเพื่อนสนิททำให้เธอเจ็บปวดยิ่งกว่าตอนเลิกกับทิวาเสียอีก
สำหรับธรณินแล้ว…เลิกกับแฟนเก่าก็หาแฟนใหม่ได้ แต่กับเพื่อนรักที่คบกันมานานถึงสิบห้าปีจนรู้ใจกันทุกอย่าง และอยู่เคียงข้างกันมาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมันไม่ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ ธรณินไม่คิดเลยว่าเพื่อนรักอย่างรศิตาจะเข้าข้างผู้ชายเลวๆ คนนั้นแล้วผลักไสเธอออกจากชีวิต
ถ้าพี่ซันกับพี่ซีรู้ว่าเรากลายเป็นหมาต้องหัวเราะเยาะเราแน่ๆ
หญิงสาวคิดด้วยความขมขื่น พี่ชายทั้งสองของเธอเตือนเป็นนัยแล้วว่าอย่าออกตัวแทนเพื่อนแรงมาก เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่เพื่อนเข้าข้างผู้ชาย เธอจะกลายเป็นหมา แล้ววันนี้เธอก็กลายเป็นหมาจริงๆ แถมยังบริโภคอาหารเม็ดเสียจนอิ่มแทบท้องจะแตกตาย!
‘ถ้าพวกพี่ไม่เลิกมาวุ่นวายกับยายแซนด์ หนูจะฟ้องครูนะคะ’
ธรณินจำได้ว่าตอน ม.สี่ เธอมีเรื่องกับรุ่นพี่ ม.หก เพราะฝ่ายนั้นเดินมาชนเธอแต่บังคับให้เธอขอโทษ ซึ่งตอนนั้นเธอเองก็เปรี้ยวพอตัวจึงไม่ยอมขอโทษอีกฝ่ายและไม่ยอมบอกครู จนวันหนึ่งพวกนั้นยกพวกมาหาเรื่องเธอถึงที่ห้อง เพื่อนแต่ละคนไม่กล้าเข้ามายุ่งเพราะอีกฝ่ายเป็น ‘ตัวแม่’ ในโรงเรียน แล้วทุกคนก็ต้องตกใจเพราะเด็กเรียนท่าทางเรียบร้อยและแทบไม่หือไม่อืออย่างรศิตาได้ออกโรงปกป้องธรณินจนรุ่นพี่ยอมถอยกลับไป เพราะเธอเป็นลูกอาจารย์ฝ่ายปกครองซึ่งไม่ควรมีเรื่องด้วยอย่างเด็ดขาด
‘ไม่กลัวพวกนั้นมาดักตบแกแทนหรือไง’
ธรณินถามเพื่อนเหมือนจะบอกว่าอีกฝ่าย ‘กล้ามาก’ มันไม่ใช่ว่าเธออยากลองดี แต่เธอคิดว่าถ้ายอมให้พวกรุ่นพี่ข่มเหง พวกนั้นก็จะยิ่งลำพองใจ เธอเตรียมใจไว้แล้วด้วยซ้ำว่าถ้าถูกตบตีก็จะเอาคืนบ้าง
‘ถ้าพวกนั้นกล้าก็น่าจะตบแกไปนานแล้วนะ’
รศิตาบอกด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่ธรณินรู้ว่ารศิตาก็คงหวั่นเกรงที่เสี่ยงมาช่วยเธอ เพราะถ้าทั้งสองฝ่ายไม่ยอมถอยแล้วทะเลาะวิวาทกันจริงๆ ตำแหน่งนักเรียนดีเด่นก็คงจะหลุดลอยไปจากรศิตาทันที
รศิตาเป็นคนใจเย็น ส่วนธรณินเป็นคนใจร้อน รศิตาไม่สู้คน ส่วนธรณินคือสายฟาด ทั้งสองคนอาจมีบุคลิกที่ดูแตกต่างกัน แต่กลับเข้ากันได้ดีและเป็นคู่ที่อยู่ด้วยกันได้อย่างลงตัว
‘ฉันไม่เหลือใครแล้วแซนด์’
‘แกยังมีฉันไง’
‘แต่แกก็เป็นแค่เพื่อน ฉันไม่มีครอบครัวอีกแล้ว’
‘ฉันจะเป็นทั้งเพื่อนทั้งครอบครัวให้แกเอง แกก็รู้ว่าฉันเป็นคนรักษาคำพูดแค่ไหน’
ธรณินปลอบใจวันที่บิดากับมารดาของรศิตาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ เพื่อนรักของเธอช็อกจนแทบเป็นลมเมื่อได้ยินข่าวนั้น พอได้สติก็ร้องไห้เหมือนจะขาดใจ ธรณินจึงคอยอยู่ข้างๆ และดูแลจิตใจจนรศิตาเข้มแข็งขึ้น
‘ไม่เอาน่าแซนด์ แกอย่าเศร้าอย่างนี้สิ’
‘ฉันอกหักนะ แกจะไม่ให้ฉันเศร้าเลยหรือไง’
‘ผู้หญิงอย่างแกเดี๋ยวก็หาแฟนใหม่ได้’
‘แต่ฉันรักเขา!’
‘ถ้าแกรักเขาแล้วเขาก็รักแก สักวันแกกับเขาก็ต้องกลับมาคบกันจนได้แหละ’
‘นั่นสินะ แต่ไม่! ฉันจะไม่กลับไปคบกับแฟนเก่าอีกเด็ดขาด’
‘ไหนแกบอกว่ารักเขา’
‘ก็เขาไม่แยแสฉันเอง ฉันก็จะไม่แยแสเขาบ้าง และเขานั่นแหละที่ต้องเป็นฝ่ายเสียดายฉัน!’
ในวันที่ธรณินเลิกกับทิวา เธอเสียสติอยู่เป็นเดือนทั้งๆ ที่เธอเป็นสาวมั่นซึ่งไม่น่าจะมีใครมาหักอกได้ ช่วงนั้นรศิตาก็ไม่เคยทอดทิ้งธรณินเช่นกัน และไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนรักที่รู้ใจกันมากที่สุด…มากถึงขนาดที่ว่าอีกฝ่ายไม่ต้องพูดอะไร แค่เห็นหน้าก็รับรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
‘เรื่องเอาใจใส่ความรู้สึกฉันน่ะ ภาคินเทียบแกไม่ติดเลย’
รศิตาเคยพูดแบบนั้นตอนที่นัดทานข้าวแล้วธรณินก็ทักว่า ‘มีปัญหาอะไรเล่าให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้’ ในวินาทีแรกที่เห็นหน้ากัน จากนั้นรศิตาก็ระบายให้ฟังว่าคนรักอย่างภาคินไม่เคยแบ่งเบาปัญหาหรือรับฟังเธอเลย แต่ธรณินเป็นแค่เพื่อนกลับรู้ได้ในทันทีว่าสภาพจิตใจเธอย่ำแย่และเธอกำลังมีปัญหา
ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ธรณินจะเดือดร้อนไปกับรศิตาด้วยเสมอ ดังนั้นเมื่อรับรู้ว่าภาคินทรยศหักหลังและทำร้ายจิตใจคนที่เธอรัก เธอจึงออกโรงจัดการเขาด้วยตัวเอง
“คุณครับ”
ขณะที่หญิงสาวคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่คนเดียวและกำลังจมลงไปในโลกอดีตก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทัก พอธรณินปรายตาไปทางต้นเสียงจึงเห็นว่าเขาเป็นชายหนุ่มร่างสูง รูปร่างดี แต่งตัวดี และหน้าตาดี…เธอไม่ได้เข้าข้างตัวเอง แต่ดูจากสายตาและท่าทีแล้วเขาน่าจะกำลังสนใจเธอ
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” ธรณินถามตามมารยาท
ดวงตาคู่งามปรือขึ้นมามองอีกฝ่ายเพราะเธอเริ่มเมาแล้ว
“เอ่อ…ผมขอนั่งด้วยคนได้มั้ยครับ”
มามุกนี้อีกแล้ว
ดีไซเนอร์สาวคิดในใจเมื่ออีกฝ่ายขออนุญาตพร้อมกับรอยยิ้มเป็นมิตร เขาพยายามโปรยเสน่ห์ใส่เธอเต็มที่ เพราะคงเห็นว่าเธอมานั่งดื่มคนเดียวซึ่งมันง่ายมากที่เขาจะเข้ามาสานความสัมพันธ์
บางทีเขาอาจจะคิดว่าเธออกหักกระมัง
“ฉันอยากนั่งคนเดียวค่ะ” หญิงสาวปฏิเสธ
ต่อให้ผู้ชายคนนี้จะดูดี แต่เธอไม่มีอารมณ์จะคุยกับผู้ชายและไม่เสียดายเขาด้วย
“ใจร้ายจังเลยนะครับ” เขาตัดพ้อยิ้มๆ เหมือนคิดว่าเธอแกล้งปฏิเสธไปอย่างนั้นเอง
ผู้ชายหน้าตาดีนี่มั่นหน้ามั่นโหนกอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่านะ
“เชิญคุณไปหาโต๊ะอื่นนั่งเถอะค่ะ”
“แต่คุณก็นั่งคนเดียวนี่ครับ ให้ผมนั่งด้วยไม่ได้เหรอ”
“ก็ฉันเพิ่งบอกไงคะว่าอยากนั่งคนเดียว โต๊ะอื่นก็ว่าง คุณจะเซ้าซี้มาขอนั่งกับฉันไปทำไม” ธรณินบอกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจขณะจ้องหน้าเขาด้วยสายตาจริงจัง เพราะเธอรำคาญที่เขาเซ้าซี้เธออยู่ได้
“อะไรกันคุณ! พูดดีๆ ก็ได้นี่นา”
ชายหนุ่มดูจะไม่พอใจเมื่อถูกปฏิเสธ ท่าทางเขาเป็นคนมั่นใจในตัวเอง และน่าจะมีผู้หญิงเข้าหาไม่น้อย เขาถึงได้คิดว่าธรณินจะเล่นด้วย พอถูกเธอปฏิเสธอย่างจริงจังก็เลยรู้สึกเสียหน้าอย่างรุนแรง
ถึงกระนั้นเขาก็รีบเดินออกไปเพราะเห็นพนักงานคนหนึ่งกำลังเดินมา
“เช็กบิลค่ะ”
ธรณินเรียกพนักงานคนนั้นทั้งๆ ที่ตอนแรกเธอคิดว่าจะนั่งดื่มต่ออีกสักชั่วโมง แต่หมอนั่นดันมาทำให้เสียบรรยากาศจนเธอไม่อยากนั่งต่อแล้ว กลับไปจิบเบียร์คนเดียวที่ห้องน่าจะสบายใจกว่า
“ได้ค่ะคุณลูกค้า รอสักครู่นะคะ”
“เอ่อ…ฉันขอถามอะไรหน่อยสิคะ”
ธรณินเรียกพนักงานเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกไป
“คุณจะถามเรื่องอะไรเหรอคะ”
“แถวนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวหรือที่พักที่เงียบๆ มั้ยคะ แบบไม่ค่อยมีคนน่ะค่ะ”
อันที่จริงธรณินคิดว่าโรงแรมแห่งนี้ก็มีความเป็นส่วนตัวและเงียบสงบมากแล้ว แต่สภาพอารมณ์ในตอนนี้เธอต้องการความเงียบชนิดที่เดินเล่นบนชายหาดแล้วไม่มีใครมากวนใจเลย
“ถ้าเป็นรีสอร์ตในแถบนี้น่าจะไม่มีนะคะ เพราะส่วนใหญ่คนก็ขับรถจากกรุงเทพฯ มาเที่ยวก็เลยค่อนข้างพลุกพล่านน่ะค่ะ ดิฉันคิดว่าโรงแรมของเราก็เป็นส่วนตัวและหรูหราที่สุดแล้วนะคะ”
“ฉันอยากลองเที่ยวแบบบ้านๆ แบบเงียบๆ บ้างน่ะค่ะ”
“ถ้านั่งเรือข้ามไปที่เกาะก็อาจจะมีนะคะ”
“ไม่ใช่ลงทุนนั่งเรือไปที่เกาะก็เจอคนเต็มเกาะอีกนะคะ”
“ถ้าเป็นเกาะดังๆ ก็คงจะเป็นอย่างนั้นค่ะ” พนักงานสาวยิ้มขบขันเมื่อธรณินมีอารมณ์ขันเล่นมุกกับเธอ “อ้อ…แต่มีอยู่เกาะนึงนะคะที่ไม่ค่อยมีคน เพราะบนเกาะนั้นไม่มีจุดขาย ไม่มีอะไรพิเศษ และไม่ได้รับการโปรโมตก็เลยมีแค่ชาวบ้านอาศัยอยู่ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ น่ะค่ะ แต่ดิฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเดินทางไปยังไง อาจจะต้องเช่าเรือรับจ้างให้พาไป อีกอย่างบนเกาะก็ไม่ค่อยสะดวกสบายนะคะ”
ประโยคหลังพนักงานพูดเหมือนอยากให้ธรณินคิดดูดีๆ เพราะคงคิดไม่ออกว่าผู้หญิงที่ท่าทางไฮโซอย่างธรณินจะใช้ชีวิตบนเกาะที่ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้ยังไง
“น่าสนใจเหมือนกัน ชื่อเกาะอะไร คุณพอจะรู้มั้ยคะ”
“อ้อ ‘เกาะไรวินท์’ ค่ะ ดิฉันเคยไปครั้งหนึ่ง นั่งเรือไปประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว เอ่อ…พอดีดิฉันมีเพื่อนที่ครอบครัวเขาอยู่บนเกาะนั้นก็เลยได้ติดตามเขาไปเที่ยว ถ้าคุณอยากไปก็ลองไปที่ท่าเรือแล้วถามคนแถวนั้นดูนะคะว่ามีเรือรับจ้างพาไปได้บ้างมั้ย แต่ดิฉันไม่แน่ใจนะคะว่าบนเกาะจะมีรีสอร์ตหรือเปล่า”
“ขอบคุณมากนะคะที่ให้ข้อมูล”
“ด้วยความยินดีค่ะ”
พนักงานเดินออกไปแล้วธรณินก็ยังคิดอยู่คนเดียวว่าเธอจะลองไปเที่ยวที่เกาะไรวินท์แบบไปเช้าเย็นกลับ เพราะไหนๆ ก็มาเที่ยวคนเดียวและเคยเที่ยวแบบหรูหราจนเบื่อแล้ว ถ้าลองท่องเที่ยวในแบบที่แตกต่างออกไปอาจจะทำให้เธอได้ค้นพบประสบการณ์ใหม่ๆ และลืมเรื่องราวที่ทำให้ทุกข์ใจไปบ้างก็ได้
เจอกันพรุ่งนี้นะเกาะไรวินท์
ปกติทิวาจะไม่ออกจากบ้านในช่วงปั่นต้นฉบับแต่เวลานี้เขากำลังขับรถไปที่หัวหิน!
เรื่องของเรื่องคือ…ก่อนหน้านี้นักเขียนหนุ่มมุ่งมั่นกับการปิดต้นฉบับซึ่งเขาก็เขียนงานสำเร็จเสร็จสิ้นไปแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ทว่าจู่ๆ อารมณ์ในการเขียนงานของทิวาก็มอดดับไปเสียดื้อๆ…เขาค้างยี่สิบเปอร์เซ็นต์สุดท้ายของเรื่องมานานถึงหนึ่งสัปดาห์ ในขณะที่เดดไลน์ก็ใกล้เข้ามาทุกที
ถ้ายังค้างอยู่อย่างนี้เขาส่งต้นฉบับไม่ทันเดดไลน์แน่!
ทิวาเหลือเวลาอีกสองสัปดาห์สำหรับการเขียนต้นฉบับยี่สิบเปอร์เซ็นต์สุดท้ายซึ่งไม่ถือว่าโหดมากหากเขาเขียนงานได้ตามปกติ แต่ช่วงนี้ไม่มีวี่แววว่าเขาจะกลับมาเขียนงานได้เลยไม่ว่าจะพยายามสร้างอารมณ์ด้วยวิธีไหนก็ตาม ทั้งฟังเพลง พักผ่อนให้เพียงพอ สูบบุหรี่ หรือแม้แต่จิบเบียร์ ชายหนุ่มจึงคิดจะเปลี่ยนบรรยากาศในการทำงาน เพราะหลายครั้งที่เขียนงานอยู่บ้านแล้วเกิดอาการตันขึ้นมา วิธีนี้จะช่วยให้เขาสามารถกลับมาเขียนงานได้อย่างลื่นไหล แม้ว่ามันจะเป็นทางสุดท้ายที่เขาจะเลือก เพราะมันค่อนข้างเสียเวลา
ประจวบเหมาะกับเมื่อวันก่อน ‘ภาสกร อัครพนธ์’ เจ้าของท่าเรือ โรงแรม และรีสอร์ตชื่อดังที่หัวหินเดินทางมาประชุมที่กรุงเทพฯ พออีกฝ่ายมีเวลาว่างก็นัดทานข้าวกับเขาตามประสาเพื่อน
ทั้งสองได้พูดคุยกันเรื่องงาน พอภาสกรได้ยินว่าทิวาเขียนงานไม่ออกและกำลังมองหารีสอร์ตเงียบๆ เพื่อเขียนต้นฉบับ ภาสกรจึงเสนอให้ทิวาไปเขียนงานบนเกาะไรวินท์เพราะเขามีบ้านพักส่วนตัวอยู่ที่นั่น อีกทั้งบรรยากาศบนเกาะก็สงบดี และทิวาก็เคยไปเขียนงานที่นั่นมาแล้ว
ในตอนแรกทิวาปฏิเสธด้วยความเกรงใจ เพราะไปรบกวนบ่อยๆ คงดูไม่ดี แต่ภาสกรบอกว่าตนเองไม่ค่อยได้ไปพักที่นั่นอยู่แล้ว เขาเพียงแต่ซื้อที่ดินกับบ้านพักดังกล่าวเอาไว้เนื่องจากชาวบ้านเดือดร้อนเรื่องเงินแล้วเอามาขายให้ หากทิวาตกลงใจจะไปพักที่นั่น เขาจะให้คนไปเตรียมห้องพักและจัดข้าวปลาอาหารแห้งเอาไว้รออย่างเคย อีกทั้งยังย้ำว่าไม่ต้องเกรงใจเพราะถ้าเทียบกับสิ่งที่ทิวาเคยทำให้เขาแล้วนี่ถือว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
‘คุณกรก็พูดเกินไป ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ’
ทิวาบอกติดตลกเมื่ออีกฝ่ายพูดราวกับว่าเขามีบุญคุณอย่างใหญ่หลวงทั้งๆ ที่เขาเป็นเพียงนักเขียนตัวเล็กๆ ส่วนนักธุรกิจวัยสามสิบเจ็ดปีอย่างภาสกรเป็นเจ้าของกิจการที่มีมูลค่ามหาศาล
‘คุณทิวาจำไม่ได้เหรอครับว่าหลายปีก่อนสภาพเศรษฐกิจแย่มาก ธุรกิจด้านการท่องเที่ยวทั้งรีสอร์ตและโรงแรมซบเซาจนหลายแห่งต้องปิดตัวลง โรงแรมและรีสอร์ตของผมก็เจอพิษเศรษฐกิจจนขาดทุน แต่พอละคร ‘365 วันฯ’ มาใช้โลเกชั่นในโรงแรมและรีสอร์ตของผมเป็นหลักในการถ่ายทำ พอละครออนแอร์ก็ทำให้มีแฟนละครมาตามรอยจนธุรกิจของผมกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง ผมถือว่าคุณทิวามีบุญคุณกับผมนะ’
ภาสกรบอกจากใจจริง เขาจดจำช่วงเวลาที่ยากลำบากได้ดีว่าตอนนั้นทั้งโรงแรมและรีสอร์ตแทบไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการ พนักงานแทบจะนั่งตบยุงเล่น และเขาเองก็แทบจะประคับประคองธุรกิจเอาไว้ไม่ไหว แต่แล้วก็เหมือนมีโชคช่วยเมื่อละคร ‘365 วัน…ฉันกลับมาเพื่อเอาคืน’ ยกกองมาถ่ายทำที่โรงแรมและรีสอร์ต พอละครออกอากาศแล้วดังเป็นพลุแตก โรงแรมและรีสอร์ตของเขาก็พลอยดังไปด้วย
มีแฟนละครมากมายเดินทางมาท่องเที่ยวตามรอยละคร เมื่อประทับใจก็มีการบอกกันปากต่อปากจนใครต่อใครก็ต้องมาพักที่นี่ ภาสกรได้พูดคุยกับผู้จัดละครจึงได้รู้ว่าละครเรื่องดังกล่าวสร้างจากนวนิยายของทิวา ที่สำคัญทิวาเป็นคนเขียนบทโทรทัศน์เอง และยังแนะนำให้ผู้จัดมาถ่ายทำละครที่รีสอร์ตของภาสกรด้วย เพราะได้รับแรงบันดาลใจในการเขียนนวนิยายหลังจากมาพักในรีสอร์ตแห่งนี้
จากนั้นภาสกรก็หาโอกาสมาขอบคุณทิวาด้วยตนเอง ทั้งสองถูกชะตา และคุยกันถูกคอจนกลายมาเป็นเพื่อนกันถึงทุกวันนี้ ภาสกรคิดเสมอว่าละครเรื่องดังกล่าวช่วยพลิกวิกฤตในธุรกิจของเขาให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ดังนั้นการอำนวยความสะดวกให้ทิวาไปพักที่เกาะไรวินท์ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยจริงๆ
“ใกล้จะถึงหรือยัง ผมให้คนเตรียมเรือเอาไว้ให้ที่ท่าเรือตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
ขณะที่ทิวากำลังขับรถอยู่นั้นภาสกรก็โทรศัพท์มาสอบถามด้วยความเป็นห่วง เพราะเมื่อวานนี้กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งข่าวอย่างกะทันหันว่าจะมีพายุเข้าในช่วงเที่ยงวันนี้ เขากลัวทิวาจะติดพายุจนเดินทางไม่ได้ เพราะถ้าพายุใหญ่พัดมาแบบนี้…ไม่มีใครกล้าเสี่ยงออกเรือข้ามเกาะแน่!
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน เมษายน 64)
Comments
comments
No tags for this post.