X
    Categories: ตื่นเสียทีจะไม่มีทายาทแล้ว!ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตื่นเสียทีจะไม่มีทายาทแล้ว! บทที่ 7

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่เจ็ด

คทาหม่อนมังกรไม่ได้สัมผัสผู้เป็นนายมานานมากแล้ว ทันทีที่ปรากฏขึ้นมาในรอบหลายพันปีก็ได้อาบโลหิตแห่งปราณชีวิต หากมิใช่เฟิงจงเป็นมนุษย์ เกรงว่าพลังของมันคงต้องยิ่งใหญ่กว่านี้แน่

ทุกชีวิตริมทะเลเขี้ยวพิโรธล้วนสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นอายรอบด้าน

อวี้ถูเงยหน้ามองฟ้า ขณะที่ปราณชีวิตของเถาวัลย์กดดันคุกคามหมายบีบให้ญาณของเขาออกไปจากร่างนี้ น้ำเสียงของเขาก็เริ่มไม่มั่นคงแล้ว “เฟิงจง ข้าหวังเหลือเกินว่าเจ้าจะไม่มีวันถูกพวกเขาหาพบ น่าเสียดายนักที่เจ้ายังคงชักนำพวกเขามาจนได้”

เฟิงจงไม่พูดไม่จา หน้าผากผุดพรายด้วยหยดเหงื่อที่เล็กละเอียด

“หวังว่าเจ้าจะไม่ยืมวิสุทธิ์โลหิตของพวกเขามาบำเพ็ญเซียนหรอกนะ” เสียงของอวี้ถูค่อยๆ เคลื่อนไกลออกไป พร้อมกันนั้นสีฟ้าเรื่อในสองตาของเซวียนชิงก็เริ่มเลือนหาย หวนคืนสู่ความว่างเปล่าเลื่อนลอยเช่นเดิม

หัวใจที่คล้ายมีเชือกเอ็นขึงตึงอยู่พลันคลายลง เฟิงจงทรุดนั่งลงกับพื้น ญาณของอวี้ถูช่างกล้าแข็งเหลือเกิน เมื่อครู่นางเพียงแต่ฝืนประคับประคองไว้เท่านั้น เกรงว่าหากเวลานานออกไปอีกนิด นางก็คงต้องปราชัยย่อยยับแล้ว

จวบจนตอนนี้ฉยงฉีถึงค่อยเข้ามาใกล้ หลังจากถูกร่ายอาคมแปลงกายมันก็อ่อนแรงอยู่บ้าง ศีรษะลู่ตกอย่างเซื่องซึม

ถูซานสือฟางพาเซวียนชิงมาถึงเบื้องหน้า ก่อนจะพยุงนางไว้พลางกล่าว “ไปกันเถอะ ที่นี่ไม่เหมาะจะรั้งอยู่นาน”

เฟิงจงผงกศีรษะเห็นพ้อง หยิบถุงฟ้าดินออกมาบรรจุเซวียนชิงกับแจกันหยกสีน้ำเงินลงไปแล้วใส่เข้าไปในอกเสื้อ มือข้างหนึ่งอุ้มฉยงฉีขึ้นมา มืออีกข้างก็ใช้คทาหม่อนมังกรพยุงกายไว้ รู้สึกว่าใต้ฝ่าเท้าตนเองล่องลอยไม่มั่นคง

ยามที่ถูซานสือฟางเพิ่งเรียกก้อนเมฆมาถึง เตรียมจะพยุงเฟิงจงขึ้นไปก็รู้สึกได้ถึงพลังกระบี่สายหนึ่งจู่โจมมาจากทางด้านหลัง เขาซัดพลังฝ่ามือออกไปสกัดอย่างทันท่วงที นางถึงไม่ได้รับบาดเจ็บ

“ส่งมอบเซวียนชิงออกมา!” จื่ออินที่ปลีกตัวจากเพลิงภูตของอวี้ถูมาได้แล้วนั้นมีสภาพปานคลุ้มคลั่ง สองตาล้วนสาดประกายสีแดง

ถูซานสือฟางรีบบังร่างเฟิงจงไว้ด้านหลัง ก่อนโบกมือก่อลมพายุออกไปอีกระลอก

จื่ออินถูกพัดจนเซถอยไปอย่างต่อเนื่อง พอเริ่มจะยืนได้มั่นคงก็ตวัดกระบี่รุกมาอีกรอบ ปากพลันตวาดกร้าวว่า “ปีศาจจิ้งจอก กล้ามาขวางข้าล้างแค้นเชียวหรือ!”

“เจ้าเฒ่าสารเลว! เจ้าน่ะสิที่เป็นเทพมาร ยังมีหน้ามาด่าข้าไต้อ๋องอีก” ถูซานสือฟางม้วนแขนเสื้อขึ้น ก่อนประกบสองมือจุดอัคคีจิ้งจอกอันโชติช่วงแล้วสะบัดไปหาอีกฝ่าย

จื่ออินพลันถูกอัคคีจิ้งจอกโอบล้อมเอาไว้ ขณะที่ตวัดกระบี่ต่อต้านอย่างฉุนเฉียว หางตาก็เหลือบไปเห็นว่าแม่นางน้อยผู้นั้นกำลังจะก้าวขึ้นก้อนเมฆไปแล้ว จื่ออินจึงฝ่าออกไปทันทีโดยไม่พะวงเรื่องบาดเจ็บอีก ทางหนึ่งกดข่มอาการปวดแสบอันยิ่งยวดที่เกิดจากไฟแผดเผา อีกทางก็ตะเบ็งเสียงลั่น “มนุษย์ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ หากวันนี้เจ้าไม่ส่งมอบเซวียนชิงออกมา ข้าจะทำให้ศพเจ้าแหลกเป็นหมื่นชิ้นแน่นอน!”

จวบจนวันนี้เฟิงจงถึงได้รู้จักนามของหุ่นเวท ครั้นนึกถึงสภาพอันน่าอนาถใจเมื่อแรกพบเขา ฝีเท้าของนางก็หยุดชะงัก “ข้าก็คิดอยู่ว่าเทพน้อยที่อ่อนโยนเช่นเขาไปตอแยศัตรูแบบไหนมากันแน่ ถึงลงเอยในสภาพเช่นนั้นได้ พอมาวันนี้เห็นสารรูปของเจ้าแล้วข้าก็เข้าใจแจ่มแจ้งได้เสียที”

“อย่ามาพูดพล่าม สรุปคือข้าต้องการให้มันตาย ต่อให้มันตายหมื่นครั้งก็ยังไม่พอ!” จื่ออินคำรามพลางจู่โจมเข้ามาอีกครา

เพียงเฟิงจงตั้งคทาหม่อนมังกร หินผาใต้ฝ่าเท้าของจื่ออินก็ปริแยก กระทั่งทำเอาเขาหวิดจะพลัดตกลงไป จึงรีบกระโดดออกห่างอย่างลนลาน เขาไม่เคยเชื่อถือคำเล่าลือเกี่ยวกับจ่งเสิน ยิ่งไม่รู้จักของวิเศษประจำตัวนาง เพียงรู้สึกว่านี่คือกลอันตื้นเขินของมนุษย์ผู้นี้ ตรามารบนใบหน้าของเขาพลันเปล่งประกาย ไอมารทั่วกายปะทุเพิ่มขึ้นในพริบตา เพียงควงกระบี่หนึ่งรอบ กลิ่นอายสังหารก็พุ่งมาถึงเบื้องหน้าเฟิงจงแล้ว

เมื่อเฟิงจงหมายจะใช้พลังวิเศษขับเคลื่อนคทาหม่อนมังกรอีกครั้ง ในลำคอนางก็พลันหวานคาวด้วยรสของโลหิต หัวเข่าข้างหนึ่งทรุดฮวบลงกับพื้น ยังดีที่พยุงกายด้วยคทาหม่อนมังกรนางจึงยังไม่ถึงกับล้มลงไป

ถูซานสือฟางรุดมาขวางอยู่เบื้องหน้าเฟิงจงแล้วเรียกลมพายุโจมตีใส่จื่ออิน ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้หันไปพยุงเฟิงจง เงาร่างสีแดงก็ผุดวาบขึ้นเบื้องหน้าสายตาเสียก่อน ฟางจวินเยี่ยรวบนางเข้าสู่อ้อมอกแล้วพุ่งปราดออกไปไกลแล้ว เหลือแค่เพียงฉยงฉีที่ร้องพูชืออยู่ตรงหน้าไม่หยุดปาก

เมื่อครู่ที่ไม่เห็นฟางจวินเยี่ย เขายังนึกว่าเจ้าหนูนี่จากไปพร้อมอวี้ถูแล้วเสียอีก คาดไม่ถึงว่าจะซ่อนตัวในที่ลับเพื่อรอใช้ลูกไม้นี้

ขณะที่ถูซานสือฟางจะเหินร่างติดตามไป จื่ออินก็แหวกฝ่าลมพายุตามมาพัวพันเขาอีกครา ถูซานสือฟางชะงักฝีเท้า แววตาเย็นยะเยียบขึ้นเรื่อยๆ “ก็ได้ เป็นเจ้ารนหาที่เองนะ ถือว่าชำระแค้นให้เซวียนชิงก็แล้วกัน” เขายกมือเสกพัดจีบเหล็กสีนิลออกมาเล่มหนึ่ง เพียงสะบัดหนเดียวพัดก็คลี่กางออกเผยให้เห็นขอบพัดอันคมกริบดุจใบมีดที่บางเฉียบ

จื่ออินแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา ไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาแต่อย่างใด ประกายกระบี่ประเดี๋ยวแผ่กว้าง ประเดี๋ยวรวบเข้าหากัน หมายใจจะเผด็จศึกให้ได้โดยเร็ว ย่อมคิดไม่ถึงว่าหลังจากแทงกระบี่ออกไปเพียงไม่กี่หนก็ไม่เห็นเงาร่างของอีกฝ่ายแล้ว ชั่วขณะนั้นหน้าอกของจื่ออินพลันเย็นวาบ เขาตะลึงงันไปทันที ก้มหน้าลงถึงค่อยพบว่าหน้าอกของตนถูกกรีดเป็นแผลยาวหลายชุ่นแล้ว

พริบตาถัดมากระแสลมอันหนาวเหน็บหอบหนึ่งก็ซัดม้วนมาถึง ก่อนจะทะลวงเข้าสู่ร่างของเขาทางปากแผลสายนั้น กระแสลมหนาวยะเยือกแล่นไปทั่วอวัยวะภายในทุกส่วน แทบจะทะลุทะลวงไปทั้งสรรพางค์กาย ถูซานสือฟางวนเวียนรอบตัวเขาประดุจเงา รอจนยามที่จื่ออินได้สติ ทั้งร่างก็เต็มไปด้วยบาดแผลแล้ว โลหิตสดๆ ทะลักพรั่งพรูออกมา เขาเปล่งเสียงครางในลำคอได้หนเดียวก็ทรุดฮวบลงไป

ถูซานสือฟางหุบพัดจีบแล้วรุดตามไปยังทิศทางที่ฟางจวินเยี่ยลับหายไปทันที

 

ตลอดทางฟางจวินเยี่ยพาเฟิงจงเหาะเหินโดยไม่ลดความเร็วเลยสักครู่เดียว ทั่วร่างของเฟิงจงอ่อนยวบดุจปุยฝ้าย ทำได้เพียงกุมคทาหม่อนมังกรไว้แน่น ทิวทัศน์ตามรายทางไม่คุ้นตาอย่างยิ่ง นางเดาว่าฟางจวินเยี่ยกำลังใช้เส้นทางอีกสายที่ต่างจากตอนมา แน่นอนว่าเขาทำเพื่อป้องกันไม่ให้ถูซานสือฟางไล่ตามมาได้

เส้นทางสายนี้ไม่เพียงลับตา ระยะทางยังหดสั้นลงกว่าเดิมมาก ทั้งที่ทะเลเขี้ยวพิโรธตั้งอยู่ปลายสุดของแดนฮุ่นตุ้น ทว่าชั่วเวลาเพียงครู่เดียวนี้ เมฆขาวที่มีลักษณะเช่นกระแสน้ำวนนั้นก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตาแล้ว ทางเข้าระหว่างพิภพสวรรค์ถึงกับอยู่ตรงหน้านี้เอง

ฟางจวินเยี่ยพลันหยุดชะงัก ไม่เพียงมองดูทางเข้านั้นอย่างระแวดระวัง ยังขี่เมฆให้ถอยหลังไปอีกเล็กน้อยด้วย

เฟิงจงเองก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติแล้วเช่นกัน ละแวกทางเข้ามีกลิ่นอายของเทพเซียนแผ่ซ่านอบอวลผืนฟ้า ทั้งยังใกล้จะเข้าสู่แดนฮุ่นตุ้นทุกขณะแล้ว

“ขอเตือนให้เจ้ารามือเสียดีกว่า เหล่าเทพเซียนในพิภพสวรรค์กำลังมาถึงที่นี่กันแล้ว” ถูซานสือฟางถึงกับอยู่ด้านหลังฟางจวินเยี่ย เขายืนอยู่บนก้อนเมฆโดยอุ้มฉยงฉีไว้ในอ้อมอก “หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ มีหรือที่อวี้ถูจะยอมจากไปโดยง่ายเพียงนั้น”

ฟางจวินเยี่ยชักกระบี่ออกมาพาดบนไหล่เฟิงจง “ข้าไม่เหมือนกับอวี้ถู เวลาของข้ามีไม่มากแล้ว ข้าไม่อาจรามือได้”

เฟิงจงปรายตามองไปที่ม้วนภาพบนแผ่นหลังของฟางจวินเยี่ย “เจ้าพูดถึงการเกิดใหม่ของคนในภาพกระมัง”

“ไม่ผิด”

“เป็นคนรักของเจ้าหรือ”

ฟางจวินเยี่ยเอ่ยเสียงเย็น “ไม่ใช่…เป็นศัตรูของข้าต่างหาก”

เฟิงจงตะลึงงัน “เจ้าว่าอะไรนะ”

“เจ้าไม่มีทางเข้าใจหรอก ข้ารอคอยมาพันปีแล้วกว่าจะพบเจอมนุษย์เช่นเจ้าสักคน หากศัตรูผู้นี้ยังไม่ได้เกิดใหม่ ข้าก็ต้องแตกดับด้วยฤทธิ์ของคำสาป หากจะโทษก็ต้องโทษตัวเจ้าเอง ทั้งที่เป็นจ่งเสินแท้ๆ เหตุใดไม่ปรากฏตัวมากอบกู้พิภพมนุษย์ให้เร็วกว่านี้เล่า”

เพียงฟางจวินเยี่ยพลิกข้อมือ คมกระบี่ก็ปาดลงไปแล้ว โลหิตสดๆ สาดกระเซ็นออกจากข้างลำคอของเฟิงจง สองตาของนางเบิกกว้าง ร่างอ่อนระทวยทรุดลงไปช้าๆ กระทั่งสิ้นลมหายใจไปแล้ว

ฟางจวินเยี่ยประชิดมาตรวจสอบ ดวงวิญญาณของนางน่าจะเข้าสู่ตำหนักยมโลกไปแล้ว อวี้ถูคงรับนางไว้แล้วกระมัง ในที่สุดก็สามารถหลุดพ้นจากคำสาปที่รังควานข้ามาพันปีได้เสียที

ทว่านี่เป็นเพียงภาพเหตุการณ์ที่อยู่ในสายตาของฟางจวินเยี่ยคนเดียวเท่านั้น

คทาหม่อนมังกรในมือของเฟิงจงต้านคมกระบี่ของฟางจวินเยี่ยเอาไว้ได้ จู่ๆ พลังบนตัวกระบี่ก็ขาดหายไปเฉยๆ รอจนนางเอียงคอไปมองจึงพบว่าสองตาของเขาดูเลื่อนลอย ประหนึ่งดำดิ่งสู่ห้วงฝันไปแล้ว

ยามนี้ก็มีมือข้างหนึ่งวางลงบนไหล่ของนาง เป็นถูซานสือฟางที่อุ้มฉยงฉีโผล่หน้ามาจากด้านข้างนั่นเอง

“ที่แท้ก็เป็นอาคมมายาของเจ้า”

ถูซานสือฟางตั้งนิ้วชี้ขึ้นนาบกับริมฝีปาก ก่อนจะชี้นิ้วไปที่ฟางจวินเยี่ย “เขาอาจจะตื่นในไม่ช้านี้ รีบไปกันเถอะ” เขาพูดพลางพยุงเฟิงจงแล้วพากระโดดขึ้นไปบนก้อนเมฆของตน

ยังดีที่ระหว่างหุ่นเวทกับผู้เป็นนายสื่อจิตถึงกันได้ เป็นเพราะฉยงฉีแท้ๆ เขาถึงรุดตามมาได้รวดเร็วเช่นนี้ ก่อนจากไปเขายังหันไปมองดูทางเข้าระหว่างพิภพสวรรค์อีกหน นึกฉงนใจว่าเหตุใดกลิ่นอายของเทพเซียนที่ด้านนอกถึงไม่ได้มุ่งมาทางพวกเขาแล้ว

บริเวณนอกปากทางเข้าพิภพสวรรค์ ชิงหลีล่วงหน้าผู้อื่นมายืนอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง เขาสันทัดด้านการสืบหาเบาะแสเป็นที่สุด เพียงอาศัยปราณวิเศษที่ย้ำตีระฆังฟ้าก็ค้นพบก่อนใครว่าจ่งเสินอยู่ที่แดนฮุ่นตุ้นนี้ เขาจึงลอบมาที่นี่ในทันที

ทว่าเบื้องหลังของเขาในยามนี้กลับมีฉีอวิ๋นเพิ่มมาอีกคนแล้ว

“เจ้าตามมาตั้งแต่เมื่อไร” ชิงหลีมองอีกฝ่ายด้วยหางตา

ฉีอวิ๋นถูมือพลางยิ้มละไม “ข้ารู้จักฝีมือเจ้าดี จู่ๆ เจ้าก็จากไปเงียบๆ ต้องเป็นเพราะพบร่องรอยของจ่งเสินแล้วเป็นแน่ นี่เจ้า…คิดจะครอบครองจ่งเสินแต่เพียงผู้เดียวหรือ”

ชิงหลีเหลือกตาขึ้น “ก่อนหน้านี้แม้เจ้ากับข้าจะร่วมมือกันก็จริง ทว่าตอนนี้จ่งเสินปรากฏตัวขึ้นเอง ก็ย่อมถึงเวลาที่จะต้องอาศัยฝีมือของแต่ละบุคคลแล้วกระมัง”

ฉีอวิ๋นบุ้ยปากไปทางด้านหลัง “วาจานี้เจ้าไปพูดกับพวกเขาเองแล้วกัน”

ชิงหลีมองตามไป ถึงค่อยพบว่าเทพเซียนกลุ่มใหญ่เดินทางมาที่นี่กันหมดแล้ว เขาหน้าเปลี่ยนสีทันตาเห็น กระชากสาบเสื้อฉีอวิ๋นมาต่อว่าเสียงเบา “เจ้าหักหลังข้า? พาพวกเขามากันหมดเลยรึ!”

ฉีอวิ๋นแบสองมือออก “จ่งเสินปรากฏตัว ทุกคนล้วนยินดียิ่ง พวกเรามาต้อนรับนางกันพร้อมหน้ามีอะไรไม่ถูกต้องหรือ ในเมื่อก็เป็นไปตามที่เจ้าว่า ‘ต้องอาศัยฝีมือของแต่ละบุคคล’ อยู่แล้วนี่”

ชิงหลีผลักฉีอวิ๋นออกไปอย่างเคืองแค้นก่อนจะหันไปมองด้านหลังอีกครา ดวงตาของเทพเซียนทั้งหลายต่างเอ่อท้นด้วยความมุ่งหวัง ท่าทางคล้ายกำลังรอให้เขานำทางให้ ชิงหลีกลอกดวงตาไปมา ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวาน “กลิ่นอายของจ่งเสินอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแดนฮุ่นตุ้น ทุกท่านรีบไปเสาะหากันเถอะ หากมีข่าวคราวก็ส่งข่าวให้กันด้วย”

เหล่าเทพเซียนต่างกลัวจะรั้งท้ายจึงรีบกรูไปที่ทางเข้าจนแทบจะเบียดอัดกันเป็นก้อน ทว่าฉีอวิ๋นกลับไม่รีบร้อนเลยสักนิด ยังคงกอดอกรอคอยอยู่ที่เดิม

รอจนเทพเซียนทั้งหลายจากไปไม่เหลือแล้ว ชิงหลีถึงค่อยขยับเท้าพลางเอ่ยเสียงเย็น “จะพาเจ้าไปด้วยก็ได้ แต่หากเจ้ายังชักนำคู่แข่งมากมายมาอีก ก็จงอย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจ”

“หากเจ้าทำเช่นนี้ตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว” ฉีอวิ๋นเดินหน้าระรื่นตามชิงหลีเข้าสู่แดนฮุ่นตุ้น ทว่าเส้นทางที่พวกเขามุ่งหน้าไปคือทางตะวันตกเฉียงเหนือต่างหาก

เฟิงจงเอนกายกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บนก้อนเมฆ ยามนี้ห่างจากทางเข้าระหว่างพิภพสวรรค์มาไกลมากแล้ว

ฉยงฉีที่อยู่ข้างกายรู้สึกหิวตั้งแต่แรก ทว่าเห็นนางอยู่ในสภาพนี้แล้ว มันถึงกับเกรงใจที่จะขออาหารกับนาง ได้แต่กลืนน้ำลายเงียบๆ เลียอุ้งเท้าจ้ำม่ำของตนไปพลางก่อน

ทันใดนั้นก็มีเสียงต่อสู้ดังมาแต่ไกล กลิ่นอายของเทพเซียนและปีศาจมารผสมปนเปกันจนสับสนยุ่งเหยิง เฟิงจงยกศีรษะขึ้นนิดๆ…ดูเหมือนกลิ่นอายเหล่านั้นจะแผ่ซ่านมาจากทางตะวันออกเฉียงใต้

ถูซานสือฟางนั่งอยู่ด้านข้าง “ข้าจะบอกให้นะ อย่างเจ้าในพิภพมนุษย์นี่เรียกว่าหญิงงามผู้ก่อหายนะ กระทั่งต๋าจี่* บรรพชนของข้าไต้อ๋องก็เกือบจะเทียบเจ้าไม่ได้แล้ว”

เฟิงจงหัวเราะหึๆ “ช่างน่าขันนัก ที่แท้เทพเซียนก็ใส่ใจเรื่องทายาทกันถึงเพียงนี้ เช่นนั้นยังจะต่างอะไรกับมนุษย์ปุถุชนเล่า”

“เจ้าพูดได้ถูกต้องยิ่งนัก พิภพมนุษย์ไร้ผู้คนแล้ว เทพสวรรค์ก็เลยตกชั้นมาเป็นมนุษย์แทน”

ขอบฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆสีเลือดที่ประเดี๋ยวก็รวมตัวประเดี๋ยวก็แผ่ขยาย รอบด้านพลันอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของปีศาจมารรุนแรง ถูซานสือฟางพลันยืนขึ้น ครั้นเห็นแต่ไกลว่ามีปีศาจมารกลุ่มหนึ่งกำลังไล่ล่ามาทางนี้ เขาก็รีบเปลี่ยนทิศทางของก้อนเมฆในทันที

“เป็นกลิ่นอายของคทาหม่อนมังกร จ่งเสินต้องอยู่ทางนั้นแน่นอน!”

“ต้องเป็นเจ้าหนูนั่นแน่ๆ ที่ฉกชิงจ่งเสินไป ฆ่ามันทิ้งแล้วชิงตัวจ่งเสินมา!”

ลูกธนูคำรามแหวกอากาศมาพร้อมพลังของปีศาจมาร ทว่าพอเข้าใกล้เป้าหมาย ลูกธนูกลับถูกลมพายุม้วนตีกลับไป ปีศาจมารที่นำหน้าอยู่ก็ถูกกวาดล้มลงหลายตนในพริบตา ถูซานสือฟางหยุดมือก่อนจะตำหนิเสียงทุ้ม “ปีศาจมารก็ไม่รู้จักมารยาทเช่นนี้เองหรือ การชิงตัวฮูหยินกองโจรทำกันเช่นนี้เมื่อไรเล่า”

การจู่โจมมุ่งมายังถูซานสือฟางมากขึ้นทุกที เฟิงจงรู้ดีว่าเขาได้กลายเป็นเป้าหมายของทุกคนไปแล้วจึงรีบเงยหน้าขึ้นกล่าว “ไปที่ทางเข้าระหว่างพิภพมนุษย์เถอะ ข้าจะกลับพิภพมนุษย์”

“ตอนนี้ก็ได้แต่ส่งเจ้ากลับไปแล้ว” ถูซานสือฟางเหลือบมองกลุ่มปีศาจที่ไล่หลังมา ก่อนจะเอ่ยพลางทอดถอนใจ “เจ้าหายนะ เห็นทีว่าข้าไต้อ๋องคงไม่มีวาสนาจะได้อิ่มเอมใจกับปราณมนุษย์ของเจ้าต่อแล้ว”

เฟิงจงกวักมือเรียกเขา พอถูซานสือฟางย่อกายลงก็เห็นนางกัดนิ้วมือจนได้แผล จากนั้นนางก็เลิกแขนเสื้อของเขาขึ้น และแต้มเลือดไว้บนข้อมือของเขา “หากวันหน้าเจ้ารู้สึกว่าไม่อาจประคับประคองตนได้แล้ว เจ้าก็อาศัยกลิ่นเลือดนี้มาหาข้าได้ ถึงตอนนั้นข้าจะหล่อเลี้ยงเจ้าต่อ ถือเป็นการตอบแทนความช่วยเหลือของเจ้าในครั้งนี้”

ถูซานสือฟางก้มหน้ามองข้อมือของตนเองใกล้ๆ “เหตุใดจุดแต้มนี้จึงดูคล้ายชาดพรหมจรรย์** ของพิภพมนุษย์นักเล่า”

“อะไรคือชาดพรหมจรรย์หรือ”

“โอ๊ะ…เป็นแม่นางน้อยก็อย่าได้ถามมากความเช่นนี้”

“…”

ตอนนี้เองปีศาจมารที่อยู่เบื้องหลังพลันแผดเสียงร้องโหยหวน เฟิงจงสูดได้กลิ่นอายของเทพเซียนในทันที รอจนลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปทางด้านหลัง นางก็เห็นเทพเซียนหนุ่มสองคนร่วมแรงกันสังหารปีศาจมารกลุ่มนั้นเกือบหมดสิ้นแล้ว ผู้หนึ่งสวมชุดสีคราม สีหน้าหยิ่งทะนง อีกผู้หนึ่งอยู่ในชุดสีเขียวอมดำ คิ้วเข้มตาโต

“สองคนนี้ท่าทางจะหมายมั่นเอาไว้มาก” ถูซานสือฟางรีบขี่เมฆมุ่งหน้าไปยังทางเข้าระหว่างพิภพมนุษย์โดยไม่รอช้า

แดนฮุ่นตุ้นชุลมุนวุ่นวายเสมอมา ทว่าก็ไม่เคยเป็นเช่นวันนี้มาก่อน ทางตะวันออกเฉียงใต้เต็มไปด้วยเทพเซียนจากพิภพสวรรค์จำนวนมหาศาล เหล่ามารทั้งหลายจึงนึกว่าพวกเขาลงมาเพื่อขจัดอธรรมผดุงธรรมะ เหตุการณ์จึงแทบจะดำเนินไปเป็นสงครามอันยิ่งใหญ่ระหว่างเทพและมารอยู่แล้ว

ส่วนเหตุที่ชิงหลีกับฉีอวิ๋นทางนี้กำจัดเหล่าปีศาจมารที่อยู่เบื้องหน้าสายตาทิ้งในทันทีนั้น ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ปีศาจมารส่งเสียงดังจนชักนำเทพเซียนอื่นๆ ให้มาเพิ่มอีก รอจนหมดสิ้นอุปสรรคแล้ว ทั้งสองจึงตามรอยต่อไปเบื้องหน้าก็พบเห็นเมฆก้อนหนึ่งพุ่งฉิวไปยังทางเข้าระหว่างพิภพมนุษย์

เฟิงจงเพิ่งจะลงมาจากก้อนเมฆ กลิ่นอายของเทพเซียนที่เบื้องหลังก็ตามมาอย่างกระชั้นชิดแล้ว นางกังวลว่าถูซานสือฟางจะตกเป็นเป้าหมายอีกครา จึงผลักตัวเขาไปข้างทาง “เจ้าหลบเลี่ยงสักหน่อย ข้าจะรับมือพวกเขาเอง”

ถูซานสือฟางจำใจถอยหลบไปหลังก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง จากนั้นจึงสะบัดมือร่ายวิชาอำพรางกาย

ชิงหลีย่างเท้าลงจากก้อนเมฆมาก่อน แต่ละก้าวล้วนหนักแน่นเปี่ยมด้วยความน่ายำเกรง บนร่างสวมชุดสีคราม มวยผมครอบเกี้ยวทรงสูง เหนือคิ้วฉายความเคร่งขรึมแข็งกร้าว ทว่าเมื่อมาถึงเบื้องหน้าเฟิงจง ใบหน้าของเขากลับเหลือเพียงความฉงนงุนงง

แม่นางน้อยเยาว์วัยผู้นี้…ดูปวกเปียกอ่อนแอเหลือเกิน ไม่คล้ายจ่งเสินที่เล่าลือกันว่าทั้งสาวสะพรั่งทั้งงามหยาดเยิ้มอย่างมองมิรู้หน่ายผู้นั้นเลยสักนิด อีกทั้งแม่นางน้อยผู้นี้ยังเป็นมนุษย์เสียด้วย ทว่า…บนร่างนางก็สวมด้วยอาภรณ์สวรรค์ ข้างเท้ายังมีฉยงฉีตัวเล็กคอยติดตาม ไม่มีทางจะเป็นมนุษย์ธรรมดาแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นในมือนางยังกุมคทาหม่อนมังกรอยู่ด้วย จุดนี้ไม่อาจหลอกลวงได้เด็ดขาด

ฉีอวิ๋นประชิดตามมากระซิบถามที่หลังคอของเขา “เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ผิดตัวจริงๆ”

ชิงหลีรังเกียจที่ฉีอวิ๋นเข้ามาใกล้เกินพอดี จึงจงใจสืบเท้าไปเบื้องหน้าหนึ่งก้าว ก่อนคารวะเฟิงจง “ข้าน้อยเทพชิงหลี ไม่ทราบเหตุใดจ่งเสินจึงปรากฏกายที่แดนฮุ่นตุ้นแห่งนี้ ทั้งยังกลายเป็น…เช่นนี้ไปได้”

เฟิงจงใช้มือหนึ่งจับคทาหม่อนมังกรพยุงกาย ทั้งยังต้องแข็งใจฝืนครองสติเอาไว้ นางไม่ได้ตอบคำถามของชิงหลี เพียงรู้สึกว่านามของเขาฟังคุ้นหูอยู่บ้าง หลังจากนึกทบทวนอย่างละเอียดอยู่นาน ในที่สุดก็จำได้ว่าวันนั้นเคยได้ยินเซี่ยจื้อเอ่ยถึง เป็นเขานี่เองที่ไปฟ้องต่อหน้าเทพผู้คุมกฎให้เอาผิดซีกวงโทษฐานลักลอบโปรยฝน

“อ้อ ที่แท้เจ้าก็คือชิงหลี”

ชิงหลีตกตะลึง ใบหน้าผุดความยินดีปรีดาขึ้นรางๆ “จ่งเสินรู้จักข้าน้อย?”

“รู้จักสิ” สีหน้าของเฟิงจงพลันเย็นเยียบ “เจ้าออกไปไกลๆ ข้าหน่อย”

ชิงหลีร่างแข็งทื่อในทันใด เขามีนิสัยเย่อหยิ่งถือดี ในพิภพสวรรค์มีเทพธิดากับเซียนหญิงมาเอาใจเขามากมาย นานวันก็ทำให้เขามองไม่เห็นหัวใคร นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาปฏิบัติต่อสตรีผู้หนึ่งอย่างนบนอบเพียงนี้ ทว่ากลับแลกมาซึ่งผลตอบสนองเช่นนี้ไปเสียได้…หรือข้าจะเคยล่วงเกินนาง

“ฮ่าๆ” ฉีอวิ๋นกลั้นไม่อยู่จนหลุดหัวเราะอย่างไร้คุณธรรม

ประกายตาของเฟิงจงกวาดมองไปทันที “เจ้าชื่ออะไร”

ฉีอวิ๋นจัดแต่งสาบเสื้อก่อนจะเดินขึ้นหน้ามาคารวะ “ข้าน้อยเซียนฉีอวิ๋น คารวะจ่งเสิน”

เฟิงจงกวาดตาไปมารอบหนึ่ง “พวกเจ้ามาด้วยกันหรือ”

ฉีอวิ๋นเอ่ยตอบ “ระหว่างทางพบกันโดยบังเอิญจึงมาด้วยกันขอรับ ข้าน้อยทราบมาว่าจ่งเสินเพิ่งปรากฏกายขึ้น ยามนี้คงไม่ได้รับความสะดวกในพิภพมนุษย์เท่าใดนัก ดังนั้นจึงใคร่ขอเชิญท่านไปเยือนที่ตำหนัก เพื่อที่ข้าน้อยจะได้ให้การรับใช้”

“ฉีอวิ๋น!” ชิงหลีมีสีหน้าเขียวคล้ำ จะอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าเพียงแค่ชั่วครู่ อีกฝ่ายก็จะถีบหัวส่งเขาไปอีกทางแล้ว

ฉีอวิ๋นเอียงศีรษะมาปลอบเขาเสียงเบา “จ่งเสินแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจเจ้า เจ้าก็อดทนหน่อยเถิด รอให้ข้าเชิญนางไปที่ตำหนักก่อน แล้วเจ้าค่อยใช้ความพยายามอีกสักนิด ถึงตอนนั้นก็ยังมีโอกาสอยู่มิใช่หรือ”

ชิงหลีไม่อาจโต้แย้ง เพียงแค่นเสียงฮึเบาๆ แล้วเม้มปากอย่างสงบคำ เขามองเฟิงจงอย่างไม่อาจทำใจยอมรับได้

“ไปเยือนตำหนักเจ้า?” เฟิงจงเอ่ยปนหัวเราะ “ฟังดูไม่เลวทีเดียว เพียงแต่ข้ายังมีธุระที่ต้องทำในพิภพมนุษย์ เอาไว้ก่อนแล้วกัน”

“หึๆ” ครานี้ชิงหลีหัวเราะอย่างกระหยิ่มได้ใจพอดู

กระนั้นฉีอวิ๋นก็มีไหวพริบดียิ่ง รีบหยิบกระพรวนสำริดลูกหนึ่งจากในแขนเสื้อยื่นส่งให้เฟิงจงด้วยสองมือ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยก็ไม่รบเร้าจ่งเสินแล้ว นี่เป็นกระพรวนเซียนของข้าน้อยเอง ท่านอยู่ในพิภพมนุษย์หากมีความยุ่งยากใดล้วนสามารถเขย่ากระพรวนนี้ ข้าน้อยจะปรากฏกายช่วยเหลือท่านในทันที”

เฟิงจงไม่เหลือเรี่ยวแรงเท่าใดแล้ว จึงใช้คทาหม่อนมังกรเกี่ยวรับกระพรวนมากุมไว้ในมือก่อนผงกศีรษะ “เอาล่ะ เชิญพวกเจ้ากลับไปเถอะ”

ชิงหลีกับฉีอวิ๋นสบตากันปราดหนึ่ง ต่างคนต่างคารวะอำลานาง ทว่าสองเท้ากลับไม่อาจตัดใจขยับไปได้ ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็เป็นจ่งเสินที่พวกตนบากบั่นเสาะหาอยู่นานกว่าจะได้พบ อีกทั้งผู้ใดจะรู้ได้ว่าคลาดกันไปครานี้แล้ว ยังจะมีโอกาสได้พบในวันหน้าอีกหรือไม่

จะมากหรือน้อยเฟิงจงก็พอจะเข้าใจความคิดของพวกเขา นางจึงเป็นฝ่ายขยับร่างก่อน โน้มกายลงอุ้มฉยงฉีขึ้นมา อีกมือหนึ่งก็ใช้คทาหม่อนมังกรพยุงกาย ทำทีเดินไปยังทางเข้าพิภพมนุษย์ คาดว่าเมื่อนางจากไปก่อนแล้ว พวกเขาก็คงไม่ถึงกับรั้งอยู่ต่อแน่

เพิ่งจะเดินไปถึงเบื้องหน้าไอหมอกกลุ่มนั้น เงาร่างในอาภรณ์สีแดงก็ลอยลงมาเบื้องหน้าสายตาเฟิงจงโดยไร้เสียง เขาประชิดเข้ามาคุมตัวนางไว้แล้วพุ่งเข้าสู่ไอหมอกไปทันที

ฝีเท้าของชิงหลีชะงักกึก เอ่ยด้วยความตกตะลึง “ข้าดูไม่ผิดกระมัง นั่นคือฟางจวินเยี่ย?”

“อะไรนะ!” ฉีอวิ๋นไล่ตามไปเบื้องหน้าหลายก้าว ความประหลาดใจได้เผยบนใบหน้าของเขาแล้ว “อดีตเซียนอันดับหนึ่งแห่งพิภพสวรรค์…ฟางจวินเยี่ย? เป็นไปไม่ได้หรอก ข้าจำได้ว่าเขาถูกถอนกระดูกเซียนจนแตกดับไปแล้วมิใช่หรือ”

ชิงหลีแค่นเสียงฮึ “เดิมทีก็สมควรเป็นเช่นนั้น แต่ซีกวงช่วยขอความเมตตารักษาชีวิตของเขาไว้ ถึงได้เปลี่ยนเป็นเนรเทศมาอยู่ที่แดนฮุ่นตุ้นนี่ กระทั่งเซียนต้องโทษผู้หนึ่งยังคิดสอดมือมาแตะต้องจ่งเสิน ฝันไปเสียเถอะ!”

เขาพุ่งปราดไปยังทางเข้าโดยไม่รอช้า แต่ไม่คาดว่าเมื่อไปถึงเบื้องหน้าไอหมอกแล้ว ใต้ฝ่าเท้ากลับคล้ายถูกอะไรบางอย่างสกัดเอาไว้ เขาสะบัดหน้าไปถลึงตาใส่ฉีอวิ๋นที่วิ่งตามมาทันที “เจ้าขวางข้าไว้เพื่ออะไร”

“ใครขวางเจ้ากันเล่า ข้าแทบอยากให้เจ้ารุดออกไปสกัดเขาไว้เดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ!” ฉีอวิ๋นพูดพลางพุ่งตัวออกไป ทว่าตัวเขาก็ถูกอะไรบางอย่างดีดกลับมาเช่นกัน เขามองไปรอบด้านอย่างงุนงง ก่อนที่ในใจจะพลันสะท้านวูบ “แย่แล้ว ต้องมีผู้อื่นอยู่เป็นแน่!”

ชิงหลีชักอาวุธออกมาทันที กลับเห็นเพียงประกายสีเงินผุดวาบขึ้นที่หลังก้อนหินก้อนหนึ่ง จากนั้นควันหนึ่งสายก็ลอยพลิ้วไปแสนไกลแล้วหายลับไปในชั่วพริบตา แน่นอนว่าพวกเขาไม่อาจสิ้นเปลืองเวลาไปไล่ตาม แต่สิ่งกีดขวางที่อยู่เบื้องหน้าทางเข้าก็ยังไม่อาจขจัดได้ ทั้งสองจึงต้องร่วมแรงกันคลี่คลาย ต่างฝ่ายต่างเผยความกระวนกระวายใจเกลื่อนใบหน้า เกรงว่าคงไล่ตามฟางจวินเยี่ยไม่ทันแล้ว

 

ทันทีที่เฟิงจงถูกฟางจวินเยี่ยพาตัวฝ่าไอหมอกกลุ่มนั้นออกมา สายลมที่แห้งผากของพิภพมนุษย์อันเปลี่ยวร้างก็โชยมาปะทะใบหน้า ตามติดมาด้วยแสงตะวันอันสว่างสดใส

หลายวันมานี้นางเคยชินกับแสงสลัวในแดนฮุ่นตุ้นแล้ว แรกกลับสู่พิภพมนุษย์เฟิงจงจึงรู้สึกแสบตา ทั้งรู้สึกว่าศีรษะที่หนักอึ้งอยู่แล้วยิ่งหนักขึ้นไปอีก กระทั่งฉยงฉีก็ยังต้องยกอุ้งเท้าจ้ำม่ำขึ้นป้องตา ซุกทั้งร่างเข้ามาในอ้อมอกของนางด้วย

“ฟางจวินเยี่ย เจ้ายังจะฆ่าข้าให้ได้อยู่อีกหรือ”

ก่อนหน้านี้ที่ฟางจวินเยี่ยประมือกับถูซานสือฟางก็สูญพลังไปมาก ไหนจะต้องรุดเดินทางไกล ไหนจะถูกอาคมมายาเข้าอีก กำลังวังชาของเขาย่อมอ่อนแรงลงไปตั้งแต่แรกแล้ว กระนั้นเขาก็ยังฝืนเค้นพลังตบะพานางเหาะตรงขึ้นสู่ยอดของผาตัดชีพไปเรื่อยๆ ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงค่อยตอบคำถามนาง “เว้นเสียแต่ว่าเจ้ามีทางเลือกอื่นที่จะให้คนในภาพของข้ามาเกิดใหม่ได้”

เฟิงจงหลับตาพักก่อนจะเอ่ยปาก “รอให้พิภพมนุษย์ฟื้นคืนสภาพเดิมเมื่อไร วิญญาณในตำหนักยมโลกก็จะเวียนว่ายกลับมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ได้ คำสาปของเจ้าย่อมคลายออกเอง”

“เช่นนั้นต้องรอถึงเดือนใดปีใดกัน”

“ไม่ถึงกับต้องให้เจ้ารอไปอีกพันปีแน่”

ฟางจวินเยี่ยแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา “เลิกเพ้อฝันเสียที พิภพมนุษย์ไม่มีวันฟื้นคืนสภาพเดิมได้หรอก มนุษย์ทั้งหลายล้วนตายสิ้นแล้ว”

“ฮึ! มนุษย์กับข้าล้วนถูกสร้างขึ้นจากมหาเทพหนี่ว์วาเช่นเดียวกัน ในเมื่อข้ายังไม่ตาย ข้าก็ไม่เชื่อว่ามนุษย์จะตายจนหมดสิ้นได้!” พละกำลังของเฟิงจงเริ่มกลับคืนมาบ้างแล้ว นางออกแรงวาดคทาหม่อนมังกรไปเบื้องหน้าฟางจวินเยี่ย ส่งให้พลังวิเศษที่เจือด้วยโทสะซัดใส่หน้าอกของเขาปานพายุอันกราดเกรี้ยว

ฟางจวินเยี่ยเจ็บจนต้องครางในลำคอ มือก็คลายออก เป็นเหตุให้เฟิงจงร่วงลงไปทันที

เฟิงจงรีบใช้คทาหม่อนมังกรเสียบไปที่หินผา พลังวิเศษพลันกระตุ้นให้เถาวัลย์งอกเงยออกมาเกาะเกี่ยวหินผาเอาไว้ ช่วยฉุดรั้งร่างนางไว้ได้อย่างหวุดหวิด แม้ร่างจะแกว่งไกวไปมา แต่มืออีกข้างของนางก็ยังไม่ลืมที่จะกอดฉยงฉีไว้แน่น

ฉยงฉีร้องพูพูสองหน ขณะตะกายขาหน้าอันสั้นเล็กไปขยุ้มปกเสื้อของนางไว้ ตัวของมันก็แกว่งไกวไปมาอย่างน่าหวาดเสียวเช่นกัน จนทำให้เส้นขนทั้งหลังของมันชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ

เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ฟางจวินเยี่ยก็โฉบมาทางด้านข้าง เฟิงจงประคองตัวไม่ไหวแล้วจริงๆ พอพลังวิเศษขาดหายไป เถาวัลย์ก็สลายไปทันตาเห็น ร่างนางจึงร่วงดิ่งลงไปอีกครา

ทันใดนั้นเสียงคำรามกังวานก้องซึ่งเปี่ยมด้วยพลังของมังกรก็ดังขึ้น พร้อมกับหอบเอาลมกระโชกม้วนมาถึงใต้ร่างของนาง แผ่นหลังของเฟิงจงถูกกระแทกเข้าอย่างจัง ทว่าไม่คล้ายหล่นกระแทกกับพื้นนัก นางจึงรีบพลิกกายกลับมาและพบว่าตนถึงกับฟุบอยู่บนหลังของมังกรเขียวตัวหนึ่ง นางนึกว่าตนเองฝันไป รอจนลูบเกล็ดมังกรดูถึงพบว่านี่เป็นความจริง

“พูชือชือพู!” ฉยงฉีเพิ่งจะชูอุ้งเท้ากระโดดโลดเต้นอยู่บนหลังมังกรได้สองที ก็เห็นมังกรเขียวหันขวับมาถลึงตาใส่มันแล้ว ฉยงฉีตกตะลึงที่พบว่าอีกฝ่ายก็คือคู่ปรับที่เคยเจอกันมาก่อนหน้านั่นเอง ด้วยอารามหงุดหงิดมันจึงตะกุยไปบนเกล็ดมังกรสองหน

มังกรเขียวทะยานร่างขึ้นกลางอากาศ พาเฟิงจงเหาะวนหนึ่งรอบก่อนจะพุ่งตรงขึ้นสู่ยอดผา ตรงนั้นมีมังกรเขียวอีกตัวเทียมรถยืนอยู่ ราวกับมันรออยู่ตรงนั้นเนิ่นนานแล้ว

ซีกวงที่อยู่ในอาภรณ์สีดำตะแคงร่างอยู่ในตัวรถ เขายื่นมือดึงนางขึ้นมาในคราวเดียว “โอ๊ะ เมล็ดพันธุ์น้อย เจ้ากลับมาแล้วหรือ”

ทันทีที่เห็น ‘นายพรานชุดดำ’ ฉยงฉีก็โถมปรี่เข้าไปอย่างคึกคักลิงโลด ทั้งหมุนวนที่ข้างเท้าของเขาอีกสองรอบ

ซีกวงคลี่ยิ้ม ก่อนจะช้อนตาขึ้นสบกับฟางจวินเยี่ยที่เพิ่งไล่ตามมา

ฟางจวินเยี่ยหยุดฝีเท้าห่างออกไปสามจั้ง อาภรณ์สีแดงเฉิดฉายจับตาภายใต้แสงตะวัน เช่นเดียวกับตรามารบนดวงหน้าที่ถูกฉายส่องให้เห็นได้รำไร มือของเขายื่นไปกุมกระบี่ในแกนม้วนภาพบนแผ่นหลัง ทว่าสุดท้ายเขาก็คลายมือออก “ขอโทษด้วยซีกวง เป็นข้าที่ผิดต่อความไว้เนื้อเชื่อใจของเจ้า” เขาหลุบตาลง ถอยหลังไปช้าๆ ก่อนจะกระโจนลงสู่ก้นผาไป

หลงต้าคล้ายจดจำฟางจวินเยี่ยได้แล้ว มันร้องเบาๆ อย่างตกตะลึง “ตงจวิน นั่นท่านเซียนฟางไม่ใช่หรือ!”

ซีกวงเม้มปากพยักหน้านิดๆ ก่อนโบกมือเป็นการบอกให้ออกเดินทางได้ เขาไม่อยากให้คล้อยหลังฟางจวินเยี่ยไปแล้วต้องมีชิงหลีและฉีอวิ๋นโผล่มาอีก

สองมังกรบังคับตัวรถเหยาะย่างไปบนสายลมทะยานออกไปทันที เมื่อครู่ตอนที่เฟิงจงถูกซีกวงดึงขึ้นบนรถนางก็แทบจะเอนร่างอยู่ในอ้อมอกของเขา ทว่านางไม่มีเรี่ยวแรงพอจะขยับตัวแล้ว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าฟางจวินเยี่ยที่เจ้าไหว้วานผู้นั้นเกือบทำให้ข้าต้องจบชีวิตแล้ว”

หากไม่รู้ข้าจะรุดมาเองหรือ…ซีกวงถอนหายใจ “เรื่องคราวนี้ต้องโทษที่ข้าจัดการไม่รอบคอบเอง เดิมทีฟางจวินเยี่ยเป็นศิษย์คนโตของท่านพ่อข้า ในอดีตเป็นถึงเซียนอันดับหนึ่งแห่งพิภพสวรรค์ ครั้งนั้นเขากระทำผิดข้อหาหนัก ข้าที่แต่ไรมาไม่เอาตัวไปข้องเกี่ยวกับเรื่องยุ่งยากยังต้องรีบไปขอความเมตตาให้เขาโดยเฉพาะ ถึงช่วยรักษาชีวิตเขาไว้ได้ เขาคุ้นเคยเส้นทางไปทะเลเขี้ยวพิโรธ เดิมทีข้านึกว่ามีไมตรีนี้อยู่ อีกทั้งข้าก็ไปกับเจ้าด้วย อย่างไรก็คงไม่เกิดเหตุผิดพลาด นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าข้าจะถูกเซี่ยจื้อจับกุมกลางทางเสียก่อน เจ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าก็อยู่ช่วยข้างๆ ไม่ได้แล้ว”

เฟิงจงกล่าว “ยังดีที่มีทายาทของจิ้งจอกเก้าหางตระกูลถูซานผู้หนึ่งยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ครั้งนี้แม้น่าตกใจแต่ก็ไร้อันตราย”

ซีกวงคลี่ยิ้มไม่ว่าอะไร จนกระทั่งนิ้วมือเกี่ยวถูกกระพรวนสำริดในมือนาง เขาถึงเอ่ยถาม “นี่คืออะไร”

“ผู้อื่นให้มา ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรหรอก”

“เช่นนั้นก็ให้หลงต้าของข้าเอาไปเล่นแล้วกัน” ซีกวงเพียงโบกมือโยนส่งๆ กระพรวนสำริดก็ไปห้อยอยู่บนหนวดมังกรของหลงต้าแล้ว

ทว่าหลงต้ากลับสะบัดศีรษะร้องโอดครวญ “ข้าไม่เอา ให้หลงเอ้อร์เถอะ”

หลงเอ้อร์ก็ส่ายหัวเช่นเดียวกัน “ข้าก็ไม่เอา”

กระพรวนสำริดถูกโยนไปโยนมาจนในที่สุดก็ปลิวลิ่วมาถึงตรงหน้าฉยงฉี คาดว่าเพราะความหิวจัด มันจึงงับหมับแล้วกลืนลงท้องไปในคำเดียว ทั้งยังเปล่งเสียงเรอดังกังวานออกมาด้วย

ซีกวงอดหัวเราะออกมาไม่ได้

เฟิงจงเพิ่งรู้สึกว่าตั้งแต่ได้เจอซีกวงอีกครั้งจนถึงตอนนี้ ร่างครึ่งซีกของเขาก็ตะแคงมาตลอด ไม่เคยเปลี่ยนอิริยาบถเลย นางจึงใช้คทาหม่อนมังกรพยุงกายขึ้นนั่งตัวตรง “หลายวันมานี้เจ้าถูกลงโทษบ้างหรือไม่”

“หลายวันมานี้?” ซีกวงยิ้มเฝื่อน “เจ้าอยู่ในแดนฮุ่นตุ้นหลายวันก็จริง แต่ข้าที่อยู่บนสวรรค์เพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม หนึ่งร้อยแส้ที่ข้าโดนมายังสดใหม่อยู่เลย”

เพียงนึกว่ารอยแผลเหล่านี้เขาได้รับมาเพราะตนเอง เฟิงจงก็รู้สึกผิดบาปยิ่ง นางรีบแตะคทาหม่อนมังกรไปตรวจรอบร่างเขา ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งหมายเหยียดอ้อมไปที่บั้นท้ายของเขา

ซีกวงรีบกดมือห้ามนางไว้ แต่กลายเป็นว่าเขาเคลื่อนไหวจนกระเทือนถึงบาดแผลที่เจ็บเข้า เขาสูดปากอย่างห้ามไม่อยู่

เฟิงจงเอ่ย “อย่าขยับสิ ข้าจะรักษาบาดแผลให้เจ้า”

ซีกวงพิศมองใบหน้านาง ก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีและหันแผ่นหลังให้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังซุกดวงหน้ากับวงแขนอีกด้วย “เช่นนั้นเจ้าก็ทำการรักษาเถอะ”

แม้เฟิงจงจะฉงนสงสัย กระนั้นก็ยังวางมือทาบไปบนอาภรณ์สวรรค์ของเขา แล้วเค้นพลังวิเศษที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดออกมา

จู่ๆ ซีกวงก็งึมงำขึ้นมาเบาๆ จนแทบจะไม่ได้ยินเสียง “พูดแล้วเจ้าอาจจะไม่เชื่อ อยู่มาจนป่านนี้ข้าเพิ่งจะเคยถูกผู้อื่นลูบคลำบั้นท้ายเป็นครั้งแรกเชียวนะ”

“…”

พลังวิเศษของเฟิงจงได้ผลจริงเสียด้วย บาดแผลเหล่านี้ของซีกวงเกิดจากการโบยหนึ่งร้อยครั้งด้วยแส้คุมกฎซึ่งมีพลังของมหาเทพบรรพกาลสถิตอยู่ เพื่อรักษาท่าทีซีกวงจึงฝืนข่มความเจ็บปวดมาตลอด ยามนี้นางเพียงลูบผ่านเสื้อผ้าไม่กี่หน อาการของเขาก็ทุเลาขึ้นแล้ว

ทว่าเหตุนี้ก็ทำให้นางใช้พลังวิเศษไปจนหมดสิ้น

ซีกวงเพิ่งจะลุกขึ้นนั่งตัวตรงได้ก็หันมาเห็นเฟิงจงพิงที่เท้าแขนหลับไปแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าที่เขาจะขุนจนดวงหน้าน้อยๆ นี้กลมอิ่มดูมีน้ำมีนวลขึ้นมาบ้าง ตอนนี้ใบหน้านางกลับไปซูบตอบเหมือนเดิมแล้ว อีกทั้งใต้ดวงตาก็มีสีคล้ำ แทบไม่ต่างจากสภาพคนป่าตอนที่เพิ่งพบกันใหม่ๆ เลย

เขาถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนใช้มือข้างหนึ่งช้อนรองศีรษะของเฟิงจงให้มาหนุนนอนบนตักของเขาแทน ส่วนมืออีกข้างก็ยื่นนิ้วไปแตะหว่างคิ้วของนางเพื่อตรวจสอบ…ผลที่ได้ทำให้หัวใจของเขาพลันหนักวูบ

เมื่อหันหน้ามาเห็นเหตุการณ์ หลงต้ากับหลงเอ้อร์ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะที่พวกมันจะเปล่งเสียงออกมารบกวน จึงถ่ายทอดเสียงผ่านลมปราณไปถามซีกวงแทน ตงจวิน แม่นางน้อยเดินดินผู้นี้ก็คือจ่งเสินที่ทำให้สามพิภพตามหาจริงๆ หรือ

ซีกวงแค่นเสียงฮึ “ก็บอกแต่แรกแล้วว่าพวกเจ้ามีตาแต่ไร้แวว”

สองมังกรเงียบงันไร้วาจา แววตาที่ใช้มองเฟิงจงคราวนี้ไม่กล้าปรามาสเช่นก่อนหน้าอีก

จู่ๆ ซีกวงก็เอ่ยขึ้นว่า “เหาะไปทางตะวันออก”

ยามกลางวันแสกๆ เช่นนี้ รถเชิญตะวันของตงจวินไม่ควรที่จะเหาะส่งเดชอยู่บนฟ้าตามแต่ใจ หลงต้ากับหลงเอ้อร์จึงบังคับรถโดยไม่กล้าที่จะให้เหาะต่ำไป และก็ไม่กล้าทะยานขึ้นสูงเกิน ตลอดทางล้วนลอดไปลอดมาอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ ด้วยเกรงจะถูกผู้อื่นพบเห็นว่าพวกตนใช้อำนาจในทางมิชอบ ความเร็วที่ใช้ย่อมปราดเปรียวหาใดเปรียบ

ทว่าผ่านไปครู่เดียวฉยงฉีก็หิวจนแทบจะหยิบเท้าซีกวงขึ้นมากัดแทะอยู่แล้ว เขาจึงต้องสั่งให้หยุดพักเสียก่อน

รถเทียมมังกรร่อนลงในหุบเขาแห่งหนึ่ง ที่นี่คล้ายกับหุบเขาที่เฟิงจงเคยพำนักอยู่บ้าง มีบึงน้ำที่ใสสะอาดอยู่แห่งหนึ่งเช่นเดียวกัน เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่ามากนัก ริมบึงน้ำมีไม้ใหญ่ขึ้นอยู่หลายต้น ทว่าใบไม้จวนจะร่วงโกร๋นแล้ว หลังต้นไม้ถึงกับมีสัตว์อสูรยึดครองพื้นที่อยู่หลายตัว พวกมันล้วนกำลังหลับอุตุ

ในอดีตเฟิงจงเคยพูดว่าที่ใดมีแหล่งน้ำก็จะมีสัตว์อสูรมายึดครอง ซึ่งไม่ผิดจริงเสียด้วย ซีกวงจัดร่างเฟิงจงนอนตะแคง ก่อนจะลงจากรถมาโบกมือให้หลงต้ากับหลงเอ้อร์ “ไปเถอะ วันนี้อนุญาตให้พวกเจ้ากินเนื้อสักมื้อหนึ่ง แต่อย่ากินจนท้องเสียเป็นพอ”

สองมังกรหนวดกระดกขึ้นทันใด พุ่งตัวออกไปอย่างเริงรื่น เพียงชั่วพริบตาเหล่าสัตว์อสูรก็ถูกทำให้สะดุ้งตื่น แผดเสียงร้องดังวุ่นวาย ก่อนจะพร้อมใจกันกระโจนเข้าโรมรันกับสองมังกร ทำให้เบื้องหน้าสายตามีแต่ฝุ่นดินฟุ้งตลบไปทั่ว

ฉยงฉีดูจนหัวใจคันคะเยอยากทานทน มันจึงวิ่งไปถึงข้างเท้าของซีกวง ตะกุยชายเสื้อเขาพลางร่ำร้องพูชือพูชือไม่หยุดปาก

ซีกวงคลี่ยิ้มเอ่ยกับสองมังกรว่า “พวกเจ้าเหลือเอาไว้บ้าง ตรงนี้ยังมีผู้ที่หิวโหยอยู่” จบคำเขาก็หันหน้าไปมองเฟิงจงที่หลับอยู่บนรถแล้วกดเสียงพูดให้เบาลง “จำไว้ว่าเหลือส่วนที่ดีๆ หน่อย”

สิ่งที่ตอบกลับเขาคือเสียงมังกรคำรามอย่างร่าเริงสองเสียง

เพียงไม่นานเบื้องหน้าสายตาก็สงบลง เหล่าสัตว์อสูรเตลิดหนีไปกว่าครึ่ง ส่วนพวกที่หลบหนีไม่ทันก็ล้วนถูกมังกรกินเป็นอาหาร หลงต้ากับหลงเอ้อร์ไม่ได้กินเนื้อมานานมากแล้ว จึงหายหน้าไปครึ่งค่อนวันกว่าจะคืบคลานกลับมา…เป็นอาการคืบคลานอย่างแท้จริง เนื่องจากพวกมันกินจนพุงกางเกินไป

กระนั้นพวกมันก็ยังจดจำคำพูดของซีกวงได้ดี ไม่เพียงเหลือเนื้อขาหลังอันอ้วนพีไว้เป็นพิเศษสองขา พวกมันยังคาบไปให้ถึงข้างเท้าของเฟิงจงด้วยตนเอง ท่าทางนั้นเคารพเทิดทูนประดุจเซ่นไหว้เทพเจ้า

ฉยงฉีอยากกินจนน้ำลายสอ รีบปรี่ขึ้นหน้าไปปัดป่ายชายเสื้อของเฟิงจงเพื่อขอให้เริ่มมื้ออาหาร

ทว่าซีกวงคว้าตัวมันไว้อย่างรวดเร็ว จรดนิ้วชี้ทาบริมฝีปากพร้อมเปล่งเสียงดังชู่ จากนั้นก็หิ้วเนื้อขาหลังหนึ่งขาเดินไปที่ริมบึง เขาดีดนิ้วจุดเพลิงกสิณขึ้นหนึ่งกองแล้วม้วนแขนเสื้อขึ้น รอจนพาดเนื้อขึ้นย่างเหนือกองไฟแล้ว มือของเขาก็ตบๆ ที่พื้นข้างตัว

ฉยงฉีวิ่งหน้าระรื่นมานั่งหมอบตรงนั้นอย่างว่าง่าย ดวงตาก็เฝ้าดูเนื้อที่อยู่บนกองไฟตาไม่กะพริบ

หลงต้าคืบคลานมาถึงข้างกายซีกวงบ้าง แล้วร้องถามพร้อมเสียงเรอ “ตงจวิน เหตุใดท่านถึงดูช่ำชองกับงานเหล่านี้นักเล่า”

“พูดมาก” ซีกวงใช้หางตามองหลงต้า ก่อนจะเหินร่างไปที่ตัวรถแล้วอุ้มเฟิงจงกลับมา

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 ต.ค. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: