X
    Categories: ทดลองอ่านนวลหยกงามมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นวลหยกงาม บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 15

ทดลองอ่าน – บทที่ 5

 อี๋อวี้คายเมล็ดซานจาเล็กๆ สองสามเม็ดในปากออกมา นางพยายามลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริด นางกำลังใช้ความคิดอยู่ นิ้วมือก็ถูกหนามตำ พอยกขึ้นอมในปากใช้น้ำลายเลียแผลให้สะอาด สุดท้ายผลซานจาที่ถูกเด็ดไปจนไม่เหลือหลอก็งอกขึ้นอีก!

เลือด…เป็นเลือดของนาง! หลังจากนิ้วถูกตำมีเลือดไหลหยดลงไปบนกิ่งซานจาพุ่มนั้น ผลของมันก็งอกออกมา พอคิดออกแล้ว อี๋อวี้รู้สึกงงงวยเล็กน้อย ถ้าเป็นผลจากเลือดของนางจริงๆ นั่นจะเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวเชียวนะ แม้จะมั่นใจเกินครึ่ง นางยังอยากพิสูจน์ซ้ำอีกครา เมื่อหันหน้าไปเห็นหลูจวิ้นยังสาละวนปีนป่ายอยู่บนต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลนัก ดูท่าทางคงจะไม่ลงมาในชั่วประเดี๋ยวประด๋าว นางจึงยกนิ้วชี้ที่ถูกหนามตำขึ้น บีบแรงๆ ทีหนึ่ง แผลตรงปลายนิ้วที่ตอนแรกเลือดหยุดไหลไปแล้วมีเลือดสีแดงสดผุดซึมหยดหนึ่ง นางเหยียดแขนเล็กที่สั่นเทาน้อยๆ ออกไป สะบัดเลือดหยดนั้นให้ร่วงหล่นลงบนกิ่งไม้อีกพุ่มหนึ่ง

จนกระทั่งได้ยินเสียงตะโกนเรียกของหลูจวิ้นทางด้านหลัง นางถึงคลายฟันที่กัดริมฝีปากล่างไว้จนเจ็บออก ขณะมองดูกิ่งไม้ที่ออกผลสีแดงเพลิงสองพุ่มตรงหน้า บอกไม่ถูกว่าในใจรู้สึกยินดีหรือพรั่นพรึงมากกว่า เลือดของนางเร่งให้ต้นซานจาติดผลได้หรือนี่ มิหนำซ้ำยังอาจจะเร่งการเจริญเติบโตของพืชชนิดอื่นๆ ได้ด้วย หยดลงบนต้นซานจาแล้วเป็นแบบนี้ ถ้าหยดลงบนตัวคนเล่า จะชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้นมาได้อย่างนั้นหรือ นี่เป็นเพราะเหตุใดกันแน่ นางคิดแล้วไม่เข้าใจสักนิด ถ้าจะบอกว่าเป็นอานุภาพของพรวิเศษจากการข้ามภพอีกเช่นเคย เรื่องนี้ก็ออกจะน่ากลัวเกินไปแล้ว เลือดของนางผิดปกติแบบนี้ ยังนับเป็นมนุษย์อีกหรือไม่ จะมิกลายเป็นยาอายุวัฒนะที่มีชีวิตเฉกเดียวกับพระถังซานจั้งผู้โด่งดังนั่นหรือไร

นางต้องตั้งสติให้ดีสักหน่อย บางทีอาจไม่น่ากลัวอย่างที่นางนึกภาพไว้ แค่เร่งให้ต้นไม้โตเร็วขึ้นเท่านั้น ไม่แน่ว่าจะมีฤทธิ์ทำให้เป็นอมตะแบบเดียวกับพระถังซานจั้งเสมอไป แต่ว่า…ใครก็ได้ช่วยไขความกระจ่างให้นางทีว่าเจ้าลูกกลมๆ เล็กๆ ที่กำลังงอกออกมาช้าๆ บนกิ่งก้านรอบต้นซานจาตรงหน้าที่เดิมทีถูกเด็ดผลไปหมดเกลี้ยงแล้วมันคืออะไร! แค่เลือดสองหยดเอง ต้นซานจาพวกนี้บ้าคลั่งไปแล้วหรือไร ถึงกับต้องผลิดอกออกผลให้นางเป็นรอบที่สองทั้งต้นด้วยหรือ

“เสี่ยวอวี้ มานี่สิ เจ้ารีบมานี่เร็วเข้า!” เสียงของหลูจวิ้นดังขึ้นอีกคำรบหนึ่ง อี๋อวี้ฝืนข่มความสับสนว้าวุ่นใจไว้ หมุนกายวิ่งไปต้นไม้ใหญ่ที่พี่ชายปีนขึ้นไปต้นนั้น แม้ยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งว่าเกิดอะไรขึ้นกับเลือดของตนเอง แต่นางลอบตกลงใจแล้วว่าไม่ว่าเลือดของนางมีสรรพคุณวิเศษอะไร จะบอกให้ใครคนใดล่วงรู้ไม่ได้เป็นอันขาด นางคิดไปถึงฉากที่พระถังซานจั้งกับพวกลูกศิษย์ถูกปีศาจทรมานในหนังเรื่องแล้วเรื่องเล่าแล้วขนลุกชันไปทั้งตัว

“เสี่ยวอวี้ เจ้าดูสิ” หลูจวิ้นซึ่งผมเผ้ายุ่งรุ่ยร่ายไม่เรียบร้อยเฉกตอนออกจากเรือนมาก่อนหน้านี้ชะโงกศีรษะเล็กๆ ออกจากช่องว่างระหว่างใบไม้ ฉีกยิ้มกว้างส่งให้นาง เขายื่นมือข้างหนึ่งออกมา เด็กสายตาดีอย่างนางแค่ยืนเขย่งส้นเท้าขึ้นเล็กน้อยมองปราดเดียวก็เห็นลูกนกสีขาวขดตัวอยู่ในอุ้งมือเขา

“ข้างบนนี้มีรังนก ในนั้นมีแต่ลูกนกตัวนี้เหลืออยู่” พอหลูจวิ้นโผนตัวไถลลงจากต้นไม้วิ่งกระโดดโลดเต้นมาตรงหน้า อี๋อวี้กำลังว้าวุ่นใจอยู่สะดุ้งโหยงทันใด ถึงนางจะชอบอ่านหนังสือมากกว่าดูโทรทัศน์ แต่ไม่ได้หมายความว่านางไม่เคยดูรายการสัตว์โลกน่ารักหรอกนะ ลูกนกขนสีขาวที่เด็กชายใช้สองมือประคองมาอวดตนเองตัวนั้น ไม่ว่าดูจากส่วนหัวหรือจะงอยปากล้วนคล้ายคลึงลูกเหยี่ยวตัวหนึ่ง!

ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงมิใช่หรือ เหยี่ยวไม่ต้องอพยพย้ายถิ่นหรือ พวกมันชอบสร้างรังไว้บนกิ่งไม้ในป่ากลางเขาไม่ใช่ตามชะง่อนผาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน สิ่งสำคัญที่สุดคือพ่อแม่ของลูกเหยี่ยวตัวนี้หายไปไหน

ในใจอี๋อวี้สับสนยุ่งเหยิงไปหมด นางก้มหน้าสงบสติอารมณ์ให้เป็นปกติแล้วค่อยเงยหน้าขึ้น พอเห็นหลูจวิ้นที่ทำหน้าเป็นเชิงบอกว่าว่า ‘พูดชมข้าสิ’ แล้ว ต้องสะกดอารมณ์ชั่ววูบอยากบิดหูเขาให้เอาลูกนกวางคืนกลับไป นางเบะปากพูดอย่างน่าสงสาร “พี่รองเอามันกลับไปวางที่เดิมเถอะ ถ้าเกิดพ่อแม่มันกลับมาไม่เจอลูกคงจะเสียใจนะ” รีบเอาเจ้าลูกเหยี่ยวตัวนี้กลับไปคืนที่เดิมซะ ไม่อย่างนั้นอีกประเดี๋ยวพ่อแม่มันกลับมา ไม่ไล่จิกพวกเราสองคนตายรึ!

“ไม่ใช่นะ เจ้าดูสิ ลูกนกตัวนี้ได้รับบาดเจ็บแล้ว” หลูจวิ้นได้ยินวาจาของนางแล้วกล่าวตอบด้วยสีหน้าร้อนรน

“เอ๊ะ?” ครานี้เป็นทีของอี๋อวี้ตะลึงงันตาค้างบ้าง นางรับลูกนกตัวนั้นมาอย่างระมัดระวัง พลิกร่างกระจ้อยร่อยที่สั่นเทาขึ้นดู มีแผลตกสะเก็ดแล้วยาวหนึ่งชุ่นรอยหนึ่งตรงส่วนท้องของมันอย่างชัดเจน ยังมีคราบเลือดแห้งกรังเป็นก้อนติดอยู่บนขนสีขาวสะอาด ดวงตาเล็กๆ สีดำสนิทแฝงรอยหวาดระแวงคู่นั้นจับจ้องนางเขม็ง มันบาดเจ็บสาหัสอยู่ยังดูมีชีวิตชีวาขนาดนี้ได้ ช่างน่าพิศวงจริงๆ

“เจ้าดูสิ แผลของมันลึกมาก พวกเราพามันกลับไปให้ท่านแม่ดูดีหรือไม่”

“ดี” อี๋อวี้แสร้งเงยหน้าขึ้นมองยอดภูเขาเหนือศีรษะอย่างไม่ตั้งใจ แล้วก้มหน้าชำเลืองตาจับสังเกตลูกเหยี่ยวแวบหนึ่งพลางลอบถอนใจเฮือก หากแต่ใบหน้าฉายแววสดใสร่าเริงขณะกล่าวเห็นพ้องกับคำพูดของหลูจวิ้น ตามความคิดของนาง เหยี่ยวตัวนี้น่าจะถูกโจมตีทำร้ายตอนอยู่ในรังบนหน้าผา ถึงบินโซซัดโซเซลงมาถึงป่าเล็กๆ รอบนอกภูเขาลูกนี้ ทั้งที่แผลของมันตกสะเก็ดแล้ว พ่อแม่ของมันก็ยังไม่มาตามหา เห็นทีว่ามันน่าจะกลายเป็นเหยี่ยวกำพร้าแล้ว ชาติก่อนนางลิ้มรสชาติอันขมขื่นของการเป็นเด็กกำพร้ามายี่สิบปี เป็นธรรมดาที่จะบังเกิดความเวทนาสงสารต่อมัน ด้วยเหตุนี้นางกับหลูจวิ้นจึงพาลูกเหยี่ยวบาดเจ็บตัวนี้กลับไปยังเรือนหลังน้อยของสกุลหลู

 

หลูซื่อกำลังปักผ้าอยู่ในลานเห็นสองพี่น้องกลับมา นางหยุดงานในมือแล้วเขม้นมองทั้งสองครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วเอ่ยถาม “จวิ้นเอ๋อร์ เจ้าพาอี๋อวี้ไปที่ภูเขาด้านหลังทำอะไรอีกแล้ว”

หลังจากเด็ดผลซานจาจนเกลี้ยง หลูซื่อห้ามพวกเขาไปที่ป่าอีกเด็ดขาด แม้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้มาหลายปีแล้วไม่เคยมีสัตว์ป่าอาละวาด แต่นางกลัวว่าลึกเข้าไปในป่าจะมีตัวอันตรายอะไรโผล่ออกมากะทันหัน ทำร้ายลูกๆ ของตน จนปัญญาที่หลูจวิ้นอยู่ไม่สุข มักชอบฉวยจังหวะที่นางไม่อยู่พาอี๋อวี้วิ่งเล่นไปทั่ว ต่อให้ลูกสองคนล้วนรู้จักขอบเขตดี กระนั้นยังอดใจไปวิ่งเล่นในป่าลึกไม่ได้

อี๋อวี้เห็นหลูซื่อมีสีหน้าขุ่นเคืองจางๆ ก็ชิงเอ่ยปากก่อนหลูจวิ้นกล่าวตอบ “ท่านแม่ดูสิ พวกข้าเก็บลูกนกกลับมาด้วยเจ้าค่ะ” การเสไปพูดเรื่องอื่นอาจไม่นับเป็นลูกไม้ชั้นยอด แต่มีข้อได้เปรียบที่ฐานะบุตรสาวตัวน้อยและความรักใคร่ของมารดา เพราะเหตุนี้หลูซื่อไม่ซักไซ้ไล่เลียงหลูจวิ้นอีก เพียงกวักมือเรียกอี๋อวี้เข้าไปหา และพิศดู ‘ลูกนก’ ในมือนางตัวนั้น

“นกตัวนี้หน้าตาประหลาดนัก เก็บมาจากที่ใดหรือ เอ๊ะ ไฉนถึงบาดเจ็บขนาดนี้ หลูจวิ้น เจ้าปีนขึ้นไปเก็บรังนกบนต้นไม้อีกแล้วใช่หรือไม่”

อี๋อวี้เห็นหลูซื่อดูไม่ออกว่านี่เป็นเหยี่ยวตัวหนึ่ง เพิ่งคิดจะถอนหายใจโล่งอก ไม่คาดว่าจู่ๆ มารดาจะพูดวกกลับไปหาหลูจวิ้นอีก นางได้แต่ลอบอ่อนใจ ถ้าหลูซื่อตั้งใจจะดุสั่งสอนบุตรชายจริงๆ มักหาเหตุผลได้เสมอ

“ท่านแม่…” หลูจวิ้นในสภาพผมยุ่งรุงรังทำหน้าม่อยคอตก พึมพำเรียกคำหนึ่งแล้วไม่เปล่งเสียงใดๆ อีก นี่เป็นประสบการณ์ตลอดหลายปีมานี้ของเขา ตราบใดที่ท่านแม่มีน้ำโหอยู่ ห้ามโต้เถียงเป็นอันขาด พูดมากผิดมาก ไม่เช่นนั้นจากดุด่าไม่กี่คำจะกลายเป็นไม้กวาดหวดก้น

อี๋อวี้รู้ดีว่าเขายอมโดนดุก็ไม่ซัดทอดถึงนาง และยิ่งไม่ยอมบอกหลูซื่อว่าจริงๆ แล้วนางเป็นคนขอร้องให้เขาพาไปที่ป่ากลางเขา นางจึงรีบแย่งพูดแทรกขึ้นก่อนมารดาจะเอ็ดตะโร “ท่านแม่ ลูกนกน่าสงสารเหลือเกิน มันจะตายไหมเจ้าคะ”

คำดุด่าที่หลูซื่อเตรียมไว้แล้วชะงักค้างอยู่ที่ลำคอ นางผินหน้ามองบุตรสาวที่ทำหน้าละห้อยอย่างน่าสงสาร ถอนใจแผ่วๆ ยื่นมือไปรับลูกนกในมือเล็กๆ มา ไหนเลยนางจะไม่รู้ว่าบุตรสาวกำลังช่วยให้บุตรชายรอดตัวไปได้ เพียงแต่นางทนเห็นสีหน้าเสียใจของเด็กหญิงตัวน้อยไม่ได้จริงๆ

หลูซื่อเก็บสะดึงเข้าที่แล้วลุกขึ้นชำระล้างบาดแผลให้ลูกนกบาดเจ็บ ก่อนจะหยิบแถบผ้ายาวๆ สะอาดสะอ้านผืนหนึ่งพันท้องของมัน ระหว่างนั้นลูกเหยี่ยวยังดิ้นขลุกขลักหลายครั้ง แต่พอถูกนางเอานิ้วเขกหัวทีหนึ่งก็ยอมอยู่นิ่งๆ กระทั่งดวงตาเล็กๆ ที่ฉายแววพยศยังมีรอยยำเกรงเพิ่มขึ้นยามที่มองนาง

หลังทำแผลเสร็จ หลูซื่อเอาลูกเหยี่ยววางลงในมืออี๋อวี้แล้วนั่งง่วนกับงานของนางต่อไปในลานเรือน

หลูจวิ้นเห็นมารดาไม่ตั้งใจจะอบรมสั่งสอนเขาต่ออีก ก็ถือธนูคันเล็กวิ่งหน้าระรื่นไปเล่นกับเหล่าสหายน้อย ในเรือนเหลือแต่อี๋อวี้นั่งที่หน้าโต๊ะกินข้าวหยอกลูกเหยี่ยวตัวนั้นอยู่คนเดียว

ชะรอยว่านอนบนโต๊ะแข็งๆ ไม่สบายตัวนัก มันขยับตัวเบาๆ หลายที ลูกตาสีเหลืองล้อมรูม่านตาดำจับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอี๋อวี้นิ่งๆ ไม่รู้เพราะอะไรนางมองออกว่าในนั้นมีความตื่นกลัวแกมคับข้องใจแอบแฝงอยู่ใต้ความดื้อดึง ความรู้สึกนั้นคล้ายคลึงกับตอนที่ตนเองรู้เป็นครั้งแรกว่าเด็กในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ากับเด็กข้างนอกที่ถูกพ่อแม่อุ้มไว้มีอะไรที่แตกต่างกัน มันเป็นความอิจฉาคนอื่นที่มีพ่อแม่ปนเปไปกับความขมขื่นน้อยใจที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง แต่ก็กลัวจะแสดงความอ่อนแอออกมาต่อหน้าคนภายนอกที่จับจ้องมองอยู่ กลัวการมองเห็นสายตาเวทนาของพวกเขา

ความทรงจำในวัยเยาว์ของอี๋อวี้มีแต่ห้องที่สีผนังลอกล่อนกับกำแพงสูงใหญ่มั่นคงของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ราวกับว่านางยังจดจำกลิ่นอับชื้นในอากาศได้จนบัดนี้ ขณะตกอยู่ในภวังค์ นิ้วมือที่ลูบขนลูกเหยี่ยวเบาๆ อยู่ในตอนแรกจิ้มถูกแผลของมันโดยไม่ระวัง ต่อจากนั้นนางรู้สึกเจ็บที่มือกะทันหันจนเกือบส่งเสียงร้องออกมา เมื่อกลั้นเสียงที่แล่นมาถึงลำคอไว้และดึงสติคืนมา นางรีบหันหน้ามองหลูซื่อในลาน เห็นอีกฝ่ายมิได้สังเกตเห็น ก็ถลึงตาใส่ลูกเหยี่ยวที่จิกนางเต็มแรงเมื่อครู่นี้

ยามนี้เหยี่ยวน้อยสีขาวราวหิมะกำลังอ้าจะงอยสีดำสนิทของมันออก แลบลิ้นเล็กๆ เลียคราบเลือดตรงขอบจะงอยออก อี๋อวี้เห็นรอยเลือดสีแดงสดนั่นแล้ว นึกไปถึงเรื่องที่ดูเหมือนนางจะลืมไปเสียสนิทขึ้นได้ในเวลานี้ นางเห็นลูกเหยี่ยวเลียจุดสีแดงนั่นออกจนหมดแล้ว คล้ายว่าไม่มีปฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษ นางสงบใจนิ่งๆ เพ่งมองมันโดยไม่กะพริบตา ผ่านไปนานพักใหญ่ไม่เห็นว่ามันมีอาการตอบสนองผิดแปลกอะไร นางเขี่ยผ้าพันแผลบนตัวลูกเหยี่ยวเปิดออกอย่างเบาไม้เบามือ มองดูอย่างละเอียดโดยไม่นำพาว่ามันจะขัดขืน ครั้นแน่ใจว่าสะเก็ดเลือดยังอยู่เหมือนเดิม บาดแผลก็ยังไม่หายดี ตอนท้ายนางแตะตรงแผลทีหนึ่ง เห็นเจ้าสัตว์ตัวน้อยคิดจิกคนอีก ถึงแน่ใจเกินครึ่งแล้วว่านางไม่ได้ผิดมนุษย์มนาแบบเดียวกับพระถังซานจั้ง

หลังจากยืนยันได้มั่นใจแล้วว่าเลือดของนางไม่บังเกิดผลใดต่อสัตว์ ในใจกลับนึกเสียดายน้อยๆ คงเป็นเพราะความโลภไม่สิ้นสุดเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ ทว่าที่มากกว่านั้นคือรู้สึกโชคดีกระมัง ถึงอย่างไรพลังยิ่งมาก ความรับผิดชอบก็ยิ่งสูง ตอนนี้นางคิดแค่ว่าอยากรับผิดชอบต่อครอบครัวของตนเองเท่านั้น หัวใจของนางไม่กว้างใหญ่นัก นางขอแค่พลังที่ปกป้องคนที่รักได้เท่านั้นเป็นพอ

อี๋อวี้เห็นว่าเรื่องเร่งด่วนตอนนี้คือค้นหาคำตอบเกี่ยวกับสรรพคุณประหลาดของเลือดนางให้ได้โดยไวที่สุดเป็นการดี ถือว่าเพิ่มเบี้ยในมือส่วนหนึ่ง และลดความไม่แน่นอนลงส่วนหนึ่ง การควบคุมสิ่งที่ยังไม่รู้รอบๆ ตัวไว้ได้จึงจะปลอดภัยที่สุด

 

หลายวันนี้อี๋อวี้กลัดกลุ้มใจมาก นับแต่ในเรือนมีลูกเหยี่ยวเพิ่มขึ้นมาตัวหนึ่ง กิจวัตรประจำวันของนางนอกจากคัดลายมือกับปักผ้าแล้วยังมีหน้าที่เพิ่มขึ้นอย่างหนึ่งเช่นกัน นั่นคือหาของกินให้เจ้าเหยี่ยวน้อยฉิงคง เป็นที่รู้กันว่าเหยี่ยวเป็นสัตว์กินเนื้อ สองสามวันก่อนหลูซื่อเอาข้าวโพดป้อนมัน ท่าทางยอมตายไม่ยอมจำนนของมันทำให้นางนึกถึงปัญหาเรื่องอาหารของมันขึ้นได้ เดิมทีครอบครัวนางมิได้มีเงินเหลือเฟืออยู่แล้ว นานๆ ทีถึงได้กินเนื้อสัตว์เดือนละครั้ง นับประสาอะไรกับนกตัวหนึ่ง ท้ายที่สุดยังคงเป็นหลูซื่อเอ่ยขึ้นว่าถ้าพวกนางจะเลี้ยง ‘นก’ ตัวนี้ไว้ก็ต้องรับผิดชอบจับแมลงให้มันกินด้วย

อี๋อวี้อยากให้ลูกนกที่หลูจื้อตั้งชื่อว่า ‘ฉิงคง’ ตัวนี้อยู่ด้วยกันมากๆ ทว่าหนักใจเรื่องจับแมลง หญิงสาวทั่วไปล้วนกลัวแมลงกันทั้งนั้น ถึงนางไม่ค่อยจะกลัวนัก แต่ให้สัมผัสสัตว์พวกนี้อย่างใกล้ชิด นางจนด้วยเกล้าจริงๆ คิดจะให้พี่ชายสองคนช่วยเหลือ พี่ใหญ่ไม่ยินยอมสิ้นเปลืองเวลากับ ‘เรื่องเล็ก’ พรรค์นี้ ฝ่ายพี่รองพอได้ยินว่าต้องหาแมลงก็สนับสนุนมารดาให้ปล่อยฉิงคงกลับเข้าป่าทันที นั่นไม่ใช่เพราะกลัวแมลง เขาพูดยืนยันอยู่คำเดียวว่าการจับแมลงเลี้ยงนกมีแต่พวกเด็กน้อยที่ทำกัน หลังจากอี๋อวี้ได้ฟังเหตุผลของเขาแล้ว หักใจบอกเขาไม่ได้จริงๆ ว่าดูจากพฤติกรรมตามปกติของเขา การให้อาหารนกไม่นับว่าเป็นเรื่องของเด็กน้อยสักเท่าไหร่นะ

สุดท้ายหน้าที่จับแมลงเลี้ยงนกก็ตกเป็นของอี๋อวี้อยู่ดี ขณะนี้นางกำลังต่อสู้กับพวกตั๊กแตนอยู่ในทุ่งนา ไกลออกไปหลูจื้อพิงอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่อ่านตำรา มีวัวสีน้ำตาลตัวโตของครอบครัวก้มหัวเล็มหญ้าอยู่ใกล้ๆ

อี๋อวี้ย่องกริบไปนั่งยองๆ อยู่ข้างคันนา จับจ้องพงหญ้าตาไม่กะพริบ จวบจนเห็นร่างสีเขียวอมเหลืองกระโดดผ่านแนวหญ้าหร็อมแหร็มไป พอเล็งเป้าได้ก็ใช้สองมือจับอย่างว่องไว จนปัญญาที่ตั๊กแตนตัวนี้มีวิชาตัวเบาล้ำเลิศเหลือหลาย มันยันขาเรียวเล็กสองข้างเบาๆ ทีเดียวก็หนีไปอย่างไร้ร่องรอยก่อนที่อุ้งมือสองข้างของนางจะตะครุบลงไป

นางหันหน้าไปมองหลูจื้อที่ผ่อนคลายสบายอารมณ์เหลือหลายอย่างท้อใจ สูดลมหายใจลึกๆ สองเฮือกสะกดความหงุดหงิดในใจไว้ ก่อนจะนั่งแปะลงบนพงหญ้า เอนกายท่อนบนราบกับพื้น ทอดสายตามองดูผืนนภาเหนือศีรษะแล้วเริ่มใจลอย

ท้องฟ้าที่ไม่แปดเปื้อนมลพิษเป็นสีครามสดใสต่างไปจากสีน้ำเงินปนสีเหลืองเทาที่นางเคยเห็นเมื่อชาติที่แล้วโดยสิ้นเชิง ถ้ามิได้ประดับด้วยริ้วเมฆสองสามกลุ่มนั่น แทบจะทำให้นางอุปาทานไปว่ากำลังมองผืนทะเลอยู่ หลายวันนี้จิตใจนางไม่สงบเลย ดูเหมือนตั้งแต่ที่รู้ว่าเลือดของตนเองผิดแผกกับคนอื่นๆ นางก็เริ่มกระสับกระส่ายไม่เป็นสุข นับจากวันที่พาฉิงคงกลับมา นางลองทดสอบดูหลายครั้งหลายหน ผลที่ออกมายืนยันไปในทางเดียวกันแล้วว่าเลือดของนางมีสรรพคุณดีกว่าปุ๋ยเร่งดอกเร่งผลจริงๆ

หลังจากหญ้าคาตรงมุมกำแพงในลานเรือนสองต้นได้ ‘ดื่ม’ เลือดที่ผสมน้ำให้เจือจางลงของนางก็โตพรวดๆ จนสูงครึ่งตัวคน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงต้นซานจาในป่าที่ภูเขาด้านหลังตอนนี้

เอาเป็นว่าเลือดหนึ่งหยดผสมน้ำชามหนึ่งจะมีฤทธิ์อ่อนลงเจ็ดส่วน แต่ต่อให้เหลือฤทธิ์แค่สามส่วน เอาไปรดตรงโคนต้นซานจาสิบกว่าต้น ยังทำให้พวกมันติดผลใหม่อีกครั้งได้ภายในสองวัน เห็นทีว่าเลือดที่เจือจางแล้วยังมีสรรพคุณอยู่ แค่ว่าความเร็วในการเติบโตของพืชชะลอลงเท่านั้น

เมื่อแรกที่หลูซื่อรู้ว่าต้นซานจาออกผลใหม่ก็ตกใจ แต่ตอนหลังทึกทักเอาว่าความผิดประหลาดนี้เกิดมาจากคุณสมบัติพิเศษของพืชชนิดนี้เอง ดังนั้นนอกจากอี๋อวี้แล้ว อีกสามคนที่เหลือต่างปีติยินดีอย่างยิ่ง

ถึงเวลานี้พวกเขาหยุดขายถังหูลู่มานานกว่าครึ่งเดือน แต่เพราะมีเครื่องไม้เครื่องมือครบถ้วนอยู่แล้ว เมื่อวานหลูซื่อจึงไปซื้อน้ำตาลที่ตลาดกลับมาสองโถอย่างร่าเริงเบิกบาน จากนั้นเริ่มกระบวนการทำขนมอีกครั้ง ยามเช้าตรู่ของวันนี้ นางพาหลูจวิ้นที่ไม่ต้องไปสำนักยุทธ์เดินทางไปที่ตัวตำบล คิดคำนวณดูแล้วผลซานจาพวกนั้นมีมากพอให้พวกเขาขายไปได้หลายวัน

เพราะเลือดของนางมีพลังพิเศษ จึงนับได้ว่านางค้นพบทางลัดสายหนึ่งซึ่งจะพาครอบครัวตนเองไปสู่ความมั่งคั่งร่ำรวยได้ ตามหลักแล้วนางสมควรดีใจถึงจะถูก จนปัญญาที่คนเรามักช่างวิตกกังวล พอได้มาครอบครองแล้ว ก็หวาดหวั่นว่าจะสูญเสียมันไปเมื่อไร สองสามวันนี้นางตรึกตรองทบทวนไปมาแล้วคิดไม่ตกจริงๆ ว่าถ้าเกิดวันใดเลือดของนางหมดพลังนี้ไป จะมิใช่หลงดีใจเก้อหรือไร ยิ่งคาดหวังมากยิ่งผิดหวังมาก ฝันสูงเกินไป ยามหกล้มลงยิ่งลุกขึ้นได้ยาก ด้วยเหตุนี้เรื่องดีๆ ในตอนแรกก็กลายมาเป็นต้นตอความกลัดกลุ้มใจของนาง

“มอๆ” เสียงวัวร้องดังมากระทบโสตประสาทของเด็กหญิงที่จมอยู่ในภวังค์ความคิด ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ๆ อย่างเชื่องช้า เมื่อเสียงใบหญ้าเสียดสีกันดังขึ้นริมหู มีคนผู้หนึ่งเอนกายลงนอนที่ด้านขวา แหงนมองท้องฟ้ากว้างไพศาลด้วยกันกับนาง

ผ่านไปครู่ใหญ่ไม่เห็นอีกฝ่ายพูดอะไร อี๋อวี้นิ่งคิดแล้วเอ่ยปากขึ้นก่อน “พี่ใหญ่?”

หลูจื้อส่งเสียงตอบในลำคอคำหนึ่ง จากนั้นกล่าวกับนางด้วยสุ้มเสียงใสกังวานเฉพาะตัวเด็กชาย “ข้าเห็นเจ้าจับแมลงอยู่พักใหญ่ยังจับไม่ได้สักตัว หวั่นใจว่าวันนี้ฉิงคงได้กินอาหารน้อยกว่าเมื่อวานนี้แล้ว”

อี๋อวี้ได้ยินคำพูดของเขาก็ลอบเบ้ปากแล้วเอ่ยตัดพ้อ “พี่ใหญ่พี่รองล้วนไม่ช่วยข้า ย่อมจับได้น้อยเป็นธรรมดา ฉิงคงกินไม่อิ่มก็โทษพวกพี่แล้ว” นานๆ ทีนางจะทำแง่งอนกับพี่ชาย เป็นความรู้สึกที่ไม่เลวเลย

“เช่นนั้นให้มันโทษพวกข้าก็แล้วกัน หากเจ้าเบื่อที่จะทำเรื่องนี้ ข้าช่วยเจ้าได้นะ”

อี๋อวี้กระฉับกระเฉงขึ้นไม่น้อยทันที นางลุกพรวดขึ้นจากพื้นหญ้า พูดกับหลูจื้อที่ยังเอนกายนอนบนพื้น “นี่พี่ใหญ่รับปากข้าแล้ว พูดคำไหนคำนั้นนะ” ว่าแล้วยกนิ้วก้อยข้างซ้ายขึ้นจะเกี่ยวก้อยกับเขา

ดวงตาคู่งามของหลูจื้อไหววูบ เขายื่นมือไปเกี่ยวก้อยกับนางแล้วถามขึ้นอีก “ตอนนี้อารมณ์ดีแล้วสินะ ไม่ต้องทำหน้าคว่ำอีกแล้วกระมัง พักนี้ข้าเห็นเจ้าหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วทุกข์ใจมากเลย”

อี๋อวี้หน้าแดงเรื่อๆ ทันควัน คิดไม่ถึงว่าหลายวันนี้นางจะแสดงความหงุดหงิดไม่สบายใจออกมาทางสีหน้าด้วย กระทั่งเด็กที่ยังโตไม่เต็มที่อย่างหลูจื้อยังมองออก แม้จะกระอักกระอ่วนใจ แต่นางก็อดเถียงกลับไปไม่ได้ “เสี่ยวอวี้อารมณ์ไม่ดีที่ไหนกัน”

หลูจื้อไม่ตอบ หันหน้ามองท้องฟ้าต่อ ขณะที่อี๋อวี้นึกว่าพี่ชายโกรธแล้ว เขาก็อ้าปากพูดขึ้นเนิบๆ “ต่อให้เจ้าอารมณ์ไม่ดี ข้าก็เบิกบานใจ เพราะเจ้าร้องไห้ได้หัวเราะได้ถึงจะหายดีแล้วจริงๆ ตอนนี้ข้าคิดอยู่บ่อยๆ ว่าให้ครอบครัวของพวกเรามีชีวิตอย่างมีความสุขแบบนี้ ถึงต้องอยู่หมู่บ้านนี้ไปชั่วชีวิตก็ทำได้ เจ้าอย่าโมโหพวกพี่สองคนเลยนะ ท่านแม่เห็นเจ้าไม่ร่าเริง นึกว่าเจ้าเบื่อหน่ายที่อยู่แต่ในเรือนคัดลายมือปักผ้าทั้งวัน อีกทั้งเห็นเจ้าไม่ชอบออกไปเล่นกับคนอื่น เลยอยากจะหาเรื่องอื่นๆ ให้เจ้าทำบ้าง”

ถ้อยคำของเขาทำให้อี๋อวี้สับสนงุนงง นางเหม่อมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยเค้าเยาว์วัยทว่าเด็ดเดี่ยวของเขาซึ่งมองท้องฟ้าอยู่ เป็นนานกว่าที่สมองจะคิดตามทัน เพียงรู้สึกลำคอตีบตัน ขอบตาเปียกชื้น นางรีบเอนตัวลงนอนกลับไปบนพื้นหญ้าเพื่อไม่ให้หลูจื้อมองเห็น

นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลูจื้อที่เป็นผู้ใหญ่เกินวัยมาแต่ไหนแต่ไรจะกล่าววาจา ‘ใสซื่อจริงใจเหมือนเด็กน้อย’ เช่นนี้ออกจากปากอย่างหาได้ยาก กระนั้นคำพูดสั้นๆ ไม่กี่คำนี้กลับคลี่คลายปมในใจนางอย่างได้ผล

นางคิดเสมอมาว่าจะทำให้ครอบครัวอยู่ดีมีสุขอย่างไร หากแต่มองข้ามความหมายของคำว่า ‘อยู่ดีมีสุข’ นางมัววิตกกับเลือดของตนเองจนลืมคิดไปว่าต่อให้ไม่มีพลังวิเศษเหล่านี้ ขอแค่ทุกคนในครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างปลอดภัย จะมีหลุมบ่อใดที่ก้าวผ่านไปไม่ได้หรือแม่น้ำสายใดที่แล่นข้ามไปไม่ได้เล่า

หลูซื่อกับบุตรชายสองคนไม่ล่วงรู้ว่าดวงวิญญาณที่แท้จริงของนางเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง พวกเขาเพียงคอยเอาใจใส่ชีวิตของนางไปตามสัญชาตญาณของคนสายเลือดเดียวกัน แม้ ‘กิจกรรมยามว่าง’ แบบนี้ไม่มีความจำเป็นสำหรับนาง แต่ความห่วงใยที่แอบแฝงอยู่ในนั้นทำให้นางรู้สึกอบอุ่นสุดหัวใจ

แล้วยังมีอะไรที่น่ากลัวน่ากังวลใจอีก ครอบครัวที่เป็นสุดยอดปรารถนาของนางเมื่อชาติก่อนอยู่ข้างกายนี่แล้ว ถึงเสี้ยวขณะต่อไป นางจะกลับไปเป็นอี๋อวี้ธรรมดาๆ คนเดิม พวกเขาก็จะไม่ทอดทิ้งนาง เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว

อี๋อวี้แอบเช็ดน้ำตาบนแก้มสองข้างออก รู้สึกว่าตนเองน่าขันอยู่บ้าง เรื่องกลุ้มอกกลุ้มใจอยู่ตั้งนานล้วนเป็นการตีตนไปก่อนไข้เท่านั้น นางค่อยๆ ขยับศีรษะไปพิงไหล่ของหลูจื้อ หันหน้ามองท้องฟ้ากับเขา รู้สึกว่าผืนฟ้าสีครามช่างปลอดโปร่งสดใสดุจเดียวกับจิตใจของนางในยามนี้

สุดท้ายหลูจื้อช่วยนางจับแมลงได้หนึ่งถุงเล็ก พอให้ฉิงคงกินไปได้หลายมื้อ

ตอนเที่ยงทั้งสองอุ่นกับข้าวที่เหลือจากเมื่อวานมากินด้วยกัน จากนั้นต่างคนต่างง่วนกับงานของตนเองเช่นเคย

อี๋อวี้ฝึกฝนวิธีปักพื้นฐานของผ้าปักซื่อชวนได้คล่องมือแล้ว เหลือแค่ฝีตะเข็บอีกหลายแบบที่ค่อนข้างยากและซับซ้อนน่าปวดหัวซึ่งหลูซื่อยังไม่คิดจะสอนนางตอนนี้ ถึงกระนั้นก็ตามที งานชิ้นเล็กๆ ที่นางปักออกมาสามารถเอาไปขายปนกับงานปักของหลูซื่อได้แล้ว แน่นอนว่านี่ยังมิใช่ฝีมือที่แท้จริงของนาง ตอนนี้ระดับฝีมือของนางรุดหน้าขึ้นมาก แม้ยังไม่ช่ำชองถึงขั้นหลับตาทำได้อย่างหลูซื่อ แต่โชคดีที่ความจำแม่นยำ และฝึกฝนวิชาลอกเลียนแบบได้เข้าขั้นที่ตบตาว่าเป็นของแท้ได้สบาย

หลูซื่อกลับมาตอนพลบค่ำ มีของติดไม้ติดมือมาฝากอี๋อวี้เป็นหวีเล็กๆ ใหม่เอี่ยมเล่มหนึ่ง ทำจากไม้สลักลายเส้นง่ายๆ เป็นรูปคล้ายๆ ดอกอิ๋งชุนกิ่งหนึ่ง เมื่อลองนับดูมีซี่หวีปลายมนทั้งหมดยี่สิบซี่ เพราะเป็นหวีเล่มใหม่ยังมีกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ อี๋อวี้ได้รับสิ่งของที่ประณีตบรรจงแบบนี้เป็นครั้งแรก จึงลูบๆ คลำๆ อยู่นานพักใหญ่อย่างยินดีจนออกนอกหน้า มันเป็นความแช่มชื่นเบิกบานที่ไร้สิ่งใดเจือปน ด้วยสตรีคนใดเล่าจะไม่ชมชอบของสวยงามชิ้นเล็กกะทัดรัดแบบนี้

หลูจวิ้นเห็นนางถูกอกถูกใจก็ประจบประแจงอยู่ด้านข้าง พล่ามพูดคำสัญญาไร้ราคาต่างๆ ทำนองว่า

‘วันหน้าพี่รองมีความสามารถแล้ว จะซื้อเข็มปักผ้าให้เจ้าร้อยเล่มนะ’

‘วันหน้าพี่รองหาเงินได้แล้ว จะให้เจ้าสวมชุดใหม่ทุกวันเลย’

‘รอไว้พี่รองโตแล้ว จะซื้อร้านขนมสักร้านไว้ให้เจ้ากินคนเดียว’

พออี๋อวี้ฟังมากๆ เข้าจากแรกเริ่มที่ซาบซึ้งใจก็แปรเปลี่ยนเป็นทอดถอนใจ

“เสี่ยวอวี้ รอพี่รองฝึกวรยุทธ์สำเร็จ จะไปท่องยุทธภพหาเงินเยอะๆ ถึงเวลาจะซื้อหวีไม้ให้เจ้าหีบใหญ่ๆ” นางไม่รู้จริงๆ ว่าตนเองจะเอาหวีทั้งหีบนั่นไปทำอะไร สางไรผมรึ

หลูจื้อพูดพลางยิ้มเยาะ “ท่องยุทธภพ? เจ้าคิดจะไปไหนกัน ไม่ต้องการท่านแม่กับน้องเล็กแล้วหรือ”

หลูจวิ้นถูกพี่ชายหัวเราะเยาะก็แตกตื่นอยู่ในใจ ปากกลับเอ่ยอย่างไม่ทันคิด “ข้าพาท่านแม่กับน้องเล็กไปด้วยกันไม่ได้หรือไร”

“พาพวกนางไปด้วย? เจ้าไม่กลัวพวกนางได้รับอันตรายหรือ”

“กลัวอะไร! ตอนนี้ข้าหลูจวิ้นมีวิชายุทธ์พอตัวแล้ว นับเป็นยอดฝีมืออันดับสองของยุทธภพ ผ่านไปอีกสองปี ก็จะเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า!”

หลูซื่อล้างผักแล้วก้าวเข้ามาในเรือนได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่พอดี จึงยกฝ่ามือตบท้ายทอยบุตรชายคนรองระหว่างที่เดินผ่านพวกเขาเข้าไปในห้องครัวโดยไม่เหลียวหลัง

หลูจวิ้นไม่ทันระวังตัวถูกตบหัวอย่างถนัดถนี่ เขาร้องอุทานอย่างตกใจแล้วคลึงท้ายทอยที่เจ็บน้อยๆ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นรอยยิ้มของหลูจื้อแฝงรอยเยาะเย้ยมากขึ้น

“วิชายุทธ์พอตัว ยอดฝีมืออันดับสอง ว่าที่อันดับหนึ่งในใต้หล้า” หลูจื้อเหล่มองเขาอีกแวบหนึ่ง ก่อนจะหมุนกายเลิกม่านขึ้นเดินเข้าห้องครัวไปช่วยหลูซื่อทำกับข้าว

อี๋อวี้ชมดูอยู่ด้านข้างด้วยความสนุกสนาน กลั้นเสียงหัวเราะที่ติดอยู่ตรงลำคอไว้ไม่อยู่ในที่สุด นางไม่กล้ามองสีหน้าของหลูจวิ้นที่ดูเหมือนจะจืดเจื่อนไปแล้ว ได้แต่กลั้นใจสาวเท้าเล็กๆ พรวดพราดออกไปที่ลานด้านนอกถึงปล่อยเสียงหัวร่อออกมา ถือว่ารักษาหน้าให้พี่รองของนางได้บ้าง

ก่อนฤดูหนาวจะเยี่ยมกรายมา หลูซื่อเด็ดผลซานจาที่ภูเขาด้านหลังจนเกลี้ยงอีกครั้ง และทำเป็นถังหูลู่ไปขายต่อได้กำไรมาอีกสองก้วน ทว่าไม่ถึงสองวันเงินก้อนนี้ก็ถูกใช้ไปจนหมดไม่เหลือหลอ นางจ้างช่างไม้ฝีมือดีที่สุดในหมู่บ้านทำโต๊ะหนังสือซึ่งนั่งได้สองคนตัวหนึ่ง ยังซื้อกระดาษป่านเนื้อดีอีกสิบโหล จากนั้นจัดมุมหนึ่งในเรือนตรงข้างหน้าต่างที่หันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์เป็นที่อ่านเขียนหนังสือให้หลูจื้อโดยเฉพาะ

กระทั่งอี๋อวี้ก็ได้มีโอกาสใช้พู่กัน หมึก และกระดาษคัดลายมือ กระดาษที่ใช้เขียนหนังสือชั้นยอดของเขตสู่จงคือกระดาษป่าน แม้ในตำบลจะมีขายพวกกระดาษหวายเนื้อละเอียดกว่าที่เป็นของพื้นเมืองทางใต้ แต่มีราคาแพงกว่าไม่น้อย กระทั่งแค่กระดาษป่านชั้นรองสิบโหลร้อยกว่าแผ่นนี้ยังต้องจ่ายไปถึงสามร้อยกว่าอีแปะ

หลังจากบาดแผลของเหยี่ยวขาวฉิงคงหายดี อี๋อวี้เสนอให้ปล่อยมันกลับเข้าป่า ตอนก่อนจากกัน ดีชั่วเจ้าสัตว์เดรัจฉานมีปีกตัวนี้ก็นับว่าแสนรู้อยู่บ้าง มันบินวนเหนือศีรษะนางสองรอบถึงพุ่งทะยานเข้าสู่ป่าลึก

เพื่อเตรียมการเข้าสู่ฤดูหนาว หลูซื่อจัดเตรียมอาภรณ์กันหนาวของลูกทั้งสามไว้ล่วงหน้า ตอนอี๋อวี้ลองสวมเสื้อคลุมตัวสั้นที่แก้ให้ใหญ่ขึ้นถึงพบว่าตนเองมองข้ามปัญหาข้อหนึ่งไป แม้ว่าหลูซื่อมีฝีมือในการแก้เสื้อตัวเก่าด้วยการเย็บผ้าใหม่เสริมเข้าไปจนใส่ได้พอดีตัวและเรียบร้อย กระนั้นก็แค่ทำให้เนื้อผ้าหนาขึ้น ไม่เห็นวี่แววของสำลีสักนิด

อี๋อวี้เกือบซักถามเรื่องเกี่ยวกับสำลีอย่างอดใจไม่อยู่ เพียงแต่พอคิดอย่างละเอียดแล้วรู้ว่านี่น่าจะเพราะในดินแดนของราชวงศ์พิลึกพิลั่นซึ่งคล้ายคลึงกับราชวงศ์ถังที่นางเคยรู้จักแห่งนี้ยังไม่มีการนำพันธุ์ดอกฝ้ายเข้ามา ผู้คนยังอาศัยการสวมเสื้อผ้าหนาหลายชั้นให้อุ่นกายในฤดูหนาว ดีที่ร่างกายของอี๋อวี้ในตอนนี้ไม่ขี้หนาวสักเท่าใดนัก จึงไม่ค่อยจะกลัวฤดูหนาวที่ใกล้จะมาถึงในไม่ช้า

ฝ้ายเป็นของดีอย่างหนึ่งจริงๆ ดูเหมือนว่าจะนำเข้ามาจากต่างแคว้น แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์ในดิน จะต้องมีพืชชนิดนี้เติบโตอยู่มุมหนึ่งมุมใดที่ไร้ชื่อและยังไม่เป็นที่รู้จักของผู้คนเท่านั้นเอง

พักนี้อากาศแห้งแล้งกว่าที่ผ่านๆ มา นานครึ่งค่อนเดือนแล้วที่ไม่มีฝนตกลงมาสักห่าหนึ่ง ลำธารที่เดิมทีเป็นแหล่งน้ำทำนาของคนในหมู่บ้านตื้นเขินไปครึ่งสาย ไม่อาจชักน้ำเข้านาได้อย่างราบรื่น ต้นธัญพืชในนาเพิ่งเริ่มแทงยอดอ่อน อีกทั้งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการข้ามผ่านฤดูหนาวของนาข้าวสาลี ทันทีที่ต้นกล้าอ่อนแอเกินไป มีความเป็นไปได้ถึงแปดหรือเก้าในสิบส่วนที่ปีหน้าจะประสบทุพภิกขภัย

วันนี้พอหลูซื่อทำอาหารมื้อเที่ยงให้ลูกๆ สามคนเสร็จ ผู้ใหญ่บ้านส่งคนมาแจ้งให้ไปชุมนุมกันเพื่อหารือวิธีแก้ปัญหานี้ นางกลัดกลุ้มด้วยเรื่องนี้มานานหลายวัน ไม่ใส่ใจที่จะกินให้อิ่มท้องก็ตามไปที่เรือนของผู้ใหญ่บ้าน กว่าจะกลับมาอีกทีก็เป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว

ผลการหารือของชาวบ้านทั้งหลายคือแบ่งกำลังเป็นสองสาย กลุ่มหนึ่งรับหน้าที่หาบน้ำรดที่นา กลุ่มหนึ่งรับหน้าที่ขุดลอกท้องร่อง โดยนัดหมายรวมตัวกันที่หน้าหมู่บ้านตอนย่ำรุ่งวันพรุ่งนี้

หลูจวิ้นฟังคำบอกเล่าของหลูซื่อแล้วขันอาสาจะไปช่วยหาบน้ำ หลูจื้อก็ออกปากอยากจะลงแรงช่วยด้วย แต่ตอนท้ายนางเพียงตอบตกลงพาหลูจวิ้นไป และกล่าวว่าพอถึงเวลาจะจ้างคนมาช่วยงานเอง

ด้วยเหตุนี้ย่ำรุ่งวันต่อมา ทั้งสองถือเครื่องไม้เครื่องมือออกจากเรือนไป เหลือพี่ชายคนโตกับน้องสาวที่ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะเชือดไก่อยู่ในเรือนสองคน จนกระทั่งกินอาหารเที่ยงแล้วยังไม่เห็นพวกเขากลับมา

แสงอาทิตย์ตอนบ่ายคล้อยชวนให้เกียจคร้านจนไม่อยากขยับกาย อี๋อวี้ยกม้านั่งตัวเล็กมานั่งลงข้างๆ หลูจื้อซึ่งอ่านตำราอยู่ นางจ้องเขาเขม็ง หมายจะเรียกร้องความสนใจจากเขา น่าเสียดายที่อีกฝ่ายรับรู้ว่านางเข้ามาใกล้ กลับไม่เงยหน้าขึ้นเลย

หมู่นี้นางรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าความสำคัญของตนเองในครอบครัวลดน้อยถอยลง พี่ใหญ่ที่ห่วงใยนางมาก และยังนับว่าเอาใจใส่นางดีในทีแรกดูคล้ายเป็นนางอุปาทานไปเอง เดี๋ยวนี้โอกาสที่ได้อิ่มเอมใจกับถ้อยคำอบอุ่นอ่อนโยนของเขาบางครั้งบางคราก็แปรเปลี่ยนเป็นนับนิ้วได้ แค่ว่าเมื่อเทียบกับพี่รองที่ถูกเขากดขี่รังแกบ่อยๆ แล้วยังดีกว่าบ้าง

แต่ขณะนี้นางมีเรื่องขอร้องหลูจื้อจริงๆ จึงไม่ตระแหน่แง่งอนอย่างเด็กน้อย และเอ่ยปากบอกตรงๆ “พี่ใหญ่ พี่อย่าอ่านตำราอีกเลย พวกเรา…”

“ถ้าหิวข้าว ที่ห้องครัวมีแป้งย่างอยู่ในกระทะ”

“เสี่ยวอวี้ไม่หิวข้าว พวกเรา…” เพิ่งกินอาหารเที่ยงไปยังไม่ถึงครึ่งชั่วยาม นางจะหิวได้อย่างไร

“ถ้าหิวน้ำก็ไปรินน้ำดื่ม”

“ไม่หิวน้ำเหมือนกัน ข้าว่าพวกเรา…”

“ถ้าไม่มีเรื่องอะไร ก็ไปปักผ้าของเจ้า”

เอาเถิด นางแน่ใจว่าตนเองขัดความสำราญในการอ่านตำราของอีกฝ่าย แต่เขาจะรอให้นางพูดจบไม่ได้รึ!

อี๋อวี้โกรธจัดจนดึงหนังสือในมือหลูจื้อมา รอเมื่อเขายอมหันมามองนางจนได้ ถึงพูดเสียงดัง “พวกเราไปที่ทุ่งนาดูพวกท่านแม่กันเถอะ!”

หลูจื้อหยิบหนังสือคืนมาจากมือนางด้วยสีหน้าปราศจากความรู้สึกใดๆ รีดหน้ากระดาษที่ถูกน้องสาวจับจนยับให้เรียบอย่างเบามือ ก่อนย้อนถามนาง “ไปดูพวกเขาด้วยเหตุใด”

“แน่นอนว่าไปช่วยงานน่ะสิ”

อี๋อวี้ตอบตามสัตย์จริง หลายคืนที่ผ่านมาตอนหลูซื่ออุ้มนางนอน นางรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอนัก วันนี้ยังต้องไปออกแรงทำงาน ทำให้นางเป็นห่วงมากจริงๆ

“เจ้าหาบน้ำไหวหรือ”

อี๋อวี้ส่ายหน้า

“เจ้ายกจอบขึ้นหรือ”

อี๋อวี้ส่ายหน้าอีก

“ถ้าไม่มีอะไรทำล่ะก็ เจ้าไปปักผ้าเถอะ” กล่าวจบหลูจื้อพลิกหนังสือหาหน้าที่เมื่อครู่ยังอ่านไม่จบแล้วอ่านอย่างคร่ำเคร่งต่อ

ถูกปล่อยให้นั่งเก้ออยู่ด้านข้างอย่างนี้ อี๋อวี้บรรยายความรู้สึกของตนเองไม่ถูกจริงๆ ทั้งที่แจ่มแจ้งแก่ใจดีว่าที่หลูจื้อไม่สนใจคำขอร้องของนาง ด้านหนึ่งคือไม่อยากให้นางไปสร้างความวุ่นวายเพิ่มขึ้น อีกด้านหนึ่งคือกลัวนางไปแล้วถูกคนเรียกใช้ทำงาน

แต่หนนี้นางมีเหตุผลที่ไม่ไปไม่ได้จริงๆ หลังจากคิดตกเรื่องที่มีพลังพิเศษได้แล้ว นางก็หมายใจว่าจะใช้ประโยชน์จากมันเท่าที่จะทำได้อย่างเหมาะสมโดยไม่ให้ถูกจับได้ เรื่องหนึ่งซึ่งตรงกับความตั้งใจที่สุดที่นางคิดออกคือช่วยเพิ่มผลเก็บเกี่ยวในแปลงนาของครอบครัว น่าเสียดายที่ไม่มีเหตุผลเข้าท่าที่จะดำเนินการตามแผนการที่วางไว้เรื่อยมา

จวบจนเมื่อวานตอนหลูซื่อเล่าถึงการมอบหมายงานของผู้ใหญ่บ้านให้พวกนางฟัง นางก็รู้ว่าโอกาสมาถึงแล้ว ดังนั้นเช้าวันนี้พอหลูซื่อออกไปแล้ว นางแอบหลูจื้อไปที่ห้องครัวยอมทนเจ็บเจาะเลือดสิบกว่าหยดออกมาผสมน้ำให้เจือจางแล้วใส่ไว้ในกระบอกไม้ไผ่ เพียงรอตอนไปที่ทุ่งนาค่อยฉวยจังหวะเทลงไปในแหล่งน้ำทำนาก็เป็นอันเรียบร้อย

นางคิดแผนไว้หมดทุกขั้นตอน กลับลืมเลือนจุดสำคัญที่สุดไปคือ…หลูจื้อไม่ยอมให้นางออกนอกเรือน!

“พี่ใหญ่ ถึงเสี่ยวอวี้ช่วยงานไม่ได้ แต่อยากไปดูท่านแม่ เสี่ยวอวี้เป็นห่วงมาก เมื่อคืนท่านแม่นอนหลับไม่สนิท เพราะคอยห่มผ้าให้เสี่ยวอวี้ตลอด”

พออับจนหนทางเข้า อี๋อวี้จำต้องใช้แผนยอมเจ็บตัว มือข้างที่ไพล่หลังอยู่กำลังใช้นิ้วหนึ่งกดนิ้วที่ถูกเจาะเอาเลือดเมื่อตอนเช้าเต็มแรงทีหนึ่ง นางย่นจมูกพลางกลั้นสะอื้นในลำคอ ก่อนจะส่งเสียงร้องไห้กระซิกๆ พร้อมกับหยาดน้ำตาใสบริสุทธิ์ที่ร่วงรินลงมา มืออีกข้างหนึ่งที่ว่างอยู่ขยี้ตาและเช็ดน้ำตาป้อยๆ เพียงแต่ศีรษะเล็กๆ นั้นจะเงยขึ้นก็ไม่ดี จะก้มลงก็ไม่ได้ ด้วยทั้งกลัวว่าหลูจื้อผู้ตาไวจะจับสีหน้าผิดปกติของนางได้ ทั้งกลัวว่าเขาจะมองไม่เห็นน้ำตาอีก ทำให้ไม่บรรลุผลตามเป้าหมาย

ดีที่พอหลูจื้อได้ยินนางร้องไห้ก็ปิดหนังสือ ถอนใจแผ่วๆ เฮือกหนึ่งแล้วยื่นมือหนึ่งมากุมไหล่ อีกมือหนึ่งจับมือที่เช็ดน้ำตาอยู่ของนาง เอ่ยปลอบเสียงเบาๆ “เอาล่ะๆ เสี่ยวอวี้นิ่งซะนะ ดูเจ้าซิตาแดงหมดเลย ห้ามขยี้ตาอีก พี่ใหญ่ไม่ได้บอกว่าจะไม่พาเจ้าไปสักหน่อย”

“ฮือๆๆๆ…เสี่ยวอวี้หาบน้ำไม่ไหว…”

“หลูจวิ้นหาบไหวก็พอ”

“ฮือๆๆๆ…เสี่ยวอวี้ยกจอบไม่ขึ้น…”

“หลูจวิ้นยกขึ้นก็พอ”

 

ด้วยเหตุฉะนี้สองเค่อต่อมา พี่น้องสองคนปรากฏกายตรงกลางคันนาที่หน้าหมู่บ้านเค่าซาน มองปราดเดียวก็เห็นคนจำนวนไม่น้อยกระจัดกระจายทั่วนาข้าวกำลังทำงานกันง่วนอยู่

อี๋อวี้กวาดสายตามองรอบหนึ่งถึงมองเห็นหลูซื่อโพกหัวด้วยผ้าสีดำขาวก้มตัวรดน้ำอยู่ในแปลงนาไกลออกไปสิบกว่าจั้ง เพิ่งตั้งท่าจะยกเท้าวิ่งไปหาก็ถูกหลูจื้อที่อยู่ด้านหลังรั้งตัวไว้ นางหันหน้าไปมองเขาอย่างฉงนใจ ได้รับคำอธิบายแค่สั้นๆ

“ไม่ต้องวิ่ง เดินไป”

นางนึกว่าเขาเป็นห่วงว่าตนเองจะหกล้ม จึงเดินไปตรงหน้าหลูซื่ออย่างเชื่อฟัง แต่แล้วก็ต้องหยุดฝีเท้าลงตอนที่อยู่ห่างจากมารดาเจ็ดแปดก้าว ไม่ใช่ว่านางไม่อยากเข้าไป แต่เพราะเห็นหลูซื่อทำสีหน้าไม่สู้ดีจริงๆ ดูทีว่าคงไม่ยินดีสักนิดที่นางกับหลูจื้อมาที่นี่

“ท่านแม่” อี๋อวี้เรียกเสียงอ่อยๆ หางตาชำเลืองเห็นหลูจื้อเดินมาถึงข้างกาย นางขยับไปอยู่ข้างหลังเขาอย่างไม่เอาไหน ถึงได้รู้สึกว่าสายตาคมปลาบที่จับจ้องตัวนางอ่อนแสงลงบ้าง

“พวกเจ้ามาทำอะไรกัน อยากสร้างความวุ่นวายเพิ่มขึ้นหรือ ดูสิที่นี่กำลังยุ่งกันขนาดไหน ยังจะมาก่อกวนอีก หลูจื้อ ข้ากำชับเจ้าไว้อย่างไร” หลูซื่อมีน้ำโหดังคาด สถานการณ์ในทุ่งนาไม่ค่อยดีจริงๆ ชาวนาที่มีประสบการณ์สูงๆ ในหมู่บ้านพากันยืนยันว่าผลเก็บเกี่ยวปีหน้าไม่ดีแน่นอน หลูซื่อกำลังอยู่ในอารมณ์ไม่ดีนัก เห็นลูกสองคนออกมาจากเรือนโดยไม่เชื่อฟังย่อมต้องชักสีหน้าใส่พวกเขาเป็นธรรมดา

“ท่านแม่บอกว่าไม่ให้พวกข้าออกไปวิ่งเพ่นพ่านขอรับ”

“แล้วไยเจ้าไม่เชื่อฟังคำพูดของแม่ ยังพาน้องเล็กมาที่ทุ่งนา เจ้าเห็นตนเองเก่งกล้าแล้วไม่ต้องเชื่อฟังแม่ใช่หรือไม่”

“ท่านแม่ พวกข้าเชื่อฟังมาก ไม่ได้วิ่งเพ่นพ่านเลย พวกข้าเดินมาขอรับ”

“…” หลูซื่อซึ่งมีสีหน้าขมึงทึงในทีแรกถึงกับทำหน้าปั้นยากไปชั่วขณะ

อี๋อวี้มองพี่ใหญ่ของนางแวบหนึ่งด้วยสีหน้าเลื่อมใสอย่างห้ามไม่อยู่ นึกในใจว่าคนในครอบครัวที่กล้าจับผิดคำพูดของท่านแม่คงจะมีแต่เขาแล้ว นางลอบเหลือบมองหลูซื่อที่ทำหน้ายุ่งยากใจแล้วอดเห็นใจขึ้นมาระลอกหนึ่งไม่ได้ พักนี้คนที่ถูกหลูจื้อยอกย้อนจนพูดไม่ออกมิใช่นางคนเดียว หรือว่าถึงวัยพยศของเด็กหนุ่มแรกรุ่น?

นางมัวคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ไม่ได้ตั้งใจฟังว่าตอนหลังทั้งสองพูดอะไรกันอีกบ้าง พอหลุดจากภวังค์ หลูจื้อก็ไปช่วยหลูจวิ้นหาบน้ำแล้ว หลูซื่อเห็นนางใจลอยอย่างปราศจากเหตุผลก็ไม่บ่นว่านางอีก หมุนกายไปรดน้ำต่อ

อี๋อวี้เห็นหลูซื่อไม่ตั้งใจให้ตนเองช่วยงานจริงๆ เมื่อได้รับอนุญาตจากนางก็ไปหาต้นน้ำของคูดิน เนื่องจากน้ำในลำธารเริ่มแห้งขอด หลูซื่อไม่กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับบุตรสาวที่ริมลำธาร ทั้งตอนนี้มีผู้ใหญ่อยู่ที่นั่นมากมาย คงไม่ถึงกับปล่อยให้เด็กน้อยคนหนึ่งประสบอันตราย

นางวิ่งเหยาะๆ ไปยังริมลำธารที่ห่างจากนาข้าวผืนใหญ่ไม่ไกลนัก เห็นคนชุมนุมกันอยู่ที่นั่นไม่น้อย บ้างกำลังขุดคูดินใหม่ บ้างหาบน้ำไปมา กวาดตามองรอบหนึ่งแล้วไม่เห็นหลูจื้อกับหลูจวิ้น นางก็ไม่คิดจะไปตามหาพวกเขา แต่เดินไปที่ทางน้ำไหลเชื่อมต่อกับริมลำธาร

พวกผู้ใหญ่ล้วนมีงานยุ่งเหลือเกินจริงๆ ตอนแรกอี๋อวี้นึกว่าต้องเสียเวลาอีกนาน จริงๆ แล้วกลับง่ายดายมาก นางหยิบกระบอกใส่น้ำเลือดเจือจางของนางที่แขวนไว้ตรงเอวมาเทลงตรงปากคูน้ำตื้นๆ เมื่อเช้าคนในหมู่บ้านขุดลอกตรงจุดนี้จนน้ำไหลผ่านได้อีกครั้งแล้ว น้ำลึกราวหนึ่งองคุลีไหลระรินเอื่อยๆ ไปตามแปลงนาของแต่ละครอบครัว

อี๋อวี้รู้สรรพคุณวิเศษในเลือดของนางดี หลังผสมน้ำให้เจือจางแล้ว แม้ไม่ทำให้ธัญพืชในที่นาของทุกคนเติบโตเต็มที่ในชั่วพริบตาเหมือนต้นซานจาที่ภูเขาด้านหลัง แต่พืชผลปีหน้าคงไม่ถึงกับขาดแคลน

ถึงแม้นางสามารถใส่เลือดลงไปมากขึ้นเพื่อให้ที่นาของหมู่บ้านเค่าซานได้ผลเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ ทว่าในสภาพอากาศอย่างนี้ออกจะสะดุดตาเกินไป หากสร้างความคลางแคลงใจให้คนภายนอกคงไม่เข้าที

หลังจากอี๋อวี้แอบผสมเลือดของตนเองลงไปในต้นน้ำไม่นานนัก ผู้ใหญ่บ้านก็ป่าวประกาศว่าขุดลอกคูนาที่ตื้นเขินจนน้ำไหลผ่านสะดวกเป็นผลสำเร็จ ผู้คนในหมู่บ้านต่างตรวจสอบการรดน้ำในที่นาของตนแล้ว ถึงพากันถือเครื่องไม้เครื่องมือกลับสู่หมู่บ้าน

ส่วนอี๋อวี้ถูกหลูจวิ้นซึ่งมารดาส่งตัวมาตามหานางจับจูงกลับไปที่หมู่บ้านพร้อมกับคนกลุ่มใหญ่

ระหว่างทางเห็นคนที่ไม่คุ้นหน้าอยู่ไม่น้อย นางมักเก็บตัวอยู่ในเรือนไม่ออกไปเล่นข้างนอก ทำให้เห็นหน้าค่าตาแค่ไม่กี่ครอบครัวในละแวกใกล้ๆ เรือนตนเอง เลยไม่ค่อยรู้จักคนอื่นๆ

เวลานี้เองมีหญิงกลางคนแปลกหน้ามาชวนหลูซื่อสนทนา อี๋อวี้อยู่ด้านข้างฟังทั้งสองพูดคุยกัน ถึงจะเข้าใจ แต่ยังไม่ใคร่คุ้นเคยสำเนียงซื่อชวนอย่างชัดเจนมากของนาง น่าขันคือหลูซื่อพูดสำเนียงกวนจงยังคุยกับอีกฝ่ายได้อย่างออกรสออกชาติ น่าสงสัยจริงๆ ว่าพวกนางเข้าใจหรือไม่ว่าอีกฝ่ายพูดว่าอะไร

“เอ้อร์เหนียง ประเดี๋ยวเรียกเสี่ยวอวี้ไปเล่นที่เรือนข้าสิ ดีชั่วจู้จื่อกับชุนเถาก็รู้ความกว่าเด็กคนอื่นๆ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงว่าใครจะแกล้งบุตรสาวของเจ้า”

“ได้สิ ถึงปากทางหมู่บ้านให้นางตรงไปที่เรือนท่าน แล้วบอกให้นางกลับเรือนก่อนอาหารเย็นก็ได้”

“ดูเจ้าพูดเข้าสิ เรือนข้าไม่มีข้าวให้เด็กกินสักมื้อหรือไร”

“ก็ได้ ให้นางกินข้าวเสร็จแล้วค่อยกลับเรือน”

หนึ่งเค่อต่อมา อี๋อวี้จึงมานั่งอยู่ในลานเรือนที่กว้างขวางของเรือนท่านป้าหนิว เบื้องหน้าเป็นแผ่นหินหนาสามชุ่นก้อนหนึ่ง บนนั้นวางของบางอย่างที่พวกเด็กใช้ดินปั้นออกมาเป็นรูปทรงแปลกประหลาด ยังมีต้นหญ้ากำหนึ่งกับก้อนหินหลายก้อน

ฝั่งตรงข้ามเป็นเด็กหญิงหน้ากลมถักเปียเล็กๆ สองข้างคนหนึ่ง ขณะนี้ดวงตาสุกใสคู่โตจ้องมองนางอย่างเคร่งขรึมเหลือจะกล่าว ปากเล็กๆ ขยับพะงาบๆ พูดว่า “ตอนนี้ข้าเป็นแม่เจ้า ส่วนเจ้าเป็นข้า เข้าใจหรือไม่”

มุมปากของอี๋อวี้กระตุกริกๆ นางฝืนผงกศีรษะ ถ้าเลือกได้ นางอยากกลับเรือนประเดี๋ยวนี้เลย แต่ก่อนมาท่านแม่กำชับนางไว้ว่ากินข้าวเย็นไม่เสร็จห้ามกลับไป

“ชุนเถา เอาผักไปล้างสิ” แม่นางน้อยแสร้งทำท่ายุ่งมาก ทางหนึ่งจับดินนุ่มนิ่มในมือพลิกไปพลิกมา ทางหนึ่งชี้นิ้วไปที่ต้นหญ้ากำหนึ่งบนแผ่นหินพลางพูดกับนาง

อี๋อวี้ลอบถอนใจเฮือก เอื้อมมือไปหยิบต้นหญ้ากำนั้นขึ้นแล้วเอ่ยถาม “ไปล้างที่ไหน”

“เด็กหัวทื่อ สมองมีแต่ขี้เลื่อยรึ! เจ้าไปนวดแป้งเถอะ” แม่นางน้อยวางก้อนดินในมือลงบนแผ่นหิน แสร้งทำท่าโมโหดุด่าอี๋อวี้สองคำ จากนั้นยื่นมือมากระชากต้นหญ้าในมือนางไปแล้วหมุนกายเข้าเรือน

นางแลมองของที่ยิ่งดูยิ่งเหมือนก้อนอุจจาระแล้ว สองจิตสองใจว่าจะเอามือไปปั้นสองทีพอเป็นพิธีหรือไม่ ก็ได้ยินป้าสะใภ้หนิวด่าทอเสียงขุ่นเขียวดังลอยมา

เวลาผ่านไปไม่นานนัก แม่นางน้อยที่ยังวางท่าแก่แดดแก่ลมเมื่อครู่นี้วิ่งน้ำมูกน้ำตาไหลเปรอะสองแก้มออกมา นั่งร้องไห้กระซิกๆ อยู่ด้านข้างนาง ซ้ำยังสะอึกสะอื้นเป็นพักๆ

นางเห็นท่าทางน่าสงสารของอีกฝ่ายแล้วชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะล้วงผ้าเช็ดหน้าสะอาดผืนหนึ่งจากอกเสื้อ ขยับเข้าไปใกล้ดวงหน้าเล็กๆ ที่เลอะดินเป็นด่างเป็นดวงกับน้ำมูกน้ำตาที่แยกไม่ออก เช็ดเบาๆ พลางไต่ถามอย่างระมัดระวัง “พี่ชุนเถา พวกเราสองคนยังจะเล่นต่อไหม”

“ฮือๆ…”

“พี่ชุนเถา ท่านอย่าร้องเลยนะ ข้าร้องเพลงให้ท่านฟังดีหรือไม่”

“ฮือๆ…จะ…เจ้าร้องเพลงเป็นหรือ”

“อื้อ” อี๋อวี้เห็นแม่นางน้อยยังสะอื้นเป็นห้วงๆ แต่ไม่หลั่งน้ำตาอีก เหลือแค่สูดจมูกเบาๆ นางระบายลมหายใจ นึกในใจว่าเด็กคนนี้ยังนับว่าล่อหลอกได้ง่าย

สิ่งที่นางกลัวที่สุดคือเห็นเด็กเล็กๆ ร้องไห้ ไม่รู้เพราะเหตุใดพอเห็นภาพเช่นนี้จะรู้สึกยอกแสยงตรงกลางอก มักหวนคิดถึงตนเองที่เคยร้องไห้คนเดียวในมุมหนึ่งของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าขึ้นมา ยามนั้นกลับไม่มีใครสักคนมีเวลาว่างมาปลอบโยนนาง

“เจ้าร้องเพลงสิ ข้า…ข้าไม่ร้องไห้แล้ว”

อี๋อวี้พยักหน้าแล้วครวญเพลงกล่อมเด็กของกวนจงที่หลูซื่อร้องกล่อมนางเข้านอนในยามราตรีเบาๆ พอแม่นางน้อยชุนเถาฟังจบ ไม่เพียงไม่ร้องไห้อีก กลับรบเร้านางให้สอนอย่างคึกคัก รอกระทั่งอีกฝ่ายร้องเพลงนี้อย่างผิดๆ เพี้ยนๆ หลงทำนองจบได้รอบหนึ่ง ท้องฟ้าก็มืดสลัวแล้ว ชั่วครู่ต่อมานางกินอาหารเย็นที่เรือนป้าสะใภ้หนิวแล้วถึงได้กลับเรือนไป

ก่อนกลับ เสี่ยวชุนเถายังจูงมือนางอย่างอาลัยอาวรณ์ ขณะที่อี๋อวี้รู้สึกว่า ‘เล่น’ มาทั้งบ่ายยังเหนื่อยกว่าปักผ้าทั้งวัน คิดแค่ว่าอยากรีบกลับเรือนพักผ่อนเต็มที นางจำต้องฝืนรับคำว่าพรุ่งนี้เช้าจะมาเล่นกับอีกฝ่ายอีก ถึงทำให้เสี่ยวชุนเถาปล่อยนางกลับมาอย่างดีอกดีใจ

 

ย่ำรุ่งวันต่อมา หลูซื่อไปลงนาแล้ว หลูจวิ้นต้องไปสำนักยุทธ์เพราะเป็นวันคู่ เลยออกจากเรือนไปแต่เช้าตรู่เช่นกัน ส่วนหลูจื้อตื่นเช้ากว่าใครๆ มาแต่ไหนแต่ไรกำลังคัดตัวอักษรอยู่ริมหน้าต่าง เหลือแต่อี๋อวี้ที่อายุน้อยจึงนอนเก่งขี้เซายังอยู่ใต้ผ้าห่มไม่ยอมตื่น

ประตูเรือนอ้ากว้าง อากาศสดชื่นเจือไอหนาวไหลพรูเข้ามาไม่ขาดสาย เมื่อขาดไออุ่นจากกายมารดา ความอบอุ่นบนเตียงจางหายไปทีละน้อยจนกระทั่งผ้าห่มเย็นเฉียบ นางถึงตื่นขึ้นอย่างงัวเงีย

เด็กน้อยยกมือขึ้นขยี้ตาที่ลืมไม่ขึ้นด้วยมีขี้ตาติดอยู่ นางนั่งงุนงงอยู่บนเตียง กวาดสายตาไปทั่วห้องรอบหนึ่งแล้วหยุดอยู่ที่แผ่นหลังเหยียดตรงของหลูจื้อ

“พี่ใหญ่” อี๋อวี้ชอบเสียงพูดในตอนนี้ของตนเองยิ่งนัก อ่อนใสๆ แบบที่มีเฉพาะแต่เด็กน้อย เวลาตื่นขึ้นมาตอนเช้าคอแห้ง ยังมีหางเสียงออดอ่อยไม่ชัดถ้อยชัดคำอย่างน่ารักไร้เดียงสา

“อื้อ ไปล้างหน้าแล้วกินข้าว อาหารของเจ้าอุ่นอยู่ในกระทะที่ห้องครัว” หลูจื้อไม่หันหน้ามา ยังลากพู่กันฝึกเขียนตัวอักษรไปทีละขีด

อี๋อวี้ขานรับคำหนึ่งแล้วเร่งรีบตะกายลุกจากเตียงมาสวมอาภรณ์และล้างหน้าบ้วนปาก จากนั้นกินอาหารเช้าแล้ว เดินปล่อยผมสยายถือหวีไม้เล่มเล็กไปตรงหน้าหลูจื้อ รอเมื่อเขาลากขีดสุดท้ายเสร็จ นางยื่นหวีกับเชือกผูกผมในมือไปให้

หลูจื้อวางพู่กันลง เขยิบตัวเข้าไปด้านในเพื่อให้นางได้นั่งลงข้างๆ หันหลังให้ตนเองบนเสื่อ เขาสางผมของนางให้เรียบแล้วมัดหลวมๆ ไว้ตรงต้นคออย่างชำนิชำนาญ

เวลาผ่านไปครึ่งปีกว่า ผมของนางยาวขึ้นไม่น้อยสามารถรวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลัง ไม่ต้องมัดเป็นจุกสองข้างบนหัวแล้ว แต่แขนของนางสั้นเกินไป มักเก็บผมไม่เรียบร้อย ดังนั้นหลูจื้อต้องรับหน้าที่สางผมให้นางทุกวัน เพราะนอกจากอี๋อวี้แล้ว ในเรือนมีแต่เขาที่ว่างมากที่สุด

“เสร็จแล้ว มาลอกตามตัวอักษรแผ่นนี้หนึ่งจบ” หลูจื้อลูบศีรษะเล็กๆ ของนาง ผลักแผ่นคัดลายมือที่เพิ่งเขียนเสร็จไปใกล้ๆ มืออี๋อวี้ เขาดึงกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่งมาจากด้านข้าง และเอาพู่กันจุ่มหมึกยื่นส่งให้นาง

อี๋อวี้เอาหวีสอดเก็บไว้ในอกเสื้อแล้วนั่งขัดสมาธิหน้าโต๊ะอย่างว่าง่าย นางคัดตัวอักษรหนึ่งแผ่นตามที่เขาบอก ยังฟังเขาอธิบายคัมภีร์หลุนอวี่อีกสองสามบท และท่องเนื้อหาในตำราพันอักษร ท่อนหนึ่งที่เขาสอนนางไปเมื่อวันก่อน แต่ยังท่องไม่จบก็ถูกเสี่ยวชุนเถาซึ่งมาหาที่เรือนขัดจังหวะ

แม่นางน้อยยืนยกมือสองข้างเท้าเอวตรงหน้าประตู ซักไซ้อี๋อวี้ด้วยหน้าตาโกรธเคือง “เสี่ยวอวี้ ทำไมเมื่อเช้าเจ้าไม่มาเล่นที่เรือนข้า เมื่อวานเจ้ารับปากข้าไว้นะ”

หลูจื้อมองเสี่ยวชุนเถาแล้วมองน้องสาวอีกที ก่อนจะเอ่ยปากพูด “เรื่องที่รับปากผู้อื่นไว้ต้องทำให้ได้ ส่วนที่เหลือไว้ค่อยท่องตอนอาหารเย็น”

อี๋อวี้อยากให้พี่ใหญ่เข้มงวดกว่านี้เหลือเกิน นางยอมท่องหนังสือพันอักษรตลอดเช้า ก็ไม่อยากเล่นพ่อแม่ลูกพร้อมทั้งล่อหลอกเด็กไปด้วย เมื่อวานร้องเพลงมาทั้งบ่าย ยังรู้สึกไม่สบายคอจนตอนนี้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าตั้งตารอคอยของเสี่ยวชุนเถา นางหักใจปฏิเสธไม่ลงคอ ถึงอย่างไรนางก็รับปากว่าจะเล่นกับอีกฝ่ายไว้

เพียงแต่อี๋อวี้ตกลงใจแน่วแน่ว่าจะไม่เล่นพ่อแม่ลูกกับเสี่ยวชุนเถาอีก นางหยิบตะกร้าเข็มกับด้ายของตนเองออกมา จูงนางไปนั่งบนเสื่อหน้าโต๊ะกินข้าว ตั้งใจว่าจะหางานเล็กๆ น้อยๆ อย่างอื่นให้นางทำ ตนเองจะได้ปักฝ้าที่ขาดอีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้วไปด้วย

ชุนเถาเห็นสะดึงกับด้ายหลากสีก็รู้สึกว่าเป็นของแปลกใหม่มาก พวกเด็กๆ ล้วนมีนิสัยชอบของใหม่เบื่อของเก่า นางไม่เอ่ยปากว่าจะให้อี๋อวี้เล่นแบบเดียวกับเมื่อวานเป็นเพื่อนหรือร้องเพลงอะไรอีก ตรงกันข้ามกลับหัดใช้เข็มเย็บผ้ากับอี๋อวี้อย่างว่าง่าย

อี๋อวี้เลือกผ้าเนื้อหยาบที่ใช้ซ้อมมือผืนหนึ่งขึงกับสะดึงแล้วยื่นให้ชุนเถา แล้วจับมือนางสอนเย็บสองสามเข็ม จากนั้นปล่อยให้นางทำต่อไปตามเรื่องตามราว

พรุ่งนี้เป็นวันที่สิบห้า หลูซื่อจะไปซื้อของที่ตลาดนัด อี๋อวี้ทำผ้าเช็ดหน้าสะสมไว้สามผืน สองผืนปักลายดอกไม้ ส่วนผืนที่อยู่ในมือนี้เป็นลายปลาไนลอดกอบัว ซึ่งนับว่าพบค่อนข้างบ่อยในบรรดาลวดลายผ้าปักซื่อชวน จุดที่จับคู่สีด้ายยากที่สุดได้หลูซื่อชี้แนะจนทำเสร็จแล้ว เหลือตกแต่งง่ายๆ บางส่วนกับเก็บงานให้เรียบร้อย นางตั้งใจจะทำให้เสร็จในวันนี้ จะได้ให้หลูซื่อเอาไปขายพร้อมกันที่ตลาด

อี๋อวี้ไม่ได้ชอบอวดตัว แต่อย่างไรต้องอยู่กับคนในครอบครัวทุกเช้าค่ำ เรื่องบางเรื่องใช่ว่าอยากปิดบังก็จะปิดบังกันได้ เป็นต้นว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนางอ่านกลอนหนึ่งบทสองรอบก็ท่องจำได้ ฝึกวิธีปักแบบหนึ่งสามวันก็ทำได้คล่องมือ คนซื่ออย่างหลูจวิ้นย่อมมองอะไรไม่ออกเป็นธรรมดา แต่หลูซื่อกับหลูจื้อกลับค้นพบมานานแล้วว่าหลังจากสมองของอี๋อวี้เป็นปกตินับวันก็ยิ่งแสดงความพิเศษออกมาให้เห็น

หลูซื่อไม่แปลกใจเพราะว่านางรักบุตรสาวอย่างลึกซึ้งสุดจะกล่าว นางนึกเพียงว่านี่เป็นรางวัลชดเชยที่สวรรค์ประทานให้บุตรสาวของนางที่ปัญญาอ่อนมานาน ขณะที่หลูจื้อไม่แปลกใจเพราะว่าตัวเขาเองก็เป็นคนฉลาดเหนือใคร สมมติว่าคนที่กินหมั่นโถวข้าวต้มทุกวันผู้หนึ่งมองเห็นคนกินกุ้งหอยปูปลาย่อมนึกอิจฉาริษยา ทว่าคนที่กินหูฉลามรองท้อง ดื่มรังนกบ้วนปากเห็นแล้วก็ไม่รู้สึกแปลกใหม่แต่อย่างใด

“เสี่ยวอวี้ เจ้าดูสิว่าข้าปักต้นหญ้าได้เหมือนหรือไม่”

อี๋อวี้ชะงักเข็มปักผ้าที่แทงกลับไปกลับมาในมือ เอี้ยวตัวไปมองผ้าในมือเสี่ยวชุนเถา เห็นว่านางใช้ด้ายสองสามเส้นเย็บต่อกันเป็นลายคล้ายๆ ต้นหญ้าบิดๆ เบี้ยวๆ ต้นหนึ่ง ก็ฝืนมโนธรรมในใจกล่าวชมไปหลายคำ ครั้นเห็นรอยยิ้มอ่อนหวานของอีกฝ่าย นางอดใจไม่อยู่ยื่นมือไปหยิกแก้มเล็กๆ ทีหนึ่งอย่างว่องไว

“โอ๊ย! เสี่ยวอวี้เจ้าหยิกแก้มข้าทำไม” เสี่ยวชุนเถาสะดุ้งตกใจกับการกระทำของนาง วงหน้ากลมป้อมเหยเกไปทันควัน ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ มีประกายน้ำวาวๆ

อี๋อวี้มองไปๆ พลันนั้นชักกระจ่างแจ้งแล้วว่าเหตุใดหลูจื้อชอบหยิกแก้มนางอยู่ร่ำไป…การได้รังแกสาวน้อยหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูมันชวนให้สำราญใจอย่างนี้นี่เอง

“พี่ชุนเถา ท่านสวยจริงๆ” นี่เป็นถ้อยคำจากใจจริงของนาง แม่นางน้อยน่ารักมาก พูดว่า ‘โฉมงาม’ ก็มิใช่คำเท็จเลย

“ข้าสวยที่ไหนกัน พี่เซียงเซียงที่อยู่ข้างเรือนข้าต่างหากถึงเรียกว่าสวย”

เซียงเซียง? อี๋อวี้เสาะหาความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับคนผู้นี้ในหัวสมอง จำได้คลับคล้ายคลับคลาแค่ว่ามีเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับหลูจื้อคนหนึ่ง ตอนนั่งรับลมเย็นใต้ต้นไม้เก่าแก่ตรงปากหมู่บ้านในฤดูร้อน นางเคยเห็นไกลๆ แต่ไม่ได้มองให้ถนัดถนี่ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร

เมื่อความสอดรู้สอดเห็นบังเกิดขึ้น นางคิดจะซักถามให้ละเอียด ทว่ายังไม่ทันอ้าปากพูดก็เห็นเสี่ยวชุนเถามองนางพร้อมกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เสี่ยวอวี้ เจ้าก็สวยดีนะ วันหลังเจ้าต้องสวยเหมือนพี่เซียงเซียงแน่ๆ”

อี๋อวี้เห็นเงาสะท้อนของตนเองในลูกตาดำขลับของแม่นางน้อย ไม่เพียงไม่รู้สึกพึงใจเพราะคำชมของนาง ในอกยังขมปร่าไปหมด

ชาติก่อนคนหน้าตาธรรมดาอย่างนางเคยอิจฉาความเอาแต่ใจของหญิงสาวสะสวยพวกนั้น ยังจำได้ว่าตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีหนึ่ง นางเสนอตัวเป็นหัวหน้าชั้น แม้มุมานะเรียนเท่าใดก็สุดปัญญาจะเป็นหัวแถวได้ กระนั้นขอแค่เป็นสิ่งที่เพื่อนร่วมชั้นเอ่ยปากหรืออาจารย์ที่ปรึกษาร้องขอ นางล้วนทุ่มเททำอย่างสุดกำลัง

แต่ในการเลือกตั้งตัวแทนชั้นเรียนคนใหม่ตอนปีสอง นางยังคงถูกหญิงสาวหน้าตาสวยกว่าใครๆ อีกทั้งนิสัยอ่อนโยนคนหนึ่งในชั้นเรียนเข้ามาแทนที่อยู่ดี นางเคยโกรธเคือง เคยเสียใจ ทั้งที่ไม่ว่าการเรียนหรือการทำงาน อีกฝ่ายไม่มีความตั้งใจจริงเทียบเท่านางได้ เผอิญที่อีกฝ่ายมีทั้งรูปสมบัติและสติปัญญา ตนเองได้แต่จำยอมหลีกทางให้ด้วยรอยยิ้ม

ตลอดสามปีหลังที่นางเป็นรองหัวหน้า ไม่ใช่แค่รับผิดชอบงานสองหน้าที่เท่านั้น เมื่ออีกฝ่ายทำผิดพลาด นางยังต้องเป็นคนที่ตามไปสะสางแก้ไขให้เรียบร้อย หากที่น่าขบคิดก็คือสิ่งที่นางได้รับไม่ใช่ความซาบซึ้งใจ แต่เป็นการทำร้ายลับหลัง

ถ้านางพยายามไม่มากพอ ทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากคนอื่นก็ช่างเถิด แต่นี่กลับเกิดจากอคติในใจคนซึ่งไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ ความรู้สึกเสียใจและอิจฉาก็ค่อยๆ เจือจางลง หลังจากที่ปลงตกแล้ว นางเรียนรู้ที่จะนิ่งเฉยกับทุกข์สุขของคนอื่น ไม่ยอมเป็นบันไดให้กับ ‘ตัวเอก’ พวกนั้นเพราะนิสัยเฉื่อยชาของตนเอง แต่จนแล้วจนรอดยังหนีไม่พ้นที่จะต้องเป็นฉากหลังบนเวทีชีวิตของคนอื่นอยู่ดี

ทว่าหลังจบชีวิตจากอุบัติเหตุ นางกลับได้ข้ามมิติย้อนสู่อดีต เปลี่ยนมาอยู่ในอีกร่างหนึ่งและได้วางแผนชีวิตใหม่อีกครั้ง มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยกล้าคิดฝันมาก่อน อีกทั้งนางเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้นตามวันเวลาที่ผันผ่านไปว่าตนเองจะต้องมีชีวิตที่ต่างออกไป เรื่องราวในอดีตทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นค่อยๆ ล่องลอยไปไกลขึ้นทุกที วันนี้ต่างจากวันวาน ในชาตินี้นางไม่คิดจะเป็นบันไดให้ใครหน้าไหนอีกเป็นอันขาด

จงรู้ไว้ว่าคนที่มีชีวิตอยู่โดยไม่ชอบฉายรัศมีจับตา ไม่ได้หมายความว่ายินยอมพร้อมใจเป็นคนธรรมดา

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 พ.ย. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 15

Comments

comments

No tags for this post.
sangdow Marcom: