X
    Categories: ทดลองอ่านธาราวสันต์ บุษบันจันทรามากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ธาราวสันต์ บุษบันจันทรา บทที่ 7-บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่เจ็ด

 เมืองตันหยางตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองหลวงเจี้ยนคัง ทั้งสองเมืองอยู่ห่างกันไม่ถึงร้อยหลี่ คูเมืองและกำแพงเมืองแม้จะเล็กแต่ก็มีทุกอย่างครบครัน ในฐานะเมืองที่ทำหน้าที่โอบล้อมพิทักษ์เมืองหลวงเจี้ยนคัง ปกติก็มีกองกำลังทหารตั้งมั่นอยู่ กอปรกับบางครั้งก็มีบุคคลสำคัญจากเมืองเจี้ยนคังไปมาหาสู่ ข่าวสารของผู้คนที่นี่แต่ไรมาจึงรวดเร็วกว่าที่อื่น

ต้นเดือนสี่ของปีนี้วันนี้ประตูเมืองเมืองตันหยางจวิ้นเปิดกว้าง บริเวณใกล้เคียงประตูเมืองคึกคักยิ่งกว่าตลาดนัด ชาวบ้านพากันมาเบียดเสียดอยู่นอกประตูเมืองสองฟากถนนตั้งแต่เช้า ทางหนึ่งก็ชะเง้อคอมองไปทางใต้ที่อยู่ไกลออกไป ทางหนึ่งก็วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างคึกคักไม่หยุด

หลายวันก่อนมีข่าวมาว่ากบฏหลินชวนหวังที่สร้างความวุ่นวายต่อเนื่องกว่าครึ่งปีในที่สุดก็ถูกปราบสงบราบคาบลงแล้ว การรบครั้งสุดท้ายหลินชวนหวังต้านทานไม่ได้ ถูกกดดันให้ล่าถอยเข้าไปเฝ้ารักษาเมือง หลังจากประตูเมืองถูกโจมตีแตก หลินชวนหวังก็ขี่ม้าหลบหนี ก่อนถูกยิงด้วยลูกศรร่วงจากม้า ทหารที่ไล่ตามไปโอบล้อมเขาไว้และแทงเขาตายในช่วงชุลมุน พวกกบฏที่เหลือถูกสังหารทั้งหมด บริเวณลุ่มแม่น้ำกั้นที่ไม่สงบมากว่าครึ่งปี ในที่สุดก็กลับคืนสู่ความสงบสุขแล้ว

อาณาประชาราษฎร์แถบเจียงหนานในเวลานี้ทุกคนต่างรู้ว่าสถานการณ์ทางเจียงเป่ยตึงเครียด ข้าศึกเข้มแข็งเราอ่อนแอ สงครามอาจปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ เมืองตันหยาง ในร้านน้ำชาหอสุราทุกวันจะมีคนว่างงานไม่มีอะไรทำนั่งอยู่ ที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากที่สุดก็คือชาวเจี๋ยโหดเหี้ยมทารุณอย่างไร ตามคำพูดของคนที่หนีมาจากทางเหนือเมื่อก่อนเล่าว่าชาวเจี๋ยผมแดงมีเขี้ยวยื่นออกมานอกปาก ลักษณะคล้ายผีร้าย สำหรับการกินเนื้อมนุษย์ดิบๆ นั้นยิ่งเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป ครั้นพูดมากเข้าก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทุกคนจะรู้สึกถึงอันตราย แม้แต่เด็กๆ ที่ร้องไห้โยเยตอนกลางคืน พ่อแม่ก็จะยกคนหูมาขู่ขวัญ

เมื่อเอ่ยถึงสกุลเกาที่เวลานี้กำลังรวบรวมทหารเตรียมทำศึกที่ก่วงหลิง เจียงเป่ย ทุกคนต่างยกย่อง เอ่ยถึงหลินชวนหวังที่ฉวยโอกาสในช่วงวุ่นวายก่อกบฏ ทุกคนต่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่ว่าอย่างไรชะตากรรมของบ้านเมืองก็ยากลำบากอยู่แล้ว ถ้าถูกซ้ำเติมเพราะการก่อกบฏของหลินชวนหวังเข้าอีก ราชสำนักคงไม่มีกำลังจะรับมือทางเจียงเป่ย ถึงตอนนั้นเกิดถูกชาวเจี๋ยที่ดุร้ายข้ามแม่น้ำลงมาทางใต้ ที่ประสบภัยพิบัติยังคงเป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วไป เป็นเหตุให้หลังจากทราบข่าวทุกคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

วันนี้พระมาตุลาสวี่ซือถูนำกองทัพมาถึงตันหยาง เกาเซี่ยงกงก็เร่งรุดมาจากเมืองเจี้ยนคัง เลี้ยงฉลองและต้อนรับเหล่าทหารหาญที่มีความดีความชอบ

โอกาสเช่นนี้ปกติยากจะได้พบสักครั้ง ประชาชนต่างมารอกันอยู่ที่นี่นานแล้ว นอกจากจะมาชื่นชมอานุภาพของกองทัพแล้วก็อยากมาชมบารมีของท่านอัครเสนาบดีแห่งต้าอวี๋ที่เล่าขานกันด้วยตาของตนเอง

ตอนดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลอยสูงขึ้น บริเวณใกล้เคียงประตูเมืองพลันเกิดความวุ่นวายขึ้นมา ทุกคนพากันชะเง้อคอมองไป เห็นบนหอสูงที่อยู่บนกำแพงเมือง นอกจากทหารชุดเกราะที่ถือง้าวยืนเรียงแถวอยู่ก่อนหน้านั้น เวลานี้มีเงาร่างคนเพิ่มขึ้นมาหลายคน ท่าทางล้วนเป็นขุนนางในราชสำนัก

บุรุษวัยกลางคนท่านหนึ่งที่อยู่ตรงกลาง ศีรษะสวมหมวกจิ้นเสียน สีดำ ร่างสวมชุดขุนนางผ้าไหมบางเบาสีแดง ใบหน้าสะอาดหมดจดดุจหยก นัยน์ตาหงส์เลิกขึ้นเล็กน้อย แววตาใสกระจ่างดุจเทพ คล้ายกำลังเบิกมองไปข้างหน้า เครางามที่อยู่ปลายคางปอยนั้นปลิวสะบัดไปตามลมเบาๆ ยามเขายืนอยู่ที่นั่นก็ดูลุ่มลึกดุจสายน้ำสูงตระหง่านดุจขุนเขา แม้ไม่โกรธก็น่าครั่นคร้ามหวั่นเกรง

“เกาเซี่ยงกงมาถึงแล้ว!”

บนถนนมีคนส่งเสียงขึ้นมา

หนึ่งบอกต่อสิบ สิบบอกต่อร้อย ไม่นานทุกคนก็รู้กันทั่วว่าบุรุษวัยกลางคนที่ขึ้นไปบนกำแพงเมืองเมื่อครู่ ก็คืออัครเสนาบดีสกุลเกาผู้มีชื่อเสียงทั่วใต้หล้า ไม่ผิดจากคำเล่าลือเลยจริงๆ เขามีท่วงทีโดดเด่นเหนือผู้คน อารมณ์ของปวงชนฮึกเหิมเร่าร้อนขึ้นมาทันที คนเดินถนนพากันไหลทะลักเข้ามา อยากเข้ามาใกล้อีกสักหน่อย จะได้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น

บริเวณด้านล่างประตูเมืองเกิดความชุลมุนวุ่นวายขึ้นมาชั่วขณะ

ในเวลานี้เองตรงข้ามกับถนนที่มุ่งไปสู่ประตูเมือง มีคนหลายคนวิ่งมาอย่างรวดเร็ว ปากก็ร้องตะโกนขึ้น

“ทัพใหญ่มาถึงแล้ว! ทัพใหญ่มาถึงแล้ว!”

ผู้คนยิ่งตื่นเต้นดีใจ และพากันหันหน้าไป แข่งกันชะเง้อคอมอง ไม่ผิดจากที่คิด ชั่วเวลาเพียงครู่เดียวก็เห็นที่สุดปลายถนนไกลๆ ค่อยๆ ปรากฏเงาของกองกำลังทหารขึ้น ทิวธงที่อยู่ด้านหน้าโบกสะบัด

เป็นพระมาตุลาสวี่มี่นำนายทหารและทหารหาญที่มีความดีความชอบในการปราบกบฏเดินทัพมาถึงแล้ว

ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้อง เกาเฉียวมีสีหน้าปีติยินดี รีบลงจากกำแพงเมือง ทิ้งม้าเดินเท้าออกไปนอกประตูเมือง ตรงไปยังถนนที่ทัพใหญ่ขบวนนั้นกำลังมุ่งหน้ามา สาวเท้าเร็วๆ เข้าไปต้อนรับ

ที่นำหน้ามาอยู่กลางขบวนเป็นม้าสีเหลืองแซมด้วยจุดสีขาวตัวหนึ่ง คนที่ขี่อยู่บนหลังเป็นบุรุษเคราเหลืองสวมเสื้อเกราะหมวกเหล็กครบครัน ข้างกายสองด้านมีเสนาธิการ รองแม่ทัพ อาวุธพร้อมพรัก พลานุภาพน่าเกรงขามติดตามอยู่ ตลอดทางที่ผ่านมาเห็นผู้คนแห่แหนต้อนรับอยู่สองฟากถนน ในดวงตาเขาก็มีประกายภาคภูมิใจผุดขึ้นจางๆ

เขาเห็นแต่ไกลแล้วว่าเกาเฉียวนำเหล่าขุนนางจากเมืองเจี้ยนคังเดินเท้าออกมาต้อนรับ แต่จงใจผ่อนฝีเท้าม้าลง รอจนระยะห่างของทั้งสองฝ่ายเหลือเพียงไม่กี่จั้ง จึงกระตุ้นม้าเข้าไป มาถึงเบื้องหน้าเกาเฉียวก็พลิกตัวลงจากหลังม้า ตั้งท่าจะคุกเข่าลงคารวะเกาเฉียว “จิ่งเซิน ฝากฝังหลานชายไว้กับข้า แต่ข้ากลับทำให้ผิดหวัง หลานชายเกือบต้องจบชีวิตลงแล้ว! นี่ล้วนเป็นความผิดพลาดของข้า ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับหลานชาย ข้าแม้ตายหมื่นครั้งก็ยากจะปฏิเสธความผิดได้!”

เกาเฉียวจะให้คนผู้นี้คารวะตนได้อย่างไร เขารีบเดินเข้าไปดึงตัวอีกฝ่ายขึ้นมาท่ามกลางเสียงหัวเราะ

“พี่สวี่ เหตุใดจึงพูดเช่นนั้น เป็นตายแล้วแต่โชคชะตา ไม่ใช่กำลังความสามารถของมนุษย์จะควบคุมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่ระหว่างการทำศึกสงคราม ต้องตำหนิข้าที่ไม่เคยใคร่ครวญแทนพี่สวี่ให้รอบคอบ ขณะที่พี่สวี่กำลังทุ่มเทกำลังและความคิดเพื่อปราบกบฏ ยังต้องแบ่งเวลามาสนใจหลานชายที่โง่เขลาผู้นั้นของข้าด้วย ยิ่งทำให้พี่สวี่ต้องตกอยู่ในภาวะยากจะตัดสินใจ! เป็นข้าที่ควรละอายใจจึงจะถูก!”

บุรุษเคราเหลืองผู้นั้นก็คือสวี่มี่ ผู้ถือกำเนิดในสกุลสวี่หนึ่งในสามตระกูลใหญ่เก่าแก่ของรัชสมัยปัจจุบัน เป็นพี่ชายคนโตของสวี่ฮองเฮาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน

“จิ่งเซินไม่ตำหนิ ถือเป็นโชคดีของข้า!”

สวี่มี่จับมือเกาเฉียวอย่างสนิทสนมและเผยท่าทีที่อบอุ่นใจยิ่ง

ขุนพลทหารหลายนายที่ติดตามอยู่ด้านข้าง นอกจากบุรุษหน้าดำที่มีหนวดเคราแล้ว คนอื่นๆ ล้วนมาจากครอบครัวตระกูลขุนนาง ต่างรู้จักเกาเฉียวดีจึงพากันลงจากหลังม้าเข้ามาแสดงความเคารพ

เกาเฉียวจิตใจเบิกบานยิ่ง ทักทายปลอบบำรุงขวัญไปทีละคน

ราษฎรที่อยู่ด้านข้างได้ยินไม่ชัดเจนว่าพวกเขาพูดอะไรกัน มองจากที่ไกลเพียงเห็นเกาเซี่ยงกงกับพระมาตุลาสวี่จับมือพูดคุยยิ้มแย้ม แม่ทัพกับอัครเสนาบดีกลมเกลียวกัน ผู้คนต่างตื่นเต้นยินดี มีเสียงไชโยโห่ร้องดังกระหึ่มมาจากสองฟากข้าง

เกาเฉียวทักทายปลอบขวัญเสร็จ จะอย่างไรในใจก็ยังห่วงกังวลถึงเรื่องนั้นมาโดยตลอด จึงเอ่ยขึ้น “หลานชายที่โง่เขลาผู้นั้นของข้า ครั้งนี้โชคดีเอาชีวิตรอดกลับมาได้ ได้ยินว่าคนในกองทัพของท่านที่ชื่อหลี่มู่เป็นคนช่วยมาจากแนวหน้า คนผู้นี้วันนี้ได้ตามกองทัพกลับมาหรือไม่”

สวี่มี่หัวเราะบอก “แน่นอน!” เขามองไปที่บุรุษหน้าดำร่างกำยำล่ำสันที่อยู่ข้างกายผู้นั้น

บุรุษร่างกำยำได้ยินชื่อเกาเฉียวมานาน กลับเพิ่งเคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาเป็นครั้งแรก ตนจึงรีบก้าวเข้ามาทำความเคารพเกาเฉียวอย่างนอบน้อม

“ผู้น้อยหยางเซวียน คารวะเซี่ยงกง หลี่มู่เป็นซือหม่ากองนอก ผู้หนึ่งในสังกัดของผู้น้อย ผู้น้อยจะไปเรียกเขามาคารวะเซี่ยงกงเดี๋ยวนี้ขอรับ!” พูดจบก็เดินจากไปอย่างรีบร้อน

เกาเฉียวมองไปทางด้านหน้า ครู่เดียวก็เห็นหยางเซวียนพาคนผู้หนึ่งกลับมา สายตาของทหารในบริเวณใกล้เคียงที่มองไปยังคนผู้นั้นล้วนเจือไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ต่างพากันเปิดทางให้ ดูก็รู้ว่าคนผู้นั้นน่าจะเป็นหลี่มู่

เขาเขม้นตามองไป อดรู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้างไม่ได้

ตำแหน่งซือหม่ากองนอกอยู่ในกองทัพ แม้จะเป็นเพียงตำแหน่งนายทหารชั้นต่ำขั้นห้าผู้หนึ่ง มีกองกำลังทหารของตนเองเพียงไม่กี่ร้อยนาย ซึ่งแตกต่างจากลูกหลานตระกูลขุนนางที่เข้ามาอยู่ในค่ายทหาร ลูกหลานตระกูลขุนนางที่พอเข้ามาเป็นทหารก็จะได้รับการแต่งตั้งเป็นตูเว่ยจนถึงขุนพลจงหลาง ตำแหน่งทหารตั้งแต่ขั้นสี่ขึ้นไป แต่สำหรับทหารทั่วไปการคิดจะสร้างผลงานจนได้รับเลื่อนขั้นเป็นซือหม่ากองนอกขั้นห้าที่มีกองกำลังทหารของตนเองนั้น หาใช่เรื่องง่าย

เมื่อก่อนตอนเกาเฉียวนำกองทัพ เท่าที่รู้ผู้ดำรงตำแหน่งซือหม่ากองนอกที่อายุน้อยที่สุดก็เกือบสามสิบปีแล้ว

แต่นายทหารตรงหน้าที่ตามหยางเซวียนมาผู้นี้ ดูแล้วกลับยังอายุน้อยอยู่มาก อย่างมากก็อายุยี่สิบต้นๆ คิ้วดาบดวงตาเป็นประกายดุจดวงดาว ท่วงทีวีรอาจหาญ ฝีเท้าหนักแน่นปราดเปรียว กำลังเดินตรงมา

ข้างกายเขามีเด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกปีเดินมาด้วยคนหนึ่ง ใบหน้าหมดจดงดงาม เพียงเห็นก็รู้ว่าเป็นคุณชายน้อยที่มีชาติกำเนิดอยู่ในวงศ์สกุลสูงศักดิ์คนหนึ่ง ยามสวมชุดเกราะทหาร หัวไหล่สองข้างก็ถูกเสื้อเกราะตัวกว้างทำให้ยิ่งดูบอบบางอย่างเห็นได้ชัด คนผู้นี้ก็คือเกาหวน หลานชายที่ไม่ได้พบหน้ามากว่าครึ่งปีแล้ว

เกาเฉียวมองนายทหารหนุ่มที่ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ผู้นั้น ตอนแรกก็ประหลาดใจ พอมาคิดอีกทีเขาบุกเดี่ยวเข้าไปช่วยหลานชายกลับมาได้ ความฉงนสนเท่ห์นั้นก็พลันมลายไป

ถ้าไม่มีจิตใจที่กล้าหาญเหนือธรรมดา ไม่มีวรยุทธ์ที่สูงส่ง รวมทั้งจิตสังหารที่กล้าแกร่ง ภายใต้สถานการณ์ที่กองทัพสองฝ่ายคุมเชิงกันอยู่ในสนามรบ จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะอาศัยเพียงกำลังของตนคนเดียวบุกเข้าไปในกองทัพศัตรู กวาดสังหารไปทั่วแปดทิศ

ในเมื่อมีความสามารถเหนือผู้คนเช่นนี้ เพียงอายุยี่สิบต้นๆ ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นซือหม่ากองนอก ตามเหตุผลแล้วก็เป็นเรื่องสมควร

“ท่านลุง!”

เกาหวนตลอดทางดูตื่นเต้นดีใจ ตอนเดินตามมาก็พูดอะไรกับนายทหารหนุ่มที่อยู่ด้านข้างผู้นั้นตลอดเวลา กลับเป็นนายทหารหนุ่มผู้นั้นที่ดูออกจะเงียบขรึมอย่างเห็นได้ชัด ไม่ค่อยตอบคำสักเท่าไร เกาหวนก็ไม่สนใจเท่าไรนัก ครั้นหันมาเห็นเกาเฉียว ดวงตาพลันเจิดจ้าขึ้น วิ่งตรงเข้ามา พอเข้ามาใกล้ก็เห็นเกาเฉียวมองเขาด้วยแววตาเยียบเย็น ไม่พูดอะไรแม้ครึ่งคำ เขาก็หน้าจืดเจื่อน ค่อยๆ ก้มหน้าลง ขยับไปยืนอยู่ที่ด้านข้างเงียบๆ

หยางเซวียนพาคนมาถึงเบื้องหน้า

นายทหารหนุ่มทำความเคารพเกาเฉียวตามแบบทหาร คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ท่วงทีสุขุมคัมภีรภาพ “ซือหม่ากองนอกหลี่มู่ คารวะเซี่ยงกง!”

เกาเฉียวยิ้ม มองประเมินเขาปราดหนึ่ง เอ่ยว่า “ไม่ต้องมากมารยาท” จากนั้นก็เดินเข้าไปประคองเขาขึ้นมาด้วยตนเอง กล่าวยิ้มๆ “เจ้าบุกเข้าไปในกองทัพศัตรูตามลำพัง ช่วยหลานชายข้าไว้ ความกล้าหาญที่หมื่นคนก็ต้านทานไม่ได้ ต่อให้เป็นเมิ่งเปิน ซย่าอวี้ ในสมัยโบราณ เกรงว่าก็คงไม่กล้าบุกเข้าไป! ข้าซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง ข้าได้ยินว่าบรรพบุรุษของเจ้าคือสกุลหลี่แห่งซวีอี๋ สกุลเกาเรากับพ่อและปู่ของเจ้าแม้จะไม่ได้รู้จักคบหากันอย่างลึกซึ้ง แต่เรื่องราวความกล้าหาญของพ่อและปู่ของเจ้าในตอนนั้น ข้าแม้จะอยู่เจียงหนานก็ยังได้ยินข่าว รู้สึกเคารพเลื่อมใสยิ่ง”

เกาเฉียวยกย่องสรรเสริญต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ ในถ้อยคำไม่ปิดบังความชื่นชมที่ตนมีต่อนายทหารหนุ่มลูกหลานสกุลหลี่ผู้นี้แม้แต่น้อย

“เซี่ยงกงยกย่องผู้ต่ำต้อยเกินไปแล้ว ผู้ต่ำต้อยไม่กล้ารับ ผู้ต่ำต้อยขอขอบคุณเซี่ยงกงแทนญาติผู้ใหญ่ผู้ล่วงลับ”

ตำแหน่งซือหม่ากองนอกยังห่างจากตำแหน่งขุนพลจงหลางซึ่งเป็นตำแหน่งขุนพลขั้นต่ำสุดอีกหลายระดับชั้น ด้วยเหตุนี้นายทหารหนุ่มผู้นี้จึงแทนตนว่า ‘ผู้ต่ำต้อย’ ยามอยู่ต่อหน้าเกาเฉียว

คำตอบประโยคนี้ของเขาดูแล้วไม่มีอะไร กลับแฝงความพิถีพิถันอย่างมาก

ถ่อมตัวกับคำยกย่องชมเชยที่เกาเฉียวมีต่อตน แต่กับเรื่องของบิดาและปู่เห็นชัดว่าให้ความเคารพนับถืออย่างมาก ไม่ถ่อมตนแม้แต่น้อย

คนที่หูดีสมองไวย่อมสังเกตเห็น

เกาเฉียวยิ่งรู้สึกชื่นชม พยักหน้าบอก “เจ้าเป็นคนของสวี่ซือถู การเลื่อนตำแหน่งทางทหารย่อมขึ้นอยู่กับซือถู ด้วยความสามารถของเจ้า เชื่อว่าซือถูสายตาแหลมคมมองเห็นผู้มีความสามารถ ข้าก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวให้มากเรื่อง นอกจากเรื่องนี้แล้วเจ้าต้องการสิ่งใดเป็นรางวัลก็บอกข้ามาได้เลย!”

เขาพูดจบก็มองไปยังสวี่มี่ที่อยู่ด้านข้าง “พี่สวี่ หลี่มู่มีบุญคุณต่อสกุลเกาของข้า ข้าจะเพิ่มรางวัลให้เขาบ้าง ท่านคงไม่ตำหนิข้าว่าแย่งหน้าตาท่านกระมัง”

สวี่มี่หัวเราะฮ่าๆ “มิกล้า พี่ชายผู้โง่เขลา ย่อมรู้สึกโชคดียิ่ง ในค่ายมีผู้มีความสามารถเช่นนี้ ทำให้ข้าสามารถสู้หน้าท่านในวันนี้ได้”

เขาหันไปทางหลี่มู่ “เซี่ยงกงเอ่ยปากเช่นนี้แล้ว โอกาสเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง เจ้ายังต้องการรางวัลอะไรก็เปิดปากบอกมาได้เลย!”

รอบบริเวณสงบเงียบลง สายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งมายังร่างนายทหารหนุ่มที่ชื่อหลี่มู่ผู้นี้

“ตอนนี้ผู้ต่ำต้อยไม่มีความต้องการสิ่งใด ขอบคุณในเจตนาดีของเซี่ยงกงขอรับ”

นายทหารหนุ่มกล่าวตอบ

ผู้คนที่อยู่รอบด้านไม่มีใครไม่ประหลาดใจ

หยางเซวียนมีท่าทีร้อนใจ แอบขยิบตาอยู่ที่ด้านข้างให้เขาเงียบๆ

ไม่เพียงหยางเซวียน เกาหวนที่อยู่ด้านข้างก็ไม่เข้าใจ คล้ายทนไม่ไหวจะเอ่ยปาก หันไปมองท่านลุงของตนแวบหนึ่งแล้วปิดปากลงอีกครั้ง ในดวงตากลับปรากฏแววฉงนสนเท่ห์

หลี่มู่กลับคล้ายไม่รู้สึกอะไร สีหน้าเหมือนปกติ

เกาเฉียวงงงัน จากนั้นก็กล่าวยิ้มๆ “ปูนบำเหน็จตามความดีความชอบ เดิมก็เป็นกฎระเบียบในกองทัพอยู่แล้ว หาไม่จะปลุกเร้าใจทหารหาญให้ฝ่าคมดาบบุกรุดไปข้างหน้าได้อย่างไร ด้วยความดีความชอบที่เจ้ามีต่อสกุลเกาเรา วันนี้ไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด ล้วนเป็นสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ ข้าจะต้องมอบเป็นรางวัลให้กับเจ้า เจ้ามีข้อเรียกร้องอะไรก็บอกข้ามาได้เลย ไม่ต้องอายที่จะเอ่ยปาก!”

รอบบริเวณสงบเงียบลงมาอีกครั้ง’

หยางเซวียนรีบกระแอมกระไอหลายคำ

หลี่มู่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ เขาเหลือบตาขึ้น มองสบสายตาที่เจือรอยยิ้มของเกาเฉียว “ในเมื่อเซี่ยงกงมีคำสั่ง ผู้ต่ำต้อยไม่กล้าไม่ตอบสนอง เพียงแต่วันนี้ผู้ต่ำต้อยไม่มีสิ่งใดที่ต้องการ ถ้าเซี่ยงกงไม่ตำหนิ ขอเก็บไว้วันหลังค่อยปูนบำเหน็จจะได้หรือไม่ ภายหน้าถ้าผู้ต่ำต้อยต้องการสิ่งใด จะร้องขอจากเซี่ยงกงแน่นอน”

เกาเฉียวงงงันไปอีกครั้ง จากนั้นก็ผงกศีรษะพลางลูบเคราบอก “ก็ดี! ภายหน้าถ้าเจ้าต้องการสิ่งใดก็บอกมาได้เลย!”

หลี่มู่คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นอีกครั้ง ทำความเคารพอย่างเป็นทางการ

“ขอบคุณเซี่ยงกง ผู้ต่ำต้อยจะจำใส่ใจไว้ เมื่อคิดได้แล้วจะร้องขอจากเซี่ยงกงแน่นอน ยังหวังว่าถึงตอนนั้นเซี่ยงกงจะรับปาก”

เขากล่าวเสียงหนักแน่น น้ำเสียงนอบน้อม

เกาเฉียวเบิกบานใจยิ่ง พูดยิ้มๆ ด้วยเสียงดังกังวาน “แน่นอน! ภายหน้าไม่ว่าเรื่องใดขอเพียงเจ้าเอ่ยปาก ข้าต้องรับปากแน่นอน!”

บทที่แปด

 คืนนั้นกองทัพใหญ่ก็ตั้งค่ายเลี้ยงฉลองและปูนบำเหน็จรางวัลกันที่นอกเมืองตันหยาง ในกองทัพเชือดสุกรล้มแพะ ไม่ห้ามดื่มสุรา คบไฟแดงฉานไปทั่วทุกแห่ง เสียงตะโกนเล่นทายนิ้วมือเคล้ากับเสียงพูดคุยหัวเราะสนุกสนานดังก้องไปทั้งนอกและในประตูค่าย

“ดื่ม!”

“พวกเราเสี่ยงตายอยู่แนวหน้า พวกเขากระทั่งหน้าของทหารกบฏก็ยังไม่เคยเห็น ทุกครั้งความดีความชอบครั้งใหญ่กลับเป็นของพวกเขาเหล่านั้น!”

“หลี่กองนอก พี่น้องทั้งหลายผลัดกันมาคารวะสุราท่าน! ท่านกล้ารับหรือไม่”

ในมุมที่ไม่สะดุดตามุมหนึ่งของค่ายใหญ่ คบไฟพันด้วยผ้าชุบน้ำมันถง ลุกไหม้ส่งเสียงเปรี๊ยะปร๊ะ เปลวไฟลุกโชนสั่นไหว ส่องสะท้อนดวงหน้าแดงก่ำไปด้วยฤทธิ์สุราเป็นดวงๆ

นายทหารชั้นผู้น้อยกับพลทหารกลุ่มหนึ่งในกองทัพกำลังห้อมล้อมหลี่มู่อยู่ ชิงกันคารวะสุราเขา สายตาที่มองเขานอกจากเลื่อมใสศรัทธาแล้ว ยิ่งเจือไปด้วยความโกรธแค้นที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม

ทุกครั้งที่ทำศึกได้รับชัยชนะ ในกองทัพจะปูนบำเหน็จตามความดีความชอบ นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ

การศึกก่อนหน้านี้ หลินชวนหวังรู้ว่าตนไม่มีทางให้ถอยแล้ว จึงต่อสู้ประหนึ่งการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของสัตว์ที่ถูกปิดล้อม อิงชัยภูมิที่ได้เปรียบทำการต่อต้านอย่างดื้อรั้น

ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขายังมีกำลังทหารที่ปกครองมานานปีอีกสองหมื่นนาย ทั้งยึดครองชัยภูมิที่สะดวก

ถ้าตอนนั้นไม่ใช่หลี่มู่ขี่ม้าบุกเข้าไปในทัพข้าศึกดุจสายฟ้าแลบประหนึ่งทหารเทพลงมาจากสวรรค์ พาเกาหวนแห่งสกุลเกาที่เดิมจะกลายเป็นวิญญาณใต้คมดาบกลับมาได้ ทำให้ฐานที่มั่นของหลินชวนหวังชุลมุนวุ่นวายไปทันใด และทำให้ทหารฝ่ายราชสำนักขวัญกำลังใจฮึกเหิมขึ้นอย่างมาก และฉวยโอกาสที่ฝ่ายตรงข้ามยังไม่ทันตั้งรับเปิดฉากโจมตีอย่างรุนแรง จิตใจทหารกบฏที่จะต่อสู้พังทลายไปหมด กองทัพพ่ายแพ้ดุจภูเขาโค่นล้มลงมา เดิมการศึกครั้งนี้จะต้องเป็นการทำศึกที่นองไปด้วยโลหิตแท้ๆ

แต่ถ้ายังไม่ถึงช่วงสุดท้าย…ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าตัดสินผลแพ้ชนะ

วันนั้นในสมรภูมิรบทุ่งกว้างเก่าแก่ที่มองไปไม่เห็นจุดสิ้นสุดผืนนั้น ขณะกองทัพทั้งสองประจันหน้ากันอยู่ เขาถืออาวุธครบมือ ดาบยาวเล่มหนึ่ง โล่เหล็กอันหนึ่ง ทลายกำแพงมนุษย์ที่ขวางอยู่ด้านหน้า สั่งม้าให้เหยียบย่ำลงไปบนซากศพบุกรุดไปข้างหน้าทำให้ทหารข้าศึกอกสั่นขวัญกระเจิง ถอยหนีไปสามเซ่อ ส่งผลให้สุดท้ายถึงกับไม่มีใครกล้าขวาง ได้แต่ตกตะลึงพรึงเพริดมองเขาพาตัวเกาหวนกลับไป ท่ามกลางทหารและม้านับพันนับหมื่นนาย และลูกศรที่ยิงไล่ตามหลังมา

ขอเพียงเป็นคนที่เห็นภาพนี้ด้วยตาของตนเองในวันนั้น แม้เวลาจะผ่านมากว่าครึ่งเดือนแล้ว เวลานี้เมื่อนึกขึ้นมาก็ยังคงทำให้คนโลหิตร้อนระอุเดือดพล่าน

หลี่มู่แม้จะเป็นเพียงซือหม่ากองนอกนายหนึ่ง อายุก็ยังน้อย แต่เข้ามาเป็นทหารหลายปีแล้ว เกิดมาในช่วงกลียุค บ้านเมืองวุ่นวายจากภัยสงคราม หากบอกว่าเคยผ่านศึกสงครามมานับร้อยก็ไม่เกินไปแม้แต่น้อย

ตอนหลี่มู่เข้าเป็นทหารครั้งแรก เริ่มจากเป็นพลทหารชั้นต่ำสุด แล้วเป็นอู่จ่าง สือจ่าง นายกองร้อย กระทั่งสองปีก่อนด้วยอายุไม่ถึงยี่สิบปีก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นซือหม่ากองนอกที่สามารถมีค่ายทหารเป็นของตนเองได้ โดยอาศัยผลงานการทำศึกที่สั่งสมมาในแต่ละครั้ง

ในกองทัพที่อยู่ในปกครองของสวี่มี่ซึ่งเดิมตั้งอยู่ทางต้นน้ำของเจียงเป่ยนี้ เมื่อเอ่ยถึงหลี่มู่ที่ฮึกเหิมห้าวหาญเชี่ยวชาญการทำศึกแล้ว แทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก กอปรกับผู้คนต่างเคารพนับถือที่บิดาและปู่ของเขาสละชีพเพื่อบ้านเมือง เขาในหมู่นายทหารชั้นผู้น้อยและพลทหารก็นับว่ามีอำนาจและบารมีอย่างยิ่ง

หลังจากเขารับตำแหน่งซือหม่ากองนอก เหล่าทหารหาญไม่มีใครไม่รู้สึกภาคภูมิใจที่สามารถเข้ามาอยู่ในค่าย และได้เป็นทหารในสังกัดของเขา

ทหารสามร้อยนายในบังคับบัญชาของเขา แต่ละคนล้วนกล้าหาญไม่กลัวตาย กินด้วยกัน นอนด้วยกัน ทุกการทำศึกจะบุกตะลุยโจมตีข้าศึกร่วมกันกับเขาอย่างลืมความเป็นความตาย

จนกระทั่งครึ่งเดือนก่อนการศึกครั้งนั้นถึงทำให้เขาได้กลายเป็นประหนึ่งเทพเจ้าที่ทุกคนเลื่อมใสหวังพึ่งพิงในใจของทหารทุกนายอย่างแท้จริง

โลหิตผู้กล้า…มีอานุภาพสั่นสะเทือนสยบสามเหล่าทัพ

การศึกครั้งนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเหมาเอาความดีความชอบอันดับหนึ่งไว้แต่เพียงผู้เดียว จะบอกว่าทำศึกเพียงครั้งเดียวก็ได้รับการยกย่องเป็นเทพก็ไม่เกินเลยไป

แต่การปูนบำเหน็จตามความดีความชอบในวันนี้ เขากลับได้เลื่อนขั้นเพียงจากซือหม่ากองนอกเป็นซือหม่าฝ่ายขวาหนึ่งในห้าซือหม่าของกองทัพ ส่วนตำแหน่งตูเว่ยที่เป็นรองเพียงตำแหน่งขุนพลเดิมซึ่งว่างอยู่หนึ่งตำแหน่งและทุกคนต่างเข้าใจว่าครั้งนี้ตำแหน่งนี้ต้องตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน กลับตกไปเป็นของบุตรหลานในตระกูลขุนนางคนหนึ่งซึ่งเพิ่งเข้ามาอยู่ในกองทัพได้ไม่กี่เดือน

เมื่อคำสั่งชมเชยและปูนบำเหน็จออกมา ทหารสามร้อยนายที่อยู่ในสังกัดหลี่มู่ต่างส่งเสียงโวยวาย ทหารอื่นๆ ที่เหลือก็พากันวิพากษ์วิจารณ์เห็นว่าไม่ยุติธรรม

เสินจ่างหลายคนที่ใจกล้าจะไปหาหยางเซวียนเพื่อต่อว่าต่อขาน กลับถูกหลี่มู่ยับยั้งไว้ ทุกคนเห็นตัวเขาเองไม่ใส่ใจถึงได้ล้มเลิก แต่ความรู้สึกไม่ยุติธรรมในใจยังคงไม่จางหายไป คืนนี้จึงยังคงใช้คำว่า ‘กองนอก’ ซึ่งเป็นตำแหน่งเก่ามาเรียกหาเขาอยู่ เพื่อแสดงถึงความไม่พอใจอย่างมาก

หลี่มู่ใบหน้าเจือรอยยิ้ม ผู้ใดมาก็ไม่ปฏิเสธ ร่วมดื่มกับทหารที่ชิงกันมาคารวะสุราตนจอกแล้วจอกเล่า

“ถ้าภายหน้าท่านนั่งรถ ข้าสวมงอบ วันใดบังเอิญพบกันท่านจะลงจากรถมาทักทายข้ากระมัง”

“ถ้าภายหน้าท่านถือร่มกระดาษ ส่วนข้าขี่ม้าตัวสูงใหญ่ วันใดบังเอิญพบกันข้าก็จะลงมาทักทายท่าน”

“อย่าเห็นว่าเด็กหนุ่มตามถนนหนทางยากจน คนที่มีความสามารถเมื่อสบโอกาสเหมาะอาจกลายเป็นมังกรโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า!”

ไม่รู้ใครเป็นคนเริ่มต้น ไม่นานบริเวณรอบๆ ก็เริ่มมีคนเอาสันดาบเคาะกันเป็นจังหวะจะโคน ขับร้องเพลงพื้นเมืองที่มีที่มาจากดินแดนแคว้นเยวี่ยโบราณเพลงนี้ขึ้นมา

ผู้เข้าร่วมยิ่งนานยิ่งมากขึ้น…มากขึ้น เสียงเพลงกับเสียงเคาะดาบทำให้ผู้คนเลือดลมพลุ่งพล่าน คลื่นที่โหมซัดสาดขยายวงกว้างออกไป อารมณ์ฮึกเหิมเร่าร้อนแผ่กระจายตามสายลมยามราตรีไปทั่วค่ายทหาร เป็นเหตุให้นายทหารจากตระกูลขุนนางที่จับกลุ่มกันดื่มสุราอยู่ในที่ห่างออกไปกลุ่มนั้นอดหัวเราะเยาะไม่ได้

ท่ามกลางเสียงเพลง หลี่มู่นั่งตามลำพังอยู่ข้างกองไฟ รินสุราดื่มเองเงียบๆ สีหน้าสงบนิ่ง

ทันใดนั้นเสียงเพลงที่อยู่รอบด้านค่อยๆ เบาลง สุดท้ายก็เงียบไปในที่สุด

หลี่มู่หันหน้ามาอย่างไม่กระตือรือร้น เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งมือข้างหนึ่งถือป้านสุรา มือข้างหนึ่งถือจอก กำลังเดินตรงมาที่ตนทำให้ทหารที่อยู่บริเวณใกล้เคียงพากันชำเลืองมอง มีสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองตามมา

เกาหวนในใจรู้ดี ในกองทัพคนหนุ่มบุตรหลานตระกูลขุนนางที่พอมาถึงอย่างน้อยก็ต้องได้ตำแหน่งซือหม่าโดยไม่ต้องมีผลงานอย่างตนไม่เป็นที่ต้อนรับของทหารทั่วไปอย่างมาก

ทหารชั้นผู้น้อยเหล่านั้น ภายนอกไม่กล้าแสดงท่าทีอะไร แต่ลับหลังก็เดียดฉันท์พวกตนอย่างมาก

เกาหวนอิจฉาท่านลุงของตนเป็นอย่างยิ่ง แม้มีชาติกำเนิดในตระกูลขุนนางอันดับหนึ่งของต้าอวี๋ แต่ตอนนำทัพในปีนั้นกลับได้รับการยอมรับ ได้กำลังใจจากผู้ใต้บังคับบัญชาและทหารชั้นผู้น้อยอย่างมาก ยิ่งให้การสนับสนุนเขาอย่างที่สุด ถ้าเป็นคำสั่งของเขาก็ไม่มีที่ไม่ปฏิบัติตาม

กล่าวกันว่าการยกทัพไปปราบปรามทางเหนือครั้งสุดท้ายของเขา ด้วยสถานการณ์บีบคั้นทำให้อับจนปัญญาต้องยกทัพกลับแต่กลางคัน กองทัพใหญ่สิบหมื่นนายต้องข้ามแม่น้ำฉางเจียงกลับมา เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงหญ้ากกเฉาเหลือง ท่านลุงยืนอยู่ริมฝั่งทางเหนือ เนิ่นนานไม่ยอมขึ้นเรือ ตอนหันหน้ากลับไปมองน้ำตาไหลพราก นายทหารผู้น้อยที่อยู่ด้านหลังไม่มีใครไม่หลั่งน้ำตาไปด้วย พากันคุกเข่าลงสาบานว่าวันหน้าถ้าเขาจะระดมกำลังทหารไปปราบปรามทางเหนืออีก ยังคงยินดีจะเป็นทหารในบังคับบัญชาของเขา

ตอนนั้นเกาหวนยังไม่เกิด ภาพที่เต็มไปด้วยความเศร้าอาดูรคลุกเคล้าไปด้วยความฮึกเหิมเร่าร้อนฉากนั้น เขาย่อมไม่มีวาสนาจะได้เห็น แต่เรื่องนี้ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อความใฝ่ฝันของเขา

หลังจากมาถึงที่นี่เกาหวนก็เคยคิดจะเข้ามาใกล้ชิดกับเหล่าทหารชั้นผู้น้อย แต่ติดขัดที่ความเคยชินมานานปีและสายตาของคนรอบข้าง จนแล้วจนรอดก็ไม่กล้าละทิ้งท่วงทีที่บุตรหลานตระกูลขุนนางพึงมีของตนลง

แต่หลี่มู่กลับแตกต่างไป

วันนั้นเกาหวนถูกมัดอยู่ที่แนวหน้า ขณะที่เขากำลังกดข่มความหวาดกลัวในใจ ตั้งใจแน่วแน่จะไม่เอ่ยปากขอความเมตตาเพื่อรักษาชีวิตรอด ยอมให้ร่างกับศีรษะแยกจากกัน ไม่อาจให้ชื่อเสียงสกุลเกาต้องเสื่อมเสียเพราะตนอยู่นั้น เขาก็ถูกหลี่มู่ใช้วิธีที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดฝันมาก่อนช่วยออกมาได้

นับว่าเขามีชีวิตรอดมาได้ท่ามกลางความสิ้นหวัง!

ในชั่วเวลานั้นเองซือหม่ากองนอกที่ถืออาวุธควบม้า เสื้อเกราะเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตสด ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารและความกระหายเลือด และสังหารข้าศึกนับร้อยนับพันที่พุ่งเข้าใส่ ได้กลายเป็นบุคคลผู้หนึ่งที่เทียบเคียงได้กับท่านลุงที่อยู่ในใจของเขา

แม้คนผู้นี้จะมีชาติกำเนิดเป็นสามัญชน ฐานะห่างไกลเทียบกับตนไม่ได้แม้แต่น้อยก็ตาม

ภายใต้สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนที่มองจ้องมา เกาหวนก็เดินมาถึงเบื้องหน้าหลี่มู่ เขารินสุราลงจอก สองมือประคองส่งให้ กล่าวอย่างนอบน้อม “หลี่ซือหม่า บุญคุณที่ช่วยชีวิต ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่มีวันลืม! เชิญดื่มสุราจอกนี้”

เขาพูดจบก็มองบุรุษที่อยู่ตรงหน้า ในใจรู้สึกกังวลเล็กน้อย

หลังจากที่เขาถูกช่วยมา หลายวันมานี้ด้วยความซาบซึ้งใจ และที่มากกว่านั้นคือความเลื่อมใสศรัทธา เขาจึงพยายามจะเข้ามาใกล้ชิดทำความรู้จักนายทหารหนุ่มผู้นี้มาโดยตลอด

เขามีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าหลี่มู่ดูไม่เหมือนนายทหารสามัญชนนายอื่นๆ พวกนั้นที่มาจากครอบครัวต่ำต้อยและได้รับการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งจากการสั่งสมความดีความชอบทางการทหาร ซึ่งมีความคิดดูถูกเขาอยู่ในใจ

แม้แต่วันนั้นที่เกาหวนเพิ่งถูกช่วยชีวิตรอดมาได้ เพราะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ไปชั่วขณะ จึงกอดหลี่มู่ที่พาตนฝ่าข้าศึกกลับมาแล้วร้องไห้เสียงดัง หลี่มู่ยังยกมือตบหลังเขาเบาๆ คล้ายปลอบโยน บุรุษกระดูกเหล็กจิตใจอ่อนโยนก็คงเป็นเช่นนี้กระมัง

แต่ท่าทีที่หลี่มู่มีต่อเขาก็ไม่อาจนับว่าใกล้ชิดสนิทสนม

อย่างน้อยก็ยังห่างไกลจากระดับที่เกาหวนมุ่งหวังไว้

คืนนี้เขาพยายามหาโอกาสที่จะขอบคุณหลี่มู่อีกครั้ง แต่กลับถูกคนรั้งตัวไว้ บอกจะจัดงานเลี้ยงปลอบขวัญให้เขา เมื่อครู่ในที่สุดก็ปลีกตัวมาได้เสียทีจึงรีบเดินมาหาหลี่มู่

สองมือที่ถือจอกสุราของเกาหวนยื่นอยู่กลางอากาศโดยไม่ขยับเขยื้อน เพียงรอให้หลี่มู่รับจอกสุรา สีหน้าเต็มไปด้วยการรอคอยและเจือความตื่นเต้นเล็กน้อย แต่เขากลับเห็นหลี่มู่มองจ้องจอกสุราที่ตนยื่นส่งให้ แววตานิ่งขรึม ส่วนลึกในดวงตาคล้ายมีคลื่นใต้น้ำโหมซัด คล้ายจมอยู่ในความครุ่นคิดบางอย่างที่ไกลโพ้น คนก็ยืนนิ่งไม่ขยับ

รอบด้านเงียบกริบไร้สุ้มเสียง

“หลี่ซือหม่า”

เกาหวนออกจะไม่เข้าใจ เขายิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ เอ่ยร้องเรียกขึ้นเบาๆ

หลี่มู่แววตาเป็นประกายวูบไหวเล็กน้อย ก่อนได้สติกลับคืนมา เขายิ้มๆ แล้วรับจอกสุรามาจากมือของเกาหวน ดื่มรวดเดียวหมด

เกาหวนถอนหายใจด้วยความโล่งอก มองทหารที่อยู่รอบข้างปราดหนึ่ง เห็นสายตาหลายคู่มองตนอยู่ก็พลันรู้สึกร้อนวาบไปทั้งร่าง โดยไม่แม้แต่จะคิดเขาก็รินสุราอีกจอก แล้วชูให้กับคนที่อยู่รอบด้าน พูดด้วยเสียงอันดัง “พวกท่านล้วนเป็นทหารกล้าที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกับหลี่ซือหม่า! ข้าเกาหวนในชีวิตเลื่อมใสทหารกล้าเป็นที่สุด ข้าขอดื่มคารวะทุกท่านหนึ่งจอก!” พูดจบก็เงยหน้าดื่มสุราลงไปรวดเดียว

วันนั้นเขาถูกทหารกบฏควบคุมตัวอยู่แนวหน้า อยู่ภายใต้คมดาบคมกระบี่ แต่ก็ไม่มีสีหน้าหวาดกลัวให้เห็นแม้แต่น้อย ยิ่งไม่เคยเอ่ยปากวิงวอนขอความเมตตาสักคำ หลายคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็เห็นด้วยตาตนเองจึงอดจะรู้สึกเคารพเลื่อมใสในตัวคุณชายสกุลเกาที่มีชาติกำเนิดสูงส่งที่ปกติดูหยิ่งยโสผู้นี้ขึ้นมาหลายส่วนไม่ได้

บุตรหลานตระกูลขุนนางแม้ดูสูงส่งเหนือผู้คน แต่ที่ส่วนใหญ่เข้ามาเป็นทหารก็เป็นเพียงการทำตามการจัดการของครอบครัว เพื่อจะใช้เป็นต้นทุนสำหรับความก้าวหน้าในอนาคต

แต่ในหมู่คนเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนที่เข้มแข็งจริงจัง

คุณชายสกุลเกาผู้นี้ก็คือตัวอย่างที่ดี

เขาคารวะสุราหลี่มู่เพื่อแสดงการขอบคุณก็แล้วไปเถิด ตอนนี้ถึงกับยังเป็นฝ่ายคารวะสุราพวกตนอีก ช่างเหนือความคาดหมายอย่างยิ่ง

ทุกคนออกจะประหลาดใจ ต่างมองหน้ากันไปมา สุดท้ายก็หันไปมองหลี่มู่

หลี่มู่ยิ้มพลางผงกศีรษะน้อยๆ

ทุกคนจึงดื่มสุราในจอกตาม ส่งเสียงดังขึ้นพร้อมกันดุจเสียงฟ้าผ่า “ขอบคุณคุณชาย!”

บรรยากาศที่เงียบสงัดลงไปเมื่อครู่กลับคืนสู่ความคึกคักอีกครั้ง เสียงเล่นทายนิ้วเสียงพูดคุยหัวเราะดังขึ้นไม่ขาดหู

เกาหวนมาที่นี่ นอกจากเพื่อแสดงการขอบคุณแล้ว ในใจยังมีอีกเรื่องซุกซ่อนอยู่ เขาเชิญหลี่มู่ไปยังจุดที่ไม่ค่อยมีคนอย่างนอบน้อม แล้วประสานมือคารวะเขาแทบจรดพื้น เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “หลี่ซือหม่า ข้าเข้ามาอยู่ในสังกัดของท่านได้หรือไม่ ข้ายินดีจะติดตามรับใช้ท่าน แล้วแต่ท่านจะสั่งการ หลี่ซือหม่าได้โปรดรับข้าเอาไว้ด้วย!”

หลี่มู่ชายตามองเขาปราดหนึ่ง แล้วหมุนตัวเดินจากไป

เกาหวนร้อนใจแล้ว ทางหนึ่งไล่ตาม ทางหนึ่งก็บอก “ข้าไม่ใช่คนรักตัวกลัวตายหรอกนะ! ถูกจับเป็นเชลยครั้งนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของข้าเพียงคนเดียว ข้าตั้งปณิธานจะตอบแทนคุณแผ่นดิน ขอเพียงหลี่ซือหม่าพยักหน้า ข้าจะต้องเกลี้ยกล่อมท่านลุง…”

หลี่มู่หยุดฝีเท้า ชี้ไปที่ก้อนหินใหญ่ขนาดราวสองมือโอบที่ข้างเท้าก้อนหนึ่ง “ยกขึ้นมา!”

เกาหวนงงงัน

“ถ้าเจ้าสามารถยกมันขึ้นมาจากพื้นได้ ข้าก็จะรับเจ้าไว้” หลี่มู่เอ่ยเสียงราบเรียบ

เกาหวนดีใจยิ่ง สองตาเปล่งประกาย รีบเดินเข้าไปพลางม้วนแขนเสื้อขึ้น ยืนท่าหม่าปู้ สองแขนโอบก้อนหิน

เพียงแต่หินก้อนนั้นคล้ายมีรากงอกติดอยู่ ไม่ว่าเขาจะออกแรงอย่างไรก็ไม่ขยับเขยื้อน สุดท้ายก็ทุ่มเทกำลังทั้งหมดที่มีอยู่ตั้งแต่กินนมมารดามาออกแรงจนหน้าแดงหน้าดำ ก็เพียงทำให้ก้อนหินขยับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนตนเองกลับยืนไม่มั่นคงล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปกับพื้น ในที่สุดก็ต้องยอมปล่อยมือ ลุกขึ้นมาหอบหายใจไม่หยุด

“หลิวหย่ง!”

หลี่มู่ร้องเรียกออกมาคำหนึ่ง

ทหารหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเกาหวนผู้หนึ่ง คนดูผ่ายผอมยิ่ง รูปร่างยังเตี้ยกว่าเกาหวนอยู่บ้าง สองตากลอกกลิ้งไปมาดุจวานรอย่างไรอย่างนั้น เขาวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว คารวะหลี่มู่ “หลี่ซือหม่ามีอะไรจะสั่งการหรือขอรับ”

“ยก!”

หลี่มู่ชี้ไปที่ก้อนหิน

เด็กหนุ่มมองเกาหวนแวบหนึ่ง หัวเราะหึๆ แล้วนั่งยองลงไป ก่อนแผดเสียงคำรามขึ้น เขาถึงกับยกก้อนหินที่อย่างน้อยก็ต้องหนักราวร้อยชั่งขึ้นมาได้

ไม่เพียงยกขึ้นมาเท่านั้น ถึงขั้นยังอุ้มหินเอาไว้ในอ้อมแขน เดินตึงๆๆ ผ่านหน้าเกาหวนไปมาหลายรอบ ท่าทางเหมือนเบายิ่ง สุดท้ายก็โยนกลับไปที่พื้นดังเดิม ปัดๆ มือ ค้อมคำนับหลี่มู่ แล้วล่าถอยไป

เกาหวนหน้าแดงหูแดง ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่นั่น

“คุณชายเกา ข้าได้ยินว่าเจ้าเชี่ยวชาญการคัดตัวอักษร มีชื่อเสียงด้านความปราดเปรื่อง ที่ข้านี่กลับเพียงรับคนที่สามารถยกของหนักได้ เจ้ายังคงกลับไปเถิด คนที่บ้านจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”

เขากล่าวเสียงนุ่มนวล ตบๆ บ่าเกาหวนแล้วเดินจากไป

เกาหวนยืนแข็งค้างอยู่กับที่ มองเงาด้านหลังของหลี่มู่อย่างงุนงง หน้าม่อยคอตก

“จื่อเล่อ! เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่”

พลันมีเสียงร้องเรียกดังมาจากข้างหลัง

เกาหวนหันหน้าไปก็เห็นลู่ฮ่วนจือที่วันนี้ติดตามขุนนางจากเมืองเจี้ยนคังมาที่นี่เพื่อเลี้ยงฉลองและปูนบำเหน็จให้กองทัพ

“อี้ถิง!”

เขาเรียกสหายรัก ซุกซ่อนท่าทีหงอยเหงาเศร้าซึมบนใบหน้าเมื่อครู่เอาไว้ แล้วเผยรอยยิ้มออกมา

ลู่ฮ่วนจือสองมือไพล่หลัง มองเงาด้านหลังของคนที่เดินจากไป

“เขามีชาติกำเนิดเป็นสามัญชน ก็แค่ซือหม่าคนหนึ่ง ต่อให้ช่วยเจ้ามาจากแนวหน้า แต่นั่นก็เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว อีกทั้งเขายังเอาความดีความชอบจากท่านลุงของเจ้าได้อีก เจ้าไยต้องลดตัวไปใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาเช่นนี้ด้วย”

ตอนลู่ฮ่วนจือพูดไม่ได้ลดเสียงลงแม้แต่น้อย เห็นชัดว่าไม่สนใจว่าจะถูกได้ยินเข้าหรือไม่

เกาหวนรีบหันหน้ากลับไป เห็นหลี่มู่ที่อยู่ด้านหน้ายังคงเดินต่อไปข้างหน้า เงาด้านหลังดูปกติคล้ายไม่ได้ยินอะไร เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก รีบลดเสียงลงต่ำบอก “ถ้าไม่ได้เขา ข้าคงกลายเป็นผีหัวขาดไปแล้ว! ข้าไม่สนใจว่าชาติกำเนิดเขาจะเป็นอย่างไร ข้าจะคบหากับเขาแน่นอน ข้ากลัวก็แต่เขาจะไม่ชอบข้า ถ้าเจ้าอับอายต่อการกระทำของข้า ต่อไปก็อยู่ห่างข้าให้มากหน่อยแล้วกัน!”

ลู่ฮ่วนจือไม่เคยเห็นเกาหวนใช้ถ้อยคำหนักเช่นนี้พูดกับตนมาก่อนก็ตะลึงงันไป ก่อนกระแอมกระไอออกมา “เอาเถิดๆ แล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน! ต้าซยง* ของข้าสยบความวุ่นวายในแคว้นหลินอี้ได้แล้ว กำลังกลับมา รอเขากลับมา และท่านลุงของเจ้าก็ว่างลงบ้างแล้ว ข้าก็คงต้องเปลี่ยนมาเรียกพี่สาวคนรองของเจ้าว่า ‘พี่สะใภ้’ แล้วกระมัง เจ้าข้าเป็นครอบครัวเดียวกัน ไยต้องทำให้ความสัมพันธ์พี่น้องต้องแตกร้าวเพราะคนนอกคนหนึ่งด้วยเล่า”

ลู่เจี่ยนจือเป็นพี่ชายคนโตของลู่ฮ่วนจือ ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้เคยเป็นคนที่เกาหวนเลื่อมใสศรัทธาเป็นที่สุด ที่เขาตั้งปณิธานจะเป็นทหารก็เพราะได้รับอิทธิพลจากลู่เจี่ยนจือมาเป็นส่วนใหญ่ พอได้ยินข่าวว่าอีกไม่กี่วันลู่เจี่ยนจือจะกลับมา ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มพลางพยักหน้า “รอต้าซยงกลับมาแล้ว ข้าจะไปเยี่ยมคำนับ”

เขาหันหน้ากลับมาอีกครั้ง เห็นเงาร่างที่อยู่ด้านหน้าร่างนั้นยิ่งเดินห่างไปไกลขึ้นทุกที และค่อยๆ หายลับไปท่ามกลางความมืด

ด้วยโสตประสาทของหลี่มู่มีหรือจะไม่ได้ยินเสียงพูดคุยของเกาหวนกับลู่ฮ่วนจือที่อยู่ด้านหลัง

ชื่อที่คล้ายจะหลอมละลายเข้าไปในเลือดและกระดูกของเขา ในชาตินี้ได้ลอยตามสายลมยามราตรี แว่วเข้ามาในหูของเขาเป็นครั้งแรกด้วยวิธีเช่นนี้เอง

สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง แต่ฝ่ามือกลับรวบเข้าหากันช้าๆ เส้นโลหิตที่หลังมือเต้นตุบๆ

“จิ้งเฉิน!”

ที่ด้านข้างมีคนเรียกเขา

หลี่มู่เงยหน้าขึ้นก็เห็นผู้บังคับบัญชาในเวลานี้ของตน หยางเซวียนขุนพลหู่เปิน จึงหยุดฝีเท้าลง

หยางเซวียนเดินเร็วๆ เข้ามา พอเข้ามาใกล้ก็เห็นได้ว่ามีสีสันที่เกิดจากฤทธิ์สุราอยู่บนใบหน้า เมื่อครู่คงดื่มสุรามาไม่น้อยเลย

“จิ้งเฉิน ข้ากำลังหาเจ้าอยู่!” หยางเซวียนเอ่ยขึ้น

“ท่านขุนพลมีอะไร เชิญสั่งการมาได้เลย”

หลี่มู่เดินเข้าไปรับหน้า บอกอย่างนอบน้อม

เขาเข้ามาเป็นทหารตั้งแต่อายุยังน้อย ช่วงสองสามปีแรกต้องโยกย้ายอยู่หลายครั้ง ระเหเร่ร่อนใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ตอนอายุสิบห้าบังเอิญได้พบกับหยางเซวียน เขาถูกหยางเซวียนเรียกใช้งาน และได้เข้าร่วมอยู่ในสังกัดของหยางเซวียน กระทั่งถึงวันนี้

ถึงแม้ว่าภายหลังหยางเซวียนเพราะสนับสนุนติดตามสกุลสวี่ที่ก่อกบฏตั้งตนเป็นฮ่องเต้จนตีเมืองเจี้ยนคังแตก แต่หลังจากรบแพ้ก็ฆ่าตัวตาย จะว่าไปแล้วนั่นก็เท่ากับตายด้วยน้ำมือของตน แต่หลี่มู่ยังคงให้ความเคารพนับถือต่อผู้บังคับบัญชาเก่าที่สนับสนุนตนมาโดยตลอดผู้นี้

หลังจากหยางเซวียนเสียชีวิต เขาได้สั่งคนให้จัดงานศพอย่างสมเกียรติ ทั้งใช้อำนาจในมืออภัยโทษให้ครอบครัวสกุลหยางเป็นกรณีพิเศษ ให้ลูกหลานของหยางเซวียนไม่ต้องพลอยรับภัยพิบัติไปด้วย

“จิ้งเฉิน การปูนบำเหน็จในวันนี้ ข้ารู้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม เมื่อครู่ข้าไปพบซือถู แสดงความคิดเห็นให้เขารู้ เพียงแต่…”

ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความจนใจ ชะงักนิ่งไปชั่วขณะ

“ซือถูบอกว่าเจ้าช่วยบุตรหลานสกุลเกาจากแนวหน้า แม้จะมีความดีความชอบ แต่เกาเซี่ยงกงได้รับปากจะปูนบำเหน็จให้เจ้าแล้ว ความดีความชอบอย่างหนึ่งไม่อาจปูนบำเหน็จสองครั้ง การเลื่อนขั้นเจ้าเป็นซือหม่าก็ถือว่าทำลายกฎเกณฑ์แล้ว” เขาทอดถอนใจ “ต้องโทษข้าที่ไร้ความสามารถ แต่เจ้าอย่าได้หมดกำลังใจ ตอนนั้นที่ข้าเห็นเจ้าบุกโจมตีเมืองเป็นครั้งแรก ก็รู้ว่าเจ้าหาใช่สัตว์ตัวเล็กที่อยู่ในสระน้ำ หลายปีมานี้เจ้าก็ทำให้เห็นแล้วว่าข้ามองเจ้าไม่ผิด ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะต้องโดดเด่นเหนือผู้คนแน่นอน!”

บรรพบุรุษของหยางเซวียนมีอำนาจอยู่ในพื้นที่แถบจิงฉู่ มาหลายชั่วอายุคน หลายปีมานี้เมืองชายแดนกับจิงเซียง แถบนี้ได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

แต่เพราะมีชาติกำเนิดจากครอบครัวสามัญชนเช่นนี้ ไม่ว่าเขาจะเหน็ดเหนื่อยตรากตรำมีคุณูปการมากเพียงใด ในสายตาของตระกูลที่มีอำนาจราชศักดิ์ เขาก็เป็นเพียงขุนศึกหยาบกระด้างที่คู่ควรแก่การยกทัพไปปราบปรามข้าศึกศัตรูให้ตนเท่านั้น

หยางเซวียนได้ชื่อว่าเป็นขุนพลผู้ห้าวหาญอันดับหนึ่งของสกุลสวี่ แต่มาบัดนี้ก็เพียงจัดอยู่ในอันดับขุนพลจ๋าเฮ่า ทั่วไปเท่านั้น ฐานะต่ำกว่าขุนพลซื่อเจิง ขุนพลซื่อเจิ้น ขุนพลหน้าหลังซ้ายขวาเหล่านั้นไม่มีคนใดไม่มีชาติกำเนิดจากตระกูลขุนนาง

อย่างตนที่อาศัยความดีความชอบในการเลื่อนขั้นมาถึงตำแหน่งในทุกวันนี้ ยังจะทำอันใดได้ แม้แต่บุตรชายของสวี่มี่ยังชักสีหน้าเรียกใช้ตนได้เลย

หยางเซวียนปากก็ปลอบโยนเช่นนั้น แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่ตนได้รับการปฏิบัติต่อ ในก้นบึ้งของหัวใจใช่จะไม่รู้สึกเศร้ารันทดใจ

หลี่มู่บอก “ที่ซือถูกล่าวมาก็มีเหตุผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนั้นที่ผู้น้อยช่วยคนก็ไม่ได้มุ่งหวังจะได้เลื่อนขั้น ความตั้งใจดีของท่านขุนพล ผู้น้อยซาบซึ้งใจยิ่ง แต่ท่านขุนพลไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยพูดเพื่อผู้น้อยอีกแล้ว”

หยางเซวียนได้ยินเขาปลอบโยนตนเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ

ความจริงเขาใช่จะมองไม่ออก ที่สวี่มี่กดความดีความชอบของหลี่มู่ หาใช่มาจากข้ออ้างที่บอกว่า ‘ความดีความชอบอย่างหนึ่งไม่อาจปูนบำเหน็จสองครั้ง’

คิดดูแล้วน่าจะเป็นเพราะสวี่มี่ระแวงว่าหลี่มู่มีเจตนาจะไปพึ่งพาอาศัยเกาเฉียว ครั้งนี้ถึงได้เสี่ยงชีวิตลืมตาย ฝ่าอันตรายไปช่วยเกาหวนกลับมาจากแนวหน้า

ด้วยกำลังการต่อสู้และความกล้าหาญในขั้นนี้ ไม่ต้องพูดถึงต้าอวี๋ ต่อให้ทอดสายตามองไปทั่วทั้งดินแดนจงหยวน แม้แต่มู่หรงซีชาวเซียนเปย แห่งแคว้นซย่าที่ได้ชื่อว่าเป็นขุนพลผู้ห้าวหาญอันดับหนึ่งในใต้หล้าผู้นั้น เกรงว่าก็ไม่แน่ว่าจะทำได้

ขุนพลที่กล้าหาญเช่นนี้ถ้ามีใจคิดเป็นอื่น กล่าวสำหรับสกุลสวี่แล้ว เกรงว่าคงยอมสังหารทิ้งก็ไม่ยอมให้ผู้อื่นนำไปใช้ประโยชน์ได้

จากการคาดเดาของหยางเซวียน ครั้งนี้สวี่มี่น่าจะฉวยโอกาสนี้ตักเตือน เมื่อเวลาผ่านไปอีกสักระยะก็คงแสดงท่าทีออกมา

ครั้นหยางเซวียนคิดมาถึงเรื่องนี้ ทั้งเห็นหลี่มู่เองก็คล้ายไม่ค่อยใส่ใจเรื่องนี้สักเท่าไร จึงเลิกล้มความคิดไป

“หลินชวนหวังก็ถูกสังหารไปแล้ว ที่เหลือก็น่าจะเป็นการรับมือกับสถานการณ์ทางเจียงเป่ย เจ้าก็พักผ่อนให้ดีสักหลายๆ วัน อีกไม่กี่วันเกรงว่าต้องยกทัพกลับจิงเซียง ถึงตอนนั้นจะต้องตรากตรำเดินทางไกลอีก”

หลี่มู่บอก “เมื่อครู่ผู้น้อยกำลังจะไปหาท่านขุนพลเพื่อหารือเรื่องหนึ่ง ทัพใหญ่เราแต่ไรมาเพียงให้กองกำลังทหารที่เข้มแข็งตั้งมั่นอยู่แถบเมืองชายแดนกับเมืองจิงเซียง เพื่อร่วมมือประสานกันในการรับมือกับข้าศึกทางตอนล่างของแม่น้ำ แต่ทางแถบอี้หยาง การป้องกันกลับว่างเปล่า ถ้าชาวเจี๋ยเปลี่ยนมาโจมตีอี้หยาง ไม่ว่าจิงเซียงหรือแม่ทัพเกาที่ก่วงหลิง ทั้งหัวท้ายเกรงว่าล้วนเตรียมการป้องกันไม่ทัน หากถูกตีแตก ถึงตอนนั้นเกรงว่าสถานการณ์คงยากแก่การรับมือ”

หยางเซวียนหาได้ใส่ใจ “ชัยภูมิที่มีความสำคัญที่สุดของจิงเซียงคือทางต้นน้ำของแม่น้ำ แต่ไรมาคนทางเหนือถ้าต้องการจะยึดเจียงหนานจะต้องวางแผนยึดครองเซียงหยางให้ได้ก่อน ด้วยเหตุนี้ซือถูจึงเฝ้าดำเนินการมาหลายปี อี้หยางหาใช่สถานที่ที่จำเป็นต้องบุกเข้ามา ไหวเป่ยยิ่งข้ามแม่น้ำไม่สะดวก ถึงโจมตีอี้หยางได้ จะลงใต้ก็ไม่มีหนทางที่สะดวก มีแต่สายน้ำและภูเขาที่อันตราย ไม่สะดวกอย่างยิ่ง เจ้ากังวลเกินไปแล้ว”

หลี่มู่กล่าว “ผู้น้อยได้ยินว่าอี้หยางมีทางลัดลงใต้ที่สะดวกเส้นทางหนึ่ง เพียงแต่มีน้อยคนที่จะรู้ เมื่อก่อนเคยจับสายลับที่ชาวเจี๋ยส่งมาได้ในบริเวณใกล้เคียง ผู้น้อยยินดีจะนำทหารในสังกัดสามร้อยนายออกเดินทางพรุ่งนี้เช้าไปที่อี้หยางก่อน แล้วดำเนินการตามสถานการณ์”

หยางเซวียนตื่นตะลึง “เจ้ากังวลใจเช่นนั้นจริงหรือ”

“ท่านขุนพลได้โปรดมีคำสั่ง!”

หยางเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้า

“ก็ดี ป้องกันไว้ก่อน ข้าจะมอบตราสั่งการทหารให้เจ้า เจ้าข้ามแม่น้ำไปที่อี้หยางก่อน โยกย้ายกองกำลังทหารที่อี้หยางได้ ถ้าไหวเป่ยมีการเคลื่อนไหวอะไรผิดปกติให้รีบรายงานทันที”

“ผู้น้อยขอบคุณท่านขุนพล!”

หยางเซวียนตบๆ บ่าเขา “ไปพักผ่อนเร็วหน่อยเถิด พรุ่งนี้เช้ายังต้องเดินทาง!”

 

ยามโฉ่ว…ค่ายทหารที่เดิมเสียงดังอึกทึกพลันเงียบสงัดลงอย่างสิ้นเชิง

ทุ่งกว้างนอกเมืองตันหยางมีแต่ความมืดมิด บริเวณรอบๆ ค่ายทหารเหลือเพียงเศษกองไฟจุดเล็กๆ ส่องให้เห็นเงาร่างของทหารที่ออกตรวจตราตอนกลางคืน

สีสันยามราตรีกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แสงจันทร์ส่องสะท้อนสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิ ความในใจมากมาย ซุกซ่อนอยู่ใต้กระแสคลื่น ไหลไปตามสายน้ำที่โหมซัดสาดไปทางตะวันออก เหลือเพียงเรื่องราวทางโลกเหมือนหมากรุก จิตใจคนดุจใบหน้า

เสียงกระแสน้ำดังเป็นระยะ หลี่มู่ยืนอยู่ริมแม่น้ำ เบิกตามองจันทร์กระจ่างเหนือผิวน้ำ เงาด้านหลังนิ่งสงบ

ในที่ไม่ไกลจากข้างหลังเขาเท่าไร ทหารบนหลังม้าสามร้อยนายแต่งกายเรียบร้อยรออยู่อย่างสงบ เพียงรอเขาสั่งการคำเดียวก็พร้อมออกเดินทางทันที

ทัพซย่าอยู่ที่อี้หยาง พร้อมจะเปิดฉากโจมตีอย่างฉับพลัน สงครามระหว่างเหนือใต้ครั้งก่อน สุดท้ายแม้จะจบลงด้วยต้าอวี๋ที่อ่อนแอมีชัยชนะเหนือผู้แข็งแกร่ง แต่เนื่องจากช่วงแรกสูญเสียอี้หยางไป จึงถูกทัพซย่าทำทางทะลุลงใต้ เจียงตงเคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันอย่างยิ่ง สงครามดำเนินติดต่อกันอยู่ปีกว่าถึงได้ยุติลง

แต่ทั้งหมดนี้กำลังจะถูกเปลี่ยนแปลง เริ่มจากคืนนี้เป็นต้นไป

‘นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ชีวิตที่เหลืออยู่ของข้าภรรยา ขอฝากไว้กับหลางจวิน’

คำพูดในอดีต บัดนี้คนไม่อยู่ แต่เสียงยังคงไม่จางหาย ยังดังวนเวียนอยู่ข้างหูเขา ประหนึ่งเสียงคลื่นในแม่น้ำที่ดังอยู่ทุกค่ำคืน

หลี่มู่หันหน้าไปโต้สายลมยามราตรี สุดท้ายก็มองไปยังไถเฉิงที่สุดปลายขอบฟ้าอันมืดมิดซึ่งไม่อาจมองเห็นได้แวบหนึ่ง แล้วหมุนตัวกลับมา

ทหารม้าติดอาวุธเบาสามร้อยนายควบม้าห้อตะบึงไปตามริมแม่น้ำมุ่งหน้าไปทางตะวันตก ท่ามกลางเสียงก้องกังวานของเกือกม้าที่ย่ำพื้น ทั้งขบวนก็หายลับไปภายใต้สีสันยามราตรีอย่างรวดเร็ว

สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือแสงจันทร์ขาวกระจ่าง ซึ่งสาดส่องริมแม่น้ำที่ไหลไปทางทิศตะวันออกอยู่เงียบๆ สายนั้น จากรุ่นสู่รุ่นปีแล้วปีเล่า ชั่วกาลนานไม่มีวันหยุด

ห่างออกไปร้อยหลี่บนเกาะไป๋ลู่ คืนนี้ในเวลานี้เกาลั่วเสินก็ยังไม่เข้านอน

นับแต่ที่ได้รู้ข่าวว่าเกาหวนได้รับการช่วยเหลือ อาการป่วยของนางก็ค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว

พออาการป่วยของนางหายดี เซียวหย่งจยาก็จะกลับเกาะไป๋ลู่

เนื่องจากเกาเฉียวมีงานยุ่งทั้งวัน ทั้งรับพระบัญชาต้องไปเมืองตันหยางฉลองและปูนบำเหน็จกองทัพ เซียวหย่งจยาจึงพาบุตรสาวมาด้วยกันเสียเลย

คืนนี้เกาลั่วเสินนอนไม่หลับ ในที่สุดก็ลุกขึ้นมาสวมเสื้อคลุมเดินมาที่หน้าต่าง นั่งเอนอิงอยู่ที่นั่น สองมือเท้าคางเอาศอกยันขอบหน้าต่าง เหม่อมองจันทร์กระจ่างบนท้องฟ้า กระบวนความคิดผุดไปตรงโน้นทีผุดมาตรงนี้ที

เกาะไป๋ลู่เป็นสถานที่ที่สวยงามยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้ ทุกค่ำคืนกระแสน้ำในแม่น้ำ บุปผา ดวงจันทร์จะขับเน้นความงามซึ่งกันและกัน

แต่อาจเพราะจิตใต้สำนึกเห็นว่ามันเป็นต้นเหตุในการแยกบิดามารดาจากกัน เกาลั่วเสินจึงไม่ชอบที่นี่มาโดยตลอด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่ำคืนนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใดความรู้สึกเช่นนี้ยิ่งรุนแรงขึ้น

ไม่ไกลจากที่นี่เท่าใดนัก มีเสียงคลื่นในแม่น้ำดังแว่วมาไม่ขาดสาย ในค่ำคืนที่เงียบสงัดเช่นนี้ ฟังดูแล้วเหมือนเสียงยิ่งดังเข้าหูมากขึ้น

กระทั่งคล้ายมีพลังที่น่าหวาดกลัวเจืออยู่จางๆ

ส่วนลึกในใจของนางมีความรู้สึกระทมทุกข์เศร้าอาดูรอย่างหนึ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนพวยพุ่งขึ้นมาช้าๆ ทำให้คนอยากหลั่งน้ำตา

นางไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้แม้แต่น้อย

เพียงคิดจะไปจากที่นี่โดยเร็ว จะดีที่สุดถ้าไม่ต้องกลับมาอีกเลย

แต่มาอยู่ครั้งนี้เกาลั่วเสินก็อยู่มาสามเดือนแล้ว

และในสามเดือนนี้ความสนใจของนางแทบจะถูกข่าวการทำศึกทางเจียงเป่ยที่มีมาไม่ขาดสายยึดครองเอาไว้ทั้งหมด ไม่มีอารมณ์ไปเศร้ารันทดใจเพราะบุปผาหรือแสงจันทร์เช่นค่ำคืนนั้นอีก

หลังจากนางติดตามมารดามาเกาะไป๋ลู่ได้ไม่นาน ทางเจียงเป่ยก็มีข่าวมา แคว้นซย่าทางเหนือบุกเข้าโจมตีอี้หยาง

อี้หยางตั้งอยู่ที่เจียงเป่ย เป็นดินแดนในเจียงเป่ยที่เหลืออยู่น้อยมากของต้าอวี๋ เดิมไม่ใช่สถานที่สำคัญที่อยู่ในขอบเขตที่นักยุทธศาสตร์การทหารต้องช่วงชิงมา เป็นเหตุให้ตอนแรกต้าอวี๋ไม่ได้ให้กองกำลังทหารที่เข้มแข็งตั้งมั่นรักษาการณ์อยู่ที่นี่ ดีที่ก่อนหน้านี้ได้มีการเตรียมการป้องกันเอาไว้บ้าง ทหารรักษาการณ์อาศัยชัยภูมิที่เป็นประโยชน์ยืนหยัดรักษาด่านที่เป็นช่องแคบระหว่างภูเขาไว้ได้ ช่วงที่รอกองกำลังสนับสนุนของเกาอวิ่นแม่ทัพใหญ่มาถึง ทหารรักษาการณ์เพียงไม่กี่พันนายต้องเผชิญหน้ากับกองหน้าของทัพเหนือจำนวนหลายหมื่นนาย ถึงกับไม่ปล่อยให้เรือข้ามแม่น้ำมาได้แม้แต่ลำเดียว

หลังจากนั้นสงครามก็ปะทุขึ้นมาทั่วทุกด้าน

ราชเลขาธิการเกาเฉียวจัดวางกำลังป้องกันเจียงตงเสร็จสิ้นก็ข้ามแม่น้ำไปที่ก่วงหลิงด้วยตนเอง แต่งตั้งเกาอวิ่นข้าหลวงเมืองสวีหยางเป็นแม่ทัพฝ่ายซ้าย ผู้บัญชาการใหญ่การทหาร แต่งตั้งเกาอิ้นเป็นแม่ทัพปราบเหนือ ผู้บัญชาการทัพหน้า ร่วมกับจงเฉิง ลู่เจี่ยนจือที่เพิ่งกลับราชสำนักมาได้ไม่นาน แบ่งทหารออกเป็นสามทาง ขึ้นเหนือไปตามแม่น้ำไหว ยกกำลังเข้าตีโต้ทัพใหญ่ของข้าศึกที่บุกลงใต้ ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสามเดือนก็คว้าชัยชนะติดต่อกันครั้งแล้วครั้งเล่า ขวัญกำลังทหารของเจียงตงพุ่งสูง การศึกครั้งสุดท้ายได้โจมตีกองทัพแคว้นซย่าร้อยหมื่นนายที่บุกลงใต้อย่างเหิมเกริมจนพ่ายแพ้ยับเยิน

ทัพซย่าพ่ายแพ้ย่อยยับ แตกพ่ายถอยไปถึงตอนเหนือของแม่น้ำไหว ต้าอวี๋จึงฉวยโอกาสขยายอาณาเขตทางตอนเหนือไปถึงแถบไหวหนาน ส่วนแคว้นซย่าที่อยู่ทางตอนเหนือก็เกิดความวุ่นวายใหญ่โตภายในแคว้น ชาวเซียนเปย ชาวซยงหนูชนต่างเผ่าที่เดิมยอมอยู่ใต้อำนาจแคว้นซย่าพากันระดมกำลังทหารขึ้นมาสร้างอำนาจ แคว้นซย่าตกอยู่ในความล่อแหลมอันตราย ไม่มีกำลังจะมาจ้องเจียงตงตาเป็นมันอีก ในที่สุดวิกฤตของเจียงตงก็คลี่คลายไปชั่วคราว

เริ่มแต่การศึกที่อี้หยาง จนถึงทัพซย่าพ่ายแพ้ล่าถอยไปที่ไหวเป่ย ต้าอวี๋ไม่เพียงได้ชัยชนะ เอาชนะศึกใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงชะตากรรมของบ้านเมืองในครั้งนี้มาได้ ระหว่างนั้นยังใช้เวลาเพียงสั้นๆ สามเดือนเท่านั้น!

ข่าวชัยชนะแพร่กระจายไปทั่วทั้งเจียงตงอย่างรวดเร็ว เหล่าราษฎรต่างคึกคักเร่าร้อน ชื่อเสียงบารมีของสกุลเกาหลังจากผ่านการศึกในครั้งนี้ก็พุ่งสูงขึ้นถึงระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน

รัชศกซิงผิงปีที่สิบห้าเดือนแปด เกาลั่วเสินที่ยังอยู่เกาะไป๋ลู่ได้รับข่าวว่าอีกไม่กี่วันบิดาจะกลับเมืองหลวงก็ดีใจเป็นที่สุด

ความกลัดกลุ้มรำคาญใจของเด็กสาวที่รุมเร้านางในช่วงก่อนหน้านี้เหล่านั้น เมื่อมาอยู่ต่อหน้าข่าวดีที่ยิ่งใหญ่นี้ก็ล้วนถูกกวาดหายไปหมด

นี่เป็นช่วงบ่ายวันหนึ่งในเดือนแปดที่แสงแดดสวยสดงดงาม เกาหวนญาติผู้น้องที่ช่วงหลายเดือนมานี้ พำนักอยู่ในเมืองเจี้ยนคังมาโดยตลอดได้นั่งเรือข้ามมายังเกาะไป๋ลู่ด้วยความตื่นเต้นดีใจ จะมารับเกาลั่วเสินกลับเข้าเมือง

“อาเจี่ย ข้าได้ยินว่าท่านลุงรับฟังข้อคิดเห็นของเขาตั้งแต่แรก ช่วงต้นของการทำศึก ได้ฉวยจังหวะที่ทหารแคว้นซย่ายังรวมตัวกันไม่เสร็จก็เป็นฝ่ายบุกเข้าไปโจมตีก่อน เขาเป็นทัพหน้ากล้าตาย ทำศึกห้าครั้งคว้าชัยชนะทั้งห้าครั้ง สร้างความดีความชอบใหญ่หลวง เวลานี้แม้แต่ฝ่าบาทก็ทรงทราบชื่อของเขาแล้ว พอได้ยินว่าเขาเคยบุกเดี่ยวเข้าไปในทัพกบฏช่วยชีวิตข้าไว้ก็ประหลาดใจมาก ระบุว่าต้องการพบเขา”

‘หลี่มู่’ ชื่อที่เกาลั่วเสินได้ยินเป็นครั้งแรกเมื่อหลายเดือนก่อน มาถึงตอนนี้นางลืมไปพอสมควรแล้ว มาได้ยินเข้าหูอีกครั้งก็จากปากของญาติผู้น้อง

รวมคำเรียกต่างๆ ภายในเรื่อง

 

      คำเรียก                                                                       ความหมาย 

 อาเหยีย                                                                                “บิดา”

อาเหนียง / อาหมู่                                                                 “มารดา”

ต้าซยง                                                                                  “พี่ใหญ่”

อาซยง                                                                                   “พี่ชาย”

อาเจี่ย                                                                                    “พี่สาว”

 อาเม่ย                                                                                   “น้องสาว”

อาตี้                                                                                      “น้องชาย”

อาเส่า                                                                                    “พี่สะใภ้”

อาจยา                                                                                   “แม่สามี”

                                               หลางจวิน                                    คำที่ภรรยาใช้เรียกสามี และใช้เรียกชายหนุ่มทั่วไปในเชิงยกย่อง

 

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: