ทดลองอ่าน – บทที่ 2
ทันทีที่หลูจวิ้นเข้ามาก็ตะโกนเรียกชื่ออี๋อวี้ แล้ววิ่งไปที่หน้าเตียงคว้าตัวนางชูขึ้นหมุนไปรอบห้อง นางร้องเสียงหลงด้วยความตกใจทันควัน
อี๋อวี้นึกไม่ถึงว่าจะได้สัมผัสความรู้สึกตัวลอยกลางอากาศเหมือนนั่งรถไฟเหาะอีกครา หลังจากตื่นตระหนกไปชั่วครู่ก็กุมสติได้ นางคิดในใจว่าหลูจวิ้นยังไม่ย่างสิบขวบ แต่เรี่ยวแรงดีเหลือหลาย ถึงตัวนางไม่หนัก แต่ใช่ว่าเด็กน้อยทั่วไปจะยกขึ้นหมุนไปมาได้ไหว อีกอย่างเขาเล่นซุกซนมาทั้งเช้ายังกระฉับกระเฉงปานนี้
หลูจื้อเห็นน้องชายเริ่มคึกคะนองอีกแล้ว รีบดุสั่งสอนเขาสองคำให้ระมัดระวังอย่าทำน้องสาวหล่นพื้น
หลูซื่อได้ยินเสียงเด็กๆ เล่นกันก็ยกข้าวปลาอาหารออกจากห้องครัว สั่งให้บุตรชายสองคนไปล้างมือ และอุ้มอี๋อวี้ไปนั่งที่ข้างโต๊ะเตี้ยๆ ตัวที่อยู่ตรงหน้าประตูห้องครัว มือหนึ่งรัดตัวนางไว้ มือหนึ่งเปิดฝาโถกระเบื้องสูงราวฝ่ามือหนึ่งออก มีควันลอยฉุยๆ ออกมาโดยพลัน ทั้งที่อี๋อวี้หิวแล้ว แต่ความสนใจอยากรู้เกี่ยวกับอาหารการกินที่เรียบง่ายของชาวนาสมัยโบราณมีมากกว่า ก็เลยชะโงกหน้าไปดู
เห็นบนโต๊ะนอกจากโถสีน้ำตาลใบหนึ่งแล้วมีแค่ชามก้นตื้นสองสามใบกับขนมรังนก จานหนึ่ง มาตรว่าจะเป็นของกินพื้นๆ แต่มีกลิ่นหอมชวนกินยิ่ง บุตรชายสองคนซึ่งวิ่งเข้ามานั่งที่โต๊ะเหลือบดูแวบหนึ่ง หลูจวิ้นหน้าชื่นตาบานทันใดเป็นเชิงว่าอาหารของวันนี้ไม่เลวเลย
เขายิ้มหน้าแป้นอวดฟันขาวทั้งปาก เอ่ยกับหลูซื่อ “ท่านแม่ทำผักอบหม้อดินหรือนี่ ฮ่าๆ ได้กลิ่นก็รู้ว่าอร่อย ทำเอาข้าน้ำลายสอ” ว่าแล้วไม่รอให้มารดาอ้าปากพูด มือหนึ่งฉวยตะเกียบบนชามตรงหน้า เล็งไปที่โถหม้อดินแล้วคีบอาหารในนั้นมาใส่ปากโดยไม่กลัวโดนลวก อีกมือหนึ่งหยิบขนมรังนกชิ้นหนึ่งมากัดคำโตๆ เริ่มกินกับข้าวคำขนมรังนกคำไปเรื่อยๆ
อี๋อวี้แลมองท่าทางกินของเขาแล้วดูกับข้าวอีกที ก็รู้ว่าเป็นอาหารจำพวกผักต้มผักนึ่ง หลูซื่อคีบกับข้าวป้อนนางคำหนึ่ง แม้จะไม่มีความมันสักนิด กลับรู้สึกว่ารสชาติดีจริงๆ นางยังกัดขนมรังนกคำหนึ่งจากมือมารดา เพียงรู้สึกว่าแข็งมาก กัดชิ้นหนึ่งต้องใช้เวลาเป็นนานกว่าจะเคี้ยวให้ละเอียด
หลูซื่อเห็นท่าเคี้ยวของนางแล้วขมวดคิ้วกล่าวขึ้น “ในเรือนไม่มีแป้งหมี่แล้ว วันนี้แม่ไปที่ตลาดก็ติดเงินไปไม่พอ พรุ่งนี้ค่อยไปอีกที จะได้ซื้อแป้งกลับมาทำแป้งย่างให้เจ้า แม่ทำข้าวต้มให้เจ้ากินก่อนนะ อย่าเคี้ยวอีกเลยประเดี๋ยวจะฟันหัก”
หลูจื้อได้ยินคำพูดหลูซื่อก็พยักหน้าเห็นดีด้วย “นั่นสิขอรับ เสี่ยวอวี้ยังเล็ก กินแป้งนุ่มๆ จะดีกว่า สองสามวันนี้ไปซื้อจากตลาดก่อน อีกพักหนึ่งพอเกี่ยวข้าวในนาได้แล้ว ค่อยเอาไปจ้างคนโม่เป็นแป้ง” ด้านหลูจวิ้นกำลังเคี้ยวอาหารอยู่ในปาก ก็ผงกหัวหงึกหงักส่งเสียงเอออออู้ๆ อี้ๆ
อี๋อวี้สัมผัสได้ถึงความห่วงใยอาทรต่อตนเองอย่างล้นเหลือในวาจาของพวกเขา รู้สึกลำคอตีบตันน้อยๆ พาให้ขนมรังนกแข็งกระด้างในปากยิ่งหอมอร่อยขึ้นทันใด
นางให้หลูซื่อป้อนข้าวไปพลาง ถือโอกาสมองสำรวจรอบๆ ไปพลาง เรือนหลังนี้ก่อสร้างด้วยดินและไม้ คานกับเสาซึ่งทำจากไม้ที่มิได้ผ่านการขัดผิวให้เรียบล้วนโผล่อยู่ข้างนอกให้คนมองเห็นได้ตั้งแต่แวบแรก พื้นผนังขรุขระไม่เรียบเนียนแบบผนังกระเบื้องเทียมของยุคปัจจุบัน ทว่าสะอาดสะอ้านมาก โต๊ะกินข้าวเป็นโต๊ะไม้เตี้ยๆ ตั้งอยู่ตรงข้างผนังทางซ้ายมือ คนทั้งครอบครัวจะนั่งบนเสื่อผืนใหญ่ที่ปูรองอยู่ใต้โต๊ะ ไม่มีเก้าอี้
ห่างจากโต๊ะไปสองก้าวเป็นห้องครัวที่หลูซื่อเข้าไปทำกับข้าว ตรงช่องประตูที่กว้างเท่าสองช่วงบ่าคนมีแค่ม่านกั้นที่สานจากวัสดุอะไรก็ไม่รู้ผืนหนึ่งแขวนอยู่ดูหนาหนักมาก สามารถใช้กันควันไฟได้เป็นอย่างดี เครื่องเรือนอื่นๆ นอกเหนือจากนี้มีเพียงเตียงไม้กระดานที่วางอยู่เหนือแท่นหินกับตู้ไม้เก่าๆ สูงเท่าตัวคนอยู่ด้านข้าง ท่าทางน่าจะใช้เก็บเสื้อผ้าอาภรณ์
สภาพบ้านช่องที่โกโรโกโสของครอบครัวชาวนาหาได้ทำให้อี๋อวี้รู้สึกผิดหวังไม่ หากนางข้ามภพกลับมาอยู่ในตระกูลสูงศักดิ์มั่งคั่ง ไม่แน่ว่ายังต้องผจญกับการชิงดีชิงเด่น คงไม่สงบเป็นสุขเทียบเท่าเป็นชาวบ้านสามัญชน ตอนนี้ความเป็นอยู่ไม่ดีมิใช่เรื่องสำคัญ ภายภาคหน้าก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง สำหรับคนที่มาจากอนาคต เรื่องที่ไม่คุ้นเคยมากที่สุดคือขาดเครื่องใช้ไฟฟ้ากับสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน แต่มันกลับเผยให้เห็นถึงจิตใจที่เข้มแข็งอดทนของอี๋อวี้ได้อย่างชัดเจน ในความคิดของนาง จะขนมปังหรือนมก็ดี สักวันหนึ่งต้องมีแน่ แค่ว่าช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง
พวกเขากินไปคุยไปเรื่อยๆ ตอนหลังอี๋อวี้อยากลงมือกินเอง หลูซื่อก็ไม่ทักท้วง หยิบตะเกียบอีกคู่หนึ่งมาสอนวิธีจับให้นางอย่างช้าๆ นางแสร้งทำท่าหัดใช้ครู่หนึ่งแล้วคีบกับข้าวคำหนึ่งอย่างเก้ๆ กังๆ หลูซื่อซึ่งยังอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนดังเก่าตื่นเต้นดีใจเป็นการใหญ่ ปล่อยให้เด็กน้อยปลุกปล้ำกับตะเกียบตามสบาย คนทั้งสามยังอุทานชมไม่ขาดปากเพราะเหตุนี้ ถึงใบหน้าของอี๋อวี้จะเผยรอยยิ้มกว้าง แต่อดลอบคับใจไม่ได้ว่านางมีอายุตั้งยี่สิบแล้วแค่ใช้ตะเกียบยังต้องมีคนคอยให้กำลังใจตั้งหลายคนแบบนี้อีก
กินอาหารมื้อเที่ยงเสร็จ หลูซื่อกล่อมนางนอนกลางวัน อี๋อวี้ง่วงงุนจนตาแทบปิดอยู่แล้วหลับไปจนถึงหัวค่ำก็ยังไม่ตื่น อาหารเย็นเป็นหลูซื่ออุ้มนางไว้แล้วป้อนให้กินทีละคำ นางก็เคี้ยวหมุบๆ หมับๆ ไป พอถูกชำระกายจนสะอาดสะอ้านถึงกลับเข้าไปซุกอยู่ใต้ผ้าห่มอีกครา
อี๋อวี้หลับรวดเดียวจนตื่นขึ้นตอนเที่ยงตรงวันถัดไป นางลืมตาสะลึมสะลือมองเห็นขื่อไม้เหนือศีรษะเป็นสิ่งแรก มีเสียงกระซิบกระท่อนกระแท่นของสตรีกับเด็กดังแว่วอยู่ริมหู นางถึงรู้ว่าตนเองมิได้ฝันไป หากแต่เดินทางข้ามเวลามาเป็นเด็กหญิงลูกสาวชาวนาในยุคราชวงศ์ถังจริงๆ ที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้นางมีญาติพี่น้องแล้ว
นางสูดหายใจเฮือกหนึ่งแรงๆ เพื่อสะกดความเต็มตื้นไว้ ก่อนจะลุกจากเตียงไม้กระดานที่ค่อนข้างแข็งขึ้นมานั่ง กระแอมไอให้คอโล่งแล้วตะโกนเรียก “ท่านแม่!”
ชั่วพริบตาเดียว หลูซื่อก็วิ่งเข้ามาจากลานด้านนอกพร้อมร่างเล็กๆ ตามหลังมาเหมือนหางสองอัน อี๋อวี้กวาดสายตามองพวกเขาไล่ไปทีละคน จากนั้นผลิยิ้มเจิดจ้าออกมา
“เสี่ยวอวี้ตื่นแล้วหรือ ท่านแม่ไม่ให้ข้าปลุกเจ้า” หลูจวิ้นทำปากยื่นวิ่งไปนั่งที่ข้างเตียง กล่าวตัดพ้อกับนางอย่างคับข้องหมองใจเล็กน้อย
อี๋อวี้ยิ้มขันๆ มองเขาพร้อมเรียกขานเสียงอ่อนหวาน “พี่รอง” ทำให้หลูจวิ้นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทันใด นางยังหันไปส่งเสียงเรียกหลูจื้อว่า “พี่ใหญ่” หางตาชำเลืองเห็นเขาทำหน้าแดงเรื่อๆ
“เอาล่ะ ดูแลน้องเล็กให้เรียบร้อยนะ แม่จะไปอุ่นกับข้าว” ไม่รู้ว่าอุปาทานไปเองหรือไม่ อี๋อวี้คลับคล้ายได้ยินเสียงของหลูซื่อเจือรอยสะอื้นจางๆ ทั้งที่ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม
เมื่อกินอาหารกลางวันแล้ว หลูซื่อพาลูกๆ สามคนไปนั่งรับแดดตรงแท่นหินขนาดใหญ่ในลานเรือน นางยังทำงานฝีมือชิ้นหนึ่งในมือไปด้วย
อี๋อวี้ส่งยิ้มละไมกับหลูจวิ้นที่เย้าหยอกนางอยู่ด้านข้าง พลางสังเกตดูงานฝีมือของมารดา เห็นอีกฝ่ายมือหนึ่งจับสะดึงปักผ้าไว้อย่างมั่นคง มือหนึ่งถือเข็มร้อยด้ายแทงผ่านผ้ากลับไปกลับมา อี๋อวี้มองดูด้วยความสนใจใคร่รู้อย่างยิ่ง แม้จะรู้ว่าหลูซื่อปักผ้าได้ แต่ได้เห็นคนโบราณเย็บปักถักร้อยกับตาเป็นครั้งแรก ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรต่างจากการปักผ้าในยุคปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้นางขยับเข้าไปใกล้ๆ หลูซื่อ
ผืนผ้าขนาดราวผ้าเช็ดหน้าซึ่งถูกขึงไว้กับสะดึงดูคล้ายๆ ผ้าไหม ไม่เหมือนผ้าเนื้อหยาบที่พวกนางสวมอยู่บนตัว บนนั้นเพิ่งเริ่มต้นปักลาย มีแค่จุดสีเขียวสดเล็กๆ เท่านั้น ทว่าขณะที่นิ้วของหลูซื่อพลิ้วตวัดขึ้นลง พาด้ายปักหลากสีสันหลายเส้นทะลุลอดผ่านผ้าเนื้อละเอียดสีขาวกลับไปกลับมา ชั่วครู่เดียวต่อมา มุมหนึ่งบนพื้นผ้าไหมขาวนวลที่ว่างเปล่าในทีแรกก็มีแมลงปอสีเขียวสดตัวหนึ่งเพิ่มขึ้น ปีกบางใสละม้ายกระพืออยู่เบาๆ ถึงด้ายปักมีสีไม่สม่ำเสมอเท่าปัจจุบัน แต่ทุกส่วนของแมลงปอตัวนี้ล้วนสมจริงสุดจะเปรียบ ละเอียดยิบเสียจนแยกแยะดวงตาของมันได้อย่างชัดเจน
หลูจวิ้นเห็นนางหันเหความสนใจไปทางอื่นจนไม่ไยดีตนเอง เขาจึงกระตุกมือเล็กๆ ของนางพลางเอ่ย “เสี่ยวอวี้ดูท่านแม่ปักผ้าหรือ”
อี๋อวี้หันหน้ามาบอก “อื้อ สวย” ถ้อยคำนี้มิใช่คำเท็จ
เสื้อผ้าและเครื่องประดับกายของคนยุคปัจจุบันล้วนใช้เครื่องพิมพ์ลาย บางครั้งมีจุดที่ปักลายก็ยังทำด้วยเครื่องจักร อย่างเช่นสมัยที่นางเรียนมหาวิทยาลัย เคยปักผ้าเล่นๆ เป็นลายง่ายๆ แบบปักครอสสติตช์ตามอย่างเพื่อนๆ อยู่พักหนึ่งเหมือนกัน จึงเทียบมิได้กับศิลปะปักผ้าที่แท้จริง ตอนนั้นแค่สายห้อยโทรศัพท์มือถือขนาดเท่าฝ่ามือชิ้นเดียว นางใช้เวลาไปตั้งหนึ่งอาทิตย์กว่า อีกทั้งสุดท้ายแล้วยังเป็นแค่ลอกเลียนตามแบบทั้งหมดเท่านั้นเอง ดังนั้นนางจึงนึกเลื่อมใสในฝีไม้ลายมือของหลูซื่อที่ปักลายรูปหนึ่งออกมาได้ในเวลาชั่วประเดี๋ยวเดียวมากจริงๆ
แต่พอคิดไปถึงวิธีการปักของหลูซื่อเมื่อครู่นี้ อี๋อวี้พลันชะงักไป ดวงตาจับจ้องอยู่ที่หลูจวิ้นเขม็ง แววตาที่นิ่งค้างไปของนางทำให้เขาตกใจจนยื่นมือมาผลักตัวนางอย่างลุกลน
“เสี่ยวอวี้ เจ้าเป็นอะไรไป!”
อี๋อวี้ดึงสติคืนมา แลเห็นหลูซื่อกับหลูจื้อวางของในมือลง มองมาที่นางพร้อมกับหลูจวิ้นที่ตื่นตระหนกอยู่ นางรู้สึกผิดเล็กน้อยด้วยรู้ว่านี่เป็นเพราะพวกเขากลัวนางกลับไปปัญญาอ่อนอีกครา
“สวยมาก” อี๋อวี้เอานิ้วชี้ของบนตักหลูซื่อ ถึงทำให้สามแม่ลูกกลับมามีสีหน้าแย้มยิ้มชื่นบานดุจเดิม
หลูซื่อหยิบสะดึงขึ้นมาปักผ้าต่อ ปากก็กล่าววาจากับอี๋อวี้ “วันหลังอวี้เอ๋อร์ห้ามทำอย่างนี้อีกนะ แม่ตกใจแทบแย่ ถ้าเจ้าชมชอบงานเย็บปักถักร้อย รอไว้โตขึ้นอีกสักนิดค่อยหัดเถอะ แม่จะสอนเจ้าเอง ฝีไม้ลายมือด้านนี้ของพวกเราน่ะเป็นการปักแบบซื่อชวนขนานแท้ที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของท่านยายเจ้า และถ่ายทอดให้บุตรสาวไม่ถ่ายทอดให้ญาติพี่น้องนะ”
หลูซื่อยังพร่ำพูดกับนางไม่หยุด แม้นอี๋อวี้ทำสีหน้าตั้งใจฟัง ในใจกลับเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ ห้วงสมองของนางยังขบคิดถึงนิ้วมือที่พลิกพลิ้วขึ้นลงของหลูซื่อ
เมื่อครู่ตอนพูดคุยอยู่กับหลูจวิ้น นางตะลึงพรึงเพริดไปเมื่อประจักษ์ว่าทุกๆ ฝีเข็มที่หลูซื่อปักลายแมลงปอได้ประทับภาพอยู่ในหัวนางอย่างชัดเจนมาก ผิดแผกจากก่อนย้อนกลับสู่อดีตที่นางจดจำอะไรได้อย่างลำบากยากเย็น นี่มันเรื่องอะไรกัน นางเปลี่ยนไปเป็นคนความจำดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร
นางสะกดความประหลาดใจไว้ ลอบชำเลืองดูหลูซื่อทำงานฝีมืออีกครู่หนึ่ง จวบจนพบว่าไม่ว่าเบนสายตาออกแล้วทบทวนความจำสักกี่หน ล้วนสามารถจดจำขั้นตอนการเปลี่ยนด้ายและแทงเข็มของหลูซื่อได้คร่าวๆ อย่างขึ้นใจ ความประหลาดใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความยินดีทันควัน ลอบรำพึงว่าหลังจากข้ามมิติมา ความจำที่นางไม่เคยยกมาอวดใครๆ ได้กลายเป็นดีขึ้นแล้วหรือไร
นางรู้สึกได้อย่างแจ่มชัดว่าความสามารถในการจดจำของตนเองก้าวหน้าขึ้น ส่งผลให้อยากหาเรื่องอื่นๆ มาลองทดสอบดูจนแทบทนรอไม่ไหว
สายตามองเห็นหลูจื้อด้านข้างถือหนังสือปกอ่อนที่เย็บด้ายเข้าเล่มอยู่ในมืออ่านอย่างจดจ่อ นางแสร้งทำอยากรู้อยากเห็นขยับเข้าไปหาเขา แม่ลูกสามคนต่างนึกว่านางทำไปตามประสาเด็กก็ไม่ใส่ใจ ขณะที่นางรีบกวาดตาอ่านเนื้อความหน้านั้นของหนังสือในมือหลูจื้อรอบหนึ่งอย่างว่องไว ค่อยเบนสายตาออกเล็กน้อยทบทวนความจำอีกที นางต้องอาศัยแรงใจอย่างมากถึงสะกดความรู้สึกตื่นเต้นไว้ได้
ความจำของนางดีขึ้นแล้วจริงๆ หนังสือในมือหลูจื้อเล่มนั้นเป็นอักษรข่าย แบบดั้งเดิมทั้งหมด ถึงแม้นางจะร่ำเรียนวรรณคดีมา แต่อ่านตัวอักษรดั้งเดิมได้แค่พอเข้าใจ ถึงอย่างไรตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน นางเป็นคนที่มีสติปัญญาธรรมดาๆ คนหนึ่ง ทว่าตัวอักษรดั้งเดิมทั้งหน้าจำนวนร้อยกว่าตัวนั่น นางอ่านรอบเดียวก็คิดทบทวนเนื้อความของมันได้ถึงเจ็ดส่วน
หลูจื้อเห็นเด็กตัวน้อยเบื้องหน้าขยับมาใกล้ๆ ทำท่าทำทางอ่านตำรา แม้จะคิดอย่างขันๆ เพียงว่านางบังเกิดความสนใจที่จะดูตำราจำตัวอักษร เขาเงยหน้าขึ้นกล่าวกับมารดา “ท่านแม่ บัดนี้สมองเสี่ยวอวี้เป็นปกติแล้ว ท่านสอนนางอ่านหนังสือด้วยเถอะ หรือจะให้ข้าสอนนางเองก็ได้ขอรับ”
ในเวลานี้อี๋อวี้ถึงระงับความตื่นเต้นไว้ได้ นางเขยิบบั้นท้ายไปนั่งตรงหน้าหลูซื่อ หากสายตายังเหลือบมองหนังสือในมือหลูจื้อ พลางรำพึงในใจ มีชีวิตอยู่มายี่สิบปี เป็นครั้งแรกที่สมองดีขนาดนี้…อะไรจะโชคดีขนาดนั้น
หลูซื่อลูบศีรษะเล็กๆ ของอี๋อวี้พร้อมกล่าวตอบ “ให้แม่สอนดีกว่า เจ้าต้องเลี้ยงวัวคงไม่มีเวลาดูแลนาง จวิ้นเอ๋อร์ก็ไม่ชอบเรียนหนังสือ แม่เคยสอนพวกเจ้าสองคนมาแล้ว ย่อมต้องเป็นคนสอนให้น้องสาวของเจ้าอ่านออกเขียนได้ ตอนนี้อวี้เจี่ยเอ๋อร์ ย่างสี่ขวบ กำลังอยู่ในวัยที่สมควรจำตัวอักษรได้บ้าง แม่ว่าคราวนี้นางหายดีแล้วจริงๆ อีกหน่อยแค่ระวังไม่ให้หกล้มกระทบกระแทกจนเป็นอะไรไปอีก เห็นทีว่าภายภาคหน้าเรือนเราจะมีบุตรสาวฉลาดเฉลียวเพิ่มขึ้นคนหนึ่งแล้ว”
บุตรชายสองคนได้ยินคำพูดของมารดาแล้วพากันยิ้มรับ อี๋อวี้กลับงุนงงอยู่บ้าง ต่อให้เป็นยุคปัจจุบันก็ไม่เคยได้ยินเรื่องเด็กในชนบทต้องเข้าเรียนอ่านออกเขียนได้ ไฉนครอบครัวนี้กลับผิดแปลกจากคนทั่วไปเช่นนี้
“ท่านแม่เป็นคนสอนก็ต้องดีเป็นธรรมดา เทียบกับอาจารย์ในหมู่บ้านแล้วไม่ด้อยกว่าสักน้อยนิด”
“พี่ใหญ่ พี่ไปที่สำนักศึกษาในเมืองมาอีกแล้วหรือ” หลูจวิ้นกล่าวทะลุกลางปล้อง ทำให้หลูจื้อมีสีหน้าเครียดขรึมลง เขามองมารดาแวบหนึ่งอย่างระมัดระวัง เห็นใบหน้านางยังแฝงรอยยิ้ม ไม่มีทีท่าไม่พึงใจแม้แต่น้อย ถึงระบายลมหายใจแผ่วๆ ปรับสีหน้าเป็นปกติทีละน้อย
“อื้อ ไปครั้งหนึ่งตอนต้อนวัวคราวก่อน ตั้งใจจะยืมตำรามาอีกสักเล่ม แต่ยืมไม่สำเร็จ”
อี๋อวี้ตาเป็นประกายเมื่อเขาเอ่ยถึง ‘ตำรา’ นางนึกขึ้นได้อีกว่าก่อนหน้านี้มารดาเรียกเขาว่า ‘หนอนหนังสือ’ ก็คิดคำนึงในใจว่าพี่ใหญ่ของนางเป็นคนใฝ่หาความรู้ดังคาด ไม่แน่ว่าตอนนี้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้ดี วันหน้าอาจได้ดิบได้ดีมียศถาบรรดาศักดิ์
ราชวงศ์ถังมีการสอบเข้ารับราชการ ขอเพียงเขามีความรู้ความสามารถ ก็เป็นขุนนางในอนาคตได้ สมัยโบราณถ้ามีตำแหน่งหน้าที่เป็นข้าราชการจริงๆ ครอบครัวก็จะหลุดพ้นความยากไร้เป็นเศรษฐีมั่งมีได้
หลูซื่อได้ยินคำกล่าวของเขาแล้วก้มหน้าตรึกตรองครู่หนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นก็เอ่ยว่า “จื้อเอ๋อร์อ่านคัมภีร์หลุนอวี่ จบแล้วกระมัง เหตุใดไม่บอกกล่าวแม่สักคำ อย่าไปยืมตำราเลย แม่เคยพบอาจารย์ในหมู่บ้านคนนั้น มิใช่ผู้ที่มีอัธยาศัยไมตรีต่อผู้อื่นนัก เจ้าไปยืมตำราคงต้องถูกเขามองด้วยสายตาเหยียดหยามเป็นแน่ ไว้พรุ่งนี้แม่ไปตลาดซื้อแป้งหมี่ให้อวี้เจี่ยเอ๋อร์ จะซื้อหนังสือเล่มอื่นให้เจ้าด้วยพร้อมกัน”
หลูจื้อได้ยินที่มารดาพูดแล้วตาเป็นประกายในตอนแรก ต่อมาคล้ายคิดอะไรขึ้นได้จึงส่ายหน้า “ไม่ต้องขอรับท่านแม่ เดี๋ยวนี้หนังสือราคาถูกๆ ยังต้องมีสี่สิบอีแปะ ข้ามิสู้ไปยืมหลายๆ ครั้ง ต้องยืมได้สำเร็จสักวัน”
หลูซื่อโคลงศีรษะ ไม่กล่าววาจาใดอีก อี๋อวี้เห็นดวงตาของนางดูคล้ายหม่นแสงลง พาให้ปวดแปลบใจอย่างสุดระงับ นางครุ่นคิดว่าขณะนี้ครอบครัวมิได้ร่ำรวย หนังสือราคาสี่สิบอีแปะเล่มหนึ่ง พี่ใหญ่ยังหักใจซื้อไม่ลง แม้จะมีที่นาสามสิบหมู่ แต่ตอนนี้คงได้ผลเก็บเกี่ยวไม่สูงแน่นอน ดูทีหลูซื่อปักผ้าคงเพื่อหาเลี้ยงชีพอีกทางหนึ่ง ไม่รู้ว่ายามนี้ราคาข้าวของถูกแพงอย่างไร
เห็นทุกคนต้องหม่นหมองเพราะเงินซื้อหนังสือเล่มเดียว อี๋อวี้ก็เค้นสมองคิดทบทวนดูว่ามีวิธีหาเงินอย่างไรบ้างที่จะทำให้ความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้นได้
ตอนอยู่มหาวิทยาลัยนางเรียนด้านภาษากับวรรณคดี ไม่ค่อยมีความรู้อะไรเกี่ยวกับเศรษฐกิจจริงๆ หลังจากขบคิดอย่างหนัก นางขุ่นข้องใจนักเมื่อตระหนักว่ายังหาทางออกเฉพาะหน้าไม่ได้สักนิด สิ่งเดียวที่มีอยู่ในหัวมากมายคือพวกงานประพันธ์ชั้นยอดยุคโบราณที่คนยุคปัจจุบันเรียบเรียงออกมา แต่ไม่มีประโยชน์สักกระผีก หรือว่าต้องให้เด็กน้อยตัวเท่านี้อย่างนางไปแต่งตำราขายหรือไร ถึงเวลาคงถูกคนจับเพราะคิดว่าเป็นภูตผีปีศาจ จะร้องไห้เสียใจก็ไม่ทันการณ์แล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่านางยังเขียนตัวอักษรดั้งเดิมไม่เป็นอีกด้วย
กระนั้นยังดีที่การข้ามภพกลับสู่อดีตยังมอบความจำที่ดีเลิศให้เป็นของกำนัล วันเวลาข้างหน้ายังอีกยาวไกล ไม่ต้องกลัวว่าครอบครัวจะไม่อยู่อย่างสุขสบาย นางคิดต่อไปว่ารอเมื่อมีเงินมีทองแล้ว จะซื้อหนังสือให้หลูจื้ออ่านจนเต็มเรือนแน่นอน แล้วก็ไม่ต้องให้มารดาทำงานฝีมือหาเงินจุนเจือค่าใช้สอยในเรือนให้ลำบากเหน็ดเหนื่อยอีก
แม่ลูกสี่คนในลานเล็กๆ ของเรือนชาวนาต่างคนต่างคิดอ่านอยู่ในใจ ระหว่างนั่งรับแสงแดดอุ่นๆ ของต้นฤดูใบไม้ผลิอย่างรื่นรมย์ตลอดช่วงบ่าย
อี๋อวี้ข้ามมิติกลับมาสู่ราชวงศ์ถังนานยี่สิบกว่าวันแล้ว ใช้ชีวิตผ่านไปแต่ละวันโดยมีหลูซื่อ หลูจวิ้น และหลูจื้อคอยเฝ้าดูแล
เนื่องจากฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ พักนี้หมู่ชาวชนบทจะแอบซุบซิบพูดคุยถึงเรื่องราวในราชสำนักกันเป็นประจำ ดังนั้นเมื่อได้ปะติดปะต่อจากทางนั้นทางนี้มาระยะหนึ่ง นางมั่นใจได้เต็มที่แล้วว่าถึงห้วงเวลานี้จะเป็นราชวงศ์ถัง แต่ไม่ใช่ราชวงศ์ถังที่นางรู้จักเป็นอันขาด แม้ว่ามีประวัติศาสตร์ใกล้เคียงกันอย่างยิ่งแต่ยังมีข้อแตกต่างกันอยู่ด้วย
ลำดับเหตุการณ์สำคัญของยุคสมัยไม่เปลี่ยนแปลง แต่รายละเอียดปลีกย่อยผิดแผกกันมากมาย ดังเช่นว่าหลี่ซื่อหมิน ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันกลายเป็นพระโอรสองค์โตของหลี่ยวน ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ ส่วนประตูเสวียนอู่กลับกลายเป็นที่ที่เกิดเหตุหลี่เจี้ยนเฉิงพระโอรสองค์รองเคยยกทัพมาชิงบัลลังก์แล้วถูกองค์รัชทายาทหลี่ซื่อหมินปราบปราม
ด้านราชวงศ์สุยยังมีกษัตริย์ทรราชนามสุยหยางตี้ตามเดิม แต่มิใช่สุยหยางตี้ที่รีดนาทาเร้น โหดเหี้ยมและมัวเมานารี หากเป็นคนจำพวกเดียวกับอาโต่ว ที่ปล่อยให้ขุนนางนอกราชสำนักแทรงแซงการบริหารบ้านเมืองตามอำเภอใจ ถึงเป็นเหตุให้หลี่ยวนก่อกบฏชิงอำนาจ
หลังจากแจ่มแจ้งในจุดนี้ นางกลับวางใจลงได้ รอยทางหลักของยุคสมัยตรงกับประวัติศาสตร์ที่นางล่วงรู้อยู่แล้ว ยุคนี้นับเป็นยุคที่สงบสุข มีช่วงรุ่งเรืองถึงเสื่อมถอยกินเวลายาวนานพอสมควร จึงไม่ต้องกังวลใจว่าจะเกิดศึกสงครามวุ่นวายจนราษฎรเดือดร้อนทุกข์เข็ญ ถึงอย่างไรขณะนี้ตัวนางอยู่ในครอบครัวชาวนา มีฐานะเป็นหมู่ชนชั้นต่ำ ย่อมเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องตกเป็นเครื่องสังเวยของไฟสงครามอย่างง่ายดายที่สุด
สองสามวันมานี้เริ่มต้นเก็บเกี่ยวพืชผลแล้ว หลูซื่อมักพาบุตรชายสองคนไปตรวจงานที่ทุ่งนา ป้องกันมิให้คนนอกหมู่บ้านพวกนั้นเล่นไม่ซื่อยักยอกธัญพืชของเรือนตนเอาไว้ และจูงวัวลากเกวียนขนกลับมา เตรียมรอทางการส่งคนมารับแล้วค่อยขายออกไปพร้อมกัน
พืชพรรณธัญญาหารที่ชาวนาเพาะปลูกในช่วงนี้ของทุกปี ทางการจะส่งคนมารับซื้อโดยเฉพาะ หากต้องการทุ่นเวลา พวกเขาจะขายให้แก่เจ้าหน้าที่แลกเป็นเงินบ้างไปเลย แต่บางคนยอมขนไปขายให้ร้านธัญพืชที่อื่นเพื่อจะได้กำไรเพิ่มขึ้นอีกหลายอีแปะ ส่วนพืชผลของเรือนนางที่ผ่านๆ มาล้วนขายให้เจ้าหน้าที่ทางการโดยตรง ปีนี้หลูซื่อเพียงกันไว้ส่วนหนึ่ง ตั้งใจจะโม่เป็นแป้งใช้เป็นอาหารหลักประจำวันของอี๋อวี้
ทุกคนในเรือนแบ่งงานกันอย่างชัดเจน แม้บุตรชายสองคนถึงวัยเข้าเล่าเรียนแล้ว แต่ตัวหลูซื่อนั้นมีพื้นฐานความรู้มิใช่ผิวเผิน จึงเป็นผู้สอนการอ่านการเขียนให้เอง บัดนี้ยังมีอี๋อวี้เพิ่มขึ้นอีกคน ด้านหลูจวิ้นไม่ชมชอบตำรับตำรา นับแต่ปีกลายทุกๆ วันคู่เขาจะอยู่ที่สำนักยุทธ์เล็กๆ แห่งหนึ่งในตำบลช่วยงานสัพเพเหระพร้อมทั้งฝึกวิชาหมัดมวย ขณะที่หลูจื้อผู้ฉลาดหัวไวใฝ่ศึกษานั้นชี้แนะเพียงนิดก็เข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง ด้วยเหตุนี้ทุกวันเขาจะตื่นแต่เช้าต้อนวัวไปกินหญ้าที่เชิงเขาและอ่านตำราเรียนรู้ด้วยตนเอง
ครอบครัวของนางมีวัวไถนาตัวหนึ่งที่ล่ำสันแข็งแรงมาก ดังนั้นหญิงที่ออกเรือนแล้วในหมู่บ้านจะมายืมวัวไปเทียมเกวียนไปตลาดนัดบ่อยๆ หลูซื่อก็ไม่อิดออดบ่ายเบี่ยง ถึงจะให้ผู้อื่นยืมเปล่าๆ ทว่ามักไหว้วานคนพวกนั้นให้ช่วยทำโน่นทำนี่อย่างซื้อฟืนซื้อของเหมือนกัน
ตามธรรมดาหลูซื่อไม่ใคร่จะออกไปไหน ก่อนเริ่มเกี่ยวข้าว นางจะอยู่ในเรือนทำพวกงานฝีมือหาเงินจุนเจือครอบครัวเท่านั้น พออากาศร้อนขึ้นทีละน้อย นางให้อี๋อวี้ผลัดเปลี่ยนเสื้อคลุมหนาออกแล้วใส่เสื้อป้ายข้างตัวสั้นผ้าเนื้อหยาบทว่าระบายอากาศดีสวมสบายกาย
หลูซื่อมีฝีมือเย็บปักเยี่ยมยอดจนน่าอัศจรรย์ใจ สำหรับคนยุคปัจจุบันที่เคยชินกับการสวมเสื้อผ้าที่ผลิตด้วยเครื่องจักรอย่างนาง ถึงชุดที่ตัดเย็บด้วยมือแบบนี้จะทำจากแพรพรรณชั้นเลว กลับมีแบบที่เรียบง่ายสง่างาม นางยังเคยสังเกตการแต่งกายของชาวบ้านคนอื่นๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าหลูซื่อมิใช่ธรรมดา ฝีมือการเย็บปักของหลูซื่อนั้นเทียบเคียงได้กับหญิงปักผ้าที่ผ่านการฝึกฝนบ่มเพาะมาโดยเฉพาะ เห็นทีว่าก่อนหน้านี้สามีของนางจะต้องมีความสามารถอยู่หลายส่วนเป็นแน่แท้ ไม่เช่นนั้นมีหรือจะได้ตบแต่งสตรีที่ดูแลเหย้าเรือนได้ดีและช่ำชองงานฝีมือทุกแขนงอย่างหลูซื่อเป็นภรรยา
ถึงจะสนใจใคร่รู้เรื่องชีวิตคู่ของหลูซื่อ แต่สิ่งที่อี๋อวี้จับจ้องสนใจมากกว่าคืองานปักชั้นเลิศของนาง อย่าลืมว่านั่นเป็นการปักผ้าแบบซื่อชวนขนานแท้เลยทีเดียว
มารดาซึ่งพูดสำเนียงกวนจงชัดถ้อยชัดคำของนางคนนี้เป็นถึงผู้สืบทอดศิลปะผ้าปักสายนี้ นับแต่สี่ขวบเริ่มถือเข็มกับด้ายจนบัดนี้ก็เป็นระยะเวลาสามสิบปีแล้ว หากอยู่ในยุคปัจจุบันคงเป็นยอดฝีมือหาตัวจับยากยิ่ง
พักก่อนอี๋อวี้ยังรบเร้าให้มารดาสอนนางปักผ้า แรกเริ่มหลูซื่อไม่ยินยอมเพราะกลัวนิ้วนางจะถลอกเป็นแผล ท้ายที่สุดทนเสียงออดอ้อนอ่อนหวานของบุตรสาวไม่ไหว เอาสะดึงและเข็มกับด้ายให้นางแล้วสอนปักพวกลายง่ายๆ อย่างขอไปที เพียงรอให้นางหมดความตื่นเต้นกับของใหม่แล้วล้มเลิกความตั้งใจไปเอง
สองสามวันแรกที่เพิ่งเริ่มปักผ้า อี๋อวี้ต้องเจอความลำบากอยู่บ้าง แม้นนางเรียนรู้ได้โดยไม่สิ้นเปลืองสมอง แต่ตอนเริ่มฝึกทำให้นิ้วมือนุ่มนิ่มทั้งบวมทั้งแดงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นเด็กน้อยวัยสี่ขวบคนอื่นคงโยนเข็มทิ้งเลิกทำไปแล้ว ทว่านี่ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่สำหรับนางที่มีวิญญาณเป็นผู้ใหญ่อย่างแท้จริง ด้วยนางประจักษ์แจ้งแก่ใจดีว่าในยุคสมัยนี้มีฝีมือมากขึ้นด้านหนึ่งก็มีชีวิตความเป็นอยู่ที่มั่นคงเพิ่มขึ้น
เด็กกำพร้าคนหนึ่งที่เติบโตมากับสายตาดูถูกของผู้อื่นตั้งแต่เยาว์วัยเช่นนาง มีความปรารถนามาโดยตลอดว่าวันหนึ่งจะสามารถอาศัยความพากเพียรของตนเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง กระนั้นมีบางเรื่องที่ใช่ว่าพยายามแล้วจะได้รับผลตอบแทนจริงๆ ชาติก่อนเพราะนางมีสติปัญญาธรรมดา เรื่องที่คนอื่นเรียนสองรอบก็รู้เรื่องนางต้องใช้เวลาสามเท่าถึงจะทำความเข้าใจได้ ดังนั้นนางทุ่มเทสุดตัวแล้ว แต่ก็ยังสอบติดแค่มหาวิทยาลัยปลายแถวแห่งหนึ่ง ในเมื่อนางได้โอกาสใหม่อีกครา ทั้งได้รับในสิ่งที่ตนเองใฝ่ฝันมาก่อนอย่างหาได้ยาก ไหนเลยจะปล่อยให้เวลาและความสามารถสิ้นเปลืองไปโดยใช่เหตุ
จวบจนหลูซื่อตื่นตกใจเมื่อพบว่านิ้วมือเล็กๆ ของบุตรสาวถูกเสียดสีจนผิวเนื้อด้านแข็ง อี๋อวี้เพียงกล่าวกับนางอย่างไร้เดียงสาด้วยน้ำเสียงของเด็กน้อยว่า “อวี้เอ๋อร์อยากหัด…ก็ต้อง…หัดจนเป็น”
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา หลูซื่อเริ่มสอนการปักผ้าแบบซื่อชวนขนานแท้ให้นางอย่างเอาจริงเอาจัง มารดาผู้นี้คิดง่ายๆ ว่าในเมื่อบุตรสาวอยากเรียนและมีความมุ่งมั่นที่จะเรียน เช่นนั้นนางก็จะตั้งใจสอน สอนรอบหนึ่งยังไม่เป็นก็สอนสองรอบ สอนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเป็น
ด้วยหมึกกับพู่กันมีราคาแพงเกินไป ที่มีอยู่ในเรือนพอแค่ให้หลูจื้อฝึกคัดตัวอักษรเป็นบางครั้ง หลูซื่อจึงหาทรายมาโรยบนพื้นเรียบๆ ถือกิ่งไม้สอนนางร่างภาพโดยเริ่มต้นจากต้นไม้ใบหญ้า
ยามเห็นนางขีดเขียนบนพื้นทรายเป็นลายเส้นเรียบร้อยงดงาม อี๋อวี้ก็ตื่นตะลึงเหลือจะกล่าว โดยทั่วไปแล้วการปักผ้าต้องมีแบบลายปัก แต่เวลานี้หลูซื่อปักแต่งานชิ้นเล็กๆ ลายง่ายๆ ไปขาย สำหรับคนที่คลุกคลีกับผ้าปักซื่อชวนมาสามสิบกว่าปีอย่างนางแทบจะหลับตาทำได้เลย เดิมทีวิชาที่ตกทอดในตระกูลนางนี้ยังไม่จำเป็นต้องร่างลายบนพื้นผ้าก่อนเสียด้วยซ้ำ ทุกคราที่เห็นนางแทงเข็มดึงด้ายโดยไม่มีภาพร่างลาย ทำให้อี๋อวี้บังเกิดความเลื่อมใสสุดประมาณ ไม่รู้ว่าตนเองจะบรรลุถึงขั้นนี้ได้เมื่อไร
ต่อมาคือการจับคู่สี เนื่องจากด้ายปักราคาถูกมีสีให้เลือกน้อย หลูซื่อมักให้บุตรชายคนโตเก็บดอกไม้ใบหญ้าทุกชนิดตรงไหล่เขากลับมาสอนนางแยกแยะสีสัน
อันดับสุดท้ายซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดคือวิธีปัก ผ้าปักซื่อชวนขนานแท้จะพิถีพิถันเรื่องฝีเข็มที่เรียบสวยและการเก็บปม อีกทั้งมีวิธีปักละเอียดหลากหลายถึงหนึ่งร้อยสามสิบกว่าแบบ ซึ่งนับว่ามากที่สุดในบรรดาผ้าปักชั้นยอดทั้งสี่ ผลงานถือเอาความพลิ้วไหวสมจริงเป็นของชั้นเลิศ ดุจเดียวกับแมลงปอที่นางเห็นหลูซื่อปักเป็นครั้งแรก ดูแล้วเหมือนกับมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
เพราะมีพรวิเศษติดตัวมาจากการข้ามภพ อี๋อวี้เลยรับมือการสอนอ่านหนังสือและปักผ้าของหลูซื่อได้อย่างสบายมาก แต่ทั้งที่นางเจตนาให้รุดหน้าช้าลง ก็ยังคงสร้างความอัศจรรย์ใจให้แก่คนทั้งครอบครัวถ้วนหน้า พากันพูดชมว่านางฉลาดเฉลียวไม่ขาดปาก โดยเฉพาะหลูซื่อ ทุกวันหลังจากนางฝึกฝนร่ำเรียน มักพิศดูนางด้วยแววตาปลาบปลื้มยินดี ราวกับว่าไม่เคยรู้จักบุตรสาวที่เลี้ยงดูมานานสามสี่ปีคนนี้ ทุกๆ ราตรียามกล่อมนางนอนก็จะรำพึงรำพันคำว่า ‘แก้วตาดวงใจของแม่’ บ้าง ‘หมดทุกข์พบสุข’ บ้าง ส่งผลให้อี๋อวี้แอบยิ้มไม่หยุด แต่ในเมื่อทำให้หลูซื่อเบิกบานใจได้ นางก็แสนจะเต็มใจ
แรกเริ่มอี๋อวี้ยังไม่ใคร่จะคุ้นเคยกับอาหารที่ไม่มันสักนิด ทว่าเมื่อกินไปได้ไม่กี่วันก็เคยชินกับรสชาติของมัน หลูซื่อนั้นมีฝีมือปลายจวักเยี่ยมยอด ทำผักต้มผักนึ่งได้อร่อยเหลือหลาย ครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ยังซื้อแป้งหมี่กลับมาแล้วจุดเตาทำแป้งย่างให้นางคนเดียวทุกวัน พี่ชายสองคนเห็นนางกินก็อยากกินมาก แต่ไม่เคยแย่งกับนาง ทุกครั้งที่นางลองสละให้ พวกเขาจะปฏิเสธไม่รับเสมอ มันทำให้นางตื้นตันใจเป็นอันมาก และยิ่งรู้สึกสนิทสนมกับสามแม่ลูกมากขึ้น
ส่วนเรื่องของบิดาที่ได้ยินว่าป่วยตายไปแล้วนั้น ถึงอี๋อวี้จะอยากรู้ ก็ไม่เป็นฝ่ายเอ่ยถึงคนที่ดูเหมือนถูกสามแม่ลูกลืมเลือนด้วยความจงใจผู้นี้ จะอย่างไรนางก็ข้ามภพมาได้ไม่นาน กำลังค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับครอบครัวที่มีพร้อมอยู่ตรงหน้า ฉะนั้นอย่าเอ่ยถึงคนที่ตายไปแล้วอีกเลย
ณ ที่แห่งนี้มีคอกวัวคอกหนึ่งกับเรือนหลังหนึ่ง มีวัวหนึ่งตัวกับที่นาสามสิบหมู่ มีมารดาที่สอนหนังสือได้ มีพี่ชายคนหนึ่งชมชอบตำรากับอีกคนหนึ่งชมชอบฝึกยุทธ์ วันเวลาเช่นนี้กลับทำให้นางผ่อนคลายสบายใจอย่างยิ่ง นางได้กลับไปเป็นเด็กน้อยอีกครั้ง ไม่ต้องรับความกดดันจากอาชีพการงาน ทั้งไม่เหลือความตะขิดตะขวงใจในตอนแรก แล้วยังได้รับความรักห่วงใยจากคนในครอบครัว อี๋อวี้ชื่นชอบชีวิตชนบทในยามนี้เสียเหลือเกิน
วันนี้ตอนเที่ยงกินข้าวเสร็จ หลูซื่อกับหลูจวิ้นไปจ่ายค่าเช่าและขายข้าวที่จุดรับธัญพืชของที่ว่าการนอกหมู่บ้าน ทิ้งพี่ชายคนโตกับน้องสาวไว้ที่เรือนสองคน
ในลานกว้างหลูจื้ออ่านตำรา ส่วนอี๋อวี้ยกม้านั่งตัวเล็กออกมานั่งรับแดด พลางถือผ้าเนื้อหยาบฝึกฝีมือปักผ้า เมื่อครอบครัวไม่มีเงินมากพอจะซื้อผ้าแพรไหมให้นางร่ำเรียนงานเย็บปักถักร้อย มีผ้าเก่าสองสามผืนให้ซ้อมมือก็ยังดี
อี๋อวี้จ้องลายปักบนผ้าเป็นเวลานานจนชักปวดตา เพิ่งตั้งใจว่าจะมองไปไกลๆ พักสายตา กลับแลเห็นสตรีที่ออกเรือนแล้ววัยยี่สิบเศษนางหนึ่งเดินเข้ามาทางหน้าประตูลานเรือน มือจับจูงเด็กหญิงตัวสูงกว่าอี๋อวี้อยู่บ้างคนหนึ่ง
สตรีนางนั้นเห็นนางเงยหน้ามอง ก็เอ่ยกับนางด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “อุ๊ย! อวี้เจี่ยเอ๋อร์ เล่นอยู่ในลานหรือนี่”
อี๋อวี้มองดูนาง พลางดึงความจำกระท่อนกระแท่นจากในหัวทีละน้อย เมื่อสิบวันก่อนตอนตนเองเล่นก่อทรายอยู่ข้างถนนของหมู่บ้าน เห็นสตรีแซ่หวังนางนี้ซุบซิบนินทากับสตรีที่ออกเรือนแล้วอีกนางหนึ่งว่า ‘หลูซื่อยั่วยวนบุรุษนามว่าหลี่เหล่าสือซึ่งเป็นสามีของนาง’
นางเคยเห็นหลี่เหล่าสือผู้นั้น เขามายืมวัวไปลากเกวียนสองหน ใบหน้าประดับรอยยิ้มซื่อๆ หลูซื่อไม่ค่อยจะสนใจเขา เพียงฝากเขาซื้อขนมหวานห่อหนึ่งในตำบลกลับมาให้นางเป็นของกินเล่น ตังเมก้อนเล็กๆ จะมีราคาแพงกว่าน้ำตาลปั้นที่ทำได้ง่ายดาย แต่เพราะเป็นของธรรมชาติล้วนๆ จึงมีรสชาติไม่เลว ส่วนพวกขนมยิ่งทำกันแบบง่ายๆ อย่างแป้งก้อนข้าวเหนียวรสหวานใหญ่เท่าฝ่ามือนาง แค่ชิ้นเดียวก็ทำให้นางอิ่มจนกินข้าวไม่ลง
ถึงอี๋อวี้จะชอบฟังเรื่องซุบซิบ แต่มีข้อแม้ว่าผู้ที่เป็นหัวข้อนินทาคือคนอื่น มารดาถูกคนว่าร้ายลับหลังอย่างไร้เหตุผล นางไม่มีแก่ใจจะรับหน้าสตรีผู้นี้จริงๆ เลยเอื้อมมือไปสะกิดพี่ชายคนโตด้านข้างที่ยังเพลิดเพลินอยู่กับการอ่านตำราจนลืมเลือนทุกสิ่งรอบตัว ในวันที่สองที่นางกลับมาในอดีต หลูซื่อไปตลาดซื้อแป้งหมี่พร้อมกับคัมภีร์กวีเล่มหนึ่งกลับมาให้หลูจื้อ สองสามวันแรกเขาดีอกดีใจจนต้อนวัวออกไปวิ่งออกกำลังตั้งแต่ยังไม่ฟ้าสาง คึกคักกระฉับกระเฉงราวกับได้โอสถทิพย์จากที่ไหนมาก็ไม่ปานจนนางลอบขบขันไม่หยุด
หลูจื้อเงยหน้าขึ้นเห็นหวังซื่อจูงมือบุตรสาวยืนอยู่ในลานเรือนของตน เขาก็ทำหน้าฉงนฉงายไปชั่วขณะ จวบจนอีกฝ่ายส่งยิ้มให้เขาพร้อมกล่าวว่า “จื้อเกอเอ๋อร์ ให้ข้ายืมไม้คานหาบน้ำไปใช้ได้หรือไม่”
อี๋อวี้คิดคำนึงในใจ ที่แท้มายืมของ ว่าไม่ได้ที่มีท่าทางเป็นมิตรเยี่ยงนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ในชนบทยุคนี้ยังอัตคัดขัดสน เป็นต้นว่าของใช้จำพวกมีดหั่นผัก ปกติครอบครัวชาวนาเล็กๆ แบบนี้จะไม่มี เพราะมีดหั่นผักเล่มหนึ่งอย่างน้อยๆ ต้องจ่ายเงินถึงครึ่งก้วน
เหรียญหนึ่งก้วนเท่ากับหนึ่งพันอีแปะ สามารถแลกเป็นเงินก้อนได้หนึ่งตำลึง แต่ชาวบ้านในเขตแดนห่างไกลใช้เงินก้อนน้อยมาก
ครอบครัวของพวกนางมีที่นาชั้นกลางสามสิบหมู่ หนึ่งหมู่ปลูกธัญพืชได้ราวหนึ่งตั้น แล้วธัญพืชสิบโต่วเท่ากับหนึ่งตั้น หนึ่งโต่วมีราคาสิบอีแปะ ธัญพืชหนึ่งตั้นจึงขายได้เงินหนึ่งร้อยอีแปะ ในหนึ่งปีผลเก็บเกี่ยวหลักของครอบครัวนางแลกเป็นเงินได้สามก้วนเท่านั้น พวกนางมีกันสี่คน ปีหนึ่งๆ ต้องกินธัญพืชอย่างน้อยสิบตั้น ยังมีค่าใช้สอยจิปาถะประจำวันบางส่วน ทั้งต้องจ่ายภาษีด้วยธัญพืชห้าโต่วต่อที่นาสิบหมู่ ฉะนั้นเก็บเงินได้ปีละหนึ่งก้วนก็ดีมากแล้ว
ครั้นหวังซื่อบอกจุดประสงค์ที่มา เดิมทีอี๋อวี้นึกว่าหลูจื้อจะไปหยิบให้อีกฝ่ายเลย ไม่คิดว่าพี่ชายคนโตของนางคนนี้กลับเอียงคอครุ่นคิดพักหนึ่ง ก่อนจะย้อนถาม “ข้าจำได้ว่าเมื่อเดือนก่อนท่านมาที่เรือนข้ายืมฟืนไปครึ่งมัดยังไม่ใช้คืน หนนี้จะยืมไม้คานคงไม่เอาไปนานสิบวันครึ่งเดือนอีกกระมังขอรับ” ได้ยินถ้อยคำของเขาแล้ว อี๋อวี้แอบยกมุมปากขึ้นอย่างสุดระงับ
อย่าเห็นว่าหลูจื้อเอาแต่อ่านตำราไม่ออกไปเล่นสนุก อีกทั้งไม่ช่างพูด ท่าทางเป็นเด็กดีสุภาพอ่อนน้อม แต่จริงๆ แล้วเป็นคนฉลาดแกมโกง หรือในยุคปัจจุบันจะใช้คำว่า ‘ร้ายลึก’ อยู่สักหน่อย
คำพูดสั้นๆ แค่สองประโยคนี้เอ่ยถึงฟืนที่หวังซื่อยืมไปแล้วยังไม่ใช้คืนก่อนหน้านี้ เพื่อให้นางบังเกิดความละอายใจ หากนางไม่หน้าหนาถึงที่สุด ถ้าไม่เอาฟืนมาใช้คืน ก็ต้องอายที่จะยืมไม้คานอีก
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าหวังซื่อผู้นี้จะเป็นคนหน้าด้านหน้าทนผู้หนึ่งจริงๆ พอได้ยินคำกล่าวของหลูจื้อแล้วไม่มีท่าทางขุ่นเคือง หากปากกลับไม่ลดราวาศอก “ก็แค่ฟืนครึ่งมัดมิใช่หรือ ปกติท่านอาหลี่ของเจ้าเอาฟืนมาให้ที่เรือนเจ้าไม่ขาด อีกอย่างข้าไม่เคยบอกว่าจะใช้คืนกระมัง ตอนนี้เจ้าจะคิดเล็กคิดน้อยกับข้าด้วยเรื่องนี้รึ”
หลูจื้อฟังนางพูดจบแล้วขมวดคิ้ว ใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “ท่านอาสะใภ้หลี่ นี่ช่างน่าแปลกนัก หากเป็นดังเช่นที่ท่านกล่าว ข้าก็เห็นท่านแม่ข้าให้เงินกับท่านอาหลี่บ่อยๆ หรือว่าข้าสมควรคิดเล็กคิดน้อยกับท่านด้วยเรื่องนี้”
“นั่นเป็นฟืนที่แม่เจ้าไหว้วานให้เขาซื้อ มิใช่ให้เปล่าๆ เสียหน่อย”
“อ้อ ที่แท้เป็นแบบนี้ เช่นนั้นฟืนที่ท่านอาหลี่เอามาให้ที่เรือนข้าก็เป็นท่านแม่ข้าจ่ายเงินซื้อมิใช่หรือ แต่ท่านเอาฟืนจากเรือนข้าไม่เคยจ่ายเงินให้ท่านแม่ข้าเลยนะขอรับ”
อี๋อวี้เห็นดวงหน้าเล็กๆ ที่หมดจดเกลี้ยงเกลาฉายแววเอาจริงเอาจังของพี่ใหญ่นางแล้วก็ส่งเสียงหัวร่ออย่างกลั้นไม่อยู่
หวังซื่อพยายามรักษารอยยิ้มบนใบหน้าที่ฝืนเค้นออกมาไว้ไม่อยู่ในที่สุด นางกล่าวตอบอย่างโกรธเคือง “นั่นคือข้าขอยืม ยืมของต้องจ่ายเงินด้วยหรือ”
“ส่วนใหญ่ยืมของมักไม่ต้องจ่ายเงิน แต่ยืมของไปแล้วไม่ต้องคืนหรือขอรับ”
อี๋อวี้มองดูหลูจื้อโต้กลับจนหวังซื่อเถียงไม่ออก อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบภาพเด็กคงแก่เรียนอมยิ้มละไมยามปกติกับท่าทางของเขาในขณะนี้ ผลปรากฏว่านางประจักษ์ได้ว่าพี่ใหญ่ของตนคลับคล้ายจะมีแววเป็นคนน้ำนิ่งไหลลึกแอบแฝงอยู่
สุดท้ายหวังซื่อยืมไม้คานไม่สำเร็จ เดินก้มหน้าก้มตาจูงบุตรสาวกลับไป
หลูจื้อเห็นอีกฝ่ายไปแล้วก็พลิกหน้าหนังสือเริ่มตั้งสมาธิอ่านอย่างละเอียดทุกตัวอักษรต่อ ประหนึ่งว่าผู้ที่ไล่คนด้วยวาจาเหน็บแนมแดกดันเมื่อครู่นี้หาใช่เขาไม่
ตกเย็นหลูซื่อกลับเรือนมาทำอาหาร อี๋อวี้กับหลูจื้อสองพี่น้องไม่เอ่ยถึงเรื่องที่หวังซื่อมาหาตอนบ่ายสักคำ ด้านหลูจวิ้นพี่รองทำหน้าลุกลี้ลุกลน เดินเกาหูเกาคางวนเวียนอยู่รอบตัวมารดา อี๋อวี้เห็นแล้วประหลาดใจมาก พี่ชายคนรองของนางเป็นคนร่าเริงเปิดเผย น้อยครั้งนักที่จะเห็นเขามีท่าทางกระสับกระส่ายอย่างนี้
หลูซื่อถูกเขาตามกวนใจ ไม่ง่ายกว่าจะทำกับข้าวเสร็จยกออกไปตั้งโต๊ะ เมื่อสามพี่น้องนั่งลงประจำที่ หลูจวิ้นยังคงมองมารดาด้วยแววตาวาดหวัง นางอดตบท้ายทอยเขาเบาๆ ทีหนึ่งไม่ได้ และบอกให้ตั้งใจกินข้าว เขาถึงได้เลิกราไป
รอจนล่วงเข้ายามดึก หลูซื่อถึงยิ้มกริ่มรุนหลังลูกๆ ไปที่เตียง เตียงไม้กระดานในเรือนมีขนาดใหญ่มาก กว้างราวหกฉื่อ* ครึ่งและยาวเกือบสิบฉื่อ ด้านล่างเป็นแท่นก่อด้วยดินกับหินสูงถึงหัวเข่าของหลูซื่อ จากนั้นเอาไม้กระดานหลายชิ้นวางต่อกันด้านบนแล้วปูผ้าผืนบางทับชั้นหนึ่ง ทั้งสี่คนนอนตามแนวขวางก็นับว่ากว้างขวางดี
อี๋อวี้เคยนอนบนเตียงแข็งๆ ของมหาวิทยาลัยมาสี่ปีย่อมไม่รู้สึกว่าไม่สบายตัวตรงไหน ตรงกันข้ามยังชอบเป็นที่สุด เพราะมีหลูซื่อกอดนอนทุกคืน ได้กลิ่นข้าวสาลีหอมจางๆ จากตัวมารดา คละเคล้าไออุ่นที่แผ่มาจากผ้าปูเตียงที่ผึ่งแดดอย่างเต็มที่
หลูซื่อนอนอยู่ริมด้านนอกโดยมีอี๋อวี้อยู่อ้อมแขน ฝั่งที่ชิดผนังเป็นหลูจื้อ ถัดเข้ามาคือหลูจวิ้น พวกเขาชอบคุยเล่นก่อนนอนเสมอๆ ทุกคนในครอบครัวรักใคร่กลมเกลียวกันมาก
หลูจวิ้นนอนติดกับอี๋อวี้จ้องมารดาตาเป๋ง จ้องจนหลูซื่อหัวเราะออกมาเบาๆ อีก นางกระซิบพูดกับบุตรสาวในอ้อมแขน “อวี้เจี่ยเอ๋อร์ หลังจากเจ้าหายเป็นปกติแล้วยังไม่เคยออกไปข้างนอก ปีนี้ผลเก็บเกี่ยวไม่เลว วันพรุ่งแม่จะพาเจ้าไปตลาดนัดนะ”
“ท่านแม่ ข้าไปด้วยขอรับ” หลูจวิ้นเฝ้ารออยู่นานกว่ามารดาจะเอ่ยถึงเรื่องไปตลาดนัดวันพรุ่งนี้ จึงตะโกนขึ้นอย่างอดใจไม่อยู่ในที่สุด
ตอนนี้อี๋อวี้ถึงกระจ่างแจ้งว่าที่แท้เขาทำท่ายุกยิกอยู่ไม่สุขมาอย่างยาวนานเพราะอะไร เห็นทีว่าแม้คนในสมัยราชวงศ์ถังจะมีความเป็นอยู่ดีขึ้นมากแล้ว แต่ชีวิตประจำวันยังซ้ำซากจำเจไม่ค่อยมีสิ่งบันเทิงเริงใจ สำหรับเด็กน้อย การไปตลาดนัดน่าจะเทียบขั้นได้กับการไปเที่ยวสวนสนุกเลยทีเดียว มิน่าเขาถึงได้ตื่นเต้นคึกคักเป็นพิเศษ
หลูซื่อลูบศีรษะเล็กๆ ของอี๋อวี้พร้อมเอ่ยถาม “อวี้เจี่ยเอ๋อร์ว่าอย่างไร จะพาพี่รองไปด้วยหรือไม่”
ดีจริง… อี๋อวี้รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าหลูจวิ้นจับจ้องนางด้วยสายตาวาววับทันใด นางคิดคำนึงในใจว่าอีกฝ่ายยังเป็นเด็กน้อยอยู่ ก็พยักหน้าพูดเสียงอุบอิบ “ไป พาไปเจ้าค่ะ พี่ใหญ่พี่รองไปด้วย”
หลูจวิ้นฟังจบแล้วลิงโลดใจเป็นการใหญ่ ยื่นหน้ามาหอมแก้มน้องสาวดังฟอด นางไม่ได้นึกรังเกียจที่มีน้ำลายเลอะเต็มหน้า เพียงรู้สึกขบขันเท่านั้น
หลูจื้อได้ยินนางเอ่ยถึงตนเองก็เอามือเท้าศีรษะไว้หันมาเอ่ยกับนางยิ้มๆ “พี่ใหญ่ไม่ไป พี่ใหญ่จะอยู่เฝ้าเรือน เสี่ยวอวี้ไปแล้วให้ท่านแม่ซื้อขนมให้กินนะ”
ช่างเป็นเด็กรู้ความจริงๆ
อี๋อวี้ลอบสะท้อนใจ นางรู้เช่นกันว่าในยุคนี้ต้องมีคนคอยเฝ้าเรือน แม้คนในหมู่บ้านเดียวกันอาจจะไม่เข้ามาหยิบฉวยอะไรไป แต่นอกหมู่บ้านมีพวกโจรขโมยอยู่ แทนที่จะไหว้วานเพื่อนบ้าน มิสู้ให้ใครสักคนในครอบครัวอยู่เฝ้าเอง
หลูจวิ้นได้ยินพี่ใหญ่กล่าวแบบนี้ ทำหน้าสองจิตสองใจครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปากขึ้น “ถ้าอย่างนั้นข้าเฝ้าเรือนเอง พี่ใหญ่ไปเถอะ”
หลูซื่ออดอิ่มเอมใจมิได้เมื่อเห็นพวกเขาสองคนต่างเสียสละให้กัน สุดท้ายตัดสินใจให้บุตรชายคนโตเฝ้าเรือน และให้บุตรชายคนรองไปตลาดด้วยกัน ทว่าหลูจวิ้นซึ่งเดิมตั้งตารอคอยเป็นพิเศษกลับไม่กระตือรือร้นเฉกเมื่อตอนหัวค่ำอีก หลูซื่อก็ไม่ใส่ใจเขา เพราะพวกเด็กเล็กๆ ล้วนเอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างนี้เอง ทุกคนพูดคุยเรื่องตลาดนัดต่ออีกครู่หนึ่งถึงค่อยๆ พากันหลับไป
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 ต.ค. 62)
Comments
comments
No tags for this post.