บทที่ห้า
เดือนสามปลายฤดูใบไม้ผลิ นอกเมืองเจี้ยนคังแดดร่มลมเย็น ต้นหญ้าเขียวขจี นกโผบิน
เกาลั่วเสินนั่งอยู่ในรถเทียมวัว ออกจากเมืองมุ่งหน้าไปเกาะไป๋ลู่
เกาชีซึ่งเป็นพ่อบ้านพาคนในบ้านมาด้วยหลายคน ต่างคอยคุ้มกันรถเทียมวัวทั้งซ้ายขวาหน้าหลังอย่างรอบคอบระมัดระวัง
เว้นเสียแต่มีผู้บังคับรถที่ฝีมือยอดเยี่ยมตั้งใจจะบังคับรถเพื่อการแข่งขันโดยเฉพาะ หาไม่ปกติความเร็วในการเคลื่อนตัวของรถเทียมวัวก็จะเชื่องช้า สำหรับคนนั่งอยู่บนรถเปรียบกับรถม้าแล้วจะราบเรียบนุ่มนวลกว่ามาก ได้รับความชื่นชอบจากเหล่าขุนนางที่มีชีวิตอยู่ดีกินดี นี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าเพราะเหตุใดเวลานี้รถเทียมวัวจึงเป็นที่นิยมกันโดยทั่วไป อีกทั้งในเมืองเจี้ยนคังก็พบเห็นคนขี่ม้าน้อยมาก
แต่กระนั้นเกาชีก็ยังคงระมัดระวังอย่างที่สุด สั่งคนบังคับรถให้เคลื่อนรถช้าหน่อย…และช้าอีกหน่อย
นั่นเป็นเพราะเมื่อสองวันก่อนเกาลั่วเสินไม่ทันระวังลื่นตกลงมาจากชิงช้าในบ้าน โชคดีที่มีหญ้าหอมอ่อนนุ่มดุจเบาะรองอยู่ใต้ชิงช้า บริเวณนั้นเป็นพื้นดินอ่อนนุ่มในฤดูใบไม้ผลิ ตอนนั้นแม้ตัวคนจะหมดสติไป แต่ไม่นานก็ฟื้นขึ้นมา ทั้งไม่เป็นไรมาก กระทั่งเนื้อหนังก็ไม่ได้ถูไถได้รับบาดเจ็บ
แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้เกาชีตกใจไม่น้อยแล้ว
ดังนั้นวันนี้เมื่อไม่อาจห้ามเกาลั่วเสินออกจากบ้านได้ ระหว่างทางจึงย่อมต้องรอบคอบระมัดระวังเป็นพิเศษ ด้วยกลัวจะเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรกับนางขึ้นอีก
ตอนนั้นหลังจากลื่นตกแล้วฟื้นขึ้นมา เกาลั่วเสินรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย คนก็งุนๆ งงๆ คล้ายจู่ๆ ก็มีแป้งเปียกยัดเข้ามาในสมอง เลอะๆ เลือนๆ จำได้ว่าฝันถึงบางอย่าง แต่ไม่ว่านางจะพยายามคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
ความรู้สึกคล้ายหลงทางอยู่ในป่าที่เต็มไปด้วยหมอกหนาทึบเช่นนี้ ช่างน่ารำคาญยิ่งนัก
ตอนนั้นนางเอามือกุมศีรษะ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ปล่อยไปไม่สนใจแล้ว
เพราะเปรียบกับเหตุไม่คาดคิดเล็กๆ นี้แล้ว นางยังมีเรื่องที่กลัดกลุ้มยิ่งกว่า
กระดิ่งสีเหลืองทองที่คล้องอยู่บนคอวัวตอนนั่นส่งเสียงติงตังๆ ดังเสนาะหูไปตลอดทาง ตามการเคลื่อนตัวไปข้างหน้าของรถเทียมวัว คล้ายกำลังเตือนนางให้รู้ว่าด้านนอกประทุนรถมีทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิกำลังงดงามแพรวพราวไปด้วยสีสัน เป็นช่วงเวลาแห่งความสนุกสนาน
เกาลั่วเสินกลับไม่มีจิตใจที่จะชื่นชมแม้แต่น้อย
นางหน้านิ่วคิ้วขมวด มือน้อยขาวนุ่มนิ่มนวลเนียนดุจหยกข้างหนึ่งประคองปลายคางเรียวงาม ข้อศอกค้ำยันอยู่บนหน้าต่าง สายตาค่อยๆ เหม่อลอย
เกาลั่วเสินจำได้ว่าปีที่แล้วในช่วงเวลานี้ เพื่อจะเฉลิมฉลองที่ตนอายุครบสิบห้า มารดาที่ยังอยู่ในเรือนรับรองบนเกาะไป๋ลู่ได้จัดงานชุมนุมไหลจอกสุราให้กับนาง
ในวันนั้นเด็กสาวในตระกูลขุนนางทั้งเมืองเจี้ยนคังต่างมาร่วมงานเกือบทั้งหมด
แม้แต่อาเจี่ยที่แต่งงานไปเป็นพระชายาตงหยางหวัง เมื่อหลายปีก่อนก็เร่งรุดกลับจากเขตตงหยางมาโดยเฉพาะ เพื่อมาอวยพรในพิธีรวบผมปักปิ่น ของนาง…งานพิธีสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตของเด็กหญิงที่ถูกมองว่าเป็นรองเพียงพิธีแต่งงานเท่านั้น
ลำน้ำใสไหลคดเคี้ยว แช่เท้าในธารน้ำ เสียงพูดคุยหัวเราะสนุกสนานดังไม่ขาดหู
ภาพความสนุกสนานอย่างเต็มที่ในวันนั้นคล้ายปรากฏขึ้นมาตรงหน้าอย่างชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
เพียงแต่ผ่านไปไม่นานเรื่องต่างๆ ที่อยู่รอบข้างก็ปรากฏขึ้นมาทีละเรื่องๆ ทำให้คนกลัดกลุ้มรำคาญใจขึ้นมา
ตอนแรกก็มีข่าวมาว่าแคว้นซย่าทางตอนเหนือที่ชาวเจี๋ยคุมอำนาจอยู่ได้จ้องมองมาอย่างละโมบ กำลังลับคมอาวุธเลี้ยงม้าให้อ้วนพี มีความมุ่งหมายจะบุกลงใต้ยึดครองเจียงหนาน ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปีที่แล้ว ท่านอาเกาอวิ่นในฐานะข้าหลวงสวีโจวได้พาเกาอิ้นที่เป็นญาติผู้พี่ของนางขึ้นเหนือไปเขตก่วงหลิง เกณฑ์ทหารเตรียมทำศึก
สงครามระหว่างเหนือใต้พร้อมจะปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ
เภทภัยมักไม่มาเพียงครั้งเดียว ในเวลาเช่นนี้เชื้อพระวงศ์อย่างหลินชวนหวังก็ก่อกบฏขึ้นตอนฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว กองทัพกบฏโจมตีและยึดครองพื้นที่แถบลุ่มแม่น้ำกั้น ไว้ได้ทั้งหมดในคราเดียว
ทางสกุลสวี่ที่เป็นพระญาตินั้น สวี่มี่พี่ชายของสวี่ฮองเฮาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันรับพระบัญชานำทัพไปปราบกบฏ
การปราบกบฏดำเนินการได้ไม่ราบรื่นนัก รุกๆ ถอยๆ จนถึงตอนนี้ก็รบกันมาเกือบครึ่งปีแล้ว
เท่านี้ยังไม่หมด เขตเจียวโจวที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้สุดก็ไม่สงบสุขตามไปด้วย
แคว้นหลินอี้ที่เดิมอยู่ในปกครองของต้าอวี๋มาโดยตลอดนั้น กลับเกิดความไม่สงบขึ้นในหมู่เชื้อพระวงศ์ของแคว้นหลินอี้ หลินอี้หวังหนีมาถึงเจียวโจว ขอความช่วยเหลือจากซิงผิงตี้ ฮ่องเต้ผู้เป็นน้าชายของเกาลั่วเสิน
แคว้นในปกครองเกิดความวุ่นวาย ต้าอวี๋ในฐานะผู้เป็นเจ้าเหนือหัวย่อมไม่อาจนิ่งดูดาย ซิงผิงตี้ได้ส่งกองกำลังทหารกองหนึ่งไปช่วยหลินอี้หวังฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย
แต่กองกำลังทหารกองนั้นจวบจนบัดนี้ก็ยังไม่ได้กลับมา
รัชศกซิงผิงปีที่สิบห้าคล้ายถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องเป็นปีที่มีเรื่องมาก
ทางเหนือ กลาง ใต้ของแคว้นต้าอวี๋เกิดความวุ่นวายขึ้นพร้อมกัน บิดาในฐานะราชเลขาธิการและดำรงตำแหน่งอัครเสนาบดีนั่งบัญชาการในส่วนกลาง ช่วยกำกับดูแลกิจการของราชสำนัก ต้องวางแผนครอบคลุม โยกย้ายสับเปลี่ยน รับมือกับทั้งสามด้าน ทุ่มเทกายใจทำงานอย่างหนัก ต้องเหน็ดเหนื่อยมากเพียงใดคงพอจะคาดเดาได้
ไม่ใช่แค่เพียงครั้งเดียวที่เกาลั่วเสินเห็นแสงไฟในห้องหนังสือของบิดาสว่างอยู่จนดึกดื่น บางครั้งเขาก็นอนอยู่ในห้องหนังสือทั้งเสื้อผ้าที่ไม่พิถีพิถัน ฟ้ายังไม่สว่างก็ลุกขึ้นมาไปประชุมขุนนางต่อ
นางปวดใจยิ่งนัก แต่ก็อับจนหนทาง ในใจเพียงเฝ้าปรารถนาให้สงครามน่าชิงชังที่เหล่าบุรุษรบกันไปรบกันมาเหล่านั้นรีบผ่านไปเสียแต่เร็ววัน
นางปรารถนาให้บิดาได้สบายขึ้นบ้าง เหมือนความทรงจำในสมัยเด็กของนางเช่นนั้น บิดาถือแส้ปัดหางกวางนั่งอยู่กับสหายสามคนห้าคน ดื่มสุราสนทนากัน สวมเสื้อแขนกว้างรองเท้าสูง ท่าทางสุภาพสง่างาม สกุลเการักอิสระเปี่ยมด้วยสติปัญญาความรู้ ใต้หล้าต่างรู้กันทั่ว ไม่ใช่เหมือนเช่นเวลานี้ที่ทั้งวันเหน็ดเหนื่อยแต่เรื่องของราชสำนัก
นานเพียงใดแล้วที่เกาลั่วเสินไม่ได้เห็นบิดายิ้มแย้มอย่างสบายอกสบายใจ
นี่ก็คือสาเหตุว่าเพราะเหตุใดหลังจากตนเองลื่นตกลงมาเมื่อสองวันก่อน นางจึงยืนกรานไม่ให้บ่าวไพร่บอกให้บิดาทราบ เพื่อเขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง
“แม่นางน้อย ถึงท่าเรือข้ามฟากแล้วขอรับ” เสียงเกาชีดังขึ้น
ประตูรถเปิดออก ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความรักและเมตตาของเขาปรากฏอยู่ที่หน้าประตูรถ
เกาลั่วเสินถึงค่อยรู้ว่ารถเทียมวัวได้หยุดนิ่งลงแล้ว
เกาชียกตั่งตัวเล็กมาวางให้นางเหยียบเท้าด้วยตนเอง
ไม่ต้องรอให้สั่งสาวใช้ที่มาด้วยกันสองคนอย่างฉยงซู่กับอิงเถาก็รีบเข้ามา
ฉยงซู่ประคองเกาลั่วเสิน
อิงเถานั่งยองลงไปจับตั่งตัวเล็กไว้
ความจริงเกาลั่วเสินสามารถลงจากรถได้ด้วยตนเอง กระทั่งไม่ต้องใช้ตั่งตัวเล็กมาเหยียบเท้านางก็กระโดดลงไปได้อย่างมั่นคง
แต่เขาไม่ให้โอกาสเช่นนั้นกับนางแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสองวันก่อนนางเพิ่งลื่นตกจากชิงช้าลงมา
แล้วเกาลั่วเสินก็ถูกฉยงซู่กับอิงเถา คนหนึ่งอยู่บนคนหนึ่งอยู่ล่าง ประคองลงจากรถลงมาเช่นนี้
ที่ท่าเรือมีเรือที่ประดับตกแต่งอย่างงดงามจอดอยู่ลำหนึ่งแล้ว
เกาลั่วเสินเดินขึ้นเรือมุ่งหน้าไปเกาะไป๋ลู่
เกาะไป๋ลู่ตั้งอยู่กลางแม่น้ำทางตะวันตกของเมือง จากท่าเรือต้องเดินทางทางน้ำไประยะหนึ่ง ทุกปีในฤดูใบไม้ผลิบริเวณริมเกาะจะมีนกกระยางขาวมารวมตัวกันจำนวนมาก และเป็นที่มาของชื่อเกาะที่มีความหมายว่านกกระยางขาว
มารดาของเกาลั่วเสิน องค์หญิงใหญ่ชิงเหอ เซียวหย่งจยา หลายปีมานี้พำนักอยู่ที่เรือนรับรองไป๋ลู่บนเกาะไป๋ลู่มาโดยตลอด ไม่ค่อยได้เข้าเมือง
เรือนรับรองแห่งนี้อดีตฮ่องเต้พระราชทานให้นาง หลังจากฮ่องเต้ผู้เป็นน้าชายของเกาลั่วเสินขึ้นครองราชย์ เนื่องจากมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับพี่สาวคนโตจึงพระราชทานของล้ำค่าให้อีกจำนวนมาก ภายในเรือนรับรองจึงตกแต่งอย่างงดงามหรูหรายิ่ง
เกาลั่วเสินมาในครั้งนี้ก็เพื่อเยี่ยมมารดา
นางยืนอยู่ที่หัวเรือโต้ลม สายตาเบิ่งมองไปข้างหน้าทางทิศที่ตั้งของเกาะไป๋ลู่
วันนี้ลมในแม่น้ำค่อนข้างแรง หลังออกจากท่าเรือจึงโคลงเคลงค่อนข้างรุนแรง
เกาชีเดินตามอยู่ด้านข้าง เขาคอยตามติดยิ่ง ราวกับนางยังเป็นเด็กอายุสามขวบคนหนึ่ง หากไม่ระวังก็จะตกลงไปในแม่น้ำอย่างไรอย่างนั้น ปากก็พร่ำบ่นไม่หยุด จะให้เกาลั่วเสินกลับเข้าไปในประทุนเรือให้ได้
เกาลั่วเสินถอนหายใจ ก่อนยอมเข้าไปในประทุนเรือแต่โดยดี
ครั้นเรือมาถึงเกาะไป๋ลู่ เกาลั่วเสินก็นั่งเกี้ยวมาถึงเรือนรับรอง แต่มารดากลับไม่อยู่
บ่าวไพร่บอกว่ามารดาของนางไปอารามจื่ออวิ๋นที่อยู่ละแวกใกล้เคียง
ในเวลานี้ศาสนาเต๋าเป็นที่นิยมโดยทั่วไป คำสอนของเทียนซือ แพร่หลายในหมู่ชาวบ้าน กระทั่งคนในวงศ์สกุลขุนนางและราชวงศ์ก็ไม่ขาดผู้เลื่อมใสศรัทธา
อย่างเช่นสกุลลู่ พี่น้องของลู่เจี่ยนจือทุกคน ที่มีชื่อลงท้ายด้วยคำว่า ‘จือ’ ก็เพราะลู่กวงบิดาของลู่เจี่ยนจือเลื่อมใสศรัทธาในศาสนาเต๋า
อารามจื่ออวิ๋นเป็นอารามนักพรตสตรีของราชวงศ์ที่มีพระราชโองการให้สร้างขึ้น เหลี่ยวเฉินจื่อเจ้าอารามอายุห้าสิบกว่าปีแล้ว กล่าวกันว่ามีความเชี่ยวชาญในการหลอมยา รูปร่างหน้าตาดูเหมือนเพิ่งอายุสี่สิบกว่า นางเดินหมากแต่งบทกวีได้ มารดาที่พักอาศัยอยู่บนเกาะนาน มักมาที่อารามคอยเดินหมากสนทนาธรรมกับเหลี่ยวเฉินจื่ออยู่เสมอ
เกาลั่วเสินจำต้องเปลี่ยนทิศทางไปอารามจื่ออวิ๋นแทน
หนทางไม่ไกล แค่ครู่เดียวก็ถึงแล้ว
เซียวหย่งจยากำลังเดินหมากอยู่กับเหลี่ยวเฉินจื่อ เมื่อได้ยินว่าบุตรสาวมาแล้วก็รีบลุกออกมา
เหลี่ยวเฉินจื่อเดินตามมาข้างๆ พอเห็นเกาลั่วเสินก็สะบัดแส้ปัดในมือ พนมมือคารวะด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เปี่ยมไมตรีจิต
ไม่รู้เพราะเหตุใด เกาลั่วเสินไม่ชอบนักพรตหญิงสูงวัยหน้าขาวผู้นี้แม้แต่น้อย
ถึงอย่างไรใต้หล้านี้ แม้แต่พบฮ่องเต้ผู้เป็นน้าชาย นางก็ยังไม่ต้องแสดงความเคารพเลย ย่อมไม่มีความจำเป็นที่นางต้องไปใส่ใจคนที่ตนไม่ชอบหน้า
เกาลั่วเสินไม่ได้สนใจนักพรตหญิงสูงวัย เพียงโถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดเซียวหย่งจยา “อาเหนียง สองวันก่อนลูกหกล้ม!”
เซียวหย่งจยาอายุน้อยกว่าเกาเฉียวบิดาของเกาลั่วเสินห้าปี นางให้กำเนิดเกาลั่วเสินตอนอายุยี่สิบ ปีนี้อายุสามสิบหกแล้ว แต่ดูแล้วก็ยังสาวอยู่มาก
นางสวมชุดคลุมแบบเต๋าที่สุภาพสง่างาม ยิ่งขับเน้นรูปโฉมของนางให้ดูงดงามเป็นพิเศษ ยืนอยู่ด้วยกันกับเกาลั่วเสิน บอกว่านางเป็นพี่สาวที่โตกว่าสักหน่อย เกรงว่าก็คงมีคนเชื่อ
โดยเฉพาะเมื่อเปรียบกับบิดาที่เพิ่งอายุสี่สิบจอนผมสองข้างก็มีสีขาวแซมแล้ว ความสาวและความงามของมารดามักทำให้เกาลั่วเสินนึกเห็นใจบิดาขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว…แม้นางเองก็ไม่รู้ว่าที่แท้แล้วเป็นเพราะเหตุใด มารดาจึงร้าวฉานกับบิดาจนถึงขั้นนี้ได้ แยกกันอยู่อย่างเปิดเผยมาหลายปี ไม่ยอมกลับเข้าเมืองทำให้คนทั้งเมืองเจี้ยนคังต่างหัวเราะเยาะบิดาลับหลัง บอก ‘เซี่ยงกง กลัวภรรยา’
นี่คงเป็นเรื่องเดียวในชีวิตของบิดาที่ถูกคนนินทาหัวเราะเยาะลับหลัง
กับสามีเซียวหย่งจยาไม่ถามไม่ไถ่ถึง แต่กับบุตรสาวกลับรักใคร่เป็นที่สุด พอได้ยินเช่นนี้ก็ตื่นตะลึง รีบกอดเกาลั่วเสินแน่น “ไม่เป็นไรมากกระมัง เจ็บตรงใดบ้าง เหตุใดไม่ส่งคนมาบอกอาเหนียง”
เกาลั่วเสินบอก “ลูกล้มแรงมาก วันนี้ก็ยังปวดศีรษะไม่น้อย ก็เพราะกลัวอาเหนียงจะเป็นห่วง ถึงไม่ให้คนมาบอกให้ท่านรู้”
เซียวหย่งจยารีบประคองเกาลั่วเสินออกจากอารามเต๋า สองแม่ลูกนั่งเกี้ยวกลับเรือนรับรองด้วยกัน เรียกเกาชีมาสอบถามเหตุการณ์ในตอนนั้นอย่างละเอียด รู้ว่าเกาลั่วเสินไม่เป็นอะไรมากจึงได้วางใจ เพียงดุด่าฉยงซู่กับอิงเถาสาวใช้ประจำตัวบุตรสาวอย่างหนักคราหนึ่ง
สาวใช้ทั้งสองคุกเข่าอยู่กับพื้น โขกศีรษะยอมรับผิดไม่หยุด
ชั่วขณะนั้นเกาลั่วเสินคิดไม่ถึงว่ามารดาจะพานโกรธสาวใช้จึงรีบเข้ามาขัดจังหวะ สองมือน้อยที่อวบอูมดึงแขนเสื้อชุดคลุมแบบเต๋าที่กว้างใหญ่ไว้ บิดร่างไปมา “คราวหน้าลูกจะระมัดระวัง อาเหนียง ลูกคิดถึงท่านนะเจ้าคะ”
เช่นนี้เซียวหย่งจยาถึงได้ยอมเลิกรา ไล่ฉยงซู่กับอิงเถาที่ใบหน้าซีดเผือดออกไป ก่อนลูบไล้ใบหน้าบุตรสาวที่ถูกลมแม่น้ำพัดจนออกจะชื้นเย็นด้วยความรัก “อาเหนียงก็คิดถึงเจ้า กำลังคิดจะให้คนไปรับเจ้ามาอยู่เชียว แต่เจ้าก็มาพอดี อยู่เป็นเพื่อนอาเหนียงสักหลายวันไม่ต้องกลับไปในเมืองแล้ว”
“อาเหนียง ลูกก็อยากอยู่เป็นเพื่อนท่านที่นี่ แต่เกรงจะไม่สะดวก หลายวันมานี้อาเหยีย ไม่ค่อยสบาย…”
นางชำเลืองมองสีหน้ามารดา
“ทุกหนแห่งล้วนไม่สงบสุข เขาทำงานหามรุ่งหามค่ำ นอนอยู่ในห้องหนังสือบ่อยๆ ลูกกลัวว่าเป็นเช่นนี้ต่อไปร่างกายของอาเหยียจะทนไม่ไหว ลูกเตือนอาเหยียแล้ว แต่อาเหยียไม่ฟังลูก…”
รอยยิ้มบนใบหน้าเซียวหย่งจยาค่อยๆ จางหาย ชายตามองบุตรสาวปราดหนึ่ง “เจ้าคิดจะหลอกล่ออาเหนียงให้กลับไปอีกแล้ว ตาแก่นั่นไม่คำนึงถึงความเป็นความตายแล้วเกี่ยวอะไรกับอาเหนียง อาเหนียงกลับไปแล้วเขาก็จะหายอย่างนั้นรึ!”
“อาเหยียไม่ใช่ตาแก่เสียหน่อย…”
เกาลั่วเสินมุ่ยปาก พึมพำเบาๆ อย่างไม่ชอบใจ
เซียวหย่งจยาแค่นเสียงฮึออกมาคำหนึ่ง “อย่าคิดว่าอาเหนียงไม่รู้ จิตใจคับแคบของเจ้าช่างลำเอียงยิ่งนัก! ถ้าเจ้ามาเยี่ยมอาเหนียง อาเหนียงดีใจยิ่ง แต่ถ้าจะมาเกลี้ยกล่อมให้อาเหนียงกลับไปก็อย่าได้คิด! ต่อให้เขาป่วยตายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับอาเหนียง!”
นิ้วมือขาวนุ่มนิ่มของเกาลั่วเสินบิดสายรัดเอวที่ห้อยลงมาเส้นหนึ่งไม่หยุด ฟันขาวดุจไข่มุกกัดกลีบปากแน่น มองเซียวหย่งจยาโดยไม่พูดแม้แต่คำเดียว ขอบตาค่อยๆ แดงเรื่อขึ้น
อาจวี๋เห็นแล้วอดปวดใจไม่ได้ รีบเดินเข้ามา
“องค์หญิงใหญ่ เซี่ยงกงป่วยอยู่ ทั้งระยะนี้การงานก็มาก เกรงว่าคงจะดูแลแม่นางน้อยได้ไม่ทั่วถึง ไม่สู้ให้ข้ากลับไปดูแลปรนนิบัติแม่นางน้อยสักหลายวัน องค์หญิงใหญ่เห็นเป็นอย่างไรเจ้าคะ”
อาจวี๋เป็นอาหมัวข้างกายเซียวหย่งจยา ตอนเกาลั่วเสินยังเล็กก็ได้นางช่วยดูแลไม่น้อย
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ น้ำตาแห่งความน้อยใจของเกาลั่วเสินก็ไหลพรากลงมา
อาจวี๋ยิ่งปวดใจอย่างมาก นางเช็ดน้ำตาให้เกาลั่วเสิน
เกาลั่วเสินจึงซุกหน้าเข้าไปในอ้อมอกของอาจวี๋เสียเลย
เซียวหย่งจยามองเงาด้านหลังบุตรสาวแวบหนึ่ง สีหน้าผ่อนคลายลง “ก็ดี อาจวี๋ เจ้ากลับไปกับนางเถิด ช่วยดูแลนางแทนข้าสักหลายๆ วัน”
อาจวี๋รีบรับคำ กระซิบปลอบโยนเกาลั่วเสิน
ตอนเกาลั่วเสินออกจากเกาะไป๋ลู่ ขอบตายังแดงอยู่เล็กน้อย กระทั่งพลบค่ำกลับมาถึงในเมือง ถึงได้ดูเป็นปกติดังเดิม ตอนใกล้จะถึงหน้าจวนนางก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“อาหมัว เจออาเหยียของข้าแล้วเจ้าก็บอกว่าอาเหนียงรู้ว่าเขาป่วย จึงให้เจ้ากลับมาดูแลเขาแทนนางโดยเฉพาะ”
อาจวี๋พยักหน้า “แม่นางน้อยไม่บอก ข้าก็คิดจะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว”
เกาลั่วเสินมองอาจวี๋ “อาหมัว ข้าได้ยินว่าเมื่อก่อนเป็นอาเหนียงจะแต่งให้อาเหยียเอง แต่มาบัดนี้อาเหนียงกลับใจดำไม่สนใจอาเหยีย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด”
อาจวี๋กลัวเกาลั่วเสินจะถามเรื่องนี้มากที่สุด ได้แต่ตอบอย่างคลุมเครือ “ข้าก็ไม่ทราบ…”
เกาลั่วเสินทอดถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง “อาหมัว ถ้าอาเหนียงยอมคืนดีกับอาเหยียจะดีสักเพียงใด…”
อาจวี๋ปากก็เออออ ทว่าในใจกลับแอบทอดถอนใจ
เรื่องของสามีภรรยาพอปิดประตูลง ใครได้รับความไม่เป็นธรรม ใครใจแข็งเป็นหิน คนภายนอกเพียงเห็นภาพภายนอก ไหนเลยจะรู้เรื่องภายใน
ก็เหมือนกับคนดื่มน้ำ…เย็นร้อนก็มีแต่เจ้าตัวที่รู้
บทที่หก
จวนสกุลเกาอยู่ห่างจากไถเฉิงไม่ไกล เข้าประตูเมืองด้านตะวันตก ข้ามถนนอวี้เจียไปก็อยู่ใกล้กับประตูจูเชวี่ยที่อยู่ทางด้านใต้ของวังหลวง
วันนี้เกาเฉียวกลับมาเร็วกว่าปกติ แต่ที่หน้าประตูก็มีรถและเกี้ยวของแขกผู้มาเยือนจอดอยู่หลายคัน
เกาลั่วเสินรอจนแขกกลับไปหมดแล้วจึงเข้ามาในห้องหนังสือ เห็นบิดาเปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมยาวสีเขียวอมดำ ผ้าโพกศีรษะทำมาจากผ้าไหมสีเขียวอมดำ นั่งอยู่หลังโต๊ะ กำลังก้มหน้าถือพู่กัน ไอสองสามครั้งเป็นระยะ
บิดาได้ชื่อว่าเป็นบุรุษรูปงาม ตอนหนุ่มมีใบหน้างามดุจหยก คิ้วดาบนัยน์ตาหงส์ เมื่ออายุมากขึ้นมาหน่อย ไว้หนวดดำดูสุภาพละมุนละไม ท่วงทีกิริยาสง่างามทำให้คนเห็นแล้วยากจะลืมเลือน
เกาลั่วเสินได้ยินว่าในอดีตมีอยู่ครั้งหนึ่ง บิดาออกไปสังเกตและศึกษาดูสภาพความเป็นอยู่ของราษฎรที่อำเภอหยางชวี ได้ทราบว่าเนื่องจากปีนั้นผลการเก็บเกี่ยวไม่เพียงพอ หญิงชาวนาจำนวนมากในอำเภอจึงใช้ช่วงเวลาว่างจากการเก็บเกี่ยวทอผ้าเนื้อหยาบสำหรับสวมใส่ในช่วงฤดูร้อนแล้วนำออกมาขาย แต่ถูกพ่อค้าผ้าในเมืองเจตนาฉวยโอกาสกดราคา หญิงชาวนาลังเลทำอะไรไม่ถูก ตอนนั้นบิดาจึงซื้อมาพับหนึ่ง หลังจากกลับมาก็นำไปตัดเป็นเสื้อผ้าตัวกว้าง สวมใส่แล้วนั่งบนรถเทียมวัวที่ไม่มีประทุนปิด วางท่าสง่างาม โอ้อวดไปทั่วเมือง คนเดินถนนต่างเห็นว่างดงาม ต่างชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง เหล่าบุรุษไม่ว่าขุนนางหรือสามัญชนพากันเลียนอย่างเขา เพียงไม่กี่วันผ้าเนื้อหยาบที่เดิมไม่มีคนถามถึงก็ไม่มีให้ซื้อหา ราคาพุ่งสูงขึ้น ผ้าเนื้อหยาบของอำเภอหยางชวีก็ขายหมดเกลี้ยงในคราเดียว
อันคำกล่าวที่ว่าบัณฑิตผู้สง่างามไม่ใส่ใจเรื่องปลีกย่อยเล็กน้อย พูดได้ว่ามีปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนอยู่ในตัวของเขา
เพียงแต่สองสามปีมานี้บิดาผ่ายผอมลงไม่น้อย จอนผมก็มีผมขาวขึ้นมาประปรายแล้ว แต่ถึงกระนั้น บุคลิกท่วงทียังคงสูงส่งสง่างามไม่ธรรมดา
เกาลั่วเสินเรียก “อาเหยีย” ออกมาคำหนึ่ง แล้วเดินมาถึงข้างกายเกาเฉียว นั่งคุกเข่าลงไปอย่างเรียบร้อย
นับแต่ปีที่แล้วหลังจากบ้านเมืองเกิดเรื่องวุ่นวาย เกาลั่วเสินก็เห็นบิดาเคร่งเครียดใช้สมองครุ่นคิดอย่างหนัก ยามอยู่ต่อหน้าบิดา นางจึงพยายามวางตัวเป็นผู้ใหญ่
“อาเหยีย มีอะไรให้ลูกช่วยหรือไม่”
เกาเฉียวเป็นราชเลขาธิการ ทั้งดำรงตำแหน่งอัครเสนาบดี ในสถานที่ทำการราชสำนักของไถเฉิงย่อมมีผู้ใต้บังคับบัญชาช่วยจัดการหนังสือราชการ แต่หนึ่งปีมานี้เนื่องจากบ้านเมืองสับสนวุ่นวาย เกิดสงครามขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า การต้องทำงานจนมืดค่ำถึงได้กินอาหารได้กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เพื่อความสะดวกจึงใช้ห้องหนังสือจวนเป็นสถานที่ทำงาน
ตั้งแต่เล็กเกาลั่วเสินเข้าออกห้องหนังสือของบิดาได้อย่างมีอิสระ ยามมีแขกมาก็จะหลบไป หลังจากคนไปแล้วนางก็จะมาอยู่เป็นเพื่อนบิดาอยู่ที่นี่เสมอ
เกาเฉียวกล่าวยิ้มๆ “วันนี้ที่อาเหยียนี่ไม่มีเรื่องอะไร เจ้าไปพักผ่อนเถิด ไม่ต้องตั้งใจอยู่เป็นเพื่อนอาเหยียแล้ว”
“วันนี้ลูกไปหาอาเหนียงมา”
เกาลั่วเสินกล่าวจบก็ลอบสังเกตสีหน้าบิดา เห็นพู่กันที่เขาถืออยู่ในมือด้ามนั้นชะงักไปเล็กน้อย “เหตุใดไม่พักอยู่สักหลายวัน ไฉนไปแล้วก็กลับเข้าเมืองมาเลย”
“อาเหนียงได้ยินว่าท่านป่วยจึงเร่งให้ลูกกลับมา ยังบอกลูกให้เชื่อฟัง ต้องอยู่เป็นเพื่อนอาเหยียให้ดี”
เกาลั่วเสินพูดเรื่อยเปื่อยด้วยสีหน้าจริงจัง
เกาเฉียวไม่พูดอะไร
“อาเหนียงยังให้จวี๋อาหมัวกลับเข้าเมืองมาพร้อมกับลูกโดยเฉพาะ ก็เพื่อให้มาช่วยดูแลสุขภาพอาเหยีย อาเหยียจะได้หายป่วยในเร็ววัน อาหมัวเมื่อครู่จะมาคารวะอาเหยียด้วย แต่เห็นท่านมีแขกจึงไม่สะดวกจะเข้ามา และไปเคี่ยวยาให้อาเหยียก่อนแล้ว ถ้าอาเหยียไม่เชื่อ รออาหมัวมาแล้วก็ถามนางเองเถิด!”
เกาเฉียวยิ้มน้อยๆ “อาการป่วยของอาเหยียไม่เป็นไรแล้ว ถ้าเจ้าไม่ต้องการให้อาจวี๋อยู่เป็นเพื่อนก็ให้นางกลับไปปรนนิบัติอาเหนียงของเจ้าเถิด”
“อาเหยีย! อาเหนียงให้จวี๋อาหมัวกลับมาดูแลท่านจริงๆ นะเจ้าคะ! อาเหนียงเองก็น่าจะอยากกลับมา อาเหยีย ไว้สักวันท่านก็ไปรับอาเหนียงกลับเข้าเมืองมา…ดีหรือไม่”
เกาลั่วเสินออกจะร้อนใจขึ้นมา สองมือเกาะโต๊ะ หยัดร่างขึ้นมา
เกาเฉียวกระแอมกระไอออกมาคำหนึ่ง
“ได้…ได้…รอให้เรื่องราวในช่วงนี้ผ่านไปแล้วค่อยว่ากัน…”
“อาเหยีย ท่านต้องอย่าลืมนะ! ยิ่งไม่ต้องกลัว! อาเหนียงปากแข็งใจอ่อน ถ้าท่านไม่กล้าไปคนเดียว ลูกจะไปเป็นเพื่อนเอง อาเหนียงไม่กลับมากับท่าน ลูกก็จะร้องไห้ให้นางดู! นางเห็นลูกร้องไห้แล้วก็ใจอ่อนอยู่เสมอ!”
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ท่วงทีกิริยาแบบเด็กหญิงตัวน้อยที่นางซุกซ่อนไว้เมื่อครู่ก็ปรากฏออกมาต่อหน้าบิดาอีกครั้ง
เกาเฉียวยิ้มเจื่อน
กับบุตรสาวโทนผู้นี้ เขารักและเอ็นดูนางเข้ากระดูกอย่างแท้จริง เพียงหวังให้นางอยู่ดีมีสุข ไร้ทุกข์ไร้กังวลไปตลอดชีวิต
เขารับคำอย่างคลุมเครือไปสองสามคำ ฉับพลันก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หัวคิ้วจึงคลายลง
“อาหมี วันนี้มีข่าวดีจากทางเหวินโจวส่งมา เหตุวุ่นวายในแคว้นหลินอี้สงบลงแล้ว อีกไม่กี่วันอี้อันก็จะกลับมา”
แคว้นหลินอี้เกิดเหตุวุ่นวายภายในครั้งนี้ คนที่ราชสำนักมอบหมายให้นำกองกำลังทหารไปช่วยหลินอี้หวังปราบจลาจลก็คือลู่เจี่ยนจือ
บรรพบุรุษของเกาลู่สองสกุลมีสัมพันธไมตรีต่อกัน หลังจากอพยพข้ามแม่น้ำมา ต่างก็เป็นสกุลใหญ่ที่เป็นขุนนางมาหลายชั่วคนนับหนึ่งนับสองในยุคปัจจุบัน และผูกสัมพันธ์กันด้วยการแต่งงาน
เกาลั่วเสินกับลู่ซิวหรง บุตรสาวสกุลลู่เป็นสหายสนิทที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เล็กจนโต กับลู่เจี่ยนจือพี่ชายคนโตของลู่ซิวหรงก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก
ลู่เจี่ยนจือไม่เพียงถูกคนสกุลลู่เห็นเป็นผู้รับช่วงตำแหน่งหัวหน้าตระกูลในรุ่นหนุ่ม เขายิ่งเป็นผู้โดดเด่นในหมู่บุตรหลานตระกูลขุนนางของเมืองเจี้ยนคังด้วย
เกาลั่วเสินนับแต่รู้ความก็รู้ว่าสองสกุลมีเจตนาจะเกี่ยวดองกันผ่านการสมรส
บิดามารดาของนางเห็นลู่เจี่ยนจือเป็นที่พึ่งพาที่ดีที่สุดในช่วงชีวิตครึ่งหลังของนาง ทางสกุลลู่ก็ตระเตรียมที่จะแต่งบุตรสาวสกุลเกาไว้แล้ว
หลังจากนางเข้าพิธีปักปิ่นเมื่อปีที่แล้ว สองตระกูลก็มีเจตนาจะเจรจาเรื่องการแต่งงานแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะภายหลังมีข่าวสงครามทางเหนือเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันและหลินชวนหวังก่อกบฏ เวลานี้สองบ้านคงกำหนดเรื่องแต่งงานกันเรียบร้อยไปแล้ว
ตั้งแต่ยังเล็กเกาลั่วเสินก็เรียกลู่เจี่ยนจือว่า ‘อาซยง’ ตามลู่ซิวหรง ทุกครั้งที่นึกถึงเขาในใจนางก็รู้สึกอบอุ่น
วันหน้าถึงแต่งไปสกุลลู่แล้ว กล่าวสำหรับนางก็เหมือนเปลี่ยนบ้านที่อยู่อาศัยเท่านั้น ข้างกายยังคงเป็นคนที่นางคุ้นเคยมาตั้งแต่เล็กจนโตเหล่านั้น นางรู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง
เมื่อค่อยๆ เติบโตขึ้น นางที่ไร้ทุกข์ไร้กังวลก็เริ่มเข้าใจเรื่องราวทางโลกแล้ว
นางเริ่มกลัดกลุ้มเป็นทุกข์ด้วยเรื่องของบิดามารดา ครึ่งปีกว่ามานี้ก็เป็นห่วงเกาหวนญาติผู้น้อง กับลู่เจี่ยนจือที่อยู่ข้างนอกมาโดยตลอด ในใจเฝ้าปรารถนาให้การสู้รบยุติ พวกเขาได้กลับมาอย่างปลอดภัยในเร็ววัน
จู่ๆ มาได้ยินข่าวนี้ เรื่องที่ห่วงกังวลเรื่องหนึ่งในที่สุดก็สิ้นสุดลง เกาลั่วเสินอดคลี่ยิ้มไม่ได้
“รออาเหยียว่างกว่านี้หน่อยก็จะปรึกษาหารือเรื่องการแต่งงานกับสกุลลู่ ดีหรือไม่”
เกาเฉียวเย้าบุตรสาว
“อาเหยีย! ลูกไม่แต่ง!”
เกาลั่วเสินหน้าแดงแล้ว นางในยามนี้เต็มไปด้วยท่าทีขวยเขินของเด็กหญิงตัวน้อย
เกาเฉียวมองนาง เพียงยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
เกาลั่วเสินหน้ายิ่งแดงมากขึ้น
“ไม่คุยกับอาเหยียแล้ว! ลูกจะไปดูยาของจวี๋อาหมัว!”
นางลุกจากตั่งที่นั่งอย่างรวดเร็ว ลุกขึ้นเดินมุ่งออกไปข้างนอก
เกาเฉียวมองเงาร่างอรชรอ้อนแอ้นที่จากไปของบุตรสาวด้วยสีหน้าอมยิ้ม
ส่วนลึกในใจเขา แม้จะไม่อาจตัดใจให้บุตรสาวแต่งออกไป แต่จะช้าหรือเร็วย่อมต้องมีวันนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะรั้งนางให้อยู่ข้างกายไปชั่วชีวิต
ดีที่ลู่เจี่ยนจือไม่ว่าจะเป็นอุปนิสัย ความประพฤติ รูปร่างหน้าตา หรือสติปัญญาความสามารถ ล้วนไม่มีสิ่งใดให้ติ การฝากชีวิตบุตรสาวไว้กับเขาก็นับว่าสามารถวางใจได้
ใบหน้าของเกาลั่วเสินยังร้อนอยู่ นางเพิ่งเดินไปถึงประตูห้องหนังสือก็เห็นเกาชีถือจดหมายฉบับหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนใจยิ่ง
เกาชีเป็นคนเก่าแก่ของสกุลเกา ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน ปกติไม่ค่อยเคยเห็นเขายั้งสติไม่อยู่เช่นนี้ คนยังมาไม่ถึงหน้าประตูก็ส่งเสียงร้องเรียกมาก่อนแล้ว “เซี่ยงกง แย่แล้วขอรับ! เมื่อครู่สวี่ซือถู ให้คนส่งจดหมายด่วนมา เกิดเรื่องกับลิ่วหลางแล้วขอรับ!”
พูดไปคนก็วิ่งเข้ามา พร้อมเอาจดหมายยื่นให้
‘ลิ่วหลาง’ ก็คือคำเรียกหาที่คนในบ้านเรียกเกาหวนญาติผู้น้องของเกาลั่วเสิน
เกาลั่วเสินตะลึงงัน นางชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมา เห็นบิดาลุกขึ้นมาจากตั่งที่นั่งทันที รับจดหมายไป เปิดออกพลางกวาดตาอ่าน สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
เกาลั่วเสินซักไซ้ เห็นบิดานิ่งเงียบไม่พูด นางก็เดินย้อนกลับไปดึงจดหมายมาจากมือเขา
จดหมายเป็นลายมือของสวี่ซือถู พี่ชายคนโตของสวี่ฮองเฮาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
ในจดหมายของสวี่มี่บอก นับแต่ปีที่แล้วที่ตนนำทัพไปปราบกบฏเพื่อราชสำนัก พยายามสุดความสามารถด้วยความซื่อสัตย์จงรักภักดี โชคดีที่ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง กองกำลังกบฏของหลินชวนหวังเวลานี้พ่ายแพ้ล่าถอยไปตลอด ถอยไปจนถึงหลูหลิง การปราบปรามให้สงบราบคาบกำลังจะเป็นจริงในไม่ช้า
ในขณะที่สถานการณ์กำลังดีขึ้นมากนี่เองก็มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น
ก่อนจะส่งจดหมายมาวันหนึ่ง ทหารกบฏแอบรวมตัวกันลับๆ ยกกองกำลังบุกเข้ามา จู่โจมเขตอันเฉิงที่ถูกกองกำลังของราชสำนักยึดคืนกลับมาได้แล้ว
ตอนนั้นเกาหวนอยู่ในเมืองพอดี เพราะทหารรักษาเมืองมีจำนวนไม่เพียงพอ ทั้งเรื่องเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันจึงเข้าหนุนเนื่องช่วยเหลือไม่ทัน ไม่อาจรักษากำแพงเมืองไว้ได้
ตอนตีฝ่าวงล้อมออกมา เกาหวนโชคไม่ดีถูกทหารกบฏจับตัวเป็นเชลย
หลินชวนหวังรู้ว่าเขาเป็นลูกหลานสกุลเกา และใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ขอแลกกับเมืองอวี้จาง ถ้าไม่ตกลงก็จะสังหารเขาเซ่นสังเวยก่อนออกรบ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กองทัพ
ในจดหมายสวี่มี่ได้หลั่งน้ำตายอมรับผิดและขออภัยต่อเกาเฉียว บอกตนผิดต่อคำฝากฝังของเกาเฉียวในช่วงก่อนหน้านี้ ความจริงถ้าสามารถช่วยเกาหวนกลับมาได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดตนก็ไม่เสียดาย เพียงแต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับสถานการณ์โดยรวม ตนไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการจึงส่งจดหมายด่วนมาขอให้เกาเฉียวช่วยตัดสินใจ
เกาลั่วเสินตื่นตะลึงแน่นิ่ง จดหมายร่วงหลุดจากมือหล่นลงกับพื้น
เกาหวนอายุน้อยกว่าเกาลั่วเสินหนึ่งปี เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอาสามที่ล่วงลับไปแล้วของเกาลั่วเสิน เกาเฉียวคอยช่วยอบรมสั่งสอนโดยเห็นหลานชายผู้นี้เป็นดั่งบุตรของตน เขากับเกาลั่วเสินเติบโตมาด้วยกัน ทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างมาก
บุตรหลานตระกูลขุนนางรุ่นหนุ่มสาวในเมืองเจี้ยนคังส่วนใหญ่ทาแป้งทาชาด มือเท้าไม่ขยันขันแข็ง มีไม่น้อยกระทั่งขี่ม้าก็ยังกลัว ยิ่งมีน้อยมากที่สมัครใจไปเป็นทหาร
เกาหวนกลับไม่เหมือนผู้อื่น เขาฝึกฝนศิลปะการต่อสู้แต่เล็ก ฝันจะสร้างผลงานด้วยการสร้างความดีความชอบทางการทหาร ปีที่แล้วข่าวการศึกทางเหนือส่งมา ตอนเกาอวิ่นท่านอาของเกาลั่วเสินพาเกาอิ้นญาติผู้พี่ชายของนางไปก่วงหลิงเพื่อรวบรวมทหารเตรียมทำศึก เกาหวนก็ขอจะไปด้วย เกาเฉียวอ้างเหตุผลว่าเขาอายุยังน้อย ไม่อนุญาตให้เขาข้ามแม่น้ำ ตอนนั้นใช้อำนาจบีบบังคับรั้งเขาเอาไว้
คิดไม่ถึงว่าหลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์หลินชวนหวังก่อกบฏขึ้นมาอีก เขาทิ้งจดหมายที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นฮึกเหิมไว้ก่อนออกเดินทาง ถึงกับไปโดยไม่ลา เขาลงใต้ไปพึ่งพาสวี่มี่ ขอเข้าร่วมกองทัพปราบกบฏ
ตอนนั้นสวี่มี่ส่งจดหมายมาแจ้งเกาเฉียว บอกตนไม่ต้องการรับเกาหวนไว้ แต่เกาหวนยืนกรานไม่กลับเมืองเจี้ยนคัง
เกาเฉียวไม่รู้จะทำอย่างไรได้ ตอนนั้นจำต้องไหว้วานสวี่มี่ให้ช่วยดูแลเขาสักหน่อย สวี่มี่ก็รับปาก ส่งเขาไปอยู่กองหลังคอยควบคุมขนส่งเสบียงกรัง
ไม่ว่าอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
เกาลั่วเสินมองบิดา เห็นเขาหัวคิ้วขมวดมุ่นยืนอยู่ที่นั่น เงาร่างดูหนักอึ้ง
หนึ่งปีมานี้เนื่องจากนางได้มาช่วยบิดาจัดการหนังสือราชการในห้องหนังสืออยู่เสมอ นางจึงพอจะรู้ถึงสถานการณ์การศึกที่หลินชวนอยู่บ้าง
หลินชวนหวังวางแผนมาหลายปี พอเริ่มก่อกบฏก็เข้าโจมตียึดครองเมืองอวี้จางด้วยความรวดเร็วปานฟ้าผ่าอุดหูไม่ทัน
เมืองอวี้จางไม่เพียงมีความสำคัญด้านภูมิศาสตร์ แต่ยังเป็นที่ที่แม่น้ำกั้นและแม่น้ำซวีมาบรรจบกัน จึงเป็นจุดยุทธศาสตร์เฝ้าระวังทางเหนือ ทั้งมีทะเลสาบผ่อหยางที่เป็นแหล่งของปลาและข้าว ประหนึ่งคลังอาหารธรรมชาติแห่งหนึ่ง
เป็นเพราะยึดครองเมืองอวี้จางได้ทำให้ทัพกบฏได้เปรียบ การปราบกบฏในช่วงแรกของราชสำนักจึงไม่ราบรื่นหลายต่อหลายครั้ง หลังการสู้รบดุเดือดครั้งแล้วครั้งเล่า นายทหารและเหล่าทหารหาญก็ได้รับบาดเจ็บล้มตายหนัก ในที่สุดเมื่อไม่กี่เดือนก่อนถึงช่วงชิงเมืองอวี้จางกลับมาจากทัพกบฏได้
“อาเหยีย ท่านต้องช่วยอาตี้นะเจ้าคะ!”
นางพุ่งเข้าไปจับชายแขนเสื้อบิดาไว้แน่น เอ่ยวิงวอนเสียงสั่น
ท่านลุงท่านอาในตระกูลได้ยินข่าวก็พากันเร่งรุดมา
ค่ำคืนนี้แสงไฟในห้องหนังสือของบิดาไม่ได้ดับลงตลอดทั้งคืน
เสียงถกเถียงกันอย่างดุเดือดดังแว่วมาจากข้างในอยู่ตลอดเวลา
เกาลั่วเสินไม่ได้นอนทั้งคืน
ตอนยามโฉ่ว ท้องฟ้ายังมืดอยู่ นางก็มาที่หน้าห้องหนังสือของบิดา
ท่านลุงท่านอาทั้งหลายจากไปหมดแล้ว ในห้องหนังสือว่างเปล่าโหรงเหรงมีเพียงแสงไฟดวงเดียวกับเงาร่างผอมบางของบิดา
เขายืนอยู่ด้านหน้าหน้าต่าง เงาด้านหลังนิ่งไม่ขยับ ดูหนักอึ้งอย่างที่สุด กระทั่งเกาลั่วเสินเข้ามาใกล้เขาก็ยังไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
“อาเหยีย…”
เกาลั่วเสินเรียกเขาเสียงสั่น
ครู่ใหญ่บิดาจึงหันหน้ามาช้าๆ สองตาเต็มไปด้วยเส้นโลหิต ใบหน้าซีดเซียว สีหน้าเศร้าซึม
เพิ่งผ่านไปแค่คืนเดียวบิดาถึงกับดูแก่ไปมาก
“อาเหยีย…”
เกาลั่วเสินอดทนต่อไปไม่ไหว น้ำตาไหลนองหน้า
นางรู้ถึงการตัดสินใจในท้ายที่สุดของบิดาแล้ว
แม้จะบอกว่าสถานการณ์ของหลินอี้ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้มั่นคงแล้ว แต่แรงกดดันที่ราชสำนักต้องเผชิญกลับไม่ได้ลดน้อยลงแม้แต่น้อย
ตามข่าวที่สายสืบทางเจียงเป่ยส่งมา ครั้งนี้แคว้นซย่าทางเหนือตั้งใจจะบุกลงใต้จะต้องยึดครองต้าอวี๋ให้ได้ เล่าลือกันว่าทัพใหญ่มีจำนวนทหารถึงร้อยหมื่นนาย
ส่วนต้าอวี๋ขาดแคลนกำลังทหาร อย่างมากก็เกณฑ์ทหารได้เพียงสามสิบหมื่นนายเท่านั้น
สำหรับกองกำลังทหารสามสิบหมื่นนายก็ต้องให้ชาวบ้านจำนวนสามเท่าหรือร้อยหมื่นคนมาจัดหาข้าวของสิ่งจำเป็นให้
และเสนาบดีคลังได้รายงานต่อเบื้องบน แจ้งว่าท้องพระคลังของต้าอวี๋เวลานี้เพียงพอถูไถประคับประคองการศึกทางเหนือได้เท่านั้น ราชสำนักจำเป็นต้องยุติการปราบปรามกบฏให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้ทุ่มเทกำลังทั้งหมดไปรับมือกับศึกใหญ่ที่มาจากทางเหนือซึ่งเกี่ยวโยงถึงชะตากรรมของบ้านเมืองในครั้งนี้
“อาหมี อย่าได้เกลียดอาเหยียเลย อาเหยียไม่ใช่ไม่อยากช่วยอาตี้ของเจ้า แต่อาเหยียไม่มีหนทาง ถ้าต้องสูญเสียเมืองอวี้จางไปอีก สงครามภายในยืดเยื้อไม่สงบ เกิดชาวเจี๋ยบุกมาประชิดชายแดน เกรงว่าต้าอวี๋เราคงยากจะต้านทานไว้ได้อีก…”
เกาเฉียวน้ำเสียงแหบพร่า ในดวงตามีน้ำตาขังคลอ อธิบายให้บุตรสาวฟังถึงการตัดสินใจในท้ายที่สุดของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
“อาเหยีย!”
นางไม่เกลียดอาเหยียที่ไร้ความปรานี เพียงแค้นใจที่ใต้หล้าไม่สงบสุข เพราะเหตุใดสงครามจึงเกิดขึ้นมาตรงโน้นทีตรงนี้ทีไม่หยุด ไม่มีความสงบสุขแม้แต่วันเดียว
เพราะสงคราม…บ้านเมืองจึงอ่อนแอราษฎรยากจน บิดาต้องเหน็ดเหนื่อยกับการรับมือ อ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ตลอดวันไม่มีสีหน้าเบิกบานให้เห็น
เพราะสงคราม…จึงได้หล่อเลี้ยงความฝันและความทะเยอทะยานของบุตรหลานตระกูลขุนนางรุ่นหนุ่มสาวที่ฝันจะสร้างผลงานเช่นอาตี้ขึ้นมา
และเพราะสงคราม…ทำให้นางได้ลิ้มรสชาติอะไรคือการตายจากของญาติพี่น้องเป็นครั้งแรกในชีวิต
นางร้องไห้จนควบคุมตนเองไม่ได้ ในที่สุดก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงหลับไปในอ้อมกอดของบิดา วันรุ่งขึ้นตื่นมาก็ปวดหัวตัวร้อนไม่อาจลุกจากเตียงได้
เกาลั่วเสินยากจะหลับตาลงได้ตลอดคืน นางนอนอยู่บนเตียงถึงสามวันเต็ม แม้แต่เซียวหย่งจยาที่ไม่ได้กลับเข้ามาในเมืองหลายปี พอทราบข่าวก็รีบกลับมา คอยดูแลนางอยู่ข้างกายทั้งวันทั้งคืน
รุ่งเช้าวันที่สี่ระหว่างที่นางสติยังเลอะๆ เลือนๆ ก็ถูกข่าวที่ส่งมาอีกครั้งทำให้จิตใจสั่นสะเทือน
อาตี้ได้รับการช่วยเหลือแล้ว!
ตอนออกรบนายทหารชั้นผู้น้อยในกองทัพนายหนึ่งถึงกับขี่ม้าบุกเดี่ยวเข้าไปที่หน้าขบวนทหารของหลินชวนหวัง เขาราวกับเข้าไปในเขตไร้ผู้คน ช่วยอาตี้ของนางกลับมาได้
นายทหารผู้นั้นชื่อว่า ‘หลี่มู่’
รวมคำเรียกต่างๆ ภายในเรื่อง
คำเรียก ความหมาย
อาเหยีย “บิดา”
อาเหนียง / อาหมู่ “มารดา”
ต้าซยง “พี่ใหญ่”
อาซยง “พี่ชาย”
อาเจี่ย “พี่สาว”
อาเม่ย “น้องสาว”
อาตี้ “น้องชาย”
อาเส่า “พี่สะใภ้”
อาจยา “แม่สามี”
หลางจวิน คำที่ภรรยาใช้เรียกสามี และใช้เรียกชายหนุ่มทั่วไปในเชิงยกย่อง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 พ.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.