X
    Categories: ทดลองอ่านท่าน··· จงถอยไปเสียมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ท่าน… จงถอยไปเสีย! บทที่ 1-2

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 1

“เจ้าเดินตามข้ามาด้วยเหตุใด ไสหัวไป!”

ตำหนักสี่ปี้เมื่อหกปีก่อนหรูหรารุ่งเรือง อวี๋กุ้ยเฟย มารดาผู้ให้กำเนิดของเซียวฉางหนิงที่งดงามเกินใครในตำหนักในนั้นยังมีชีวิตแข็งแรงดี อาศัยวาสนาของมารดา เซียวฉางหนิงที่รูปโฉมงดงามได้รับความโปรดปรานจากอดีตฮ่องเต้ยิ่งกว่า ช่วงหลายปีที่อวี๋กุ้ยเฟยได้รับความโปรดปรานนั้น การกินอยู่สวมใส่ใช้จ่ายขององค์หญิงฉางหนิงถึงขั้นเหนือกว่าองค์หญิงที่กำเนิดจากเหลียงฮองเฮาเสียอีก

และในยามนี้เอง องค์หญิงน้อยผู้กำลังย่างเข้าวัยปิ่นทอง กำลังเท้าสะเอว ถลึงตามองขันทีน้อยที่ยืนก้มหน้าอยู่เบื้องหน้า นางเชิดปลายคางเล็กน้อย ขมวดคิ้วพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งจองหองว่า “สกปรกยิ่งนัก”

แสงแดดฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นกำลังดี บุปผาสีแดงส่งกลิ่นหอม ชุดขันทีสีน้ำตาลเข้มของหนุ่มน้อยผู้นั้นเปรอะเปื้อนน้ำโคลน เสื้อผ้าด้านหลังของเขาขาดเป็นแถบเนื่องจากถูกเฆี่ยน บาดแผลจากการถูกแส้ย้อมไปด้วยโลหิตทำให้ชุดของเขาสกปรกอย่างยิ่ง แต่ที่น่าแปลกคือแม้ว่ายามนี้เขาจะไม่ได้รับอิสระ หนุ่มน้อยผู้นั้นกลับไม่มีท่าทางทุลักทุเลเลยสักนิด ดวงตาใต้ขนตานั้นหลุบลงต่ำแฝงความเย็นชาเอาไว้

ขันทีอายุน้อยผู้นี้ก็คือ ‘เสิ่นเสวียน’

ใช่แล้ว เสิ่นเสวียนในเวลานั้นยังไม่ใช่ผู้บัญชาการเสิ่น ขันทีใหญ่เรืองอำนาจเช่นวันนี้ เขาถึงขั้นไม่ได้ชื่อเสิ่นเสวียนอีกด้วย เขามีเพียงชื่อต่ำต้อยว่า ‘เสิ่นชี’ ขันทีน้อยผู้นี้ไม่รู้ว่าทำผิดเรื่องใด หลังจากถูกลงโทษโบยด้วยแส้หนึ่งยกก็ถูกสำนักกิจการฝ่ายในลดขั้นมาเป็นขันทีใช้แรงงานในตำหนักสี่ปี้ของเซียวฉางหนิง

ตอนพบกันครั้งแรกเสิ่นชีเผชิญกับการมองสำรวจอย่างละเอียดของเซียวฉางหนิง เขาเพียงแค่ยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่กระเซ็นติดใบหน้าอย่างเบามือ ฝืนยืนตัวตรงด้วยท่าทางเย็นชาและสงบนิ่ง

เซียวฉางหนิงรู้สึกปวดศีรษะยิ่งนัก

นางไม่ชอบขันทีมาแต่ไหนแต่ไร นับตั้งแต่อดีตฮ่องเต้ยอมให้สำนักบูรพา มีอำนาจเป็นใหญ่ ขันทีเข้ายุ่งเกี่ยวกับกิจการราชสำนัก นางก็รังเกียจขันทีที่ชอบทำท่าทางแปลกประหลาด ชายไม่ใช่หญิงไม่เชิงกลุ่มนั้น! ดังนั้นตำหนักสี่ปี้ของนางจึงเป็นตำหนักที่มีขันทีน้อยที่สุดในบรรดาตำหนักทั้งหมด

เสิ่นชีก้มหน้า เซียวฉางหนิงมองเห็นหน้าตาของเขาไม่ชัดเจน เห็นเพียงหยดเลือดหยดหนึ่งไหลจากจอนผมผ่านแก้มผอมตอบคมสันของเขา แล้วหยดจากปลายคางเนียนลื่นลงบนพื้น

“องค์หญิง เขาชื่อเสิ่นชี เป็นคนที่สำนักกิจการฝ่ายในส่งมาให้ท่านใช้แรงงานเพคะ” นางกำนัลประจำตัวพูดอย่างระมัดระวัง

“สำนักกิจการฝ่ายใน? ถ้าไม่ได้ทำความผิด ขันทีของสำนักกิจการฝ่ายในจะถูกลดขั้นมาใช้แรงงานที่ตำหนักของข้าได้อย่างไร”

เกินครึ่งคงเป็นเผือกร้อนลวกมือ

เซียวฉางหนิงเอ่ยถ้อยคำโหดร้ายแก่หนุ่มน้อยโดยไม่แม้แต่จะคิด “ข้าไม่ต้องการให้ขันทีมาปรนนิบัติ ข้าเกลียดคนกระตุ้งกระติ้งรังแกคนต่ำกว่าประจบคนสูงกว่าอย่างพวกเจ้าที่สุด!”

เพิ่งสิ้นเสียง เสิ่นเสวียนที่ก้มหน้าอยู่ตลอดก็ช้อนตาขึ้นมองนางทันที

เวลาผ่านไปหกปี เซียวฉางหนิงลืมใบหน้าของเขาไปหมดสิ้นแล้ว มีเพียงดวงตาอ่อนเยาว์เรียวยาวคู่นั้นที่ราวกับมีดกรีดลึกลงไปในสมองของนาง สายตาของเขาทั้งเย็นเยือก คมกริบ และดูอันตราย ไม่ต่างอะไรกับสัตว์จำศีลบางประเภทเลย

เซียวฉางหนิงตัวแข็งทื่อไปทันใด รู้สึกว่าวาจาของตนเองนี้ออกจะพูดเกินไป เป็นการโรยเกลือลงบนแผลของขันทีน้อยผู้นี้โดยตรง…ทว่าต่อให้นางทำร้ายจิตใจคนแล้วอย่างไร นางเป็นองค์หญิง มีอย่างที่ใดจะให้องค์หญิงไปขออภัยขันที

“องค์หญิง เช่นนั้นจะจัดการเขาอย่างไรเพคะ” นางกำนัลเอ่ยถาม เรียกสติของเซียวฉางหนิงกลับมา

เซียวฉางหนิงเผยอริมฝีปาก ผ่านไปครู่ใหญ่นางจึงกระแอมคราหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่มั่นใจนักว่า “ทางสำนักบูรพาขาดคนไม่ใช่หรือ ข้าว่าเขาเหมาะสมดี”

เซียวฉางหนิงไหนเลยจะรู้ว่าการส่งตัวขันทีน้อยในครั้งนี้ นางได้ผลักเสิ่นเสวียนไปบนเส้นทางแห่งการเข่นฆ่าที่ไร้ความเมตตาและมิตรไมตรีด้วยมือตนเอง…

หกปีต่อมา

การงีบหลับครั้งหนึ่งในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เซียวฉางหนิงสะดุ้งตื่นจากฝัน ลุกนั่งตัวตรงอย่างสะลึมสะลือ

นอกม่านเตียงมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ ทั้งยังมีเสียงสะอื้นไห้ดังลอยมาเบาๆ เซียวฉางหนิงมือข้างหนึ่งกุมขมับ อีกข้างหนึ่งพลิกเปิดม่านโปร่งสีเหลืองอมส้ม นางเห็นเซียวหวนฮ่องเต้น้อยอายุสิบสี่ปียืนอย่างน่าสงสารอยู่ข้างเตียง บนใบหน้าที่แฝงไปด้วยความไร้เดียงสานั้นยังมีน้ำตาไหลอยู่สองสาย

เห็นพี่สาวแท้ๆ ของตนแล้วเซียวหวนก็เบะปาก น้ำตาทำท่าจะเอ่อล้นออกมาอีก เอ่ยเรียกอย่างเศร้าโศก “พี่หญิง…”

เซียวหวนจัดอยู่ในลำดับที่หกของเหล่าพี่น้อง เป็นน้องชายร่วมมารดาของเซียวฉางหนิง หลังจากอวี๋กุ้ยเฟยป่วยตายไป เซียวหวนที่อายุยังน้อยก็ถูกนำไปฝากเลี้ยงไว้กับเหลียงฮองเฮาที่บุตรชายตายตั้งแต่อายุยังน้อย ฤดูหนาวปีที่แล้วอดีตฮ่องเต้จากไปอย่างกะทันหัน เซียวหวนจึงขึ้นครองราชย์ภายใต้การสนับสนุนของเหลียงฮองเฮา

เหลียงไทเฮาใช้ข้ออ้างว่าฮ่องเต้พระองค์ใหม่อายุน้อยไม่รู้ความแล้วว่าราชการหลังม่าน ลอบคานอำนาจกับสำนักบูรพา ฮ่องเต้น้อยถูกบีบอยู่ตรงกลางใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก มีชีวิตไม่ดีไปกว่าเซียวฉางหนิง

ยามนี้พยัคฆ์สารทฤดู อาละวาดรุนแรง อากาศยังคงร้อนอ้าวดังเดิม เซียวฉางหนิงสวมเสื้อคลุมเพียงชั้นเดียวก็ลงจากเตียง ยื่นมือไปรับผ้าไหมที่นางกำนัลยื่นมาให้ เช็ดน้ำตาให้เซียวหวนลวกๆ แล้วถามว่า “ฝ่าบาททรงเป็นอะไรไปเพคะ ทรงถูกไทเฮาตำหนิอีกแล้วหรือ”

ฮ่องเต้น้อยส่ายหน้า สะอื้นไห้พลางกล่าวว่า “ไม่ใช่”

เซียวฉางหนิงสงสัย “แล้วทรงพระกันแสงด้วยเหตุใด”

ฮ่องเต้น้อยยากจะสะกดความเศร้าโศกไว้ได้ มองเซียวฉางหนิงด้วยแววตาราวกับจะจากลากันชั่วชีวิตพลางคร่ำครวญ “พี่หญิง เราทำผิดต่อท่าน!”

“นี่! อย่านะ!”

ฮ่องเต้น้อยโตเร็วยิ่ง เวลานี้สูงเท่ากับเซียวฉางหนิงแล้ว ยามนี้เขากระโจนเข้ามาราวกับสุนัขตัวใหญ่ เซียวฉางหนิงทำได้เพียงมือเท้าวุ่นวายกอดเขาเอาไว้ แต่ก็ยังถูกชนจนถอยหลังหนึ่งก้าว เสื้อผ้าเปียกปอนไปด้วยน้ำมูกน้ำตาของฮ่องเต้ เซียวฉางหนิงถอนใจเฮือกหนึ่ง งอนิ้วดีดหน้าผากเรียบเนียนของเขา “พูดมาเถอะ ฝ่าบาททรงทำเรื่องอันใดที่ผิดต่อหม่อมฉันหรือ”

“พี่หญิง…” เซียวหวนเงยหน้าที่ยังคงแฝงความเยาว์วัยขึ้นมา สองตาแดงก่ำดึงแขนเสื้อของเซียวฉางหนิงไว้ พูดอย่างน่าสงสาร “ผู้บัญชาการเสิ่นบอกว่าถ้าไม่ให้ท่านแต่งงานกับเขา เขาก็จะล้มเราแต่งตั้งโอรสสวรรค์คนใหม่ ฮือๆๆ…”

เซียวฉางหนิงที่ยังง่วงงุนไม่หาย สมองหมุนตามไม่ทันไปชั่วขณะ นางแคะหูเล็กน้อยพลางถามว่า “ผู้บัญชาการเสิ่น? ผู้ใดกัน”

ฮ่องเต้น้อยสูดจมูกแล้วจึงเอ่ยเสียงเบา “ก็คนที่ถูกพี่หญิงด่าว่าเป็นคนกระตุ้งกระติ้งเมื่อหกปีก่อน เสิ่นเสวียนผู้นั้น…”

วาจานั้นราวกับอสนีบาตผ่าลงกลางศีรษะดังครืน เซียวฉางหนิงพลันได้สติ ใบหน้าขาวซีดในพริบตา

ชื่อเสียงของเสิ่นเสวียนโด่งดังสะท้านไปทั่ว อายุยังน้อยก็ขึ้นนั่งประจำตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักบูรพาด้วยสองมือที่เปื้อนเลือดแล้ว สองปีมานี้เพียงแค่ได้ยินชื่อของเขาก็ทำให้คนตกใจจนนั่งไม่ติดได้! ขันทีเรืองอำนาจปีศาจร้ายที่ชื่อเสียงชั่วร้ายขจรไปไกลเช่นนี้ เซียวฉางหนิงได้แต่หลบหลีกให้ห่าง นางไปหาเรื่องเขาตั้งแต่เมื่อใดกัน

ช้าก่อน…หกปีก่อน? กระตุ้งกระติ้ง?

“ขันทีรุ่นเยาว์ที่ถูกหม่อมฉันด่าว่ากระตุ้งกระติ้งในตอนนั้นชื่อเสิ่นชีไม่ใช่หรือ!”

คนนั่งอยู่ในบ้าน แต่ภัยหล่นจากฟ้าจริงๆ

“ยกหม่อมฉันที่เป็นถึงองค์หญิงใหญ่ของแคว้นให้แต่งกับขันทีหรือเพคะ เหลวไหลสิ้นดีจริงๆ! ขุนนางราชสำนักเห็นด้วยหรือไม่ อดีตฮ่องเต้ทรงเห็นด้วยหรือไม่ บรรพชนราชสกุลเซียวเห็นด้วยหรือไม่!”

ภายในตำหนักฉือหนิง เซียวฉางหนิงดวงตาแดงก่ำ “ทุกคนล้วนรังแกหม่อมฉันที่มารดาผู้ให้กำเนิดจากไปเร็ว ทำให้หม่อมฉันกลายเป็นคนน่าสงสารไร้ที่พึ่งพิง”

หลายวันมานี้นางร้องไห้ก็แล้ว โวยวายก็แล้ว แต่เหลียงไทเฮาก็ใจแข็งจะขายองค์หญิงน้อยที่ไร้ที่พึ่งพิงคนนี้เป็นภรรยาของขันทีให้จงได้

เผชิญหน้ากับการร้องไห้โวยวายของเซียวฉางหนิง เหลียงไทเฮานั้นแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แค่เพียงเลื่อนประคำไม้กฤษณาห้อยจี้ทับทิมในมือ ผ่านไปครู่ใหญ่นางจึงช้อนดวงตาเรียวยาวขึ้นมาเอ่ยพลางทอดถอนใจว่า “ฉางหนิง ข้าตกลงให้เจ้าแต่งกับเสิ่นเสวียน ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของข้า แต่เพื่ออดีตฮ่องเต้ เพื่อฮ่องเต้ และเพื่อไม่ให้แผ่นดินต้าอวี๋ของเราถูกทำลายด้วยมือของขันที! เสิ่นเสวียนแต่งงานกับคนในราชวงศ์แล้ว สำนักบูรพาย่อมจงรักภักดีต่อฝ่าบาท…”

ดังนั้นจึงเสียสละข้าอย่างนั้นหรือ

เซียวฉางหนิงสั่นสะท้านไปทั้งตัว ทันใดนั้นนางก็ดึงปิ่นปักผมบนศีรษะลงมาจ่อไว้ที่ลำคอของตนเอง พูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “หากไทเฮาไม่ทรงถอนรับสั่ง หม่อมฉันยอมตายไม่ยอมทำตาม!”

นางใช้ชีวิตตนเองบีบบังคับ เหลียงไทเฮาเพียงแค่หัวเราะเย็นชาคราหนึ่ง แล้วมองนางก่อเรื่องอย่างเรียบเฉยราวกับกำลังดูเรื่องขำขันเรื่องหนึ่ง

เหลียงไทเฮาพูดเสียงเข้มว่า “ฉางหนิง ข้าขอพูดกับเจ้าตามตรง วันนี้ต่อให้เจ้าตายต่อหน้าข้า ศพนี้ก็ต้องสวมชุดเจ้าสาว ยกเข้าไปในสุสานบรรพชนสกุลเสิ่น ที่ผ่านมาเจ้าเป็นคนฉลาดน่าจะรู้ว่าอะไรเรียกว่า ‘ผู้ตระหนักรู้ถึงสภาพการณ์ถือว่าฉลาดเลิศล้ำ’ ”

นางหยุดพูดไปครู่หนึ่งแล้วจึงยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาจิบอึกหนึ่ง แววตาเย็นชากวาดมองใบหน้าของเซียวฉางหนิง “ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บัญชาการเสิ่นที่ผ่านมาเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย มีแค้นต้องชำระ หรือเจ้าเคยทำอะไรให้เขาเจ็บแค้นใจ หากไม่ได้ปลูกผลกรรมเอาไว้เหตุใดเขาจึงไม่หมายตาองค์หญิงคนอื่นๆ แต่เจาะจงต้องการแต่งงานกับเจ้า”

คำพูดประโยคนี้จี้จุดตายของเซียวฉางหนิงเข้าอย่างจัง คำพูดในอดีตประโยคที่ว่า ‘ข้าเกลียดคนกระตุ้งกระติ้งรังแกคนต่ำกว่าประจบคนสูงกว่าอย่างพวกเจ้าที่สุด’ เป็นเหมือนฝันร้าย วนเวียนอยู่ข้างหูไม่จางหายไป…

เซียวฉางหนิงจะคาดคิดได้อย่างไรว่าเสิ่นเสวียนผู้บัญชาการสำนักบูรพาที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ อาศัยชื่อโอรสสวรรค์สั่งการขุนนางราชสำนักในตอนนี้จะเป็นคนเดียวกับขันทีน้อยเสิ่นชีที่ตกอับในอดีตคนนั้น! แล้วนางจะคาดคิดได้อย่างไรว่าเขาจะจดจำความแค้นไว้หกปีเต็มเพราะคำพูดประโยคเดียว!

เห็นเซียวฉางหนิงใกล้สติแตก เหลียงไทเฮาจึงผ่อนน้ำเสียงลง เอ่ยเกลี้ยกล่อมนางว่า “ฉางหนิง ผู้ทำการใหญ่ไม่คิดเรื่องเล็กน้อย ถ้าวันนี้เจ้าไม่แต่งกับเขา วันหน้าแผ่นดินกว้างใหญ่นี้เกรงว่าคงจะเปลี่ยนไปปกครองโดยคนแซ่เสิ่นแล้ว ถ้าเจ้าแต่งกับเขาอย่างราบรื่น อย่างน้อยยังเป็นองค์หญิงคนหนึ่ง และเป็นฮูหยินผู้บัญชาการ เขาไม่กล้าฆ่าเจ้า ซ้ำยังเป็นเพียงขันทีคนหนึ่ง เจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเขาทำให้ด่างพร้อย บางทีอีกไม่กี่ปีเจ้าก็สามารถกลับมาโดยไม่เสียหายได้แล้ว”

เซียวฉางหนิงประสานดวงตากับแววตาแฝงไปด้วยแผนการของเหลียงไทเฮา ในใจคิดว่าคนโง่จึงจะเชื่อคำพูดบ้าบอของท่าน! องค์หญิงที่เคยแต่งงานกับขันทีจะมีวันกลับมาโดยไม่เสียหายได้อย่างไร

เห็นเซียวฉางหนิงขัดขืนไม่พูดจา เหลียงไทเฮาจึงลุกขึ้นอย่างช้าๆ กุมมือที่สั่นเทาของเซียวฉางหนิงไว้อย่างอ่อนโยนแล้วหยิบปิ่นออกมาจากมือของนาง

สตรีที่มีความทะเยอทะยานผู้นี้จ้องตาของเซียวฉางหนิงตรงๆ พูดหลอกล่อเสียงเบา “เซียวหวนเป็นน้องชายแท้ๆ ของเจ้า ถ้าข้าไม่ทำอะไรเลย เขาก็คงตายด้วยฝีมือของเสิ่นเสวียนแล้ว ฉางหนิง เจ้าคงไม่เห็นคนตายแล้วไม่ช่วยใช่หรือไม่”

“ทรงคิดว่าแค่หม่อมฉันแต่งให้เขาแล้วจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรือเพคะ”

“อย่างน้อยพวกเราก็มีโอกาส”

“ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ”

“ช่วยเรากับฮ่องเต้ฆ่าเสิ่นเสวียนเสีย”

เซียวฉางหนิงตื่นตระหนกดวงตาเบิกโต ชักมือออกผงะถอยหลังหนึ่งก้าว

เหลียงไทเฮาหรี่ตา ยื่นคำขาดสุดท้าย “จิตใจทะเยอทะยานของสำนักบูรพาชัดเจนยากจะปิดบัง มีเพียงกำจัดขุนนางชั่วข้างกายฮ่องเต้จึงจะรักษาชีวิตคนสกุลเซียวได้ หลังจากเสิ่นเสวียนตายแล้ว ข้าจะจัดพิธีใหญ่รับเจ้ากลับตำหนัก เพิ่มศักดินาให้เจ้า เจ้าว่าเช่นนี้เป็นอย่างไร”

บทที่ 2

“พี่หญิง ท่านรับปากเรื่องการแต่งงานกับสำนักบูรพาจริงหรือ”

ภายในตำหนักสี่ปี้ เซียวหวนน้ำตาอาบใบหน้า สะอื้นไห้พูดว่า “เราทำให้ท่านลำบากแล้ว! พี่หญิง ไม่เป็นไร ท่านไม่ต้องทำเพื่อเราถึงขั้นนี้ หากเสิ่นเสวียนอยากได้ตำแหน่งฮ่องเต้นี้จริงก็เอาไปเถิด…”

“ชู่! คำพูดนี้ถ้าให้ไทเฮาทรงทราบเข้า ฝ่าบาทไม่รอดแน่!”

เซียวฉางหนิงหยิบสาลี่ที่ปอกเสร็จแล้วยัดใส่ปากของฮ่องเต้น้อย อุดคำพูดขัดคุณธรรมของเขา แล้วเท้าคางพลางพูดอย่างทอดถอนใจว่า “ฝ่าบาทยังไม่เข้าใจอีกหรือ การแต่งงานนี้ไม่ใช่หม่อมฉันตัดสินใจเองได้ วันนั้นในตำหนักฉือหนิง ที่หม่อมฉันลองใช้ความตายเข้าบีบก็เพียงแค่เดิมพันเรื่องความสำคัญของอดีตฮ่องเต้ในใจไทเฮาเท่านั้น ทว่าหม่อมฉันเดิมพันแพ้แล้ว ในเมื่อเดิมพันแพ้แล้วก็ต้องยอมแพ้…ไม่เช่นนั้นหม่อมฉันคงไม่มีชีวิตเดินออกจากประตูใหญ่ตำหนักฉือหนิงเป็นแน่”

ฮ่องเต้น้อยตกใจ เขาหดคอแล้วเคี้ยวสาลี่ในปากไม่กี่ทีก่อนกลืนลงไป ถามเสียงเบาว่า “ไทเฮาจะทรงลงมือกับท่านจริงหรือ พี่หญิงเป็นถึงองค์หญิงใหญ่คนหนึ่งเชียวนะ”

“อย่าว่าแต่หม่อมฉันเลย ถ้าเสิ่นเสวียนเจาะจงต้องการบุตรสาวแท้ๆ ของไทเฮา นางก็ย่อมรับปากโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ในสายตาของนางมีเพียงผลประโยชน์ ไม่มีความผูกพันฉันญาติมิตรใดทั้งนั้น”

คำพูดประโยคสุดท้ายเซียวฉางหนิงลดเสียงพูดเบายิ่งนัก ราวกับกำลังกลัวว่าจะถูกสายสืบได้ยินเข้า ก่อนกระซิบแล้วพูดอีกว่า “อยู่ในวังมีแต่จะถูกทรมานจนอยู่ไม่สู้ตาย ออกเรือนไปที่สำนักบูรพาก็ตายเช่นกัน ซ้ายขวายากจะหนีพ้นความตาย หม่อมฉันคิดกระจ่างแล้ว ตายที่ใดก็เหมือนกัน หนทางเลวร้ายสองทางหม่อมฉันย่อมเลือกทางที่เลวร้ายน้อยกว่า อย่างน้อยแต่งกับเสิ่นเสวียนยังมีโอกาสรอดอยู่บ้าง”

ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะองค์หญิงที่ถูกส่งไปเป็นภรรยาขันทีเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ นับว่าต่อจากนี้นางคง ‘มีชื่อเสียงเลื่องลือไปอีกนาน’ แล้ว ถือว่าการแต่งงานนี้ไม่ขาดทุน

 

ในฤดูใบไม้ร่วงที่แสงแดดอ่อนแรง ในที่สุดเซียวฉางหนิงก็ออกเรือน

ด้านนอกเต็มไปด้วยเสียงแห่งความคึกคัก ทว่าในห้องกลับมีเพียงเสียงคร่ำครวญ นางกำนัลหลายคนที่ติดตามการแต่งงานขององค์หญิงใหญ่มาถือผ้าไหมแดงอย่างสิ้นหวัง แล้วพากันซุกตัวอยู่มุมผนังกุมศีรษะร่ำไห้ ทั้งที่เป็นงานมงคล แต่กลับชวนให้เศร้าใจยิ่งกว่างานศพเสียอีก

ฮ่องเต้น้อยสวมชุดเหมี่ยนฝู สีดำตามพิธี เพิ่งเข้ามาในตำหนักสี่ปี้ก็เห็นเซียวฉางหนิงเอาเสื้อคลุมสีขาวไข่มุกตัวหนึ่งมาใส่ ฮ่องเต้น้อยสูดจมูก ขอบตาแดงก่ำเดินเข้าไปถามว่า “พี่หญิง วันนี้เป็นวันมงคลของท่าน ควรจะสวมมงกุฎหงส์ผ้าคลุมแดงจึงจะถูก เหตุใดจึงต้องสวมเสื้อสีไข่มุกทั้งตัวด้วย”

เซียวฉางหนิงเตรียมการในทางที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว นางถอนใจเฮือกหนึ่ง พูดอย่างอ่อนแรงราวกับคนใกล้ตาย “ข้างในใส่เสื้อขาว ข้างนอกสวมชุดมงคล เข้าสำนักบูรพาแล้ว พอหม่อมฉันถอดชุดแต่งงานสีแดงออกก็สามารถวางหม่อมฉันลงหลุมฝังศพได้ทันที ไม่ต้องเปลี่ยนชุดให้ยุ่งยาก”

เซียวหวนถูกนางทำให้ตกใจไม่เบา ร้องไห้โฮคว้าแขนเสื้อของนางไว้ สะอื้นไปพลางคร่ำครวญไปพลาง “พี่หญิงที่ชีวิตอาภัพของเรา!”

เซียวฉางหนิงตบไหล่ของฮ่องเต้แล้วเอ่ยปลอบด้วยท่าทางปลงตกว่าทุกอย่างเป็นเพียงความว่างเปล่า “ฝ่าบาทอย่าได้ทรงพระกันแสงไปเลย ทุกคนล้วนแต่ต้องตาย ถ้าหม่อมฉันเกิดเรื่องไม่คาดคิดจริง วันนี้ของทุกปีอย่าลืมเผากระดาษเงินให้หม่อมฉันมากสักนิด”

ฮ่องเต้น้อยไม่เพียงไม่รู้สึกถึงการปลอบขวัญ ซ้ำยังร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม

เสียงสะอื้นไห้ในตำหนักสี่ปี้แข่งกันดังระงมราวกับอยู่ในการแข่งขัน ซ้ำยังดังขึ้นเรื่อยๆ เซียวฉางหนิงสวมชุดแต่งงานสีแดงสดทับบนชุดขาวแสดงความอาลัยนั้น แล้วจึงสวมมงกุฎหงส์ ม่านพู่ทองแถวหนึ่งตรงหน้าผากห้อยลงบดบังสายตาจนมองเห็นไม่ชัดเจน

ผ่านไปชั่วครู่ ขันทีจากสำนักกิจการฝ่ายในก็ถือแส้ขนจามรีมารายงานว่า “องค์หญิงใหญ่ฉางหนิง เหล่ากงกง จากสำนักบูรพามารับเจ้าสาวแล้ว หากทรงเตรียมตัวพร้อมแล้ว ตามกระหม่อมขึ้นเกี้ยวออกจากวังเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

เพิ่งสิ้นเสียงพูดก็มีขันทีของสำนักบูรพายี่สิบกว่าคนทยอยเดินเข้ามา แยกตั้งแถวเป็นสองด้าน ทุกคนล้วนสวมเสื้อผ้าหยาบสีน้ำตาล สวมหมวก รองเท้าหุ้มข้อ และห้อยดาบพกกระบี่ ทั้งดูอ่อนโยนและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน

ขันทีใหญ่สองคนที่เป็นผู้นำบนเสื้อผ้าปักดิ้นทองดิ้นเงิน แค่มองก็รู้ว่ามีฐานะไม่ธรรมดา เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนใดในนั้นจึงจะเป็นผู้บัญชาการสำนักบูรพาที่ทำให้คนได้ยินชื่อก็หวาดกลัวได้

พอถึงเวลาเซียวฉางหนิงพลันรู้สึกตื่นกลัวกว่าที่คิดเอาไว้ นางถอยหลังหนึ่งก้าวตามสัญชาตญาณ สิบนิ้วลอบประสานกันแน่นจนแทบจะกระตุกแขนเสื้อที่ปักไว้อย่างประณีตจนขาด

นางลอบมองคนที่มาผ่านช่องว่างของม่านพู่ทองที่ห้อยลงตรงหน้าผากอย่างตื่นกลัว

นางเห็นเพียงขันทีคนที่ยืนหัวแถวด้านขวาผิวพรรณขาวเนียน ขนตาและดวงตาเรียวยาว หน้าตาหมดจด กระทั่งกิริยาท่าทางก็ยังคล้ายสตรี เวลานี้กำลังกรีดนิ้ว ใช้มีดเล็กเล่มหนึ่งแต่งเล็บนิ้วกลาง ลากเสียงยาวเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “วันนี้วันมงคล เหตุใดพวกเจ้าต่างร้องไห้ฟูมฟายกันเล่า”

ในเสียงแหลมเล็กของขันทีผู้นั้นแฝงไอสังหารไว้หลายส่วน เซียวฉางหนิงรู้สึกเคร่งเครียด ลอบเอ่ยกับตนเองในใจว่าแย่แล้ว หรือคนผู้นี้ก็คือเสิ่นเสวียน!

เจ้าหน้าที่ของสำนักบูรพามาถึงอย่างทรงอำนาจ คนตำหนักสี่ปี้ตกใจจนนิ่งงัน ฮ่องเต้น้อยเม้มปาก น้ำตาหนึ่งหยดเกาะอยู่บนขนตาจะหยดก็ไม่หยด เซียวฉางหนิงเองก็ไม่ดีไปกว่ากัน มือไม้สั่นเทามองขันทีหน้าตาอ่อนโยนหมดจดผู้นั้น แล้วเอ่ยอย่างตะกุกตะกักว่า “เสิ่น…เสิ่น…เสิ่น…”

ขันทีหน้าตาอ่อนโยนกรีดนิ้ว กลอกตารอบหนึ่ง ก่อนคำนับสองพี่น้องอย่างเชื่องช้า “องค์หญิงใหญ่ทรงเรียกใครว่าอาสะใภ้ หรือ กระหม่อมฟางอู๋จิ้ง หัวหน้าหน่วยมังกรคราม ปีนี้อายุยี่สิบห้า ไม่อาจหาญเป็นอาสะใภ้ขององค์หญิงใหญ่หรอกพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้น้อยดึงแขนเสื้อของเซียวฉางหนิง แล้วกระซิบพูดข้างหูของนาง “พี่หญิง ท่านเข้าใจผิดแล้ว คนผู้นี้ไม่ใช่เสิ่นเสวียน”

เซียวฉางหนิงผ่อนลมหายใจยาวเฮือกหนึ่ง ยังดีที่เสิ่นเสวียนไม่ใช่คนกระตุ้งกระติ้งผู้นี้…

“นี่ข้าถามพวกเจ้าอยู่นะ วันมงคลดีๆ เช่นนี้ร้องไห้เศร้าเสียใจอะไรกัน” ฟางอู๋จิ้งกระดกนิ้วที่เรียวยาวจนมีดเล็กหมุนรอบนิ้วมือพลางมองทุกคนด้วยสีหน้าเย็นชา “กลั้นน้ำตาเดี๋ยวนี้!”

ทุกคนเบิกตาโตทันใด พยายามสะกดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลลงมา

“ฟางกงกงอย่าถือสาเลย พวกนางเพียงร้องไห้เป็นพิธีน่ะ”

เซียวฉางหนิงพยายามกระตุกมุมปากขึ้นคราหนึ่ง สุดท้ายก็ยิ้มออกมาไม่ได้ ทำได้เพียงเลื่อนสายตาไปที่ตัวขันทีใหญ่ตรงหัวแถวด้านซ้าย…

จากนั้นนางพลันตัวแข็งทื่อไปหมด

ขันทีผู้นี้มือเท้าเรียวยาว ใบหน้าเรียบร้อยหล่อเหลา มือถือคันธนูยาว สะพายกระบอกลูกธนูไว้ด้านหลัง ท่าทางองอาจกล้าหาญ แต่สีหน้าเย็นชาแข็งกระด้าง ทั้งตัวมีกลิ่นอาย ‘ห้ามคนเข้าใกล้’ แผ่กระจาย…

หรือว่าจะเป็นเสิ่นเสวียน

“องค์หญิงใหญ่ไม่ต้องมองแล้วพ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าผู้บัญชาการมีเรื่องด่วนต้องจัดการ วันนี้จึงไม่ได้มาด้วยตนเอง แต่ให้พวกกระหม่อมมารับเจ้าสาวแทนพ่ะย่ะค่ะ” ฟางอู๋จิ้งราวกับว่ามองออกถึงความกังวลของเซียวฉางหนิง จึงเลื่อนมีดเล็กระหว่างนิ้วใส่กลับเข้าไปในแขนเสื้อ ก่อนยกมือชี้ไปยังคนหนุ่มหน้าตายที่ถือคันธนูผู้นั้นแล้วแนะนำว่า “นี่คือเจี่ยงเซ่อ หัวหน้าหน่วยหงส์แดง”

ทั้งสองคนประกบหมัดคำนับ คุกเข่าข้างเดียว พูดพร้อมกันว่า “ขอคารวะฮูหยินผู้บัญชาการ”

จากนั้นเหล่าเจ้าหน้าที่ของสำนักบูรพาที่ยืนเรียงสองแถวตั้งแต่หน้าประตูห้องถึงกลางลานตำหนักพากันคุกเข่าแล้วเอ่ยเสียงแหลมพร้อมกัน “คารวะฮูหยินผู้บัญชาการ!”

ฮ่องเต้น้อยเซียวหวนสูดจมูก พูดเสียงเบาอยู่ด้านข้าง “ฟางอู๋จิ้งกับเจี่ยงเซ่อ คนหนึ่งเป็นมือสังหารอันดับหนึ่งจากมือสังหารหลายร้อยคนของสำนักบูรพา อีกคนหนึ่งว่ากันว่าเป็นมือธนูขั้นเทพ สามารถยิงธนูถูกใบหลิวที่ห่างออกไปมากกว่าร้อยก้าวได้ เป็นมือซ้ายมือขวาของเสิ่นเสวียน หากใครคนใดคนหนึ่งก้าวออกมาสักคนก็ล้วนแต่ทำให้ขุนนางราชสำนักตัวสั่นได้!”

แค่ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่กี่คนเดินทางมาก็ทำให้ทุกคนในตำหนักสี่ปี้กลัวจนสติแตกกระเจิงแล้ว หากเสิ่นเสวียนลงสนามด้วยตนเอง ไม่รู้ว่าจะเกิดลมฝนคาวเลือดอะไรขึ้นบ้าง!

เซียวฉางหนิงพลันรู้สึกว่าชีวิตตนเองคงไม่ยืนยาวแล้ว!

“ไทเฮาเสด็จ!”

หลังจากเสียงตะโกนดังขึ้น มีคนจำนวนหนึ่งติดตามเหลียงไทเฮาในชุดพิธีการผ่าหน้าแขนกว้างพื้นดำลายม่วงเข้ามาในที่นั้น ทำลายบรรยากาศตึงเครียดน่าประหลาดในตำหนักสี่ปี้

“ถวายพระพรไทเฮา” ฟางอู๋จิ้งนำทุกคนคำนับเป็นพิธี จากนั้นก็โบกมือพูดว่า “ได้เวลามงคลแล้ว เชิญองค์หญิงใหญ่ขึ้นรถม้าออกเดินทาง ใต้เท้าผู้บัญชาการยังรอเข้าห้องหออยู่ที่สำนักบูรพานะพ่ะย่ะค่ะ”

พอเซียวฉางหนิงได้ยินคำว่า ‘เข้าห้องหอ’ ก็สั่นไปทั้งตัว กุมมือเซียวหวนไว้แน่น มองเขาเป็นเชิงขอความช่วยเหลือ

เข้าห้องหอ? ใครก็ได้บอกข้าที ขันทีจะเข้าห้องหออย่างไร!

หรือจะฆ่าข้าทิ้งแล้วฝังลงดินพร้อมกับของล้ำค่าของเสิ่นเสวียนที่ถูกตอนทิ้งท่อนนั้น เป็นการแต่งงานของคนตาย?

เซียวฉางหนิงคิดถึงภาพเหตุการณ์นั้นแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ฟันกระทบกันดังกึกๆ

“ช้าก่อน” เหลียงไทเฮาพูดเสียงเข้ม “แม้อดีตฮ่องเต้จะทรงมีพระเมตตาให้เกียรติแต่งตั้งเสิ่นเสวียนเป็น ‘พระเก้าพันปี’ แต่เขายังถือเป็นราชบุตรเขยของต้าอวี๋อีกด้วย เหตุใดจึงไม่มารับฉางหนิงด้วยตนเอง”

“ขอไทเฮาอย่าทรงถือโทษเลยพ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าผู้บัญชาการมีภารกิจมากมาย ปลีกตัวมาไม่ได้จริงๆ” เผชิญกับสายตามืดมนของเหลียงไทเฮา ฟางอู๋จิ้งกลับแย้มรอยยิ้มงดงามราวกับอยู่ในห้วงรัก “อีกอย่างหากไม่มีใต้เท้าผู้บัญชาการที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยทั้งวันทั้งคืน ไทเฮาจะทรงมีชีวิตสงบเป็นสุขเช่นนี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้า!” ห้านิ้วใต้แขนเสื้อของเหลียงไทเฮากำแน่น นางกลั้นลมหายใจอยู่นานก่อนจะพูดอย่างอารมณ์เสียว่า “ฉางหนิงอย่างไรก็เป็นสายเลือดราชวงศ์ นางแต่งงานไปสำนักบูรพาครั้งนี้อย่าลืมเรื่องที่ผู้บัญชาการเสิ่นรับปากข้าไว้!”

“ไทเฮาวางพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ ขอเพียงทางไทเฮากับองครักษ์เสื้อแพร ไม่ก่อเรื่องอะไร ตำแหน่งฮ่องเต้ของสกุลเซียวย่อมนั่งได้อย่างมั่นคงแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ฟางอู๋จิ้งพูดพลางกวาดดวงตาเรียวยาวของตนเองเหล่มองไปที่ตัวเซียวฉางหนิงในชุดพิธีการสีแดงสดแล้วทำท่าผายมือเชิญ “องค์หญิงใหญ่ เชิญพ่ะย่ะค่ะ”

ริมฝีปากแดงของเซียวฉางหนิงเผยอเล็กน้อย ผ่านไปครู่ใหญ่จึงสงบสติได้ พูดด้วยลมหายใจสั่นเล็กน้อย “ตงซุ่ย ไปอุ้มหู่พั่วมา”

หู่พั่วคือแมวกระดองเต่า ตัวหนึ่งที่เซียวฉางหนิงเลี้ยงเอาไว้ ซึ่งได้มาจากอดีตฮ่องเต้ที่เคยมอบไว้เป็นของขวัญวันเกิดให้นางเมื่อสองปีก่อน ตำหนักในลึกล้ำยากหยั่ง หนึ่งคนหนึ่งแมวอยู่ด้วยกันมาสองปีจนเกิดความผูกพันกันแล้ว ออกเรือนครั้งนี้นางจะนำมันไปด้วย ต่อให้วันหน้าไปสู่ปรโลกแล้วก็ยังสามารถคอยดูแลกันได้

นางกำนัลนามว่าตงซุ่ยเช็ดน้ำตาพลางอุ้มแมวมา แมวขนลายน้ำตาลดำตัวนี้นิสัยหยิ่งทะนงอย่างยิ่ง มันไม่ชอบเข้าใกล้คนแปลกหน้า จึงยกกรงเล็บข่วนแขนของตงซุ่ยทีหนึ่ง จากนั้นก็กระโดดเข้าไปในอ้อมกอดของเซียวฉางหนิง

เซียวฉางหนิงมองแมวกระดองเต่าท่าทางเกียจคร้านในอ้อมกอดก็รู้สึกถึงความเศร้าสลดขึ้นมา

หู่พั่วเอ๋ยหู่พั่ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันเวลาที่ดีของพวกเรามาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

หู่พั่วร้อง “เหมียว” เสียงหนึ่งอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว หรี่ตาสัปหงก

ตอนออกเรือน สุดท้ายเซียวฉางหนิงก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ สองพี่น้องจูงมืออำลากันอย่างอาลัยอาวรณ์ ร้องไห้น้ำตาร่วงหล่นดั่งสายฝน ราวกับกำลังแสดงฉากจากเป็นจากตายกัน เสียเวลากันอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดรถเจ้าสาวแต่งผ้าแดงก็ได้เคลื่อนออกจากวัง

รถเจ้าสาวออกทางประตูเสวียนอู่ เคลื่อนเลียบกำแพงวังผ่านประตูตงหวา ผ่านคูเมือง แล้วตรงไปที่สำนักบูรพา

คนที่มาดูความคึกคักบนถนนมีจำนวนมาก แต่ไม่มีใครโห่ร้องแสดงความยินดีแม้สักคน ทุกคนต่างมีสีหน้าเห็นใจ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเหล่าคุณชายที่รักหยกถนอมบุปผา* ลอบติดแถบผ้าขาวไว้บนแขน ไว้อาลัยให้แก่องค์หญิงใหญ่ที่ใกล้จะตายตั้งแต่วัยเยาว์

“น่าสงสารเสียจริง หญิงสาวที่งดงามราวหยกราวบุปผากลับต้องแต่งไปเป็นม่ายให้แก่ขันทีคนหนึ่ง”

“บ้านเมืองเลวร้ายลงทุกที…”

“สำนักบูรพากำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว ช้าเร็วต้องถูกผลกรรมตามสนองแน่นอน!”

“ชู่! เจ้าหน้าที่ของสำนักบูรพามีอยู่ทั่วทุกที่ พูดอะไรระวังสักนิดเถิด!”

น่าเสียดาย เสียงพร่ำบ่นถึงความอยุติธรรมที่เบาบางเหล่านี้ถูกเสียงเป่าแตรตีกลองอันรื่นเริงกลบไปอย่างรวดเร็ว

ระยะทางไปสำนักบูรพาแม้จะสั้นแต่กลับดูยาวนาน

ตอนที่รถเจ้าสาวหยุดลงซย่าลวี่กับตงซุ่ยกำลังถือกล่องเครื่องแป้งเติมหน้าให้เซียวฉางหนิงที่ร้องไห้จนใบหน้าเปรอะเปื้อน ทว่าเติมไปเติมมานางกำนัลสองคนกลับร้องไห้ขึ้นมาเองเสียก่อน

“องค์หญิงใหญ่ ทรงลงจากรถเถิดเพคะ ผู้บัญชาการเสิ่นมารับท่านแล้ว” เสียงเรียกของชิวหงนางกำนัลอาวุโสดังขึ้นนอกม่านรถอย่างร้อนใจอยู่บ้าง “ผู้บัญชาการเสิ่นมาแล้วจริงๆ เพคะ พวกเขาต่างถือดาบเอาไว้ องค์หญิง…”

ชิวหงยังพูดไม่จบ เซียวฉางหนิงก็ได้ยินขันทีของสำนักบูรพาทั้งหมดคุกเข่าลงพร้อมกัน จากนั้นก็ใช้เสียงแหลมเล็กที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของผู้ที่ถูกตอนพูดว่า “คารวะใต้เท้าผู้บัญชาการ!”

เซียวฉางหนิงที่อยู่ในรถเจ้าสาวนั่งหลังตรงทันที กอดแมวกระดองเต่าในอ้อมกอดไว้แน่น “หู่พั่ว! เขามาแล้ว ทำอย่างไรดี! ข้าจะตายแล้ว!”

หู่พั่วถูกรบกวนการนอนพักจึงยืดตัวบิดขี้เกียจแล้วส่งเสียง “เหมียว” อย่างไม่พอใจ

เสียงฝีเท้ามั่นคงเสียงหนึ่งเข้ามาใกล้ จากนั้นเสียงบุรุษทุ้มต่ำน่าฟังเสียงหนึ่งก็ดังลอยมา เขาส่งเสียงขานรับคำหนึ่งก่อนกล่าวว่า “ลุกขึ้น”

“ใต้เท้าผู้บัญชาการ ข้าน้อยรับฮูหยินมาให้ท่านแล้วขอรับ” ฟางอู๋จิ้งยิ้มสดใส พูดหยอกเย้าว่า “เพียงแต่ฮูหยินขี้กลัวอยู่บ้างจึงไม่กล้าพบหน้าคน”

เซียวฉางหนิงราวกับเผชิญหน้าศัตรูแข็งแกร่ง นางกลั้นลมหายใจพลางห่อไหล่ตามสัญชาตญาณ

เห็นหลังม่านผ้าโปร่งไม่มีความเคลื่อนไหว เสียงทุ้มต่ำบีบคั้นของเสิ่นเสวียนดังขึ้นอีกครั้ง “องค์หญิงใหญ่จะทรงลงจากรถเองหรือให้กระหม่อมเชิญลง”

สุ้มเสียงนั้นไม่มีกลิ่นอายความเป็นหญิงเหมือนขันทีทั่วไป ชวนให้รู้สึกกดดันอย่างยิ่ง

ช่างเถิด อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดี

เซียวฉางหนิงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง พยายามสงบอารมณ์อย่างยิ่ง แล้วพูดกับนางกำนัลสองคนที่มีน้ำตาคลอ “เช็ดน้ำตาเสีย แล้วประคองข้าลงจากรถ”

ยามพลบค่ำค่อยๆ มาเยือน ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดโชยเอื่อย ใบเฟิงสีแดงดังเพลิงล่องลอยตามสายลม ม่านผ้าโปร่งสีแดงเปิดออกช้าๆ องค์หญิงใหญ่ฉางหนิงที่อายุสิบเจ็ดปีสวมชุดแต่งงานเพริศพริ้ง ริมฝีปากใต้ม่านพู่ทองสีสดงดงาม สองมือที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อขาวนวลราวหยก

ตอนที่ลงจากรถตัวของนางโอนเอนไปเล็กน้อย แต่กลับมายืนนิ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยืนอยู่ข้างรถ มองชายหนุ่มตรงหน้าที่อยู่ในชุดสีแดงเช่นกัน

นั่นเป็นชายหนุ่มที่รูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง

พูดจากใจจริง เสิ่นเสวียนไม่ได้มีหน้าตาดุร้ายเหมือนที่นางคาดคิดไว้ ถึงขั้นพูดได้ว่าเขาสง่างามไม่ธรรมดา สีผิวค่อนข้างขาว คิ้วยาวถึงขมับอยู่เหนือนัยน์ตาหงส์ที่เรียวยาวลึกล้ำ สันจมูกโด่งตรง ริมฝีปากงามได้รูป แก้มที่ค่อนข้างตอบช่วยเพิ่มความดุดันให้แก่ใบหน้าสง่างามของเขาหลายส่วน

เสิ่นเสวียนเพียงคนเดียวก็น่ากลัวพอแล้ว ทว่าที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือที่ข้างกายเขายังมีสุนัขดำตัวใหญ่ที่น่าเกรงขามตัวหนึ่งหมอบอยู่อีกด้วย

เซียวฉางหนิงไม่เคยเห็นสุนัขตัวใหญ่ถึงเพียงนี้มาก่อน! ขนของมันสีดำทั้งตัว กรงเล็บแหลมคม ขนาดตัวพอๆ กับหมาป่า! เวลานี้กำลังใช้ดวงตาสีเขียวเข้มมองสำรวจนายหญิงที่มาใหม่ผู้นี้ด้วยสายตาเหมือนอยากจะเขมือบเข้าไป…

เสิ่นเสวียนลูบหัวสุนัขดำตัวใหญ่ ยกมุมปากขึ้นช้าๆ หัวเราะด้วยน้ำเสียงที่อธิบายไม่ได้ให้เซียวฉางหนิงเสียงหนึ่ง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: