บทที่ 4
เมื่อพั่วเยวี่ยได้ตำราวิชาเซียนมาแล้วก็เก็บไว้ข้างกายไม่ห่างทั้งวันทั้งคืนราวกับได้สมบัติล้ำค่ามาครอง
ถึงแม้วิญญาณดั้งเดิมจะฟื้นฟู ลมปราณจุดตันเถียนจะเต็มเปี่ยม ทว่าจนแล้วจนรอดนางก็ยังสำแดงฤทธิ์พลังมารไม่ได้ อีกทั้งไม่อาจร่ายอาคมมาร แผนการในตอนนี้มีเพียงมุมานะฝึกวิชาเซียนอย่างเดียวแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นเซียนกระบี่อิทธิฤทธิ์สูงส่ง ไม่แน่ว่าหลายร้อยปีหลังจากนี้นางอาจมีโอกาสกลายเป็นเซียนกระบี่คนที่สอง สร้างชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วสามดินแดนได้เช่นกัน
นางต้องการสงบจิตใจฝึกฝนลมปราณจึงสลัดพวกแมลงตามก้นไปให้พ้นทาง ตามหาสถานที่ซึ่งไม่มีผู้ใดมารบกวนได้เพื่อฝึกฝนร่างกายทุกวัน
ระหว่างทางนางบังเอิญพบม้าสวรรค์ ขณะมองหน้านางแววตาของมันเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ คิดว่าคงเป็นเพราะถูกปรักปรำเรื่องหมัดกัดแน่ถึงได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขนาดนี้
พั่วเยวี่ยตบก้นม้าสวรรค์พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คนเราเกิดมาบนโลกนี้มีใครไม่เคยต้องน้อยเนื้อต่ำใจบ้าง อยากบำเพ็ญเพียรกลายเป็นเซียนก็ต้องมองเรื่องนี้ให้กระจ่างก่อน ถ้าหากต้านทานแรงโจมตีไม่ได้ ก็ไม่ต้องเป็นคนไปเลยเสียดีกว่า สรุปว่าอยากจะเป็นคนก็ต้องรู้จักเปิดใจให้กว้าง นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการบำเพ็ญเพียร เข้าใจหรือไม่”
ม้าสวรรค์ฟังแล้วครุ่นคิด คล้ายตระหนักรู้อะไรบางอย่างขึ้นมาจึงยื่นศีรษะมาถูไถนางด้วยความดีใจก่อนเดินจากไปอย่างร่าเริง
พอม้าสวรรค์เดินจากไปพั่วเยวี่ยก็ลูบปลายคางครุ่นคิดบ้าง
นางคิดไม่ถึงว่าคำพูดไม่กี่ประโยคของตัวเองจะผลักไสมันจากไปง่ายดายปานนี้ เหล่าสัตว์เซียนช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน วันหน้าเมื่อสัตว์มารเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกบุกโจมตีจะมิถูกรังแกจนตายไปข้างหนึ่งเลยหรือ ช่างน่าเป็นห่วงเสียจริง!
เอ๋? ข้าจะเป็นห่วงไปไย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเสียหน่อย ข้าควรจะเป็นห่วงเรื่องอิทธิฤทธิ์ของตัวเองมากกว่า ต้องเร่งมือฝึกบำเพ็ญเพียรสิถึงจะถูก
หลังจากนั้นพั่วเยวี่ยก็มุมานะฝึกวิชาเซียน ท่องคาถาอาคมไม่หลับไม่นอนต่อเนื่องหลายวัน
อาคมเซียนที่ผู้อื่นต้องทุ่มเทเวลาอย่างน้อยหนึ่งปีถึงฝึกสำเร็จนางกลับใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น อย่างไรในอดีตก็เคยเป็นถึงขุนพลเยี่ยนสื่อแห่งแดนมาร พื้นฐานของนางจัดว่าดีเยี่ยมเชียวล่ะ
อาคมฝึกสำเร็จแล้ว จะต้องหาคนมาทดสอบฝีมือสักหน่อย บนยอดเขาวั่งเยวี่ยไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ให้นางได้เลย นางไม่โง่ถึงขั้นไปหาต้วนมู่ไป๋ เพราะนั่นไม่เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวหรือไร
ตอนนี้สัตว์เซียนน่าจะใช้งานได้ดียิ่ง
“เจ้าพวกหน้าขน อยู่ไหนกัน”
พอนางตะโกนออกไปเหล่าสัตว์เซียนก็รีบร้อนวิ่งมาหาอย่างที่คิดไว้ แต่ละตัวมองนางหน้าระรื่น พั่วเยวี่ยกลับส่งยิ้มชั่วร้ายเหมือนอันธพาลให้พวกมัน ดีดปลายนิ้วร่ายอาคมเซียน บนฝ่ามือพลันปรากฏลูกไฟดวงหนึ่ง
เหล่าสัตว์เซียนจ้องมองเปลวไฟอย่างประหลาดใจ จากนั้นก็หันมองนางด้วยความอยากรู้อยากเห็น โดยไม่รู้เลยว่าภัยกำลังมาถึงตัว พั่วเยวี่ยเลิกคิ้วขึ้นเตรียมโยนลูกไฟในมือใส่พวกมัน
กำแพงไฟขยายโอบล้อมเป็นวงกลม กักขังสัตว์เซียนเอาไว้ตรงกลาง ปกติสัตว์ป่าเหล่านี้หวาดกลัวไฟเป็นที่สุด ส่วนลูกไฟในมือนางก็เป็นเปลวไฟอาคมเซียนขนานแท้ แม้ว่าร้ายกาจเทียบเพลิงฌานพิสุทธิ์ไม่ได้ แต่จะข่มขู่ให้พวกมันตกใจกลัวจนปัสสาวะราดนับว่าเหลือเฟือ
แสงสว่างของเปลวไฟส่องสะท้อนยิ้มมุมปากแสนเยือกเย็นของนางยิ่งทำให้น่าสะพรึงกลัวกว่าเดิมหลายเท่า “หึๆ กลัวแล้วใช่หรือไม่”
“เซียนหญิงร้ายกาจ!”
“เซียนหญิงก้าวหน้าเร็วดั่งเทพ!”
“เซียนหญิงเป็นอัจฉริยะ!”
เหล่าสัตว์เซียนทั้งตะโกนโหวกเหวกทั้งกระโดดโลดเต้น ตบมือเปาะแปะร้องชื่นชม แต่ละตัวแววตาเปล่งประกายวิบวับเผยความเคารพเลื่อมใสเปี่ยมล้นเกินบรรยาย
พั่วเยวี่ยกลอกตาอย่างเอือมระอา โทสะที่เก็บสะสมไว้จะระเบิดก็คราวนี้ พวกสัตว์โง่เขลาแม้กระทั่งสีหน้ามนุษย์ยังมองไม่ออก นางแผ่รังสีฆ่าฟันกับรังสีชั่วร้ายชัดเจนขนาดนี้แล้วไม่นึกว่าพวกมันยังมองไม่ออกอีก
นางหลับตาลงแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อลืมตาอีกครั้งดวงตาสองข้างก็สาดประกายคมกริบฉายแววคุกคามโหดเหี้ยมอำมหิต
“ข้าจะนับถึงสิบ ใครวิ่งช้าก็รอโดนไฟย่างสุกได้เลย”
บรรยากาศพลันเงียบสนิท ไม่มีสัตว์เซียนเคลื่อนไหวสักตัว มีเพียงสายตาอยากรู้อยากเห็นแต่ละคู่ประกอบกับสีหน้าใสซื่อไร้เดียงสาจ้องมองนางอย่างตื่นเต้นเท่านั้น
น่าโมโหชะมัดยาด!
“ไม่ได้ยินหรือ ถ้ายังไม่รีบวิ่งหนีข้าจะใช้ไฟอาคมเซียนเผาก้นพวกเจ้าให้หมด!”
เหล่าสัตว์เซียนเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ส่วนเจ้าวานรดูเหมือนจะตบมือเพราะเข้าใจกระจ่างแล้ว
“ข้าเข้าใจแล้ว เซียนหญิงอยากเล่นซ่อนหากับพวกเรา!”
ไม่ช้าก็เร็วนางคงถูกสัตว์โง่เขลาเหล่านี้ยั่วโมโหจนอกแตกตาย! พั่วเยวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง แสดงท่าทีคุกคามต่อไปอย่างอดทน
“สิ่งที่พวกเราจะเล่นกันก็คือแดนมารบุกแดนเซียน”
เหล่าสัตว์เซียนเข้าใจทุกอย่างแล้ว พวกมันแต่ละตัวรีบกลายร่างทันใด มือข้างหนึ่งถือโล่ มือข้างหนึ่งถือกระบี่ พากันกลายร่างเป็นนักรบเกราะเหล็กไปทุกตัว จากนั้นก็กระโดดข้ามกำแพงไฟ ล้อมนางเป็นวงกลมอยู่ตรงกลาง
“เซียนหญิงไม่ต้องกลัว จะปกป้องท่านเอง!”
“สาบานว่าถึงตายก็จะไม่ยอมแพ้ จะปกป้องท่านเอง!”
“จะสู้จนถึงที่สุดเพื่อปกป้องท่าน!”
“ปกป้องเซียนหญิง! ปกป้องเซียนหญิง!”
“…” นางอยากด่าอยากกัดพวกมัน ทว่าพอสบสายตาบริสุทธิ์จริงใจเหล่านั้น มองเห็นพวกมันสาบานว่าถึงตายก็จะปกป้องนางด้วยความเร่าร้อนฮึกเหิม ไฟโทสะที่เก็บสะสมมานานก็มอดดับลง
นางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าหมายความว่าให้พวกเจ้าวิ่งหนี ข้าไล่ตาม เข้าใจหรือยัง”
เหล่าสัตว์เซียนกะพริบตาปริบๆ แล้วก็เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้าอีกครั้งก่อนจะส่ายหน้าหวือ
“ไม่ต้องไล่ตาม ข้าไปกับเซียนหญิง”
“ข้าก็จะไปกับเซียนหญิง”
“ข้าก็อยากไปด้วย”
พั่วเยวี่ยร้องครางอย่างเจ็บปวด นางรู้สึกจนปัญญา ศีรษะปวดตุบๆ นางอยากตาย เพราะเหตุใดถึงพูดคุยกันยากลำบากขนาดนี้ พวกมันไม่เข้าใจภาษามนุษย์ใช่หรือไม่
ความจริงพวกมันก็ยังไม่เข้าใจภาษามนุษย์นั่นแหละ
สุดท้ายนางก็กัดฟันเอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “พวกเรามาเล่นซ่อนหากัน”
พอประโยคนี้หลุดปากไปเหล่าสัตว์เซียนก็โห่ร้องยินดี ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกระจายกันออกไป เพียงพริบตาเดียวก็หนีไปซ่อนไม่เหลือสักตัว
เอาเถิด นางปลอบใจตัวเอง การซ่อนตัวก็เป็นการหลบหนีอย่างหนึ่ง ข้าสามารถใช้ลูกไฟทำให้สัตว์เซียนที่ซ่อนตัวอยู่โผล่ออกมาได้
พั่วเยวี่ยเรียกเมฆมงคล เหาะเหินออกค้นหาไปทั่วอย่างดุดัน หลังจากหนึ่งชั่วยาม* แรกผ่านไปนางก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หลังจากสองชั่วยามผ่านไปนางเริ่มนิ่งคิดใคร่ครวญ
จนกระทั่งสามชั่วยามผ่านไปแล้วนางก็ยังจับพวกมันไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว สีหน้าจึงเข้มขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว
นางยังหาไม่พบ
นางสำแดงฤทธิ์วิชาปัญจธาตุอันได้แก่ทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน นางทั้งขึ้นเขาลงเหว ดำน้ำมุดดิน ค้นหาจนเกือบทั่วทั้งยอดเขาวั่งเยวี่ย แม้แต่โพรงงู รังนก โพรงตัวตุ่นก็ไม่ปล่อยผ่าน ทว่าขนาดเงาผีสักตนยังไม่เห็นเลย
นางถึงขนาดไปสอบถามสายสืบอย่างนกกระเรียน หลังนกกระเรียนฟังคำขอร้องของนางกลับสยายปีกสองข้างอย่างจนใจ ท่าทางอยากช่วยเหลือแต่ไร้กำลัง นางจึงประหลาดใจว่าตัวเองประเมินศัตรูต่ำเกินไปแล้ว
เจ้าสัตว์โง่เง่าเหล่านี้เป็นยอดฝีมือด้านการเล่นซ่อนหาอย่างเหลือเชื่อ
นางเป็นถึงขุนพลเยี่ยนสื่อผู้น่าเกรงขาม ยอมเล่นซ่อนหากับเหล่าสัตว์เซียน ถ้าหากจับสัตว์หน้าขนไม่ได้เลยสักตัวนี่มิเท่ากับว่าแม้แต่สัตว์เดรัจฉานนางก็ยังเทียบไม่ได้หรือ
ไม่ได้การ จะขายขี้หน้าเกินไปแล้ว!
พั่วเยวี่ยคิดทบทวนรอบด้านหลายตลบก่อนที่ความคิดหนึ่งจะผุดวาบขึ้นมาอย่างฉับพลัน ในเมื่อตอไม้อ้วนอย่างอามู่สามารถกลายร่างเป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้ ไม่แน่ว่าสัตว์เดรัจฉานเหล่านี้อาจกลายร่างเป็นสิ่งอื่นเพื่อซ่อนเร้นอำพรางตัวก็ได้
ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงนางค้นหาจนฟ้ามืดก็คงหาไม่พบ ไม่ได้การ ข้าจะต้องหาวิธีให้ได้!
พั่วเยวี่ยขี่เมฆมงคลมุ่งหน้าไปยังเรือนลั่วสยาทันที พอเท้าแตะพื้นดินก็รีบวิ่งเข้าไปข้างในเพื่อขอความช่วยเหลือ
“อาจารย์…”
เสียงเรียกอาจารย์อ่อนหวานกว่าปกติ ต้วนมู่ไป๋ที่นอนตะแคงหลับตาทำสมาธิอยู่บนตั่งไม้เลิกคิ้วขึ้นแล้วค่อยๆ ลืมตา
ทุกครั้งที่เด็กคนนี้มีเรื่องมาขอร้องเขาจะต้องใช้เสียงอ่อนเสียงหวานเสมอ
“อาจารย์ สอนข้าเปิดตาทิพย์นะเจ้าคะ” นางไม่เสียเวลาพูดพล่ามไร้สาระ เอ่ยปากขอร้องตรงๆ เลย
ตาทิพย์เป็นอาคมหนึ่งที่ใช้เปิดโปงร่างอำพรางตัวตนของฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นมาร เป็นปีศาจ หรือว่าเป็นเซียน ล้วนมองทะลุรูปลักษณ์ลวงตาจนเห็นถึงโฉมหน้าที่แท้จริงได้โดยตรง
นางค้นหาสัตว์เดรัจฉานยั่วโทสะเหล่านั้นไม่เจอ พวกมันคงกลายร่างเป็นสิ่งอื่นไปแล้ว
พั่วเยวี่ยเอ่ยปากเล่าที่มาที่ไปของเรื่องราวรอบหนึ่ง ในใจก็คิดว่าบุรุษแซ่ต้วนรักเอ็นดูลูกศิษย์ปานนี้ ไม่มีทางทนมองลูกศิษย์คับอกคับใจอยู่เฉยๆ แน่
“เช่นนี้นี่เอง…” ต้วนมู่ไป๋ส่ายหน้าอย่างลำบากใจ “เจ้ายังมีพื้นฐานไม่แข็งแกร่งพอ ตอนนี้จะให้เปิดตาทิพย์คงเร็วเกินไป ไม่เหมาะๆ”
“ไม่หรอกเจ้าค่ะอาจารย์ ท่านเคยบอกว่าแก่นกระดูกของข้าพิเศษกว่าใคร อาคมที่ผู้อื่นทุ่มเทเวลาเป็นปีกว่าจะเรียนได้สำเร็จข้ากลับเรียนรู้ได้หมดในเวลาแค่เดือนเดียว สอนข้าเปิดตาทิพย์เถอะนะเจ้าคะ ข้าจะต้องเรียนได้สำเร็จแน่”
บุรุษหน้าเหม็น กล้าไม่สอนข้ารึ เจ้าแอบเกียจคร้านหรือว่าหวงวิชากันแน่? หรือบางทีมีเรื่องที่ไม่อาจเปิดเผยกับผู้ใด กลัวข้าพบเห็นเข้า?
“อาจารย์ สอนข้าเถอะ ได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าจะตั้งใจเรียนอย่างดีเลย” พั่วเยวี่ยกอดแขนเขาไว้พลางออดอ้อนสุดความสามารถ จงใจใช้ทรวงอกตัวเองถูไถเนื้อตัวอีกฝ่าย ไม่ใช่ว่าเขาอยากหาเศษหาเลยกับลูกศิษย์หรือไร ให้เขาลิ้มรสประโยชน์หอมหวานเสียบ้างก็ใช้ได้แล้ว นางไม่เชื่อหรอกว่าลูกไม้นี้จะใช้กับเขาไม่ได้ผล
ทุกอย่างเป็นไปตามที่นางคิดไว้ หลังจากเพียรขอร้องไม่เลิกราในที่สุดจิตใจบุรุษผู้นี้ก็เริ่มสั่นคลอน
“คนที่พลังบำเพ็ญเพียรยังอ่อนด้อยถ้าหากเปิดตาทิพย์จะมีอันตราย เอาอย่างนี้แล้วกัน อาจารย์จะมอบอิทธิฤทธิ์ให้เจ้าเล็กน้อยจะช่วยให้ไม่กระทบถึงรากฐานของเจ้าได้”
พอได้ยินว่าต้วนมู่ไป๋จะถ่ายทอดอิทธิฤทธิ์ให้พั่วเยวี่ยก็ตกตะลึง
ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเยวี่ยเป่าคนนี้มีบุญวาสนาอะไรปานนั้น นอกจากทำให้เซียนกระบี่หวั่นไหวแล้ว นึกไม่ถึงว่าเขายังยอมมอบพลังอิทธิฤทธิ์ให้ด้วย
นางไหนเลยจะรู้ว่าสำหรับต้วนมู่ไป๋แล้วมอบพลังยุทธ์ให้นางเสี้ยวหนึ่งจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร ร่างกายของนางนี้ยังได้เขาถ่ายทอดพลังบำเพ็ญเพียรห้าร้อยปีให้มาแล้วเพื่อแลกกับชีวิตใหม่ของนาง
ขณะพั่วเยวี่ยกำลังตกตะลึงก็อดอิจฉาขึ้นมาบ้างไม่ได้ ย้อนคิดถึงตอนนางตามเกี้ยวเขา ในวันคล้ายวันเกิดของเขาวันนั้นนางมอบทั้งดอกไม้ กลอน และร่างกายของตน เขายังไม่แยแสเลยสักนิด ครั้นถึงคราววันเกิดของนาง พอไปเอ่ยปากทวงของขวัญเขากลับมอบเพียงสายตาเย็นชามาให้
ตอนนี้นางแค่มาขอให้เขาสอนอาคมเปิดตาทิพย์เพราะเล่นซ่อนหาอยู่ เขากลับใจกว้างมอบพลังยุทธ์ให้โดยตรง ท่าทีที่ปฏิบัติต่อกันเหตุใดถึงแตกต่างมากขนาดนี้นะ
นางได้แต่ยอมรับว่าเขาทำเพื่อเยวี่ยเป่าไม่ได้ทำเพื่อพั่วเยวี่ย ถ้าหากไม่ใช่เพราะได้ครอบครองร่างกายของเยวี่ยเป่า เซียนกระบี่มีหรือจะใจกว้างกับนางถึงเพียงนี้
พอนางคิดเช่นนี้ก็ยิ่งอิจฉาเยวี่ยเป่าอย่างห้ามไม่อยู่ก่อนจะนึกเย้ยหยันตัวเอง เยวี่ยเป่าไปอยู่ปรโลกแล้วไม่มีสิทธิ์ได้รับอะไรอีก จะอิจฉาไปไยกันเล่า
“มาสิ หลับตา”
“เจ้าค่ะอาจารย์”
เมื่อหลับตาลงพั่วเยวี่ยกลับรู้สึกได้ว่ามีสัมผัสอบอุ่นนุ่มนวลประทับแนบเปลือกตาของนาง
นางลืมตาขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ ปลายนิ้วของเขาหยุดอยู่ตรงหน้า ใบหน้าของเขากับนางห่างกันเพียงนิดเดียว สายตาคู่นั้นจ้องมองนางอย่างนิ่งงัน
ปลายนิ้วเขาแตะปลายจมูกนางแผ่วเบา “อย่าดื้อสิ หลับตาก่อน”
พั่วเยวี่ยรีบหลับตาลงตามเดิม นึกในใจว่าตัวเองคิดมากไปแล้ว ที่แท้สัมผัสนั้นก็คือปลายนิ้วของเขา นางนึกว่าเป็นริมฝีปากเขาไปได้อย่างไรกันนะ
“ครั้งนี้อย่าลืมตาขึ้นมาอีกล่ะ อาคมจะไม่สัมฤทธิผลได้ เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
นางหลับตาลงเฝ้ารออย่างเชื่อฟัง
ต้วนมู่ไป๋จ้องหน้านาง ริมฝีปากยกโค้งเป็นรอยยิ้มจางๆ ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ทีละนิดแล้วจุมพิตอย่างอ่อนโยนตรงขนตา มองเห็นเส้นขนตางอนยาวสั่นไหวเพราะจุมพิตของเขาราวกับผีเสื้อกระพือปีก
แววตาเขาลึกล้ำนิ่งสนิทดั่งคืนเดือนมืด เขายังมอบจุมพิตต่อตรงเปลือกตา จมูก ไล่ลงมาถึงริมฝีปากของนางด้วย
“เรียบร้อยแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงบอกนี้พั่วเยวี่ยจึงลืมตาขึ้น เม้มริมฝีปากโดยไม่รู้ตัวคล้ายกำลังสับสนและสงสัยบางสิ่ง
“เหตุใดถึงนิ่งไปเล่า” เขาเอ่ยยิ้มๆ
นางมองหน้าเขา รีบส่งยิ้มตอบ “ปลายนิ้วอาจารย์มีกลิ่นหอมอ่อนๆ นุ่มนิ่มแล้วก็น่าดมมากเลยเจ้าค่ะ”
“โอ้ จริงหรือ” เขาลดเสียงลงถามว่า “เจ้าชอบหรือไม่”
พั่วเยวี่ยตอบกลับโดยไม่คิดอะไร “ชอบเจ้าค่ะ” ได้รับอิทธิฤทธิ์บางส่วนจากเขานางต้องชอบแน่นอนอยู่แล้ว เอ่ยคำหวานรื่นหูมากไปก็ไม่เห็นขาดทุน
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำแหบพร่า “ข้าก็ชอบมาก”
เฮอะ ถ่ายทอดพลังยุทธ์ให้ผู้อื่นเปล่าๆ ก็ดีใจถึงขนาดนี้เชียวรึ มองไม่ออกเลยว่าบุรุษผู้นี้มีพลังของคนคลั่งรักแฝงอยู่
พั่วเยวี่ยร้อนใจอยากรู้ว่าตัวเองเปิดตาทิพย์แล้วหรือไม่ นางเหลียวมองรอบกายกลับไม่พบสิ่งใดผิดปกติจึงอดระแวงสงสัยไม่ได้
“อาจารย์ อามู่อยู่ในห้องหรือไม่เจ้าคะ”
“อยู่สิ”
“เหตุใดข้าถึงมองไม่เห็น”
“เจ้าลองมองดูให้ดีสิ”
พั่วเยวี่ยหันกลับไปมองทางเดิม ชั่วขณะที่นางหันหน้าไปนั้นต้วนมู่ไป๋ก็ดีดนิ้วส่งลำแสงสายหนึ่งพุ่งเข้าไปในแผ่นหลังนาง
พั่วเยวี่ยรับรู้เพียงว่าภาพเบื้องหน้าสว่างวาบขึ้นกะทันหัน พอมองไปยังมุมหนึ่งของตู้ไม้ก็เห็นอามู่นอนอยู่ตรงนั้น จากตอไม้อวบอ้วนกลายเป็นชั้นวางของสารพัด
“ฮ่า!” นางกำลังจะบอกเขาว่าตัวเองมองเห็นแล้ว พอหันไปคำพูดกลับค้างอยู่ในลำคอ
ต้วนมู่ไป๋เรือนกายเปลือยเปล่าส่งยิ้มหล่อเหลาปานล่มเมืองมาให้นาง
หัวใจนางเต้นโครมครามอย่างหนัก เนื่องจากสายตาของนางมองทะลุเสื้อผ้าอาภรณ์ของเขาได้จึงมองเห็นรูปร่างสูงโปร่งองอาจของเขาชัดเจนแจ่มแจ้ง
แผงอกกว้างที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อคลุมแลดูตึงแน่นบึกบึนกว่าที่เห็นภายนอก ทุกเส้นโครงร่างขับเน้นความทรงพลัง ช่วงเอวยิ่งกระชับแข็งแรง ไม่มีเนื้อเหลวส่วนเกินเลยแม้แต่น้อย สำหรับช่วงล่างถัดจากเอวลงไป…ช่างเป็นภาพทิวทัศน์ชวนให้หัวใจสั่นไหวไม่หยุดเลยทีเดียว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พั่วเยวี่ยเห็นเรือนกายเปลือยเปล่าของบุรุษ แต่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นแล้วห้วงความคิดโล่งว่างเปล่า
รูปลักษณ์ภายนอกอบอุ่นนุ่มนวลดั่งหยกล้ำค่าราวกับเป็นเทพเซียนบนสวรรค์จุติลงมาเกิดในโลกมนุษย์แท้ๆ ทว่าภายในจิตใจกลับแข็งแกร่งห้าวหาญดุจเหล็กกล้าประหนึ่งเป็นเทพแห่งสงคราม กลิ่นอายสองทางขัดแย้งกันนี้ปรากฏอยู่บนร่างบุรุษเพียงผู้เดียว แข็งแกร่งนุ่มนวลผสมผสาน นี่มิใช่กระตุ้นให้ผู้พบเห็นเลือดลมพลุ่งพล่านทั่วร่างหรือ
หายนะของบ้านเมืองและราษฎรโดยแท้!
“เป็นอย่างไร มองเห็นแล้วใช่หรือไม่” ตัวหายนะล่มเมืองเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มชวนหลงใหล
พั่วเยวี่ยพยักหน้าตอบด้วยท่าทางแข็งทื่อ
“เห็นชัดหรือไม่”
ชัดเจนแจ่มแจ้ง!
พั่วเยวี่ยตกตะลึงจนพูดไม่ออก เรือนกาย ช่วงเอว วาจาเช่นนั้น…นางรู้สึกว่าตัวเองเริ่มลมหายใจติดขัดแล้ว
ตัวหายนะไม่ตระหนักเลยว่าสร้างหายนะร้ายแรงแค่ไหน ยังโน้มกายเข้ามาใกล้อย่างไม่รู้สึกรู้สา เผยสีหน้าฉงนสนเท่ห์ “เหตุใดถึงไม่พูดอะไรสักคำเล่า”
ข้าจะพูดอะไรได้อีก พูดว่าบุรุษแซ่ต้วน เจ้าให้ข้ามากเกินไปแล้ว แม้กระทั่งความบริสุทธิ์ของตัวเองก็มอบให้ด้วยอย่างนั้นหรือ
เมื่อครั้งนางยังเป็นขุนพลเยี่ยนสื่อของเผ่ามาร รูปโฉมงามล้ำเลื่องลือไปไกล นางต้องหาทางปกป้องตัวเอง จงใจเลี้ยงดูชายบำเรอเอาไว้ไม่น้อย สร้างภาพลักษณ์ฟุ้งเฟ้อมั่วโลกีย์ตบตาเพียงเพื่อให้ผู้อื่นเห็นว่านางเป็นสตรีที่ไม่ควรหาเรื่อง ต่อกรได้ยาก แล้วยังเหมาะสมคู่ควรกับฐานะขุนพลเยี่ยนสื่อ ไม่ใช่หญิงพรหมจารีผุดผ่องไร้ราคี คอยดึงดูดให้บุรุษเข้ามาแทะโลม
ภาพลักษณ์สตรีเสเพลเช่นนี้ทำให้บุรุษเผ่ามารมากหน้าหลายตาหมดความสนใจในตัวนางไปจริงๆ แม้นางจะมีรูปโฉมงามล้ำเช่นไร แต่บุรุษส่วนใหญ่นิยมครอบครองสตรีไว้เป็นของตนผู้เดียวมากกว่า ไม่ใช่แบ่งปันสตรีนางเดียวกับบุรุษอื่น โดยเฉพาะสตรีเสเพลที่ชอบสั่งสอนชายบำเรอบนเตียงอย่างหยาบกระด้าง
ความจริงแล้วสายตาของนางสูงส่งยิ่งนัก ทั้งยอมขาดดีกว่ามีมาก แต่สตรีเช่นนางยิ่งปีนป่ายสูงเท่าไรยิ่งอันตรายเท่านั้น เมื่ออยู่ท่ามกลางบุรุษป่าเถื่อนโหดร้ายยิ่งต้องปกป้องตัวเองอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ
ในเมื่อพวกเขาเชื่อว่านางเสเพล ถ้าเช่นนั้นนางก็เสเพลให้ถึงที่สุดเลยแล้วกัน!
เพื่อดำเนินการตามแผนนี้ นางคุยโวว่าจะตามเกี้ยวเซียนกระบี่ผู้ไม่นิยมเข้าใกล้สตรีเพศ
นางตามเกี้ยวเขาเป็นร้อยปี คนที่ต้องรับผิดชอบแสดงบทบาทเสเพลมั่วโลกีย์มาตลอดก็คือนาง ส่วนเขาก็เป็นบุรุษที่ยอมตายไม่ยอมแพ้ ครองตนบริสุทธิ์ประดุจหยก
พั่วเยวี่ยกล้าทุ่มเทสุดกำลังเพื่อไล่ตามเขา กล้าเปลือยไหล่ เปลือยอก ทั้งยังเปิดเผยเรียวขาต่อหน้าเขา บอกตามตรงว่านั่นเป็นเพราะส่วนลึกในใจเชื่อว่าเขาไม่มีทางหลงไปกับการยั่วยวน ฉะนั้นนางถึงกล้าทำเรื่องน่าอายไปเสียทุกอย่าง เพียงแต่ยังมีเหตุผลที่ผู้อื่นไม่รู้อยู่ด้วย ความจริงแล้วนางใช้ประโยชน์จากเซียนกระบี่เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจที่จอมมารมีต่อนาง
เมื่อมองแต่เพียงภายนอก นางทำลงไปเพื่อสร้างความดีความชอบ ทั้งที่ความจริงนางพบว่าจอมมารสนใจอยากหาเศษหาเลยกับนางขึ้นมาต่างหาก นางจึงต้องการให้จอมมารเลิกล้มความตั้งใจ โดยอาศัยข้ออ้างว่าจะยั่วยวนเซียนกระบี่ ประกาศก้องว่าจะไม่แตะต้องบุรุษหน้าไหนอีก จะมุ่งมั่นตามเกี้ยวเซียนกระบี่ สาบานว่าต้องกำราบเขาจนสิ้นฤทธิ์ให้ได้
ไม่ต้องพูดอะไรมาก แผนการนี้สัมฤทธิผลดังปรารถนาจริงๆ
จอมมารมองเซียนกระบี่เป็นศัตรูตัวฉกาจ ถ้าหากมีลูกสมุนคนไหนสามารถต่อกรกับเซียนกระบี่ได้เขาย่อมเห็นดีเห็นงามด้วยอยู่แล้ว จึงหยุดยั้งความคิดที่มีต่อนางไปชั่วคราว
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาภารกิจตามตื๊อนานกว่าร้อยปีของนางก็เริ่มต้นขึ้น จนกระทั่งนางถูกเซียนกระบี่แทงตายในสงครามระหว่างเซียนและมาร
ความจริงนางคุ้นชินกับเขายามแต่งกายสง่างามเต็มยศมากกว่า ไม่ใช่เขาในสภาพเปลือยอกเผยสามส่วนของร่างกาย ภาพที่ปรากฏช่างยั่วยวนและเร้าอารมณ์เกินไปแล้ว
โชคดีที่พลังตบะของนางยังไม่หายไปไหน ทั้งที่อยู่ในอาการตกตะลึงจนไม่อาจถอนตัวนางยังมองเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ราวกับเขาไท่ซาน* ถล่มตรงหน้าก็ไม่อ้าปากค้างได้
“ข้ามองเห็นอามู่ได้แล้ว ขอบคุณอาจารย์มากเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าจะไปตามหาพวกอาฝูก่อน” พั่วเยวี่ยประสานมือคารวะแล้วหมุนกายสาวเท้าเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
พอมองตามเงาหลังของนางจนหายลับตาต้วนมู่ไป๋ก็ถอนหายใจเฮือก
“สุขุมเยือกเย็นปานนี้เชียว ไม่มีความเขินอายสักนิดเลย…”
“หึ คนที่ควรอายเป็นท่านมากกว่ากระมัง” อินเจ๋อที่อยู่ข้างหลังแค่นเสียงเย็นชา
ต้วนมู่ไป๋ไม่สนใจคำพูดเหน็บแนมของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย กลับส่งเสียงทอดถอนใจไม่สิ้นสุด
“เฮ้อ ข้ามีชีวิตอยู่มานับพันปี เพิ่งรู้วันนี้เองว่าก็มีวันที่ความหล่อเหลาของข้าใช้ไม่ได้ผลเหมือนกัน”
“ข้ามีชีวิตอยู่มานับหมื่นปี เพิ่งรู้วันนี้เองว่าก็มีวันที่ท่านหน้าหนาไร้ยางอายเหมือนกัน”
ต้วนมู่ไป๋ตบไหล่อีกฝ่ายด้วยความรู้สึกหลากหลายเกินพรรณนา “น้องชาย ในที่สุดเจ้าก็รู้จักพูดหยอกล้อกับข้าแล้ว”
อินเจ๋อสวนกลับอย่างเย็นชา “ข้ากำลังเหน็บแนมท่านต่างหาก”
ย้อนคิดถึงในอดีตตัวเขาซึ่งมีฐานะเป็นราชันกระบี่ยอมลงนามในพันธสัญญากับต้วนมู่ไป๋ กลายเป็นวิญญาณผูกพันธะของต้วนมู่ไป๋ ก็เพราะนอกจากถูกใจอิทธิฤทธิ์วิชาเซียนอันแข็งแกร่งแล้ว ยังมีจิตใจมุ่งมั่นแน่วแน่ไม่ลุ่มหลงไปกับสิ่งเย้ายวนของอีกฝ่ายด้วย
มิฉะนั้นด้วยนิสัยหยิ่งผยองของเขา ยอมให้ร่างแหลกเหลว ‘กระบี่’ เป็นผุยผง วิญญาณดั้งเดิมสูญสลาย ก็ไม่มีวันยอมอยู่ใต้อำนาจผู้ใด
ในสามดินแดนมีสตรีมากมายใช้ความงามของตนยั่วยวนเซียนกระบี่ แต่ต้วนมู่ไป๋ก็ไม่เคยหวั่นไหวเลยสักครั้งเดียว ฉะนั้นอินเจ๋อจึงเชื่อมั่นเหมือนกับทุกคนว่าเซียนกระบี่เย็นชาไร้หัวใจ ไม่มีเยื่อใยไมตรี เสน่ห์เย้ายวนของสตรีเป็นสิ่งไร้ค่า การยกระดับการบำเพ็ญเพียรต่างหากเป็นปณิธานมุ่งมั่นของเซียนกระบี่
ไหนเลยจะรู้ว่าบุรุษผู้นี้เป็นคนเสแสร้งได้แนบเนียนนัก โดยเฉพาะการแสร้งทำเป็นไม่รู้ ความสามารถในการพูดโกหกหน้าตายไม่มีใครเทียบเคียงได้ แม้กระทั่งเขายังถูกรูปลักษณ์บริสุทธิ์เยือกเย็นดั่งหยกลวงตา จนลงนามในพันธสัญญาที่มิอาจไถ่ถอน จะเสียใจภายหลังก็สายเกินไปแล้ว
ที่แท้บุรุษผู้นี้ไม่เคยหวั่นไหวกับสตรีนางใด เป็นเพราะไม่พานพบคนที่ถูกใจ หากพบเจอเข้าแล้วไม่อาจไขว่คว้ามาได้จะไม่มีวันเลิกรา กลอุบายใดล้วนงัดออกมาใช้หมดสิ้น
ในสายตาของอินเจ๋อ ต้วนมู่ไป๋เป็นจิ้งจอกพันปีที่หลอกคนตายโดยไม่ต้องรับผิดชอบ ขนาดราชันกระบี่แห่งยุคเช่นเขายังถูกกลิ่นอายเปิดเผยตรงไปตรงมาบังตาด้วยซ้ำ
“มีอาจารย์ที่เอาเปรียบลูกศิษย์อย่างท่านด้วยหรือ”
อินเจ๋อทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เวลาบุรุษผู้นี้ช่วยเปิดตาทิพย์ให้ผู้อื่นเป็นเรื่องง่ายดายเพียงดีดนิ้ว อีกฝ่ายกลับสั่งให้ผู้อื่นหลับตาอย่างเอาจริงเอาจัง ฉวยโอกาสนี้ขโมยจุมพิตแม่นางน้อยผู้นั้น นอกจากนี้ยังจงใจให้นางมองเห็นเรือนกายเปลือยเปล่าของตัวเองอีกด้วย
ความจริงที่ว่าอีกฝ่ายอาศัยฐานะอาจารย์ล่อลวงลูกศิษย์ทำให้เขาไม่อาจทนมองต่อไปได้
ต้วนมู่ไป๋คลี่ยิ้มบางๆ อย่างไม่ยี่หระ “น้องอิน พี่ชายจะสอนเจ้าให้นะ นี่เรียกว่าเสน่ห์เย้ายวน”
อินเจ๋อตักเตือนอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ข้ามีเงื่อนไขข้อเดียว ถ้าหากท่านทำให้นางมองเห็นร่างเปลือยของข้า ต่อให้ต้องแลกด้วยการสูญสิ้นวิญญาณดั้งเดิมข้าก็คงไม่อาจร่วมทางกับท่านได้แล้ว”
ต้วนมู่ไป๋ถอนหายใจยาว เอ่ยเตือนอินเจ๋อด้วยความเห็นใจ “น้องอิน เจ้าคิดมากไปแล้ว ร่างเปลือยของเจ้าเป็นเพียงกระบี่เล่มหนึ่งเท่านั้นนี่นา”
อินเจ๋อถลึงตาใส่เขาต่อไป
“เจ้าต้องรู้เอาไว้นะ กระบี่ไม่มีความบริสุทธิ์ไร้ราคีกันหรอก”
“…”
หลังจากพั่วเยวี่ยหนีออกมาจากเรือนลั่วสยาแล้ว ในห้วงความคิดก็มีแต่ภาพเรือนกายเปลือยเปล่าของต้วนมู่ไป๋
แน่นอน นางไม่มีทางคิดถึงว่าต้วนมู่ไป๋เจตนาทำเช่นนั้น คิดเพียงว่ายามเขาถ่ายทอดอิทธิฤทธิ์ให้นางเกิดข้อผิดพลาดเข้าถึงได้…
โอ้ นางคิดถึงภาพนั้นต่อไปไม่ได้แล้ว ถ้าขืนยังคิดไม่หยุดคงต้องเลือดกำเดาไหลแน่
สมกับเป็นบุรุษอันดับหนึ่งที่สตรีต่างหมายปองเป็นคู่ครอง ไม่รู้ว่ามีสตรีมากน้อยเท่าใดปรารถนาจะใกล้ชิดเขายังไม่สำเร็จ ทว่านางกลับได้เห็นครบถ้วนทุกซอกทุกมุม
พอคิดเช่นนี้แล้วจู่ๆ พั่วเยวี่ยก็รู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา บุรุษที่ครองตนบริสุทธิ์ดั่งหยกเช่นเขาถ้าหากรู้ว่าตัวเองพลาดพลั้งเผยเรือนกายเปลือยเปล่าให้ผู้อื่นเห็นหมดสิ้น และอีกฝ่ายยังเป็นขุนพลเยี่ยนสื่อแห่งเผ่ามารที่เขาไม่ถูกชะตาที่สุด เขาจะมีท่าทางอับอายขายหน้าขนาดไหนกัน กลัวว่าคงจะโมโหฮึดฮัดทุบอกกระทืบเท้า พานโกรธอยากจะฆ่าแกงนางเลยกระมัง
น่าเสียดายที่นางไม่อาจหัวเราะเยาะเขา ได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น นางรู้สึกเสียใจภายหลังจริงๆ
แรงโจมตีจากการเห็นเรือนกายเปลือยเปล่าของต้วนมู่ไป๋พลันมีความรู้สึกประสบความสำเร็จเข้ามาแทนที่อย่างประหลาด นางรู้สึกสาสมใจเหลือเกิน
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรนางก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ นอกจากได้เปิดตาทิพย์ ยังมองเห็นภาพวังวสันต์เต็มสองตา
พลังอาคมตาทิพย์ที่เซียนกระบี่มอบให้นางร้ายกาจอย่างที่คิดไว้ เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อนางก็ตามหาเหล่าสัตว์เซียนพบโดยไม่เปลืองแรง
โชคดีที่นางไม่ได้เห็นร่างเปลือยไร้เส้นขน ร่างเปลือยของสัตว์เดรัจฉานไม่มีอะไรน่าสนใจ ทั้งยังอาจระคายสายตาด้วย
เพียงแค่นางประเมินความสามารถของสัตว์โง่เขลาฝูงนี้ต่ำไปหน่อย คิดไม่ถึงว่าพวกมันจะมีพลังกลายร่างไม่ด้อยไปกว่าเจ้าตอไม้อ้วนนั่นเลย บางตัวกลายร่างเป็นก้อนหิน บางตัวกลายร่างเป็นปลา บางตัวกลายร่างเป็นนกน้อยเข้าไปปะปนอยู่กับฝูงนกเซียน ยังมีบางตัวกลายร่างเป็น…
บ้าเอ๊ย! ถึงขนาดกลายร่างเป็นกำแพงหินซ่อนตัวอยู่ในห้องส้วม ถ้าหากนางเกิดปวดเบากะทันหันรีบไปเข้าส้วมไม่ถูกมันเห็นบั้นท้ายหมดรึ ไร้ยางอาย!
พั่วเยวี่ยรู้สึกคึกคักฮึกเหิม เปิดฉากโจมตีอย่างดุเดือด โยนลูกไฟใส่บีบพวกมันให้เผยตัวออกมาอย่างไม่เกรงใจ พอเห็นเหล่าสัตว์เซียนร้องโวยวายโอดครวญหนีกระเจิงไปคนละทิศละทาง ในที่สุดนางก็ได้ลิ้มรสความสนุกเวลาแดนมารบุกโจมตีแดนเซียนขึ้นมาบ้างแล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 มี.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.