บทที่สิบหก
ชาวสกุลหลูทั้งสี่กินอาหารแล้วพูดคุยกันต่ออีกพักหนึ่ง ตำบลหลงเฉวียนนั้นอยู่ใกล้กับเมืองฉางอันมาก หลูซื่อนัดหมายว่าจะมาหาพวกเขาอีกครั้งในเดือนหน้า และพูดกำชับเรื่องการกินอยู่หลับนอนสัพเพเหระกับบุตรชายสองคน ยามที่ตะวันคล้อยลงทางทิศประจิมทุกที พวกเขาถึงเดินตามไปส่งที่ประตูอันฮว่าทางทิศใต้ของเมือง
ระยะทางจากอู้เปิ่นฟางถึงฟากทิศใต้ของเมืองห่างกันไกลพอสมควรจริงๆ กระนั้นชาวสกุลหลูซึ่งได้พบหน้ากันอย่างไม่ง่ายดายเพียงนึกอยากให้เส้นทางนี้ไกลออกไปอีกใจจะขาด หลูจื้อยังหมายใจอยากพบหน้าคุณชายฉางที่ช่วยมารดากับน้องสาวไว้ เมื่อมาถึงบริเวณใกล้ๆ ประตูอันฮว่า เด็กหนุ่มทั้งสองก็รอคอยอยู่ตรงข้างกำแพงเป็นเพื่อนพวกนาง
ระหว่างหลูจวิ้นกำลังแหย่ให้อี๋อวี้พูดจา หลูซื่อมองดูสองพี่น้องเย้าหยอกกันอย่างสนุกสนาน บนหน้าปรากฏรอยลังเลใจครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงตัวหลูจื้อไปอีกทางหนึ่ง พอเห็นลูกอีกสองคนมิได้สนใจมองมา ถึงกระซิบถาม “จื้อเอ๋อร์ เจ้า…เจ้าได้พบเขาหรือยัง”
หลูจื้อสังเกตเห็นมารดาทำท่าจะพูดก็ไม่พูดตั้งแต่ตอนกินอาหารแล้ว ครั้นได้ยินนางปริปากถามดังคาด เขาลอบถอนใจเฮือกหนึ่ง หากสีหน้ากลับเป็นปกติมาก “ยังขอรับ แค่ได้ยินได้ฟังบางอย่าง…ท่านแม่ ต่อให้พบกันก็คงจำหน้าไม่ได้ พวกเราจากมาเก้าปีแล้วนะขอรับ”
ใบหน้าของหลูซื่อนิ่งขึงไปแล้วหม่นแสงลง “แม่เพียงถามไปอย่างนั้น…”
หลูจื้อเหลือบเห็นนิ้วมือใต้แขนเสื้อของมารดากำเข้าหากันแน่น เขาจึงกล่าวเสียงอ่อนลง “เอาล่ะ พวกเราไปทางนั้นเถอะ เสี่ยวอวี้มองมาทางนี้ซ้ำหลายครั้งแล้วขอรับ” หลูซื่อพยักหน้าแล้วเดินกลับไปพร้อมเขา
ไม่ถึงยามโหย่ว อี๋อวี้แลเห็นรถม้าที่พวกนางนั่งเมื่อเช้าแล่นมาแต่ไกล อาเซิงบังคับรถม้าให้จอดลงตรงหน้าทุกคนอย่างมั่นคง
“หลูฮูหยิน นี่คือบุตรชายสองคนของท่านกระมัง” อาเซิงมองปราดเดียวก็เห็นเด็กหนุ่มโดดเด่นสองคนข้างกายหลูซื่อกับบุตรสาว ดวงตาเขาทอประกายวูบหนึ่งขณะส่งเสียงถามอย่างยิ้มแย้ม
หลูซื่อพยักหน้ารับ นางแนะนำอาเซิงให้หลูจื้อและหลูจวิ้นรู้จัก สองพี่น้องโค้งกายขอบคุณเขา ยังเอ่ยปากว่าต้องการพบคุณชายฉางในรถม้า อาเซิงได้ยินแล้วพูดด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “น่าเสียดาย เวลานี้คุณชายมิได้อยู่ในรถม้า สองสามวันนี้ท่านต้องรั้งอยู่ในเมืองฉางอันสะสางงานบางอย่าง เพียงมอบหมายให้ข้าพาคนไปส่ง”
สายตาของสองพี่น้องซึ่งจับอยู่ที่ตัวรถม้าทอแววผิดหวังอย่างปิดไม่มิด พวกเขายังกล่าวขอบคุณที่อาเซิงตั้งใจมาพามารดากับน้องสาวส่งกลับไป
หลูซื่อกับอี๋อวี้บอกลาพวกเขาอย่างอาลัยอาวรณ์แล้วนั่งรถม้ากลับสู่ตำบลหลงเฉวียน
ผ่านไปอีกหลายวัน ต้นปั้วเหอในแปลงดอกไม้ของเรือนโยวย่วนได้เวลาตัดเก็บใบแล้ว พ่อบ้านหลี่ส่งสาวใช้ตัวน้อยที่ละเอียดรอบคอบมาช่วยงานสองคน อี๋อวี้ย่อมยินดีที่ได้อยู่สบายๆ หลังบอกเรื่องที่ต้องระวังกับพวกนางสองสามจุดแล้ว นางวิ่งเข้าไปในห้องหยิบหนังสือมาเล่มหนึ่ง และยกม้านั่งตัวเล็กมานั่งอยู่ในลานเพื่อ ‘คุมงาน’
สาวใช้สองนางนี้ถือตะกร้าไม้ไผ่สานไว้คนละหนึ่งใบ เดินเลาะไปตามด้านข้างแปลงดอกไม้เก็บใบปั้วเหออย่างเบาไม้เบามือ และนุ่มนวลบรรจงไปทุกๆ อิริยาบถ
แรกเริ่มอี๋อวี้เห็นท่าทางแบบนี้ของพวกนาง ยังบอกกลั้วเสียงหัวเราะว่าต้นไม้นี้มิได้บอบบางปานนั้น ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังถึงเพียงนั้น นางเห็นสาวใช้ทั้งสองเพียงยิ้มรับ แต่มือไม้ไม่ผ่อนคลายขึ้นสักนิด จึงไม่พูดต่อให้มากความ
ที่ทำให้อี๋อวี้หลากใจคือสาวใช้สองนางเด็ดใบปั้วเหอแค่คนละครึ่งตะกร้าแล้วกลับไป ผ่านไปครู่หนึ่งพ่อบ้านหลี่มาที่เรือนโยวย่วน เห็นนางนั่งยองๆ นับต้นปั้วเหออยู่ข้างแปลงดอกไม้ เขาก้าวเข้าไปส่งเสียงเรียก
“แม่นางหลู”
อี๋อวี้ลอบนึกกังขาอยู่ เหลียวหลังไปเห็นพ่อบ้านหลี่เดินเข้ามา นางชี้ไปที่แปลงดอกไม้พลางถามอย่างงุนงง “ทำไมพวกนางเด็ดไปน้อยนิดแค่นั้น”
พ่อบ้านหลี่หยักยิ้ม “ข้ากำลังจะมาบอกเรื่องหนึ่งกับท่าน ใบปั้วเหอที่เด็ดจากต้นแล้วมีกลิ่นอยู่ได้เจ็ดแปดวัน ด้วยเหตุนี้คุณชายส่งคนมากำชับไว้เป็นพิเศษให้ตัดเก็บส่วนหนึ่งทุกห้าวัน สองสามต้นที่ย้ายไปเมื่อคราวก่อนล้วนเลี้ยงไม่รอด พวกข้ากลัวจะปลูกไม่ขึ้นอีก เลยจำเป็นต้องให้ท่านดูแลต่อไปอีกสักระยะหนึ่งขอรับ”
อี๋อวี้ฉงนใจเป็นอันมาก ต้นปั้วเหอนี้ปลูกด้วยเมล็ดได้ยากยังพอมีเหตุผลฟังขึ้น แต่ย้ายต้นที่โตแล้วครึ่งหนึ่งไปปลูกต่อยังเลี้ยงไม่รอดอีกหรือไร บริวารของคุณชายฉางล้วนเบาปัญญาหรือไรกัน
ถึงจะมีข้อสงสัยในใจ อี๋อวี้ยังคงตกปากรับคำอย่างง่ายดาย ความนัยของพ่อบ้านหลี่คือให้นางช่วยปลูกต้นปั้วเหอต่อไป เรื่องนี้กลับมิใช่ปัญหา ถึงอย่างไรพวกนางยังต้องอาศัยอยู่ที่นี่อีกระยะหนึ่ง สำหรับต้นที่ย้ายไปปลูกนั่น ในเมื่อพวกเขาพูดถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ว่าจริงหรือเท็จ ไยนางต้องเปิดโปงพวกเขาให้ได้ประโยชน์อะไร
เห็นนางตอบตกลง พ่อบ้านหลี่ยิ้มกว้างจนปรากฏริ้วรอยยับย่นทั่วหน้า เขายังไต่ถามสารทุกข์สุกดิบอีกหลายคำอย่างเอาใจใส่ ก่อนจะหมุนกายเดินออกไป
ยามบ่าย หลูซื่อกับหลิวเซียงเซียงที่ออกไปซื้อของกลับมาแล้ว อี๋อวี้บอกเรื่องที่พ่อบ้านหลี่มาหา หลูซื่อลูบหัวนางยิ้มๆ แค่พูดสำทับนางให้ตั้งใจปลูกต้นไม้ให้พวกเขา จากนั้นหยิบผ้าใหม่ที่ซื้อมาให้นางเลือกสี
เงินที่หลูจื้อมอบให้ก้อนนั้นทำให้ใช้สอยได้คล่องมือขึ้น หลูซื่อจึงไปข้างนอกซื้อหาข้าวของกับหลิวเซียงเซียงหลายอย่าง อี๋อวี้สังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่านับแต่มารดาได้พบกับพี่ชายสองคนแล้วจิตใจปลอดโปร่งขึ้นไม่น้อย ทั้งมีรอยยิ้มบนใบหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นางพลอยดีอกดีใจมากไปด้วย
พริบตาเดียวก็เข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ร่วง พืชผลในไร่นาของสกุลหลูเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว วันหนึ่งของปลายเดือนสิบ พ่อบ้านหลี่มาแจ้งให้รู้ด้วยตนเองว่าตั้งแต่นี้ไปพวกนางไม่ต้องช่วยปลูกต้นปั้วเหออีก หลูซื่อเพียงนึกว่าพวกเขาย้ายปลูกได้เป็นผลสำเร็จ ทว่าอี๋อวี้แอบคาดเดาว่าคนผู้นั้นน่าจะไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งนี้อีกต่อไปต่างหาก
เมื่อรู้ข่าวนี้ หลูซื่อนับเงินที่มีอยู่ในเรือนรอบหนึ่ง รวมกับเงินที่ได้รับจากหลูจื้อตอนไปหาเขาคราวที่แล้วก้อนนั้น แม้ว่ายังไม่มากพอจะซื้อเรือน แต่เช่าเรือนเล็กๆ สักหลังอยู่ได้แล้ว
ดังนั้นก่อนสิ้นปี หลูซื่อก็เสาะหาเรือนพำนักได้ นางจ่ายค่าเช่าครึ่งปี จัดเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วถึงไปกล่าวล่ำลาพ่อบ้านหลี่ เขาได้ข่าวว่านางต้องการย้ายออกไปแต่แรก พอได้พบนางก็ไม่เหนี่ยวรั้งไว้ อีกทั้งช่วยหาฤกษ์ดีและมอบหมายบ่าวในเรือนสองคนมาช่วยพวกนางย้ายเรือน ทั้งเขายังส่งข้าวของเครื่องใช้ประจำวันไปให้อีกด้วย หลูซื่อมิได้ปฏิเสธเพราะไม่ใช่ของสูงค่าอะไร
ที่พำนักใหม่ของพวกนางอยู่ในตรอกสายหนึ่งทางทิศใต้ของตำบลเป็นเรือนหลังเล็กคั่นเดียว ที่ไม่กว้างขวางนัก แบ่งเป็นห้องสองห้องติดกัน และมีห้องครัวเล็กๆ อยู่ทางซ้าย สี่ทิศล้อมรอบด้วยเรือนอาศัยของชาวบ้าน เจ้าของเรือนเป็นผู้มีเงินมีทองอยู่บ้างในละแวกนี้ แม้สภาพทั่วไปของเรือนหลังใหม่ไม่อาจเทียบกับเรือนโยวย่วนที่สามแม่ลูกเคยพักอยู่เดิม แต่อย่างไรก็มีเรือนที่อยู่เป็นสัดเป็นส่วนของตนเอง หลุดพ้นจากชีวิตที่ต้องอาศัยชายคาเรือนผู้อื่น จะพูดจะทำอะไรได้ตามสบายขึ้นไม่น้อย
สิ่งที่น่าเอ่ยถึงคือต้นซานจากับผลไม้อื่นๆ บนผืนดินตรงเชิงเขา เมื่อได้รับ ‘ความใส่ใจเลี้ยงดูเป็นพิเศษ’ อยู่ลับๆ จากอี๋อวี้ พวกมันมีวี่แววว่าจะเจริญงอกงามได้ดีอย่างยิ่งยวด เผอิญว่าคนงานที่หลูซื่อจ้างมาเฝ้าดูแลเป็นชาวนาเจ้าของเดิมซึ่งขายไร่ผืนนั้นให้ ครั้นได้เห็นต้นอ่อนบนพื้นดินแล้ว ถ้าบอกว่าไม่อิจฉาริษยาคงเป็นไปไม่ได้ ตอนใกล้ขึ้นปีใหม่ พวกเขายกข้ออ้างอื่นมาก่อความวุ่นวายที่เรือนสกุลหลู หลูซื่อก็ไม่ไว้หน้า เลิกจ้างพวกเขาประเดี๋ยวนั้น มอบเงินตอบแทนตามที่ตกลงกันไว้แต่แรกให้ และไล่พวกเขากลับไป ตอนแรกพวกนางคิดว่าพวกเขายังจะกลับมาหาเรื่องอีกหลายครั้ง ทว่าจวบจนปลายปีล้วนไม่เห็นพวกเขามาที่เรือนอีกเลย
พอถึงวันสิ้นปี พ่อบ้านหลี่นำของประจำเทศกาลวันปีใหม่ไม่น้อยติดไม้ติดมือมาหาที่เรือนครั้งหนึ่ง หลูซื่อเห็นว่าส่วนใหญ่เป็นเนื้อสัตว์ เดิมคิดจะบอกปัด เขาก็เอ่ยอ้างว่าของเหล่านั้นล้วนได้มาจากเรือกสวนไร่นาของตน ไม่ได้ใช้เงินซื้อหามา ทั้งบอกอย่างชัดเจนว่าคุณชายฉางกำชับไว้เอง หลูซื่อถึงกล่าวขอบคุณแล้วรับไว้
ก่อนปีใหม่ หลูจื้อกับหลูจวิ้นได้หยุดพักกลับมาที่เรือนในตำบลหลงเฉวียน ร่วมฉลองวันปีใหม่กับมารดาและพี่สาวน้องสาวอย่างสำราญบานใจเป็นครั้งแรกหลังจากมาถึงที่นี่ จนกระทั่งเทศกาลซั่งหยวน ผ่านไป หลูจื้อถึงกลับไปยังเมืองฉางอันตามลำพัง
เมื่อเสียงไก่ขันดังสองสามครั้ง ดวงตะวันลอยเนิบนาบโผล่พ้นเส้นขอบฟ้า ตำบลหลงเฉวียนค่อยๆ ตื่นจากการหลับใหลต้อนรับอรุณรุ่งวันใหม่ หมอกยามเช้าสีขาวนวลดุจน้ำนมยังไม่สลายหายไปสิ้น หากในตรอกสายหนึ่งทางทิศตะวันตกของตำบล เริ่มมีเสียงพูดคุยแผ่วเบาดังขึ้นเรื่อยๆ
“พี่สะใภ้ใหญ่ รอสายอีกหน่อยพวกเราค่อยไปกันเถอะ พวกนางน่าจะยังไม่ตื่นนอนนะ” สตรีวัยยี่สิบเศษแต่งกายแบบหญิงชาวนานางหนึ่งดึงร่างที่เดินนำหน้าไว้เบาๆ
พอถูกอีกฝ่ายรั้งไว้เช่นนี้ คนผู้นั้นค่อยๆ หยุดฝีเท้าลงหันศีรษะมา ถึงเห็นว่านางมีดวงหน้ารูปไข่แฝงเค้าฉลาดหัวไว “เช้าอะไรกัน เมื่อคืนพอได้ข่าวข้าก็บอกว่าจะมาเลย เจ้ากลับพูดท้วงว่าดึกแล้ว ตอนนี้พวกเราตื่นแต่เช้า เจ้าก็กลัวอีกว่าจะรบกวนคนอื่น”
“แต่ว่า…แต่ว่าพวกเราจะไปขอความช่วยเหลือนะ อีกอย่างรบกวนการพักผ่อนของคนอื่นจะอย่างไรก็ไม่ดีนัก…ช่างเถิด ฟังคำข้าดีกว่า พวกเรากลับไปกันก่อน” หญิงสาวซึ่งออกเรือนแล้วคนนั้นดึงตัวพี่สะใภ้ของตนย้อนกลับไปทางเดิม
“ใครบอกว่าจะไปขอร้องพวกนาง ดีชั่วพวกเราช่วยทำงานให้ตั้งครึ่งค่อนปี จู่ๆ นึกจะหยุดส่งผลเล็บแดงให้พวกเราก็หยุดส่งไปเลย แล้วนี่จะให้พวกเราทำมาหากินอย่างไร” สตรีท่าทางฉลาดหัวไวผู้นั้นยิ่งพูดยิ่งหน้าตาบูดบึ้ง นางพลิกมือจับแขนหญิงสาว “ไปกัน ถึงไม่ขายแล้ว ข้าก็ไม่ยอมเสียเปรียบให้พวกนางหรอก พอไม่มีผลเล็บแดง พวกเราไม่อาจทำปิงถังหูลู่นั่นได้ พวกนางมั่งมีอยู่แต่เดิม ตอนนี้ยังได้ทรัพย์ก้อนใหญ่ขนาดนั้นไป ดีชั่วก็ต้องแบ่งมาก้อนหนึ่งชดเชยที่เลิกจ้างพวกเรา”
หญิงสาวนางนั้นไม่มีเรี่ยวแรงมากเท่าพี่สะใภ้ตน ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายฉุดตัวเดินไปตลอดทาง พอทะลุผ่านถนนหลักของตำบลเข้าสู่ทางแยกข้างหน้า เลี้ยวเข้าไปในตรอกกว้างขวางสายหนึ่งทางทิศใต้ พวกนางเดินต่อไปอีกหลายก้าว และหยุดอยู่หน้าประตูสองบานที่ติดแผ่นกลอนคู่เป็นตัวอักษรดำบนพื้นแดง
เวลานี้สตรีท่าทางฉลาดหัวไวถึงปล่อยแขนของหญิงสาวแล้วก้าวขึ้นบันได นางสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนจะออกแรงตบประตูไม้สีดำตรงหน้า ปากก็ร้องตะโกนขึ้น “เปิดประตูๆ เปิดประตูเดี๋ยวนี้”
นางตะโกนอยู่อย่างนี้สี่ห้ารอบ จึงได้ยินเสียงฝีเท้าคนแว่วๆ ฝ่ามือของนางยังไม่ทันได้ตบลงไปอีก ประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านใน
เด็กสาวหน้ากลมท่าทางเหมือนสาวใช้คนหนึ่งอ้าปากหาวไปพลาง ไต่ถามผู้มาเยือนไปพลาง “มีอะไรรึ ถึงมาทำเสียงดังรบกวนผู้อื่นแต่เช้าตรู่ปานนี้”
“ข้าจะหาหลูเอ้อร์เหนียง เจ้าไปเรียกนางออกมาให้ข้าที”
สาวใช้คนนั้นพิศดูผู้กล่าววาจาเบื้องหน้าซ้ำๆ จากนั้นขมวดคิ้วพร้อมพูด “ฮูหยินของพวกข้ายังนอนหลับอยู่ อีกประเดี๋ยวเจ้าค่อยมาเถอะ” ว่าแล้วก็จะปิดประตู กลับถูกสตรีผู้นั้นชิงเบี่ยงกายผ่านเข้าประตูไปก่อน หญิงสาวด้านหลังนางแข็งใจเบียดตามเข้าไปด้วย
“นี่ นี่…นี่พวกเจ้าจะทำอะไรกันนะ รีบออกไปนะ!” สาวใช้ตัวน้อยหายง่วงงุนเป็นปลิดทิ้ง ลุกลนเข้าไปฉุดลากสตรีข้างหน้าที่ถือวิสาสะเข้ามาเอง
ทว่านางเพิ่งมีอายุสิบสามสิบสี่ ไหนเลยจะสู้เรี่ยวแรงสตรีเต็มตัวนางหนึ่งได้ อึดใจเดียวก็ถูกเหวี่ยงล้มลงไปกับพื้น ขณะที่จะตะกายลุกขึ้นไปขัดขวางต่อ พลันได้ยินเสียงเรียกกังวานใสเสนาะหู
“เสี่ยวหม่าน?”
ทั้งสามคนหันหน้าไปพร้อมกัน เห็นมือเล็กๆ ขาวเนียนนุ่มข้างหนึ่งแหวกม่านประตูห้องใหญ่ฝั่งตรงข้ามออก ดรุณีน้อยร่างแบบบางนางหนึ่งก้าวออกมาจากข้างใน นางสวมเสื้อตัวในสีขาว คลุมเสื้อตัวยาวสีชมพูอมน้ำตาลทับไว้ด้านนอก ใบหน้าขาวผ่องยิ่งกว่าหิมะ ผมยาวดำขลับทิ้งตัวสยายเคลียไหล่ ยิ่งขับเน้นดวงหน้าเล็กๆ นั่นให้บอบบางน่ารักสุดจะเปรียบ นางยกมือซ้ายปิดปากหาวเบาๆ ดวงตาเฉกมณีหยดน้ำหรี่ลงครึ่งหนึ่ง กำลังมองกวาดพวกนางไปทีละคนอย่างรวดเร็ว
“คุณหนู” สาวใช้นามว่า ‘เสี่ยวหม่าน’ ร้องเรียกเสียงดัง นางวิ่งไปที่ข้างกายดรุณีน้อยงามจิ้มลิ้มดูท่าทางมีอายุราวสิบสองสิบสามผู้นี้แล้ว หมุนกายชี้ไปที่สตรีสองคนตรงหน้าประตู กล่าวอย่างขุ่นเคือง “คุณหนู สองคนนี้มาเคาะประตูแต่เช้า บอกว่าต้องการพบฮูหยิน ข้าบอกว่าฮูหยินยังไม่ตื่น พวกนางก็บุกเข้ามาเลยเจ้าค่ะ”
อี๋อวี้นวดขมับที่ชาหนึบๆ ถูกคนปลุกให้ตื่นจากฝันดีแต่รุ่งสางมิใช่เรื่องน่าอภิรมย์อะไร เมื่อคืนนางคำนวณบัญชีเงินก้อนใหญ่จนดึกดื่นถึงเข้านอน ยังหลับไม่เต็มอิ่มก็ต้องตื่นขึ้น จะให้ข่มอารมณ์ในขณะนี้ หาใช่เรื่องง่ายดายปานนั้น
“นี่พวกเจ้าจะชิงทรัพย์หรือว่าปล้นเรือน กระทั่งอาวุธติดไม้ติดมือก็ไม่มี ดูไม่เข้าท่าเข้าทางเสียเลย เสี่ยวหม่าน ไปห้องครัวหยิบมีดหั่นผักมาให้พวกนางใช้สิ” อี๋อวี้มองปราดเดียวก็จำหน้าพี่สะใภ้กับน้องสาวสามีที่ ‘บุกรุกเรือนชาวบ้าน’ คู่นี้ได้ เดิมทีความรู้สึกที่มีต่อพวกนางก็ไม่ดีอยู่แล้ว ส่งผลให้นางไม่ถามไถ่เหตุผลที่มาเยือน ทั้งพูดจาอย่างปราศจากความเกรงใจใดๆ
ปีแรกที่สกุลหลูย้ายมาที่ตำบลหลงเฉวียน ยังไม่ถึงปีที่สองไร่ต้นซานจาผืนนั้นก็ออกผล ตอนเริ่มต้นมีแต่พวกนางสามแม่ลูกทำปิงถังหูลู่ขาย ผู้ใดจะรู้ว่ากลับขายดิบขายดีจนน่าอัศจรรย์ใจ ด้วยพวกนางมีกันแค่สามคน ทำได้เพียงวันละห้าหกสิบแท่ง และใช้ลาเทียมรถลากไปขายที่เมืองฉางอัน ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็มีคนแย่งกันซื้อจนหมดเกลี้ยงทุกครั้ง ราคาเริ่มจากไม้ละยี่สิบอีแปะจนสองเดือนให้หลังเพิ่มเป็นสิบไม้หนึ่งตำลึง สูงขึ้นถึงห้าเท่าเต็มๆ ซ้ำยังมีของไม่พอขาย
อี๋อวี้เห็นสภาพการณ์เป็นเช่นนี้จึงตั้งใจขยับขยายการค้า หลังจากหารือกับมารดา นางตัดสินใจเด็ดเดี่ยวขุดผลไม้ในไร่ทิ้งไปบางส่วนแล้วเปลี่ยนเป็นปลูกต้นซานจา ยังว่าจ้างหญิงชาวนาจากหลายครอบครัวในหมู่บ้านที่มีฐานะไม่ค่อยดีและอยู่ว่างๆ กับเรือน มาทำปิงถังหูลู่ในเรือนหลังน้อยของสกุลหลูตอนบ่ายทุกวัน วันถัดมาก็พาพวกนางไปที่เมืองฉางอันแยกย้ายกันไปขายตามที่ต่างๆ และชักกำไรแบ่งให้พวกนางไม้ละสิบอีแปะ
เนื่องจากสกุลหลูเฝ้าดูแลไร่ซานจาไว้อย่างใกล้ชิด แม้หญิงชาวบ้านเหล่านั้นจะลอบคิดไม่ซื่อ กลับไม่อาจสร้างปัญหาอะไรได้ ต่อมาพวกหลูซื่อควบคุมขั้นเตรียมวัตถุดิบอย่างเดียว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการขายอีก เป็นเช่นนี้มาครึ่งปี ไม่เพียงซื้อเรือนคั่นสองหลังหนึ่ง ยังมีเงินเก็บหอมรอมริบอีกไม่น้อย
แต่แล้วเมื่อหนึ่งเดือนก่อนนี่เอง มีคนผู้หนึ่งมาหาพวกนาง เขาเป็นเถ้าแก่ของร้านผลไม้แห้งรายใหญ่ชื่อว่าต้าซิงในตลาดตะวันตก หนึ่งในสองตลาดใหญ่ของเมืองฉางอัน หลังจากต่อรองหารือกันหลายครั้งหลายครา ก็ทำหนังสือสัญญาให้เขาเป็นคนกลางรับซื้อผลซานจาทั้งหมดเพียงเจ้าเดียวด้วยราคาห้าพันตำลึง โดยจ่ายเงินให้พวกนางตามผลเก็บเกี่ยวซานจาในแต่ละฤดู
ด้วยเหตุนี้หลูซื่อหยุดจัดส่งผลซานจาให้พวกหญิงชาวนาที่ทำถังหูลู่ไปเร่ขาย และมอบเงินให้พวกนางคนละสิบตำลึงเป็นการชดเชยบำรุงขวัญ
สตรีสองคนตรงหน้าอี๋อวี้นี้ล้วนเป็นคนงานหญิงชุดที่สองซึ่งพวกนางว่าจ้างมาทีหลัง คนที่ท่าทางหัวอ่อนนามว่า ‘เฉียวซื่อ’ ยังไม่เท่าไร ส่วนหญิงวัยกลางคนหน้าตาฉลาดหัวไวกว่าที่ใครๆ เรียกกันว่า ‘ซานกู’ คนนั้น เคยลักขโมยซานจาในไร่ของพวกนาง ต่อมาถูกคนเฝ้าไร่จับได้เอาตัวมาให้หลูซื่อ นางเพียงพูดสั่งสอนอีกฝ่ายยกหนึ่ง
ครั้นคำสั่งเจือน้ำเสียงถากถางชัดแจ้งของอี๋อวี้ดังขึ้น เสี่ยวหม่านสาวใช้เพียงนิ่งอึ้งงันไปเล็กน้อย ก่อนขานรับเสียงดังแล้ววิ่งไปที่ห้องครัวทางลานเรือนหลัง ขณะที่พี่สะใภ้กับน้องสามีคู่นั้นยังงงงันอยู่ เด็กสาวประคองมีดหั่นผักหนักอึ้งเล่มหนึ่งไว้ด้วยสองมือวิ่งออกมา
อี๋อวี้ชูนิ้วมือขาวเนียนขึ้นนิ้วหนึ่ง ชี้ๆ ไปทางสตรีคู่นั้น “ส่งให้พวกนาง”
เสี่ยวหม่านสาวเท้าเข้าไปอย่างเชื่อฟัง ยื่นมีดหั่นผักที่มีใบมีดยาวถึงห้าหกชุ่นไปตรงหน้าซานกู นางฉีกปากยิ้มเยาะๆ แล้วกล่าว “เอาไปสิ คุณหนูของข้าให้เจ้าถือไว้”
เวลานี้ซานกูถึงคิดตามทันว่าอี๋อวี้เย้าแหย่ตน นางเบี่ยงกายหลบเสี่ยวหม่าน แค่นเสียงเยาะใส่เด็กสาวก่อนเอ่ยขึ้น “นางเด็กปากกล้า นี่เจ้าหมายความว่าอะไร”
อี๋อวี้ทัดผมที่รุ่ยร่ายไปไว้หลังหู อ้าปากพูดเรียบๆ “ข้ามิใช่หาหลักฐานไว้ให้ท่านชิ้นหนึ่งหรอกหรือ รอประเดี๋ยวเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนมาถึง ก็จับกุมท่านข้อหาโจรปล้นชิงได้พอดี…” กล่าวถึงตรงนี้ นางก้มหน้าปิดปากหัวร่อเบาๆ
ครานี้สีหน้าของสตรีสองนางแปรเปลี่ยนไปตามๆ กัน ทว่าคนหนึ่งหวาดกลัว คนหนึ่งโมโหโทโส ซานกูกัดฟันกรอดๆ มองอี๋อวี้ที่มีรอยยิ้มเกลื่อนหน้า นางสูดลมหายใจลึกๆ ทำหน้านิ่วเหยเก จากนั้นล้มลงนั่งแปะกับพื้น สองมือทุบต้นขาตนเองไปพลาง ตะโกนร้องไห้ฟูมฟายไปพลาง
“นี่มันข่มเหงกันชัดๆ สกุลหลูรังแกคน จะบีบคั้นให้คนที่อาศัยหยาดเหงื่อแรงกายหาเลี้ยงชีพอย่างพวกข้าต้องตาย นึกจะเลิกก็เลิก ตนเองได้เงินไปหลายพันตำลึงแล้วไม่สนใจว่าคนอย่างพวกข้าจะเป็นหรือตาย! พวกข้าก้มหน้าก้มตาทำงานทั้งวันทั้งคืนอย่างเหนื่อยยากลำบากมากับพวกเจ้าเนิ่นนานปานนั้น ตอนนี้พอพวกเจ้าพบทางสบายแล้ว ก็จะตัดทางรอดของพวกข้า ฮือๆ…”
ขณะมองดูนางตีอกชกหัวอยู่บนพื้น สีหน้าของอี๋อวี้เปลี่ยนไปเป็นแปลกใจในพริบตา ไม่ถึงชั่วครู่ ด้านนอกประตูเรือนสกุลหลูก็มีคนล้อมวงมุงดูเต็มไปหมด
เห็นซานกูนั่งแผลงฤทธิ์อยู่บนพื้น ยังมีเสียงร้องไห้โวยวายลอยมากระทบหูไม่ขาดสาย อี๋อวี้กระจ่างแจ้งในที่สุดว่าคนผู้นี้มาทำอะไร ยังมิใช่เพราะได้ยินเรื่องที่พวกนางทำสัญญาตกลงขายเหมาผลซานจากับปิงถังหูลู่ให้ผู้อื่น ได้เงินมาก้อนหนึ่ง เลยคิดจะฉวยโอกาสมาขอแบ่งสันปันส่วนด้วย
ก่อนหน้านี้หญิงชาวนาที่จ้างมาทำปิงถังหูลู่พวกนั้นส่วนใหญ่เป็นคนที่หลูซื่อเห็นว่าฐานะยากจนจึงอยากช่วยเหลือเจือจาน ฉะนั้นทุกๆ เดือนพวกนางถึงมีรายได้อย่างน้อยห้าตำลึงมาตลอดค่อนปีเศษนี้ ซึ่งเทียบเท่ากับผลเก็บเกี่ยวห้าปีจากไร่นาสิบหมู่ของครอบครัวชาวนาทั่วไปเลยทีเดียว ตอนหลูซื่อเลิกจ้างพวกนางยังมอบเงินให้อีกคนละสิบตำลึงเรียกได้ว่าเมตตากรุณาอย่างที่สุดแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังมีพวกที่โลภมากไม่รู้จักพอมาหาถึงเรือนอีกจริงๆ
จริงอยู่ที่เงินห้าพันตำลึงไม่ใช่จำนวนเล็กน้อย อี๋อวี้คาดประมาณว่าผู้ที่มีเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้น่าจะเปรียบได้กับเศรษฐีเงินล้านในที่ที่นางเคยอยู่ก่อนข้ามภพมา หากพูดว่าเมื่อครึ่งเดือนก่อนชีวิตของพวกนางเพียงถือว่าอยู่ในขั้นมีกินมีใช้ล่ะก็ บัดนี้นับได้ว่าก้าวขึ้นไปอยู่ในหมู่ชนชั้นกลาง สร้างเนื้อสร้างตัวจากชาวนามาเป็นผู้มีอันจะกินแล้ว หรือจะกล่าวง่ายๆ คือ ตอนนี้พวกนางคือเศรษฐีใหม่ แล้วจะไม่เป็นที่อิจฉาริษยาของผู้อื่นได้หรือไร
“ฮือๆๆๆ…พวกไร้ศีลธรรม…ไร้มโนธรรม…หากมิใช่พวกข้าช่วยเหลือเกื้อกูล…ครอบครัวพวกเจ้าจะร่ำรวยขึ้นมาอย่างรวดเร็วเพียงนี้หรือ…กลับลอบงุบงิบเก็บเงินก้อนนั้นเอาไว้เอง…ฮือๆๆๆ” หูของซานกูได้ยินเสียงวิจารณ์ดังระงมทางข้างหลัง นางยิ่งร้องไห้ตีโพยตีพายอย่างสุดกำลัง
ไม่ว่าถ้อยคำของนางจะจริงหรือเท็จอยู่กี่ส่วนก็ตามที ชาวบ้านทั้งหลายที่มุงดูอยู่นอกประตูเริ่มชี้หน้าซุบซิบนินทาอี๋อวี้ บางคนที่ใจกล้ากว่ายังส่งเสียงดังพูดหนุนนางสองสามคำ
ความรู้สึกเกียจคร้านเฉื่อยชาจากการตื่นเช้าของอี๋อวี้อันตรธานไป ครั้นได้ยินเสียงหลูซื่อร้องถามซ้ำๆ จากในห้องลอยผ่านโถงกลางออกมาอีก นางไม่แม้แต่จะมองคนบนพื้นสักแวบ หมุนกายเลิกม่านขึ้นเดินกลับเข้าไปข้างใน อีกอย่างหนึ่งนางคลุมเสื้อตัวนอกไว้เท่านั้น ยืนอยู่เบื้องหน้าผู้คนในสภาพเช่นนี้อย่างไรก็ไม่เหมาะ
เสี่ยวหม่านเข้าไปในห้องโถงตามหลังนางติดๆ เห็นหลูซื่อเอาเสื้อคลุมตัวเดินมาจากห้องนอนด้านขวา ถามพวกนางอย่างสงสัย “ข้างนอกเสียงดังอึกทึกอย่างนั้น มีอะไรรึ”
ไม่รอให้อี๋อวี้เอ่ยปากพูด เสี่ยวหม่านก็ชิงเล่าฉอดๆ ถึงเรื่องเมื่อครู่นี้ก่อน อี๋อวี้ฉวยจังหวะนี้กลับไปที่ห้องของตนเองตักน้ำเย็นอ่างหนึ่งมาล้างหน้า ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ด้วยไม่ถนัดการหวีแต่งเรือนผม นางทำได้แค่ส่องคันฉ่องถักผมเป็นเปียยาวเส้นหนึ่งห้อยพาดมาทางบ่าซ้าย
เสี่ยวหม่านเดินตามหลูซื่อเข้ามาในห้องเห็นนางแต่งกายเช่นนี้ กุลีกุจอก้าวเข้าไปหยิบหวีสับไม้เหลืองพันแพรสีมาเสียบผมตรงหลังหูของนาง และช่วยหวีผมหน้าม้าของนางให้เรียบ ปากยังพึมพำเบาๆ ไปด้วย “คุณหนูก็จริงๆ เลย จะไม่มุ่นผมก็ช่าง นี่ไม่แม้แต่จะติดเครื่องประดับสักชิ้น ออกไปใครเห็นเข้ายังนึกว่าพวกเราแสร้งทำตัวเป็นยาจกนะเจ้าคะ”
หางตาของอี๋อวี้กระตุกทีหนึ่ง เพียงถือเสียว่าไม่ได้ยินคำพูดของสาวใช้ เสียงร้องไห้โวยวายในลานยังดังไม่ขาดสาย พวกนางอยู่ในห้องยังได้ยินชัดถนัดหู
หลูซื่อด้านข้างขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “เจ้าว่าพวกนางได้ข่าวมาจากที่ใดกัน กระทั่งพวกเราทำสัญญาเป็นเงินเท่าไรก็รู้อย่างแจ่มแจ้ง นางมาเอะอะโวยวายอย่างนี้เป็นการสาดโคลนมาที่ตัวพวกเราโดยไร้เหตุผล คนที่มุงดูอยู่วันนี้จะเอาเรื่องพวกเราไปลือต่อๆ กันในวันหลังอย่างไรก็สุดรู้”
อี๋อวี้ลุกขึ้นไปจูงหลูซื่อมาที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ให้เสี่ยวหม่านสางผมให้มารดา ส่วนตัวนางอยู่ด้านข้างเลือกเครื่องประดับผมที่อยู่ในกล่อง “ท่านแม่จะสนใจพวกคนปากมากนั่นทำไม ประเดี๋ยวไปเรียกเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนมาจับพวกนางออกไปก็หมดเรื่อง กับคนพรรค์นั้นไม่คุ้มค่าหรอกเจ้าค่ะ” ว่าแล้วก็ยื่นปิ่นเงินสลักลายนกกระจอกในมือส่งให้เสี่ยวหม่าน
“นั่นสิเจ้าคะ ฮูหยินจะแยแสพวกนางไปไย ข้าได้ยินน้าสะใภ้บอกว่าตอนนั้นเป็นพวกนางที่ตามรบเร้าจะขายถังหูลู่กับพวกเราให้ได้ ครอบครัวของซานกูผู้นั้นยังร่ำรวยกว่าบ้านข้าเสียอีก หากมิใช่ฮูหยินใจดี ไหนเลยพวกนางจะมีโอกาสหาเงินพวกนั้นได้”
บิดามารดาของเสี่ยวหม่านด่วนจากไปทั้งคู่ นางต้องใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวของน้าชายนามว่าฉีอู่ตั้งแต่เยาว์วัย ทว่าเมื่อครึ่งปีก่อนฉีอู่ประสบเคราะห์ร้ายขา ครอบครัวขาดคนหาเงินเลี้ยงดูทันที ในเวลานั้นเองที่หลูซื่อจ้างน้าสะใภ้ของนางมาขายถังหูลู่ และเป็นหนึ่งในหญิงชาวนาที่ติดตามหลูซื่อไปเร่ขายของที่เมืองฉางอันตั้งแต่เริ่มต้น ต่อมาฉีอู่กลายเป็นคนขาพิการ หลูซื่อก็จ้างเขาไปเฝ้าไร่ซานจา ครอบครัวนี้ถึงนับว่ามีความเป็นอยู่ที่มั่นคง
เสี่ยวหม่านนั้นมาที่เรือนสกุลหลูเองเมื่อสองเดือนก่อน บอกว่าต้องการขายตัวเป็นสาวใช้ของหลูซื่อกับบุตรสาว หลูซื่อจะยอมตกลงได้อย่างไรกัน แต่เด็กสาวนางนี้ร้องไห้กอดขานางพูดว่าต้องการทดแทนบุญคุณครอบครัวน้าชายที่อบรมเลี้ยงดูมา ร่ำร้องขอให้หลูซื่อส่งเสริมตนเองให้ได้ทำตามที่ตั้งใจ ท้ายที่สุดเป็นอี๋อวี้ที่เอ่ยปากรับนางไว้ กระนั้นมิได้ให้นางประทับนิ้วมือในสัญญาขายตัวอะไร ทุกเดือนยังให้เงินนางหนึ่งตำลึงเป็นค่าตอบแทน มีรายได้มากกว่าชายฉกรรจ์ทำไร่ไถนาด้วยซ้ำไป
หลูซื่อฟังเสี่ยวหม่านพูดแล้วหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นยังไม่คลายออก อี๋อวี้เห็นมารดาเป็นเช่นนี้ ได้แต่พูดกล่อม “ท่านแม่อย่ามีน้ำโหเลย ข้าออกไปบอกให้พวกนางกลับไปเอง ท่านแต่งเนื้อแต่งตัวก่อน อีกประเดี๋ยวพวกเรายังต้องไปเยี่ยมพี่เซียงเซียงนะเจ้าคะ” สองเดือนที่แล้วหลิวเซียงเซียงออกเรือนใหม่ในฐานะหญิงม่ายไปแล้ว นางแต่งงานกับอาจารย์สอนหนังสือในเมืองที่สูญเสียภรรยามานานสี่ปีผู้หนึ่ง เขามีอายุมากกว่านางสี่ปี แม้นเป็นคนคร่ำครึไปบ้าง แต่ดีต่อนางอย่างยิ่งยวด
ตอนที่อี๋อวี้ออกมา ซานกูยังอาละวาดอยู่ตรงลานกว้าง มีหญิงซึ่งออกเรือนแล้วสองคนกล่าวปลอบอยู่ด้านข้าง นางพูดอะไรบางอย่างด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น พอชายตาเห็นอี๋อวี้ก็ส่งเสียงร้องไห้โหยหวนดังขึ้นอีกครา
สตรีสองคนด้านข้างซานกูเห็นนางออกมา พากันถอนใจเฮือกแล้วถอยไปยืนด้านข้าง อี๋อวี้ส่งยิ้มให้พวกนาง จากนั้นเดินไปตรงหน้าซานกู เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ซานกู นี่ท่านจะทำอะไรหรือ”
สุ้มเสียงของนางไม่ดังนัก แต่เป็นสำเนียงเมืองหลวงที่ถูกต้องชัดเจน นับแต่เริ่มขายปิงถังหูลู่ในเมืองฉางอันเมื่อหนึ่งปีก่อน พวกนางก็เปลี่ยนสำเนียงพูดกันทั้งครอบครัว หลูซื่อเดิมพูดสำเนียงเมืองหลวงได้อยู่แล้ว ส่วนอี๋อวี้แสร้งทำทีฝึกอยู่ครึ่งเดือนกว่าถึงเปลี่ยนสำเนียงได้
ซานกูได้ยินคำถามของนาง ก็เบาเสียงสะอื้นลงบ้าง พูดขาดเป็นห้วงๆ “ข้า…ข้าคิดจะทำอะไรที่ไหนกัน พวกเจ้าปิดบังทุกคนลอบรับเงินไว้เอง…แล้วก็…แล้วก็ตัดทางทำมากินของพวกข้า ไม่ให้พวกข้าขายแล้ว…เอาเป็นว่าพวกเจ้าแล้งน้ำใจ…”
ชาวตำบลส่วนใหญ่ต่างล่วงรู้ว่าปีนี้สกุลหลูเริ่มมีเงินมีทองขึ้นจากการทำการค้า แต่พอซานกูโวยวายขึ้นในวันนี้ถึงรู้ว่าเป็นเพราะได้รับเงินมาหลายพันตำลึง ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าในบรรดานั้นมีกี่คนที่ได้ประโยชน์จากการขายปิงถังหูลู่ คนที่ไม่แจ่มแจ้งที่มาที่ไปก็มีอยู่ถมเถ ส่งผลให้มีคนไม่น้อยพากันยืนอยู่ข้างซานกู ส่วนเสียงกระซิบกระซาบของคนที่มุงดูยิ่งดังมากขึ้นไปอีก
“การค้าดีๆ นางนึกจะไม่ให้คนอื่นทำก็ไม่ให้ทำ จะวางอำนาจเกินไปกระมัง”
“เจ้าคงไม่รู้ว่าผลเล็บแดงที่ใช้ทำปิงถังหูลู่นั่นมีเพียงเรือนนางเท่านั้นที่มี ไร่ผืนนั้นยังให้คนเฝ้ายามอย่างแน่นหนา กระทั่งนกสักตัวก็บินเข้าไปไม่ได้ ตอนนี้พวกนางไม่ส่งผลเล็บแดงให้ คนอื่นย่อมขายไม่ได้เป็นธรรมดา”
อี๋อวี้เลิกคิ้วขึ้น กวาดตามองชาวบ้านในตำบลที่พึมพำเสียงเบาๆ รอบหนึ่งแล้วตรึงสายตาอยู่ที่ร่างซานกู ความตั้งใจเดิมของนางคือเรียกเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนมาลากตัวอีกฝ่ายออกไปทันที แต่ขณะนี้ดูไปแล้วคงต้องพูดกันให้รู้ดำรู้แดง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางทำหน้าลำบากใจหลายส่วนยามถามขึ้น “เช่นนั้นท่านว่ามาสิ สกุลหลูต้องทำเช่นไร ท่านถึงไม่ก่อความวุ่นวาย”
ดีชั่วซานกูก็คลุกคลีกับชาวสกุลหลูมาเป็นเวลาไม่น้อย รู้ว่าอี๋อวี้สามารถตัดสินใจได้ ทั้งเห็นใบหน้านางเผยรอยลำบากใจออกมา นึกไปว่านางกลัวตนเองจะก่อกวนต่อไป ซานกูกลอกตาทีหนึ่งแล้วยกแขนเสื้อเช็ดหน้า ตะกายลุกขึ้นจากพื้นอย่างว่องไว พูดด้วยความมั่นใจเต็มอก “เว้นเสียแต่พวกเจ้าแบ่งเงินก้อนนั้นให้ พวกข้าเคยช่วยครอบครัวพวกเจ้าขายของมาก่อน อย่างน้อยต้องคนละหนึ่งร้อยตำลึง”
ซานกูไม่ใช่คนโง่เขลา นางมิได้คิดแต่จะขอปันเงินให้ตนเอง ยังรู้จักดึงคนอื่นๆ มาร่วมด้วย หนึ่งคนหนึ่งร้อยตำลึง คนที่เคยทำงานให้สกุลหลูทั้งตอนแรกและตอนหลังรวมกันมีทั้งสิ้นยี่สิบกว่าคน เป็นการรีดไถเงินห้าพันตำลึงที่สกุลหลูเพิ่งได้มาไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
“ถ้าข้าไม่ให้ล่ะ” น้ำเสียงของอี๋อวี้แฝงรอยหยั่งเชิง
“ไม่ให้? ไม่ให้ข้าก็จะมาโวยวายที่หน้าประตูเรือนเจ้าทุกวัน บอกกับทุกคนว่าพวกเจ้าใจไม้ไส้ระกำอย่างไร ให้คนทั้งตำบลรู้กันหมดว่าสกุลหลูของพวกเจ้าปิดบังหลอกลวงคนยากคนจนอย่างพวกข้าอย่างไร” ซานกูเบะปาก ทำท่าจะนั่งลงกับพื้นอีก อี๋อวี้ไม่ห้ามนาง เพียงมองสำรวจนางตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า จากนั้นแค่นหัวเราะอย่างดูแคลน ไม่หลงเหลือท่าทางสุภาพอ่อนน้อมเมื่อครู่นี้ให้เห็น
“ท่านก็ช่างไม่ถือสาว่าพูดจาส่งเดช ฟันจะร่วงหมดปากรึ คนยากคนจนอะไร…ข้าขอถามท่านสักนิด ตุ้มหูทองที่เสียบบนติ่งหูท่านชุบสีหรือไร แล้วกำไลเงินที่สวมอยู่บนข้อมือนั่นหล่อจากขี้ผึ้งหรือไร”
ถ้อยคำนี้ของอี๋อวี้ดังขึ้น คนด้านข้างพากันมองไปที่ตัวซานกู เห็นตุ้มหูทองใหญ่เท่าเมล็ดถั่วลิสงเสียบอยู่บนติ่งหูของนาง และกำไลเงินส่องประกายวาววับวงหนึ่งสวมอยู่บนข้อมือที่ยันพื้นอยู่จริงๆ
ซานกูรับรู้ได้ว่าสายตาของทุกคนจับอยู่ที่ร่างนาง รีบจับหูเป็นการปกปิด ทำให้มันยิ่งสะดุดตามากขึ้นพอดี นางลุกลนดึงแขนเสื้อให้เข้าที่ พอเห็นคนที่มุงดูอยู่รอบๆ มีสีหน้าแปลกชอบกล นางถลึงตาตะโกนใส่อี๋อวี้
“นี่ข้าใช้เงินซื้อมาเอง แล้วใส่ไม่ได้หรืออย่างไร” นางพูดคำนี้ออกมากลับเป็นการตบปากตนเอง เมื่อครู่นี้นางยังบอกว่าตนเองเป็นคนยากจน ตอนนี้ร่ำรวยจนสวมใส่ของมีค่าได้เสียแล้ว หญิงซึ่งออกเรือนแล้วสองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างค่อยๆ ถอยไปที่หน้าประตู
อี๋อวี้ส่งเสียงเยาะ “ครอบครัวท่านมีที่นาอยู่ทั้งหมดแค่สิบหมู่นั่น ทั้งไม่ได้ทำมาหากินทางอื่น หากมิใช่มารดาข้าใจดีว่าจ้างท่าน ให้ท่านได้เงินจากการขายปิงถังหูลู่ ท่านจะเอาเงินทองจากที่ใดซื้อเครื่องประดับเหล่านี้”
กล่าวจบก็ไม่รอซานกูโต้แย้ง อี๋อวี้เดินไปข้างหน้าหลายก้าวจนหยุดฝีเท้าลงหน้าประตู พูดกับชาวบ้านที่มุงดูอยู่ด้วยหน้าตาคับข้องหมองใจ “ทุกท่านเพียงนึกว่าสกุลหลูของข้าห้ามนางค้าขาย บอกว่าพวกข้าแล้งน้ำใจ หากแต่ไม่คิดว่าพวกข้าหญิงม่ายกับลูกกำพร้าสามคนมาถึงตำบลนี้ แปลกที่แปลกทางไม่มีคนรู้จัก ต้องตรากตรำทำงานเช้าจรดค่ำนานสามปีถึงมีฐานะอย่างทุกวันนี้ได้ มารดาข้าอยากให้ทุกคนหาเงินได้บ้าง ว่าจ้างพวกสตรีมาค้าขายด้วยกัน คนที่สกุลหลูว่าจ้างเมื่อครึ่งปีก่อน บัดนี้มีเรือนใดบ้างที่ไม่กินดีอยู่ดีและสร้างเรือนหลังใหม่ เดือนที่แล้วตอนเลิกขายยังแบ่งให้ครอบครัวละสิบตำลึง แต่กลับมีคนบางคนได้ประโยชน์ไปแล้ว ตอนนี้ยังจะมาหวังทรัพย์สินของครอบครัวข้าโดยไม่ละอาย”
อี๋อวี้นั้นเดิมทีมีดวงหน้าขาวเนียมนุ่มจิ้มลิ้มพริ้มเพรา นางยังจงใจปั้นหน้าคับข้องหมองใจอย่างนั้น เพียงใช้ดวงตาสุกใสคู่โตมองไป ก็ทำให้คนบังเกิดความเห็นอกเห็นใจได้แล้ว ตอนแรกคนที่มุงดูอยู่เหล่านี้ยังรู้สึกว่าซานกูมีเหตุผล แต่เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ของอี๋อวี้ สายตาทุกคู่ซึ่งมองไปที่ซานกูอีกคราล้วนเจือรอยคลางแคลงใจ
ใบหน้าซานกูเดี๋ยวซีดเดี๋ยวเขียว นางถูกอี๋อวี้ที่หันหลังให้ทุกคนถลึงตาใส่กะทันหันจนนิ่งงันอยู่กับที่ “ซานกู ท่านอย่านึกนะว่าพวกพี่ชายข้าล้วนไม่อยู่เรือนแล้วคิดจะข่มเหงข้ากับท่านแม่ได้โดยง่าย ท่านแค่อยากฉวยโอกาสฉกฉวยประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น กลับพูดโกหกพกลมได้อย่างไม่อายปาก อันใดเรียกว่าปิดบังท่านลอบรับเงินไว้เอง ข้าขอบอกท่านอย่างกระจ่างชัดว่า เมล็ดพันธุ์ต้นเล็บแดงนั่นเป็นของของสกุลหลู ผืนดินที่ปลูกต้นเล็บแดงก็เป็นของของสกุลหลู ถึงมารดาข้าจะบอกขาย ก็มิใช่กงการอะไรของท่าน!”
“เจ้า…เจ้า….เจ้าเด็กปากร้าย ข้าไม่พูดกับเจ้าแล้ว เจ้าไปเรียกแม่เจ้าออกมา ข้าจะพูดกับนางเอง!” ซานกูเห็นว่าไม่อาจชิงความได้เปรียบจากอี๋อวี้ ก็หันเหเป้าหมายไปที่หลูซื่อซึ่งมีนิสัยตรงไปตรงมามากกว่า
อี๋อวี้ไม่ทันอ้าปากปฏิเสธ เห็นเสี่ยวหม่านเปิดม่านขึ้น หลูซื่อก้าวออกมาจากในห้องแล้ว
นางโบกมือเรียกบุตรสาวเข้าไปหา อี๋อวี้กลืนคำพูดที่มารออยู่ปลายลิ้นกลับลงคอ เดินไปยืนอยู่ข้างกายมารดาอย่างว่าง่าย หลูซื่อถึงเบนสายตาไปยังซานกูที่นั่งอยู่บนพื้น
“หลูเอ้อร์เหนียง!” ซานกูชิงตะโกนขึ้นก่อนนางเอ่ยปากพูด เพื่อดึงความสนใจของผู้คนมาที่ตนเอง “หลูเอ้อร์เหนียง ท่านบอกมาเองเลยว่าที่ท่านร่ำรวยมั่งคั่งได้เพราะพวกข้าช่วยท่านขายปิงถังหูลู่ใช่หรือไม่”
หลูซื่อได้ยินนางกล่าววาจากลับดำเป็นขาวเยี่ยงนี้ก็ไม่โกรธเคือง นางย้อนถาม “ท่านกล้าบอกกับทุกคนหรือไม่ว่าตั้งแต่ข้าจ้างท่านมาขายของ ครึ่งปีมานี้ท่านหาเงินได้เท่าไร”
ซานกูชะงักอยู่กับที่ไปชั่วขณะ นางละล้าละลังครู่ใหญ่ยังอ้ำอึ้งพูดไม่ออก หลูซื่อคลี่ยิ้มกล่าวตอบแทน “ท่านกระดากปากที่จะพูด ข้ามาคำนวณให้ท่านเอง…เดือนๆ หนึ่งได้กำไร น้อยก็ห้าตำลึงมากก็สิบตำลึง ครึ่งค่อนปีที่ผ่านมามีใครคนใดบ้างไม่ได้เงินเกือบร้อยตำลึง”
ชาวบ้านรอบๆ บางคนที่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังได้ยินเงินจำนวนนี้ ลมหายใจสะดุดเฮือกหนึ่งไปตามๆ กัน นี่เป็นการแจกเงินให้พวกนางชัดๆ ใช่จ้างคนทำงานที่ไหนกัน! มิน่าทุกคราที่พวกสตรีซึ่งทำงานให้สกุลหลูถูกถามเรื่องค่าจ้าง ล้วนตอบอย่างกำกวมไม่ชัดเจน ที่แท้ได้เงินดีอย่างนี้นี่เอง!
หลูซื่อกล่าวสืบไป “หากไม่มีฝีมือทำปิงถังหูลู่ของครอบครัวข้า หากไม่มีผลเล็บแดงในไร่ของครอบครัวข้า ท่านจะหาเงินมากมายปานนั้นจากที่ใด เพียงเพราะตอนนี้ข้าไม่เปิดโอกาสให้ท่านตักตวงเงินทองนี้ได้อีก ท่านก็คิดจะข่มขู่รีดไถข้า หมายแบ่งทรัพย์สินที่พวกข้าแม่ลูกสกุลหลูหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง ซานกู ท่านลองถามมโนธรรมในใจดูทีว่าเป็นข้าแล้งน้ำใจหรือท่านโลภมากเกินไปกันแน่”
ถ้อยคำเดียวที่ว่า ‘เป็นข้าแล้งน้ำใจหรือท่านโลภมากเกินไปกันแน่’ ทำให้ทุกคนในที่นั้นล้วนสะดุ้งในใจเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นพวกที่อิจฉาตาร้อนเพราะรู้ว่าสกุลหลูร่ำรวย หรือพวกที่ยอมรับไม่ได้ที่ถูกหลูซื่อเลิกจ้าง เกรงว่าในเสี้ยวเวลานี้ต่างต้องถามใจตนเองและคิดได้แจ่มแจ้งแล้ว
ตั้งแต่สามปีก่อนเป็นต้นมา หลูซื่อที่มีนิสัยอารมณ์ร้อนก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นสุขุมนุ่มนวลขึ้น ยามประสบปัญหาก็ไม่เอาแต่โมโหร้อนใจอีก อี๋อวี้รู้ดีแก่ใจว่านางเคยพลาดท่าเสียรู้ครั้งใหญ่ตอนอยู่ที่หมู่บ้านเค่าซานถึงได้เปลี่ยนแปลงไป วันนี้เห็นมารดาใช้แค่คำพูดไม่กี่คำเช่นนี้ แม้ไม่เชือดเฉือนอย่างนาง กลับสามารถโน้มน้าวใจคนได้มากกว่า อดรำพึงในใจไม่ได้ว่าขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดโดยแท้
คำกล่าวของหลูซื่อทำให้ซานกูอึ้งงันไปทันควัน หลูซื่อเหลียวมองผู้คนรอบด้านที่นิ่งเงียบในชั่วพริบตา ถอนใจเฮือกหนึ่ง “เฮ้อ…ทุกคนแยกย้ายไปเถอะ ซานกู…ท่านจะกลับไปเอง หรือต้องรอให้ข้าเรียกเจ้าหน้าที่มาจับตัวท่านไปจริงๆ”
สีหน้าของซานกูปนเปไปด้วยความรู้สึกหลากหลายวูบหนึ่ง สุดท้ายนางให้น้องสาวสามีที่ยืนห่างออกไปอยู่ตลอดประคองเดินออกจากเรือนสกุลไป
เมื่อกลุ่มคนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว อี๋อวี้สั่งกำชับเสี่ยวหม่านปิดประตูเรือนแล้วเก็บกวาดลานด้านหน้า ส่วนตนเองสอดมือคล้องแขนมารดาเดินเข้าไปในห้องโถง
“ท่านแม่ ท่านเก่งกาจจริงๆ พูดไม่กี่คำก็ไล่นางไปได้แล้ว” อี๋อวี้หยิบเบาะรองสองอันมาวางบนพรมปูพื้น และนั่งลงกับหลูซื่อ
เรื่องเมื่อครู่นี้ย่อมส่งผลถึงอารมณ์ของหลูซื่อไม่มากก็น้อย รอยยิ้มบนใบหน้านางฝืดเฝื่อนอยู่บ้าง “ข้าเก่งกาจที่ใดกัน แค่ใจนางไม่บริสุทธิ์เท่านั้นเอง คนเราน่ะมีใครบ้างไม่โลภมาก พวกเราทำสัญญากับร้านต้าซิง มิใช่หวังเงินห้าพันตำลึงนั่นเช่นเดียวกันหรือ หากแต่เงินบางอย่างที่สมควรได้ พวกเราก็รับไว้อย่างสบายใจ ส่วนเงินบางอย่างไม่สมควรได้ เอื้อมมือไปพาจิตใจมืดบอด”
อี๋อวี้ขบคิดพินิจถ้อยวาจานี้อยู่ในใจ หลูซื่อยื่นมือมาผลักนางเบาๆ บอกให้ไปหยิบของเตรียมตัวไปที่เรือนของหลิวเซียงเซียง นางถึงลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องนอนทางด้านขวาของหลูซื่อ
ยามนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว หลิวเซียงเซียงเพิ่งแต่งงานเมื่อตอนเดือนสองกับอาจารย์สอนหนังสือนามว่าหวงเฮ่อ ตระกูลเขามีทรัพย์สมบัติอยู่บ้าง หลูซื่อใช้เงินไปถึงร้อยตำลึงจัดเตรียมสินเจ้าสาวให้นาง นับได้ว่าเป็นเจ้าสาวที่ออกเรือนอย่างมีหน้ามีตาในตำบลนี้ ก่อนหลูซื่อทำสัญญากับเถ้าแก่จ้าวของร้านต้าซิงได้บอกกับหลิวเซียงเซียงแล้ว หลายวันก่อนพอได้รับเงินตามสัญญา นางปรึกษากับอี๋อวี้ไว้ว่าจะแบ่งออกมาห้าร้อยตำลึง ปลีกเวลาเอาไปมอบให้หลิวเซียงเซียง
ครั้นวันนี้ว่างแล้วกลับพบกับเรื่องวุ่นวายพรรค์นี้ ยังดีที่ไล่คนกลับไปได้ ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ไปที่เรือนสกุลหวงได้พอดี
อี๋อวี้ล้วงหีบเล็กๆ ใบหนึ่งจากใต้เตียงหลูซื่อ แงะฝาปิดพักหนึ่งถึงเปิดออก ในนั้นมีตั๋วเงินมูลค่าสูงวางเรียงกันเป็นปึกหนาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ทุกใบล้วนประทับตราของร้านแลกเงินทงเทียนแห่งเมืองฉางอัน นางนับตั๋วเงินร้อยตำลึงห้าใบแล้วพับเก็บไว้ในถุงผ้าปักที่เพิ่งทำเสร็จเมื่อวันก่อนอย่างระมัดระวัง จากนั้นปิดหีบแล้วเก็บเข้าไปใต้เตียงถึงสาวเท้าออกมาจากห้องนอน
หลังวันปีใหม่ผ่านไป หลูจวิ้นตามหลูจื้อไปพักอยู่ในสำนักศึกษาหลวง เพราะมีอาจารย์อาวุโสสอนหมัดมวยคนหนึ่งมาอยู่ที่นั่น เขาได้ยินจากหลูจื้อโดยบังเอิญก็เซ้าซี้จะตามไปดู เด็กหนุ่มย่างวัยสิบหกสิบเจ็ดแล้วกลับยังคล้ายเด็กน้อยคนหนึ่ง หลูซื่อจนปัญญากับเขา เมื่อถามหลูจื้อซ้ำๆ จนมั่นใจว่าพาเข้าไปจะไม่เกิดปัญหาใด จึงตกลงให้เขาไปฉางอันด้วย
ด้วยเหตุนี้บุตรชายสองคนยังไม่รู้เรื่องที่หลูซื่อได้รับเงินมาห้าพันตำลึง
สองสามวันก่อนหลูซื่อกับอี๋อวี้เพิ่งสะสางการงานในเรือนจนเข้าที่เข้าทาง พอวันนี้ไปมอบเงินให้หลิวเซียงเซียงแล้ว สองแม่ลูกก็จะเตรียมตัวไปหาพวกเขาที่ฉางอันวันพรุ่งนี้
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.