บทที่สิบสอง
อีกด้านหนึ่ง รุ่งสางของวันที่สิบสามเดือนสอง พวกอี๋อวี้นั่งรถม้าของคุณชายฉางออกจากหมู่บ้านเค่าซานมุ่งหน้าสู่ด่านใน แม้จะแวะหยุดพักกลางทาง แต่ยังคงแล่นตะบึงไปถึงอำเภอไหวอันในหร่านโจวก่อนเวลาโพล้เพล้ และเข้าพักแรมที่โรงเตี๊ยมชื่อว่าฝูหยวนในตัวอำเภอ
ทุกคนตรากตรำเดินทางมาทั้งวัน หมายใจจะนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ราตรีหนึ่ง วันพรุ่งยามเหม่าค่อยเดินทางต่อ
ตอนจ่ายค่าพักแรม หลูซื่อกับอาเซิงยื้อแย่งกันออกเงินอยู่ตรงโต๊ะหน้าร้านอย่างไม่มีใครยอมใคร สุดท้ายเป็นเสียงแค่นดัง ‘ฮึ’ ของคุณชายฉางที่ยุติปัญหาได้ โดยให้หลูซื่อจ่ายค่าอาหาร อาเซิงจ่ายค่าห้องพัก พอทั้งห้าคนกินอาหารมื้อเย็นที่ชั้นล่างของโรงเตี๊ยมด้วยกันเสร็จแล้วก็ต่างคนต่างกลับเข้าห้อง
ห้องใหญ่ของที่นี่มีเตียงนอนสองเตียง เมื่ออาเซิงยืนกรานจะพักห้องเดียวกับผู้เป็นนาย หลูซื่อจึงขอให้เขาจองห้องใหญ่เพียงสองห้อง แบ่งกันพักคนละห้องแบบนี้ก็ไม่รู้สึกเบียดเสียด ภายในห้องไม่ได้ตั้งของประดับตกแต่งที่มีราคาค่างวดอันใด แต่มีโต๊ะ เก้าอี้ และเตียงนอนครบถ้วน สำหรับอำเภอไหวอันที่มิได้เจริญรุ่งเรืองนัก โรงเตี๊ยมแห่งนี้นับว่ามีสภาพดีแล้ว
หลังจากใช้น้ำร้อนที่เสี่ยวเอ้อร์ยกมาให้ล้างหน้าบ้วนปาก สตรีทั้งสามล้วนอ่อนล้า แต่ยังห่มผ้าซุกตัวอยู่บนเตียงเดียวกัน สนทนาเรื่องที่คุยระหว่างทางไม่ใคร่สะดวก
อี๋อวี้นั่งตักหลูซื่ออยู่ทางด้านขวาของเตียง ส่วนหลิวเซียงเซียงนั่งห่มผ้าอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
“ในที่สุดก็หนีมาได้แล้วนะ” หลูซื่อถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง
“ใช่แล้ว ตอนที่พวกเราหนีมีคนไล่ตามหลังมาเป็นกลุ่มใหญ่ขนาดนั้น ข้านึกว่าคงต้องถูกจับกลับไปแล้วจริงๆ” หลิวเซียงเซียงดึงผ้าห่มบนตัว ส่งยิ้มอ่อนระโหยให้หลูซื่อ ถึงจะพอสงบอกสงบใจลงได้ แต่นางก็ยังไม่หายหวาดผวาจริงๆ
นางกล่าวต่อ “จะว่าไปแล้ว เดชะบุญที่พวกเราได้พานพบคนดี ข้าเห็นว่าถึงคุณชายฉางผู้นั้นไม่ช่างพูด แต่ลึกๆ แล้วเป็นคนจิตใจดี”
เมื่อได้ยินวาจานี้ของนาง หลูซื่อพยักหน้าก่อน แล้วก็ส่ายหน้าพร้อมพูด “เซียงเซียง ข้าขอบอกเจ้าจากใจจริง พวกข้าน่ะสำนึกในบุญคุณของคุณชายฉางที่ยื่นมือช่วยเหลือ กระนั้นข้ากับเสี่ยวอวี้ต้องขอบคุณที่เจ้าช่วยพวกข้าเอาไว้ก่อน”
นางพูดพลางโน้มตัวไปจับสองมือที่วางอยู่บนผ้าห่มของหลิวเซียงเซียง “หากมิใช่เจ้าพาพวกข้าสองแม่ลูกหนีออกมา เกรงว่าขณะนี้ข้าคงกลายเป็นภรรยาของเจ้าคนแซ่จางที่น่ารังเกียจนั่นไปแล้ว”
“ท่านน้า…” หลิวเซียงเซียงเห็นสีหน้าของหลูซื่อ ขยับปากจะพูดก็ถูกนางตัดบท
“ฟังข้าพูดให้จบก่อน หลังจากเรื่องนี้ ข้าไม่อาจเห็นเจ้าเป็นคนนอกอีก นับแต่น้องชายสองคนของเจ้าจากเรือนไปจนเกิดเรื่องเหยียบย่ำรังแกกันนี้ขึ้น ข้าได้เห็นทั้งคนที่หันหลังให้ คนที่เหยียบย่ำซ้ำเติม คนที่หลบลี้หนีหน้า ถ้าไม่มีเสี่ยวอวี้อยู่ด้วย หวั่นใจแต่ว่าข้าคงถูกคนพวกนั้นบีบคั้นจนเสียสติไปแล้ว ถึงข้าจะเป็นหญิงม่ายคนหนึ่ง แต่ถือเรื่องความบริสุทธิ์สำคัญยิ่งชีพ หากไม่ได้เจ้าช่วยไว้ ในวันนี้ข้าอาจต้องยอมจำนนต่อคนบัดซบแซ่จางเพราะถูกข่มขู่ไปแล้วจริงๆ และกว่าน้องชายสองคนของเจ้าจะกลับมาช่วยชำระแค้นนี้ให้ ข้าคง…ข้าคง…”
พูดถึงตรงนี้ สุ้มเสียงของนางเริ่มสั่นเครือ แม้นมิได้กล่าวถ้อยคำด้านหลังออกมา แต่อี๋อวี้กับหลิวเซียงเซียงล้วนคาดเดาได้ หากปล่อยให้คนกลุ่มนั้นสมดังใจหมายเพราะสถานการณ์บังคับจริงๆ หลูซื่อคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเป็นแน่ อี๋อวี้ฟังถึงตรงนี้ จิตใจที่สงบลงเพราะหนีพ้นมาได้อย่างราบรื่นในทีแรกก็เริ่มว้าวุ่นขึ้นมาอีก
กล่าวถึงต้นตอแห่งเภทภัยของเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนมาจากตัวพวกหวังซื่อทั้งสิ้น ถ้าพวกนางไม่คอยขัดแข้งขัดขาและเจตนาใส่ร้าย แม่ลูกสกุลหลูคงไม่ตกอยู่ในสภาพน้ำท่วมปาก และลงเอยด้วยการพลัดเรือนพลัดถิ่น หลบหนีอย่างหัวซุกหัวซุนเยี่ยงนี้ ไม่ว่าใครคนใดล้วนยากจะกล้ำกลืนความโกรธนี้ไว้ ส่งผลให้ความแค้นเคืองในครานี้ได้ฝังลึกลงในใจพวกนางแล้ว
ยามอี๋อวี้เพิ่งฟื้นสติขึ้นมาแล้วฟังคำบอกเล่าของหลูซื่อ นางก็รู้ว่านายบ่าวที่ยื่นมือช่วยเหลือพวกนางสามคนคู่นั้นหาใช่ชาวบ้านสามัญชน สารถีคนนั้นสามารถต่อยตีบ่าวผู้ชายล่ำสันแข็งแรงสิบกว่าคนจนสลบเหมือดได้ในไม่กี่กระบวนท่า ต้องเป็นผู้รู้วรยุทธ์ดีคนหนึ่งแน่นอน เทียบกับหลูจวิ้นที่ร่ำเรียนวิชาหมัดมวยพื้นฐานมาหลายปี น่าจะเป็นยอดฝีมือเข้าขั้นจริงๆ ตอนพวกนางกลับไปเอาสัมภาระที่หมู่บ้านเค่าซาน อี๋อวี้ต้องข่มใจแล้วข่มใจอีกถึงไม่ได้เอ่ยปากขอร้องผู้มีพระคุณให้ช่วยลงโทษสตรีชั่วร้ายอย่างหวังซื่อ
จะอย่างไรก็เป็นคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน ช่วยพวกนางไว้ครั้งหนึ่งก็มากพอแล้ว ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะโยนความเคียดแค้นไปให้ผู้อื่น นางไม่ใช่คนไร้เหตุผล จึงฝืนสะกดความชิงชังในใจไว้ และติดตามพวกเขาออกจากหมู่บ้านเค่าซาน
หลูจื้อกับหลูจวิ้นยังอยู่ในฉางอันรอสอบขุนนาง หลิวเซียงเซียงซึ่งหนีมาพร้อมกับพวกนางก็มีตัวคนเดียวโดดเดี่ยว สตรีอ่อนแอสองสามคนจะมีกำลังกระทำเรื่องใหญ่อะไรได้ ในยามนี้สิ่งสำคัญเร่งด่วนคือหลังจากเข้าด่านแล้วจะประทังชีพอย่างไรต่างหาก อย่าเพิ่งไปพูดถึงคนชั่วเหล่านั้นเลย ถึงอย่างไรวันข้างหน้ายังอีกยาวไกล
หลิวเซียงเซียงกับอี๋อวี้ช่วยกันปลอบใจหลูซื่อที่หน้าเศร้าน้ำตาริน ทั้งที่ปกตินางเป็นคนทำอะไรเด็ดขาด แต่พอร่ำไห้ขึ้นมา ไม่ว่าอย่างไรก็หยุดไม่ได้ หลิวเซียงเซียงได้แต่กล่าวขึ้น “ท่านน้า ท่านร้องไห้แบบนี้ด้วยเหตุใดเล่า บัดนี้พวกเราปลอดภัยดีแล้วมิใช่หรือ ข้าขอพูดสักคำโดยไม่กลัวท่านขุ่นใจ ครั้งนี้โชคดีที่มีพวกท่าน ข้าถึงตัดสินใจหนีจากสถานที่ผีสางนั่น ส่วนพี่น้องของข้าพูดไปก็เท่านั้น นับแต่ท่านแม่จากไป ข้าก็เหลือตัวคนเดียว ต้องกล้ำกลืนน้ำตาแห่งความทุกข์ไว้ ทำหน้าชื่นอกตรม มีชีวิตอยู่ไปวันๆ เหมือนคนไร้ชีวิตจิตใจ แต่หลังจากพวกเราพบกัน ข้ารับฟังคำพูดของท่าน ถึงอยากหนีออกมาพร้อมกับพวกท่านเพื่อตั้งต้นชีวิตใหม่ ท่านน้า เสี่ยวอวี้อยู่ตรงนี้ มีบางเรื่องที่ข้าพูดไม่ใคร่ถนัดปาก แต่ดีชั่วข้าเคยเป็นชาวนา ในชนชั้นทั้งสี่ พวกเราชาวนายังมีลำดับมาก่อนช่างฝีมือกับพ่อค้า แม้ความเป็นอยู่ขัดสนอยู่สักหน่อย แต่ผู้ใดจะกล้าไม่เห็นพวกเราเป็นคน ทว่าตั้งแต่ข้าถูกขายให้เจิ้งลี่ เจ้าคนสารเลวสมควรตายผู้นั้น…”
หลูซื่อฟังนางกล่าวถึงตรงนี้ ค่อยๆ หยุดเสียงสะอื้นทีละน้อย ส่ายหน้าพลางพูดทัดทานนาง “เซียงเซียงคนดี เจ้าอย่าพูดอีกเลย ท่านน้ารู้ดี คนเป็นบ่าวไพร่ ได้พบกับคนดีก็แล้วกันไป ได้พบกับคนเลวก็ไม่ถูกเห็นว่าเป็นคน เจ้าไม่ต้องกลัวนะ รอเมื่อพวกเราไปถึงด่านในแล้ว เสาะหาหมู่บ้านแห่งหนึ่งใกล้ๆ เมืองฉางอันเป็นที่พำนึก แล้วค่อยหาซื้อที่นากับโยกย้ายทะเบียนราษฎร์ ใครจะรู้ว่าในอดีตเจ้าเคยเป็นอะไรมาก่อน เซียงเซียง หากเจ้าไม่รังเกียจ ข้าจะรับเจ้าเป็นบุตรสาวบุญธรรมได้หรือไม่”
หลูซื่อมิได้เอ่ยถ้อยคำนี้ด้วยอารมณ์ชั่ววูบ หากมาจากความซาบซึ้งในบุญคุณของหลิวเซียงเซียง หลังจากประสบกับการให้ร้ายของแม่สื่อหวัง การเหยียดหยามของหวังซื่อ และการปรักปรำของหลี่เสี่ยวเหมยมาแล้วได้พบกับหลิวเซียงเซียง หัวใจของนางที่เจ็บปวดหนาวเหน็บเพราะธาตุแท้ของคนถึงกลับมาอบอุ่นอีกคราหนึ่ง กอปรกับเห็นอกเห็นใจในชะตากรรมที่ผ่านมาหลายปีของอีกฝ่าย ทำให้บังเกิดความเวทนาสงสารอย่างช่วยไม่ได้ เพียงคิดว่าจากนี้ไปอยากให้หลิวเซียงเซียงรั้งอยู่ข้างกายตนเฉกเดียวกับบุตรสาวแท้ๆ
หลิวเซียงเซียงได้ยินวาจานี้ก็น้ำตาไหลลงมาฉับพลัน นางรีบพยักหน้าพูดกับหลูซื่อ “ท่านน้า หากท่านไม่รังเกียจที่ข้าเป็นคนมีมลทิน ข้าขอนับท่านเป็นแม่บุญธรรมเจ้าค่ะ”
ขอบตาของหลูซื่อแดงเรื่อขณะกล่าว “พูดอะไรของเจ้า คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก มีคนที่บริสุทธิ์สะอาดสักกี่คนกันเชียว ส่วนเจ้ายังดีกว่าคนอื่นๆ อีกตั้งมาก เด็กโง่ วันหลังข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนลูกในไส้”
พอนับแม่นับลูกกันแล้ว ทั้งคู่ร้องไห้กอดกันกลมทั้งผ้าห่ม ปล่อยให้อี๋อวี้เก้ออยู่ด้านข้าง ถ้ามิใช่ไม่ถูกกาลเทศะ และบรรยากาศหม่นหมองเกินไป อี๋อวี้อยากกลอกตาขึ้นอย่างอ่อนใจเหลือเกินจริงๆ…สองคนนี้ไม่คล้ายเพิ่งนับญาติกัน กลับละม้ายคนที่พลัดพรากจากกันมาสิบแปดปีก็ไม่ปาน
แม้ไม่อยากขัดจังหวะ แต่เห็นพวกนางร่ำไห้เป็นวรรคเป็นเวรแล้วกลัวว่าพรุ่งนี้จะตาบวมคอแหบแห้ง อี๋อวี้จึงเปล่งเสียงพูดขึ้น “ท่านแม่ ยินดีด้วยที่ท่านได้ลูกสาวคนหนึ่งมาเปล่าๆ ส่วนข้าก็มีพี่สาวเพิ่มขึ้นอีกคน แต่ว่าพวกท่านอย่าร้องไห้ได้ไหม นี่มันดึกดื่นค่ำมืดแล้ว คนอื่นได้ยินเสียงหญิงร้องไห้ฮือๆ จะคิดว่าผีหลอกนะเจ้าคะ”
หลูซื่อได้ยินบุตรสาวกล่าวเช่นนี้ ยังร้องไห้ต่อไปได้อีกที่ไหนกัน นางหันไปเขกศีรษะเล็กๆ ของอี๋อวี้ทีหนึ่งทันที และแสร้งพูดอย่างโมโห “เจ้าเด็กคนนี้ นับวันไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ยิ่งขึ้นทุกที”
“โอ๊ย! ท่านแม่ พอท่านมีลูกสาวคนใหม่ ก็ไม่ต้องการลูกสาวคนเก่าอย่างข้าแล้ว นี่คือที่ใครๆ พูดกันว่าได้ใหม่ลืมเก่าหรือเจ้าค่ะ”
หลูซื่อฉุนโกรธขึ้นมาฉับพลัน ตั้งท่าจะตกรางวัลให้อีกสักที กลับถูกหลิวเซียงเซียงห้ามไว้ “ท่านแม่บุญธรรม เสี่ยวอวี้จะหยอกให้พวกเราอารมณ์ดีเท่านั้นเจ้าค่ะ”
อี๋อวี้เร่งรีบขยับเข้าไปอยู่ข้างกายพี่สาวคนใหม่ ทั้งยังหันหน้าไปแลบลิ้นปลิ้นตาให้มารดาพร้อมพูด “ท่านแม่ ท่านยังไม่ฉลาดเท่าพี่สาวข้าเลยนะ”
ทั้งสามคนเย้าแหย่กันไปพักหนึ่ง ขับไล่บรรยากาศเศร้าสร้อยระลอกนั้นให้จางหายไป เมื่อสงบจิตใจลงได้อย่างไม่ง่ายดาย พวกนางหารือเรื่องลงหลักปักฐานในวันหน้าถึงเข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมกัน
เมื่อพวกนางหลับใหลไปในที่สุด นายบ่าวสองคนในห้องด้านข้างถึงเริ่มมีความเคลื่อนไหวบ้าง
อาเซิงยกกาน้ำชาบนโต๊ะแปดเซียนที่ทำจากไม้แดงในห้อง รินน้ำอุ่นถ้วยหนึ่ง ประคองด้วยสองมือยื่นไปตรงหน้าคุณชายฉางที่นั่งขัดสมาธิหลับตาพักผ่อนอยู่บนเตียง และไต่ถามเสียงนอบน้อม “คุณชาย อาเซิงมีเรื่องต้องการถามขอรับ”
คุณชายฉางล้วงขวดทรงคอแคบก้นกว้างทำจากหยกเนื้อเนียนใสวาววับขนาดกะทัดรัดใบหนึ่งออกจากอกเสื้อ เขาเทยาลูกกลอนกลมดิกสีแดงเกลี้ยงใหญ่เท่าเม็ดข้าวโพดเม็ดหนึ่งออกมาใส่ปาก จากนั้นรับถ้วยน้ำชามาดื่มน้ำคำหนึ่งกลืนยาลงคอไป ถึงพยักหน้าน้อยๆ กับอาเซิง
อาเซิงเอ่ยถามด้วยสีหน้าลังเลใจ “ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุอันใดคุณชายต้องช่วยเหลือพวกนางขนาดนี้ อันที่จริงแค่ช่วยชีวิตไว้ก็พอ ไยต้องพาไปส่งด้วยขอรับ”
คุณชายฉางมิได้กล่าวตอบ ยื่นถ้วยน้ำชาคืนกลับไป เขาเก็บขวดหยกกลับเข้าที่ และล้วงของอีกสิ่งหนึ่งออกจากอกเสื้อส่งให้ อาเซิงรับไว้แล้วถามอย่างหลากใจ “เพื่อถุงผ้าปักเล็กๆ ใบนี้หรือขอรับ”
คุณชายฉางพยักหน้าเบาๆ แล้วก็ส่ายหน้า อาเซิงกลอกตาทีหนึ่ง นึกถึงท่าทางของผู้เป็นนายตอนรับถุงผ้าปักใบนี้มาเมื่อยามเที่ยง เขาเปิดมันออก เขี่ยใบไม้สีเขียวข้างในสองทีแล้วจ่อไว้ใต้จมูกสูดดมดู ก่อนจะขมวดคิ้วกล่าวขึ้น “กลิ่นนี้แปลกชอบกล เย็นๆ ซ่านๆ ขอรับ”
คุณชายฉางเปล่งเสียงพูดเอื่อยๆ “กลิ่นนี้บรรเทาอาการเจ็บปวดตามเนื้อตัวข้าได้” ยามเขากล่าววาจา บนใบหน้าเยาว์วัยหล่อเหลาแฝงรอยฉงนจางๆ
อาเซิงฟังจบแล้วเกือบร้องอุทานเสียงดัง เขาลุกลนปิดปากตนเอง สูดลมหายใจหลายครั้งถึงสงบสติอารณ์ลงได้ จากนั้นถามอย่างไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง “ทะ…ท่านได้ดมของสิ่งนี้แล้ว ระงับความเจ็บปวดได้หรือขอรับ”
คุณชายฉางกล่าว “ข้าลองคร่าวๆ แล้ว เพียงบรรเทาอาการ ไม่ถึงกับยับยั้งได้ แต่ก็พอให้นอนหลับลง”
อาเซิงหน้าบานด้วยความยินดีทันควัน เอาแต่หัวเราะไม่หยุด ไม่ใช่ง่ายกว่าจะเยือกเย็นเป็นปกติเช่นเดิม จากนั้นเขาก็พูดขึ้นอีก “ข้าว่าแล้วว่าไฉนคุณชายต้องให้ข้าชวนพวกนางเดินทางไปด้วยกัน ที่แท้คุณชายมีประสาทสัมผัสทั้งห้าเป็นเลิศเหนือใคร ถึงค้นพบสิ่งนี้ได้ ฮ่าๆ ในเมื่อท่านมั่นใจว่าของสิ่งนี้ใช้ประโยชน์ได้ วันพรุ่งข้าจะถามพวกนางเองขอรับ”
คุณชายฉางผงกศีรษะทีหนึ่งแล้วไม่เอื้อนเอ่ยคำใดอีก เอื้อมมือไปดึงถุงผ้าปักในมืออาเซิงมาแล้วล้มตัวลงบนเตียงโดยไม่ผลัดอาภรณ์ เขายังยกฝ่ามือขาวกระจ่างที่กุมถุงเครื่องหอมไว้เบาๆ มาตรงหน้าดมกลิ่นหอมสดชื่นจางๆ ที่ติดอยู่บนนั้นแล้วผ่อนลมหายใจออกอย่างช้าๆ
วันต่อมา พวกอี๋อวี้ซึ่งหลับสนิทตลอดราตรีตื่นนอนตั้งแต่ฟ้าสว่างรำไร หลังผ่านการรอนแรมเดินทางมาทั้งวัน เสื้อคลุมตัวนอกที่พวกนางถอดออกเมื่อวานนี้ยับยู่ยี่จนดูไม่ได้ หลูซื่อหยิบชุดที่กระชับรัดกุมในห่อผ้าออกมาผลัดเปลี่ยน หลิวเซียงเซียงผอมบางกว่านาง แม้ใส่อาภรณ์ของนางแล้วหลวมโพรกไปบ้าง กลับดูผ่องใสขึ้นไม่น้อย
หลูซื่อแต่งกายเรียบร้อยอย่างคล่องแคล่วว่องไว ก็ไปสางผมให้อี๋อวี้ที่เพิ่งยกกางเกงทรงขาสอบสีเขียวอ่อนขึ้นสวมอย่างงุ่มง่ามยืดยาด นางหยิบเชือกผูกผมสีเหลืองอ่อนมาสองเส้นและแบ่งผมบุตรสาวเป็นสองช่อ ถักด้วยกันเป็นเปียสี่เส้นม้วนขดไว้ตรงท้ายทอยแล้วผูกปลายเป็นเงื่อนผีเสื้อสี่แฉก จากนั้นลูบผมม้าให้เรียบ ถึงคว้าเสื้อคลุมป้ายข้างไม่สั้นไม่ยาวสีเดียวกันบนเตียงมาสวมให้
ถึงอี๋อวี้จะเคยชินกับการตื่นเช้า แต่ทุกวันหลังตื่นนอนครู่หนึ่งจะมีท่าทางอืดอาดเฉื่อยชาไม่มากก็น้อย นางสะลึมสะลือยืดแขนยกขาตามความต้องการของหลูซื่อไปโดยไม่รู้สึกตัว บันดาลให้หลิวเซียงเซียงเห็นนางในลักษณะนี้เป็นคราแรกปิดปากลอบหัวเราะอยู่ด้านข้าง
บุตรสาวแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จ หลูซื่อก็ลูบศีรษะเล็กๆ ของนาง ครั้นหันไปเห็นหลิวเซียงเซียงทำท่ากลั้นหัวร่อจึงแย้มปากบอกขันๆ “น้องสาวเจ้าคนนี้ ปกติดูคล้ายผู้ใหญ่คนหนึ่ง จะมีก็แต่ตอนตื่นเช้านี่ล่ะถึงเหมือนเด็กน้อย นานๆ ไปเจ้าจะรู้เองว่าท่าทางเช่นนี้ของนางหาดูได้ยาก รีบฉวยจังหวะมองบ่อยๆ รอวันใดนางพูดกระเซ้าเจ้า เจ้าจะได้เอามาปิดปากนาง”
หลิวเซียงเซียงส่ายหน้าเอ่ยขึ้น “เมื่อวานพวกเราพบกันตอนค่ำมืด กว่าจะเห็นหน้ากันชัดถนัดตาก็เป็นเวลาฟ้าสางโน่นแล้ว แต่หน้าตายังมอมแมมกันอยู่ วันนี้ได้สางผมล้างหน้าสะอาดสะอ้านถึงพบว่าน้องสาวข้าคนนี้โฉมงามนัก สมัยอยู่ที่หมู่บ้านใครๆ ล้วนกล่าวว่าข้าหน้าตาสะสวย แต่ตอนข้าแปดเก้าขวบหาได้มีดวงหน้าพริ้มเพราเท่านางปานนี้เลย” แต่เดิมหลิวเซียงเซียงก็เป็นผู้ที่รู้จักไขว่คว้าและรู้จักปล่อยวาง ไม่เช่นนั้นเมื่อครั้งที่เจิ้งลี่ส่งคนไปจับนางที่หมู่บ้านเค่าซาน นางคงไม่ตามคนพวกนั้นไปด้วยความสมัครใจ อีกทั้งเมื่อคืนนางได้พูดคุยเปิดอกกับหลูซื่อ และมีมารดาบุญธรรมกับน้องสาวคนใหม่แล้ว ไม่ว่าในใจจะทุกข์ระทมเท่าไหร่ ใบหน้ากลับฉายแววสดใสเบิกบาน
ตอนหลูซื่อคลี่ยิ้มจะกล่าวตอบนาง อี๋อวี้หายงัวเงียแล้ว ไหนเลยจะยอมให้พวกนางหัวเราะเยาะตนเอง เด็กหญิงยื่นนิ้วชี้ป้อมๆ ไปเขี่ยข้างแก้มแดงระเรื่อของหลิวเซียงเซียงพลางกล่าว “โอ๊ะ ตอนนี้พี่เซียงเซียงยิ้มออกแล้ว เมื่อคืนนี้ไม่รู้ว่าใครกันนะที่ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลใหญ่เลย”
พอถูกอี๋อวี้สัพยอก หลูซื่อกับหลิวเซียงเซียงทำหน้าเก้อกระดากไปตามๆ กัน เมื่อคืนพวกนางตื้นตันใจขึ้นมาชั่วขณะจนแสดงกิริยาไม่เข้าท่าไปบ้างจริงๆ ทำให้เด็กน้อยเห็นเป็นเรื่องขบขัน อย่างไรหลิวเซียงเซียงเคยเป็นสาวใช้ห้องข้างของเจิ้งลี่มานานสามสี่ปี แม้ยังเป็นคนอารมณ์เย็นดุจเก่า แต่กิริยาวาจากลับไม่เก็บงำสำรวมอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้นางหน้าแดงน้อยๆ ขณะเอ็ดใส่อีกฝ่ายยิ้มๆ “เจ้าเด็กคนนี้ปากคมปากกล้านัก พูดว่าเจ้าดีก็ไม่ได้ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นล่ะ อีกหน่อยข้าไม่ชมเจ้าอีกแล้ว”
หลูซื่อมองดูพวกนางลับฝีปากกันด้วยรอยยิ้มละไม เพียงรู้สึกว่าเมฆดำที่เหนือศีรษะมาหลายวันนี้สลายหายไปแล้ว จิตใจปลอดโปร่งอย่างหาได้ยาก นางหมุนกายไปเก็บเสื้อผ้าที่ผลัดเปลี่ยนออกมา และจัดสัมภาระที่รื้อค้นจนยุ่งเหยิงเมื่อครู่นี้จนเรียบร้อยแล้ว ได้ยินเสียงเคาะประตูดังก๊อกๆ จากด้านนอก
“ฮูหยิน ตื่นหรือยังขอรับ”
หลูซื่อได้ยินเสียงของอาเซิงก็กุลีกุจอไปเปิดประตู พอเหลือบตาขึ้นเห็นเขายืนยิ้มยิงฟันอยู่ตรงหน้าประตู นางชะงักไปเล็กน้อย ก่อนกล่าวตอบ “พวกข้าเก็บของเสร็จหมดแล้ว พวกเราจะออกเดินทางประเดี๋ยวนี้เลยใช่หรือไม่”
อาเซิงฉีกมุมปากกว้างยิ่งขึ้น กล่าวว่า “ข้าวของวางไว้ในห้องก่อนเถอะขอรับ พวกเราลงไปข้างล่างกินอาหารมื้อเช้ากันแล้วค่อยออกเดินทางก็ยังไม่สาย”
หลูซื่อพยักหน้า “ตกลง พวกข้าจะลงไปเดี๋ยวนี้เลย” ว่าแล้วก็ตวัดสายตามองไรฟันขาววาววับจนแยงตาอยู่บ้างของเขา ลอบรำพึงกับตนเองว่าเช้านี้อีกฝ่ายอารมณ์ดีเยี่ยงนี้ เพราะเก็บเงินได้หรืออย่างไร
อี๋อวี้เดินก้าวสั้นๆ ตามหลังหลูซื่อลงไปข้างล่าง เมื่อเหยียบลงบนบันไดขั้นสุดท้าย นางหมุนกายสาวเท้าตรงไปอีกสองก้าว ช้อนตาขึ้นมองเห็นนายบ่าวสองคนนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะตัวเตี้ยกลางโถงร้านห่างจากนางไปห้าก้าว อาเซิงยังสวมชุดขาวอมเทาเฉกเดียวกับเมื่อวาน หากแต่คนที่กำลังหมุนคลึงถ้วยชาก้นตื้นใบหนึ่งเล่นๆ อยู่ด้านข้างเขาคนนั้น ทำให้ดวงตาของอี๋อวี้ที่มองกวาดไปเกือบต้องพร่าลาย
ใบหน้านั้นย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง อันที่จริงมิได้อันใดผิดแผกจากเดิม ยังเรียบเฉยงามสง่าทว่าเค้าความหัวรั้นที่สะดุดใจอี๋อวี้อย่างลึกล้ำนั่นกลับอันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอย เปลือกตายังหลุบลงปิดดวงตาทั้งคู่ไว้ แต่ไม่เห็นรอยสีเขียวจางๆ ใต้ขอบตาแล้ว กลับทำให้เห็นแพขนตาดกหนาที่ขยับเบาๆ เด่นชัดขึ้นยามก้มศีรษะลง ชุดสีน้ำเงินสดบนตัวยังขับเน้นให้จมูกโด่งงุ้มเล็กน้อยดูอ่อนละมุนลง ส่วนเรียวปากที่บางเฉียบถูกเคลือบด้วยคราบน้ำที่ดื่มเข้าไปจนแลดูชุ่มชื้นจนงามจับตาขึ้นหลายส่วน
วันนี้เขาแค่เปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ ก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่าง อี๋อวี้อยู่มาสองภพสองชาติแล้ว ยังไม่เคยพบเจอใครที่สวมชุดสีน้ำเงินได้ชวนมองถึงเพียงนี้
เสื้อคลุมตัวยาวผ่าหน้าทำจากผ้าไหมสีน้ำเงินสดตัดเย็บให้เข้ารูปพอดีตัว สาบเสื้อและชายแขนเสื้อสอบขลิบริมด้วยผ้าแพรสีน้ำเงินเข้มกว่าปักลายเมฆาเหินสีน้ำเงินแก่ ตรงนิ้วโป้งของฝ่ามือเรียบเนียนข้างที่กำลังหมุนถ้วยชาเล่นข้างนั้นสวมแหวนฝังไพลิน มิใช่ปลอกหยกเขียวมรกตดุจเดียวกับเมื่อวาน เส้นผมดำสนิททั้งศีรษะถูกรวบขึ้นเป็นมวยบนกระหม่อม ครอบตรึงไว้ด้วยเกี้ยวเงินฝังไข่มุกสองเม็ดกับหยกเขียวเม็ดเดี่ยวกว้างสามองคุลี และเสียบปิ่นหยกขาวหัวลายดอกบัวตรงกลาง
หนุ่มน้อยผู้นั้นอยู่ในท่วงท่าเคร่งขรึม ตัวตรงสำรวมกิริยาเป็นนิจดังเดิม เขาแค่นั่งขัดสมาธิบนเบาะรองพื้นเหนือเสื่อสานอย่างเรียบร้อย ทั่วสรรพางค์กายก็แผ่กลิ่นอายบางอย่างที่ไม่อยากให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้ออกมาจางๆ ประหนึ่งรูปปั้นหินหยกสีน้ำเงินขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่ง เปล่งรัศมีงามสง่าจนไม่อาจลบหลู่ล่วงเกินได้
สูงศักดิ์น่าเกรงขาม! อี๋อวี้นึกหาคำบรรยายหนุ่มน้อยรูปงามผึ่งผายเบื้องหน้าสายตาออกได้แค่คำนี้ เมื่อวานที่นางมองไม่เห็นถึงความหัวรั้นได้ทะลุปรุโปร่ง ชัดว่าเป็นความสูงศักดิ์ที่เขาจงใจซ่อนเร้นเก็บงำไว้ บัดนี้ดูไปแล้ว หนุ่มน้อยผู้มีพระคุณท่านนี้หาได้เป็นแค่คุณชายตระกูลใหญ่ที่นางคิดไว้แต่แรกเท่านั้น หากมิใช่ใบหน้าเขายังแฝงรอยอ่อนเยาว์ไว้จางๆ อีกทั้งอี๋อวี้มีจิตใจเข้มแข็ง เกรงว่าคงใจสั่นเพราะอีกฝ่ายไปแล้วจริงๆ เพียงพินิจจากรูปลักษณ์นี้ เห็นทีว่าอีกสี่ห้าปีให้หลัง เมื่อเขาถอดคราบความเยาว์วัยนั่นทิ้งไป จะเป็นบุรุษรูปงามตัวการทำให้หมู่สตรีชอกช้ำน้ำตารินเป็นแน่แท้
หลูซื่อซึ่งเดินนำหน้ากับหลิวเซียงเซียงก็ดึงสติคืนมาอย่างไม่ง่ายดาย หลังจากพวกนางนั่งลงแล้ว นอกจากอี๋อวี้ที่หน้าหนากว่าใคร ทุกคนล้วนหน้าร้อนผ่าวๆ ลอบนึกเสียใจที่เมื่อครู่เสียมารยาท ถึงกับจับจ้องหนุ่มน้อยผู้มีพระคุณท่านนี้แทบทะลุเป็นรู
ราวกับรับรู้ได้ว่าพวกนางเข้ามาใกล้ ประกายสูงศักดิ์รอบกายคุณชายฉางค่อยๆ เริ่มอ่อนแสงลง จนกระทั่งพวกนางนั่งลงแล้ว รัศมีละลานตาชั่วแวบหนึ่งเมื่อครู่นี้ก็หม่นลงสามส่วนอย่างเห็นได้ชัด
แม้นเป็นยามรุ่งเช้า ชั้นล่างมีผู้พักแรมนั่งกระจายเป็นกลุ่มเล็กๆ อยู่รอบข้างพวกเขาแล้ว ในบรรดานั้นต้องมีคนที่จ้องมองคุณชายฉางจนตาลอยไม่ขาด หลูซื่อกับหลิวเซียงเซียงชำเลืองหางตามองไปเห็นคนหัวอกเดียวกัน ก็สลัดความกระอักกระอ่วนเล็กน้อยนั่นทิ้งไปได้
อาเซิงรู้ว่าเจ้านายตนเองแต่งกายชุดนี้เด่นสะดุดตาเกินไป แต่เสื้อผ้าเมื่อวานนี้เปรอะเปื้อนฝุ่นดินแล้ว ทั้งเดิมทีเจ้านายผู้นี้ไม่ชมชอบสวมชุดเดียวกันข้ามวัน การเร่งเดินทางทำให้เขาต้องละทิ้งความเคยชินผิดผู้ผิดคนไปไม่น้อย แต่เรื่องความสะอาดไม่อาจไม่พิถีพิถัน อาเซิงจำต้องเอาอาภรณ์ใหม่ชุดนี้ที่เหลืออยู่เพียงชุดเดียวมาให้เขาผลัดเปลี่ยน
เห็นสายตาตกตะลึงของคนรอบข้าง ความรู้สึกจนปัญญาพลุ่งขึ้นกลางอกอาเซิง ครั้นเห็นพวกหลูซื่อที่ถึงแม้สติเกือบหลุดลอยไปเพราะเจ้านายตน แต่ยังปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้อย่างว่องไว เขาอดมิได้ที่จะมองพวกนางด้วยสายตายกย่องขึ้นหลายส่วน
เมื่อสตรีที่สางผมล้างหน้าสะอาดสะอ้านสามนางนี้นั่งลง อาเซิงยังมองสำรวจพวกนางโดยไม่ให้เป็นที่สังเกต แรกเริ่มเขานึกว่าทั้งสามเป็นแค่สตรีชนบท ตอนพบกันเมื่อคืนกลางดึกพวกนางหนีกระเซอะกระเซิงมา พอถึงกลางวันเนื้อตัวยังเต็มไปด้วยฝุ่นดินจนเห็นหน้าไม่ชัดถนัดถนี่ ยามนั้นเขานึกอัศจรรย์ใจอยู่ว่าเหตุไฉนเจ้านายที่รักความสะอาดมาแต่ไหนแต่ไรถึงอดทนนั่งรถม้าคันเดียวกับสตรีที่มอมแมมไปทั้งตัวพวกนี้
พอได้เห็นในตอนนี้ เขาลอบประหลาดใจว่ารูปโฉมโนมพรรณของพวกนางล้วนไม่สามัญ สตรีซึ่งออกเรือนแล้วและสูงวัยที่สุดดูไปน่าจะมีอายุราวสามสิบ ดวงหน้างดงามสุภาพทอแววเฉียบแหลมเก่งกาจ ส่วนหญิงสาวที่อ่อนวัยกว่ามากก็โฉมงามหมดจดเจริญตาเจริญใจ อีกคนที่เหลือเป็นเด็กหญิงน้อยที่ยังไม่เต็มสิบขวบก็เผยเค้าความงามออกมารางๆ ผิวพรรณนวลเนียนผุดผ่องมีวี่แววว่าจะเป็นหญิงสะคราญโฉมในภายหน้า
มิน่าถึงถูกคนลักพาตัวไป!
อาเซิงคิดคำนึงเช่นนั้นในใจ ปากกลับเอ่ยถามหลูซื่ออย่างมีมารยาท “ฮูหยินอยากจะกินอะไรขอรับ ได้ยินเสี่ยวเอ้อร์บอกว่าซาลาเปาไส้ผักของร้านนี้มีรสชาติไม่เลว หรือไม่พวกเราสั่งมาสักสองสามเข่ง”
เพราะก่อนหน้านี้ตกลงกันไว้แล้วว่าหลูซื่อจ่ายค่าอาหาร นางเลยสั่งกับข้าวง่ายๆ เพิ่มอีกหลายอย่าง ระหว่างที่รออาหาร
อาเซิงหุบยิ้มและเอ่ยปากพูดกับนางด้วยสีหน้าจริงจัง “ฮูหยิน ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากไต่ถาม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าฮูหยินจะไขความกระจ่างให้ขอรับ”
หลูซื่อย่อมต้องพยักหน้าแน่นอน แม้จะกังขาใจ แต่นางกลับไม่ปฏิเสธการซักถามของผู้มีบุญคุณต่อตน
อาเซิงรับถุงผ้าปักพื้นแดงที่คุณชายฉางล้วงจากแขนเสื้อ วางไว้บนฝ่ามือข้างหนึ่งยื่นไปตรงหน้าหลูซื่อพร้อมกล่าวถาม “ฮูหยิน ไม่ทราบว่าใบไม้สีเขียวที่ใส่อยู่ข้างในคืออะไร”
หลูซื่อรู้ว่าถุงผ้าใบเล็กที่ใส่ใบปั้วเหอของอี๋อวี้ถูกคุณชายฉาง ‘หยิบติดมือ’ ไปเมื่อวานนี้ นางจึงเอ่ยตอบ “ในนั้นเป็นใบปั้วเหอ”
เห็นอาเซิงยังทำหน้างุนงง นางพูดขยายความต่อว่า “อักษรปั้วที่แปลว่าบาง ส่วนเหอแปลว่าใบบัว มันเป็นใบไม้ที่มีรสเย็นซ่านๆ ชนิดหนึ่ง”
อาเซิงแจ่มแจ้งในบัดดล เขาถามต่อ “ข้าเองก็นับว่าเดินทางไปมาทั่วทุกสารทิศ กลับไม่เคยพบเห็นของสิ่งนี้ มันเรียกว่าปั้วเหอหรือขอรับ แล้วฮูหยินซื้อถุงเครื่องหอมใบปั้วเหอนี้จากที่ใด”
เมื่อได้ยินคำถามของเขา หลูซื่อมีสีหน้าแปลกพิกลๆ อาเซิงเห็นแล้วนึกว่าอีกฝ่ายไม่สะดวกใจที่จะตอบ ตั้งท่าจะเสนอเงื่อนไขตามที่หารือกับเจ้านายไว้เมื่อวาน ก็ได้ยินหลูซื่อพูดด้วยน้ำเสียงกระดากๆ “บุตรสาวข้าชอบขลุกอยู่กับต้นไม้ใบหญ้าแต่เล็ก เอ่อ…ใบปั้วเหอนี้ นางเก็บมาจากริมแม่น้ำทางตะวันตกของหมู่บ้านกลับมาปลูกเล่นๆ ชื่อของมันก็เป็นนางตั้งเอาเองส่งเดช”
อี๋อวี้รับฟังอยู่ด้านข้างแล้วมุมปากกระตุกริกๆ นึกในใจว่าถ้าไม่รู้สรรพคุณของมัน นางจะมีเวลาว่างเก็บ ‘ต้นไม้ใบหญ้า’ กลับเรือนมาปลูก ‘เล่นๆ’ ที่ไหนกันเล่า
อาเซิงได้ยินคำอธิบายของนางแล้วหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เขาพยักหน้ากับหลูซื่อ ก่อนจะหันไปถามอี๋อวี้ “น้องสาว เจ้ายังมีใบปั้วเหอนี้อีกหรือไม่”
อี๋อวี้ตามตามความจริง “เหลือแค่ที่อยู่ในถุงใบนี้เจ้าค่ะ”
อาเซิงได้ยินนางตอบเช่นนี้ สีหน้าพลันปรากฏรอยคับแค้นใจ เมื่อวานเขาคิดเสียดิบดีว่าพอสอบถามได้ความว่าของสิ่งนี้มีที่มาอย่างไรก็จะส่งคนไปเสาะหา จากนั้นขอซื้อจากพวกนางบางส่วนไว้ให้คุณชายใช้ตอนนี้
ยามนี้แผนการทั้งสองทางล้วนล้มเหลว เจ้าสิ่งนี้ยังเป็นของเล่นสนุกของแม่นางน้อยคนนี้อีก หากที่ย่ำแย่ยิ่งกว่าคือบนตัวนางเหลืออยู่น้อยนิดเท่านี้ แล้วเมื่อเช้าตอนตื่นขึ้นมา เจ้านายที่อารมณ์ดีเพราะนอนหลับสนิทอย่างหาได้ยากยังเอ่ยปากเตือนเขาว่าถึงถุงเครื่องหอมนี้จะได้ผลดี แต่กลิ่นจางลงกว่าเมื่อวานอยู่บ้าง น่าจะใช้ได้แค่สี่ห้าวันก็หมดกลิ่นแล้ว ที่นี้จะทำอย่างไรดีเล่า
ขณะที่อาเซิงกำลังกลัดกลุ้ม ในหัวสมองน้อยๆ ของอี๋อวี้กำลังคาดคะเนไปต่างๆ นานา นางเพิ่งคิดจะอ้าปากพูดปลอบชายหนุ่มที่ทำหน้าตากลัดกลุ้มเต็มที ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น
“มีเมล็ดพันธุ์หรือไม่”
คุณชายฉางเอ่ยถามคำนี้ขึ้นกะทันหัน ทำให้ทุกคนนิ่งงันไปตามๆ กัน
อาเซิงได้ยินเขาถามขึ้น คิดในใจว่ายังคงเป็นเจ้านายของตนที่ฉลาดเฉลียว ตอนแรกเขาคิดว่าหลังจากเข้าสู่ด่านในแล้วจะส่งม้าด่วนไปขุดต้นปั้วเหอกลับมาสองสามต้นแก้ขัดไปก่อนชั่วคราว กลับมิได้ไตร่ตรองถึงความเป็นไปได้ว่าเมื่อถึงที่นั่นแล้วอาจหา ‘พืชป่า’ ที่ว่านั่นไม่พบ ฉะนั้นมิสู้ขอเมล็ดพันธุ์ไว้ ต่อให้หาไม่พบยังสามารถรอไประยะหนึ่งจนปลูกขึ้นแล้ว อย่างไรก็ดีกว่าไม่ได้อะไรสักอย่าง
ด้วยเหตุนี้เขาอ้าปากถามอี๋อวี้ซ้ำอีกครั้งตามคำพูดของคุณชายฉาง “น้องสาว เจ้ามีเมล็ดพันธุ์ของใบปั้วเหอหรือไม่”
ถึงอี๋อวี้ไม่ล่วงรู้ความคิดในใจของคนทั้งสอง แต่ก็ไม่ถามพวกเขาตรงๆ ว่าต้องการใบปั้วเหอไปทำอะไร นางเอ่ยตอบ “มีเจ้าค่ะ”
อาเซิงถามต่อ “ขายให้ข้าบ้างได้หรือไม่”
หลูซื่อได้ยินเขากล่าวแบบนี้ก็พูดแทรกขึ้นด้วยหน้าตาเคร่งขรึม “หากผู้มีพระคุณต้องการก็เอาไปได้เลย พูดเรื่องซื้อขายอะไรกัน กลับทำให้พวกข้าต้องละอายใจแล้ว” นางหันไปบอกอี๋อวี้ “เจ้าหยิบเมล็ดพันธุ์ของต้นปั้วเหอมามอบให้ผู้มีพระคุณทั้งหมดเลย”
แม้อี๋อวี้อยากรู้เหลือเกินว่าสองคนนี้จะปลูกปั้วเหอไว้ใช้ประโยชน์อะไร ทว่านางไม่ตระหนี่ในของเล็กๆ น้อยๆ นี้ จึงพยักหน้าพลางตอบ “ข้าเก็บไว้ในห่อผ้า อีกประเดี๋ยวพวกเราออกเดินทางแล้วข้าหยิบให้ผู้มีพระคุณนะเจ้าคะ”
กล่าวจบนางไม่รอให้ร่องรอยยินดีแผ่ซ่านไปทั่วหน้าอาเซิง กล่าวเสริมขึ้นด้วยเจตนาดี “เพียงแต่ว่าต้นปั้วเหอนี้ปลูกได้ไม่ง่ายนัก ข้าเองต้องลองผิดลองถูกอยู่นานพักใหญ่ถึงจับหลักได้บ้าง ถ้าใช้เมล็ดเพาะจะเลี้ยงให้รอดได้ยาก มิสู้ปลูกด้วยการปักชำกิ่งดีกว่า ถ้าท่านตั้งใจจะปลูกต้นนี้ให้รอดจริงๆ ข้าจะบอกสิ่งที่ต้องระวังให้ท่านฟังอย่างละเอียดเจ้าค่ะ”
มาตรว่าคำพูดของนางจะต่อเติมเสริมแต่ง แต่มีความจริงผสมอยู่หลายส่วน นางใช้เลือดตนเองหล่อเลี้ยงต้นปั้วเหอ เลยไม่จำเป็นต้องสนใจลักษณะทางธรรมชาติของมันสักเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ปลูกมาสามปี ย่อมต้องรู้จักมันดีและพอมีเคล็ดลับบ้าง
เห็นนางพูดตอบด้วยวาจาฉะฉานคมคายและเป็นเหตุเป็นผล อาเซิงอุทานชมอยู่ในใจแล้วพยักหน้าขานรับ
อี๋อวี้จึงเล่าวิธีเพาะเมล็ดให้เขาฟังอย่างละเอียด รวมถึงกำชับจุดสำคัญในการปักชำกิ่งไปด้วยพร้อมกัน กระนั้นเขายิ่งฟังยิ่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมากขึ้นทุกที จริงๆ แล้วเจ้าพืชต้นนี้เลี้ยงให้รอดได้ไม่ง่ายเลย แม้ตอนมันขึ้นตามริมน้ำจะแข็งแรงทรหดมาก พอมาปลูกในเรือนกลับอ่อนแอบอบบาง อี๋อวี้บอกอะไรต่อมิอะไรมากมายอย่างยาวเหยียดยิบย่อย เป็นเหตุให้เขาฟังจนเวียนหัวตาลายไปหมด
นางเห็นสีหน้าอาเซิงก็รู้ว่าเขาสับสนงุนงงแล้ว จึงลอบถอนใจเฮือกหนึ่งก่อนกล่าว “รอเมื่อพวกข้าไปถึงที่หมายและหาที่ปักหลักได้ ข้าปลูกแล้วส่งไปให้พวกท่านอีกทีดีกว่าเจ้าค่ะ”
อาเซิงมองคุณชายฉางแวบหนึ่ง เมื่อได้รับสัญญาณเป็นเชิงอนุญาตจากผู้เป็นนาย เขาอมยิ้มพยักหน้ากับอี๋อวี้แล้วหันไปถามกับหลูซื่อ “เช่นนั้นก็ขอบคุณมาก ฮูหยิน ไม่ทราบว่าพวกท่านตั้งใจจะไปพำนักที่ใด ละแวกรอบเมืองฉางอันมีชนบทอยู่ไม่น้อย พวกท่านเลือกแห่งใดไว้หรือขอรับ”
หลูซื่อตอบ “แต่เดิมตระกูลสามีข้าเป็นคนด่านใน ส่วนข้าเป็นม่ายแล้วถึงโยกย้ายไปที่สู่จงเมื่อเก้าปีก่อน ยังพอจดจำได้ว่ามีตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่งชื่อว่าเจี้ยนซิงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเมืองฉางอัน ไม่ทราบว่าท่านเคยได้ยินหรือไม่”
อาเซิงรู้ว่าหลูซื่อเป็นหญิงม่ายคนหนึ่ง กลับเพิ่งได้ยินนางเล่าว่าตระกูลสามีอยู่ที่ด่านในเป็นหนแรก ถึงเขาจะสนใจใคร่รู้ แต่จะถามอะไรมากก็ใช่ที่ เขาทบทวนความทรงจำในหัวถึงตำบลที่ชื่อว่าเจี้ยนซิงนี้ครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยกับนางอย่างฉงนใจ “ฮูหยิน ชนบทที่อยู่ใกล้ๆ เมืองฉางอันไม่ว่าเล็กใหญ่หรือยากจนร่ำรวย ข้าพอจะรู้จักทั้งสิ้น ที่ที่ท่านว่าน่าจะเป็นตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ใช้เวลาเดินเท้าครึ่งวันจากทางใต้ของเมืองฉางอัน ทว่าเวลานี้ที่นั่นมิใช่สถานที่ที่เหมาะจะไปเท่าไรนัก”
“หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ตำบลนั้นอยู่ทางทิศใต้จริงๆ ทำไมหรือ ที่นั่นมีอะไรถึงไปไม่ได้” หลูซื่อถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนกน้อยๆ นับแต่วันที่นางวางแผนหลบหนีก็คิดถึงตำบลเจี้ยนซิงแห่งนี้แล้ว เมื่อครั้งที่นางอาศัยอยู่ด่านในเคยไปมาหลายแห่ง เพียงแต่ว่าชานเมืองฉางอันล้วนเป็นอำเภอที่เจริญรุ่งเรือง ในความทรงจำของนางมีแค่ตำบลเจี้ยนซิงที่สงบเรียบง่ายอยู่บ้าง
“ข้าจำได้ว่าช่วงสองปีมานี้ตำบลเจี้ยนซิงเริ่มเจริญขึ้น แต่ตอนนี้มีอันธพาลเจ้าถิ่นคนหนึ่ง มักก่อเรื่องระรานชาวบ้านแถวนั้นบ่อยๆ หากพวกท่านย้ายไปอาศัยที่นั่น เกรงว่าจะได้รับความเดือดร้อนไปด้วย”
พวกหลูซื่อได้ยินเขาพูดคำว่า ‘อันธพาลเจ้าถิ่น’ อดนึกไปถึงท่าทางนักเลงหัวไม้ของเจิ้งลี่ไม่ได้ พวกนางรู้สึกสะท้านเยือกที่ท้ายทอยไปตามๆ กัน ด้วยเหตุนี้หลูซื่อล้มเลิกความคิดที่จะปักหลักอยู่ที่นั่น นางเห็นว่าอาเซิงรู้เรื่องต่างๆ ดี เพิ่งคิดจะซักถามเขา ก็ได้ยินเขาอ้าปากพูดขึ้นก่อน
“ข้ารู้เช่นกันว่าฮูหยินเดินทางในคราวนี้ นอกจากจะลงหลักปักฐานแล้วยังต้องการไปหาบุตรชาย เหตุใดไม่คิดจะเสาะหาสถานที่ใกล้ๆ เมืองฉางอันเป็นที่พำนักอาศัยล่ะขอรับ”
หลูซื่อไม่อายที่จะเผยความจน กล่าวตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่กลัวว่าจะเป็นที่ขบขันของผู้มีพระคุณและผู้กล้าหรอกนะ จะขอกล่าวตามความจริงว่าค่าเดินทางบนตัวข้าเหลืออยู่ไม่เท่าไหร่ เดิมทีคิดจะหาชนบทเล็กๆ ที่ห่างไกลสักหน่อยแห่งหนึ่ง หาซื้อที่นาสองสามหมู่ จะได้ทำใบเขียนมือเพื่อขึ้นทะเบียนราษฏร์ได้สะดวก แต่ตอนนี้ครอบครัวของข้ามีกันห้าคน ถึงยังไม่นับบุตรชายที่สอบเข้ารับราชการคนนั้น ก็ต้องใช้สอยเงินทองเลี้ยงสี่ปากสี่ท้อง ถ้าไปอยู่ในที่ที่เจริญรุ่งเรืองเหล่านั้น เกรงว่าคงไม่มีปัญญาแม้แต่จะขึ้นทะเบียนราษฎร์”
ใบเขียนมือทะเบียนราษฎร์เทียบได้กับสิ่งยืนยันตัวตนของราษฎรในราชวงศ์นี้ และเป็นบันทึกที่ทางราชสำนักยึดถือเป็นเกณฑ์ในการตรวจสอบการโยกย้ายถิ่นฐานและการนับจำนวนราษฎรทั้งแผ่นดิน แต่ช่องโหว่ใหญ่ที่สุดของมันคือสามารถจ่ายเงินเพิ่มซื้อที่นาไร้เจ้าของไว้ ก็จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขชื่อแซ่ได้
ทางราชสำนักมีนโยบายที่ผ่อนผันต่อชาวนามาก แน่นอนว่าถ้าเป็นราษฎรในกลุ่มช่างฝีมือกับพ่อค้าคิดจะทำไร่ไถนากลับมิใช่เรื่องง่ายดายปานนั้น เมื่อเก้าปีก่อนตอนหลูซื่อซึ่งตั้งครรภ์อี๋อวี้อยู่พาบุตรชายสองคนมาถึงหมู่บ้านเค่าซานก็เปลี่ยนทะเบียนราษฎร์เหมือนกัน ทว่าใบเขียนมือที่นางติดตัวไปที่นั่นตอนนั้นมีการจ่ายเงินแก้ไขบางสิ่งที่เขียนอยู่ในนั้น เอาเป็นว่าหากพวกนางอยากปักหลักอยู่ใกล้ๆ เมืองฉางอัน จะต้องอาศัยอยู่ในอาณาเขตที่มีที่นาราคาถูก
อาเซิงไม่ประหลาดใจ ถ้าหลูซื่อมีทรัพย์สินมากเกินไปต่างหากเล่าถึงน่าสงสัย เขาเหลือบตาไปเห็นเจ้านายหยุดหมุนถ้วยชาเล่น และเริ่มใช้นิ้วถูแหวนไพลินบนนิ้วโป้ง ก็เข้าใจความหมายแล้ว
“ฮูหยิน หากเป็นแค่ปัญหาเรื่องทะเบียนราษฎร์ กลับสะสางได้ไม่ยากขอรับ พวกท่านไม่จำเป็นต้องเลือกแต่ที่ห่างไกลยากจน ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองฉางอันห่างไปห้าสิบลี้เป็นตำบลหลงเฉวียน ชาวบ้านที่นั่นมีความเป็นอยู่เรียบง่าย ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวชาวนา ยังมีหมู่ปัญญาชนบางคนที่สละยศตำแหน่งไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่นั่นอย่างสุขสงบ ไร่นาสาโทรอบๆ ล้วนอยู่ในชั้นเลิศ คุณชายของข้าพอมีลู่ทางอยู่บ้าง สามารถช่วยให้พวกท่านขึ้นทะเบียนราษฎร์ จากนั้นตัดแบ่งที่นาไร้เจ้าของออกมาสักสิบหมู่ เสาะหาเรือนพักสักหลังอยู่พำนักชั่วคราวไปสี่ห้าเดือนได้โดยไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไร ทั้งไม่ต้องใช้สอยเงินทอง ฮูหยินเห็นเป็นเช่นใดขอรับ”
หลูซื่อสองจิตสองใจขึ้นมาทันใด นางรู้ดีว่าสำหรับคนบางคนแล้ว การขึ้นทะเบียนและปันที่นาเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ถ้านางตอบตกลงก็จะหมดปัญหายุ่งยาก แต่ว่าตนเองติดค้างอีกฝ่ายมากพอแล้ว ขืนรบกวนพวกเขาอีกจริงๆ ออกจะไม่ชอบด้วยเหตุผลไปบ้าง
อาเซิงรู้จักอ่านสีหน้าผู้อื่น เห็นนางมีท่าทางเช่นนี้ เขาจึงรีบกล่าวขึ้น “ฮูหยิน น้องอี๋อวี้ยังต้องช่วยข้าปลูกต้นปั้วเหอ ส่วนเรื่องขึ้นทะเบียนไม่นับเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ เกรงว่าในสายตาของเจ้านายข้ายังไม่สำคัญเท่าต้นปั้วเหอเลย ท่านตอบตกลงเถอะขอรับ พวกเราจะได้เก็บข้าวของออกเดินทางกันต่อ”
ปกติหลูซื่อเป็นคนเฉียบขาดอยู่แล้ว หลังขบคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็ตอบตกลง ดังคำโบราณที่ว่าหนี้มากไม่กลัวชดใช้คืนแล้ว
พวกนางสามคนกล่าวขอบคุณอาเซิงกับคุณชายฉางจากใจจริงอีกครั้ง เมื่อซาลาเปา ข้าวต้ม และกับข้าวง่ายๆ ถูกทะยอยนำมาวางบนโต๊ะจนครบ พวกเขากินอาหารมื้อเช้าเสร็จยังสั่งห่อซาลาเปาอีกสองเข่งไปด้วย จากนั้นยกสัมภาระขึ้นรถม้าแล้วเร่งเดินทางต่อไป
ตกบ่ายวันต่อมา ขบวนเดินทางก็มาถึงตำบลหลงเฉวียนที่อาเซิงว่าไว้ รถม้าแล่นเข้าไปอย่างเชื่องช้า อี๋อวี้นั่งอยู่ในรถม้าเลิกม่านขึ้นด้วยความสนใจใคร่รู้ เพียงเห็นริมถนนฝั่งหนึ่งเป็นเรือนชานบ้านช่องตั้งเรียงรายกันไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หลังคาลาดด้านเดียว ก่ออิฐสีน้ำตาลมุงกระเบื้องสีแดง เมื่อตรงไปข้างหน้าอีกหลายสิบจั้งเศษ คฤหาสน์ที่มีประตูสูงใหญ่หลังหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตาฉับพลัน เทียบกับบ้านเรือนที่เห็นก่อนหน้าแล้วละม้ายยักษ์ตนหนึ่งที่ยืนเด่นตระหง่านก็ไม่ปาน ตัวเรือนเป็นอิฐสีแดงมุงกระเบื้องสีเขียว ยังมีเสาเขียนลายลงรักแดง พอรถม้าแล่นต่อไปอีกหลายสิบจั้งก็เห็นเรือนหลังใหญ่โตมีประตูหรูหราอีกหลังหนึ่งบนบานประตูลงรักแดงยังตกแต่งด้วยปิ่นทวาร ทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดสีทองสลักเสลาละเอียดซับซ้อนทั้งซ้ายขวาบานละสี่แท่ง อี๋อวี้ตระหนกในใจ รับรู้ได้ว่าแขนของมารดาที่กอดนางไว้กระชับแน่นขึ้น
อาเซิงจอดรถม้าไว้ด้านหน้าเรือนหลังที่สองทางทิศเหนือของถนนสายนี้ อี๋อวี้แลลอดม่านกั้นประตูรถม้า เห็นเขากระโดดลงไปอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียวแล้วสาวเท้าไปยังหน้าประตูเรือนตรงหน้า ยื่นมือไปจับห่วงสีทองเคาะบานประตูลงรักแดงแรงๆ หลายที
ไม่นานนักมีคนมาเปิดประตู บานประตูที่สูงเท่าคนสองคนต่อตัวกันถูกดึงเปิดออกเป็นช่องช่องหนึ่งจากทางข้างใน เด็กหนุ่มร่างผอมในชุดเสื้อคลุมตัวสั้นกับกางเกงรัดข้อเท้า สวมหมวกครอบศีรษะสี่จีบท่าทางคล้ายบ่าวในเรือนผู้หนึ่งลอดตัวออกมาจากข้างใน เสียงพูดคำว่า “ใครกัน” เพิ่งหลุดออกจากปาก พอเขาเห็นหน้าอาเซิงชัดถนัดตาก็นิ่งงันไปในทีแรก ต่อมาเบิกตากว้างอย่างตื่นเต้นยินดี
“พี่หลี่! ท่านมาได้อย่างไรกันขอรับ” เด็กรับใช้ผู้นี้มีวัยเพียงสิบสี่สิบห้า ผิวกายออกคล้ำๆ แต่เมื่อพิศดูดีๆ แล้วรูปหน้าสมส่วนเกลี้ยงเกลา มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนหัวไว
อาเซิงยื่นมือไปตบท้ายทอยเขาเบาๆ ทีหนึ่ง กล่าวกลั้วเสียงหัวเราะ “คุณชายกลับมาแล้ว รีบเปิดประตูแล้วเข้าไปบอกพ่อบ้านหลี่”
เด็กรับใช้หน้าดำชะโงกศีรษะไปดูรถม้าที่จอดอยู่หน้าประตูใหญ่ สบเข้ากับดวงตาสุกใสคู่โตของอี๋อวี้ที่มองมาพอดี เขาหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหมุนกายไปผลักบานประตูใหญ่สีแดงสองบานออกทั้งซ้ายขวา และวิ่งลิ่วๆ เข้าไปข้างใน
อาเซิงเดินย้อนกลับมาที่รถม้า เขาเปิดม่านกั้นขึ้น ยื่นมือประคองคุณชายฉางลงมา พวกหลูซื่อก้าวตามหลังลงไปทีละคน หลังจากทุกคนยืนอยู่หน้าประตูเป็นเวลาครู่หนึ่ง ด้านในประตูใหญ่เริ่มมีเสียงอึกทึกดังขึ้นแว่วๆ พริบตาเดียวเห็นบ่าวในเรือนแต่งกายแบบเดียวกับเด็กรับใช้เมื่อครู่นี้ห้าหกคนวิ่งทะยานกันออกมาหยุดยืนเบื้องหน้าคุณชายฉางซึ่งยืนตัวตรงเอามือไพล่หลังไว้ห่างออกไปห้าก้าวอย่างลุกลี้ลุกลน
“คุณชาย” พวกเขาโค้งกายพร้อมเรียกขานเป็นเสียงเดียวกัน จวบจนคุณชายฉางพยักหน้าน้อยๆ ถึงเริ่มพากันทำงานกันวุ่นวายโกลาหล คนหนึ่งยกสัมภาระลงจากรถม้า คนหนึ่งขยับเข้าไปไต่ถามอาเซิง คนหนึ่งจูงรถม้าอ้อมไปที่ประตูหลัง อีกคนหนึ่งนำหน้าพาคุณชายฉางพร้อมด้วยหลูซื่อกับบุตรสาวสองคนเดินเข้าไปข้างใน
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.