X
    Categories: JamsaiPerfect Guy ผู้ชายคนนี้ฉันดีไซน์เองทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Perfect Guy ผู้ชายคนนี้ฉันดีไซน์เอง บทที่ 3 – บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 26

บทที่ 3

โจวไท่หรานซีอีโอของบริษัทแอลวายกำลังรับมือกับผู้ผลิตเสื้อผ้าอยู่ในห้องทำงาน

“ประธานเหลียงครับ คุณก็รู้นิสัยของอเดอลีน ถ้าเสื้อผ้านั่นไม่ถูกใจเธอก็ยอมทำลายมันทิ้ง ส่งแบบให้คุณตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์” มือข้างหนึ่งถือหูโทรศัพท์ มืออีกข้างก็หมุนปากกาไปด้วย ในฐานะที่เป็นทายาทรุ่นที่สอง เขาได้เรียนรู้การเจรจาต่อรองทางธุรกิจจากพ่อตั้งแต่ยังเด็ก การพูดของโจวไท่หรานทำให้คนที่คุยด้วยรู้สึกสบายใจ “ใช่แล้ว พวกผ้าสามารถเตรียมไว้ก่อนได้ เดี๋ยวผมจะให้พวกเขากำหนดผ้าที่จะใช้ออกมา ภายในสามวันจะส่งไปให้คุณนะครับ”

หลังจากวางสายเรียบร้อยแล้วโจวไท่หรานก็ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว

ชุดโอตกูตูร์กับเสื้อผ้าสำเร็จรูปชั้นสูงของบริษัทแอลวายจะถูกส่งไปร่วมงานแฟชั่นวีกที่ยุโรป ส่วนเสื้อผ้าสำเร็จรูปทั่วไปก็จะจัดงานแถลงข่าวในประเทศ ปกติเสื้อผ้าฤดูหนาวจะประกาศตอนช่วงต้นฤดูร้อนเพื่อให้ร้านค้าทั้งหลายมีเวลาเพียงพอในการสั่งและทำการผลิตออกมา แต่เพราะอเดอลีนไม่พอใจเสื้อผ้าสำเร็จรูปของซีซั่นนี้เป็นอย่างมาก จึงต้องเลื่อนการประกาศออกไป ตอนนี้ทุกฝ่ายก็ตามจี้เขาอยู่ไม่ได้หยุด ทำให้เขาต้องรับแรงกดดันจากรอบข้างอย่างมาก

กริ๊งๆๆๆ เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ภายในดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของอเดอลีนเขาก็รีบรับสายทันที

“ฮัลโหล อเดอลีนที่รัก”

เมื่ออีกฝ่ายส่งเสียงมา โจวไท่หรานก็อดสะดุ้งไม่ได้ แต่เพียงครู่เดียวก็ดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหู

“ฉันไม่สนว่าคุณจะบริหารจัดการบริษัทยังไง แต่การมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการสร้างสรรค์ผลงานของดีไซเนอร์เป็นวัตถุประสงค์สำคัญของบริษัท เป็นความตั้งใจของลีโอผู้ก่อตั้งบริษัทนี้ ที่สำคัญพนักงานไข้ขึ้นสูงแล้วยังไม่ให้พักผ่อน นี่มันถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลนะ!”

ถึงแม้อเดอลีนจะเป็นคนอารมณ์ร้าย แต่การระเบิดออกมาแบบนี้ก็ไม่ค่อยได้เห็นนัก โจวไท่หรานฟังอยู่นานถึงได้เข้าใจเรื่องราว เขารีบเปิดอีเมลเช็กข้อมูลแล้วก็รู้สึกเหมือนหัวโตขึ้นเป็นสองเท่า

“อเดอลีน คุณใจเย็นๆ ก่อน เดี๋ยวเรื่องนี้ผมจัดการเอง รับรองว่าผมจะให้คำตอบที่คุณพอใจ โอเคนะ”

หลังจากทำให้อเดอลีนสงบลงแล้วโจวไท่หรานจึงได้วางสาย แล้วอ่านอีเมลของเซียวเซียวอย่างละเอียดอีกครั้ง

บริษัทแอลวายทำงานสไตล์ยุโรปและอเมริกัน อนุญาตให้รายงานข้ามขั้นได้ ดังนั้นการกระทำของเซียวเซียวจึงไม่ถือว่าเป็นการเสียมารยาท อีเมลฉบับนี้ถึงจะบอกว่ายอมรับผิด แต่คนที่มีตาดูก็รู้ว่ามันเป็นจดหมายฟ้อง ข้อความในจดหมายแสดงถึงความอยุติธรรม ชี้ให้เห็นว่าถูกไล่จนถึงทางตันแล้ว

เขากดหมายเลขภายในไปที่ห้องเลขาฯ ทันใด “เรียกหลัวอวี้มาพบผมที่ห้องเดี๋ยวนี้!”

ในห้องผู้อำนวยการ ฟางเซี่ยงเฉียนกำลังระบายความอัดอั้น

“ฉันไม่อาจจัดการพนักงานตัวเล็กๆ คนนี้ได้แล้ว มาทำงานสายทุกวันยังพอทน นี่ยังไม่ตั้งใจทำงาน ให้ทำงานอะไรก็โอ้เอ้ชักช้า”

ผู้อำนวยการหลัวอวี้นั่งฟังโดยไม่แสดงสีหน้าอะไร กำลังจะพูดอะไรต่อก็ได้รับโทรศัพท์จากเลขาฯ จึงเอ่ยขอตัวเพื่อลุกออกไปด้านนอก “คุณรออยู่ที่นี่ก่อน ผมขอตัวครู่หนึ่ง”

“ได้ค่ะ” ฟางเซี่ยงเฉียนรีบลุกขึ้นยืนส่งผู้อำนวยการเดินออกไป

 

เมื่อฟางเซี่ยงเฉียนไม่อยู่ในห้องออกแบบ บรรยากาศในห้องก็ผ่อนคลายขึ้นมาทันที

“นี่ เซียวเซียว ดูพาวเวอร์พ้อยต์จบหรือยัง” ฉินย่าหนานถือสมุดออกแบบเดินเข้ามาหา “มีตรงไหนไม่เข้าใจไหม”

“ภาพรวมก็เข้าใจนะ แต่สำหรับคำว่า ‘ชีวิตใหม่’ ของครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ไม่ได้บอกความหมายที่ชัดเจนใช่ไหม” เซียวเซียวเปิดสมุดออกแบบของตัวเอง ขมวดคิ้วขณะมองใบเหอฮวนกับดอกซานซู่

ฉินย่าหนานยื่นหน้าเข้าไปดู เห็นว่ามีเพียงรูปเดิมสองรูปเท่านั้นจึงไม่ได้สนใจจะดูต่อ “ไม่ได้บอกอะไร คำว่า ‘ชีวิตใหม่’ สามารถตีความได้หลายอย่าง ไม่ได้หมายถึงสีชมพูดูเนียนละเอียดอ่อนแบบนั้นเหรอ อิงไปแนววัยรุ่นที่ดูสนุกสนานมีพลังล้นเหลือก็น่าจะได้นะ”

เซียวเซียวส่ายหน้า ชี้นิ้วไปที่รูปทั้งสอง “ใบเหอฮวนมีความหมายถึงการลาจาก ส่วนดอกซานซู่กลับมีความหมายถึงการเกิดใหม่ ดังนั้นคำว่า ‘ชีวิตใหม่’ น่าจะมีความหมายเกี่ยวกับการรับรู้ของชีวิตถึงจะถูก”

“การรับรู้ของชีวิต…” ฉินย่าหนานขบคิด รีบจดคำนี้ลงไปในสมุดออกแบบของตนเอง แล้วมองเซียวเซียวที่ดูเหมือนยังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ก่อนจะขัดจังหวะด้วยเสียงต่ำๆ “นี่แกรู้หรือเปล่า กฎเกณฑ์การให้โบนัสของพวกเราเปลี่ยนไปแล้วนะ”

“เอ๋?” เมื่อความคิดบางอย่างที่ผุดขึ้นมาถูกขัดจังหวะ เซียวเซียวก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่ค่อยพอใจ พยายามคิดกลับไปถึงเรื่องเมื่อครู่ก็คิดไม่ออก จึงได้แต่ถลึงตาใส่ฉินย่าหนาน “เปลี่ยนก็เปลี่ยนสิ”

“ฉันได้ยินว่าเปลี่ยนแปลงโดยดูจากการประเมิน เหมือนกับที่ทางรัฐวิสาหกิจของอเมริกันจะให้หัวหน้ากับเพื่อนร่วมงานเป็นคนให้คะแนน แกเพิ่งจะทำให้ยายแม่มดแก่นั่นโกรธ เงินโบนัสครึ่งปีนี้จะทำยังไง” ฉินย่าหนานพูดขึ้นมาอย่างกังวลใจ

“ถึงเปลี่ยนก็ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนได้ทันที จะว่าไปขอให้ทำผลงานออกมาได้ดี ยายนั่นก็ไม่กล้าให้คะแนนต่ำมากหรอก ฉันไม่กลัว”

เซียวเซียวพยายามดันฉินย่าหนานให้กลับไปที่โต๊ะของตัวเอง เธอจะได้เริ่มทำงานเสียที

ฉินย่าหนานยังไม่ยอมกลับไป เพราะยังนินทาไม่จบเลยไม่มีแก่ใจจะทำงาน ดังนั้นจึงเดินไปหาจ้าวเหอผิงแล้วพูดเรื่องเงินโบนัสต่อ

ความคิดที่หายไปไม่อาจจะดึงกลับมาได้ เซียวเซียวจึงรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง เธอหันมองดูอีเมล บรรดาผู้บริหารระดับสูงในบริษัทไม่ได้ตอบอีเมลกลับมา เธอจึงไม่รู้ว่าพวกเขาเห็นหรือเปล่า แต่อย่างไรเสียอีเมลก็ส่งออกไปแล้ว ไม่อาจจะเรียกคืนมาได้ คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ เซียวเซียวจึงเลิกสนใจ กดเปิดโทรศัพท์ตั้งใจจะเอารูปสเก็ตช์ที่ทำไว้เมื่อวานถ่ายโอนเข้าไปในคอมพิวเตอร์

เมื่อเปิดโทรศัพท์หน้าจอยังเป็นหน้าที่คุยกับจั่นหลิงจวินค้างไว้ คิดถึงตอนที่เขาให้เอาบันทึกผู้ป่วยไปด้วย ทบทวนดูแล้ววันนี้เธอเองก็ไม่มีธุระอะไรพิเศษ และที่บริษัทก็มีบันทึกผู้ป่วยที่ถ่ายเอกสารเก็บไว้เพื่อส่งให้บริษัทประกันอยู่ชุดหนึ่ง เธอจึงนำสำเนาชุดนี้ขึ้นมาแล้วโทรศัพท์ไปที่ซังอวี๋

เสียงหวานๆ อ่อนโยนดังขึ้นมาตามสาย “ซังอวี๋สวัสดีค่ะ วันนี้มีอะไรให้เราบริการคะ”

ในฐานะที่เป็นสโมสรชั้นสูงซึ่งให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของลูกค้าเป็นอย่างมาก จึงไม่อาจหาข้อมูลอะไรทางอินเตอร์เน็ตได้ ต่อโทรศัพท์ไปหาก็จะไม่ได้ยินคำพูดที่อ่อนไหวเช่น ‘บำบัด’ ‘ฟื้นฟูสุขภาพ’ จึงเรียกแค่ว่า ‘ซังอวี๋’ เท่านั้น ฟังแล้วก็ไม่ได้แตกต่างจากสถานเสริมความงามแต่อย่างใด

“ฉันเซียวเซียวนะคะ ฉันอยากจะขอนัดหมายวันนี้ตอนทุ่มนึง” เซียวเซียวชอบบทสนทนาแบบนี้มาก น้ำเสียงของเธอจึงผ่อนคลายมากขึ้น

“นัดคุณหมอจั่นใช่ไหมคะ” เถียนเถียนตรวจสอบข้อมูลลูกค้าทันที “ทุ่มนึงนะคะ ได้ค่ะ นัดหมายให้เรียบร้อยแล้ว มาตามเวลานัดได้เลยนะคะ”

“โอเค ขอบคุณค่ะ” เซียวเซียววางสายอย่างพอใจพลางคิดว่าเงินนี้ไม่ได้ใช้โดยเปล่าประโยชน์ บริการก็สุดยอดจริงๆ

เมื่อคิดว่าคืนนี้ก็จะได้เจอหน้าหล่อๆ ของจั่นหลิงจวิน หัวใจก็รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันที แม้จะทำได้เพียงมองดอกไม้งามที่อยู่บนหน้าผาสูงไกลๆ ไม่อาจจะเข้าไปสัมผัสใกล้ๆ แต่การได้มองก็ทำให้รู้สึกสุขใจแล้ว

 

คนที่รู้สึกแตกต่างจากเซียวเซียวหน้ามือเป็นหลังมือในตอนนี้ก็คือผู้อำนวยการหลัวอวี้ที่อยู่ท่ามกลางทะเลเดือด

“ฟางเซี่ยงเฉียนเป็นคนที่คุณแนะนำมาเอง ผมเชื่อสายตาคุณมาโดยตลอด แต่คุณดูสิ สิ่งที่เธอทำมันคืออะไร นี่ทำให้ผมชักจะสงสัยความสามารถของคุณแล้วนะ” โจวไท่หรานพูดด้วยสีหน้าเย็นชา ดวงตารูปเมล็ดท้อที่มักจะมีรอยยิ้มตลอดเวลาตอนนี้ไม่เหลือเลยสักนิด “ผมจะให้โอกาสคุณอีกครั้ง ถ้าการออกแบบของซีซั่นหน้ายังทำให้อเดอลีนพอใจไม่ได้ หรือผมได้รับจดหมายฟ้องแบบนี้อีก ก็ให้แม่นั่นไสหัวไปซะ ผมลงทุนกับเสื้อผ้าสำเร็จรูปไปมากที่สุด ถ้าทำเสียเรื่อง สิ้นปีก็กินลมแทนข้าวแล้วกัน!”

“ครับ…” หลัวอวี้ที่อยู่ในชุดสูทสีเทาเงินก้มหน้ามองโต๊ะทำงานด้านหน้า ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันใด การที่ต้องโดนคนซึ่งอายุเพียงสามสิบสองและอ่อนกว่าเขาถึงหกปีอย่างโจวไท่หรานสั่งสอนอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก

เมื่อออกจากห้องทำงานของประธานกรรมการผู้บริหาร ความโกรธของหลัวอวี้ก็พุ่งทะยานขึ้นถึงขีดสุด บริษัทแอลวายมีผู้อำนวยการฝ่ายสามคน ประธานกรรมการผู้บริหารหนึ่งคน รองประธานอีกหนึ่งคน รองประธานคนเก่าลาออกไปทำงานที่อื่น ตำแหน่งนี้จึงว่างลง เขาเลยดึงตัวฟางเซี่ยงเฉียนมาทำงานที่นี่เพื่อต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งในการควบคุมบริษัท จะได้มีแต้มต่อในการชิงตำแหน่งรองประธาน แต่วันนี้นอกจากฟางเซี่ยงเฉียนจะไม่มีผลงานให้กับเขาแล้วกลับยังเป็นภาระของเขาอีก นี่จึงทำให้เขาโกรธจนแทบคลั่ง

“ผู้อำนวยการหลัว” เมื่อเห็นหลัวอวี้กลับมา ฟางเซี่ยงเฉียนก็รีบลุกขึ้นต้อนรับด้วยรอยยิ้ม แต่กลับไม่ได้รับปฏิกิริยาตอบรับใดๆ

หลัวอวี้กลับไปนั่งที่เก้าอี้ประจำตำแหน่ง สีหน้าดำคล้ำและนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง

บรรยากาศในห้องกดดันมากขึ้นทุกที ฟางเซี่ยงเฉียนไม่อาจจะนั่งนิ่งๆ อยู่ได้ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากพูด ด้วยในใจประเมินสถานการณ์ไม่ถูกอยู่เหมือนกัน

“เรื่องที่คุณพูดผมรู้หมดแล้ว” หลัวอวี้มองไปทางฟางเซี่ยงเฉียน “ที่ผมดึงคุณเข้ามาก็เพราะเห็นความสามารถในการจัดการของคุณ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ผมจะมองพลาดไป”

ใบหน้าเชิดหยิ่งของฟางเซี่ยงเฉียนซีดลงทันที “หมายความว่ายังไงคะ”

“มาถึงที่ทำงานก่อนเวลาสิบนาที? กฎระเบียบเข้มงวด? หน้าที่ความรับผิดชอบชัดเจน?” หลัวอวี้เคาะนิ้วลงบนรายงานการทำงานของฟางเซี่ยงเฉียนแล้วกัดฟันพูดต่อ “ผมอยากจะรู้นักว่าสมองคุณมีปัญหาหรือไง คนพวกนั้นเป็นดีไซเนอร์ ทำงานไม่มีกลางวันกลางคืนเหมือนคนเขียนโค้ดคอมพิวเตอร์ของบริษัทใกล้ๆ เรา บางครั้งเกิดไอเดียขึ้นมาตอนกลางค่ำกลางคืน คุณวางระเบียบเคร่งครัดให้พวกเขาทำงานเหมือนกับทหารแบบนี้ แล้วพวกเขาจะคิดจะทำอะไรออกมาได้ คุณรู้ไหมว่าพนักงานเรียกคุณลับหลังว่ายายแม่มดแก่”

ฟางเซี่ยงเฉียนได้ยินเช่นนั้นหน้าผากก็พลันมีเหงื่อเย็นไหลซึมออกมา รู้สึกว่าวันนี้รองเท้าส้นสูงของเธอสูงมาก ขาเธอเริ่มสั่นเล็กน้อย รายละเอียดพวกนั้นผู้อำนวยการรู้แล้ว นั่นแปลว่านอกจากตัวเธอแล้ว ในแผนกยังมีคนของเขาอยู่อีก เพียงแต่เธอไม่รู้ว่าคนคนนั้นเป็นใครเท่านั้นเอง

 

ใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวัน ฟางเซี่ยงเฉียนถึงได้กลับมาที่ห้องออกแบบด้วยสีหน้าสงบนิ่งจนดูอะไรไม่ออก ก่อนจะเรียกทุกคนประชุมสั้นๆ

“ข้อคิดเห็นของพวกคุณฉันรับรู้แล้ว ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปแผนกของเราจะทำงานแบบยืดหยุ่น ก่อนสิบเอ็ดโมงจะต้องมาถึงที่ทำงาน ทำงานครบแปดชั่วโมงถึงจะเลิกงานได้” ฟางเซี่ยงเฉียนพูดพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆ เมื่อเห็นสายตาของทุกคนที่ไม่อาจปกปิดความยินดีเอาไว้ได้ ในใจก็ให้รู้สึกสะอิดสะเอียน จากนั้นจึงเปลี่ยนเรื่องทันที “ยังมีอีกเรื่อง การให้เงินโบนัสครึ่งปีนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงโดยพิจารณาจากการประเมินของหัวหน้าแต่ละระดับ ขอให้ทุกคนตั้งใจทำงานให้ดี”

ตอนที่พูดประโยคนี้สายตาของฟางเซี่ยงเฉียนก็จ้องมองไปที่เซียวเซียวเป็นการตักเตือน

ฟางเซี่ยงเฉียนถือว่าเธอยอมถอยออกมาบ้างแล้วเน้นย้ำอำนาจของตัวเอง น่าจะพอทำให้ดีไซเนอร์ที่พร้อมจะกบฏค่อยๆ สงบลง เธอพยักหน้าอย่างพึงพอใจก่อนจะหยิบกระเป๋าของตัวเองแล้วเดินออกไปกินข้าวกลางวัน

เมื่อเธอเดินออกไป คนในห้องต่างพากันโห่ร้องขึ้นมาอย่างดีใจ

“เซียวเซียว คุณเรียกร้องเอาสิทธิของพวกเราคืนมา คืนนี้พวกเราเลี้ยงข้าวคุณนะ” จ้าวเหอผิงพูดขึ้นอย่างยินดี คนอื่นๆ ก็เห็นดีด้วยเช่นกัน

เซียวเซียวยิ้ม “ไม่ต้องหรอก คืนนี้ฉันมีนัดน่ะ”

“ว้าว นี่อย่าบอกนะว่า…” ฉินย่าหนานร้องด้วยความตื่นเต้น “เซียวเซียวมีแฟนใหม่แล้ว”

“นัดเพื่อนจะไปสถานเสริมความงามต่างหากเล่า” เซียวเซียวหาข้ออ้างมากลบเกลื่อน

เมื่อถึงเวลาเลิกงาน ทุกคนต่างก็แย่งกันขึ้นรถในช่วงเวลาเร่งด่วน กว่าจะถึงถนนตงอวี๋ก็หกโมงสิบห้าแล้ว พอเห็นว่ายังพอมีเวลาเซียวเซียวจึงหาร้านอาหารเล็กๆ นั่งกินข้าว

 

จั่นหลิงจวินเดินเข้าไปในร้านอาหารเล็กๆ ที่มาเป็นประจำก็เห็นร่างคุ้นตา หญิงสาวที่อยู่ในชุดทำงานทันสมัยกอดกระเป๋าใบสวยเอาไว้ กำลังกินข้าวหน้าไก่ทอดอย่างตะกละตะกลามราวกับเป็นคนพเนจรที่ไม่ได้กินข้าวมาสามวันสามคืน

ขณะที่เซียวเซียวกำลังกินอาหารอย่างมีความสุขก็ได้ยินเสียงคนถามจากทางด้านข้าง

“ตรงนี้มีคนนั่งไหม”

เธอยกมือขึ้นโบกไปมาเพื่อบอกให้อีกฝ่ายนั่งได้ตามสบายโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองแม้แต่น้อย

คนในชุดสีดำที่นั่งลงด้านตรงข้ามมาพร้อมกับกลิ่นมิ้นต์อ่อนๆ ผสมกับกลิ่นมันเลี่ยนๆ ของข้าวหน้าไก่ทอดที่อบอวลอยู่ในร้านทำให้ใครบางคนต้องชะงักไปบ้าง

และเซียวเซียวก็ชะงักไปชั่วขณะ เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง ภาพตรงหน้าก็คือดวงตาล้ำลึกนิ่งสงบของจั่นหลิงจวิน เธอเกือบจะสำลักข้าวหน้าไก่ทอดออกมา เซียวเซียวปิดปากแน่น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเคี้ยวอาหารให้ช้าลงแล้วค่อยๆ กลืนลงไป ก่อนจะดึงกระดาษออกมาเช็ดปากด้วยท่าทางที่เรียบร้อยงดงาม จากนั้นก็ยิ้มแล้วเอ่ยถามออกไปว่า “มากินข้าวเหรอคะ”

จั่นหลิงจวินอดขำไม่ได้ขณะที่มองเธอเปลี่ยนสีหน้าท่าทางอย่างรวดเร็ว

เวลานั้นเองเถ้าแก่เนี้ยก็ยกข้าวหน้าไก่ทอดเดินมาแล้ววางลงตรงหน้าจั่นหลิงจวินพร้อมเอ่ยขึ้น “เมื่อก่อนคุณไม่กินไก่ทอดนี่”

จั่นหลิงจวินหยิบตะเกียบแล้วคีบไก่ที่ทอดจนเป็นสีเหลืองทองขึ้นมา “ผมเห็นคุณผู้หญิงคนนี้กินแล้วดูน่าอร่อยก็เลยอยากจะลองดูน่ะครับ”

“คุณควรจะลองชิมตั้งนานแล้ว นี่เป็นอาหารขึ้นชื่อของร้านเราเลยนะ” เถ้าแก่เนี้ยยิ้มจนตาหยี ใครๆ ก็ชอบอะไรสวยๆ งามๆ ทั้งนั้น ถึงเถ้าแก่เนี้ยจะอายุสี่สิบห้าแล้ว แต่เมื่อได้เจอหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลาก็อดที่จะหาเรื่องพูดคุยต่ออีกหน่อยไม่ได้

เดิมทีเซียวเซียวตั้งใจจะวางตัวเป็นกุลสตรี แต่เมื่อได้ยินประโยคนี้ของเขาเข้าก็อยากจะขุดหลุมฝังตัวเองทันที ผู้ชายคนนี้ต้องเห็นท่าทางตอนที่เธอกินแน่ๆ เลย อ๊ายๆๆๆ

เซียวเซียววางตะเกียบลงด้วยอาการสำรวม ตั้งใจจะยอมทิ้งข้าวที่เหลืออยู่ครึ่งจานกับเนื้อไก่อีกสามชิ้น แต่กลับได้ยินเสียงจั่นหลิงจวินเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “อยากกินก็กินเถอะ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปคุณจะไม่ได้กินของพวกนี้แล้ว”

ทะ…ทำไมล่ะ

เซียวเซียวมองเขาอย่างโกรธๆ เทพบุตรตรงหน้ากลายเป็นแม่มดที่สาปเจ้าหญิงนิทราไปในทันที คนที่คิดจะพรากของอร่อยไปจากเธอ ต่อให้หล่อแค่ไหนเธอก็ยอมไม่ได้!

จั่นหลิงจวินไม่ได้อธิบายอะไรอีก เขาก้มหน้าลงรับประทานอาหารอย่างละเมียดละไม

เซียวเซียวสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะใช้เวลาตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อข้าวเข้าปากฟันก็บดเคี้ยวอย่างไม่อาจควบคุมได้ ในลำคอราวกับมีมือใหญ่คอยดึงอาหารที่ยังไม่ทันเคี้ยวให้ละเอียดลงไปในท้องอย่างรวดเร็ว

หลังจากจัดการข้าวหน้าไก่ทอดจนหมดเกลี้ยง เซียวเซียวก็ยกมือขึ้นนวดแก้มที่ปวดเมื่อย การกินด้วยความรวดเร็วและไม่อาจควบคุมจังหวะการเคี้ยวที่เร็วเกินไปได้เช่นนี้ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนี้รับไม่ค่อยไหว

เมื่อเห็นว่าจั่นหลิงจวินยังกินอาหารไม่เสร็จ เธอจึงหยิบโค้กขวดหนึ่งขึ้นมาดื่ม ขณะดื่มไปก็เหลือบตามองเขาไปด้วย

มือได้รูปกับนิ้วเรียวยาวนั้นถือตะเกียบไม้ราคาถูก แต่ทำไมช่างดูเหมือนกำลังถืองานศิลปะชั้นสูงอยู่ ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อนอ้ารับไก่ทอดเข้าไปในปาก กัดเข้าไปคำหนึ่งก็มีเสียงกรุบออกมาเบาๆ แล้วตามด้วยข้าวและแครอตสดแผ่นบาง เป็นภาพที่เห็นแล้วก็อยากจะขยับตะเกียบกินตามไปด้วยจริงๆ

เซียวเซียวรู้สึกว่าภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้เธอสามารถกินข้าวได้อีกสามชามใหญ่ๆ

“ไก่ทอดหนึ่งร้อยกรัมจะมีไขมันสิบกรัม” จั่นหลิงจวินกินข้าวเสร็จแล้วก็วางตะเกียบลง ก่อนจะดื่มน้ำเปล่าตาม “ไขมันไม่อาจเปลี่ยนเป็นน้ำตาลหรือโปรตีนได้ กินเข้าไปมากน้อยแค่ไหนก็จะไปติดอยู่ที่กล้ามเนื้อของคุณมากเท่านั้น”

เซียวเซียวยกมือกุมใบหน้าอย่างหวาดกลัวทันที

 

จากนั้นทั้งสองก็เดินไปที่สโมสรซังอวี๋ ซึ่งครั้งนี้สโมสรดูครึกครื้นกว่าคราวที่แล้ว คาดว่าคงเป็นเพราะหลายคนเลิกงานแล้วจึงจะมีเวลามาฟื้นฟูสุขภาพที่นี่

ชายหนุ่มร่างกำยำที่อยู่ในชุดคล้ายครูฝึกนักกีฬาค่อยๆ เข็นรถเข็นซึ่งมีหนุ่มน้อยในชุดกีฬานั่งอยู่ออกมาด้านนอก ขากางเกงสองข้างใต้เข่าลงมามีแต่ความว่างเปล่า ใบหน้าของเด็กหนุ่มซีดขาวแต่มีแววตาที่สดใส เขายิ้มทักทายจั่นหลิงจวิน “คุณหมอจั่น”

จั่นหลิงจวินหยุดมองสีหน้าสบายใจของสามีภรรยาวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังเด็กหนุ่ม เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพยักหน้ากับชายหนุ่มร่างกำยำ เมื่ออีกฝ่ายเข้าใจความหมายที่ส่งมาจึงเข็นรถเข็นนำไปก่อน จั่นหลิงจวินยืนดักพ่อแม่ของเด็กหนุ่มแล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำเบาๆ ว่า “ช่วงนี้ต้องคอยดูเขาให้ดี อาจจะคิดสั้นได้ง่ายๆ”

สองสามีภรรยาตกใจชะงักไป มองลูกชายที่กำลังพูดคุยยิ้มแย้มกับนักบำบัดด้านหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ

“ไม่ใช่ว่าดีขึ้นแล้วหรอกเหรอ ลูกชายผมมองโลกในแง่ดีมาก ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นหรอก” ฝ่ายชายแสดงอาการไม่ค่อยพอใจ ราวกับจั่นหลิงจวินกำลังแช่งลูกชายสุดที่รักของเขา

“เขาอยู่ในช่วงภาวะซึมเศร้า พวกคุณต้องคอยสังเกตเขาให้ดีๆ” จั่นหลิงจวินย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง จากนั้นจึงพาเซียวเซียวเดินเข้าสโมสรไป

เซียวเซียวอดที่จะหันกลับไปมองไม่ได้ จึงได้เห็นฝ่ายชายทำท่าเบะปากใส่หลังของจั่นหลิงจวิน ส่วนฝ่ายหญิงกลับแสดงออกถึงความกังวลใจ ก่อนที่ทั้งสองจะก้าวเดินตามรถเข็นไปอย่างรวดเร็วแล้วเข็นรถเข็นแทนชายหนุ่มร่างกำยำคนนั้น

บริเวณต้อนรับที่ปูลาดด้วยพรมสีฟ้ามีคนสองสามคนนั่งดื่มน้ำผลไม้อย่างสบายๆ อยู่บนโซฟากำมะหยี่ คนหนึ่งท้องนูนใหญ่ขึ้นมาดูท่าทางเหมือนคนท้อง อีกคนก็มีผ้าคล้องแขนไว้ น่าจะกระดูกหัก ส่วนอีกคนดูไม่ออกว่าเป็นอะไร เขาเป็นชายวัยรุ่นค่อนข้างผอมสวมเสื้อยืดคอกลมสีขาวกับกางเกงยีน กำลังนั่งคุยกับผู้หญิงอีกสองคน

“ซ่งถัง รายการอาหาร” จั่นหลิงจวินเหลือบตาไปมองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ท่ามกลางหญิงสาว

“วางอยู่บนโต๊ะแล้ว” เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าซ่งถังตอบพร้อมกับเงยหน้าขึ้น รอบๆ ปากยังมีฟองน้ำผลไม้ติดอยู่

จั่นหลิงจวินพยักหน้ารับน้อยๆ ก่อนจะผลักประตูห้องรับรองหมายเลขหนึ่งแล้วเข้าไปด้านใน

 

เซียวเซียวนั่งอยู่ด้านข้างของโต๊ะทำงาน บรรยากาศในห้องเงียบสงบ มีเพียงเสียงจั่นหลิงจวินพลิกบันทึกผู้ป่วยไปมา เธอมองไปรอบๆ ห้องอย่างสนอกสนใจ ห้องนี้ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนกับห้องตรวจ โต๊ะทำงานไม้อย่างดี โซฟาที่หุ้มด้วยผ้าสักหลาดเนื้อดี แล้วยังมีตู้เก็บไวน์แดงนั่นอีก

เธอรู้ว่าศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพแบบนี้จะดูแลฟื้นฟูสภาพร่างกายภายนอกและฟื้นฟูสุขภาพหลังผ่าตัดเป็นหลัก แต่โรคที่เกิดจากระบบภายในร่างกายอย่างที่เธอเป็นจะช่วยฟื้นฟูอะไรได้เหรอ เมื่อครู่จั่นหลิงจวินพูดว่าต่อไปไม่ให้เธอกินไก่ทอด แสดงว่าเขาจะช่วยให้เธอกลับมาสวยเหมือนเดิมได้ใช่ไหม

“เคยตรวจบีทีแล้วหรือยัง” จั่นหลิงจวินปิดบันทึกผู้ป่วย คีย์ข้อมูลของเธอเข้าไปในคอมพิวเตอร์จนครบถ้วน

คนที่มีจินตนาการสูงมักจะมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งคือขณะที่ต้องรออยู่นิ่งๆ สมองก็จะคิดอะไรฟุ้งซ่านเต็มไปหมด จนกระทั่งจั่นหลิงจวินเรียกเธอถึงดึงสติกลับมาได้ “เอ๋? การตรวจบีทีคืออะไร”

บีทีไม่ใช่ตัวย่อของอาการทางจิตเหรอ หรือจั่นหลิงจวินคิดว่าเธอเริ่มจะมีปัญหาทางจิต

“เป็นการตรวจเพื่อคัดแยกรอยปื้นแดงของโรคเอสแอลอีกับโรคฮีน็อค ชอนไลน์ เพอร์พูรา” จั่นหลิงจวินอธิบายอย่างเนือยๆ

“อ้อ น่าจะเคยทำแล้วนะ ตอนแอดมิตอยู่ที่โรงพยาบาลก็ตรวจทั้งหมดแล้วรอบหนึ่ง ยกเว้นแต่ภูมิคุ้มกันที่ไม่ปกติ ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ปกติมาก” เซียวเซียวตอบกลับไปอย่างมั่นอกมั่นใจ

จั่นหลิงจวินนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปิดดูหน้าผลเลือดของเซียวเซียว “พวกรอยแดงนี้เกิดขึ้นที่ไหนบ้าง”

“มีแต่ช่วงแขนลงมา ตอนนั้นขึ้นเต็มทั้งแขน หลังจากฉีดยาเข้าไปขวดหนึ่งก็ดีขึ้น ตอนนี้เหลือแค่สองรอยนี้เท่านั้น” เซียวเซียวถลกแขนเสื้อขึ้นมา เผยให้เห็นปื้นแดงๆ ติดกันสองจุดที่แขน รอยนั้นมีขนาดเท่าเหรียญหนึ่งหยวน เป็นสีแดงคล้ำ ไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนที่เป็นตอนแรกแล้ว

จั่นหลิงจวินสวมถุงมือยางก่อนจะจับแขนของเซียวเซียวเพื่อตรวจดู

ถุงมือยางประเภทนี้เนื้อบางมากและมีผิวสัมผัสเหมือนกับผิวหนังของคน จึงส่งผ่านความอุ่นจากมือใหญ่มาได้อย่างชัดเจน เซียวเซียวไม่อาจบังคับให้หัวใจเต้นช้าลงได้ จึงได้แต่แอบด่าตัวเองในใจว่าไม่ได้เรื่อง

“ถือว่าคุณยังโชคดีที่ไม่ได้เป็นที่หน้า” จั่นหลิงจวินยื่นมือมาจับคางเธอแล้วเอียงดูลำคอและใบหน้าของเธออย่างละเอียด

ลำคอของเซียวเซียวขาวและเรียวยาวดูไม่รับกับใบหน้าบวมใหญ่นั้น ดูจากดวงตาที่งดงามก็รู้ว่าเมื่อก่อนใบหน้านี้เคยงดงามขนาดไหน แต่ตอนนี้กลับถูกโรคร้ายทำลายความงามนั้นไปแล้ว ช่างน่าเสียดายจริงๆ

เป็นครั้งแรกที่มีคนมาจับคางด้วยท่าทางเหมือนกับท่านประธานผู้โหดร้ายกำลังจะรังแกสาวน้อยในนิยายเช่นนี้ เซียวเซียวรู้สึกหายใจติดขัดและไม่กล้าที่จะเอ่ยปากตอบคำถามของจั่นหลิงจวิน เกรงว่าเมื่อเอ่ยปากจะมีกลิ่นไก่ทอดลอยออกมา

เมื่อครู่จั่นหลิงจวินเคี้ยวหมากฝรั่งมาระหว่างทาง เมื่อพูดจึงมีกลิ่นหอมสดชื่นของมิ้นต์ออกมา แต่เธอไม่ได้เคี้ยวหมากฝรั่งน่ะสิ!

เวลาที่โรคแสดงอาการออกมาจะรุนแรงมาก ไข้ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้เธอต้องรีบเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเพื่อระงับอาการไม่ให้ลุกลามจนไปทำลายอวัยวะและข้อต่อต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงยับยั้งการทำลายความสามารถในการทำงานของตับและไต นี่ถือเป็นความโชคดีที่สุดในความโชคร้ายแล้ว อาการหลังจากการรักษามีเพียงอย่างเดียวก็คือรอยปื้นแดงสองรอยที่อยู่บนแขนนั่น

เมื่อเห็นจั่นหลิงจวินเขียนตัวอักษรภาษาอังกฤษ ‘E’ ลงในบันทึกผู้ป่วยและเอาข้อมูลทุกอย่างใส่รวมกันไปในแฟ้มเอกสาร เซียวเซียวก็หยิบลูกอมมิ้นต์จากกล่องเหล็กบนโต๊ะมากินแล้วร้องถามขึ้นด้วยเสียงอันเบาว่า “ตัวอีหมายความว่าอะไรคะ”

“เป็นการประเมินทางการฟื้นฟู เป็นระดับที่ต่ำที่สุด” จั่นหลิงจวินอธิบายง่ายๆ แล้วดันตารางแบ่งระดับไปตรงหน้าเซียวเซียว

“ทำไมถึงเป็นระดับต่ำสุดล่ะ เห็นๆ อยู่ว่าอาการของฉันหนักมากนะ คุณก็รู้ว่าโรคนี้รักษาไม่ได้ คุณควรจะประเมินให้ฉันอยู่ระดับเอสิ” เซียวเซียวรู้สึกว่าระดับยิ่งสูงจะยิ่งได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจึงพยายามเรียกร้องสิทธิของตัวเอง

“เดิมทีควรให้เอฟด้วยซ้ำ แต่การแบ่งระดับของการฟื้นฟูไม่มีเอฟ” จั่นหลิงจวินโต้เซียวเซียวกลับอย่างไม่มีเยื่อใย

“…” เซียวเซียวพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

“ปัญหาของคุณในตอนนี้ก็คือผลข้างเคียงจากการกินยากลุ่มกลูโคคอร์ติคอยด์ การกินเมทิลเพรดนิโซโลนวันละสิบเม็ดจะทำให้เพิ่มความอยากอาหาร ผิวหนังบางลง ผมและขนดกขึ้น ใบหน้าก็จะบวมใหญ่…” จั่นหลิงจวินหยิบปากกาขึ้นมาแล้วเขียนสิ่งเหล่านี้ลงบนกระดาษ

เมื่อเซียวเซียวได้ยินเข้า ในใจก็เกิดความหวังขึ้นมา เขาเขียนอาการต่างๆ ออกมาเป็นเป้าหมายของการรักษาฟื้นฟู นั่นแปลว่าหน้าของเธอก็รักษาได้ “ได้ยินว่าอาจจะอ้วนขึ้นด้วย”

เมื่อก่อนเธอค้นหาจากไป่ตู้ มากมายหลายครั้ง ทุกคนต่างก็บอกว่าผลข้างเคียงซึ่งเกิดจากการกินยาที่มีสเตียรอยด์จะรักษายากมาก แล้วยังบอกอีกว่าเมื่อกินสเตียรอยด์เข้าไปจะมีอาการที่น่ากลัวบางอย่างตามมา เช่น หัวใจโต หลังค่อม

จั่นหลิงจวินวางปากกาลงพลางมองหน้าเธอแล้วพูดด้วยเสียงเรียบๆ ว่า “ไม่กินก็ไม่อ้วน”

ฉึก! เซียวเซียวรู้สึกเหมือนมีลูกธนูพุ่งเข้ามาปักที่อก

“แม้ว่าสเตียรอยด์จะทำให้ไขมันเพิ่มขึ้น แต่ถ้าควบคุมแคลอรีให้พอดีกับพลังงานที่ร่างกายต้องการก็แปลว่าถ้าจะอ้วนขึ้นหมายความว่าคุณเป็นคนเพิ่มปริมาณไขมันเข้าไปในร่างกายเอง”

จั่นหลิงจวินชี้ไปที่รายการอาหารตรงหน้าเซียวเซียวพร้อมกับอธิบายตารางให้เธอเข้าใจ

“คุณหมอประจำตัวของคุณน่าจะเคยแจ้งไว้แล้วว่าคุณต้องไม่อดนอน ต่อไปกรุณาทำตามตารางเวลานี้ด้วย”

เซียวเซียวก้มหน้าลงมอง เข้านอนตอนสี่ทุ่ม ตื่นนอนตอนหกโมงเช้า นี่มันชีวิตคนแก่ชัดๆ ให้ดีไซเนอร์นกเค้าแมวอย่างเธอทำแบบนี้ จะเป็นไปได้อย่างไร “เอ่อ…ฉันเป็นดีไซเนอร์นะ ปกติความคิดมันจะลื่นไหลตอนดึก…”

“นั่นเป็นการหาข้ออ้างทำให้โรคเรื้อรัง” จั่นหลิงจวินพูดขัดข้ออ้างของอีกฝ่ายขึ้นมาทันที ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือของเซียวเซียวที่อยู่บนโต๊ะขึ้นโบกไปมา “นอกเสียจากว่าจะเล่นโทรศัพท์ทั้งวันแล้วไม่ได้ทำงาน เมื่อตกดึกจึงสำนึกผิดเลยต้องมาทำงาน”

ฉึก! ฉึก! ฉึก! เซียวเซียวกลายเป็นเป้าให้ธนูยิงไปเสียแล้ว

 

เมื่อถูกจั่นหลิงจวินหรือคุณหมอจั่นบีบบังคับให้ยอมรับทฤษฎีเกี่ยวกับมนุษย์ตื่นเช้าสมองจะสดใสและเหมาะกับการคิดสร้างสรรค์งาน เซียวเซียวก็เก็บใบตารางชีวิตอย่างเรียบร้อยแล้วหยิบรายการอาหารแผ่นนั้นขึ้นดู

รายการอาหารที่จั่นหลิงจวินให้มามีแต่อาหารที่ใช้น้ำมันน้อยและเผ็ดน้อย นี่ยังไม่เท่าไร ทว่าแม้แต่ปริมาณในการกินก็ระบุออกมาอย่างชัดเจน หนึ่งวันสามารถบริโภคน้ำมันปรุงอาหารได้ยี่สิบห้าถึงสามสิบกรัม นี่มันไม่พอแม้กระทั่งจะทอดไข่สักใบเลยมั้ง

การกินยาที่มีสเตียรอยด์ทำให้คนที่ไม่ชอบกินอาหารมันๆ เลี่ยนๆ อย่างเซียวเซียวกลายเป็นคนที่ชอบอาหารมันๆ เดิมทีเธอไม่ชอบเนื้อติดมันแต่วันนี้กลับรู้สึกว่ามันน่ากินมาก แม้ในใจจะรู้สึกว่านี่มันอันตรายแล้ว แต่เมื่อไม่มีใครพูดออกมาชัดๆ ว่ากินไม่ได้ เวลากินเธอจึงไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้

“แล้วใบหน้าของฉันจะกลับมาเหมือนเดิมได้ไหม” เซียวเซียวมองจั่นหลิงจวินอย่างคาดหวัง

“ได้”

คำตอบที่เอ่ยออกมาอย่างมั่นใจทำให้เซียวเซียวที่เหมือนกำลังจะจมน้ำอยู่ๆ ก็รู้สึกราวกับเห็นขอนไม้ลอยมา ทำให้เกิดความหวังขึ้นอีกครั้ง

“เมื่อลดสเตียรอยด์จนเหลือน้อยกว่าสองเม็ด ใบหน้าก็จะค่อยๆ กลับสู่สภาวะปกติ” จั่นหลิงจวินส่งโทรศัพท์มือถือให้เธอกดรหัสผ่าน “แต่อยู่บนเงื่อนไขที่ว่าคุณต้องทำตามตารางเวลาและรายการอาหารนี้”

การฟื้นฟูทางการแพทย์เชื่อว่าอาการเจ็บป่วยสิบเปอร์เซ็นต์พึ่งพาการรักษาในโรงพยาบาล แต่อีกเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ต้องอาศัยการรักษาตัวหลังออกจากโรงพยาบาล เช่น กินยาตรงเวลาหรือไม่ ทำตามคำแนะนำของแพทย์หรือไม่ ดูแลรักษาร่างกายดีหรือไม่ นี่ต่างหากที่เป็นปัจจัยสำคัญของการฟื้นฟูสุขภาพ

“ดีเลย” เซียวเซียวอดยิ้มออกมาไม่ได้ แก้มบวมดันขึ้นมาตามรอยยิ้มจนบดบังการมองเห็นไปครึ่งหนึ่ง

หลังจากปลดล็อกโทรศัพท์แล้วเธอก็ถามจั่นหลิงจวินด้วยความสงสัย

“ดาวน์โหลดแอพฯ ‘สุขภาพซังอวี๋’?”

สโมสรฟื้นฟูสุขภาพมีแอพพลิเคชั่นเป็นของตัวเองด้วย?!

เซียวเซียวอึ้งงันไปเล็กน้อยเมื่อพบว่าเป็นแอพพลิเคชั่นที่ต้องจ่ายเงิน แล้วยังเก็บเงินอย่างหน้าด้านๆ ถึงสิบแปดหยวนด้วย

มาก็มาแล้ว ยังไงก็ต้องมีค่าใช้จ่าย เมื่อคิดได้แบบนี้แล้วเซียวเซียวจึงจ่ายเงินซื้อแอพพลิเคชั่นนี้

หน้าจอของแอพพลิเคชั่นนี้เรียบง่ายมาก พื้นหลังเป็นสีดำและมีต้นไม้สีขาวสองต้นอยู่ตรงกลาง เมื่อกดเข้าไปก็ต้องลงชื่อเข้าใช้ ไม่มีให้เลือกลงทะเบียน มีแต่ต้องลงชื่อเข้าใช้

นี่มันแอพฯ บ้าอะไรกัน

จั่นหลิงจวินรับเอาโทรศัพท์กลับมา นิ้วมือเรียวยาวลากไปบนหน้าจอสองที จากนั้นก็ใส่พาสเวิร์ดลงไป หน้าจอจึงเปลี่ยนเป็น ‘ยินดีต้อนรับ ลูกค้าคุณหมอจั่น’

“ถ้าไม่ใช่สมาชิกของที่นี่ดาวน์โหลดแอพฯ ลงมาจะทำอะไรได้ไหม” เซียวเซียวอดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ “แล้วยังต้องเสียเงินด้วย ไม่มีใครต่อต้านเหรอ…”

“มีคนที่ยินดีก็แล้วกัน” จั่นหลิงจวินตั้งค่าต่างๆ ต่อไป “นี่ก็เป็นรายได้อีกทางหนึ่งของที่นี่”

“…” ใครว่าหมอมีจิตใจเมตตากันนะ

 

เมื่อการตรวจรักษาสิ้นสุด เซียวเซียวก็รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมากจึงลุกขึ้นเพื่อจะบอกลา จั่นหลิงจวินก็ลุกขึ้นตามแล้วหยิบเสื้อสูทที่แขวนอยู่ลงมา เตรียมจะเดินออกไปพร้อมกับเธอ

“หยุดก่อน ไม่ต้องส่งแล้ว” เซียวเซียวรีบโบกไม้โบกมือ

“ผมเลิกงานแล้ว” จั่นหลิงจวินมองเธอด้วยสายตาแปลกประหลาด “ถ้าคุณเป็นวีไอพี ผมก็จะไปส่งคุณถึงบ้าน แต่คุณเป็นสมาชิกธรรมดา ไม่ได้รับการดูแลแบบนั้น ดังนั้นไม่ต้องตื่นเต้นไป”

“…” เซียวเซียวที่เพิ่งจะรู้สึกประทับใจหน้าแตกยับเยินและหมดคำพูดไปในทันใด

คุณหมอนี่ช่างไม่น่ารักเอาเสียเลยจริงๆ

 

ด้านนอกท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ไฟข้างทางค่อยๆ สว่างขึ้น

สำหรับเมืองที่ศิวิไลซ์อย่างปักกิ่งแล้ว ชีวิตยามค่ำคืนเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น บนถนนมีรถมากมายวิ่งผ่านไปมาอย่างคึกคัก

“สภาพจิตใจคุณก็ไม่เลวนะ ปกติคนที่เป็นโรคนี้จะตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า แต่คุณกลับไม่เป็นแบบนั้น ผมเลยไม่ต้องเรียกนักจิตวิทยามาช่วย” เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูใหญ่ อยู่ๆ จั่นหลิงจวินก็พูดขึ้นมา

“งั้นเหรอ” โดนสั่งสอนมาหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ เมื่อได้ยินประโยคชื่นชมขึ้นมาเป็นครั้งแรก เซียวเซียวก็รู้สึกเขินเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้ฉันก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ หลังจากป่วยถึงเข้าใจอะไรได้ดีขึ้น”

ภาพความทรงจำในห้องพักของโรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อปรากฏขึ้นในความคิดของเธอ

แพทย์ประจำตัวมองเธอด้วยสายตาเมตตาปรานี แล้วยื่นหนังสือ ‘ความเข้าใจเกี่ยวกับอันตรายจากสเตียรอยด์’ ส่งให้เธอ

‘ในเมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคเอสแอลอีแล้วก็มีเพียงสเตียรอยด์เท่านั้นถึงจะช่วยคุณได้ คนที่เป็นโรคนี้จะต้องกินยานี้ตลอดชีวิต คุณยังโชคดีที่รู้ตัวเร็ว ถ้าหากฟื้นตัวได้ดี ภายในสามถึงห้าปีก็สามารถหยุดยาได้’

เซียวเซียวรับรู้ผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้สเตียรอยด์จากเอกสารซึ่งเขียนไว้อย่างละเอียดและต้องให้ผู้ป่วยหรือญาติเซ็นชื่อ ‘คุณพ่อฉันล่ะคะ’

เมื่อเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องมานอนโรงพยาบาลจึงไม่อาจปิดบังทางบ้านไว้ได้ พ่อของเซียวเซียวรีบเดินทางไกลเพื่อมาดูแลเธอ ค่าใช้จ่ายค่ายาหลายวันนี้พ่อเป็นคนจัดการ แล้วเรื่องเอกสารแจ้งที่สำคัญแบบนี้ทำไมไม่ให้พ่อเซ็นรับล่ะ

‘พ่อคุณไม่ยอมเซ็นชื่อ’ คุณหมอทำอะไรไม่ได้ เขาเจอญาติคนไข้มามากทำให้เข้าใจอีกฝ่ายดี

เซียวเซียวนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงเข้าใจ สีหน้ารู้สึกผิดของคุณหมอทำให้เธอไม่ลังเลที่จะเซ็นชื่อลงไปทันที ตอนนี้เธอไม่อาจสนใจผลข้างเคียงแล้ว การมีชีวิตอยู่สำคัญกว่าสิ่งใด!

รอจนกระทั่งคุณหมอเดินจากไป เธอจึงสวมรองเท้าแล้วเดินออกจากห้อง เห็นพ่อนั่งอยู่บนเตียงคนไข้ชั่วคราวที่ริมทางเดิน ชายอายุห้าสิบที่ยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งเช่นพ่อของเธอกำลังแอบใช้มือปาดน้ำตาทิ้ง ได้แต่ก้มหน้าไม่พูดอะไร

เดิมทีเซียวเซียวคิดอยากจะร้องไห้ แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็รู้ทันทีว่าตัวเองจะร้องไห้ไม่ได้

เธอเดินมานั่งลงข้างๆ พ่อ ไม่ได้มองเขาแต่ก้มหน้ามองที่แขนตัวเอง รอยแดงที่เหมือนกับใยแมงมุมขึ้นเต็มแขนของเธอดูแล้วน่ากลัวไม่น้อย ‘คุณหมอบอกว่าหนูโชคดีมากในความโชคร้าย คนอื่นที่เป็นโรคนี้ต้องกินยาไปตลอดชีวิต แต่หนูกินแค่สามปีห้าปีก็หยุดยาได้ ทางการแพทย์ก็ถือว่าหายสนิท แล้วพ่อดูสิคะ หนูไม่ได้บาดเจ็บอะไร นอกจากต้องกินยาแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากคนปกติ’

เมื่อต้องปลอบพ่อแบบนี้จึงทำให้เซียวเซียวคิดได้กับหลายๆ สิ่งที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นความรักที่ไม่ราบรื่น แรงกดดันเรื่องงาน เพื่อนร่วมงานกลั่นแกล้ง เมื่อเทียบกับความเป็นความตายตรงหน้า เรื่องพวกนั้นก็เล็กน้อยไปเลย เธอต้องเป็นคนที่โชคดีมากๆ ถึงปลอดภัยจากโรคร้ายแรงแบบนี้ได้

“โชคดีที่ยังมีชีวิต ฉันขอบคุณสวรรค์ที่ให้ฉันยังมีชีวิตอยู่ในทุกๆ วัน ไม่ได้พาฉันไป ฉันจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ต่อให้ต้องกลายเป็นคนอัปลักษณ์ ฉันก็จะเป็นคนอัปลักษณ์ที่มีความสุข” เซียวเซียวดันแก้มทั้งสองขึ้น ทำปากจู๋น้อยๆ ทำให้ใบหน้าใหญ่ๆ อัปลักษณ์นั้นดูน่าขันไม่น้อย

จั่นหลิงจวินจ้องมองเธอนิ่งราวกับหยุดหายใจไปชั่วขณะหนึ่ง

เมื่อเห็นว่าจั่นหลิงจวินไม่พูดอยู่นาน เซียวเซียวจึงรู้สึกว่าตัวเองทำตัวน่าอาย ก่อนจะกระแอมอย่างเขินๆ คงเป็นเพราะรู้สึกว่าภาพลักษณ์ของตัวเองในสายตาอีกฝ่ายเสียไปหมดแล้ว เธอจึงรู้สึกผ่อนคลายลง แต่…ที่จริงแล้วไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นสิ “ขอโทษนะที่ฉันพูดอะไรเพ้อเจ้อ”

ไฟข้างทางบนถนนตงอวี๋สว่างขึ้นและสาดส่องมาที่ใบหน้าของจั่นหลิงจวิน แสงสีเหลืองอันอบอุ่นทำให้ใบหน้าที่เย็นชาดูอบอุ่นขึ้น ดวงตาดำขลับมีประกายวิบวับ ทำให้เซียวเซียวรู้สึกว่าเขากำลังยิ้มให้เธอ

“ค่อยๆ เดินนะ” จั่นหลิงจวินพูดเสียงเรียบๆ จากนั้นก็หันไปขึ้นรถ

เซียวเซียวเดาะลิ้น ที่แท้เธอก็รู้สึกไปเอง

เซียวเซียวเหนื่อยมาทั้งวันจึงไม่มีแรงจะไปเบียดเสียดกับคนอื่นๆ ในรถไฟฟ้าใต้ดินแล้ว อีกทั้งตอนนี้รถก็ไม่ติด เธอจึงเดินสบายๆ ไปที่ริมถนนตั้งใจจะเรียกแท็กซี่กลับบ้าน

ถนนตงอวี๋ถือว่าเป็นถนนกลางเมือง แต่เป็นเมืองเก่าที่ปรับปรุงขึ้นมา ถนนจึงค่อนข้างแคบและยังเดินรถได้ทางเดียว แท็กซี่ไม่ค่อยอยากจะเข้ามาสักเท่าไร เซียวเซียวยืนรอรถตรงปากทางอยู่นานก็ยังไม่เห็นรถว่าง จึงก้มลงนวดน่องที่ปวดเมื่อย ก่อนจะจำใจเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน

ขณะนั้นเองรถเก๋งสีเงินคันหนึ่งก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวมาข้างๆ พลางลดกระจกลง “เรียกรถไม่ได้เหรอ”

เมื่อเซียวเซียวมองเห็นคนในรถอย่างชัดเจนก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที ไม่มีบริการส่งลูกค้าแล้วยังขับรถมาโชว์อีก คุณหมอจั่นคนนี้ช่างไม่เป็นมิตรเอาซะเลย “ใช่แล้ว ต้องการรับลูกค้าอูเบอร์พ่วงไปทางเดียวกันไหมคะ”

เดิมทีจั่นหลิงจวินตั้งใจจะส่งเธอที่ปากทางสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ไม่คิดว่าเธอจะพูดแบบนี้ จึงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วปลดล็อกประตู “ขึ้นรถ”

นี่รับลูกค้าไปด้วยกันด้วยเหรอ

เซียวเซียวได้แต่ร้องอยู่ในใจ ความงามทำให้คนอายุยืนขึ้น หากอยู่กับคนที่หล่อเหลาอีกครู่ก็น่าจะทำให้มีชีวิตยืนยาวไปอีกสองวินาที ดังนั้นเธอจึงไม่ลังเลที่จะขึ้นรถ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือแล้วเปิดแอพพลิเคชั่นเรียกรถขึ้นมา “ฉันเรียกรถแล้ว คุณรีบกดรับเร็ว”

“ไม่ต้องหรอก” จั่นหลิงจวินเหยียบคันเร่งเลี้ยวไปยังถนนใหญ่พร้อมกับเอ่ย “นี่เป็นการทดลองใช้บริการ”

“การทดลองใช้บริการ?” เซียวเซียวตามความคิดจั่นหลิงจวินไม่ทัน

“ถือโอกาสในการชำระเงินครั้งแรก มอบบริการสุดพิเศษให้ลูกค้าได้ทดลอง เป้าหมายคือหลอกล่อให้ลูกค้าจ่ายเงินมากขึ้น” จั่นหลิงจวินอธิบายด้วยท่าทางและคำพูดที่เป็นทางการดูน่าเชื่อถือ

“ฮ่าๆ” เซียวเซียวไม่อาจกลั้นเสียงหัวเราะไว้ได้ เดิมทีเธอเข้าใจว่าจั่นหลิงจวินเป็นคนที่เคร่งขรึม แต่ไม่คิดว่าเขาจะมีอารมณ์ขันอย่างนี้ “ก็ดีค่ะ ถ้าบริการดี รอฉันได้โบนัสก็จะเติมเงินให้เป็นระดับวีไอพี”

จั่นหลิงจวินไม่ได้ตอบรับอะไร ลูกค้าวีไอพีของซังอวี๋ไม่ใช่ว่าแค่เติมเงินเป็นบัตรรายปีก็จะได้หรอกนะ

เมื่อกลับถึงบ้านอาบน้ำแปรงฟันและเก็บของเรียบร้อยก็เป็นเวลาสี่ทุ่ม เซียวเซียวคิดถึงแรงบันดาลใจที่เข้ามาแล้วหายไปเมื่อตอนกลางวัน ตั้งใจจะนั่งวาดรูปต่ออีกสักหน่อย ทว่าเมื่อหยิบดินสอขึ้นมาความคิดก็ติดอยู่ตรงนั้น จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคิดจะเล่นสักนิดเพื่อผ่อนคลายอารมณ์

พอเซียวเซียวเปิดเวยป๋อ และเลื่อนข้ามหน้าแรกไปก็มีแต่หน้าจอสีขาวทั้งหมด ก่อนจะเห็นข้อความว่า ‘ไม่ได้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต’

เอ๋? เซียวเซียวมองสัญลักษณ์บนโทรศัพท์มือถือ

ไม่มีสัญญาณไวไฟ หรือว่าเราเตอร์ในบ้านเสีย

เมื่อเปิดดูปริมาณการใช้สี่จี หน้าจอก็เป็นพื้นขาวทั้งหมดอีกเช่นกัน

นี่มันเกิดอะไรขึ้น!

ไม่มีอินเตอร์เน็ตก็ทำได้แค่เล่นเกมในโทรศัพท์มือถือเท่านั้น ทว่าเมื่อเปิดเกม Anipop ก็เด้งออก เปิดเกมศึกต้นไม้ปะทะซอมบี้ก็เด้งออก เปิดเกมเตอติ๊สก็เด้งออกเหมือนกัน

มือถือเสีย?!

สำหรับคนยุคใหม่แล้ว การที่โทรศัพท์มือถือใช้การไม่ได้ก็เหมือนกับการหายตัวไปเฉยๆ

เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงใช้ไม่ได้ล่ะ เมื่อเซียวเซียวคิดไปคิดมาก็มีแค่ตอนที่จั่นหลิงจวินให้เธอดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นนั้นที่แตกต่างจากทุกวัน เธอจึงลองกดเข้าไปที่รูปซังอวี๋ ทันใดนั้นเองหน้าจอก็แสดงคำว่า ‘สี่ทุ่มเป็นเวลาเข้านอน กรุณาปิดโทรศัพท์และเข้านอนอย่างสงบ’

นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย!

เซียวเซียวกดโทรศัพท์หาจั่นหลิงจวินทันที

“มือถือฉันใช้การไม่ได้ ทำได้แค่โทรออกกับส่งข้อความเท่านั้น” เซียวเซียวสูดหายใจเข้าลึก เตือนตัวเองว่า… เขาเป็นสุดหล่อ…เป็นความงดงามของโลกใบนี้ ต้องใจเย็นๆ กับเขา!

“อืม ผมตั้งเวลาให้คุณนอนตอนสี่ทุ่ม หลังสี่ทุ่มไปแล้วก็จะตัดอินเตอร์เน็ต ล็อกแอพพลิเคชั่นเอ็นเตอร์เทนทุกอย่าง ถ้าคุณไม่อยากจะให้หน้าบานต่อไปตอนนี้ก็รีบเข้านอนซะ” ดูเหมือนจั่นหลิงจวินจะนอนอยู่บนเตียงแล้ว เสียงที่พูดออกมาจึงไม่เหมือนกับตอนกลางวัน มันเหมือนเสียงที่นอนแล้วพูด นุ่มนวลและทำให้คนเคลิบเคลิ้ม

“…” เมื่อได้ยินดังนั้นเซียวเซียวจึงได้แต่ทำตาม ปิดคอมพิวเตอร์แล้วปีนขึ้นเตียงนอนทันที

เซียวเซียวนอนตาค้างอยู่บนเตียง ด้วยความเคยชินที่จะนอนหลังเที่ยงคืน ตอนนี้เธอจึงนอนไม่หลับ เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาใช้วิธีดั้งเดิมโดยการส่งข้อความไปหาจั่นหลิงจวิน

‘คุณไม่รับโทรศัพท์นอกเวลางานไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงรับสายล่ะ’

 

จากนั้นไม่นานก็ได้รับข้อความตอบกลับจากเขา

 

‘นี่ก็เป็นของขวัญในการทดลองใช้บริการเหมือนกัน’

บทที่ 4

 เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่เซียวเซียวกำลังฝันว่าได้กินอาหารโต๊ะจีนอยู่นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นเป็นระยะๆ

“เอ้กอีเอ้กเอ้ก” เสียงไก่ขันดังมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับไก่ตัวผู้กำลังโก่งคอขันอย่างเอาเป็นเอาตายใส่ไก่ข้างห้องที่เป็นศัตรูหัวใจ

ปักกิ่งเป็นเมืองหลวงที่ทันสมัย อีกทั้งเธออาศัยอยู่บนชั้นยี่สิบสาม จะมีเสียงไก่ขันได้อย่างไร

เซียวเซียวซึ่งหัวยุ่งกำลังพยายามควานหาต้นตอของเสียงที่กรีดร้องไม่หยุดตามซอกหมอน

‘เวลาหกโมงเช้า ถึงเวลาตื่นนอนแล้ว เลื่อนเพื่อปลดล็อก’

ที่แท้ก็เป็นแอพฯ ปีศาจอย่างแอพฯ ซังอวี๋นี่เอง เซียวเซียวใช้มือข้างเดียวในการเลื่อน แล้วก็ฟุบลงเตรียมจะนอนต่ออีกสักครู่ แต่กลับยังมีเสียงไก่ขันไม่หยุด

‘กรุณาต่อภาพให้สมบูรณ์เพื่อปิดนาฬิกาปลุก’

หน้าจอแสดงภาพสุนัขพันธุ์ชิบะอินุกำลังแสยะยิ้มอยู่ ด้านล่างมีชิ้นส่วนอีกเก้าชิ้น

“…” เซียวเซียวอึ้งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมรับชะตากรรมลุกขึ้นมาต่อภาพให้เสร็จ แค่เก้าชิ้นคงไม่ยากอะไร แต่เมื่อเธอต่อภาพจนเสร็จก็รู้สึกว่าตื่นจริงๆ จนไม่อาจนอนต่อได้อีก เธอเสยผมแล้วลุกขึ้นจากที่นอน จัดการล้างหน้าล้างตา สายตาพลันเหลือบไปเห็นรายการอาหารที่ติดอยู่บนประตู เซียวเซียวไม่ได้ใช้ครัวมานาน ในที่สุดก็มีเวลาต้มโจ๊กให้ตัวเองสักชามแล้ว

ข้าว พุทราแดง แล้วก็โยนน้ำตาลกรวดไปอีกก้อน ก่อนจะวางที่นึ่งลงไปด้านบนของหม้อหุงข้าว ปูด้วยผ้าขาวบาง และวางหมั่นโถวรสนมขนาดกำปั้นเด็กสี่ลูกลงไป กดปุ่มต้มโจ๊ก เมื่อจัดการงานครัวเรียบร้อยแล้วจึงมานั่งที่โต๊ะทำงาน เมื่อได้ดื่มน้ำอุ่นลงไปก็รู้สึกสดชื่นราวกับเป็นต้นหญ้าที่โดนฝนพลางถอนหายใจอย่างสบายตัว

ตอนแรกเธออยากได้เวลานอนเพิ่มขึ้นอีกหน่อยจึงยอมตัดใจเช่าอพาร์ตเมนต์คนโสดใจกลางเมือง ที่นี่ห่างจากที่ทำงานเพียงนั่งรถไฟฟ้าครึ่งชั่วโมงเท่านั้น บรรยากาศของใจกลางเมืองก่อนจะถึงเวลาทำงานช่างเงียบสงบ เซียวเซียวมองดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นอกหน้าต่าง เธอมีความสุขที่มีเวลามากกว่าคนอื่นสองสามชั่วโมงเช่นนี้

เธอเหลาดินสอจนแหลมแล้วสเก็ตช์โครงร่างคร่าวๆ บนกระดาษขาวอย่างรวดเร็ว ใบเหอฮวนบานเช้าหุบกลางคืน ค่อยๆ เบ่งบานท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่สาดส่อง ตอนนี้สมองทำงานได้ดีกว่าปกติเกือบเท่าตัว ไม่นานนักเธอก็สเก็ตช์แบบกระโปรงได้ตัวหนึ่งโดยเลียนแบบสีของใบเหอฮวน ด้านในเป็นกระโปรงพอดีตัวสีเขียวเข้ม แล้วใช้ผ้าออร์แกนซ่าโปร่งสีเขียวอ่อนทับอยู่ด้านนอกในลักษณะกึ่งปิดกึ่งเปิด ขณะที่ก้าวเดินจะเห็นกระโปรงสีเขียวเข้มด้านใน ดูเหมือนกับใบเหอฮวนที่ผลิบานออกในยามรุ่งอรุณ

ช่างเป็นความคิดที่อัจฉริยะจริงๆ เลย

เซียวเซียวปรบมือให้กับตัวเอง ก่อนจะรีบเปิดคอมพิวเตอร์ด้วยความรวดเร็วแล้วเอารูปกระโปรงเข้าไปในโปรแกรมวาดรูป รูปที่ออกมาถึงแม้จะสวยงามแต่ก็เหมือนยังขาดอะไรไปสักอย่าง

เซียวเซียวกัดเม้าส์ปากกาพลางขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด

ติ๊ดๆๆๆ เสียงร้องเตือนของหม้อหุงข้าวดังขึ้นบอกเธอว่าโจ๊กต้มเสร็จเรียบร้อยแล้ว

โจ๊กพุทราแดงต้มจนเหนียวข้นและหอมกรุ่น หมั่นโถวนิ่มๆ ลูกเล็กๆ แสนอร่อยกินคู่กับผักดองจานเล็ก อร่อยกว่าอาหารเช้าข้างทางเป็นไหนๆ แม้ผักดองเค็มจะดูพื้นๆ ไปสักหน่อย พรุ่งนี้ค่อยผัดกับข้าวสักอย่างก็แล้วกัน เซียวเซียวกินหมั่นโถวเสร็จก็เหลือโจ๊กอีกนิดหน่อยจึงหยิบยาของวันนี้มากิน

ความข้นเหนียวของโจ๊กช่วยห่อหุ้มเม็ดยาไว้ได้เป็นอย่างดี แม้ยาเมทิลเพรดนิโซโลนที่แตกตัวง่ายก็ไม่ได้สัมผัสคอเธอ จึงไม่เกิดเหตุการณ์ยาค้างอยู่ในคออีก เธอกลืนยาลงไปได้สะดวกง่ายดายและไม่รู้สึกขมแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่ต้องคอยหลบคนอื่นเวลากินยาที่บริษัทอีก เซียวเซียวรู้สึกสบายใจอย่างมาก จากนั้นเธอก็กลับมานั่งทำงานที่โต๊ะอีกครั้งอย่างสดชื่นมีชีวิตชีวา

เนื่องจากห้องนี้มีพื้นที่ไม่มากเธอจึงใช้โต๊ะเครื่องแป้งเป็นโต๊ะทำงาน เธอเหลือบตามองกระจกไปทีหนึ่งก็รู้สึกตกใจไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าเมื่อได้นอนเต็มอิ่ม ใบหน้าของเธอก็ไม่ได้บวมจนน่ากลัวอย่างเมื่อวาน ผิวก็กลับมาขาวเนียนละเอียดขึ้น ที่สำคัญยังทำให้เธอประหลาดใจในผลงานของตัวเองแบบนี้

ยามนั้นเองความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา คนก็เป็นเช่นนี้ แล้วกระโปรงนั่นก็เช่นกัน ใบเหอฮวนเมื่อหุบเต็มที่แล้วถึงได้บานออกใหม่ เพราะความกดดันที่มีมานานจึงทำให้เธอรู้สึกถึงความยินดี ถ้าอย่างนั้นผ้าโปร่งที่อยู่ด้านนอกก็ต้องกระชับขึ้นอีกนิด ด้านนอกกับด้านในจะต้องแตกต่างกันชัดเจน แบบนี้เมื่อมันเปิดออกจึงจะทำให้ผู้พบเห็นมีความรู้สึกประหลาดใจ

เซียวเซียวเปลี่ยนจากผ้าออร์แกนซ่ามาเป็นผ้าชีฟองที่มีน้ำหนักและทึบแสงกว่า เมื่อมองจากภายนอกก็เหมือนกับเป็นกระโปรงผ้าชีฟองตัวหนึ่ง แต่ด้านในยังมีกระโปรงสีเขียวเข้มอีกชั้นทำให้กระโปรงดูสะดุดตามากขึ้น…

หลังจากทำงานด้วยความกระฉับกระเฉงขะมักเขม้นเหมือนกับได้ยาโด๊ปจนถึงเก้าโมงเช้า เซียวเซียวก็มองรูปที่เสร็จสมบูรณ์ในคอมพิวเตอร์แล้วอดที่จะเงยหน้าขึ้นดูเวลาไม่ได้

นี่มันได้งานเป็นสองเท่าของเวลาปกติด้วยซ้ำ!

เมื่อเซฟข้อมูลส่งเข้าโทรศัพท์มือถือเรียบร้อยและเหลือบดูเวลาก็เห็นว่าถึงเวลาทำงานของจั่นหลิงจวินแล้ว

 

เสี่ยวเสี่ยวปู้ : เสียงนาฬิกาปลุกนี่มันเลวร้ายมาก เปลี่ยนเป็นเสียงอื่นได้ไหม

 

รอมาสองนาทีก็ไม่มีข้อความตอบกลับจากอีกฝ่าย เซียวเซียวจึงไม่ได้สนใจอะไร เขาเป็นถึงคุณหมอ ไม่ใช่ผู้ชายในโฮสต์คลับ ไม่ได้มีหน้าที่จะต้องตอบทันทีนี่นา

 

เมื่อเซียวเซียวเก็บของเรียบร้อยจึงออกไปทำงาน หลังจากเวลาเร่งด่วนช่วงก่อนเก้าโมงแล้วรถไฟฟ้าใต้ดินก็สบายๆ แบบนี้ ทั้งโล่งว่างและมีที่ว่างให้นั่งด้วย

ขณะที่นั่งก็มีความรู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหมือนถูกลอตเตอรี่ เซียวเซียวรู้สึกอยากจะร้องเพลง ‘ขอบคุณจากหัวใจ’

รถไฟฟ้าใต้ดินวิ่งผ่านไปสองสถานีแล้วแต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบจากอีกฝ่าย เซียวเซียวจ้องเขม็งที่วีแชตแล้วเปิดไปเปิดมา จากนั้นก็คิดขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันอังคาร หมอนั่นไม่ได้ทำงานนี่

เฮ้อ…งานที่ทำวันเว้นวันช่างเป็นงานที่สบายอะไรเช่นนี้

การออกแบบกราฟิกของเครื่องแต่งกายสามารถทำที่บ้านได้ แต่การทําแพตเทิร์น ภาพสามมิติ การคำนวณสัดส่วนต่างๆ ต้องใช้โปรแกรมการออกแบบขนาดใหญ่ที่เสียค่าบริการ ดังนั้นจึงต้องไปทำที่บริษัทเท่านั้น

เซียวเซียวเอาไฟล์ที่ออกแบบส่งเข้าไปในคอมพิวเตอร์ของบริษัท เปิดโปรแกรมออกแบบแล้วจึงเริ่มปรับขนาด

“เสื้อผ้าคอลเล็กชั่นฤดูร้อนเข้าตลาดไปอาทิตย์หนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง” ฉินย่าหนานกำลังคุยกับผู้ช่วยดีไซเนอร์

“ได้ยินว่าวันนี้บริษัทอัพโหลดสินค้าใหม่เข้าไปในเวยป๋อของบริษัทแล้ว เข้าไปดูก็รู้” ผู้ช่วยพูดพร้อมกับเปิดหน้าเวยป๋อทางการของแอลวายเอสอาร์ แผนกประชาสัมพันธ์จะอัพโหลดรูปขึ้นไปตอนเก้าโมงตรง ซึ่งนั่นก็คือเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่จะเป็นตัวทำตลาดหลักในซีซั่นนี้

ฉินย่าหนานถือถ้วยกาแฟเดินมาด้านหลังของเซียวเซียวอย่างเงียบๆ

เซียวเซียวที่รู้สึกว่ามีคนอยู่ด้านหลังรีบกดปุ่มเปลี่ยนหน้าจออย่างรวดเร็วจนหน้าจอเปลี่ยนไปเป็นหน้าเดสก์ท็อป ก่อนจะหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา เมื่อเห็นว่าเป็นฉินย่าหนานก็รู้สึกใจหายขึ้นมาแต่ยังคงยิ้มออกไป “เป็นแกนี่เอง ฉันคิดว่าใครซะอีก ทำเอาตกใจหมดเลย”

ในวงการออกแบบมีมารยาทที่รับรู้กันอยู่อย่างหนึ่งก็คือในขณะที่คนอื่นกำลังออกแบบอยู่นั้นจะไม่แอบดู ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นมารยาทพื้นฐานอย่างหนึ่ง ฟางเซี่ยงเฉียนไม่เข้าใจมารยาทข้อนี้ จึงมักจะสอดส่องตามโต๊ะออกแบบที่เรียงต่อกันของพวกเขา และมักจะขัดจังหวะความคิดของดีไซเนอร์ แต่หลังจากจ้าวเหอผิงเสนอให้จัดโต๊ะแบบไม่เป็นระเบียบ สถานการณ์เลยค่อยดีขึ้นมาหน่อย

ฉินย่าหนานลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เซียวเซียวแล้วดื่มกาแฟ “เป็นไงบ้าง คิดอะไรออกแล้วหรือยัง”

“ก็มีบ้าง” เซียวเซียวพูดไปแบบนี้ ไม่ได้คิดจะเปิดโปรแกรมออกแบบขึ้นมาใหม่ เพียงกดเปิดหน้าเวยป๋อทางการของบริษัทขึ้น

วันนี้จะมีการอัพโหลดรูปเสื้อผ้าเก้าชุด ซึ่งมีชุดที่เธอออกแบบอยู่สองชุด นั่นคือชุดแส็กและชุดจัมพ์สูท

“เสื้อผ้าคอลเล็กชั่นฤดูร้อนนี้ทั้งหมดห้าสิบสามชุด เฉพาะของแกก็มีเก้าชุดแล้ว ฉันว่าเฮดดีไซเนอร์ของซีซั่นหน้าต้องเป็นแกแน่นอน” ฉินย่าหนานหยิบไม้บรรทัดโค้งบนโต๊ะของเซียวเซียวขึ้นมาเล่น

“อย่าพูดเหลวไหลสิ” เซียวเซียวคว้าไม้บรรทัดโค้งคืนมา นั่นมันเป็นไม้บรรทัดโค้งที่เธอชอบที่สุด ผู้หญิงตรงหน้ามาขอเธอหลายครั้งแล้วแต่เธอก็ไม่ให้ ทุกครั้งที่มาคุยกับเธอจะต้องหยิบขึ้นมาเล่นสักหน่อย เมื่อเอาไม้บรรทัดโค้งวางกลับไปที่ชั้นวางแล้ว อยู่ๆ ผู้ช่วยที่อยู่ด้านหน้าก็ร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ

“พี่เซียวรีบดูเร็ว! คอมเมนต์ในเวยป๋อ”

เซียวเซียวกดไปที่คอมเมนต์แล้วก็ชะงักไปทันที

 

อู่เหมาเกอ : จัมพ์สูทสีเหลืองมัสตาร์ดตรงกลางชุดนั้นมันบ้าอะไร น่าเกลียดชะมัด

ลูกค้า 1938777 : ดูห่วยแบบนี้เอามาเป็นตัวทำตลาดได้ไง ดีไซเนอร์ของแอลวายเอสอาร์ไม่ไหวแล้วมั้ง

เหม่ยเหรินอู๋เจียง 666 : ฉันไปลองจัมพ์สูทชุดนี้ที่ร้านมาแล้ว มันโชว์ข้อด้อยของฉันออกมาหมดเลย ไม่มีชุดไหนที่น่าเกลียดกว่าชุดนี้อีกแล้ว

จัมพ์สูทสีเหลืองมัสตาร์ดเป็นชุดที่เซียวเซียวออกแบบ…

“เฮ้ย! ทำไมมีแต่คนต่อว่าจัมพ์สูทของแก” ฉินย่าหนานพูดอย่างตกใจแล้วแย่งเม้าส์ของเซียวเซียวเลื่อนลงมาด้านล่าง

เซียวเซียวเม้มปากแน่น จัมพ์สูทชุดนั้นเข้ารูปก็จริง แต่ช่วงบนใช้ผ้าหนามีน้ำหนักคงตัว สามารถช่วยปกปิดเนื้อส่วนเกินกับซี่โครง ส่วนช่วงล่างออกแบบให้ช่วงขาใหญ่และใช้ผ้าทิ้งตัว ไม่มีทางที่จะทำให้โชว์ข้อด้อยออกมาหมดแบบที่ว่าแน่นอน

 

เดิมทีคิดว่าเป็นเพียงแค่นักเลงคีย์บอร์ดที่ไม่มีอะไรทำเพียงไม่กี่คน แต่ไม่คิดว่าผ่านมาสองวันแล้วคำวิจารณ์ในแง่ลบที่พูดถึงจัมพ์สูทชุดนี้ไม่ได้ลดลงเลย ทว่ากลับเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ในวงการแฟชั่นเองก็ยังมีคนหยิบยกจัมพ์สูทชุดนี้มาพูดถึงอย่างประชดประชันกัน

สถานการณ์แบบนี้ส่งผลกระทบต่อแผนกการตลาดอย่างยิ่ง

ซึ่งช่วงเวลานี้เองกลับเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ฟางเซี่ยงเฉียนทำแบบฟอร์มประเมินครึ่งปีของพนักงานและได้เริ่มเรียกพนักงานเข้าไปคุยทีละคน

“สิ่งที่สำคัญที่สุดของดีไซเนอร์ก็คือการออกแบบ นี่เป็นสิ่งที่เธอพูดเองนะ” ในห้องประชุมเล็ก ฟางเซี่ยงเฉียนหยิบผลสำรวจของแผนกการตลาดออกมาเปิดเสียงดังพึ่บพั่บ “คำวิจารณ์ผลงานของเธอในอินเตอร์เน็ตมันเลวร้ายมาก เธอจะอธิบายว่ายังไง”

“ฉันไม่คิดว่างานที่ฉันออกแบบจะมีปัญหา คนที่เข้ามาวิจารณ์ต่างหากที่มีปัญหา” เซียวเซียวจ้องไปที่ฟางเซี่ยงเฉียนอย่างไม่รู้สึกผิด “ยิ่งไปกว่านั้นมีแต่วิจารณ์ว่าชุดนี้ไม่ดีชุดเดียว ไม่อาจจะบอกว่าเป็น ‘ผลงานของฉัน’ ได้”

“แต่การประเมินเงินโบนัสครึ่งปีอาทิตย์นี้ก็ต้องส่งขึ้นไปแล้ว สิ่งที่ฉันจะสามารถพิจารณาได้ตอนนี้ก็มีแค่เพียงผลสำรวจฉบับนี้เท่านั้น” ฟางเซี่ยงเฉียนใช้สายตาของผู้ชนะจ้องมองมาที่เซียวเซียว

แม่เด็กน้อย คิดจะต่อกรกับฉันหรือ เธอยังอ่อนหัดนัก!

“คุณเป็นหัวหน้า จะประเมินฉันยังไงก็เป็นสิทธิ์ของคุณ แต่ที่นี่คือแอลวาย ฉันมีสิทธิ์ในการยื่นคัดค้าน” เซียวเซียวตอบโต้กลับไปโดยไม่คิดจะอ่อนข้อให้ อย่างไรเสียพวกเธอก็แตกหักกันไปแล้ว ต่อให้เธอยอมอ่อนข้อให้ก็ใช่ว่าคนตรงหน้าจะดีกับเธอ

คงเป็นเพราะหลายวันมานี้เข้านอนแต่หัวค่ำและตื่นเช้ากินยาตรงเวลา เซียวเซียวจึงรู้สึกว่าตัวเองมีพละกำลังเพียงพอ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ไม่มีเรี่ยวแรงหรือความรู้สึกที่จะตอบโต้อะไรกับใครทั้งนั้น

ฟางเซี่ยงเฉียนโมโหจนต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อระงับอารมณ์ หลังจากที่เซียวเซียวเดินออกจากห้องประชุมไป เธอก็เขียนตัวซีในช่องผลงานของอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเลใจ

เซียวเซียวเดินออกจากบริษัทอย่างหงุดหงิด ไม่คิดจะกลับบ้าน เตรียมตัวจะไปที่ซังอวี๋เพื่อออกกําลังกายระบายความเครียดออกมา

เมื่อออกจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินมายืนรอที่สี่แยกไฟแดง สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นรถเข็นคันหนึ่งเคลื่อนผ่านไป

เด็กหนุ่มที่สูญเสียขาทั้งสองข้างอยู่ในชุดกีฬาหลวมๆ ออกแรงหมุนล้อรถเข็น ขณะที่แม่ของเขายังอยู่ที่ร้านขายของเล็กๆ ข้างถนน ไม่ได้สังเกตว่าลูกชายของตนเองได้ออกมาไกลแล้ว

ตรงนี้เป็นถนนสายหลัก รถจะวิ่งด้วยความเร็วสูง รถเข็นพลันลื่นไหลไปตามทางลาดเอียงพุ่งไปยังถนนด้วยความรวดเร็ว

ชุดกีฬากับขากางเกงว่างเปล่าอันคุ้นตาทำให้เซียวเซียวอดที่จะเหลือบตามองอีกครั้งไม่ได้

นั่นมันเด็กหนุ่มที่เจอที่สโมสรซังอวี๋วันนั้น!

‘เขาอยู่ในช่วงภาวะซึมเศร้า พวกคุณต้องคอยสังเกตเขาให้ดีๆ’ เสียงเตือนของจั่นหลิงจวินดังขึ้นในหัวของเธอทันที

ผู้คนที่เดินอยู่ตามถนนไม่มีใครสังเกตเห็นเด็กหนุ่มที่นั่งนิ่งเงียบอยู่บนรถเข็น จนกระทั่งรถเข็นพุ่งออกไปถึงได้มีคนกรีดร้องขึ้นมา

เซียวเซียวโยนขนมและน้ำในมือทิ้งก่อนจะพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนู

เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้อง แม่ของเด็กหนุ่มซึ่งกำลังก้มหน้าหาเศษเงินในกระเป๋าถึงได้รู้สึกตัวและเงยหน้าขึ้นมา

ขณะเดียวกันห่างออกไปประมาณห้าสิบเมตรก็มีรถบรรทุกสินค้าคันเล็กวิ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว

ในหัวของเซียวเซียวคิดอยู่เพียงอย่างเดียวก็คือโชคดีที่วันนี้สวมรองเท้าส้นแบน รถเข็นอยู่ห่างจากเธอเพียงราวๆ ห้าเมตร ขณะที่คนขับรถบรรทุกไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีรถเข็นพุ่งเข้ามาใกล้จึงไม่ได้ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย ยังคงขับรถพุ่งตรงมาด้วยความเร็ว เซียวเซียวพลันคว้าเท้าแขนของรถเข็นไว้ได้ เธอยืนอยู่ทางด้านข้างของรถเข็น รถเข็นสะบัดหมุนอยู่ตรงนั้นอย่างควบคุมไม่ได้ ลื่นไถลไปยังเลนที่สองครึ่งคัน

เซียวเซียวไม่สนใจอะไรอีก รีบกระชากเด็กหนุ่มลงจากรถเข็น

เอี๊ยด! เสียงรถเบรกดังแสบแก้วหู คนแถวนั้นพากันหลับตาลงโดยอัตโนมัติ รถเก๋งสีเงินคันหนึ่งแซงขึ้นมาจากทางด้านซ้ายแล้วดริฟต์รถจอดขวางอยู่ด้านหน้ารถบรรทุกทันที

ตอนนี้เองคนขับรถบรรทุกที่โยกตัวไปมาตามเสียงดนตรีถึงจะมองเห็นว่าทางด้านหน้ามีสิ่งกีดขวาง จึงเหยียบเบรกอย่างแรงแล้วร้องตะโกนขึ้นมาเสียงดัง

ตึง! รถบรรทุกชนเข้ากับรถเก๋งข้างหน้า ทำให้ประตูด้านข้างของรถเก๋งบุบเข้าไป

“บ้าเอ๊ย!” คนขับรถบรรทุกดึงเบรกมือขึ้น เมื่อเปิดประตูรถออกมาก็ร้องด่าทันที ก่อนจะเห็นว่าด้านข้างถนนมีคนนั่งอยู่อีกสองคน รถเข็นล้มคว่ำอยู่กลางถนน หญิงวัยกลางคนที่ถือถุงช็อปปิ้งวิ่งร้องไห้พุ่งเข้ามา ฉับพลันเหงื่อก็ไหลออกมาจนเย็นวาบไปทั้งตัว

ชายหนุ่มที่สวมเสื้อเชิ้ตสีดำก้าวออกมาจากรถเก๋งสีเงินก่อนจะพูดกับเขาว่า “ขอโทษนะ” แล้วรีบเดินไปหาคนที่ล้มอยู่บนพื้นทั้งสองคน

“นี่ลูกคิดจะทำอะไร” หญิงวัยกลางคนกอดเด็กหนุ่มไว้แน่นพร้อมกับร้องไห้ถาม

เซียวเซียวสูดหายใจเข้าลึกแล้วม้วนขากางเกงขึ้นดู หัวเข่าถลอกมีเลือดไหลซึมออกมา

ยังดีที่วันนี้สวมกางเกงขายาว ถ้าสวมกางเกงขาสั้นต้องแย่แน่ๆ

ขณะที่เซียวเซียวกำลังขอบคุณความฉลาดของตัวเอง มือเรียวยาวงดงามก็ยื่นมาตรงหน้าเธอ “ลุกไหวไหม”

เสียงนี้คุ้นหูจัง… จั่นหลิงจวิน?

เซียวเซียวยื่นมือออกไปอย่างงงๆ มือเรียวงามข้างนั้นจับมือเธอไว้แน่นแล้วออกแรงดึงเธอขึ้นมา เมื่อมองเห็นสภาพตรงหน้าจึงรู้ว่ารถเก๋งสีเงินที่จอดขวางหน้ารถบรรทุกไว้ก็คือรถเก๋งของจั่นหลิงจวินนั่นเอง

คนที่อยู่บริเวณนั้นต่างพากันล้อมวงเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์กันยกใหญ่

“คุณแม่ พี่ชายคนนั้นไม่มีขา” เด็กน้อยที่ไม่รู้ประสาร้องตะโกนขึ้น

เด็กหนุ่มพยายามปิดขาที่ขาดของตัวเอง แต่ขากางเกงโล่งๆ ก็ไม่อาจจะช่วยปกปิดอะไรได้

จั่นหลิงจวินเดินไปยกรถเข็นที่ล้มคว่ำอยู่กลางถนนขึ้นมา แม้ที่วางเท้าจะแตก แต่เมื่อเก็บเบาะนั่งซึ่งตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาวางก็ยังพอนั่งได้ จากนั้นเขาก็ก้มตัวลงไปอุ้มเด็กหนุ่มขึ้นมาโดยไม่พูดอะไร แล้ววางอีกฝ่ายกลับไปนั่งบนรถเข็น ก่อนจะส่งคืนให้กับแม่ของเด็กหนุ่ม

ตำรวจจราจรที่อยู่ใกล้ๆ เดินทางมาถึงอย่างรวดเร็ว กระจายผู้คนที่ห้อมล้อมออกไป คืนการจราจรให้เป็นปกติ

นอกจากประตูรถที่โดนชนแล้ว รถของจั่นหลิงจวินก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากนัก ยังสามารถขับได้ เขาจึงขับไปจอดไว้ข้างทางตามคำแนะนำของตำรวจจราจร

“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาทำงานเหรอ ทำไมคุณถึงขับรถมาตรงนี้ได้ล่ะ” เซียวเซียวยืนพิงรถของจั่นหลิงจวินพลางติดพลาสเตอร์ยาให้ตัวเอง แม้ว่าจะช่วยเด็กหนุ่มไว้ได้แต่จุดที่ทั้งสองคนล้มลงนั้นไม่ปลอดภัย โชคดีที่คนตรงหน้านี้มาได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นเธอคงถูกรถบรรทุกทับขาแน่ๆ

จั่นหลิงจวินไม่ได้พูดอะไร เขาหยิบถุงพลาสติกออกมาจากที่นั่งข้างคนขับ ในนั้นมีแก้วชานมที่แตก ชานมไหลหยดออกมา มีฝาแก้วที่เป็นรูปแมว ดูแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นของร้านชานมตรงถนนคนเดินนั่นเอง

ไปที่นั่นเพื่อซื้อชานมจริงๆ น่ะเหรอ!

“แถวนั้นไม่มีร้านชานมเหรอ” เซียวเซียวถามด้วยความประหลาดใจ

“บัตรสามสิบแก้วนั่นยังใช้ไม่หมด” จั่นหลิงจวินพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกแล้วโยนถุงชานมทิ้งลงถังขยะไป

“…” เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้นเซียวเซียวก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก

ค่าน้ำมันที่ขับรถไปกลับก็พอค่าชานมแก้วนี้แล้วมั้ง

เธอรู้สึกเพียงว่ากำลังได้รู้จักตัวตนของจั่นหลิงจวินอีกด้านหนึ่ง

“ผมขับมาดีๆ อยู่ๆ เขาก็พุ่งออกมา คุณตำรวจ คุณตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดได้ ผมไม่ได้ขับรถเกินความเร็วที่กำหนดแน่นอน” คนขับรถบรรทุกรีบอธิบายอย่างร้อนรน ดูก็รู้ว่ารถของจั่นหลิงจวินเป็นรถที่แพงมาก เขาไม่มีเงินที่จะชดใช้ค่าเสียหายให้อีกฝ่ายอย่างแน่นอน

ในขณะที่ตำรวจจราจรกำลังจัดการเรื่องอุบัติเหตุนี้ รถตำรวจอีกคันก็ขับเข้ามา เมื่อพบเห็นอุบัติเหตุทางท้องถนน ผู้คนมักจะโทรศัพท์แจ้งตำรวจ คนที่รู้ว่าจะต้องโทรหมายเลขหนึ่งหนึ่งสองนั้นน้อยมาก ปกติก็จะโทรหมายเลขหนึ่งหนึ่งศูนย์

หลังจากตำรวจจราจรเข้าใจที่มาที่ไปของเหตุการณ์และจั่นหลิงจวินแสดงออกว่าไม่ต้องการให้คนขับรถบรรทุกชดใช้ ตำรวจจราจรก็รู้สึกสบายใจขึ้น แต่สำหรับเรื่องที่จั่นหลิงจวินขับรถฝ่าฝืนกฎจราจรก็จำเป็นต้องมีบทลงโทษ

“เนื่องจากเป็นการกระทำเพื่อช่วยชีวิตคนจึงละเว้นการลงโทษได้ แต่ต้องให้ทางสถานีตำรวจออกจดหมายรับรองมาก่อนแล้วส่งไปที่แผนกอุบัติเหตุภายในหนึ่งอาทิตย์” ตำรวจจราจรชี้ไปที่ตำรวจซึ่งกำลังลงจากรถ

การฆ่าตัวตายบนท้องถนนหรือการกระโดดตึกตายเป็นเรื่องที่ดึงดูดความสนใจจากผู้คนและเป็นการขัดขวางความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ ถ้าจะเอาผิดกันขึ้นมาจริงๆ ก็ต้องรับโทษทางอาญา ทางตำรวจสอบถามผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอะไรรุนแรงแล้วจึงได้พาทั้งสี่คนไปที่สถานีตำรวจเพื่อลงบันทึกประจำวันเอาไว้

นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวเซียวเข้ามาในสถานีตำรวจจึงรู้สึกตื่นตาตื่นใจอยู่บ้าง เธอแอบเหลือบตามองไปที่สัญลักษณ์ตำรวจ เครื่องแบบ และนายตำรวจหนุ่มหล่อที่กำลังจดบันทึกอย่างชื่นชม

“ฆ่าตัวตายบนท้องถนนเป็นการขัดขวางความสงบสุขรู้หรือเปล่า” นายตำรวจชั้นผู้น้อยที่รับผิดชอบการทำบันทึกมีสีหน้าเคร่งขรึม เขาเคาะไปที่โต๊ะเพื่อบอกให้เซียวเซียวนั่งอยู่อย่างสงบ สองสามวันก็จะมีคนแจ้งความเรื่องคนฆ่าตัวตายครั้งหนึ่ง แล้วส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงที่ผิดหวังในความรัก ดังนั้นเมื่อเขาเห็นคนพวกนี้จึงคิดเอาเองว่าเซียวเซียวคือคนที่คิดจะฆ่าตัวตาย

“ฉันเห็นรถเข็นของเขาพุ่งไปที่ถนนก็เลยวิ่งเข้าไปรั้งเอาไว้ แต่ไม่มีแรงพอที่จะดึงกลับมาได้ จึงได้แต่ดึงคนออกมาเท่านั้น ดูสิ เล็บฉันก็หักด้วย” เซียวเซียวยกนิ้วชี้ให้ดู เล็บที่ทาน้ำยาทาเล็บอย่างดีจากฝรั่งเศสฉีกกลางจะหักแหล่มิหักแหล่ และบางส่วนของนิ้วก็กลายเป็นสีม่วง

ตำรวจนายนั้นถึงกับนิ่งไป สายตาเคร่งขรึมในตอนแรกเปลี่ยนเป็นสายตาแสดงความนับถือ จากนั้นก็สอบถามแม่ของเด็กหนุ่มเพื่อยืนยันความถูกต้องแล้วจดบันทึกเรื่องราวทั้งหมดลงไป “เซ็นชื่อตรงนี้ ขอบคุณในความกล้าหาญของคุณนะครับ”

เมื่อได้รับคำชมจากตำรวจ เซียวเซียวก็รู้สึกว่าโบแดงที่อยู่ตรงหน้าอกของตัวเองสว่างสดใสขึ้นมา เธอเซ็นชื่อลงไปทันทีโดยไม่พูดอะไรอีก

“ทำไมลูกถึงทำแบบนี้ ถ้าลูกตายไปแล้วพ่อกับแม่จะทำยังไง ฮือๆๆๆ” หลังจากที่แม่ของเด็กหนุ่มขอบคุณเซียวเซียวและจั่นหลิงจวินแล้วก็ร้องไห้ตัดพ้อลูกชายตัวเอง ร้องไปก็ตีเขาไปด้วย

ทั้งที่ถูกถามและถูกตีอย่างนั้น แต่เด็กหนุ่มก็ยังก้มหน้านิ่งเงียบไม่ยอมพูดอะไร

“อย่าโทษเขาเลยครับ นี่เป็นช่วงเวลาปรับตัวหลังจากที่สูญเสียขาไป ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ก็ไม่มีปัญหาแล้วล่ะ” จั่นหลิงจวินขมวดคิ้วตอบ

ตำรวจที่อยู่ข้างๆ รีบดึงแม่ของเด็กหนุ่มออกมา คนที่เพิ่งจะผ่านการฆ่าตัวตายมาอยู่ในช่วงที่อ่อนแอที่สุด ไม่อาจปล่อยให้จิตใจกระทบกระเทือนได้

แม่ของเด็กหนุ่มกับจั่นหลิงจวินพูดกันอีกหลายเรื่อง เด็กหนุ่มนั่งอยู่บนรถเข็นตามลำพังในมุมมืด ก้มหน้าลงเหมือนกับกำลังหลับอยู่

เซียวเซียวเห็นดังนั้นก็เดินมานั่งลงข้างๆ เขา “พวกเราเคยเจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อน ฉันชื่อเซียวเซียว นายชื่ออะไรล่ะ”

“ซย่าเหยียน” เด็กหนุ่มค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเธอ ใบหน้าอ่อนเยาว์ดูเหมือนอายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดเท่านั้น ดวงตากลมโตสีดำคู่นั้นคล้ายมีม่านน้ำตาปกคลุมอยู่ “ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผมไว้”

เซียวเซียวพอจะดูออกว่าซย่าเหยียนเป็นเด็กที่ได้รับการอบรมมาดี

“ไม่เป็นไร นี่เป็นเรื่องที่พลเมืองดีควรจะทำ” เซียวเซียวคิดจะพูดให้ตลก แต่อีกฝ่ายกลับไม่รับมุก หลังจากขอบคุณแล้วเด็กหนุ่มก็ก้มหน้าลงและไม่พูดอะไรอีก ราวกับจะกลืนหายไปในเงามืดบนทางเดินนั้น

เมื่อไม่รู้ว่าจะปลอบโยนอีกฝ่ายอย่างไร เซียวเซียวจึงได้แต่นั่งเงียบๆ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดหน้าเวยป๋อ จัมพ์สูทสีเหลืองมัสตาร์ดชุดนั้นยังคงถูกโจมตีไม่ได้หยุด

“ฉันเข้าใจความรู้สึกของนายนะ ตอนที่พวกเราไม่ได้งดงามสมบูรณ์แบบเหมือนเมื่อก่อน เรื่องเลวร้ายก็พากันถาโถมเข้ามา ดูฉันสิ ตั้งแต่กลายเป็นคนอัปลักษณ์ก็เจอเรื่องเลวร้ายจนครบเลย ออกแบบเสื้อผ้าสักชุดให้เป็นสินค้านำตลาดมันไม่ง่ายเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังโดนคนเข้ามาโจมตี…”

“หน้าม้าของบริษัทต้าเจียง…” ซย่าเหยียนชะโงกหน้าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นๆ

“เอ๋?”

เซียวเซียวตกใจที่เด็กหนุ่มพูดออกมาเช่นนั้น “หน้าม้าของบริษัทเต้าเจี้ยว?”

“ต้าเจียงต่างหาก บริษัทพวกนั้นขยะมาก หน้าม้าพวกนี้เป็นแอ็กเคาต์ผี” ซย่าเหยียนหยิบโทรศัพท์มือถือมา ตามองไปที่ตัวเลข ก่อนจะยกมุมปากขึ้นอย่างเยาะเย้ย “ดูท่าทางศัตรูของคุณคงไม่ค่อยมีเงินเท่าไหร่ ถึงได้สั่งให้ทำเรื่องพวกนี้ในราคาไม่เกินสองพันหยวนเท่านั้น”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ดวงตาของเขาที่เคยดูว่างเปล่าก็พลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ทั้งยังเผยแววตาดูถูกออกมาเหมือนเวลาที่อเดอลีนมองเสื้อผ้าแบกับดินอย่างไรอย่างนั้น นี่เป็นสีหน้าที่มีเพียงอัจฉริยะในวงการเท่านั้นที่จะแสดงออกมาได้

เซียวเซียวจ้องมองเขาด้วยแววตาเป็นประกาย เด็กหนุ่มที่ดูอ่อนแอในสายตาเธอกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาทันใด “ยอดเยี่ยมมาก”

“ก็…ก็ไม่ถึงขนาดนั้น…” ซย่าเหยียนรู้สึกเขิน เขาส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้เซียวเซียวขณะที่ใบหูค่อยๆ แดงระเรื่อขึ้น

เซียวเซียวไม่ทันได้สังเกตเพราะในใจคิดถึงหน้าม้าที่เด็กหนุ่มพูดถึง แม้จะมั่นใจในการออกแบบของตน แต่เมื่อถูกโจมตีติดต่อกันหลายวันเธอก็เริ่มเสียความมั่นใจไปบ้าง อาจจะเกิดข้อผิดพลาดตอนที่ส่งแบบให้กับโรงงานหรือตอนที่ทำแพตเทิร์น เมื่อได้ยินคำว่าหน้าม้า เรื่องกลุ้มใจของเธอก็คลี่คลายลง

แล้วใครคือคนที่ต้องการทำร้ายเธอ เห็นได้ชัดว่าหน้าม้าพวกนี้พุ่งเป้ามาที่เธอ ไม่ใช่บริษัท ไม่เช่นนั้นจะโจมตีชุดที่เธอออกแบบเพียงชุดเดียวได้อย่างไร

“ท่านจอมเทพ ท่านจะช่วยข้าหาคนที่จ้างหน้าม้าพวกนี้ได้หรือไม่ ค่าตอบแทนแล้วแต่ท่านจอมเทพต้องการ!” เซียวเซียวกุมมือทั้งสองไว้ข้างหน้าเลียนแบบจอมยุทธ์สมัยโบราณที่พ่ายแพ้ต้องยอมศิโรราบให้แก่ผู้ชนะ

ใบหูของซย่าเหยียนยิ่งแดงขึ้นก่อนที่เขาจะเอ่ย “ต่อให้คุณให้เงินสิบเท่าต้าเจียงก็ไม่บอกข้อมูลของลูกค้าหรอก นี่เป็นจรรยาบรรณในวงการ แต่ว่าผมสามารถให้ที่อยู่ของเว็บไซต์ได้ คุณจ่ายเงินสองร้อยหยวนแล้วเขาก็จะตามหาคนที่จ้างหน้าม้าให้คุณเอง”

แม้จะเสียดายที่ตอนนี้ไม่อาจหาคนที่อยู่เบื้องหลังได้ แต่สามารถพิสูจน์ได้ว่าตัวเองถูกใส่ร้ายก็ถือว่าเป็นความโชคดีเกินกว่าที่คาดไว้ เซียวเซียวพยักหน้าหงึกๆ ขอแลกเบอร์กับท่านจอมเทพอย่างยินดี

จนกระทั่งจั่นหลิงจวินกับแม่ของซย่าเหยียนออกมาก็เห็นทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

“คุณหมอจั่น วันนี้เราสร้างความลำบากให้กับคุณแล้วค่ะ” แม่ของซย่าเหยียนกล่าวขอบคุณจั่นหลิงจวินอีกครั้ง แล้วก็มาจับมือเซียวเซียวเพื่อกล่าวขอบคุณอีกครู่ใหญ่ “ไม่รู้ว่าจะขอบคุณยังไงดีที่คุณได้ช่วยชีวิตเหยียนเหยียนของเราไว้”

“คุณน้าไม่ต้องเกรงใจ…” เซียวเซียวทำตัวไม่ถูก ได้แต่ปล่อยให้แม่ของเด็กหนุ่มจับมือไว้แบบนั้น เธอหันไปมองจั่นหลิงจวินเพื่อขอความช่วยเหลือ

จั่นหลิงจวินกลับไม่มีทีท่าว่าจะช่วยเลยแม้แต่น้อย เขาโทรศัพท์ไปที่อู่ซ่อมรถเพื่อให้คนมาขับรถไปซ่อม

 

ทั้งสี่คนเดินออกจากสถานีตำรวจ คนของอู่ซ่อมรถก็ขี่จักรยานมาถึง เขารับกุญแจรถจากจั่นหลิงจวินแล้วเอาจักรยานเก็บไว้ท้ายรถ จากนั้นก็ขับรถที่ประตูบุบเบี้ยวคันนั้นออกไป

“คุณหมอจั่น เก็บใบเสร็จค่าซ่อมรถไว้นะคะ คราวหน้าฉันไปที่ซังอวี๋จะได้จ่ายคืนให้” แล้วแม่ของซย่าเหยียนก็บอกลาทั้งคู่ก่อนจะเข็นรถเข็นจากไป

เซียวเซียวคิดว่าพลเมืองดีอย่างจั่นหลิงจวินไม่ต้องการอะไรตอบแทนเช่นเดียวกับเธอ ไม่คิดว่าเขาจะพยักหน้าตอบรับทันที

แต่พอมองแม่ของซย่าเหยียนที่มีสีหน้าสบายใจขึ้น เซียวเซียวจึงรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจผิด “ฉันควรจะเรียกร้องค่าตอบแทน อย่างน้อยค่าพลาสเตอร์ยาก็ยังดี”

จั่นหลิงจวินมองเธอเหมือนเธอพูดอะไรไม่เข้าท่า แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงเดินอ้อมไปด้านนอก ให้เซียวเซียวเดินอยู่ทางด้านขวามือซึ่งเป็นด้านใน

แม้ว่าถนนตงอวี๋จะมีรถไม่มากนัก แต่ด้านนอกย่อมอันตรายกว่าด้านในอยู่ดี มีผู้ชายสูงหล่อยืนกันอยู่ทางด้านนอกเช่นนี้ให้รู้สึกถึงความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

ผู้ชายรูปหล่อและดูเย็นชาเมื่อแสดงความเป็นสุภาพบุรุษขึ้นมาก็เหมือนกับอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงอย่างมาก ยิ่งเขาโยนระเบิดที่ชื่อว่า ‘ประทับใจ’ เข้ามาในหัวใจของสาวน้อย เมื่อระเบิดออกก็ย่อมกลายเป็นหมอกควันสีชมพูเต็มหัวใจ

“ผู้ชายที่เข้าใจเรื่องแบบนี้สมัยนี้มีไม่ค่อยเยอะนะ” เซียวเซียวเงยหน้าขึ้นแอบมองใบหน้าด้านข้างของจั่นหลิงจวิน

“หืม? นี่มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ” จั่นหลิงจวินเอ่ยปากพูดอย่างไม่ใส่ใจพลางเงยหน้ามองท้องฟ้า ตอนนี้ยังไม่ดึกเท่าไร แต่อากาศไม่ค่อยดีนัก มืดครึ้มราวกับฝนจะตก ไฟอัตโนมัติข้างทางก็สว่างขึ้นแล้ว

“ไม่นะ…” เซียวเซียวส่ายหน้าปฏิเสธ เมื่อก่อนเธอพูดกับหานตงอวี่ตั้งหลายครั้งว่าเขาควรจะเรียนรู้ว่าต้องให้เธอเดินอยู่ด้านใน

อากาศเต็มไปด้วยความชื้น ฝนเม็ดเล็กๆ ตกลงมาบนคิ้วและขนตาของจั่นหลิงจวิน ส่องประกายแสงวิบวับ “มีคนสอนผมมา” เสียงทุ้มต่ำดังอยู่ข้างหูเหมือนกับเสียงฝนที่ตกๆ หยุดๆ สายตาล้ำลึกที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นมีร่องรอยของความโศกเศร้าซึ่งไม่อาจอธิบายได้ผ่านเข้ามาแล้วเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว

เซียวเซียวจ้องมองเขาอยู่ตลอด พลันรู้สึกว่าหัวใจของเธอเจ็บแปลบขึ้นมา

แฟนเก่าหรือ แฟนเก่าของเขาใช่ไหม ใครนะช่างเป็นคนที่โชคดีได้รับความรักความเอาใจใส่จากเขา แล้วทำไมถึงทิ้งเขาไป

ถ้าไม่ได้ป่วยก็คงจะดี

เซียวเซียวก้มหน้าลงอย่างหมดกําลังใจ สภาพของตัวเองตอนนี้ไม่อาจจะไปจีบจั่นหลิงจวินได้ ทว่าหากมัวแต่คิดเรื่องพวกนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร สิ่งเดียวที่เธอทำได้ในตอนนี้ก็คือต้องได้เงินโบนัสมาทำบัตรรายสามเดือนเพื่อเทพบุตรสุดหล่อตรงหน้า

 

เมื่อถึงซังอวี๋ จั่นหลิงจวินก็กลับเข้าไปในห้องทำงาน วันนี้เซียวเซียวไม่ได้นัดตรวจจึงเดินไปยังห้องออกกำลังกายตามลำพัง

ฟิตเนสของซังอวี๋แตกต่างจากฟิตเนสทั่วไปตรงที่นอกจากจะมีลู่วิ่ง อุปกรณ์ยกน้ำหนักต่างๆ แล้ว อุปกรณ์ส่วนใหญ่จะเป็นอุปกรณ์ฟื้นฟูร่างกายสำหรับผู้ป่วย

ผู้เป็นเทรนเนอร์ที่นี่ก็คือนักกายภาพบําบัด เช่นชายหนุ่มร่างกำยำที่เคยเดินไปส่งซย่าเหยียนคนนั้น

ในสโมสรซังอวี๋ นักบำบัดองค์รวม นักกายภาพบําบัด นักจิตวิทยา จะเรียกรวมกันว่านักบำบัด ตามที่เถียนเถียนบอก พวกเขาไม่เพียงช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ แต่ฟื้นฟูชีวิตด้วย ทั้งด้านสุขภาพ จิตใจ รูปร่างหน้าตา และความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าข้อสุดท้ายนั้นจะทำได้อย่างไร แต่เซียวเซียวก็ยอมรับที่จะเรียกคนพวกนี้ว่า ‘นักบำบัด’

“โอ๊ยๆๆๆ เจ็บๆๆๆ” เสียงร้องโอดครวญที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเสียงของคนไข้กระดูกหักที่เพิ่งเอาเฝือกออก คนไข้คนนี้อายุสามสิบกว่า เขากำลังโดนนักบำบัดจัดการจนน้ำตาไหลออกมา

“สามเดือนแล้วยังยืดไม่ตรงอีก ตอนนี้ต้องรีบดึงออกมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นกระดูกคุณก็จะงออย่างนี้ตลอดไป” ชายหนุ่มร่างกำยำสวมเสื้อกล้ามซึ่งดูไม่เหมือนหมอเลยสักนิดพูดขึ้น

“ผมไม่เอานะ พรุ่งนี้ค่อยต่อเถอะ”

ภาพลักษณะเดียวกับที่เห็นตรงหน้าเกิดขึ้นแทบทุกมุมห้อง จะเรียกว่าเป็นนรกบนดิน เป็นความทรมานอย่างที่สุดก็คงไม่ผิด

เซียวเซียวสะบัดแขนไปมาแล้วขึ้นไปบนลู่วิ่ง ก่อนจะเริ่มวิ่งช้าๆ แพทย์ประจำตัวของเธอบอกว่าห้ามหักโหมจนเกินไป และจั่นหลิงจวินก็เน้นย้ำว่าการออกกำลังกายต้องพอเหมาะ เธอจึงคิดว่าควรจะวิ่งสักสามสิบนาที

“เหมิงเหมิง กินข้าวเย็นไหม” นักโภชนาการที่ชื่อซ่งถังชะโงกหน้าเข้ามาตรงหน้าประตูฟิตเนส ทำท่าโบกไม้โบกมือกับชายหนุ่มร่างกำยำที่กำลังทำกายภาพให้กับคนไข้

“กิน รอฉันอีกสิบห้านาทีนะ” เหมิงเหมิงเงยหน้าขึ้นตอบ

“คุณชื่อเหมิงเหมิงเหรอ” คนไข้ที่ถูกเขากดไว้หัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆๆ โอ๊ย…เจ็บๆ”

“ผมชื่อหลี่เหมิง จะเรียกว่าคุณหมอหลี่หรือเสี่ยวหลี่ก็ได้ แต่โปรดอย่าเรียกผมว่าเหมิงเหมิง” หลี่เหมิงยกมือกำหมัดและทำท่าเหวี่ยงหมัดไปทางคนพูดมากอย่างซ่งถัง

เซียวเซียวพยายามกลั้นหัวเราะ หันกลับไปเห็นซ่งถังเปิดเครื่องลู่วิ่งแล้วเริ่มวิ่งช้าๆ ซ่งถังเห็นลูกค้าหันมามองจึงพยักหน้าให้อย่างสุภาพ “รายการอาหารนั่นคุณกินได้ไหม”

“ก็ได้นะ แต่แค่มีเนื้อน้อยมาก” เซียวเซียวพูดยิ้มๆ

“สภาพร่างกายของคุณไม่เหมาะจะกินเนื้อมากเกินไป สามารถกินเนื้อไก่เนื้อปลา แต่ต้องเอาหนังไก่และไขมันออก” ซ่งถังอยู่ในชุดสบายๆ มองดูแล้วเหมือนกับนักศึกษามหาวิทยาลัย

หมอที่นี่ไม่เหมือนหมอเลยสักคน จะให้คนไข้แยกออกได้อย่างไร

น่าจะออกแบบยูนิฟอร์มให้พวกเขาสักชุด

เซียวเซียวพิจารณารูปร่างผอมชะลูดของซ่งถัง สมองก็เริ่มคิดถึงชุดที่เหมาะกับเขา คิดอยู่ครู่หนึ่งท้องก็ส่งเสียงร้องจ๊อกๆ ขึ้นมา เซียวเซียวรีบยกมือกุมท้อง ยังดีที่ในฟิตเนสเสียงดัง จึงไม่มีใครได้ยินเสียงน่าอายนั่น

เพิ่งจะโล่งใจได้ไม่นานขาของเซียวเซียวก็พลันหมดแรง ก่อนที่ความอ่อนแรงนี้จะกระจายไปทั่วทั้งตัว และมีเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมาเต็มไปหมด จากนั้นก็เป็นลมหงายหลังล้มลงไป

ขณะที่เข้าสู่ความมืดมิด เซียวเซียวรู้สึกเหมือนกับเห็นหน้าหล่อๆ ของจั่นหลิงจวิน

และเมื่อพยายามลืมตาขึ้นเซียวเซียวก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนโซฟากำมะหยี่สีขาวบริเวณห้องรับรอง จั่นหลิงจวินกำลังใช้หูฟังของแพทย์กดไปที่โครงชุดชั้นในของเธอ

มีโครงชุดชั้นในมากั้นเขาจะได้ยินไหมนะ

เซียวเซียวที่ได้สติกลับมาเต็มที่เริ่มคิดอย่างตื่นตระหนก

“ไม่เป็นไร น่าจะเป็นเพราะน้ำตาลในเลือดต่ำ” จั่นหลิงจวินเก็บหูฟังแพทย์ขึ้นแล้วก้มหน้ามองเธอ “คุณยังไม่ได้กินข้าวเย็นใช่ไหม”

“ยัง…”

ซ่งถังส่งแก้วกลูโคสให้เธอ “ก่อนหน้านี้คุณเคยมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำไหม”

เซียวเซียวลุกขึ้นนั่งแล้วดื่มกลูโคสจนหมด นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง หัวใจที่เต้นเร็วขึ้นค่อยๆ กลับสู่ภาวะปกติ เหงื่อที่ออกมาก็ค่อยๆ น้อยลง “มีค่ะ ตอนที่ฉันผอมมากๆ เมื่อถึงหน้าร้อนก็มักจะยืนตรงๆ ไม่ได้และมีอาการหน้ามืดบ่อยๆ หลังจากทำงานแล้วก็อ้วนขึ้นหน่อยจึงค่อยดีขึ้นบ้าง”

ซ่งถังขมวดคิ้ว ทำท่าครุ่นคิดด้วยการยกมือขึ้นจับคางโดยมืออีกข้างซ้อนอยู่ด้านล่าง “ถ้าอย่างนั้นรายการอาหารของคุณคงต้องเปลี่ยนแปลงสักหน่อย ตอนกลางคืนไม่ต้องกินโจ๊กแล้ว กินเป็นบะหมี่น้ำใส โจ๊กทะเลพวกนี้ได้ แต่ต้องไม่เกินสองร้อยกรัม”

“สุดยอดเลย” เซียวเซียวร้องออกมาด้วยความยินดี สองวันนี้เธอกินแต่โจ๊กถั่วเขียวจนหน้าจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอยู่แล้ว

จากนั้นความคิดหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้น

“ถ้าฉันเป็นลมอีกครั้งจะกินขาหมูหรือไก่ทอดได้ไหม”

“…” ซ่งถังได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับอับจนคำพูดไปในทันใด

ตกดึกเมื่อกลับถึงบ้านเซียวเซียวก็ต้มบะหมี่หยางชุน กินด้วยความเอร็ดอร่อย

ตึ๊ง! เสียงเตือนของวีแชตดังขึ้น เซียนหนุ่มซย่าเหยียนส่งที่อยู่เว็บไซต์มาให้ เซียวเซียวจึงตอบข้อความวีแชตกลับไปทันที

 

เสี่ยวเสี่ยวปู้ : ขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่านจอมเทพ (คุกเข่า)

หั่วเหยียนเยี่ยน : ลุกขึ้นได้

 

เซียวเซียวอ้าปากค้างจ้องหน้าจอก่อนจะขำออกมา

เจ้าเด็กนี่กล้าตอบอย่างนี้จริงๆ ด้วย

จากนั้นเธอก็ใช้เวลาไม่นานนักในการค้นหาเว็บไซต์นั้นและบอกเล่าเรื่องราวที่เธอเจอมา เจ้าของเว็บไซต์ตอบรับอย่างรวดเร็วเช่นกัน แจ้งว่าพรุ่งนี้เช้าจะส่งรายงานเข้าไปที่อีเมลของเธอ

เมื่อจัดการเรื่องสำคัญเสร็จเรียบร้อยเซียวเซียวก็เข้านอนเวลาสี่ทุ่มตรง โทรศัพท์มือถือตัดระบบอินเตอร์เน็ต ล็อกเกมต่างๆ โดยอัตโนมัติ

 

เมื่อตื่นมาตอนเช้าวันรุ่งขึ้น โทรศัพท์มือถือที่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตอีกครั้งก็ได้รับข้อความตั้งแต่เช้าตรู่

 

หั่วเหยียนเยี่ยน : พี่ทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตผมยังมีค่า ยังตายไม่ได้ ผมจะมีชีวิตต่อไปให้ดี ขอบคุณนะ พี่สาวหน้าบาน

 

ความรู้สึกประทับใจกำลังเกิดขึ้น แต่กลับโดนคำว่า ‘หน้าบาน’ กระแทกจนแตกละเอียด

เจ้าเด็กบ้านี่ช่างไม่น่ารักเอาเสียเลย!

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 พ.ย. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 26

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: