บทที่สิบสาม
ถึงวันก่อนหน้าวันเทศกาลฉงหยาง ไม่เพียงค่ายทหารที่ยังพำนักอยู่นอกเมืองชั่วคราว ผู้คนแทบจะทั้งเมืองเจี้ยนคังต่างพูดถึงเรื่องนี้กันอย่างคึกคักฮึกเหิม
ลู่เจี่ยนจือ คุณชายใหญ่สกุลลู่เป็นฝ่ายขอเข้าแข่งขันการทดสอบจากเกาเซี่ยงกงพร้อมกับหลี่มู่ในวันเทศกาลฉงหยางด้วยเช่นกัน
ผู้ชนะจะได้เป็นบุตรเขยสกุลเกา
และเกาเซี่ยงกงกำหนดสถานที่ทดสอบทั้งสองคนนั้นไว้บนภูเขาฟู่โจว ถึงตอนนั้นไม่ห้ามราษฎรเข้าชม นับเป็นการแข่งขันคัดเลือกบุตรเขยอย่างเปิดเผย
ผู้หนึ่งเป็นบุตรหลานตระกูลขุนนางที่มีความสามารถโดดเด่น ไม่เพียงความสามารถด้านการประพันธ์ยอดเยี่ยม ผลงานในการสู้รบก็โดดเด่น เรียกได้ว่ามีความสามารถพร้อมทั้งบู๊และบุ๋น เป็นอัจฉริยบุคคลของโลก
ผู้หนึ่งมาจากครอบครัวสามัญชน เป็นนายทหารหนุ่มที่มีชื่อเสียงจากการทำศึกใหญ่ที่เจียงเป่ย ได้รับความเคารพเลื่อมใสสนับสนุนจากทหารในกองทัพนับพันนับหมื่น เป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในช่วงนี้
อารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดที่สั่งสมมาเป็นเวลายาวนานจากความรู้สึกอันเป็นปรปักษ์ระหว่างตระกูลขุนนางกับสามัญชนคล้ายลุกไหม้และระเบิดออกมาทั้งหมดเพราะเรื่องนี้…
ฟ้าราวกับเป็นใจ วันเทศกาลฉงหยาง ท้องฟ้าในฤดูใบไม้ร่วงปลอดโปร่ง อากาศเย็นสบาย ฟ้ายังไม่สว่าง บริเวณตีนเขาฟู่โจวก็มีผู้คนทยอยกันมาชมการแข่งขันแล้ว คนมากขึ้นทุกทีและเริ่มพากันแสดงความคิดเห็น คาดเดาว่าใครจะเป็นผู้ชนะ มีคนฉวยโอกาสเปิดการพนันขันต่อ เลือกข้างว่าฝ่ายใดได้ชัยชนะ ถ้าทายถูกก็จะได้รับเงินตามหลักฐานที่มี มีผู้เข้าร่วมพนันด้วยจำนวนมาก
ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้นแล้ว ไม่ถึงยามซื่อ เชิงเขาฟู่โจวที่ปกติเงียบเหงาก็ถูกคนที่มาชมการแข่งขันเบียดเสียดกันจนแม้แต่น้ำก็ไหลผ่านไม่ได้ ทุกคนต่างชะเง้อคอรอช่วงเวลาที่เกาเซี่ยงกงคัดเลือกบุตรเขยมาถึง
ยามซื่อ ตามเสียงเปิดทางที่น่าเกรงขาม ฮ่องเต้ซิงผิงก็ออกจากวัง ประทับราชรถภายใต้การห้อมล้อมขององครักษ์และกองทหารเกียรติยศ ในที่สุดก็ปรากฏพระวรกายแล้ว
อาณาประชาราษฎร์พากันคุกเข่าลงรับเสด็จ
เกาเฉียว ลู่กวง รวมทั้งสวี่มี่ต่างอยู่ข้างราชรถเดินเท้าตามมา
เพื่อให้สอดคล้องกับเทศกาลฉงหยาง สถานที่ทดสอบในวันนี้จึงกำหนดไว้ที่ภูเขาฟู่โจวซึ่งเป็นสถานที่ปีนเขาที่มีชื่อเสียงบริเวณชานเมืองด้านเหนือ
แท่นชมทัศนียภาพแห่งหนึ่งตรงเชิงเขา เดิมสร้างขึ้นสำหรับผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่และขุนนางผู้เรืองอำนาจในเมืองที่ชอบเที่ยวภูเขาและน้ำไว้พักผ่อนตอนปีนเขา วันนี้เปลี่ยนมาเป็นสถานที่ตัดสิน ปูพรมที่พื้นตั้งโต๊ะหลายตัว โต๊ะตัวกลางเป็นที่ประทับของฮ่องเต้ สองข้างเป็นที่นั่งของเกาเฉียว สวี่มี่ ลู่กวง และคนอื่นๆ เรียงไปตามลำดับ
เกาเฉียวนับแต่ปรากฏตัว สีหน้าก็เคร่งขรึมเป็นพิเศษ ลู่กวงนั่งอยู่ข้างๆ หลังจากเข้านั่งประจำที่ก็มองจ้องสวี่มี่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มุมปากมีรอยยิ้มหยันจางๆ
สวี่มี่กลับอารมณ์ดี พูดคุยสนุกสนานอยู่กับขุนนางในราชสำนักคนหนึ่ง กระทั่งผู้ติดตามคนหนึ่งค้อมตัวลงข้างหูเขา บอกเสียงเบาว่า “ซือถู สถานพนันที่ตีนเขาเหล่านั้น คนลงข้างคุณชายลู่ชนะเป็นส่วนใหญ่ขอรับ”
รอยยิ้มบนใบหน้าสวี่มี่เลือนหาย มองไปทางตีนเขาที่มีศีรษะผู้คนเบียดเสียดกันแน่นขนัด แล้วแค่นเสียงฮึออกมาทางจมูกทีหนึ่ง
ยามซื่อสองเค่อ พร้อมๆ กับเสียงระฆังที่ที่เจ้าหน้าที่พิธีการเคาะตีขึ้น เฝิงเว่ยเจ้าหน้าที่วังหลวงที่ได้รับเลือกให้ทำหน้าที่ผู้ดำเนินการในวันนี้ก็ก้าวออกมา ประกาศเปิดการทดสอบ สั่งให้บุรุษสกุลลู่และสกุลหลี่ทั้งสองคนก้าวออกมา ถวายบังคมจักรพรรดิซิงผิง หลังจากได้รับพระบรมราชานุญาตก็เชิญเกาเฉียวออกมาแถลงหัวข้อที่จะทดสอบ
เกาชียืนอยู่ข้างหลังเกาเฉียว ดวงตามองตรงไม่กะพริบ ครั้นเห็นเกาเฉียวมองมาเขาก็หยิบม้วนกระดาษออกจากแขนเสื้อ สองมือประคองก้าวออกมา
เกาชีเดินมาถึงข้างกายเฝิงเว่ย ทำความเคารพฮ่องเต้ซิงผิง จากนั้นก็หมุนตัวหันหน้าไปทางเหล่าขุนนางบู๊บุ๋นและบัณฑิตผู้มีชื่อเสียงจำนวนมากที่ได้รับอนุญาตให้นั่งเรียงกันอยู่ที่ด้านล่างแท่นชมทัศนียภาพเพื่อชมการแข่งขันอย่างใกล้ชิด สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ประกาศเสียงดัง “หนังสือม้วนนี้เซี่ยงกงเป็นผู้เขียนด้วยตนเอง ก่อนเปิดออกมา นอกจากเซี่ยงกงแล้วก็ไม่มีใครรู้หัวข้อ เซี่ยงกงกล่าวไว้ บุตรเขยสกุลเกาจะต้องมีความสามารถพร้อมทั้งบู๊และบุ๋น ไม่อาจขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนั้นการทดสอบในครั้งนี้จึงกำหนดไว้สามด่าน”
เขายกแขนข้างหนึ่งชี้ไปยังศาลารับลมหลังหนึ่งที่อยู่บนยอดเขาสูงซึ่งตั้งอยู่ห่างหลายสิบจั้ง ไม่นับว่าไกลมากนัก “ทุกท่านโปรดดู”
ทุกคนมองตามมือเขา พากันแหงนหน้ามองไป ถึงได้สังเกตเห็นว่าบนยอดศาลารับลมมีจูอวี๋ มัดอยู่ช่อหนึ่ง ลมภูเขาพัดมา จูอวี๋ก็แกว่งไกวไปมาอยู่บนยอดศาลา
“เซี่ยงกงกล่าว เพื่อให้เหมาะกับเทศกาลในวันนี้ จึงใช้จูอวี๋เป็นสัญลักษณ์ของผู้ชนะ ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองเริ่มทำการทดสอบพร้อมกัน ใครผ่านด่านทั้งสามได้ก่อน ก็ปีนขึ้นไปบนยอดเขาเอาจูอวี๋ลงมา ผู้นั้นก็เป็นบุตรเขยของเซี่ยงกง ผู้แพ้เซี่ยงกงจะมอบเรือนริมทะเลสาบเชวี่ยให้ ถือเป็นการแสดงน้ำใจเล็กน้อย”
เกาชีประกาศจบก็มอบม้วนกระดาษในมือให้กับเฝิงเว่ย
ม้วนกระดาษถูกปิดผนึกด้วยขี้ผึ้งน้ำมัน
ด้วยชื่อเสียงบารมีของเกาเฉียว ในเมื่อเขาประกาศต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ ย่อมไม่มีใครสงสัยว่าเขาจะแอบปล่อยให้หัวข้อทดสอบรั่วไหลเพื่อจะเลือกบุตรเขยได้ดังใจ
รอบด้านเปลี่ยนเป็นเงียบกริบไม่มีแม้แต่เสียงนกเสียงกา ดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองมาที่ม้วนกระดาษในมือเฝิงเว่ยพร้อมกัน
เฝิงเว่ยเปิดม้วนกระดาษออกมาอย่างระมัดระวัง กวาดตาอ่านคร่าวๆ รอบหนึ่ง แล้วอ่านข้อความที่เขียนอยู่ในนั้นด้วยเสียงอันดังรอบหนึ่ง
วันนี้แม้จะมีเพียงสามหัวข้อ แต่ทั้งหมดกลับกำหนดไว้สี่ด่าน…สองบุ๋นสองบู๊
ด่านทั้งสี่มีดังนี้
ด่านแรกที่ต้องเข้าทดสอบเป็นบุ๋น การทดสอบคือความจำของคนทั้งสอง สถานที่ก็อยู่ที่แท่นชมทัศนียภาพแห่งนี้ ที่นี่เกาเฉียวจะแสดงประโยคความเรียงคู่ขนาน หนึ่งพันตัวอักษรหนึ่งแผ่น ให้ทั้งสองคนอ่านออกเสียง หลังจากจดจำไว้แล้วก็แข่งกันเขียนออกมา ใครเขียนเสร็จในรวดเดียวได้ก่อน ตรวจดูแล้วไม่มีคำผิด ก็ไปด่านที่สองต่อได้เลย ถ้าสะดุดกลางคันหรือมีคำผิด สามารถดูข้อความเดิมได้อีกครั้ง แต่ต้องเริ่มเขียนตั้งแต่ต้นใหม่ ด่านนี้ไม่กำหนดเวลา แต่จำเป็นต้องผ่านด่านนี้ให้ได้จึงจะสามารถไปทดสอบด่านต่อไป
ด่านที่สองด่านบู๊ เป็นอีกด่านที่จำเป็นต้องทดสอบ ที่ทดสอบคือฝีมือการยิงธนู โดยจะตั้งเป้ายิงห่างออกไปสามสิบจั้ง ตรงใจกลางเป้ามีเงินเหรียญติดอยู่เหรียญหนึ่ง ใครสามารถยิงธนูให้หัวธนูพุ่งเข้าไปในรูที่อยู่ตรงกลางเหรียญได้โดยไม่ทำให้เหรียญเสียหายก็ถือว่าผ่าน ไปด่านที่สามต่อไปได้เลย ซึ่งถือเป็นด่านสุดท้ายแล้ว
และเพื่อความยุติธรรม ด่านสุดท้ายจะมีอยู่สองด่าน ให้เลือกเพียงด่านใดด่านหนึ่ง ด่านแรกเป็นการทดสอบความสามารถด้านบุ๋น การอภิปรายถกปัญหา ด่านสองทดสอบความสามารถด้านบู๊ ภูเขาพยัคฆ์ ทั้งสองคนสามารถเลือกด่านใดด่านหนึ่งที่ตนมีความถนัด
ใครสามารถผ่านด่านทั้งสามได้โดยราบรื่น เอาช่อจูอวี๋ที่อยู่บนยอดศาลารับลมมาได้ ผู้นั้นก็คือผู้ชนะในวันนี้
เฝิงเว่ยอ่านหัวข้อทดสอบไปก็มีคนที่ชอบเจ้ากี้เจ้าการเอาหัวข้อเหล่านี้ไปบอกต่อ ไม่นานก็รู้ไปถึงตีนเขา
ผู้ชมที่อยู่บริเวณตีนเขาเหล่านั้น นอกจากชาวบ้านที่มาชมความสนุกแล้ว ยังมีบุตรหลานตระกูลขุนนางขั้นรองลงไปกับผู้ได้รับการศึกษาเล่าเรียนที่มาจากครอบครัวต่ำต้อย รวมทั้งทหารในกองทัพอีกจำนวนไม่น้อย
ปกติคนเหล่านี้เรียกได้ว่าไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกันเลย วันนี้กลับมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ เพียงแต่แบ่งแยกกลุ่มกันอย่างชัดเจน
ตระกูลขุนนางอยู่ด้านหนึ่ง ครอบครัวต่ำต้อยอยู่ด้านหนึ่ง ตรงกลางมีแม่น้ำกั้นแดนฉู่ฮั่น ว่างเปล่าไม่มีคน
วันนี้เป็นเทศกาลฉงหยางพอดี ที่นี่นอกจากฮ่องเต้และขุนนางชั้นสูงในราชสำนักแล้ว ยังดึงดูดสตรีสูงศักดิ์ที่ได้ยินข่าวให้มาชมการแข่งขันไม่น้อย ในบรรดาคนเหล่านั้นนอกจากองค์หญิงใหญ่ชิงเหอกับลู่ฟูเหรินแล้ว ได้ยินว่ายังมีอวี้หลินหวังเฟยผู้นั้นด้วย
ที่นั่งของบรรดาสตรีสูงศักดิ์ย่อมแยกจากบุรุษ เลือกเอาพื้นที่ราบแห่งหนึ่งตรงไหล่เขาตั้งกระโจมติดม่าน คนนั่งอยู่ข้างใน ใช้ม่านหลากสีปิดคลุมไว้ ข้างในมองเห็นข้างนอก แต่ข้างนอกมองเห็นข้างในไม่ชัดเจน มองจากที่ไกลเพียงเห็นเงาร่างเคลื่อนไหวไปมาตะคุ่มๆ แต่ถ้าโชคดีพอ ตอนลมภูเขาพัดม่านตลบขึ้น ไม่แน่อาจยังพอแอบมองคนที่อยู่ข้างในได้สักคนสองคน
พวกคนเจ้าชู้กรุ้มกริ่มที่อยู่ในหมู่ผู้คน ตอนแรกก็ชะเง้อคอมองมาทางที่เหล่าสตรีสูงศักดิ์อยู่ ทันทีที่ได้ยินหัวข้อการทดสอบทั้งสี่ คนก็ไม่มองแล้ว ทั้งสองด้านต่างส่งเสียงฮือฮาขึ้นมา
บุตรหลานตระกูลขุนนางส่วนใหญ่กำลังเปล่งเสียงร้องด้วยความดีอกดีใจ ส่วนคนจากครอบครัวต่ำต้อยกลับพากันร้องตะโกนว่าเซี่ยงกงออกหัวข้อทดสอบไม่ยุติธรรม เห็นชัดว่าโน้มเอียงไปทางลู่เจี่ยนจือ ส่งเสียงดังโวยวายไม่หยุด
ตีนเขาเป็นเช่นนี้ บนไหล่เขาก็ไม่ต่างกัน
เฝิงเว่ยอ่านหัวข้อจบก็เอาม้วนกระดาษขึ้นถวายฮ่องเต้ซิงผิง เพื่อเป็นประจักษ์พยาน
ลู่กวงระบายลมหายใจยาว อดใจไว้ไม่อยู่ บนใบหน้าปรากฏแววกระหยิ่มใจน้อยๆ
สวี่มี่ลุกขึ้นมาทันที ปากยิ้มตาไม่ยิ้ม “จิ่งเซิน ไม่ใช่พี่ชายผู้โง่เขลาตั้งใจจะจับผิดหรอกนะ แต่ท่านออกหัวข้อทดสอบเช่นนี้ ดูเหมือนเที่ยงธรรม แต่ความจริงค่อนข้างเอนเอียง ทั้งสามหัวข้อไม่มีข้อใดไม่เอื้อประโยชน์ต่อคุณชายลู่! คุณชายลู่สติปัญญาเฉลียวฉลาด เจ็ดขวบแต่งบทกวีได้ ทุกคนต่างรู้ อีกทั้งเขายังเชี่ยวชาญการยิงธนู ด่านบู๊ในหัวข้อที่สองก็สอดคล้องกับความสามารถของคุณชายลู่อีก ข้อสุดท้ายเลือกหนึ่งในสอง อภิปรายถกปัญหาที่ลึกซึ้งยิ่งเป็นความถนัดของคุณชายลู่ ถ้าหลี่มู่ก็เลือกอภิปรายถกปัญหา ยังไม่พูดถึงว่าเขารู้หรือไม่ว่าอะไรคืออภิปรัชญา หากอีกฝ่ายจงใจกลั่นแกล้ง เขาจะชนะได้อย่างไร ถ้าเขาเปลี่ยนไปเลือกภูเขาพยัคฆ์ ตอนฝ่าด่านอย่างลำบาก คุณชายลู่ก็เจอผู้ร่วมถกปัญหาที่มีใจจะช่วยเขาเข้าพอดี ไยมิใช่ผ่านด่านได้โดยราบรื่น ปีนขึ้นไปบนยอดเขาได้โดยเร็ว มาพูดถึงด่านแรก ดูเหมือนเที่ยงธรรม ไม่ใช่ข้าไม่เชื่อท่าน แต่ใครรับรองได้ว่าบทกวีที่ท่านจะแสดงออกมา ก่อนหน้านี้คุณชายลู่ไม่เคยอ่านมาก่อน”
สวี่มี่ยิ้มหยัน ส่ายหน้าไม่หยุด
“ไม่ยุติธรรม! ไม่ยุติธรรม!”
ลู่กวงสีหน้าเปลี่ยนเป็นไม่พอใจ “ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือสงสัยว่าพี่เกาแอบเผยหัวข้อทดสอบให้เจี่ยนจือรู้ ถอยหมื่นก้าวมาพูด ถึงเมื่อก่อนเจี่ยนจือเคยอ่านบทกวีของพี่เกามาบ้าง ก็ต้องยกความดีให้เขาที่ปกติอ่านมากฟังมากมีความจำที่ดี ในเมื่อเป็นการทดสอบวิชาความรู้ จะมีความผิดได้อย่างไร ส่วนที่ว่าการอภิปรายถกปัญหาก็ยิ่งเหลวไหล! ถ้าหลี่มู่โชคดีผ่านสองด่านแรกไปได้และแพ้ที่ด่านนี้ ก็ได้แต่ต้องโทษว่าเขาไร้ความสามารถเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่เกาไม่ใช่ยังมีด่านภูเขาพยัคฆ์อีกด่านหรือ เขาสามารถเลือกจุดแข็งเลี่ยงจุดอ่อน ตัดสินแพ้ชนะกับเจี่ยนจือได้!” ทั้งสองโต้เถียงกันอยู่บนแท่น เหล่าขุนนางกับบัณฑิตที่อยู่ด้านล่างก็พากันกระซิบกระซาบ วิพากษ์วิจารณ์กัน
เกาเฉียวค่อยๆ ลุกจากที่นั่ง
ขณะที่เขาลุกขึ้นมายืน รอบด้านก็พากันเงียบเสียงลง
“ซือถูยังจำได้หรือไม่ วันนั้นข้าเคยเชิญซือถูมาเป็นผู้ตัดสินด้วยกัน บทกวีที่จะใช้ในด่านแรกก็ขอเชิญซือถูมาช่วยข้าอีกแรง ซือถูใช้เทศกาลฉงหยางในวันนี้เป็นหัวข้อ แต่งบทกวีขึ้นมาในที่นี้เลยเถิด จากนั้นก็ใช้บทกวีที่ซือถูแต่งขึ้นมา ทดสอบความจำของพวกเขาสองคน ซือถูเห็นเป็นอย่างไร”
ทุกคนพากันผงกศีรษะ
สวี่มี่ถึงได้ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้น ข้าก็ขอแสดงฝีมืออันต่ำต้อยแล้ว”
ดวงตาของเขากลอกไปมาอีกครั้ง “แต่ด่านที่สาม ไม่ทราบยอดฝีมือที่ท่านเชิญมาอภิปรายถกปัญหา เป็นผู้ใดมาจากที่ใด ถ้าเขามีใจคิดเข้าข้าง ข้าเกรงว่าหลี่มู่จะต้องเสียเปรียบ”
เกาเฉียวยิ้มบาง “บัณฑิตอภิปรัชญาในปัจจุบันวันนี้ล้วนนั่งอยู่ที่นี่ ถ้าทั้งสองต่างเลือกด่านนี้ สกุลลู่เป็นคนเลือกบัณฑิตผู้หนึ่ง ออกหัวข้อทดสอบหลี่มู่ ซือถูท่านก็เลือกบัณฑิตผู้หนึ่ง ออกหัวข้อทดสอบเจี่ยนจือ เป็นอย่างไร”
สวี่มี่ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ด่านแรก เขาแทบจะสรุปได้เลยว่าหลี่มู่ต้องออกจากด่านช้ากว่าลู่เจี่ยนจือ
เกาเฉียวกำหนดให้ด่านนี้เป็นด่านแรก ดูคล้ายไม่มีเจตนา แต่ถ้าใคร่ครวญดูอย่างละเอียดกลับมีจุดที่น่าขบคิดอย่างมาก
ลู่เจี่ยนจือสติปัญญาเฉลียวฉลาด กระทั่งได้ชื่อว่าผ่านตาก็ท่องได้ หากหลี่มู่คิดจะเอาชนะลู่เจี่ยนจือในด่านนี้ พูดได้ว่าความหวังเลือนรางมาก ถ้าในด่านแรกหลี่มู่ล่าช้ากว่ามาก จะต้องร้อนใจหุนหันพลันแล่น รอถึงด่านที่สอง ลู่เจี่ยนจือก็จากไปไกลไม่เห็นฝุ่นแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้ฝีมือการยิงธนูของหลี่มู่จะยอดเยี่ยมเพียงใดก็ต้องได้รับผลกระทบ
และถ้าคาดการณ์ไม่ผิด ด่านสุดท้ายลู่เจี่ยนจือจะต้องเลือกการอภิปรายถกปัญหา
บัณฑิตอภิปรัชญาในปัจจุบันที่มาในวันนี้ ในนั้นย่อมมีคนที่มีสัมพันธไมตรีอันดีกับตน ต่อให้ลู่เจี่ยนจือเชี่ยวชาญในด้านนี้ แต่ขอเพียงคนผู้นั้นลิ้นลมคมคาย คารมดีโต้แย้งเก่ง พยายามถ่วงเวลาลู่เจี่ยนจือในด่านนี้ให้ยาวนานออกไป เช่นนั้นต่อให้ช่วงแรกหลี่มู่ล่าช้ากว่าก็สามารถใช้โอกาสนี้เร่งรุดไล่ตามมาทัน
ด้วยความสามารถด้านการต่อสู้ของหลี่มู่ สามารถผ่านด่านภูเขาพยัคฆ์มาได้อย่างราบรื่น มาช่วงชิงช่อจูอวี๋กับลู่เจี่ยนจืออีก ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่
นั่นก็คือการจัดการเช่นนี้ แม้ไม่อาจรับรองได้ว่าหลี่มู่จะได้ชัยชนะ แต่อย่างน้อยยังพอมีโอกาสให้หลี่มู่ได้ต่อสู้ช่วงชิงในการทดสอบที่เห็นชัดว่าเขาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเช่นนี้
สวี่มี่ใคร่ครวญจบก็จำใจพยักหน้า
“ทำตามที่เกาเซี่ยงจัดการ!”
ตอนเกาเฉียวกลับไปนั่งที่ สายตาก็ระผ่านลู่เจี่ยนจือกับหลี่มู่ที่ยืนเคียงข้างกันอยู่ในลานไป
ลู่เจี่ยนจือหน้าตาสดใสมีชีวิตชีวา รูปร่างดุจต้นไม้หยก เป็นรูปร่างหน้าตาท่วงทีของบุรุษที่ทุกคนในเวลานี้ต่างใฝ่ฝันหา นับแต่เขาปรากฏตัวขึ้นที่ตีนเขาเมื่อเช้านี้ สายตาของสตรีที่อยู่สองข้างทางก็จับจ้องมาที่ร่างเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่บุรุษด้วยกันก็ยังส่งสายตาอิจฉามาไม่ขาด
ส่วนหลี่มู่…
กลับอยู่อีกขั้วหนึ่ง
สายตาของเกาเฉียว จับนิ่งอยู่ที่ร่างชนรุ่นหลังผู้นิ่งเงียบ หรือจะบอกว่าความคิดลุ่มลึกจนทำให้ตนออกจะมองไม่ออก กระทั่งเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมารำไรอยู่ชั่วขณะ
หลายวันมานี้เกาเฉียวนับวันยิ่งเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้น
หลี่มู่คล้ายดาบคมกริบที่ซุกซ่อนอยู่ในฝักหนา เมื่อใดที่ได้โอกาสชักออกจากฝักจะต้องสังเวยด้วยโลหิต
และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เกาเฉียวรู้สึกว่าตนเองถึงกับมองคนผู้หนึ่งไม่ออก
ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ไม่คำนึงถึงความแตกต่างของฐานะ เมื่อพูดจากส่วนลึกของจิตใจแล้ว เขาก็ไม่ยินดีจะให้บุตรสาวของตนแต่งงานกับคนผู้นี้
เฝิงเว่ยเดินเข้ามากล่าวยิ้มๆ “คุณชายลู่ ขุนพลหลี่ ถ้าทั้งสองท่านไม่มีความเห็นต่าง การทดสอบก็จะเริ่มขึ้นแล้ว”
ลู่เจี่ยนจือสีหน้าเคร่งขรึม ค้อมตัวรับคำ
หลี่มู่สีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก เพียงพยักหน้าน้อยๆ
เฝิงเว่ยจึงหันไปทางสวี่มี่ “เชิญซือถูแต่งบทกวี”
เด็กรับใช้ในชุดสีเขียวอมดำหลายคนยกโต๊ะเข้ามาสองตัว ตั้งไว้กลางแท่นชมทัศนียภาพที่เว้นว่างเอาไว้ส่วนหนึ่ง วางแผ่นกระดาษ พู่กัน และหมึกแล้วถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
ความสามารถด้านการประพันธ์ของสวี่มี่แม้จะไม่โดดเด่น แต่การแต่งความเรียงประโยคคู่หนึ่งพันตัวอักษรขึ้นมาเฉพาะหน้า ไม่ถือเป็นเรื่องยากสำหรับเขา
เขาเดินมาที่หน้าโต๊ะ ม้วนแขนเสื้อขึ้น หยิบพู่กัน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็จุ่มหมึกตวัดพู่กัน เขียนบทกวีฤดูใบไม้ร่วงหนึ่งพันตัวอักษรออกมาอย่างรวดเร็ว
เฝิงเว่ยอ่านรอบหนึ่ง เอ่ยชมบทกวีว่าไพเราะงดงาม จากนั้นก็หันไปกล่าวกับลู่เจี่ยนจือและหลี่มู่ “สองท่านเริ่มได้”
รอบด้านเปลี่ยนเป็นเงียบกริบไร้เสียงนกเสียงกา ข้างหูเหลือเพียงเสียงลมภูเขาพัดผ่านป่าสนดังหวีดหวิว
ลู่เจี่ยนจือมองบทกวีฤดูใบไม้ร่วงบทนั้นอย่างจดจ่อ หลับตาลงครู่หนึ่งก็ลืมตาขึ้น เดินมาที่หลังโต๊ะตัวหนึ่งซึ่งจัดวางกระดาษ พู่กัน และแท่นฝนหมึกเอาไว้ เขาหยิบพู่กันขึ้นมาแล้วเริ่มเขียน ท่ามกลางสายตาที่ตื่นตะลึงและชื่นชมของผู้คน
ลู่กวงชายตามองสวี่มี่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่ง เห็นสีหน้าของเขาค่อนข้างไม่ชวนมองก็อดรู้สึกเบิกบานใจไม่ได้
เหนือความคาดหมาย ตามมาติดๆ กัน แทบจะเรียกได้ว่าเท้าหน้ากับเท้าหลัง หลี่มู่ก็มาถึงด้านหลังโต๊ะอีกตัวหนึ่ง เริ่มหยิบพู่กันเขียนอย่างรวดเร็ว
คนที่ห้อมล้อมชมอยู่ เห็นชัดว่าประหลาดใจกับเรื่องนี้อย่างมาก รอบด้านมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นมาเบาๆ
สวี่มี่กระชุ่มกระชวยขึ้นมาแล้ว เขาจับตามองหลี่มู่เขม็ง
ทั้งสองคนที่อยู่ตรงกลางถึงกับไม่ได้หยุดพักใดๆ เขียนรวดเดียว สุดท้ายก็วางพู่กันในมือลงแทบจะในเวลาเดียวกัน
เฝิงเว่ยกับเกาเฉียวต่างตรวจคนละแผ่น
ครู่เดียวเฝิงเว่ยก็ประกาศขึ้น บทกวีที่ลู่เจี่ยนจือคัดลอกถูกต้องไม่มีผิด ผ่านด่านนี้ไปได้
เขายกให้ทุกคนดู ตัวอักษรบนกระดาษสง่างามเป็นระเบียบดุจมังกรผาดโผนทำให้ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก
ลู่เจี่ยนจือหมุนตัววิ่งห้อตะบึงไปตามเส้นทางบนภูเขา ไปยังด่านที่สองซึ่งเป็นลานยิงธนู
เกาเฉียวก็ตรวจตัวอักษรที่ยังเปียกชุ่มของหลี่มู่เสร็จอย่างรวดเร็ว
ตัวอักษรขรุขระ แรงทะลุหลังกระดาษ ตามการตัดสินความงามของการคัดตัวอักษรของคนในสมัยนี้ นับว่ายังห่างไกลจากคำว่า ‘งดงาม’ อยู่มาก
เกาเฉียวเหลือบตาขึ้นมอง สายตาจับนิ่งที่เงาร่างที่ยืนอย่างสงบรอตนปล่อยตัวอยู่ เขากดข่มความรู้สึกยากบรรยายอย่างหนึ่งที่พวยพุ่งขึ้นมาในใจ กล่าวเสียงราบเรียบ “หลี่มู่ไปด่านต่อไปได้”
“หลี่มู่ เร็วหน่อย!”
สวี่มี่เผยสีหน้ายินดีอย่างเห็นได้ชัด แทบจะกระโดดขึ้นมาจากที่นั่ง ร้องเร่งไม่หยุด
หลี่มู่ค้อมคำนับเกาเฉียว เขาหมุนตัว แล้วเงยหน้ามองไปทางด่านต่อไปแวบหนึ่ง สูดลมหายใจเข้าลึก ก้าวเร็วๆ ไล่ตามไป
บทที่สิบสี่
ด่านที่สอง…ลานยิงธนู
ลู่เจี่ยนจือมาถึงก่อน เขาหยิบคันธนูและธนูเดินมายังจุดยิงธนู ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอาลูกธนูขึ้นพาดสาย น้าวคันธนูเป็นรูปจันทร์เต็มดวง
เดือยที่ปลายคันธนูทั้งสองด้าน เนื่องจากได้รับแรงจากแขนทั้งสองข้างของเขาอย่างเต็มที่ ทานรับไม่ไหวเริ่มส่งเสียงเอี๊ยดๆ จากการสั่นสะเทือนออกมา
ในขณะที่คันธนูถูกน้าวตึงจนคล้ายว่าพริบตาถัดมาก็จะขาดผึงนั่นเอง เขาก็ปล่อยนิ้วหัวแม่มือที่จับก้านธนูไว้แน่นออกทันที
ลูกธนูหลุดจากพันธนาการทันที พุ่งออกจากคันธนูตรงไปข้างหน้าดุจสายฟ้าแลบ แหวกอากาศเสียงดังเฟี้ยว ชั่วพริบตาเดียวมีเสียงดังฟุ่บ ปักเข้าไปกลางเป้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตรงๆ ไม่เอนไม่เอียง อยู่ในรูที่ตรงกลางเหรียญพอดี
ยิงครั้งเดียวเข้าเป้า!
ไม่เพียงแค่นั้นระหว่างกระบวนการทั้งหมดนี้ การยิงธนูของเขา ไม่ว่าจะเป็นการจับคันธนู หรือการเล็ง ก็ทำรวดเดียวจนสำเร็จดุจสายน้ำไหล ไม่มีหยุดชะงักแม้แต่น้อย เรียกได้ว่างดงามอย่างยิ่ง!
คนดูเป้าที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เข้าไปตรวจสอบ แล้วชูธงเป็นการบอกว่าผ่านด่าน
ชั่วขณะนั้นในลานยิงธนูมีเสียงโห่ร้องบอกดีดังขึ้น
คนที่ล้อมวงชมอยู่ นอกจากลูกศิษย์ลูกหากับคนที่มีสัมพันธไมตรีอันดีกับสกุลเกาและสกุลลู่แล้วก็เป็นพวกที่ปกติไม่ค่อยถูกกับสองสกุลนี้ เวลานี้ได้เห็นฝีมือการยิงธนูของลู่เจี่ยนจือแล้วก็ไม่อาจไม่เลื่อมใส
บุตรชายคนโตของสกุลลู่ ชื่อเสียงสมคำเล่าลืออย่างแท้จริง
เสียงโห่ร้องในลานยิงธนูที่อยู่ด้านหลังยังคงดังขึ้นตรงโน้นทีตรงนี้ที ลู่เจี่ยนจือกลับคล้ายไม่ได้ยินแม้แต่น้อย
เขาวางคันธนูกับลูกธนูลง เงยหน้ามองไปยังด่านที่สาม ซึ่งก็เป็นทิศทางของลานอภิปรายถกปัญหา จากนั้นก็สาวเท้าวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่เขาเพิ่งวิ่งไปได้สิบกว่าก้าว ข้างหูเขาพลันเงียบสงบลง
นี่เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง
คล้ายว่าในเวลาชั่วพริบตาเดียว จู่ๆ คนหลายร้อยคนในลานยิงธนูที่อยู่ด้านหลังก็ถูกฝ่ามือยักษ์ข้างหนึ่งบีบลำคอไว้เช่นนั้น
ผู้คนเงียบเสียงไปพร้อมกัน!
ลู่เจี่ยนจือหยุดฝีเท้าลงตามสัญชาตญาณ หันหน้ากลับไปมอง
หลี่มู่มาถึงแล้ว ตามเขามาติดๆ
ไม่เพียงเท่านั้นในระหว่างที่ตนเพิ่งวิ่งออกมาได้สิบกว่าก้าว ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงชั่วกะพริบตานี้หลี่มู่ก็ปล่อยลูกธนูออกไปแล้ว
ที่รูเหรียญเงินตรงใจกลางเป้าที่สุดปลายอีกด้านหนึ่งก็มีลูกธนูดอกหนึ่งปักตรึงเข้าไปจนลึก
ก้านธนูยังสั่นไหวไม่หยุดนิ่งไปตามแรงส่งที่ยังเหลืออยู่
ลู่เจี่ยนจือเหมือนยังได้ยินเสียงสั่นไหวดังวิ้งๆ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะอยู่
ลานยิงธนูที่เมื่อครู่ก่อนยังเต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องพลันเงียบกริบลง พร้อมการปรากฏตัวของหลี่มู่และลูกธนูที่เขายิงออกไปดอกนั้น
แทบจะไม่มีใครทันได้เห็นชัดเจนว่าหลี่มู่น้าวคันธนูและปล่อยลูกธนูออกไปเช่นไร ลูกธนูดอกนั้นก็พุ่งออกจากคันธนูไปแล้ว
ไม่เพียงรวดเร็ว เรื่องของพละกำลังเองก็ยิ่งเปี่ยมอานุภาพประดุจอสนีบาตฟาดเปรี้ยง ทั้งเจือไปด้วยจิตสังหารจางๆ
อาจเพราะยังไม่ทันได้มีท่าทีโต้ตอบ หรืออาจเพราะอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ผู้ชมก็ไม่รู้ว่าที่แท้แล้วตนควรมอบเสียงไชโยโห่ร้องให้หลี่มู่ที่ยิงธนูเช่นนี้ออกไปดอกหนึ่งเหมือนเมื่อครู่ก่อนหรือไม่ หรือควรทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นดี ถึงได้ปรากฏฉากที่คาดคิดไม่ถึงเช่นนี้ขึ้นมากระมัง
ระหว่างการยิงธนูเพื่อสังหารคนซึ่งผ่านการฝึกฝนมาจากในสนามรบที่สับสนวุ่นวาย กับท่วงท่าการยิงธนูอันประณีตงดงามถือเป็นความภาคภูมิใจของบุตรหลานตระกูลขุนนางที่ฝึกฝนยิงธนูตั้งแต่เล็ก ย่อมมีความมุ่งหมายที่แตกต่างกัน
ในสนามรบที่เข่นฆ่าสังหารจนนัยน์ตาแดงไปด้วยโลหิต ไม่มีเวลาและไม่มีโอกาสให้ผู้ยิงธนูหรือหน้าไม้สามารถปล่อยลูกธนูของตนออกไปจากมุมที่ดีที่สุดได้เสมอไป
นอกจากพยายามถือคันธนูให้นิ่ง เล็งให้แม่น เด็ดเดี่ยวแน่วแน่แล้วก็ไม่มีกฎเกณฑ์อื่นในการเอาชีวิตรอดอีก
ด้วยเหตุนี้ยอดมือยิงธนูและหน้าไม้ที่ผ่านการทำศึกมามากมายแล้วยังสามารถมีชีวิตรอดมาได้ ย่อมไม่มีคนใดไม่ใช่อาวุธสังหารคนชั้นยอด
ท่วงท่าของพวกเขาอาจไม่งดงาม การเคลื่อนไหวยิ่งไม่อาจทำให้คนรู้สึกเจริญหูเจริญตา แต่สามารถใช้เวลาสั้นที่สุดยิงลูกธนูที่แม่นยำที่สุด มีอานุภาพในการเอาชีวิตได้มากที่สุด นี่ก็คือวิธีเดียวที่ทำให้พวกเขาเอาชีวิตรอดจากสนามรบมาได้ทุกครั้ง
ในช่วงสองสามปีแรกของการเข้าร่วมกองทัพ หลี่มู่เคยเป็นมือยิงธนูและหน้าไม้อยู่เป็นเวลานาน
เขาเคยเป็นมือยิงธนูและหน้าไม้ที่ยอดเยี่ยมผู้หนึ่ง
แทบจะเพียงแค่เดินไปแล้วก็เดินกลับมา หลี่มู่ก็วางคันธนูและธนูลงแล้ว
เขาไม่มีความลังเลแม้ชั่วขณะ เลือกหมุนตัวมุ่งไปยังทิศทางของภูเขาพยัคฆ์
ลู่เจี่ยนจือมองเงาด้านหลังที่มุ่งไปทางภูเขาพยัคฆ์ของหลี่มู่ สายตาก็ชะงักนิ่ง สีหน้าปรากฏแววเหม่อลอย
ครู่หนึ่งเขาพลันหมุนตัว ถึงกับหันไปยังทิศทางนั้น สาวเท้าเร็วๆ ไล่ตามหลี่มู่ไป
คนทั้งสอง คนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลัง ปีนป่ายจนมาถึงที่ตั้งของภูเขาพยัคฆ์
ข่าวนี้ถูกส่งไปยังแท่นชมทัศนียภาพอย่างรวดเร็ว
ด่านที่สองของคนทั้งสองก็นับว่าเสมอกัน
แต่ไม่รู้ว่าลู่เจี่ยนจือคิดอย่างไร ในด่านสุดท้ายถึงกับละทิ้งการอภิปรายถกปัญหา เลือกที่จะไปภูเขาพยัคฆ์เช่นเดียวกับหลี่มู่
ผลที่ออกมาเช่นนี้เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายอย่างแท้จริง
เห็นชัดว่าลู่กวงเองก็ไม่ได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้ากับการตัดสินใจเลือกของบุตรชาย
เขาดูเหมือนจะตกตะลึงยิ่ง อีกทั้งน่าจะไม่ค่อยพอใจ แต่เพียงครู่เดียวก็อำพรางความรู้สึกของตนเอาไว้ได้ นั่งสงบเสงี่ยมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เกาเฉียวมองไปยังทิศที่ตั้งของภูเขาพยัคฆ์ หัวคิ้วขมวดแน่น คนอื่นที่เหลือก็พากันวิพากษ์วิจารณ์และยืนขึ้นมา เหลียวมองไปไม่หยุด รอผลลัพธ์ในท้ายที่สุดด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ภูเขาพยัคฆ์แม้มีชื่อว่า ‘ภูเขา’ แต่ความจริงแล้วเป็นถ้ำในภูเขาที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ แต่ก่อนในถ้ำแห่งนี้ใช้ขังสัตว์ร้ายที่จะนำมาต่อสู้เข่นฆ่ากันเพื่อสร้างความสนุกสนานให้แก่ตระกูลสูงศักดิ์ ต่อมาภายหลังเลิกใช้ไป แต่ยังคงรักษาชื่อเรียกเอาไว้มาโดยตลอด
และวันนี้…ที่นี่ก็ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง
อุปสรรคในด่านที่สามก็คือเสือดุร้ายที่ถูกขังไว้ในถ้ำตัวหนึ่ง
เสือร้ายตัวนี้ไม่เพียงผ่านการเข่นฆ่าสังหารพวกเดียวกันมาหลายครั้งจนได้รับการยกย่องเป็นจอมสังหารมาถึงวันนี้เท่านั้น แต่ช่วงสามวันมานี้มันยังไม่เคยได้รับการป้อนอาหารจนอิ่ม
ระดับขั้นของความกระหายหิวและโหดร้ายไม่ต้องบอกก็รู้ได้
ถ้ำเสือตั้งอยู่ด้านล่างในโพรงที่เว้าลึกลงไป ทางเข้าเป็นผนังผาสูงชัน มีหินตะปุ่มตะป่ำรูปร่างประหลาด อาศัยกำลังปีนป่ายขึ้นลงได้ ในถ้ำมีแสงสว่างสลัวๆ คนยืนอยู่ที่ปากถ้ำไม่อาจมองเห็นสภาพที่อยู่ลึกเข้าไปในถ้ำ เพียงได้ยินเสียงคำรามด้วยความอึดอัดของเสือดังแว่วมาเป็นระยะไม่ขาดสายเท่านั้น
ปากถ้ำมีผู้ฝึกสัตว์ยืนอยู่คนหนึ่ง จมูกโด่งนัยน์ตาสีฟ้า เป็นชนต่างเผ่า เห็นหลี่มู่กับลู่เจี่ยนจือปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกันที่ด่านแห่งนี้ก็เดินเข้ามารับหน้า ค้อมคำนับแล้วบอก “เสือร้ายอยู่ในถ้ำด้านล่าง ตรงที่บ่าวอยู่นี้เป็นทางเข้า ทางออกอยู่ด้านตะวันตก ท่านทั้งสองต้องเข้าไปทางด้านนี้แล้วออกทางตะวันตก จึงจะนับว่าผ่านด่าน ระหว่างทางที่เจอเสือจะสังหารหรือไม่ก็ได้แล้วแต่ท่าน ถ้ามีท่านใดระหว่างทางไม่อาจต้านทานได้ สามารถย้อนกลับมาเคาะผนังถ้ำ บ่าวเฝ้าอยู่ที่นี่ ได้ยินแล้วจะโยนบันไดเชือกลงไปช่วยท่านขึ้นมา”
คนฝึกสัตว์ชี้ไปที่ชั้นวางอาวุธ แล้วบอก “นั่นใช้สำหรับป้องกันตัว ทั้งสองท่านเชิญนำไปใช้”
บนชั้นวางมีเพียงท่อนไม้ยาววางอยู่สองท่อน ไม่มีสิ่งอื่น
จากจุดนี้หากคิดจะไปยังทางออกฝั่งตรงข้าม ก็ได้แต่ต้องเดินไปข้างหน้าตามลักษณะพื้นที่ของถ้ำ แต่ถ้ำนี้ก็เหมือนอุโมงค์ที่เจาะลึกเข้าไปกลางภูเขา ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งต่ำเตี้ยและคับแคบลง
ใจกลางส่วนที่แคบที่สุด ความกว้างเพียงพอให้ม้าสองตัวเดินเคียงกันผ่านไปได้เท่านั้น
พื้นที่เดิมก็เคลื่อนไหวได้จำกัดอยู่แล้ว กอปรกับมีเสือร้ายคอยขวางทาง อาวุธป้องกันตัวเพียงอย่างเดียวที่อยู่ในมือมีเพียงท่อนไม้ยาวท่อนหนึ่งเท่านั้น อานุภาพในการสังหารหรือทำให้ได้รับบาดเจ็บย่อมมีจำกัด
ปากทางด้านตะวันออกและตะวันตก แม้ระยะห่างจะไม่ไกลมาก แต่ระดับความยากลำบากของด่านนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ได้
ลู่เจี่ยนจือกับหลี่มู่ต่างถือท่อนไม้ยาวคนละท่อน คนหนึ่งอยู่ซ้ายคนหนึ่งอยู่ขวา ค่อยๆ เดินลึกเข้าไปในถ้ำ
แม้ตามผนังถ้ำจะปักคบไฟส่องสว่างไว้เป็นระยะ แต่พอลงไปถึงจุดที่ลึกแสงสว่างยังคงสลัวเลือนราง แสงไฟส่องสะท้อนร่างคนทั้งสองเกิดเป็นแสงเงาตะคุ่มๆ อยู่บนผนังถ้ำ เดินไปข้างหน้าได้ไม่กี่ก้าว ฉับพลันนั้นเองก็มีสายลมเย็นหอบหนึ่งพัดพาเอากลิ่นสาบสางจากส่วนลึกของฝั่งตรงข้ามพุ่งเข้ามาปะทะใบหน้า
จากนั้นก็มีเงาดำวูบวาบขึ้น เสือร้ายตัวหนึ่งกระโดดออกมาจากมุมมืด ขวางทางไปของคนทั้งสองเอาไว้
นี่เป็นเสือตัวผู้โตเต็มวัยที่รูปร่างใหญ่โตตัวหนึ่ง ท่าทางแข็งแกร่งทรงพลังยิ่ง นัยน์ตาเสือเปล่งแสงสีเขียวเป็นประกายวาว ดูน่ากลัวยิ่งนัก
ความโหยหิวทำให้มันเปลี่ยนเป็นงุ่นง่านและฮึกเหิมยิ่ง
มันจับจ้องแขกไม่ได้รับเชิญสองคนที่จู่ๆ ก็มาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า แสงสีเขียวในดวงตามันสาดประกายวิบวับ มุมปากมีน้ำลายไหลออกมาตลอดเวลา ทางหนึ่งก็แผดคำรามเสียงต่ำ ทางหนึ่งก็เดินไปเดินมาไม่หยุดคล้ายว่าพบเจอกะทันหันมันจึงมันยังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องจะโจมตีคนใดก่อนดี
หนึ่งเสือสองมนุษย์ต่างคุมเชิงกันอยู่เช่นนี้ครู่หนึ่ง
หลี่มู่ยื่นท่อนไม้ยาวในมือออกไปช้าๆ เคาะไปที่ผนังถ้ำด้านข้าง เกิดเป็นเสียงก๊อกๆ ก้องกังวาน
เสือร้ายถูกดึงดูดความสนใจ หัวไปทางเขา พุ่งกระโจนเข้าไปทันที
หลี่มู่ไม่ขยับ ขณะที่มันกระโจนมาใกล้ถึงเบื้องหน้า เขาก็กลิ้งไปกับพื้นหลบไปได้
เสือตะครุบไม่ถูก
หลี่มู่ลุกขึ้นมาแล้ววิ่งห้อตะบึงไปข้างหน้า
ลู่เจี่ยนจือตามติดอยู่ข้างหลัง
เสือหมุนตัวตามมา คำรามด้วยความโกรธ ไล่ตามหลังคนทั้งสองมาติดๆ ระยะห่างลดน้อยลงทุกที ตอนที่ไล่ตามจวนใกล้จะถึง มันก็พลันพุ่งกระโจนเข้าใส่ลู่เจี่ยนจือที่อยู่ใกล้กว่า
ลู่เจี่ยนจือรีบย่อตัวลง หลบการกระโจนเข้าใส่ในครั้งนี้ไปได้
เสือพุ่งข้ามศีรษะของเขาไปแล้วก็มีเสียงดังตุ้บ เท้าทั้งสี่ลงถึงพื้นขวางทางไปของทั้งสองคนไว้อีกหน
ผนังถ้ำในช่วงนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นแคบลงแล้ว
เมื่อถูกร่างใหญ่โตของเสือขวางทางอยู่ก็ไม่เหลือพื้นที่พอให้ผ่านไปได้สักเท่าใด
หลี่มู่กับลู่เจี่ยนจือมองสบตากันคราหนึ่ง โดยไม่ต้องนัดหมาย คนหนึ่งอยู่ซ้ายคนหนึ่งอยู่ขวา ถือท่อนไม้พุ่งเข้าใส่เสือร้ายที่อยู่ด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
“ผัวะๆ” มีเสียงหนักทึบดังขึ้นสองครั้ง กะโหลกศีรษะของเสือโดนท่อนไม้หวดใส่ซ้ายทีขวาที
การฟาดลงไปครั้งนี้ ทั้งสองคนต่างใช้กำลังทั้งสิบส่วน ทั้งหมดถูกส่งผ่านท่อนไม้ไปทั้งสิ้น
เสือแม้จะหนังแข็งเนื้อหนา แต่ชั่วขณะนี้ก็ถูกตีจนมึนงงตาลาย ส่งเสียงร้องออกมาคำหนึ่ง ร่างโงนเงน คล้ายเมาสุราไปเช่นนั้น
ชั่วพริบตานั้นทั้งสองคนต่างคว้าโอกาส กระโดดผ่านด้านข้างของเสือที่ยังอยู่ในความเจ็บปวดตั้งสติไม่ได้ วิ่งตะบึงไปข้างหน้าต่อ ไม่นานก็มาถึงทางเดินด้านในที่แคบที่สุดช่วงนั้น
และในเวลานี้เสียงคำรามของเสือร้ายที่อยู่ด้านหลังตัวนั้นก็ไล่ตามมาแล้ว อยู่ใกล้เพียงแค่ข้างหู
เสียงคำรามด้วยความโกรธแค้นอันบ้าคลั่งของมันทำให้ผนังถ้ำสั่นสะเทือนไปหมด เศษหินและฝุ่นผงบนชั้นหินเหนือศีรษะร่วงกราวลงมาไม่หยุด
ลู่เจี่ยนจือกุมท่อนไม้ยาวในมือแน่น กัดฟันกล่าวขึ้น “หลี่มู่ จัดการกับเจ้าตัวนี้เสีย แล้วเจ้ากับข้ามาดวลกันสักครั้ง ผู้แพ้ต้องล่าถอยออกจากการแข่งขันในวันนี้ ไม่มีคุณสมบัติให้เป็นบุตรเขยสกุลเกาอีก!”
หลี่มู่สองตามองจ้องเสือร้ายที่พุ่งกระโจนเข้ามาอีกครั้ง ยิ้มแล้วบอก “ตรงกับที่ข้าคิดไว้อยู่พอดี!”
แววตาหลี่มู่พลันขรึมลง เขาถึงกับไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย พุ่งเข้าไปตวัดท่อนไม้ในมือเสียงดังผัวะ ฟาดลงไปที่กรงเล็บข้างหนึ่งของเสือที่ตะปบเข้ามาใส่ตน
มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น กรงเล็บเสือหักลง
ท่าพุ่งกระโจนของเสือพลันสลายไป ร่างร่วงจากกลางอากาศลงมาที่พื้น
ลู่เจี่ยนจือรีบตามมาติดๆ ร่วมกันกับหลี่มู่ ใช้ท่อนไม้สองท่อนกระหน่ำฟาดลงไปที่เสือดุจสายฝน
ตอนแรกเสือยังมีท่าทางคลุ้มคลั่ง แต่แล้วก็ค่อยๆ สิ้นฤทธิ์ โลหิตฉีดพุ่งออกจากปาก
ครั้งสุดท้ายหลี่มู่ออกแรงฟาดลงไปที่กลางศีรษะเสือหนักๆ กะโหลกศีรษะถูกฟาดจนแตก
ไม้ยาวท่อนนั้นก็ทานแรงไม่ไหว ถึงกับมีเสียงแตกจากข้างใน หักเป็นสองท่อนดังเป๊าะ
เสือส่งเสียงร้องโหยหวนยาวอย่างน่าเวทนาออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ฝืนลุกขึ้นจากพื้นมายืน ชักกระตุกอีกหลายครั้ง แล้วล้มตึงลงกับพื้นไม่กระดุกกระดิกอีก ขาดใจตายไปแล้ว
หลี่มู่เดินเข้าไปเก็บท่อนไม้ที่หักเป็นสองท่อนบนพื้นขึ้นมา เดินผ่านทางแคบเส้นนั้นไปยังทางออก
ลู่เจี่ยนจือเดินตามมา
แสงสว่างที่ด้านหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสว่างขึ้น พื้นที่ก็กว้างโล่งขึ้นแล้ว
ทั้งสองคนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลัง มาถึงทางออกใต้ช่องรับแสง ยืนประจันหน้ากัน
หลี่มู่กล่าว “คุณชายลู่ เชิญ”
การต่อสู้อย่างดุเดือดกับเสือเมื่อครู่ ทำให้ศีรษะ ใบหน้า และเสื้อผ้าของคนทั้งสองเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตที่ฉีดพุ่งออกมาจากปากเสือและกระเซ็นมาถูกเป็นจุดๆ
ดวงตาทั้งสองของลู่เจี่ยนจือแดงซ่านเล็กน้อย ท่าทางเหมือนเป็นคนละคนกับช่วงก่อนหน้านี้
เขาจ้องมองหลี่มู่ ก่อนถือท่อนไม้กระโจนเข้าใส่
หลี่มู่ใช้ท่อนไม้สั้นที่ถืออยู่ในมือทั้งสองข้างรับมือกับท่อนไม้ยาวของลู่เจี่ยนจือ หลังประมือกันไปหลายเพลง แขนเขาก็ถูกปลายท่อนไม้ที่กวาดขวางมาฟาดถูก ร่างไหวเอนไปเล็กน้อย
ดวงตาทั้งสองของลู่เจี่ยนจือยิ่งแดงขึ้น เท้าไม่ได้หยุดนิ่งแม้ชั่วขณะ ท่อนไม้ยาวเหวี่ยงไปโจมตีเข้าใส่หลี่มู่อีกครั้ง
“ผัวะ” มีเสียงดังขึ้น หัวไหล่ซ้ายของหลี่มู่ถูกฟาดใส่อีกครั้ง
หลี่มู่หรี่ตาลง
ครั้งที่สามขณะที่ท่อนไม้ในมือลู่เจี่ยนจือท่อนนั้นฟาดเข้ามาที่ลำคอของตนอีกครั้ง หลี่มู่ไม่เพียงไม่หลบ กลับโยนท่อนไม้หักสองท่อนในมือทิ้งไป สะอึกร่างเข้าไปรับ สองมือคว้าจับไปที่ปลายท่อนไม้ด้วยความรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ
ทั้งสองฝ่ายออกแรงต่อสู้กัน
ใบหน้าของลู่เจี่ยนจือค่อยๆ แดงก่ำขึ้น หน้าผากเริ่มมีเหงื่อซึมออกมา ทั้งสองออกแรงยันกันอยู่พักหนึ่ง เขาถูกแรงจากฝั่งตรงข้ามผลักดันจนเริ่มถอยหลัง ถอยหลังไปทีละก้าวๆ กระทั่งแผ่นหลังถูกดันติดผนังถ้ำ
หลี่มู่ออกแรงอีกครั้ง ท่อนไม้ยาวเริ่มโค้งงอ รูปทรงเปลี่ยนเป็นสะพานโค้งไปอย่างฉับพลัน
“หัก!” เขาตวาดเสียงต่ำออกมาคำหนึ่ง
“เป๊าะ!”
มีเสียงดังมาจากท่อนไม้ หักเป็นสองท่อนแล้วจริงๆ
แขนของลู่เจี่ยนจือถูกพลังที่น่ากลัวขุมนี้สั่นสะเทือนจนรู้สึกชาไปทั้งแขนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เลือดลมในช่องอกก็พลุ่งพล่านตามไปด้วย
ยังไม่ทันได้มีท่าทีโต้ตอบใดๆ ก็มีเสียงกรีดลม ท่อนไม้หักที่มีรอยแตกแหลมคมตรงส่วนปลายพลันจ่อมาที่ลำคอของเขาแล้ว
ปลายไม้อยู่ห่างจากลำคอของเขาเพียงระยะครึ่งชุ่น
ใบหน้าของลู่เจี่ยนจือไร้สีเลือดในทันที สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดขาว
ถ้านี่เป็นดาบหรือกระบี่ ต่อสู้กันโดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน เวลานี้เขาคงโลหิตฉีดพุ่งสามฉื่อ ไปแล้ว
ทั้งสองมองสบตากันชั่วขณะ
หลี่มู่ดึงท่อนไม้แตกกลับมา โยนลงบนพื้น ถอยหลังไปก้าวหนึ่งบอก “ออมมือแล้ว” แล้วหมุนตัวจากไป
ลู่เจี่ยนจือเอนร่างพิงผนังหินนิ่งไม่ขยับ สายตาจ้องมองหลี่มู่ปีนป่ายผนังหินขึ้นไป เงาร่างประหนึ่งวานรปราดเปรียว ไม่นานก็หายลับไปจากปากถ้ำที่อยู่ด้านบนเหนือศีรษะ
เหตุการณ์ในภูเขาพยัคฆ์เป็นอย่างไร คนที่ด้านนอกไม่อาจมองเห็นได้ ตอนแรกเพียงได้ยินเสียงเสือคำรามดังออกมาจากในถ้ำตลอดเวลา เสียงสั่นสะเทือนไปแทบจะทั้งหุบเขา ทำเอาพวกบุตรหลานตระกูลขุนนางที่กระทั่งม้าก็ยังขี่ไม่ชินเหล่านั้นต่างตื่นตระหนกอกสั่นขวัญแขวน
ในที่สุดเสียงคำรามของเสือก็ค่อยๆ จางหายไป แต่กลับไม่เห็นสองคนนั้นออกมาจากภูเขาพยัคฆ์สักที ทุกคนเริ่มข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด
ลู่กวงเห็นชัดว่าออกจะสงบใจไว้ไม่อยู่แล้ว แต่ไม่ยอมแสดงท่าทีออกมาต่อหน้าสายตาผู้คนที่จับจ้องอยู่มากนัก เพียงนั่งอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นทุกที
สีหน้าของเกาเฉียวกลับเปลี่ยนเป็นนิ่งขรึมผิดปกติ กระทั่งลุกจากที่นั่งออกมา เดินลงจากแท่นชมทัศนียภาพ เบิกตามองไปทางถ้ำพยัคฆ์ ใบหน้าปรากฏแววร้อนใจ
เวลานี้เองในที่สุดขุนนางผู้ควบคุมการทดสอบก็ลงมาจากด้านบนเขาอย่างรวดเร็ว วิ่งมาถึงแท่นชมทัศนียภาพ
ทุกคนรู้ว่าผลการแข่งขันในด่านที่สามน่าจะออกมาแล้ว ต่างพากันห้อมล้อมเข้ามา
ขุนนางผู้ควบคุมการทดสอบถวายบังคมฮ่องเต้ซิงผิง “ทูลฝ่าบาท ผลแพ้ชนะในด่านที่สามออกมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขุนพลหลี่ออกจากถ้ำพยัคฆ์มาก่อนคุณชายลู่ กำลังไปที่ยอดเขาพ่ะย่ะค่ะ”
“รีบดู!”
ทันใดนั้นไม่รู้ใครส่งเสียงร้องตะโกนขึ้นมา
เกาเฉียวหันหน้าไปทันที มองขึ้นไปบนยอดเขา
เงาร่างสีดำสายหนึ่งยืนต้านลมอยู่ใต้ศาลา น้าวคันธนูยิงลูกธนู
ลูกธนูหลุดจากคันธนู จูอวี๋ที่ยอดศาลาช่อนั้นก็ถูกยิงร่วงหล่นลงมา
“คุณชายลู่เป็นอย่างไรบ้าง” เกาเฉียวรีบถาม
“เรียนเซี่ยงกง คุณชายลู่ปลอดภัยดี ออกจากถ้ำพยัคฆ์แล้วขอรับ” คนผู้นั้นตอบ
เกาเฉียวถอนหายใจด้วยความโล่งอกเบาๆ แล้วมองเงาร่างที่กำลังลงมาจากยอดเขาอีกครั้ง ในใจเกิดความรู้สึกหลากหลายยากจะบรรยายออกมาได้
ผลแพ้ชนะออกมาแล้ว…ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก
คนทั้งหมดที่แท่นชมทัศนียภาพ ผู้ที่กระหยิ่มยิ้มย่องที่สุดน่ากลัวว่าต้องเป็นสวี่มี่แล้ว
เขาพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกที่อยากจะหัวเราะฮ่าๆ ออกมาดังๆ ชายตาไปมองลู่กวงแวบหนึ่ง เห็นสีหน้าของลู่กวงเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำอย่างเห็นได้ชัด กลับยังต้องฝืนตีสีหน้ายิ้มแย้มกับเหล่าขุนนางที่พากันเข้ามาปลอบใจ ในใจก็ยิ่งรู้สึกสาแก่ใจ
หลี่มู่เดินตามเส้นทางบนภูเขา จากยอดเขาลงมาที่แท่นชมทัศนียภาพ
ระหว่างทางทุกจุดที่เขาเดินผ่าน ผู้คนสองฟากข้างต่างเปิดทางให้ แววตาของแต่ละคนแตกต่างกันไป
มีคนอิจฉา มีคนริษยา มีคนเลื่อมใสศรัทธา แน่นอนย่อมมีคนเสียดแทงใจ
องค์หญิงใหญ่เซียวหย่งจยาที่นั่งอยู่ด้านหลังกระโจมม่าน ไม่รอให้งานเลิกราก็ลุกพรวดขึ้นมาเร่งรุดจากไปท่ามกลางผู้ติดตาม
ด้านหลังกระโจมม่านอีกหลังหนึ่ง สตรีผู้หนึ่งที่นั่งอยู่กับอวี้หลินหวังเฟยจูจี้เยวี่ยปรายตามองเงาด้านหลังของเซียวหย่งจยาแวบหนึ่ง หัวเราะเยาะหยันเสียงต่ำแล้วบอก “หวังเฟยเห็นสีหน้าของนางหรือไม่ ขาวดุจหิมะ ปกติต่อให้ทาแป้งสักสามชั่ง เกรงว่าก็คงไม่น่ามองเท่านี้ ครั้งนี้ต่อให้เอาฐานะขององค์หญิงใหญ่มากดข่มฝ่าบาท เกรงว่าก็คงไม่ต่างอะไรกับน้ำที่สาดออกไปแล้วไม่อาจแก้ไขอะไรได้ คิดไม่ถึงว่านางก็จะมีวันนี้…”
นางพูดเสียงต่ำ เห็นจูจี้เยวี่ยไม่ได้ตอบคำ สองตามองผ่านม่านโปร่งบางตรงหน้าออกไป คล้ายกำลังมองอะไรอยู่ จึงมองตามสายตาอีกฝ่ายไป เห็นหลี่มู่กำลังเดินมาตามเส้นทางบนภูเขาผ่านไปในระยะใกล้
นางจับจ้องเงาด้านหลังที่เหยียดตรงดุจกระบี่ร่างนั้นพลันตระหนักรู้ ปิดปากหัวเราะเบาๆ พูดขึ้นช้าๆ “พบเห็นบุรุษที่งดงามละเอียดอ่อนยิ่งกว่าสตรีอย่างเรามามากแล้ว หลี่หลางจวินผู้นี้กลับมีท่วงทีแตกต่างจากผู้อื่น ดูท่าทางของเขาสิ คิดว่า ‘เรื่องนั้น’ ก็คงแข็งแกร่งห้าวหาญยิ่ง…” พูดแล้วก็ขยับไปที่ข้างหูจูจี้เยวี่ย กระซิบอะไรบางอย่าง
จูจี้เยวี่ยคล้ายไม่พอใจ หยิกนางไปทีหนึ่ง สตรีผู้นั้นหัวเราะคิกคัก ร่างสั่นไหวดุจกิ่งบุปผา เสียงหัวเราะลอยออกมาตามลม กลับไปดึงดูดหมู่ผีเสื้อภมรบ้าคลั่งที่อยู่ด้านล่างเหล่านั้นให้พากันสอดสายตามองมา
ท่ามกลางสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนที่จ้องมองมา หลี่มู่ได้กลับมาถึงหน้าแท่นชมทัศนียภาพที่เป็นจุดเริ่มต้น หลังจากถวายบังคมฮ่องเต้ซิงผิงแล้ว ก็หันไปทางเกาเฉียว มอบช่อจูอวี๋ให้อย่างนอบน้อม แต่ไม่ได้เปิดปากพูดอะไร
ถ้าจะบอกว่าการประลองฝีมือทั้งสามด่านในวันนี้ เกาเฉียวไม่ได้มีใจเอนเอียงแม้แต่น้อย นั่นก็ไม่เป็นความจริง
เดิมด้วยการคาดเดาของเกาเฉียว ด่านแรกหลี่มู่จะต้องล่าช้ากว่าลู่เจี่ยนจือ ถึงด่านที่สองเขาจะสามารถผ่านได้อย่างรวดเร็ว มาถึงด่านที่สาม ด้วยความสามารถด้านการต่อสู้ของเขา ตามเงื่อนไขที่ให้ใช้ท่อนไม้เป็นอาวุธจัดการกับเสือร้ายตัวหนึ่ง ก็ไม่น่าจะถึงกับมีอันตรายมากนัก แต่…ก็ใช่จะผ่านมาได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเป็นเช่นนี้ขอเพียงในสามด่านนี้ลู่เจี่ยนจือแสดงความสามารถได้ไม่ต่างจากปกติเกินไป การแข่งขันในวันนี้ ความเป็นไปได้ที่ลู่เจี่ยนจือจะคว้าชัยชนะย่อมมีมากกว่าหลี่มู่มากนัก
ที่เกาเฉียวคิดไม่ถึงก็คือจิตใจอันหยิ่งผยองที่มีอยู่ในตัวลู่เจี่ยนจือหรือบุตรหลานของตระกูลขุนนาง ถึงกับหยามเหยียดที่จะเอาชนะด้วยการผ่านด่านอภิปรายถกปัญหา และเลือกที่จะผ่านด่านสุดท้ายร่วมกับหลี่มู่
เคราะห์ดีที่ลู่เจี่ยนจือไม่ได้รับบาดเจ็บ หาไม่…เขาก็ยากจะบอกปัดความรับผิดชอบกับทางสกุลลู่ได้
ยามนี้ข้างหูเขาเหลือเพียงเสียงลมภูเขาพัดผ่านดังอู้ๆ
เกาเฉียวหลับตาลง แล้วลืมขึ้นมาช้าๆ มองหลี่มู่ที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า ในที่สุดก็กล่าวคำพูดที่อาจจะเป็นประโยคที่เอ่ยออกมาได้ยากลำบากที่สุดในชีวิตนี้ของเขาทีละคำๆ “การทดสอบแข่งขันในวันนี้ หลี่มู่เป็นผู้ชนะ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป หลี่มู่ก็คือบุตรเขยของข้าเกาเฉียว!”
รวมคำเรียกต่างๆ ภายในเรื่อง
คำเรียก ความหมาย
อาเหยีย “บิดา”
อาเหนียง / อาหมู่ “มารดา”
ต้าซยง “พี่ใหญ่”
อาซยง “พี่ชาย”
อาเจี่ย “พี่สาว”
อาเม่ย “น้องสาว”
อาตี้ “น้องชาย”
อาเส่า “พี่สะใภ้”
อาจยา “แม่สามี”
หลางจวิน คำที่ภรรยาใช้เรียกสามี และใช้เรียกชายหนุ่มทั่วไปในเชิงยกย่อง
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน พฤษภาคม 65)
Comments
comments
No tags for this post.