บทที่ 3
สำนักบูรพาเพียงแค่แขวนผ้าแพรแดงหลายแถบเป็นสัญลักษณ์ เจ้าหน้าที่กว่าร้อยคนแต่งตัวเต็มยศ ทั้งยังประดับดาบข้างเอว ยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ เพียงเท่านี้ก็น่าเกรงขามกว่าองครักษ์เสื้อแพรเสียอีก
งานมงคลที่ไร้สาระและประหลาดงานหนึ่งถึงกับทำให้ทุกคนทั่วสำนักบูรพาฉายรังสีอำมหิตออกมาอย่างยากจะอธิบายได้
แมวกระดองเต่าในอ้อมกอดเหมือนจะรับรู้ถึงอันตราย มันโก่งตัวขึ้น หางแมวชี้ตั้งขนพองในพริบตา เซียวฉางหนิงอยากจะปลอบลูกแมวที่ได้รับความตกใจเช่นเดียวกับนาง แต่แมวตัวนั้นกลับร้อง “เหมียว” อย่างตกใจกลัวแล้วกระโดดออกจากอ้อมแขนของนาง วิ่งมุดเข้าพุ่มดอกไม้ด้านข้างหายไปอย่างไร้ร่องรอย…
“หู่พั่ว!” เซียวฉางหนิงเรียกเสียงเบา
จากนั้นมือใหญ่ที่ข้อกระดูกชัดเจนข้างหนึ่งก็ยื่นมาถึงตรงหน้าของนาง
เซียวฉางหนิงมองเลื่อนขึ้นบนไปตามมือใหญ่ข้างนั้น สิ่งที่ได้เห็นเป็นใบหน้าสง่างามสะดุดตาของเสิ่นเสวียน
เพราะสายตาของเสิ่นเสวียนคมกริบเกินไป ทั้งสุนัขดำตัวใหญ่ข้างกายยังแยกเขี้ยวอย่างน่ากลัว ถึงแม้เขาจะมีหน้าตาหล่อเหลาเพียงใด เซียวฉางหนิงยังคงรับรู้ถึงความกดดันราวกับจะขาดใจนั้นได้
เมื่อรับรู้ถึงสายตาของทุกคนที่มารวมอยู่ที่ตนเอง เซียวฉางหนิงก็สูดลมหายใจลึกหลายที ไม่สนใจจะตามหาแมวแล้ว จากนั้นก็ยื่นมือตนเองวางลงบนฝ่ามือของเสิ่นเสวียนอย่างหวาดหวั่น
ทว่าต่างกับใบหน้าโอหังเย็นกระด้างของเสิ่นเสวียน ฝ่ามือของเขากลับอบอุ่นและมั่นคงอย่างยิ่ง
“องค์หญิงใหญ่กับกระหม่อมไม่มีญาติพี่น้อง งานฉลองแต่งงานจึงจัดอย่างเรียบง่าย ประเดี๋ยวจะส่งท่านไปที่ห้องหอเลย” เสิ่นเสวียนพูดเช่นนี้แล้วจูงมือเซียวฉางหนิงก้าวเดินไปบนพรมแดง
“ไม่ ช้าก่อน…”
เซียวฉางหนิงยังพูดไม่จบ คนในสำนักบูรพาคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าปรากฏตัวมาจากที่ใดก็คุกเข่ารายงานเสิ่นเสวียนว่า “ใต้เท้าผู้บัญชาการ คนทรยศนั่นไม่ยอมสารภาพ จะจัดการอย่างไรดีขอรับ”
ฝีก้าวของเสิ่นเสวียนไม่มีทีท่าจะหยุดแม้แต่น้อย น้ำเสียงเย็นชาแฝงไอสังหารเอาไว้ “ทำตามกฎระเบียบ จุดโคมลอย”
‘โคมลอย’ ที่ว่านี้คือการลงโทษทารุณอย่างหนึ่งที่สำนักบูรพาใช้เป็นประจำ โดยถอดเสื้อผ้าของนักโทษออกหมด พันแถบผ้าที่ชุบน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ทั่วตัวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า หลังจากพันจนกลายเป็น ‘ขนมจ้างมนุษย์’ แล้วแขวนไว้บนคานไม้สูงก็จะจุดไฟที่ปลายเท้าและศีรษะ เปลวไฟลอยขึ้นสูงเพราะผลจากน้ำมันเชื้อเพลิง ตามด้วยเสียงร้องโหยหวนของผู้ที่ถูกเผา สิ่งนี้ถือเป็นการ ‘จุดโคมลอย’…
เซียวฉางหนิงปลายนิ้วสั่นเทา
เนื่องจากนางไม่ได้กินอาหารมาทั้งวัน กอปรกับตกใจหวาดกลัว และบังเอิญอยู่ในสถานการณ์ที่ผู้บัญชาการสำนักบูรพาที่ร้ายกาจเลื่องชื่อตัดสินจัดการคนทรยศอีก ภาพตรงหน้าของนางมืดดำ เดินโอนเอนไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
เสิ่นเสวียนประคองนางไว้ตามสัญชาตญาณ
“องค์หญิงใหญ่เพคะ! องค์หญิงใหญ่!” ข้างหูมีเสียงสะอื้นไห้เบาๆ ของเหล่านางกำนัลดังลอยมา “ฮือๆ องค์หญิงหมดสติไปแล้ว…”
แท้จริงแล้วเซียวฉางหนิงเพียงแค่หน้ามืดไปชั่วขณะเท่านั้น แต่นางกลับปล่อยเลยตามเลย แสร้งทำเป็นยังไม่ได้สติ
เป็นเพราะสำนักบูรพานี้มีชื่อเสียงเลวร้ายเกินไป ในขณะที่ยังไม่รู้เบื้องลึกและนิสัยของอีกฝ่ายชัดเจน เซียวฉางหนิงไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะเผชิญหน้ากับเสิ่นเสวียนเช่นไร จึงเลือกที่จะแสร้งหมดสติ ต่อให้จุดเหรินจง จะถูกกดจนแทบช้ำแล้วนางยังคงอดกลั้นความเจ็บไม่ร้องสักนิด
เหนือศีรษะมีเสียงหัวเราะอ่อนโยนของฟางอู๋จิ้งดังลอยมา “ใต้เท้าผู้บัญชาการ บอกแล้วว่าภรรยาตัวน้อยของท่านผู้นี้ขี้กลัวยิ่ง”
“ถอยไป” เสิ่นเสวียนออกคำสั่ง
จากนั้นเซียวฉางหนิงพลันรู้สึกว่าร่างกายของตนเองลอยขึ้นกลางอากาศ ยังไม่ทันคิดอะไรละเอียดก็ตกไปอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงอบอุ่นแล้ว
“!!!” เซียวฉางหนิงตื่นตกใจ เสิ่นเสวียน? เขาจะทำอันใด!
เสิ่นเสวียนอุ้มตัวเซียวฉางหนิงเดินไปทางห้องหอด้วยสีหน้าราบเรียบราวผืนน้ำ แต่ฟางอู๋จิ้งและเหล่าเจ้าหน้าที่สำนักบูรพายังคงปรบมือโห่ร้อง ปากก็ตะโกนว่า “ใต้เท้าผู้บัญชาการช่างองอาจ!”
เซียวฉางหนิงกลั้นหายใจ รู้สึกเพียงหัวใจทั้งดวงเต้นเร็วดั่งรัวกลองเพราะความหวาดกลัวตื่นเต้น แทบจะเต้นทะลุอกอยู่แล้ว ภายใต้ม่านพู่ทองของมงกุฎหงส์ ใบหน้าของนางซีดขาวสลับแดงเรื่อ ขนตาสั่นไหวเบาๆ นางแสร้งหมดสติจนอกสั่นขวัญแขวน กลัวเพียงว่าจะถูกผู้บัญชาการเสิ่นที่อุ้มนางอยู่จะมองเห็นพิรุธ
เสิ่นเสวียนอุ้มนางตรงเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยผ้าแพรแดงอักษรมงคล จากนั้นก็มีขันทีผู้หนึ่งเอ่ยถามความเห็นว่า “ใต้เท้าผู้บัญชาการจะเชิญหมอหลวงมาหรือไม่ขอรับ”
“ไม่จำเป็น ข้าดูแลเองได้” เสิ่นเสวียนตอบเด็ดขาดยิ่ง ระหว่างที่พูดก็ใช้เท้าเตะเปิดประตูห้อง วางตัวเซียวฉางหนิงนอนราบบนเตียงที่ปูผ้าห่มมงคลแล้วพูดสั่งการว่า “ตักน้ำเย็นมาหนึ่งอ่าง”
น้ำเย็น?!
เซียวฉางหนิงรู้ว่าหากเป็นคนที่ทนไม่ไหวหมดสติไประหว่างการลงทัณฑ์จะใช้น้ำเย็นราดให้ฟื้น!
ไม่ได้นะ! ชุดเจ้าสาวที่ข้าเตรียมไว้อย่างประณีตเป็นเวลานาน จะให้เสียหายด้วยน้ำเย็นหนึ่งอ่างไม่ได้…
ลูกตาใต้หนังตาของเซียวฉางหนิงหมุนกลอกอย่างรวดเร็ว ตอนที่นางกำลังลังเลว่าจะส่งเสียงครางแสร้งทำเป็นฟื้นแล้วดีหรือไม่ ก็ได้ยินเสียงประตูเปิดแล้วปิดลงอีกครั้ง ฝีเท้าของเสิ่นเสวียนไกลออกไปแล้ว
เขาไปแล้วหรือ
เซียวฉางหนิงลืมตาขึ้นข้างหนึ่งอย่างระวังตัว มองสำรวจรอบด้านผ่านร่องม่านพู่ทองตรงหน้าผาก
ราชวงศ์นี้มีประเพณีในการแต่งงานยามพลบค่ำ ระหว่างทางต้องเหน็ดเหนื่อยทรมานสังขาร เวลานี้ผ่านมาถึงช่วงท้องฟ้าเริ่มมืด ล่วงเข้ายามค่ำคืน ภายในห้องจึงจุดเทียนมงคลสีแดงหลายคู่ ส่งผลให้มีแสงสลัวอบอุ่น บนโต๊ะหน้าเตียงยังจัดวางลำไยพุทราแดงและขนมมงคลไว้หลายจานพอเป็นพิธี นอกจากสิ่งของเหล่านั้นในห้องกลับว่างเปล่าและเงียบสนิท ไร้เงาร่างของเสิ่นเสวียน
เซียวฉางหนิงรู้สึกเหมือนเกิดใหม่อีกครั้ง นางลุกขึ้นจากเตียงทันใด แล้วพลิกเปิดม่านพู่ทองตรงหน้าผากมองสำรวจโดยรอบ นี่คงจะเป็นห้องนอนที่ใช้พักผ่อนและเป็น ‘ห้องหอ’ ของนางกับราชบุตรเขยขันทีผู้นั้น แบ่งเป็นห้องชั้นในและชั้นนอก โดยใช้ม่านมุ้งรวมถึงชั้นวางไม้แกะสลักกั้นกลาง ชั้นวางไม้ที่สูงใหญ่มีแจกันสีสดกับหยกแกะสลักล้ำค่าหลายชิ้นวางอยู่ ที่เหลือเป็นเอกสารที่กองทับกันอย่างเป็นระเบียบ เก็บกวาดสะอาดเรียบร้อย โชคดีที่ไม่มีเครื่องลงทัณฑ์ประหลาดน่ากลัวอะไร
พอคิดถึงเครื่องลงทัณฑ์เซียวฉางหนิงพลันรู้สึกเศร้าขึ้นมาอีกเล็กน้อย คนที่ร่างกายพิการส่วนใหญ่จะมีนิสัยประหลาดบางอย่าง โดยเฉพาะพวกที่ถูกตอน ไม่รู้ว่าเสิ่นเสวียนผู้นั้นจะปฏิบัติต่อนางเช่นไร หากฆ่านางให้ตายในดาบเดียวยังพอรับไหว แต่ที่นางกลัวที่สุดก็คือจะถูกบุรุษที่ถูกตอนกลุ่มนี้ทรมานอย่างช้าๆ เท่านั้น…
ขณะกำลังคิดอะไรส่งเดช นอกห้องก็มีเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา ในใจเซียวฉางหนิงเคร่งเครียดขึ้นมาทันที นางรีบนอนราบลงบนเตียงแสร้งทำเป็นยังไม่ฟื้น
นางเพิ่งนอนลงนิ่งไม่ขยับประตูก็ถูกผลักเปิดออกอีกครั้ง เสิ่นเสวียนที่จากไปแล้วย้อนกลับมาใหม่
เซียวฉางหนิงได้ยินเสียงน้ำไหลวน เพียงชั่วครู่เสียงฝีเท้าก็เข้ามาใกล้มากขึ้น ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหยุดลงที่ข้างเตียง หัวใจเซียวฉางหนิงก็เต้นขึ้นมาถึงคอหอย…
ทว่าเวลาต่อมา ผ้าเปียกเย็นผืนหนึ่งก็ปิดลงบนใบหน้าของเซียวฉางหนิง
ผ้าชุบน้ำเย็นปิดทั้งหน้าผากกับปากจมูกของเซียวฉางหนิงเอาไว้ ดูแล้วคล้ายคนตายที่มีผ้าขาวคลุมใบหน้า
ไม่นานเซียวฉางหนิงก็รู้สึกว่าหายใจได้ค่อนข้างลำบาก
นางคิดว่าหากตนเองยังไม่ฟื้นอีก ก็คลุมผ้าผืนนี้ฝังลงดินพร้อมกันได้เลย
“แค่ก…” เซียวฉางหนิงกระแอมทีหนึ่ง หันหน้าปัดผ้าเปียกออกแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น
สายตาของนางประสานกับสายตาลึกล้ำเรียวยาวของชายหนุ่มพอดี
“ฟื้นแล้วหรือ” ที่เสิ่นเสวียนใช้เป็นน้ำเสียงมั่นใจ แฝงความหมายยั่วเย้าเอาไว้เล็กน้อย
เซียวฉางหนิงดึงผ้ามาไว้ในมือ ก่อนลุกขึ้นนั่งอย่างรีบร้อน จากนั้นก็กวาดตามองเสิ่นเสวียนอย่างรวดเร็วปราดหนึ่ง แล้วก้มหน้าลงราวกับภรรยาตัวน้อยที่ได้รับความเจ็บช้ำใจ
เสิ่นเสวียนเพียงแค่นั่งวางมือไว้ที่หน้าตักข้างเตียงก็แสดงความเยือกเย็นและโอหังของ ‘พระเก้าพันปี ผู้บัญชาการสำนักบูรพา’ ออกมาจนหมด
เซียวฉางหนิงก้มหน้ามองสำรวจนิ้วมือเรียวยาวของเสิ่นเสวียนที่วางอยู่บนหน้าตัก ก่อนจะพบว่าในแขนเสื้อชุดแต่งงานสีแดงของเขา เขาสวมชุดอู่เผา* สีดำชุดหนึ่ง แถบรัดข้อมือที่แขนเสื้อเสียดสีจนเสียหายเล็กน้อย พอดูก็รู้ว่ารีบร้อนสวมชุดมงคลก่อนจะมาแต่งงาน แม้แต่เสื้อผ้าเก่าด้านในก็ยังไม่ได้เปลี่ยน แม้จะทำเพื่อบังหน้าแต่เช่นนี้ก็ขอไปทีเกินไปแล้ว!
เซียวฉางหนิงอย่างไรก็เป็นถึงองค์หญิงใหญ่ กลับถูกเสิ่นเสวียนดูแคลนด้วยการกระทำอย่างขอไปทีเช่นนี้จึงเกิดความโกรธอัดแน่นในใจ เพียงแต่ไม่กล้าระเบิดออกมา
บรรยากาศภายในห้องอึมครึมอยู่บ้าง
โชคดีที่เสิ่นเสวียนทำลายความเงียบลงด้วยตนเอง เขาใช้นิ้วมือสะอาดเรียวยาวเคาะลงบนโต๊ะ แล้วพูดกับนางด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความอบอุ่น “ทางห้องครัวเตรียมพวกโจ๊กกับของว่างไว้ เสวยรองท้องสักนิด”
กินอาหาร?
คนทั้งโลกต่างรู้ว่าเสิ่นเสวียนเป็นเพชฌฆาตฆ่าคนไม่กะพริบตา เป็นขันทีเรืองอำนาจชั่วร้ายที่มีความทะเยอทะยาน ครั้งนี้เขาอาศัยเรื่องแต่งงานกับองค์หญิงใหญ่เพื่อแสดงอำนาจต่อเหลียงไทเฮาอย่างชัดเจนแล้ว จะใจดีเช่นนี้ต่อนางที่เป็นตัวประกันผู้นี้ได้อย่างไร
เกินครึ่งคือกินอิ่มแล้วจะได้ส่งนางไปปรโลกกระมัง!
เซียวฉางหนิงถึงขั้นคาดเดาได้ถึงสภาพน่าอนาถที่ตนเองมือเท้าเกร็งตายเพราะถูกพิษ ถึงตอนนั้นเสิ่นเสวียนต้องมอบ ‘แพรขาวยาวสามศอก’ เพื่อคลุมบังร่างของนางอย่างแน่นอน จากนั้นเขาก็เช็ดนิ้วมือแล้วพูดอย่างสงบนิ่งว่า ‘องค์หญิงใหญ่สิ้นพระชนม์แล้ว ยกพระศพออกไปแล้วฝังไว้ที่สุสานสกุลเสิ่นพร้อมกับ ‘ของล้ำค่า’ ของข้า’
เซียวฉางหนิงรู้สึกหนาวสะท้าน รีบส่ายหน้าราวกลองป๋องแป๋ง พูดเสียงเบาว่า “ข้าไม่…ไม่หิว”
เสิ่นเสวียนช้อนตาขึ้น ในดวงตาคมกริบเหมือนมองทะลุทุกอย่าง “วันนี้แต่งงานมีเรื่องวุ่นมากมาย องค์หญิงใหญ่ไม่ได้เสวยอะไรทั้งวัน จะไม่ทรงหิวได้อย่างไร”
เซียวฉางหนิงกุมท้อง ทำเพียงส่ายหน้า สองตาของนางมีน้ำตาคลอ หางตาแดง ราวกับว่าหากบีบคั้นต่อไปนางจะร้องไห้ออกมาจริงๆ
คิ้วยาวของเสิ่นเสวียนขมวดเป็นปม ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงจำต้องล้มเลิกการให้อาหารสัตว์เล็ก แล้วเปลี่ยนมาพูดว่า “ห้องด้านข้างเตรียมน้ำร้อนไว้แล้ว ไปอาบน้ำเถิด”
กระดิ่งเตือนในใจเซียวฉางหนิงดังสนั่น นางกุมผ้าห่มใต้ร่างไว้แน่นตามสัญชาตญาณ พูดอย่างหวาดหวั่นว่า “อะ…อาบ…”
ทั้งกินและอาบเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่มีก่อนการลงทัณฑ์นักโทษประหารไม่ใช่หรือ ‘ดี’ ต่อข้าเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าหอกับข้ากระมัง
อย่างไรเสียเสิ่นเสวียนก็เป็นขันทีคนหนึ่ง! เซียวฉางหนิงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองตำแหน่งใต้ท้องน้อยของเสิ่นเสวียน
ขันทีจะเข้าหออย่างไร คงไม่ได้มีความชอบประหลาดยากจะบอกใครได้หรอกนะ
แต่ไม่ว่าจะเป็นอาบน้ำให้สะอาดเพื่อให้สะดวกต่อการเดินทางสู่ปรโลก หรืออาบน้ำให้สะอาดแล้ว ‘เข้าหอ’ สำหรับนางแล้วต่างก็เป็นเหมือนฝันร้าย
“ท่านมองอะไรหรือ” เสิ่นเสวียนเชิดปลายคางขึ้น มองเซียวฉางหนิงอย่างนึกสนุก
รอยยิ้มของเขาเบาบางยิ่ง เพียงแต่รอยยิ้มนั้นกลับแฝงความเย่อหยิ่งอย่างคนมองโลกในแง่ร้าย จะว่าไปก็น่าแปลก ทั้งที่เขาเป็นขันทีสำนักบูรพา ทว่ากิริยาท่าทางกลับไม่มีความเป็นหญิงแม้แต่น้อย แต่กลับแฝงความกดดันอย่างรุนแรง
เซียวฉางหนิงเลื่อนสายตากลับมาทันที เวลานี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศเย็น แต่นางกลับมีเหงื่อเย็นผุดออกมาเพราะความตื่นตกใจ “ข้า…ข้า…”
เสิ่นเสวียนไขว้ขาสองข้างอย่างไม่ใส่ใจ พูดตัดบทนาง “ไม่เจอกันหกปี องค์หญิงใหญ่ฉางหนิงกลายเป็นโรคติดอ่างไปแล้วหรือ”
“ข้าไม่อาบ” เซียวฉางหนิงพูดเสียงเบา แต่กลับดื้อรั้นเหนือความคาดหมาย
เสิ่นเสวียนเลิกคิ้ว หัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง “ไม่อาบก็แล้วไป องค์หญิงใหญ่เหตุใดต้องตัวสั่น”
เขาพูดพลางเลื่อนสายตาไปที่สาบเสื้อของเซียวฉางหนิง ก่อนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “องค์หญิงใหญ่…”
แขนยาวของเสิ่นเสวียนยื่นออกมา ไม่สนใจการต่อต้านเล็กๆ ของเซียวฉางหนิง ปลายนิ้วแตะสาบเสื้อสีขาวตรงคอของนางแล้วถามว่า “เหตุใดจึงทรงสวมเสื้อขาวไว้ใต้ชุดแต่งงาน”
ตามประเพณี สตรีตอนแต่งงานย่อมต้องสวมชุดแดงทั้งตัวจากในถึงนอก แต่การสวมชุดขาวไว้ใต้ชุดแต่งงานสีแดงเช่นนี้…หรือในวังจะมีประเพณีอะไรที่คนนอกไม่รู้
เซียวฉางหนิงพูดอย่างไม่พอใจในใจ ข้าไว้ทุกข์ให้ตนเองไม่ได้หรือ
เสิ่นเสวียนหลักแหลมอย่างยิ่ง เหมือนว่าเขาจะมองออกถึงความคิดในใจของเซียวฉางหนิง จึงดึงมือกลับช้าๆ แววตาเย็นเยือก ทั้งยังพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “อ้อ กระหม่อมเข้าใจแล้ว”
เซียวฉางหนิงหน้าซีดเผือดทันที ในใจตะโกนว่าแย่แล้ว!
บทที่ 4
แรกเริ่มเหลียงไทเฮาใช้ข้ออ้างว่าฮ่องเต้พระองค์ใหม่อายุน้อยไม่รู้ความแล้วว่าราชการหลังม่าน ร่วมมือกับองครักษ์เสื้อแพรหาประโยชน์ส่วนตัว อ้างว่า ‘กำจัดขุนนางชั่ว’ ทว่าสิ่งที่ทำกลับเป็นเรื่องน่ารังเกียจอย่างการยึดอำนาจราชสำนัก ควบคุมชักใยฮ่องเต้น้อย อุปสรรคใหญ่ที่สุดที่ขัดขวางแผนการของเหลียงไทเฮาก็คือสำนักบูรพาที่รับคำสั่งขึ้นตรงต่อฮ่องเต้
เหลียงไทเฮารากฐานไม่มั่นคง ต่อสู้กับเสิ่นเสวียนอยู่ปีหนึ่งก็รู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสำนักบูรพา จึงถอยมาหาประโยชน์รองจากนั้น เสนอการแต่งงานเพื่อความสมานฉันท์ บอกว่ายินดีจะยกเชื้อพระวงศ์หญิงคนหนึ่งให้แต่งเป็นภรรยาของเสิ่นเสวียน ปากพูดว่าเสริมสร้างความสัมพันธ์สองตระกูล แต่แท้จริงแล้วเป็นการเอากรงเล็บแฝงเข้าไปในสำนักบูรพาเพื่อแอบควบคุมอำนาจของเสิ่นเสวียนเท่านั้น
ทว่าเสิ่นเสวียนฉลาดยิ่งนัก เขาเติบโตมาภายใต้คมดาบและฝนโลหิตแต่เด็ก ผู้ใดขวางก็ฆ่าไม่เว้นมาโดยตลอด จนได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักบูรพา เช่นนี้แล้วเขาจะมองแผนการเล็กๆ ของเหลียงไทเฮาไม่ออกได้อย่างไร
เสิ่นเสวียนด้านหนึ่งทำเพื่อบรรลุพันธสัญญากับผู้อื่น อีกด้านหนึ่งทำเพื่อสร้างความลำบากใจแก่ไทเฮา จึงพูดไปตามสัญชาตญาณว่า ‘ถ้าไทเฮาจะทรงยอมลดตัวมาสร้างสัมพันธ์กับกระหม่อมด้วยใจจริง เช่นนั้นยกองค์หญิงใหญ่ฉางหนิงที่อดีตฮ่องเต้ทรงโปรดปรานที่สุดให้แก่กระหม่อมได้หรือไม่’
เดิมเป็นการกระทำเพื่อสร้างความลำบากใจให้เหลียงไทเฮา ใครจะรู้ว่านางกลับเอ่ยรับปากทันที
จนกระทั่งการแต่งงานวันนี้เสิ่นเสวียนเพิ่งจะจัดการเรื่องคนทรยศภายในเสร็จ ก็รีบกลับมายังสำนักบูรพา ก่อนถูกเจ้าหน้าที่เร่งให้สวมชุดแต่งงาน เขายังรู้สึกว่าไม่ใช่ความจริงอยู่บ้าง เขาเหมือนยังไม่ทันรู้ตัวว่าองค์หญิงน้อยน่ารักที่สวมชุดงดงามกินอาหารอย่างดีเมื่อหกปีก่อน เหตุใดจึงกลายมาเป็นฮูหยินของตนเองได้จริงๆ
แต่ตอนนี้เซียวฉางหนิงที่เติบใหญ่รูปร่างหน้าตาสะสวยกลับแต่งเข้ามาอย่างมั่นใจว่าตนเองต้องตายอย่างแน่นอน ซ้ำยังเตรียมชุดงานศพให้แก่ตนเองล่วงหน้าอย่างเรียบร้อย
เสิ่นเสวียนรู้สึกราวกับถูกกระต่ายนุ่มนิ่มตัวหนึ่งกัดเข้า
เขาโกรธจนหัวเราะ ลุกขึ้นไปหยิบสุรามงคลบนโต๊ะขึ้นมา ยื่นจอกหนึ่งให้แก่เซียวฉางหนิง “กระหม่อมรู้ว่าองค์หญิงใหญ่เพิ่งมาถึงครั้งแรก จึงมีอะไรไม่คุ้นชินมากมาย แต่ไม่ว่าอย่างไรสุรามงคลนี่ยังคงต้องดื่ม”
เซียวฉางหนิงไม่ได้รับสุรามา ท่าทางดื้อดึงเหมือนได้รับความทุกข์ทรมาน “อย่างไรก็คงไม่อยู่กันจนแก่เฒ่า ดื่มไปก็ไร้ประโยชน์”
เพิ่งสิ้นเสียงพูด บรรยากาศภายในห้องก็เปลี่ยนไปทันใด
สายตาของเสิ่นเสวียนลึกล้ำ พูดเพียงหนึ่งคำว่า “ดื่ม”
เซียวฉางหนิงแม้จะมีนิสัยค่อนข้างเอาแต่ใจ แต่ก็รู้จักหยุดตามสถานการณ์ ได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของเสิ่นเสวียนนางก็รู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปแล้ว จึงยื่นมือไปรับจอกสุรานั้นมาอย่างช้าๆ แต่ไม่ได้ดื่มลงไป
“ทำไม ท่านกลัวมีพิษหรือ” เสิ่นเสวียนหัวเราะเย็นชาแล้วดื่มสุราในจอกของตัวเองรวดเดียวจนหมด “ฆ่าองค์หญิงใหญ่ไม่มีประโยชน์อะไรต่อกระหม่อม เหตุใดต้องเปลืองยาพิษหนึ่งขวดด้วย”
เซียวฉางหนิงรู้สึกตื่นตระหนกที่ถูกเปิดโปงเรื่องในใจ ทำได้เพียงยกจอกเป็นพิธีให้แก่เสิ่นเสวียน
“ช้าก่อน” เสิ่นเสวียนยับยั้งนาง “เสวยโจ๊กสักนิดก่อนแล้วค่อยดื่มสุรา”
“บอกแล้วว่าข้ากินไม่ลง” เซียวฉางหนิงจิบสุราหนึ่งอึกลงไป
สุราชั้นเลิศหอมอย่างยิ่ง ทว่าก็แรงมากเช่นกัน สุราไหลผ่านลำคอราวมีดกรีด สุมไฟขุมหนึ่งแผดเผาในท้อง
สุรานี้ฤทธิ์แรงยิ่งนัก แรงจนนางน้ำตาแทบไหลลงมาแล้ว
มีช่วงเวลาหนึ่งเซียวฉางหนิงถึงขั้นคิดว่าอยากจะตายไปเช่นนี้เสียเลย นางไม่สนใจว่าจะเป็นสุราพิษหรือคมดาบ! ไม่จำเป็นต้องตกใจเงาคันธนู งูในถ้วย* ไม่จำเป็นต้องหาช่องเล็กๆ เพื่อเอาชีวิตรอด มาอย่างขาวสะอาด ไปอย่างขาวสะอาด
แต่ความคิดนี้เพียงแค่ผุดขึ้นมาในศีรษะ ครู่เดียวก็หายไปจนสิ้นแทนที่ด้วยหยดน้ำตาไหลรินลงมา
เซียวฉางหนิงไม่อยากตาย นางเพิ่งอายุสิบเจ็ด ขอเพียงมีชีวิตผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ มีชีวิตยืนยาวอีกสักนิดก็ยังดี
ภายในห้องเงียบไปชั่วครู่ มีเพียงเสียงไส้เทียนที่ถูกเผาไหม้ เสิ่นเสวียนกวาดตามองเซียวฉางหนิงที่หางตาแดงเรื่ออย่างเงียบๆ ความเคืองขุ่นในดวงตาหายไปเล็กน้อย เขาเอ่ยเตือนสติว่า “สุราค่อนข้างแรง องค์หญิงใหญ่ยังไม่ได้เสวยอาหาร เช่นนี้ไม่ดีต่อกระเพาะ”
เซียวฉางหนิงจับชายแขนเสื้อแล้วพูดว่า “ข้ายังไม่อยากกิน”
องค์หญิงน้อยผู้นี้ดูเหมือนอ่อนแอ แต่นิสัยกลับหยิ่งทะนงอย่างมาก
เสิ่นเสวียนที่รูปร่างแข็งแกร่งสูงใหญ่ยืนขึ้น เขาก้มมองสำรวจเซียวฉางหนิงที่ตื่นตระหนกเหมือนนกตื่นธนู ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ยังนับว่าสงบนิ่ง “กระหม่อมไม่ชอบฟังคำพูดหดหู่ และไม่ชอบให้สวมชุดขาวในคืนวันแต่งงาน ขอให้องค์หญิงใหญ่ทรงถอดชุดไว้ทุกข์นั่นออกด้วย”
“ข้าไม่ถอด” เซียวฉางหนิงแอบจับสาบเสื้อไว้แน่น แล้วพูดด้วยหน้าแดงเรื่อ “ถอดออกก็คงเปลือยแล้ว”
เสิ่นเสวียนเลิกคิ้วขึ้น ตัดสินใจว่าจะไม่สนใจนาง เขาถอดเสื้อชั้นนอกของตนเองออก เผยให้เห็นชุดอู่เผาแขนสอบสีดำข้างใน มือเท้าของเขาเรียวยาว ไหล่กว้างเอวสอบ รูปร่างสมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่เซียวฉางหนิงไม่มีแก่ใจชื่นชมเลย เพียงพูดอย่างระวังตัวว่า “ท่านจะทำอะไร”
เสิ่นเสวียนย้อนถาม “เวลานี้แล้ว ดึกดื่นค่ำคืน กระหม่อมจะทำอะไรได้”
ก็ต้องถอดเสื้อเข้านอนน่ะสิ
เขาพูดพลางใช้น้ำเย็นในอ่างล้างหน้า งอนิ้วมือคลายแถบรัดข้อมือและแถบรัดเอว เสื้อคลุมสีดำเปิดกว้างพาดติดตัว จากนั้นก็ถอดหมวกเคลือบทองออก ส่งผลให้ใบหน้าใต้แสงเทียนของเขาพลิ้วไหวดูคมกริบงดงามยิ่งขึ้น
เสิ่นเสวียนนั่งลงบนเตียง เซียวฉางหนิงก็ลุกยืนทันที ก่อนขยับห่างจากเขาเล็กน้อยอย่างระวังตัว
เสิ่นเสวียนมองการเคลื่อนไหวเล็กน้อยทุกอย่างของนาง ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงหยิบผ้าเปียกที่เซียวฉางหนิงปัดทิ้งไว้ก่อนหน้า เช็ดข้อนิ้วที่เรียวยาวของตนเองช้าๆ แล้วพูดว่า “กระหม่อมจำได้ ที่ผ่านมาองค์หญิงใหญ่ไม่ชอบขันที?”
จบกัน นี่เป็นลางบอกเหตุว่าเขาจะคิดบัญชีเก่า!
เป็นจริงดังคาด เสิ่นเสวียนโยนผ้าลงในอ่างสำริดอย่างแม่นยำ ก่อนลุกขึ้นแล้วเดินเข้าใกล้เซียวฉางหนิง “บอกว่ากระหม่อมเป็นคนกระตุ้งกระติ้งรังแกคนต่ำกว่าประจบคนสูงกว่า…ใช่หรือไม่”
นิสัยมีแค้นต้องชำระของขันทีใหญ่เสิ่นสมคำเล่าลือจริงๆ ผ่านไปหกปีแล้ว เขากลับจดจำได้ชัดเจนไม่ตกหล่นสักคำเช่นนี้!
“เสิ่น…เสิ่นเสวียน ท่านจะทำอะไร” เซียวฉางหนิงฟันกระทบกัน ม่านพู่ทองตรงหน้าผากสั่นไหวอย่างแรงไปพร้อมกับร่างกาย
อีกด้านหนึ่ง เสิ่นเสวียนยกมุมปาก ปรายตามองนาง “คืนนี้จะให้องค์หญิงใหญ่ได้เห็นว่ากระหม่อม…กระตุ้งกระติ้งหรือไม่กันแน่!”
เซียวฉางหนิงมองดูชายหนุ่มสง่างามค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ นางน้ำตาคลอ พูดเสียงสั่นว่า “อย่าเข้ามา ข้าขอสั่งท่าน…ถอยๆๆ…ถอยไปเสีย!”
เพราะตื่นเต้นเกินไป ลิ้นที่ไม่เอาไหนของนางถึงขั้นขมวดเป็นปม ท้องก็ปวดบิดเหมือนมีไฟเผาขึ้นมา
เซียวฉางหนิงฝืนสะกดอาการอยากอาเจียน นางก้มตัวกุมท้องเอาไว้
เสิ่นเสวียนเห็นเช่นนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย เขาหุบยิ้ม คิ้วยาวขมวดเป็นปม แล้วพูดอย่างจริงจังอยู่หลายส่วน “บอกแล้วว่าดื่มสุราตอนท้องว่างไม่ได้ ไม่ดีต่อกระเพาะจริงๆ”
“ใครจะรู้ว่าท่านแอบวางยาพิษทำร้ายข้าหรือไม่” เวลานี้กระเพาะของเซียวฉางหนิงราวถูกมีดกวาดวน นางเจ็บอย่างยิ่ง แต่อดไม่ได้ที่จะพูดคำประชดประชัน
เสิ่นเสวียนคาดไม่ถึงว่านางดูเหมือนอ่อนแอ แต่กลับมีฝีปากคมกริบเพียงนี้ เขาไม่หาเรื่องกับคนป่วยเช่นนาง จึงเดินเข้าไปประคองนางขึ้นเตียง
เซียวฉางหนิงไม่อยากถูก ‘คนกระตุ้งกระติ้ง’ แตะต้อง นางเอี้ยวหลบเขา เสิ่นเสวียนจึงคว้าข้อมือผอมบางของนางเอาไว้ กึ่งบังคับกดนางลงบนเตียง จากนั้นก็ก้าวยาวจากไปเปิดประตูแล้วพูดว่า “ใครก็ได้มานี่ที”
เสียงยั่วยวนของฟางอู๋จิ้งดังขึ้นหน้าประตู กลั้นหัวเราะแล้วพูดว่า “ใต้เท้า นี่เสร็จกิจแล้วหรือ”
เสิ่นเสวียนปรายตามองอย่างเย็นชา ฟางอู๋จิ้งเงียบเสียงทันที ก้มหน้ารอรับคำสั่ง
ตอนนี้เสิ่นเสวียนจึงสั่งการเสียงเข้มว่า “ทางห้องครัวมีน้ำแกงไก่สดใหม่ สั่งคนอุ่นแล้วยกมา”
เจ้าหน้าที่สำนักบูรพาทำอะไรรวดเร็วว่องไว เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ น้ำแกงไก่ที่ใส่ในชามกระเบื้องก็ถูกยกเข้ามา
เซียวฉางหนิงถอดมงกุฎหงส์ออกและล้างเครื่องแป้งออกแล้ว จอนผมข้างหูสองด้านของนางเปียกชื้น ทว่าไม่รู้ว่าเปียกจากน้ำล้างหน้าหรือเหงื่อ
เสิ่นเสวียนปิดประตู เขาถึงขั้นลดศักดิ์ศรีมาเทน้ำแกงไก่ร้อนชามหนึ่ง ก่อนยื่นไปตรงหน้าเซียวฉางหนิง ยังคงพูดสองคำเหมือนการออกคำสั่ง “ดื่มเสีย”
เซียวฉางหนิงที่รู้สึกป่วยไม่กล้าระเบิดอารมณ์อีกต่อไป หลังร่างกายเจ็บจนไร้เรี่ยวแรง ปากก็สงบเสงี่ยมลง นางรับถ้วยกระเบื้องเขียวที่ใส่น้ำแกงไก่เอาไว้แต่โดยดี จิบเล็กๆ ไปหลายคำ
เสิ่นเสวียนนั่งอยู่ตรงหน้าเซียวฉางหนิงพลางมองสำรวจนาง รูปร่างสูงใหญ่แทบจะปกคลุมเงาของนางทั้งตัว พอเขาเห็นว่านางจะวางถ้วยลงก็รู้สึกไม่พอใจมาก “ดื่มให้หมด”
เซียวฉางหนิงจำต้องฝืนกลั้นความเลี่ยน ดื่มไปอีกหลายคำ นางถือถ้วยไว้แล้วขมวดคิ้วพูดว่า “ดื่มไม่ลงแล้วจริงๆ”
แต่ว่าเวลานี้ในท้องรู้สึกอบอุ่น ไม่รู้สึกเจ็บแล้วจริงๆ
“คืนวันแต่งงานยังสร้างความยุ่งยากเช่นนี้ องค์หญิงใหญ่คงจะเป็นคนแรก” เสิ่นเสวียนแม้จะพูดอย่างรังเกียจ แต่ไม่ได้มีจุดประสงค์ร้าย
คิดถึงตอนที่อวี๋กุ้ยเฟยยังมีชีวิตอยู่ เซียวฉางหนิงก็นับว่าเป็นคนที่มีความยิ่งใหญ่ไร้ขีดจำกัด ตอนที่เขากับนางพบกันครั้งแรกบุปผาหลากสีก็ยังต้านความสูงศักดิ์บนตัวนางไม่ได้ ใครจะรู้ว่าไม่กี่ปีหลังจากนั้นนางจะกลายมาเป็นคนน่าสงสารที่แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับ ‘ขันที’ เช่นเขา คิดถึงตรงนี้เขาก็พอเข้าใจถึงท่าทางขู่พองขนเช่นนี้ของนางได้
เซียวฉางหนิงวางถ้วยลง แววตาของนางเลื่อนลอยเล็กน้อย ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่บ้าง
เสิ่นเสวียนถอดเสื้อของตนเองพลางกล่าวว่า “ขึ้นเตียง นอนได้แล้ว” เขายังคงใช้น้ำเสียงเย็นชาดังเดิม แต่ไม่มีท่าทีเป็นปรปักษ์ต่อกันเหมือนก่อนหน้านี้
เซียวฉางหนิงมองเตียงหลังเดียวภายในห้องปราดหนึ่ง ยืนนิ่งไม่ขยับ
เกือบลืมไปแล้วว่าองค์หญิงน้อยผู้นี้อย่างไรก็สูงศักดิ์ยิ่งนัก ทั้งยังรังเกียจขันทีที่สุด แล้วนางจะนอนร่วมเตียงกับ ‘ขันที’ ได้อย่างไร
เสิ่นเสวียนมองนางด้วยสายตาเย็นชา “หากองค์หญิงใหญ่ไม่ทรงยินดีจะลดศักดิ์ศรีมาบรรทมกับกระหม่อม เช่นนั้นก็ต้องรบกวนให้ท่านบรรทมบนตั่งพักเท้าก็แล้วกัน”
ข้างเตียงมีตั่งพักเท้ากว้างสามฉื่อ* อยู่หนึ่งตัว ปูพรมปอซือ ที่อ่อนนุ่ม ตั่งพักเท้านั่นเดิมทีเป็นจุดพักผ่อนที่เหล่าสาวใช้ปรนนิบัติเจ้านายที่ตื่นตอนกลางคืน แต่สำนักบูรพาไม่มีสาวใช้ ตั่งพักเท้านี้จึงสะอาดอย่างยิ่งและว่างอยู่ตลอด
เซียวฉางหนิงไปนั่งบนตั่งพักเท้านั้นจริงๆ อย่างไม่ได้คิดอะไร
เสิ่นเสวียนแววตาเคร่งขรึม ไฟโทสะในใจลุกโชนขึ้นทันใด ความเห็นใจเล็กน้อยที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ถูกโยนทิ้งหายไปไกลในพริบตา
เขายกแขนดับแสงเทียนด้วยสีหน้าเรียบเฉย รอบข้างจมอยู่ในความมืด มีเพียงแสงจันทร์นวลที่สาดเข้ามาทำให้ภายในห้องดูเงียบเหงาเป็นพิเศษ
ตั่งพักเท้าไม่มีเครื่องนอน เซียวฉางหนิงได้แต่ใช้เสื้อผ้าคลุมบนร่างกายของตัวเองแล้วนอนลง
นางนอนบนเตียงใหญ่เคลือบทองฝังมุกจนชินแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่นางนอนบนตั่งพักเท้า แม้แต่จะพลิกตัวก็พลิกไม่ได้ นางจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง สูดจมูก น้ำตาแทบจะไหลลงมา แต่จะให้ปีนขึ้นเตียงของเสิ่นเสวียน นางกลับไม่ยินดีและไม่กล้าเช่นกัน
การ ‘จุดโคมลอย’ ตอนเข้าประตูมาน่ากลัวจริงๆ นางเหมือนกับได้กลิ่นเนื้อคนไหม้ที่ไม่มีอยู่จริงบนตัวเสิ่นเสวียน…คนที่โหดเหี้ยมเช่นนี้นางจะกล้าเข้าใกล้ได้อย่างไร
“สำนักบูรพาไม่ฆ่าคนไร้ประโยชน์ องค์หญิงใหญ่วางพระทัยได้เลย”
เสียงพูดทุ้มต่ำดังมาจากบนเตียงผ้าห่มปักคู่นกยวนยางเซียวฉางหนิงแทบจะเบิกตาโตในความมืดทันที เกือบจะคิดว่าตนเองหูฝาดไป
นางเงี่ยหูฟังอยู่นาน เสิ่นเสวียนที่อยู่บนเตียงกลับไม่ได้พูดอะไรอีก ดังนั้นรอบข้างจึงจมอยู่ในความมืดสงบอีกครั้ง
จากนั้นเซียวฉางหนิงจึงนึกขึ้นได้ทีหลังว่าอะไรเรียกว่า ‘ไม่ฆ่าคนไร้ประโยชน์’ ข้าเป็นคนไร้ประโยชน์หรือ
นางไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกโชคดีหรือว่าควรจะโกรธกันแน่
คืนแรกของการแต่งงานผ่านไปอย่างหวาดหวั่นเช่นนี้ เซียวฉางหนิงไม่รู้ว่าตนเองนอนหลับไปเมื่อใด รู้เพียงว่าตอนตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมา บนร่างของตัวเองมีผ้าห่มปักลายอ่อนนุ่มสะอาดเพิ่มขึ้นมาหนึ่งผืน แต่บนเตียงนอน เสิ่นเสวียนหรือก็คือสามีขันทีของนางกลับไม่เห็นแม้แต่เงาเสียแล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 ธ.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.