บทที่สิบสี่
รุ่งเช้าวันต่อมา หลูซื่อกับหลิวเซียงเซียงไปลงนาได้ไม่นานก็กลับมาเช่นเดิม ใบหน้าของพวกนางต่างมีรอยยิ้มจนใจ
หลูซื่อนั่งลงแล้วเห็นอี๋อวี้ทำหน้าฉงนฉงาย นางจึงอ้าปากบอก “เมื่อเช้าพวกข้าสองคนไปที่แปลงนา ปกติชาวนาที่จ้างไว้จะมาถึงแต่เช้า วันนี้กลับไม่มีใครมาเลย แล้วงานส่วนที่เหลืออยู่ล้วนเป็นงานของบุรุษ พวกข้าเลยกลับมา พอเดินถึงหน้าประตูเรือนเห็นคนทะเลาะวิวาทกันอยู่ฝั่งตรงข้าม พอเพ่งตามองไปดีๆ อีกทีก็เห็นว่าบุรุษสามคนที่ถูกบ่าวชายกลุ่มหนึ่งรุมทุบตีอยู่เป็นคนที่พวกเราจ้างนั่นเอง ข้ากับเซียงเซียงอย่างไรก็เป็นสตรี จะเข้าไปห้ามทัพได้อย่างไร ได้แต่ไต่ถามเอาจากคนที่มุงดูอยู่ด้านข้าง…”
ที่แท้เมื่อวานหลังจากชาวนาที่หลูซื่อว่าจ้างไว้กลับถึงหมู่บ้าน ก็ไปดูไร่หม่อนพร้อมกับเพื่อนบ้านที่ซื้อไว้ด้วยกัน พบว่าตกอยู่ในสภาพย่ำแย่จริงๆ ต้นอ่อนรากเน่าไปแล้วเจ็ดส่วน ที่เหลืออยู่ล้วนมีวี่แววว่าจะรอดไปได้อีกไม่นาน ด้วยเหตุนี้วันนี้พวกเขาถึงไปหาผู้ขายไร่ให้ซึ่งก็คือสกุลสวีของตำบลหลงเฉวียน บอกว่าสกุลสวีเจตนาขายผืนดินไม่ดีผืนนี้ให้ ยังโวยวายว่าจะคืนไร่และต้องการให้สกุลสวีชดใช้เงินค่ากล้าต้นหม่อนให้พวกตน
ด้านนายท่านสวีได้ยินจุดประสงค์ที่พวกเขามา เพียงส่งพ่อบ้านออกมาบอกพวกชาวนาว่าพวกเขาปลูกพืชจนดินเสียแล้ว ฉะนั้นเขาทั้งไม่รับของคืนทั้งไม่ชดใช้เงินให้
สองฝ่ายต่างยืนกระต่ายขาเดียวว่าอีกฝ่ายผิดจนมีปากมีเสียงกัน ไม่รู้ว่าใครลงไม้ลงมือก่อน สกุลสวีมีกำลังคนมาก บ่าวในเรือนร่างใหญ่แข็งแรงเจ็ดแปดคนกลุ้มรุมชกต่อยชาวนาเหล่านั้น จึงเกิดเหตุการณ์ที่หลูซื่อและหลิวเซียงเซียงได้พบเห็น
อี๋อวี้ฟังมารดาเล่าจบ นางลงความเห็นอย่างมั่นใจ “ต้องเป็นสกุลสวีมีเจตนาหลอกพวกเขาแน่นอนเจ้าค่ะ พวกเขาจะไม่รู้หรือว่าไร่ของตนเองเป็นอย่างไร คงเห็นว่าปลูกอะไรไม่ขึ้นถึงได้ขายให้คนอื่นถูกๆ” ไร่ผืนนั้นอยู่ตรงเชิงเขา ทั้งอยู่ใกล้แม่น้ำมาก สกุลสวีหาเงินทองจากไร่นาสาโทเช่นกัน อยู่ดีๆ มีหรือจะขายให้คนอื่น เพียงตรองดูก็รู้ว่าไม่ชอบมาพากลแล้ว
หลิวเซียงเซียงพยักหน้าเห็นด้วย นางกล่าวว่า “ไร่ผืนใหญ่ปานนั้น ขายแค่ยี่สิบกว่าตำลึง มิใช่หลอกลวงแล้วคืออะไร”
ขณะที่พวกนางคุยกันอยู่ พลันได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นระลอกหนึ่ง อี๋อวี้วิ่งไปเปิดประตู เห็นหลี่เล่อเด็กรับใช้หน้าดำยืนอยู่ด้านนอก นางกุลีกุจอเชิญเขาเข้ามาข้างใน
หลูซื่อเหลียวหน้ามองเห็นว่าเป็นเขาก็ลุกขึ้นกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “มีเรื่องใดจะกำชับหรือ”
ใบหน้าของหลี่เล่อแฝงรอยเป็นห่วงจางๆ ยามเอ่ยถาม “ท่านพ่อข้าได้ยินว่าชาวนาที่พวกท่านจ้างไว้ถูกสกุลสวีทุบตี เลยใช้ให้ข้ามาถามดูว่าเรื่องการทำนาล่าช้าไปหรือไม่ ในเรือนของพวกข้าก็มีคนงานทำนา อีกทั้งยังอยู่ว่างๆ หากต้องการใช้ ตอนบ่ายจะเรียกพวกเขาติดตามพวกท่านไปลงนาขอรับ”
อี๋อวี้ได้ยินเขากล่าวอย่างนี้ อดลอบคลางแคลงใจไม่ได้ พ่อบ้านหลี่ผู้นั้นรู้ว่าลูกจ้างทำนาของครอบครัวนางถูกทุบตีได้อย่างไร เรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นก็ส่งบุตรชายมาถามไถ่ เห็นชัดว่ารู้ความเคลื่อนไหวของพวกนางทุกฝีก้าวอย่างแจ่มแจ้ง ต่อให้อีกฝ่ายกระทำด้วยความประสงค์ดี นางยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างอย่างช่วยไม่ได้
หลูซื่อกลับไม่คิดไปถึงชั้นนี้ นางเห็นสภาพของชาวนาหนุ่มสองสามคนที่ถูกทำร้ายวันนี้ ก็รู้ว่าวันพรุ่งพวกเขาคงมาทำงานไม่ไหวเป็นแน่ เมื่อวานทำอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน นางกำลังกลัดกลุ้มอยู่พอดีว่างานในนาข้าวยังไม่เรียบร้อย พอหลี่เล่อมาถามตอนนี้ ใจหนึ่งอยากขอให้ช่วยเหลือ ใจหนึ่งก็ไม่อยากอาศัยบารมีผู้อื่น นางหลุบตาไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกกับเขา “เช่นนั้นก็รบกวนด้วย ข้าจำเป็นต้องยืมคนสองคนมาช่วยงานสองวัน แต่ข้าจะจ่ายค่าตอบแทนนะ”
หลี่เล่อส่ายหน้าพูด “นี่ไม่จำเป็นขอรับ คนงานของพวกข้าได้รับเงินประจำทุกเดือน ยามไม่ทำงานก็นอนหลับในห้อง อยู่ว่างๆ มิได้ทำอะไรขอรับ”
ถึงเขาจะพูดเช่นนี้ หลูซื่อมิใช่คนที่ชอบเอาเปรียบผู้อื่นแต่ไหนแต่ไร ขออาศัยอยู่ที่นี่นางก็กระอักกระอ่วนใจพอดูแล้ว จึงยืนกรานว่าจะจ่ายเงิน ทั้งคู่บอกปัดกันไปมาครู่หนึ่ง หลี่เล่อเห็นนางมีท่าทางแน่วแน่ จำต้องตอบรับอย่างจนปัญญา
หลูซื่อเข้าไปหยิบเงินสองร้อยอีแปะออกมามอบให้หลี่เล่อ เห็นอีกฝ่ายทำท่าอึกๆ อักๆ นางเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “มีเรื่องอะไรอีกหรือ”
หลี่เล่อเกาศีรษะ ละล้าละลังเป็นนานกว่าจะอ้าปากพูดด้วยสีหน้าแดงซ่าน “คือข้าจะขออภัยพวกท่านแทนพี่สาวขอรับ นางพูดจาไม่ใคร่จะระวังปากคำ หวังว่าพวกท่านอย่าได้ถือโทษเลย” พูดจบเขาไม่รอดูปฏิกิริยาของคนทั้งสาม ถือเงินวิ่งเหยาะๆ ออกไปแล้ว
หลูซื่อจับต้นชนปลายไม่ถูกกับการขอขมาอย่างคาดไม่ถึงของเขา นางหันไปถามอีกสองคน “เด็กคนนี้หมายถึงอะไร พวกเราเคยพบพี่สาวเขาเมื่อไรกัน”
หลิวเซียงเซียงส่ายหน้าอย่างงุนงง อี๋อวี้แอบหัวเราะแล้วกล่าวตอบ “ท่านแม่จำสาวใช้ที่ยกน้ำชามาให้ตอนพวกเราอยู่ในโถงด้านหน้าวันแรกที่มาถึงได้ไหมเจ้าคะ คนที่ลักษณะท่าทางดีสักหน่อยก็คือพี่สาวของเขา”
หลูซื่อมีความจำดีไม่เลว แม้ผ่านมาหลายวันแล้ว แต่ยังจำหน้านางได้เลาๆ “พี่สาวเขาทำอะไรหรือ อยู่ดีๆ ก็มาขอโทษพวกเรา ใช่เข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่”
อี๋อวี้ไม่เปิดเผยความจริง เพียงยิ้มรับ “คงเป็นอย่างนั้นกระมังเจ้าคะ”
พอกินอาหารมื้อเที่ยงเสร็จเป็นเวลาไม่นาน มีคนงานทำนาหลายคนมาเคาะประตู หลูซื่อจึงของแล้วพาพวกเขาไปลงนา
เมื่อทุกคนไปแล้ว อี๋อวี้ลงกลอนประตูอย่างมิดชิด นางเอื้อมมือเข้าไปหยิบขวดกระเบื้องทรงแบนเหลี่ยมสีขาวสองใบหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กมาจากมุมตู้วางจานชาม จากนั้นกรอกน้ำสะอาดลงในขวดใบใหญ่สูงสี่ชุ่นก่อน
หลังจากนางล้างมือสะอาดแล้ว ดึงจุกปิดขวดใบเล็กออก เทเข็มปักผ้าเรียวแหลมเล่มหนึ่งออกมา จิ้มเบาๆ ที่ปลายนิ้วชี้ข้างซ้าย บีบเลือดสีแดงฉานหยดหนึ่งลงไปในขวดที่ใส่น้ำไว้ แหย่เข็มลงไปจุ่มๆ น้ำ ก่อนจะเอาจุกปิดให้แน่นเขย่าให้เข้ากันเบาๆ
ขวดกระเบื้องสองใบนี้ นางเอาถุงผ้าปักไปแลกมาจากร้านขายของจิปาถะในเมือง ใบหนึ่งใช้ใส่เข็มปักผ้าที่แช่น้ำร้อนมาก่อน ใบหนึ่งใช้ใส่เลือดผสมน้ำให้เจือจางของนาง
ว่าไปแล้วก็น่าแปลกนัก อี๋อวี้ค้นพบตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนว่า ถ้าบีบเลือดออกจากรอยเจาะนี้แค่หยดสองหยด เลือดจะหยุดไหลไปเอง และเมื่อเช็ดคราบจุดสีแดงเท่าหัวเข็มที่ติดอยู่ออกไปแล้วจะไม่เหลือรอยแผลให้เห็นสักนิด ผ่านไปครู่เดียวแม้แต่ความเจ็บก็เลือนหายไปหมด
แต่ถ้าบีบออกมาเพิ่มขึ้นหลายหยด หรือเจาะรูที่สองในวันเดียวกัน รูใหม่นั้นจะทิ้งรอยเล็กๆ ไว้ ซ้ำยังเจ็บไปนานครึ่งวัน
อี๋อวี้ขบคิดหาเหตุผลของเรื่องนี้ไม่ออก ทว่าตัวนางพานพบกับเรื่องประหลาดมามากก็เลยเลิกใส่ใจ เพียงบีบเลือดออกมาหยดสองหยดในยามจำเป็นต้องใช้เท่านั้น
จนถึงบัดนี้ต้นปั้วเหอในแปลงดอกไม้ของเรือนโยวย่วนปลูกมาได้สิบกว่าวัน นางเฝ้าเลี้ยงดูจนมันแตกกิ่งอ่อนสูงสี่ชุ่นแล้ว พ่อบ้านหลี่ซึ่งมาถามไถ่ทุกๆ สองสามวันเห็นเจ้าต้นนี้เจริญงอกงามได้ดี ก็แสดงท่าทีสุภาพอ่อนน้อมกับพวกนางแม่ลูกยิ่งขึ้น
แม้นไม่เข้าใจว่าคุณชายฉางต้องการปั้วเหอไปทำอะไร แต่นางรู้ว่าการที่เรื่องนี้ตกเป็นหน้าที่ของตนนั้น เพราะว่าอีกฝ่ายไม่คุ้นเคยกับธรรมชาติของปั้วเหอ ตามหลักแล้วต้นนี้จะตัดเก็บใบได้ปีละสองถึงสามครั้ง ส่วนที่ผ่านมาอี๋อวี้จะควบคุมให้เก็บสี่ครั้งต่อปี ดังนั้นเพื่อป้องกันมิให้วันหลังพวกเขาจับความผิดปกติได้ นางจึงทำไปตามเดิม มิได้จงใจ ‘เติมปุ๋ย’ ให้พวกมันเป็นพิเศษ ถึงเวลาพวกเขาย้ายปลูกเองแล้วตัดเก็บได้น้อยลงสองครั้ง จะได้ไม่สงสัยมาถึงตัวนาง
สำหรับน้ำในขวดที่นางผสมขึ้นตอนนี้ไม่ใช่เพื่อต้นปั้วเหอในลาน
นับแต่ฟังหลูซื่อเล่าถึงไร่ที่ปลูกต้นหม่อนไม่รอดนั่นแล้ว นางบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้น วันนี้ยังได้ยินที่สองฝ่ายทะเลาะวิวาทกันเพราะเรื่องนี้ เห็นทีว่าคงเป็นที่รู้กันไปทั่วแล้วว่าที่นั่นเป็นผืนดินไร้ค่า สกุลสวีเองก็รู้เรื่องนี้ดีถึงยืนกรานไม่ยินยอมรับคืน
กล่าวไปแล้วชาวนาเหล่านั้นก็น่าสงสาร ถูกคนหลอกลวงเงินทองไปไม่ว่า ยังสูญเสียต้นกล้าไปชุดหนึ่ง ยี่สิบตำลึงหาใช่เงินจำนวนน้อยนิด ครั้งนั้นพวกนางทั้งครอบครัวต้องอดออมอยู่นานสามปีเต็มๆ กว่าจะสะสมเงินได้ยี่สิบตำลึงเศษเป็นค่าเดินทางให้หลูจื้อ
อี๋อวี้เก็บขวดกระเบื้องไว้ที่เดิมแล้วย้อนกลับไปที่ห้องนอน เปิดตู้ทรงสูงเขียนลายตรงข้างเตียง นางรื้อค้นอยู่นานสองนาน ถึงหยิบอาภรณ์ที่สวมในฤดูหนาวของตนเองมาตัวหนึ่ง และดึงถุงผ้าปักสีเข้มที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อออกมา
นางแก้เชือกปากถุง เอาสองนิ้วล้วงเข้าไปคีบของชิ้นหนึ่งห่อด้วยผ้าแดงไว้ออกมา หลังจากเปิดออกทีละชั้น เผยให้เห็นหยกพกมัจฉาคู่สีเขียวที่แกะสลักอย่างประณีตบรรจงละลานตา
ย่ำค่ำของวันถัดมา สามแม่ลูกกินอาหารมื้อเย็นแล้วนั่งทำงานฝีมืออยู่ในห้อง
หลูซื่อสนเข็มอยู่พลันได้ยินอี๋อวี้กล่าวขึ้น “ท่านแม่ ข้ามีเรื่องจะหารือกับท่าน”
หลูซื่อเห็นเด็กหญิงวัยเยาว์พยายามวางสีหน้าขึงขังแล้ว ถามกลั้วเสียงหัวเราะเบาๆ “เรื่องอะไรหรือ ว่ามาให้ฟังสิ”
อี๋อวี้ขยับเข้าไปตรงหน้ามารดา อ้าปากพูดเอื่อยๆ “พวกเราอยู่ที่นี่ต่อไปเรื่อยๆ คงไม่ดีนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวพวกพี่ชายมากันแล้วจะทำอย่างไร พวกเราเป็นหญิงก็เลยไม่เป็นไร แต่คนทั้งครอบครัวจะอาศัยอยู่ในเรือนคนอื่นหมดได้ที่ไหนกัน”
หลูซื่อฟังนางเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา ใบหน้าฉายแววจริงจังขึ้นทีละน้อย
“ข้ารู้ว่าท่านแม่อยากรอปลูกต้นปั้วเหอให้พวกเขาได้ก่อน ถึงจะออกไปเช่าเรือนอยู่ แต่ข้าได้ยินพี่หลี่บอกว่าค่าเช่าเรือนสองห้องในตำบลนี้ต้องมีเดือนละร้อยกว่าอีแปะ หนึ่งปีก็เป็นเงินสองก้วน เวลานี้พวกเราอาศัยแค่ที่นาไม่กี่หมู่นั่นกับทำงานฝีมือหาเงิน ถึงตอนนั้นจ่ายค่าเช่าไปก็เหลือเงินไม่เท่าไหร่แล้ว พี่ใหญ่สอบผ่านก็แล้วกันไป ถ้าสอบไม่ผ่าน…” อี๋อวี้กล่าวถึงตรงนี้แล้วหยุดเว้นจังหวะ “ถ้าสอบไม่ผ่าน พวกเราต้องวางแผนกันดูว่าจะหาเงินเพิ่มขึ้นอย่างไร จะได้หาซื้อเรือนที่นี่ได้”
หลูซื่อรู้เช่นกันว่าสถานการณ์ยามนี้เป็นเช่นใด หากหลูจื้อสอบผ่าน อย่างน้อยต้องได้เป็นจิ้นซื่อ ราชสำนักก็จะปูนบำเหน็จให้เอง แต่ถ้าสอบไม่ผ่าน จะเป็นเพียงจวี่เหริน ถึงมีเกียรติยศ ราชสำนักกลับไม่มอบเงินให้สักครึ่งอีแปะ
หากยังอยู่ที่หมู่บ้านเค่าซาน สอบไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร ทว่าบัดนี้มาปักหลักอยู่ที่นี่แล้ว ค่าใช้สอยทั้งหลายทั้งปวงล้วนสูงกว่าตอนอยู่ชนบทอย่างมาก ดังนั้นถ้าสอบไม่ผ่านจริงๆ เงินทองย่อมฝืดเคืองเป็นธรรมดา ดูจากรายได้ของพวกนางตอนนี้ ต้องรอเก็บเกี่ยวพืชผลแล้วถึงได้เงินก้อนใหญ่ เป็นเหตุให้ไม่อาจรวบรวมเงินซื้อเรือนได้ในระยะเวลาสั้นๆ
“ท่านแม่” อี๋อวี้จับสีหน้าลำบากใจของหลูซื่อได้ นางเรียกขานคำหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “ท่านแม่ พวกเราขายถังหูลู่กันอีกดีกว่า ตำบลนี้ห่างจากเมืองฉางอันไม่ไกล ใครๆ พูดว่าที่นั่นมีคนเยอะแยะ คงจะขายดีแน่ๆ เจ้าค่ะ”
หลูซื่อกำลังหนักใจพอได้ยินบุตรสาวพูดแบบนี้ นางหลุดหัวเราะพรืดก่อนเอ่ย “เพ้อไปแล้วหรือไร ที่นี่มีผลเล็บแดงที่ไหนกัน”
หลิวเซียงเซียงด้านข้างฟังทั้งคู่คุยกันอยู่นาน พอจะเข้าใจได้แค่ครึ่งเดียว ครั้นจู่ๆ ได้ยินคำแปลกใหม่หลุดออกจากปากพวกนาง ถึงพูดแทรกขึ้น “ถังหูลู่? ผลเล็บแดง? มันคืออะไรเจ้าคะ”
หลูซื่ออธิบายให้นางฟังด้วยรอยยิ้มกว้าง จากนั้นเอื้อมมือเอานิ้วจิ้มหน้าผากอี๋อวี้ทีหนึ่ง “เด็กคนนี้ มิใช่หยอกแม่เล่นกระมัง” สองสามถ้อยคำแรกของบุตรสาวกระทบเข้ากลางใจนางจริงๆ กำลังนึกว่าลูกคนนี้จะมีความเห็นดีๆ อะไร คาดไม่ถึงว่ากลับเป็นความคิดไร้สาระ จึงทำให้นางหัวร่อเบาๆ อย่างสุดระงับ
“ท่านแม่ ข้าเอาเมล็ดผลเล็บแดงมาด้วยเจ้าค่ะ” อี๋อวี้คลำหน้าผากป้อยๆ พร้อมกล่าวคำนี้ขึ้น เสียงหัวเราะของหลูซื่อหยุดกึกติดอยู่ที่ปาก ราวกับว่าอี๋อวี้กลัวมารดายังประหลาดใจไม่พอ นางกล่าวต่อไปว่า “ท่านแม่จำต้นเล็บแดงในป่าผืนนั้นได้หรือไม่เจ้าคะ ปีก่อนมีต้นเล็กงอกขึ้นมาอีกสองต้นอยู่ทางทิศตะวันตกมิใช่หรือ มันเป็นต้นที่ข้าปลูกไว้เมื่อปีที่พวกเราเริ่มขายถังหูลู่เองเจ้าค่ะ” ในปีนั้นที่ค้นพบว่าตนเองเร่งการเติบโตของต้นไม้ได้ นางแกะเมล็ดของผลซานจาออกมาปลูกไว้ที่ข้างดงซานจา ทุกสองสามเดือนไปใส่ ‘ปุ๋ย’ ครั้งหนึ่ง ไม่ถึงสองปีก็ติดผลแล้ว
หลูซื่อไม่รู้ว่านางแอบทำเรื่องนี้ นางยกมาพูดตอนนี้เพื่อว่าอีกประเดี๋ยวจะได้โน้มน้าวใจมารดา
หลังจากหายตกตะลึง หลูซื่อนิ่งคิดอย่างละเอียด ปีที่แล้วตอนนางไปเก็บผลซานจา มีต้นเล็กสองต้นที่ว่านี้จริงๆ ยามนั้นนึกว่ามันงอกขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่เคยคิดเลยว่าบุตรสาวเป็นคนปลูกไว้ นางถามด้วยสีหน้ายินดี “เจ้าเด็กคนนี้ แม่เพียงนึกว่าเจ้าปลูกต้นไม้ดอกไม้ไว้ดูเล่นก็เก่งมากแล้ว นี่ถึงกับปลูกต้นเล็บแดงได้อีกด้วย รีบบอกแม่สิว่าเจ้าทำอย่างไร”
อี๋อวี้รู้เสียที่ไหนว่าต้นซานจานี้ปลูกกันอย่างไร นางแค่ ‘เติมปุ๋ย’ ให้พวกมันเป็นประจำ เมล็ดก็งอกเป็นธรรมดา แต่ในเมื่อหลูซื่อเอ่ยถามแล้ว นางจึงได้แต่ตอบกึ่งจริงกึ่งเท็จว่า “ขุดหลุมให้ลึกสักหน่อย หมั่นดูแลสักนิด มันก็โตเองเจ้าค่ะ”
“ง่ายอย่างนี้เลยหรือ” ใบหน้าของหลูซื่อทอแววกังขา มิใช่ว่านางไม่เชื่อคำพูดของบุตรสาว เพียงแต่ยุคโบราณปลูกข้าวเป็นเรื่องง่าย ปลูกผลไม้กลับเป็นเรื่องยากมาก
“ก็เป็นอย่างนี้นะสิเจ้าคะ โธ่ ท่านแม่ ท่านเป็นคนเก็บผลบนต้นไปหมด ไฉนยังไม่เชื่อเล่า” อี๋อวี้พูดถึงขั้นนี้แล้ว มารดายังทำหน้าไม่ใคร่เชื่อถือ นึกอยู่ในใจว่าโชคดีที่ตนเองเตรียมการไว้พร้อมสรรพ นางจูงมารดาไปที่ลานเรือนด้วยกันโดยมีหลิวเซียงเซียงติดตามอยู่ด้านหลัง
“ท่านแม่ ท่านดูสิ นี่เป็นต้นที่ข้าปลูกไว้ตอนพวกเรามาถึงที่นี่สองสามวัน งอกขึ้นมาสูงขนาดนี้แล้ว” อี๋อวี้จูงหลูซื่อไปที่ข้างศาลาทรงสี่เหลี่ยม ชี้นิ้วไปยังต้นกล้าที่แตกยอดอ่อนต้นหนึ่ง มันเป็นต้นซานจาที่นางแอบปลูกเมื่อหลายวันก่อน
หลูซื่อไม่เคยเห็นว่าต้นอ่อนของซานจาเป็นอย่างไร แต่เจ้าต้นไม้เล็กๆ สูงคืบหนึ่งต้นนี้ดูเป็นต้นอ่อนที่เพิ่งงอกได้ไม่นานอย่างเห็นได้ชัด อันว่าหูได้ยินเป็นเท็จ ตามองเห็นเป็นจริง ครานี้นางสิ้นข้อสงสัยในที่สุด เพียงไต่ถามอี้อวี้อย่างอัศจรรย์ใจอีกเล็กน้อย ทั้งสามถึงกลับเข้าไปในเรือน
หลังจากนั่งลง หลูซื่อดึงอี๋อวี้มานั่งบนตัก ซักถามนางอย่างละเอียดเช่นว่าเอาเมล็ดพันธุ์มาเท่าไรและอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งคู่คุยกันเกือบครึ่งชั่วยาม พอหลูซื่อมั่นอกมั่นใจแล้ว กลับต้องคาดไม่ถึงเมื่ออี๋อวี้กล่าวถ้อยคำนี้ขึ้นในตอนท้าย
“ท่านแม่ พวกเราซื้อไร่ของสกุลสวีดีหรือไม่เจ้าคะ”
หลูซื่อนิ่งงันไป ก่อนจะเอ่ยอย่างฉงนใจ “พวกเรามีที่นาของตนเองแล้ว อยู่ดีๆ จะซื้อไร่ผืนนั้นทำอะไร พวกเรากั้นแปลงนาส่วนหนึ่งไว้ปลูกต้นเล็บแดงโดยเฉพาะก็สิ้นเรื่อง”
หลิวเซียงเซียงพูดแทรกขึ้นในเวลานี้ “เสี่ยวอวี้ เจ้าลืมแล้วหรือว่านั่นเป็นผืนดินไร้ค่า ซื้อไม่ได้หรอก” นางกลับไม่ล่วงรู้ว่าสิ่งที่อี๋อวี้ไม่กลัวเลยก็คือผืนดินไร้ค่า
อี๋อวี้เตรียมคำอธิบายไว้แต่แรก พอพวกนางตั้งคำถามก็ตอบด้วยรอยยิ้มกริ่ม “ท่านแม่ ข้าเคยอ่านเจอในหนังสือที่พี่ใหญ่ซื้อมา ตรงเชิงเขามีผืนดินแบบหนึ่งที่ปลูกต้นหม่อนไม่ขึ้น แต่เหมาะกับการปลูกต้นเล็บแดงเจ้าค่ะ” หลายปีก่อนพอครอบครัวของพวกนางมีฐานะดีขึ้น หลูจื้อจะไปเสาะหาพวกหนังสือปกิณกะในตัวอำเภอบ่อยๆ และมักเอากลับบ้านมาอ่านด้วยกันกับอี๋อวี้ ซึ่งหลูซื่อก็รู้เรื่องนี้
อี๋อวี้เห็นหลูซื่อก้มหน้าตรึกตรอง จึงรอคอยนางตั้งคำถามต่อ ถ้ายังไม่เชื่ออีก ค่อยออกความคิดให้ย้ายต้นอ่อนซานจาต้นนั้นไปปลูกตรงไร่เชิงเขาผืนนั้น วันที่สองก็ได้รู้กันว่าจะรอดหรือไม่
นางคิดไม่ถึงว่าพอมารดาเงยหน้าแย้มยิ้มกับนางแล้ว ใบหน้าจะเคร่งขรึมลงฉับพลัน พร้อมกับตวาดใส่นางเสียงดุดัน “เจ้า!”
สิ้นเสียงตวาด หลูซื่อเอื้อมมือมาฉุดตัวบุตรสาวที่สะดุ้งตกใจเพราะนางทำหน้าบึ้งกะทันหันมาพาดบนตัก “เจ้าเด็กคนนี้! ไฉนใจดำแบบนี้ เจ้าคงรู้ว่าไร่ผืนนั้นมีปัญหาตั้งแต่เมื่อวานแล้วสินะ ไม่ว่าเรื่องปลูกผลไม้นั่นจะเป็นจริงหรือเท็จก็ตาม แต่เจ้าหว่านล้อมจนข้าเห็นดีด้วยแล้วค่อยพูดออกมา ทั้งๆ ที่เจ้ามีเจตนาร้ายหมายปองไร่ของผู้อื่นชัดๆ เห็นข้าเป็นคนโง่หรือไร! พวกเขากับพวกเราแต่ก่อนไม่มีความแค้นต่อกัน ตอนนี้ก็มิได้ผูกอาฆาตกัน เหตุใดเจ้าใจดำอย่างนี้!” ว่าแล้วก็ถอดกางเกงอี๋อวี้ออก เผยก้นน้อยๆ ขาวนุ่มนิ่มของนางออกมา
หลูซื่อฟาดฝ่ามือลงไปเต็มแรงสองที แล้วพูดต่อไปอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “พี่รองมีนิสัยซื่อตรง ส่วนพี่ใหญ่ภายนอกเย็นชาแต่ข้างในอบอุ่น เหตุใดเด็กผู้หญิงอย่างเจ้ามีเล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้ เจ้าเพิ่งอายุเท่าไรเอง หือ? ข้าสงสารที่เจ้าเคยผ่านเคราะห์กรรมตอนวัยเยาว์ ปกติถึงไม่ใคร่เข้มงวดเจ้ามากนัก กลับบ่มเพาะให้เจ้ามีนิสัยเช่นนี้ วันนี้ข้าจะตีเพื่อดัดนิสัยของเจ้า” สิ้นเสียงนางก็เป็นเสียงฝ่ามือฟาดกระทบเนื้อดังเพียะๆ ระลอกหนึ่ง
แรกเริ่มหลิวเซียงเซียงตกใจเพราะหลูซื่อ แต่พอเห็นนางไม่ยั้งมือแม้แต่น้อย ก็อุทานเสียงหลงแล้วปรี่เข้าไปห้ามปราม ทว่าหลูซื่อกำลังโกรธจัด ไม่รู้จักเพลาไม้เพลามือ ไหนเลยหลิวเซียงเซียงจะยับยั้งนางได้ไหว
อี๋อวี้นอนคว่ำหน้าอยู่บนตักหลูซื่อเบิ่งตาโต จวบจนความเจ็บปวดแล่นมาจากบั้นท้าย ถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองโดนตี!
ในหัวสมองนางว่างเปล่าไปอึดใจหนึ่ง ต้นซานจา ต้นหม่อน เหย้าเรือนไร่นาอะไรทั้งหลายแหล่ล้วนถูกลืมเลือนไปสิ้น ข้างหูได้ยินแต่คำดุด่าของหลูซื่ออย่างชัดเจน ถึงกระจ่างแจ้งว่าตนเอง ‘ผิด’ ตรงไหน ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจพลันพลุ่งขึ้นกลางอก พาให้ลำคอตีบตัน และแล้วนางก็ปล่อยโฮร้องไห้ออกมา
เรื่องที่โดนตีไป อี๋อวี้มิได้เห็นว่าตนเองทำผิดอะไร ด้วยความน้อยอกน้อยใจทำให้นางไม่ยอมเป็นฝ่ายขอคืนดีกับมารดาก่อน ข้างฝ่ายหลูซื่อยิ่งไม่อยากพูดกับนางสักคำหลังจากเกิดเรื่องขึ้น ตอนกินข้าวเข้านอนก็ไม่เหลียวแลนางแม้แต่น้อย
หลิวเซียงเซียงเห็นคนทั้งสองเป็นอย่างนี้ ได้แต่ร้อนใจอยู่ด้านข้างโดยที่ทำอะไรไม่ได้ นางคะยั้นคะยอให้อี๋อวี้ก้มหน้ายอมรับผิดต่อหลูซื่อ เด็กหญิงตัวน้อยก็ดื้อเหมือนลา เอาแต่พูดเสียงแข็งว่าตนเองไม่ผิด ครั้นเกลี้ยกล่อมให้หลูซื่อเลิกโกรธ หลูซื่อแค่นเยาะเสียงหนึ่ง ยืนกรานว่าต้องให้คนบางคนยอมรับว่าตนเองผิดให้ได้
หลิวเซียงเซียงถูกขนาบอยู่ระหว่างสองแม่ลูกเพียงรู้สึกทั้งจนปัญญาทั้งชวนขัน จนบัดนี้นางยังไม่ใคร่แจ่มแจ้งว่าพวกนางเอาชนะคะคานอะไรกันอยู่ ทั้งคู่เย็นชาใส่กันเช่นนี้จนวันที่สาม สถานการณ์ถึงดีขึ้น
วันนี้ทั้งสามปักผ้าอยู่ในห้อง หลิวเซียงเซียงกับหลูซื่อนั่งบนเตียง ส่วนอี๋อวี้ยกม้านั่งไปนั่งห่างจากพวกนางไกลๆ
ทันใดนั้นมีเสียงเคาะประตูเรือนดังขึ้น หลูซื่อออกไปดู ที่แท้เป็นเด็กรับใช้คนหนึ่งตั้งใจมาแจ้งให้ทราบว่าลูกจ้างทำนาของนางรอรับค่าตอบแทนอยู่หน้าประตู นางย้อนกลับเข้าเรือนหยิบเงินออกมา และเรียกให้หลิวเซียงเซียงออกไปด้วยกัน
ผ่านไปสองเค่อ หลูซื่อเดินหน้าบึ้งเข้ามาในห้องพร้อมกับหลิวเซียงเซียง นางนั่งลงบนขอบเตียงแล้วจ้องอี๋อวี้ตาเขม็ง จนกระทั่งเด็กหญิงรู้สึกชาวาบๆ ที่หนังศีรษะ
นานพักใหญ่ หลูซื่อปริปากพูดเสียงกระด้าง “ไม่รู้เลยว่าความคิดในหัวเจ้าซับซ้อนยอกย้อนกี่ตลบ กระทั่งเรื่องนี้เจ้ายังคาดเดาได้ เจ้าคิดได้แต่แรกแล้วว่าพวกเขาต้องขายไร่ต่อราคาถูกๆ ใช่หรือไม่ จนสุดท้ายคงเหลือราคาไม่เท่าไหร่ ฉะนั้นถึงสรรหาวิธีมาโกหกข้า”
อี๋อวี้อึ้งงันไป นางยังคิดตามคำพูดของมารดาไม่ทัน ก็ได้ยินนางกล่าวขึ้นอีก “ลูกจ้างทำนาของพวกเราล้วนพูดว่าเวลานี้ในตำบลโจษจันกันไปทั่วว่าไร่ผืนนั้นต้องคำสาป เดิมทีขายให้คนที่สร้างโรงนาพวกนั้นยังได้สักสิบกว่าก้วน ตอนนี้สิบก้วนกลับไม่มีคนกล้าเอา พวกเขาร้อนเงิน เลยถามว่าข้าอยากซื้อไว้หรือไม่ เจ้าว่ามาเจ้ารอให้พวกเขาขายไร่ราคาต่ำๆ จะได้ฉกฉวยโอกาสใช่หรือไม่”
อี๋อวี้อดรนทนไม่ไหวในที่สุด นางไต่ถามคำหนึ่ง “ท่านแม่ ไฉนข้าฟังไม่รู้เรื่อง ท่านเข้าใจผิดหรือเปล่า ข้าไม่เคยคิดเอาเปรียบพวกเขานะเจ้าคะ”
“เจ้าไม่ได้คิดอย่างนั้นหรือ” หลูซื่อถลึงตาใส่บุตรสาว “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าไร่ผืนนั้นปลูกต้นเล็บแดงได้ รีบบอกแต่แรกก็สิ้นเรื่อง ไยต้องรอจนพวกเขาไปก่อเรื่องวิวาทที่จวนสกุลสวีถึงได้พูดกับข้า หรือมิใช่เห็นว่าไร่ของพวกเขาถูกลือว่าเป็นผืนดินไร้ค่า ทั้งถือว่าตนเองมีเมล็ดพันธุ์ต้นเล็บแดงอยู่ จึงรอให้ราคาของมันตกต่ำลง จะได้ฉกฉวยประโยชน์”
อี๋อวี้เผยสีหน้าประจักษ์แจ้งในบัดดล ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในเวลานี้คือ…วันนั้นโดนตีเปล่าๆ แล้ว!
นางถึงว่าทำไมพอหลูซื่อได้ยินนางเอ่ยถึงไร่ผืนนั้นแล้วต้องโมโหโทโสปานนี้ ตอนนั้นยังนึกว่าจู่ๆ เลือด ‘รักความยุติธรรม’ ของมารดาพลุ่งพล่านขึ้นมา นางเพิ่งรู้ตอนนี้ว่าที่แท้เป็นเพราะนึกว่านางหมายปล้นชิงตามไฟ! ช่างไม่รู้จริงๆ ว่าสมควรชมเชยท่านแม่ที่เห็นว่านางฉลาดเหลือเกิน หรือตัดพ้อที่เห็นว่านางเลวร้ายเหลือเกินดี
“ท่านแม่” อี๋อวี้เบะปาก ข่มอารมณ์ชั่ววูบอยากกลอกตาขึ้นไว้แล้วสาวเท้าไปหาหลูซื่อ นางแหงนดวงหน้าน้อยๆ ขึ้นพร้อมพยายามปั้นหน้าสะเทือนใจ “เสี่ยวอวี้เพิ่งอายุเท่าไหร่เอง ข้าเป็นคนเลวอย่างที่ท่านแม่คิดไว้เพียงนั้นเลยหรือเจ้าคะ ข้ายังนึกว่าท่านแม่ตีข้าเพราะข้าอยากได้ไร่ของคนอื่น ที่แท้เป็นเพราะ…ท่านแม่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่เคยคิดจะเอาเปรียบใคร ตอนนั้นข้าหมายถึงว่าอย่างไรพวกเขาก็ปลูกอะไรไม่ขึ้น ส่วนพวกเราปลูกต้นเล็บแดงเป็น มิสู้ซื้อไร่ผืนนั่นมาด้วยราคาเท่าเดิม ยังดีกว่าพวกเขาเก็บผืนดินไร้ประโยชน์ไว้เท่านั้นเอง”
“อย่ามาโกหกข้า เงินทั้งหมดของพวกเราเหลืออยู่ไม่กี่ก้วน ตอนพวกเขาซื้อไร่ผืนนั้นต้องจ่ายไปยี่สิบตำลึงเชียวนะ”
อี๋อวี้ลอบถอนใจเฮือกหนึ่ง รู้ว่าถ้าไม่หยิบ ‘หลักฐาน’ อะไรออกมาบ้าง มารดาคงไม่เชื่อในความบริสุทธิ์ใจของตน ถึงจะลอบสะเทือนใจอยู่สักหน่อย กระนั้นเริ่มแรกก็เป็นนางที่จงใจชักจูงความคิดของหลูซื่อมาในทางนี้เอง นางชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นไปตรงหน้าตู้ทรงสูงเขียนลายใบนั้น เปิดประตูตู้ออก และใช้สองมือประคองถุงผ้าหนักๆ ใบหนึ่งในนั้นออกมา
นางวางมันลงข้างกายหลูซื่อบนเตียง หลังมองสบสายตางุนงงสองคู่ อี๋อวี้ยกมือจับๆ ที่ติ่งหู จากนั้นเอื้อมมือไปเปิดถุงผ้าออก ลมหายใจของหลูซื่อกับหลิวเซียงเซียงสะดุดวูบหนึ่งโดยพลัน
ก้อนเงินเล็กบ้างใหญ่บ้างเจ็ดแปดก้อนส่องประกายขาววาบวับอยู่ในถุง ทำให้พวกนางสองคนเบิกตาโพลงทันที หลูซื่อถามบุตรสาวด้วยเสียงลอดไรฟัน “นี่มาจากไหน”
อี๋อวี้รู้ดีแก่ใจว่าถ้าไม่บอกให้แจ่มชัด หลูซื่อไม่ละเว้นตนเองเป็นแน่ นางกล่าวอย่างกระมิดกระเมี้ยน “ท่านแม่จำเครื่องประดับหยกลายปลาสองตัวที่คล้องไว้ด้วยกันชิ้นนั้นไหมเจ้าคะ ข้าไหว้วานพี่หลี่ไปจำนำที่โรงรับจำนำในเมืองแล้ว เอ่อ…แล้วตอนอยู่ที่สกุลจางหลายวันนั้น ข้ายังเจอแหวนทองวงหนึ่งอยู่ใต้เตียงในห้องด้วย”
วันนั้นที่หลูซื่อถูกหลี่เสี่ยวเหมยใส่ร้ายป้ายสี และค้นเจอหยกพกมัจฉาคู่ชิ้นหนึ่งได้ในเรือน ในระหว่างที่ชุลมุนกันอยู่ มันหล่นอยู่บนพื้นไม่มีใครไปเก็บ หลังจากหลูซื่อหมดสติ และทุกคนกลับไปกันหมดแล้ว อี๋อวี้ถึงเก็บขึ้นมา แม้ตอนนั้นโกรธจนอยากขว้างมันให้แตก แต่เนื้อสัมผัสของหยกกับฝีมือแกะสลักที่ล้วนไม่สามัญ เป็นเหตุให้นางกลัวว่าเกิดขว้างแตกไป พวกนั้นมาทวงของแล้วต้องชดใช้คืน นางเลยเก็บไว้เพราะเหตุนี้
ต่อมาถูกจับไปที่จวนสกุลจาง ตอนกลางวันพวกนางคิดหาวิธีหลบหนี ย่อมต้องรื้อค้นไปทั่วจนเก็บแหวนทองวงนี้ได้โดยบังเอิญ นางคิดเอาเองว่ามันเป็นสมบัติของจางฮูหยินที่ล่วงลับไปแล้ว กลัวหลูซื่อไม่ชอบใจก็ไม่ได้บอกกล่าวให้รู้ จนกระทั่งพวกนางตัดสินใจหนี นางใคร่ครวญว่าของสิ่งนี้แลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ ถึงค้นออกมาแล้วหยิบติดตัวมา
หลูซื่อฟังคำอธิบายของนางจบ ในใจบังเกิดความรู้สึกแปลกชอบกลสุดจะเปรียบ ใจหนึ่งนางเชื่อแล้วว่าบุตรสาวอยากซื้อไร่ผืนนั้นด้วยราคาเท่าเดิมจริงๆ หาได้มีเจตนาร้ายอย่างที่นางคิดไว้แต่เดิม ใจหนึ่งก็อับอายจนพานโกรธอยู่บ้างจริงๆ ด้วยเงินก้อนนั้นแลกมาจากสิ่งของของนายตำบลจางผู้นั้น นางอยากบันดาลโทสะ แต่พอคิดไปถึงที่ตนเองกล่าวโทษบุตรสาวผิดไปเมื่อวานนี้ อย่างไรก็เอื้อนเอ่ยวาจารุนแรงไม่ออกสักครึ่งคำ
ชั่วขณะเดียวบรรยากาศในห้องอึมครึมอีกคำรบหนึ่ง
ยามหลิวเซียงเซียงดึงสติคืนมาจากก้อนเงินถุงนั้นแล้วได้คิดทบทวนอีกที ก็แจ่มแจ้งว่าความเข้าใจผิดของสองแม่ลูกคู่นี้คลี่คลายแล้ว ขาดแค่ยังหาทางลงไม่ได้ นางมองดูอี๋อวี้ที่ทำหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ จึงพูดกับหลูซื่อที่ยังลังเลไม่แน่ใจ “ท่านแม่บุญธรรม หนนี้เป็นท่านกล่าวโทษเสี่ยวอวี้ผิดไป จะให้ข้าพูด ข้าว่าท่านคิดกับบุตรสาวของตนเองในด้านร้ายเกินไปนะเจ้าคะ”
หลูซื่อหน้าแดง พูดตอบอย่างเก้อกระดาก “ผู้ใดใช้ให้นางปกติเป็นเด็กแสนรู้นัก…ข้าเลยนึกว่า…นึกว่า…”
หลิวเซียงเซียงเห็นนางใจอ่อนแล้ว จึงลอบส่งสายตาให้อี๋อวี้ก่อนกล่าว “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ตีก็ตีไปแล้ว ดุก็ดุไปแล้ว ตอนนี้อะไรๆ ก็กระจ่างแจ้งแล้ว ท่านยังคิดจะมีน้ำโหต่อไปหรือเจ้าคะ”
อี๋อวี้ยื่นศีรษะเล็กๆ ไปตรงหน้ามารดาอย่างรู้จังหวะ ดวงตาคู่โตวาววามกะพริบปริบๆ “ท่านแม่ วันก่อนท่านตีข้าเจ็บเหลือเกิน เจ็บจนนอนหลับไม่สนิทมาสองคืนแล้วเจ้าค่ะ”
หลูซื่อเอ็นดูสงสารบุตรสาวคนนี้อย่างยิ่งยวดอยู่แล้ว วันนั้นที่ตีนางเพราะโกรธจัด สองวันนี้หลูซื่อล้วนต้องข่มใจไว้ถึงไม่ไปไยดีนาง บัดนี้รู้ว่าตนเองกล่าวโทษนางผิดไป ทั้งยังได้ยินนางเรียกขานเสียงออดอ้อนอีก พาให้ใจอ่อนยวบยาบไปหมด หลูซื่อไม่สนใจจะไล่เลียงเรื่องที่นางเอาของของคนอื่นไปแลกเป็นเงิน โอบตัวบุตรสาวมาไว้ในอ้อมแขน “เจ้าเด็กคนนี้ เจ็บแล้วไยไม่บอกแม่เล่า” ว่าแล้วก็อุ้มอี๋อวี้มานั่งบนตัก ถอดกางเกงนางออก ยามที่มองเห็นรอยช้ำเป็นปื้นๆ ทั่วก้นเล็กๆ นั่น หลูซื่อใจหายวาบทันใด พร้อมกับน้ำตาไหลพรากลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่
อี๋อวี้นอนคว่ำหน้าอยู่บนตักมารดา เพื่อใช้อุบายเจ็บกาย นางไม่ถือสาที่จะถูกคนถอดกางเกงอีกครา ทว่าขณะลอบกระหยิ่มใจอยู่ พลันรู้สึกเปียกๆ ตรงบั้นท้าย นางเหลียวไปดู เห็นหลูซื่อกัดริมฝีปากแอบหลั่งน้ำตา
“ท่านแม่ อย่าร้องไห้นะเจ้าคะ!” อี๋อวี้ตกใจยกใหญ่ หลูซื่อเป็นคนเข้มแข็งแต่ไหนแต่ไร หลายปีที่ผ่านมานางเห็นมารดาเคยร้องไห้สองครั้ง ครั้งหนึ่งคือตอนนางข้ามภพมาที่นี่ อีกครั้งก็คือตอนถูกคนปรักปรำ
“เสี่ยวอวี้ แม่ไม่ดีเอง แม่ตีเจ้าจนกลายเป็นแบบนี้ ดูสิเขียวช้ำขนาดไหน วัน…วันหลังแม่ไม่ตีเจ้าอีกแล้ว…” หลูซื่อเอานิ้วมือลูบไปตามรอยฝ่ามือที่ตนเองฝากทิ้งไว้อย่างระมัดระวัง ลอบชิงชังตนเองที่ยามนั้นถูกปีศาจตนใดเข้าสิงถึงลงมือหนักหน่วงเพียงนี้
“ท่านแม่อย่าเสียใจนะเจ้าคะ ตรงนั้นมันดูน่ากลัวอย่างนั้นเอง จริงๆ ไม่เจ็บตั้งนานแล้ว คิกๆ ท่านอย่าจับอีกเลย ฮ่าๆ มันจั๊กจี้มาก” ปลายนิ้วเย็นๆ ของมารดาลูบไล้ไปมาบนก้นเล็กๆ ด้วยน้ำหนักไม่เบาไม่แรง ทำให้นางจั๊กจี้จนอยากหัวเราะ
หลิวเซียงเซียงเห็นพวกนางคืนดีกันดังเดิมแล้ว จึงปิดปากหัวร่อแล้วกล่าวสัพยอก “ก่อนหน้านี้ไม่มีคนใดยอมเปิดปากพูดก่อน ตอนนี้คนหนึ่งร้องไห้คนหนึ่งหัวเราะ ไม่ทะเลาะกันแล้วหรือเจ้าคะ”
หลูซื่อถึงห้ามน้ำตาไว้ กอดอี๋อวี้ไว้กับอกอย่างทะนุถนอม “ไม่ทะเลาะแล้ว ข้ากล่าวโทษบุตรสาวผิดไป ตอนนั้นเป็นข้าคิดอกุศล มองคนไปในด้านร้ายอย่างไร้เหตุผล กล่าวหาแม้กระทั่งบุตรสาวของตนเองไปด้วย”
อันที่จริงหลูซื่อเข้าใจผิดก็มิใช่เรื่องแปลก ความคิดตั้งต้นของอี๋อวี้ที่อยากได้ไร่ผืนนั้นหาได้มาจากจิตใจที่ชั่วร้ายอันใด เผอิญว่าอี๋อวี้จำเป็นต้องปิดบังเรื่องบางเรื่องกับนาง จึงไม่อาจเสนอให้ซื้อมันอย่างโจ่งแจ้ง ทำได้เพียงชักจูงความคิดของนางไปในทางนั้น ประกอบกับนานๆ ทีหลูซื่อจะคิดทบทวนหลายตลบ ยามนั้นยังเห็นอี๋อวี้วนเวียนอยู่ใกล้ๆ พูดตะล่อมนางด้วยท่าทางคิดอ่านวางแผนมาอย่างดี บันดาลให้นางยิ่งมองไปในทางร้ายมากขึ้นด้วยอารมณ์ร้อนชั่วแล่น
อีกทั้งระยะนี้อี๋อวี้เองก็แสดงความฉลาดเฉลียวจนเกินตัวไปบ้าง มาตรว่าหลูซื่อจะใจกว้าง แต่หลังจากประสบพบเจอคนอย่างครอบครัวหวังซื่อมา เป็นเหตุให้ยากจะห้ามความคิดไว้ได้ด้วยกลัวบุตรสาวจะหลงเดินทางผิด ถึงได้ตีนางด้วยความขึ้งโกรธระคนห่วงใย
เมื่อปรับความเข้าใจกันได้ สองแม่ลูกกอดกันกลมคลอเคลียอยู่ครู่หนึ่ง ถึงเลื่อนสายตามองไปที่ก้อนเงินห่อนั้นบนเตียง
หลูซื่อใช้มือกะประมาณน้ำหนักทีละก้อนพลางคิดคำนวณในใจ มีถึงราวสามสิบกว่าตำลึงเลยทีเดียว
อี๋อวี้นั่งอยู่ในอ้อมอกหลูซื่อ สองแขนโอบคอนาง กล่าวยิ้มๆ “ท่านแม่ หยกชิ้นนั้นเอาไปจำนำได้ตั้งสามสิบตำลึง รวมกับแหวนทางวงนั้นแล้วทั้งหมดสามสิบหกตำลึง นี่เท่ากับเงินสามสิบกว่าก้วนเลยนะเจ้าคะ”
ได้ทรัพย์ก้อนนี้มาเปล่าๆ จะบอกว่าไม่ดีใจนั้นคงเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อคิดถึงว่าใช้ของพวกนั้นแลกมันมา หลูซื่อยังตะขิดตะขวงใจอยู่ดี
อี๋อวี้เห็นสีหน้ามารดาแล้วนึกว่านางไม่ชอบใจ กระชับมือที่โอบรอบคอนางแน่นขึ้น เอ่ยถามด้วยหน้าตากังวลใจ “ท่านแม่ ข้าเอาของพวกนั้นไปแลกเป็นเงิน ท่านโกรธแล้วใช่ไหมเจ้าคะ”
แม้นบุตรสาวจะพูดแทงใจดำ ทว่าพอเห็นนางทำหน้าตื่นตระหนก หลูซื่ออดยกมุมปากขึ้นไม่ได้ “แม่ไม่สบายใจอยู่สักหน่อยจริงๆ ตอนนั้นพวกเขาใช้หยกชิ้นนั้นเป็นหลักฐานใส่ร้ายพวกเรา ยามนี้กลับต้องเอามันมาแลกเป็นเงิน…แต่แม่ไม่ได้โกรธเจ้านะ”
อี๋อวี้ลอบระบายลมหายใจเฮือก ก่อนพูดกล่อมต่อเสียงอ่อนๆ “นั่นมีอะไรต้องไม่สบายใจด้วยเจ้าคะ ท่านแม่สมควรสาแก่ใจจึงจะถูก พวกเราเอาของราคาแพงอย่างนั้นของพวกเขามา หลังจากพวกเขารู้เรื่องต้องเจ็บใจทีหลังเป็นแน่ ตอนนี้ยังแลกเป็นเงินเอามาใช้อีก สาแก่ใจดีนัก! พี่เซียงเซียง พี่ว่าจริงไหมเจ้าคะ”
เห็นสายตาขอความช่วยเหลือจากอี๋อวี้ หลิวเซียงพยักหน้าเออออด้วยทันที “ท่านแม่บุญธรรม ข้าก็รู้สึกสาแก่ใจเหมือนกัน โชคดีที่เสี่ยวอวี้เก็บของพวกนี้มา เวลานี้พวกเราทั้งมีเงินทอง ทั้งได้ระบายโทสะ อย่างไรก็คุ้มค่านะเจ้าคะ”
หลูซื่ออึ้งงันไปเล็กน้อย…เป็นเหตุผลนี้หรือ หยกชิ้นนี้สูงค่าปานนี้ คนต่ำช้าพวกนั้นพบว่าหยกที่ใช้ใส่ความนางหายไป จะไม่ร้อนใจแทบตายหรือ พอคิดไปเช่นนี้ นางก็รู้สึกสาแก่ใจมากจริงๆ
“เมื่อครู่อยู่ข้างนอก ข้าบอกกับคนที่มารับค่าจ้างแล้วว่าไร่ผืนนั้นปลูกต้นเล็บแดงได้ แต่พวกเขาไม่เชื่อสักนิดว่าตรงนั้นจะปลูกอะไรรอด เลยปลงใจเด็ดขาดแล้วว่าจะขายต่อ ดังนั้นถึงไถ่ถามข้าว่าจะซื้อมันไว้ได้หรือไม่ แต่ที่ผืนนั้นมีสิบหมู่ หากปลูกได้แต่ต้นเล็บแดง พวกเรามิต้องปลูกต้นนี้ทั้งหมดหรือ ถ้าอย่างนั้นก็ออกจะสิ้นเปลืองเกินไป มิสู้เอาเงินซื้อเรือนจะดีกว่า”
กล่าวถึงตรงนี้ นางมองอี๋อวี้ด้วยสายตาแปลกพิกล “แล้วเจ้าคิดอย่างไร แม่น่ะอ่านใจเจ้าไม่ออก ถ้าเจ้าอยากซื้อในราคาเท่าเดิมจริงๆ หาได้มีใจเอาเปรียบผู้อื่น ลองบอกความคิดของเจ้าให้แม่ฟังอย่างชัดเจน พวกเราจะได้วางแผนด้วยกัน”
อี๋อวี้สองจิตสองใจครู่ใหญ่ถึงกล่าวขึ้น “ท่านแม่ ข้าพูดแล้วท่านอย่าตีข้าอีกนะ” เห็นหลูซื่อทำหน้ายิ้มแย้ม นางจับติ่งหูพร้อมพูด “ในตำราไม่ได้บอกแค่ว่าปลูกต้นเล็บแดงได้ เพียงบอกว่าปลูกต้นหม่อนไม่ได้ ส่วนต้นอื่นๆ ล้วนได้หมด ข้าเห็นคนแถวนี้ปลูกต้นหม่อนทั้งนั้น ไม่มีใครปลูกผลไม้ ดูทีว่าเมื่อก่อนสกุลสวีก็คงปลูกแต่ต้นหม่อน พอรู้ว่าปลูกไม่ได้ถึงขายถูกๆ” นางลอบคับอกคับใจอยู่เช่นกัน นี่เป็นคำพูดที่ตระเตรียมไว้ตั้งแต่วันก่อน คิดไม่ถึงว่าต้องโดนตียกหนึ่งแล้วผ่านไปสองวันกว่าจะได้พูดออกจากปาก
อี๋อวี้เห็นหลูซื่อมิได้บันดาลโทสะก็ตีเหล็กเมื่อร้อน กล่าวขึ้นอีก “ท่านแม่ ในเมื่อพวกเขาไม่เชื่อว่าที่นั่นปลูกพืชได้ แล้วท่านก็บอกเองไม่ใช่หรือว่าพวกเขากำลังร้อนเงิน ขณะที่ตอนนี้พวกเรามีเงินแล้ว ข้าว่าซื้อไร่ผืนนั้นไว้เถอะ พวกเราซื้อด้วยราคาเท่าเดิม นับเป็นการช่วยเหลือพวกเขาแล้ว อย่างไรก็ดีกว่าพวกเขาปลูกอะไรไม่ได้ ซ้ำยังขายไม่ออก ปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ จนหญ้าขึ้นรกเป็นไหนๆ นะเจ้าคะ”
หลังหลูซื่อมองบุตรสาวนานพักหนึ่ง เอานิ้วจิ้มหน้าผากนางพลางถาม “เจ้ามั่นใจหรือ นี่มิใช่เรื่องเล่นสนุกนะ ถ้าปลูกผลไม้ได้จริงๆ ซื้อที่ผืนนั้นไว้ก็ทำได้อยู่ แต่ถ้าปลูกไม่ขึ้นล่ะ”
“ท่านแม่ ในลานเรือนของเรามีต้นอ่อนเล็บแดงอยู่ไม่ใช่หรือ ลองย้ายไปปลูกที่นั่นเงียบๆ ดูสักสองสามวันก็รู้เองว่าจะรอดหรือไม่”
อี๋อวี้พูดมาทั้งหมดนี้กลับเป็นการใช้ลูกไม้ตะล่อมหลูซื่อดังเก่า ยามนี้แผลหายดีไม่เจ็บแล้ว นางก็ลืมเลือนไปสนิทใจว่าวันก่อนตนเองโดนตีเพราะว่าพูดจาหว่านล้อมล่อหลอกมารดา
หลูซื่อจับผิดจากถ้อยคำนางได้ ถ้าลองปลูกต้นเล็บแดงได้ ชาวนาพวกนั้นต้องเชื่อว่าที่นั่นใช้ประโยชน์ได้ แล้วยังต้องให้นางซื้อไว้เพื่อช่วยเหลือพวกเขาอีกหรือ
ถึงกระนั้นนางไม่ใช่คนดีแสนประเสริฐที่ไหน ปกติทางการจะแจกจ่ายที่นาให้ราษฎรบ้างนิดๆ หน่อยๆ ก็ต่อเมื่อขึ้นทะเบียนเรือนแล้ว หลังจากนั้นต้องใช้เงินซื้อหาเอาเอง หากไร่ผืนนั้นใช้ประโยชน์ได้ และซื้อด้วยราคาเดิมก็เป็นเรื่องดีไม่มีอะไรเกินจริงๆ
อี๋อวี้ยังไม่รู้ว่าหลูซื่อคาดเดาความคิดตนเองออกแล้ว เห็นนางหยุดตรึกตรองก็นึกไปว่าจะทำตัวเป็นคนดีพร่ำเพรื่อ จึงพูดอย่างลุกลน “ท่านแม่ ต้นซานจาออกผลได้ในสองปี แท่งหนึ่งหกลูก ต้นหนึ่งมีผลอย่างน้อยสามร้อยกว่าลูก เมล็ดที่ข้าเอามาปลูกได้สิบห้าต้น ถังหูลู่แท่งหนึ่งเอาไปขายที่ฉางอันต้องได้ยี่สิบสามสิบอีแปะเป็นอย่างต่ำ ถึงเวลาพอมีเมล็ดแล้ว พวกเราปลูกต่อไปอีก รอเมื่อพวกเราเก็บเงินเก็บทองได้ค่อยจ้างคนงาน ไม่จำเป็นต้องลงมือเองอีก เมื่อนั้นพวกเราค่อยสร้างเรือนในตำบลหลงเฉวียนก็ยังได้นะท่านแม่”
หลูซื่อปรายตามองนางแวบหนึ่งก่อนเอ่ยขันๆ “รอตกบ่ายแล้วพวกเราค่อยแอบไปที่นั่นกัน”
หากเป็นเงินที่หาได้ด้วยตนเอง หลูซื่อต้องนำไปซื้อเรือนแน่นอน ทว่าเงินพวกนี้ได้มาเปล่าๆ ประกอบกับคิดถึงที่การขายปิงถังหูลู่เมื่อปีก่อนก็ได้กำไรไม่น้อย สุดท้ายนางยังคงเลือกเห็นแก่ตัวสักหนตามคำยุยงของอี๋อวี้
ผ่านไปอีกห้าวัน ผืนดินเชิงเขาทางทิศใต้ของตำบลหลงเฉวียนที่ถูกลือกระฉ่อนว่าเป็นผืนดินไร้ค่าผืนนั้นเปลี่ยนผู้ครอบครองแล้ว หลูซื่อซื้อไว้ด้วยราคาเดิม ยังจ่ายเงินว่าจ้างชาวนาหลายครอบครัวที่ขายไร่ผืนนั่นให้ขุดหลุมหว่านเมล็ดพันธุ์
ผืนดินเกือบครึ่งหนึ่งปลูกต้นซานจา ส่วนที่เหลือทิ้งว่างไว้ หลูซื่อจับจองต้นกล้าของไม้ผลที่ร้านขายของจิปาถะในเมืองไว้ชุดหนึ่ง ซึ่งจะส่งมาในอีกสองวันให้หลังและนำลงปลูกบนที่ว่างทั้งหมด ในเมืองฉางอันมีคนรับซื้อผลไม้ไม่น้อย เถ้าแก่ร้านขายของจิปาถะยังพูดว่าถึงเวลาจะเป็นคนกลางแนะนำให้นาง
กว่าจะเตรียมผืนดินตรงเชิงเขาพร้อมก็ล่วงเลยมาถึงเดือนสี่ หลังจากสอบถามจากพ่อบ้านหลี่ได้ความว่าการสอบชุนเหวยสิ้นสุดลงแล้ว หลูซื่อจ้างคนเฝ้าไร่ผลไม้และนาข้าว เตรียมตัวพาอี๋อวี้ไปหาพวกหลูจื้อที่เมืองฉางอัน
ยามบ่ายของวันก่อนออกเดินทาง หลูซื่อไปพูดคุยธุระกับพ่อบ้านหลี่ตามลำพัง หลิวเซียงเซียงนั่งฝึกปักผ้าอยู่ในห้อง ส่วนอี๋อวี้นั่งยองๆ อยู่ที่แปลงดอกไม้ในลานเรือนดูแลต้นปั้วเหอ
มันแตกใบสีเขียวสดเล็กๆ ออกมาแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะตัดเก็บใบได้ พักนี้พ่อบ้านหลี่แวะเวียนมาที่เรือนโยวย่วนอย่างขันแข็งเป็นพิเศษ เฝ้ารอวันที่ต้นปั้วเหอผลิใบแผ่กิ่งก้าน
อี๋อวี้กำลังยื่นหน้าเข้าไปคิดจะดมกลิ่นใบปั้วเหอใกล้ๆ ตัว มีสายลมอ่อนเบาโชยมาระลอกหนึ่ง หอบกลิ่นหอมรวยรินจางๆ ระลอกหนึ่งมาแตะปลายจมูก
กลิ่น…กลิ่นหอมรวยริน?
อี๋อวี้พลันเบิ่งตาโตแล้วกลอกตาไปด้านข้าง แลเห็นรองเท้าปักลายเมฆาเคลื่อนด้วยไหมสีเขียวอมน้ำเงินบนพื้นดำคู่หนึ่งปรากฏอยู่บนพื้นทางซ้าย นางแหงนหน้าขึ้นช้าๆ สายตาปะทะกับสีฟ้าเข้มผืนหนึ่ง ตามมาด้วยหยกพกประดับกายงดงาม มองสูงขึ้นไปอีกก็เป็นปลายคางเรียวขาวเกลี้ยง
“คะ…คะ…คุณชายฉาง!” อี๋อวี้พูดตะกุกตะกักพลางลนลานยืดตัวขึ้น แต่เพราะนั่งยองๆ นานเกินไป พอลุกพรวดขึ้นทำให้รู้สึกหน้ามืดวูบหนึ่งเจียนจะล้มถลาไปข้างหน้ารอมร่อ พอจวนตัวเข้ามือนางยังคว้าชายเสื้อคลุมของคนด้านข้างไปด้วย ได้ยินเสียงดังแควก…เสื้อคลุมสีฟ้าเข้มที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าราคาแพงลิบของท่านผู้มีพระคุณหรือคุณชายฉางก็ขาดวิ่น
ท้ายที่สุดอี๋อวี้ยังคงหกคะเมนไปบนพื้นแปลงดอกไม้จนเศษดินกระเด็นเข้าปาก น้ำตาอุ่นๆ เอ่อคลอเบ้าขณะนางยันตัวลุกขึ้นอย่างงุ่มง่าม แต่ครั้นหันไปเห็นวงหน้าคมคายขยายใหญ่เต็มสองตากะทันหัน นางเกือบล้มหงายกลับไปที่เดิม
ใบหน้าขาวกระจ่างนั่นยังงามสง่าไปทุกส่วนดังเก่า หากสิ่งเดียวที่อี๋อวี้ไม่เคยเห็นมาก่อนก็คือในกรอบตาเรียวยาวที่เปิดเปลือกตาขึ้นน้อยๆ อยู่ใต้แพขนตาหนาที่สะท้อนเงาวูบไหวล้อกับแสงแดดยามบ่ายนั้นเป็น…ลูกนัยน์ตาสีเขียวมรกตส่องประกายลึกลับคู่หนึ่ง
คุณชายฉางเอื้อมมือขาวกระจ่างข้างหนึ่งมาใกล้อย่างเชื่องช้า ค่อยๆ หยิบใบปั้วเหอใบหนึ่งที่ห้อยติดอยู่บนหัวอี๋อวี้ที่ตะลึงพรึงเพริดมาจ่อไว้ใต้จมูกดมกลิ่นเล็กน้อย ริมฝีปากบางแย้มออกมาพร้อมเสียงพูดแผ่วเบา
“เป็นกลิ่นนี้นี่ล่ะ”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.