ทดลองอ่าน – บทที่ 6
ผ่านไปหลายวันมีฝนตกลงมาห่าใหญ่อย่างหาได้ยาก หลังได้รับสายฝนจนชุ่มฉ่ำ สภาพนาข้าวกระเตื้องขึ้นมาก ชาวนาที่มีประสบการณ์เจนจัดพากันทำนายว่าต่อให้ปีหน้าผลเก็บเกี่ยวไม่อุดมสมบูรณ์ ก็ไม่ข้าวยากหมากแพงเด็ดขาด ใบหน้าของชาวหมู่บ้านเค่าซานทั้งหลายจึงประดับด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง สำหรับพวกเขาแล้ว ผลเก็บเกี่ยวของนาข้าวไม่แตกต่างกับชีพจรของชีวิต
ผู้คนเพียงนึกกันว่านาข้าวฟื้นฟูเป็นปกติได้เพราะแผนรับมือภาวะคับขันก่อนหน้านี้และฝนที่ตกลงมาได้ทันการณ์ กระทั่งอี๋อวี้เองก็ไม่ใคร่แจ่มแจ้งนักว่าเรื่องนี้เป็นผลมาจากสรรพคุณของเลือดนางหรืออานุภาพของธรรมชาติและกำลังคนอย่างไหนมากกว่ากันแน่
หลูซื่อไม่ต้องเป็นกังวลกับการเก็บเกี่ยวปีหน้าแล้ว นางไม่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างพักก่อน แต่ทุกวันยังคงตั้งใจไปที่แปลงนาเพื่อดูสักหน่อยถึงจะเบาใจได้
เวลาผ่านไปเช่นนี้อีกครึ่งเดือนเศษ อากาศเริ่มหนาวเย็นแล้วจริงๆ การตื่นนอนตอนเช้ากลายเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากสำหรับอี๋อวี้ แม้นางไม่กลัวความหนาวเท่าไร ด้วยนั่นเป็นการเทียบกับร่างกายเมื่อชาติที่แล้ว แต่ถ้าจะเทียบกับชาวสกุลหลูอีกสามคนที่คุ้นเคยกับการไม่สวมเสื้อบุสำลีในฤดูหนาวจริงๆ สำหรับนางแล้ว ฤดูหนาวปีนี้เป็นการทดสอบจิตใจครั้งหนึ่งโดยแท้
ยามหลูจวิ้นไม่ต้องไปสำนักยุทธ์ส่วนใหญ่จะไปตัดฟืนที่ภูเขาด้านหลัง อี๋อวี้เคยติดตามไปสองหน ตอนหลังทนความรู้สึกที่เหงื่อออกท่วมตัวแล้วจู่ๆ ก็หนาวกะทันหันไม่ไหวจริงๆ เลยเก็บตัวอยู่ในเรือนปักผ้าอ่านหนังสือทุกวัน วันเวลาของเด็กน้อยมักผ่านไปอย่างเรียบง่ายและน่าเบื่อหน่ายเยี่ยงนี้แล
นอกเหนือจากนี้ เสี่ยวชุนเถากลายมาเป็นแขกประจำเรือนนาง ตอนแรกๆ นางแค่รบเร้าให้อี๋อวี้สอนปักนั่นปักนี่ ต่อมาหลูจื้อยังสอนนางอ่านหนังสือคำสองคำบ่อยๆ เพราะเรื่องนี้ป้าสะใภ้หนิวยังตั้งใจเอาไข่ไก่มาให้ถึงที่เรือนห้าหกใบ อย่าลืมว่าแม้คนชนบทในช่วงเวลานี้ไม่ถึงกับอดอยาก แต่อยากอ่านออกเขียนได้เป็นเรื่องที่ยากเสียยิ่งกว่ายาก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจ่ายค่าบูชาครูเดือนละสองร้อยอีแปะไหวหรือไม่
หมู่บ้านเค่าซานรวมถึงอีกหลายหมู่บ้านในละแวกเดียวกันมีสำนักศึกษาเล็กๆ แห่งเดียวอยู่ติดกับตำบลจาง อี๋อวี้เคยผ่านไปครั้งหนึ่งตอนเอาอาหารไปส่งให้หลูจวิ้นเป็นเพื่อนหลูซื่อ ที่นั่นเป็นเรือนที่ใหญ่กว่าเรือนของพวกนางไม่เท่าไร วางโต๊ะเรียงกันห่างๆ สามสี่แถว และมีลูกศิษย์ทั้งหมดสิบกว่าคน
อาจารย์ผู้นั้นมีนิสัยยกย่องคนรวย รังเกียจคนจนมากพอดู ซ้ำยังเป็นคนค่อนข้างไว้เนื้อถือตัว มาตรว่าจะมีวิชาความรู้อยู่หลายส่วน กลับรับแต่ลูกศิษย์จากตระกูลเศรษฐีโด่งดังในตำบลจาง รวมถึงบางครอบครัวในหมู่บ้านใกล้ๆ กันที่บรรพบุรุษมีพอจะความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบัณฑิตปัญญาชนที่สามารถส่งลูกเข้าเล่าเรียนได้
เมื่ออี๋อวี้มีเสี่ยวชุนเถาเป็นเพื่อนเล่นเพิ่มมาอีกคน ถึงในทางจิตใจทั้งคู่จะมีช่องว่างระหว่างวัยที่ไม่อาจก้าวข้ามไปได้ แต่ที่ทำให้อี๋อวี้ต้องประหลาดใจก็คือพวกนางนับได้ว่าเข้ากันได้ดีเลยทีเดียว สำหรับเรื่องนี้ หลูซื่อดีใจจนออกนอกหน้าที่สุดในบรรดาทุกคน ส่วนเหตุผลคงมีแต่ตัวนางเองที่รู้แจ้ง
ในตอนที่อี๋อวี้เตรียมต้อนรับปีใหม่ครั้งแรกในภพนี้อย่างตั้งตารอคอยเต็มเปี่ยม กลับเกิดเรื่องขึ้นในหมู่บ้านเสียแล้ว ผู้เป็นตัวสำคัญของเหตุการณ์นี้คือเด็กสาวโฉมงามวัยสิบสามปีคนหนึ่ง หรือพี่เซียงเซียงที่เสี่ยวชุนเถาเคยเอ่ยถึงนั่นเอง
วันที่ยี่สิบสองเดือนสิบสอง คืนก่อนหน้าวันบูชาเตา คนทั้งครอบครัวกินอาหารเสร็จแล้วนั่งผิงไฟอยู่ในลาน กิ่งสนที่ไหม้ไฟเป็นสีแดงวาบๆ แตกปะทุจนเกิดสะเก็ดไฟดังเปรี๊ยะๆ ดวงหน้าน้อยๆ ของอี๋อวี้ถูกรมด้วยไอร้อนจนแดงก่ำ แต่นางจำต้องผิงไฟให้ตัวอุ่นไว้ก่อน ประเดี๋ยวล้างหน้าเอนกายลงนอนใต้ผ้าห่มจะได้ไม่รู้สึกหนาว
อี๋อวี้เอามืออังไฟ พลางคิดคำนึงในใจว่ารอเมื่ออากาศอบอุ่นแล้ว นางจะช่วยท่านแม่ปักผ้าด้วยลายที่ซับซ้อนออกมามากขึ้น ฤดูหนาวปีหน้าต้องให้ท่านแม่ซื้ออ่างไฟสักใบตั้งไว้ในเรือนให้ได้
ทันใดนั้นไกลออกไปมีเสียงด่าทอโกรธเกรี้ยวของสตรีดังขึ้นเรื่อยๆ ชาวสกุลหลูทั้งสี่พากันเงยหน้ามองไปทางต้นเสียง แม้แสงจันทร์ไม่สว่างมาก แต่เนื่องจากคนส่วนใหญ่ล้วนผิงไฟกันอยู่ในลาน ส่งผลให้มองเห็นเงาคนที่อยู่ห่างไกลได้รางๆ กลางม่านราตรีมืดมิดนี้
ดูเหมือนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเรือนไหนสักเรือน เสียงเอะอะโวยวายยิ่งมายิ่งดังขึ้นทุกที หลูซื่อขมวดคิ้วมองดูครู่หนึ่ง จากนั้นกำชับกับลูกทั้งสาม และลุกขึ้นเดินตรงไปทางนั้น
ผ่านไปอีกครึ่งเค่อ เสียงดังโหวกเหวกนั่นแปรเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้ฟูมฟายของสตรี สามพี่น้องที่นั่งอยู่หน้ากองไฟลุกจากม้านั่งไม้ไผ่วิ่งไปที่หน้าประตูลานอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่นัดหมาย
เสียงร่ำไห้ที่ดังขึ้นๆ คละเคล้าไปด้วยเสียงก่นด่า หลูจื้อตบไหล่หลูจวิ้นพลางพูด “ข้าจะไปหาท่านแม่ พวกเจ้าสองคนอยู่ในลานเฝ้าดูกองไฟไว้”
ชั่วขณะที่เขาก้าวเท้าออกเดิน อี๋อวี้ยื่นมือไปคว้าแขนเสื้อของเขาโดยสัญชาตญาณ หลูจื้อหันหน้ามองนางแวบหนึ่ง แล้วบอกกับหลูจวิ้นอีกคำ “ข้าจะพาเสี่ยวอวี้ไปด้วย เจ้ายืนรออยู่ตรงนี้”
เห็นหลูจวิ้นเบ้ปากพยักหน้ารับอย่างเสียมิได้แล้ว เขาจูงมือน้องสาวเดินไปยังจุดที่เกิดเรื่องพร้อมกัน ฝีเท้าของเขาเร่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนอี๋อวี้ได้แต่ยกเท้าวิ่งเหยาะๆ ตามเขาไปตลอดทาง
เมื่อถึงที่นั่น เห็นชาวบ้านสิบกว่าคนยืนกระจายกันห่างๆ ล้อมรอบด้านนอกของลานเรือน หลูจื้อจูงอี๋อวี้เดินไปข้างหน้าอีกสองสามก้าวอ้อมผ่านตัวชาวบ้านที่บังสายตาของพวกเขา ถึงมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างในได้ชัดถนัดตา
หญิงชาวนาวัยเกือบสี่สิบนางหนึ่งนั่งตีอกชกหัวร้องไห้อยู่บนพื้น ปากก็ร้องด่าไม่หยุด มีหญิงที่ออกเรือนแล้วสองคนนั่งยองๆ พูดกล่อมอยู่ด้านข้าง ส่วนเบื้องหน้านางเป็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งยืนลอยหน้าลอยตา สอดสองมือไว้ในแขนเสื้อ ทำหน้าหงุดหงิดรำคาญ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่นางด่าทอนั่นเอง
“เจ้าเดรัจฉาน…ฮือๆ…จะบีบคั้นพวกเราทั้งครอบครัวให้ตายหรือไร…เจ้าจะเอาชีวิตของนางใช่หรือไม่ เจ้าลูกล้างผลาญ…ข้ามีลูกที่ไร้มโนธรรมเช่นนี้ได้อย่างไร…”
อี๋อวี้ฉงนใจ กระตุกมือหลูจื้อเบาๆ และกระซิบถาม “พี่ใหญ่ ท่านแม่ล่ะ”
เขาไม่สนใจนาง เหลียวซ้ายแลขวาไปรอบๆ มองหาหลูซื่อในความมืด ที่นี่มีแค่ผู้ใหญ่สิบกว่าคนรวมถึงเด็กที่ปะปนอยู่ด้วยไม่กี่คน แต่กลับไร้เงาของมารดา
“เจ้าพูดอะไรบ้างสิ เจิ้งลี่ที่ตำบลจางนั่นเป็นคนจำพวกใด กระทั่งข้ายังล่วงรู้ เซียงเซียงถูกเขาซื้อไปแล้วจะมีชีวิตอยู่เช่นไร…ฮือๆ เจ้า…เจ้าติดหนี้เขาเท่าไรกันแน่ พวกเราให้เงินไปก็สิ้นเรื่อง…บอกให้พวกเขาเอาสัญญาขายตัวคืนพวกเรามา…”
ทางนั้นมีเสียงร้องไห้ระงม ด้านหลูจื้อกลับลอบร้อนรุ่มใจเพราะตามหาหลูซื่อไม่พบ เขาไม่นำพาอะไรทั้งสิ้น จูงอี๋อวี้เดินเข้าไปในเรือนผู้อื่น เพิ่งย่างเท้าสองก้าวก็ได้ยินเด็กหนุ่มเปล่งเสียงพูดในที่สุด
“ใครให้เงิน ท่านหรือ? ฮึๆ เรือนเรามีเงินกี่มากน้อย หรือข้ายังไม่แจ่มแจ้ง อีกอย่างนี่ข้าส่งเซียงเซียงไปเสวยสุขนะ คุณชายเจิ้งเป็นพี่ชายของภรรยาท่านนายตำบล เซียงเซียงเป็นคนในเรือนของเขา จะไม่กินดีอยู่ดีหรือไร ท่านก็รอเสวยสุขในวันหน้าเป็นพอ จะโวยวายกับข้าอยู่ตรงนี้ด้วยเหตุใด ไม่กลัวอับอายผู้คนบ้าง มิสู้ไปเกลี้ยกล่อมนางเด็กอ่อนต่อโลกหัวดื้อคนนั้นดีกว่า”
“เจ้ายังมียางอายอยู่หรือเปล่า น้องสาวเจ้าเป็นเด็กสาวบริสุทธิ์ เจ้าช่างใจร้ายจริงๆ ส่งนางไปเป็นบ่าวของคนอื่นได้ เจ้าพูดสิ เจ้าติดหนี้เขาเท่าไหร่กันแน่”
อี๋อวี้ถูกหลูจื้อจูงเดินไปข้างหน้าแล้วยังเหลียวหลังไปมอง เห็นหญิงวัยกลางคนนางนั้นลุกพรวดขึ้นจากพื้นถลันไปตรงหน้าเด็กหนุ่ม ขยุ้มสาบเสื้อเขาพร้อมแผดเสียงลั่น
“ได้ ข้าบอกแล้วท่านเอาเงินออกมาได้จริง ข้ายอมบากหน้าไปขอสัญญาขายตัวของเซียงเซียงคืนมา”
“เจ้าพูดสิ”
“เงินต้นรวมดอกเบี้ยทั้งหมดยี่สิบก้วน ท่านไปเอามาให้ข้าสิ”
อี๋อวี้ใจหายวาบ มองเห็นหญิงวัยกลางคนนางนั้นทรุดฮวบลงกับพื้นเป็นแวบสุดท้ายก่อนก้าวเข้าไปในเรือน สตรีที่ออกเรือนแล้วด้านหลังซึ่งยังพูดกล่อมนางอยู่พากันนิ่งงันอยู่กับที่
เงินยี่สิบก้วน ถึงครอบครัวของพวกนางไม่กินไม่ดื่มทั้งปี เพียงอาศัยพืชผลจากที่นาก็ต้องเก็บสะสมเจ็ดปีถึงจะได้ครบ ซ้ำผลเก็บเกี่ยวยังต้องอุดมสมบูรณ์ทุกปีด้วย
อี๋อวี้ตกตะลึงยังดึงสติคืนมาไม่ได้ หูนางได้ยินหลูจื้อเรียนขานเสียงต่ำๆ ว่า “ท่านแม่” จึงหันหน้าไป เห็นหลูซื่อนั่งอยู่บนเสื่อผืนหนึ่งตรงทางเลี้ยวเข้าห้อง ด้านข้างเป็นท่านป้าสะใภ้หนิว มารดาของเสี่ยวชุนเถา
ป้าสะใภ้หนิวโอบกอดเด็กสาวที่ร้องไห้ตัวสั่นเทาไว้ในวงแขน เด็กสาวผู้นั้นหันหลังให้พวกนางอยู่ ทำให้มองไม่เห็นหน้า แต่เห็นทีคงจะเป็นเซียงเซียงคนนั้น
หลูซื่อได้ยินเสียงของหลูจื้อก็เงยหน้าขึ้นมองลูกสองคนแวบหนึ่งโดยไม่กล่าวคำใด เพียงผงกศีรษะเบาๆ เป็นเชิงบอกให้พวกเขารอคอย
หลูจื้อจูงอี๋อวี้ไปนั่งบนเสื่อห่างจากพวกนางไปเล็กน้อย เวลานี้ในลานมีเสียงร้องไห้ดังขึ้นอีกคำรบหนึ่ง ปนเปกับเสียงเยาะเย้ยถากถางของเด็กหนุ่มคนนั้นลอยเข้าถึงข้างในอย่างชัดเจน นางเหลือบตาขึ้นมองเห็นใบหน้าของมารดาทอแววโกรธเกรี้ยวมากขึ้น
“เจ้าว่าเจ้าทำแบบนี้โง่เขลาหรือไม่ หากเจ้าตายไปจริงๆ แล้วแม่เจ้าจะทำอย่างไร ต้องใช้หนี้แทนพี่ชายตลอดชาติ พอแก่ตัวลงก็ไม่มีคนเลี้ยงดู…” ป้าสะใภ้หนิวตบหลังเด็กสาวเบาๆ ปากก็กล่าววาจาปลอบโยนไป ไม่นานนักเสียงร่ำไห้ของคนในอ้อมแขนเงียบหายไป ดูเหมือนว่าจะหลับใหลไปแล้ว
หลูซื่อส่งสายตาอำลากับป้าสะใภ้หนิว จากนั้นลุกขึ้นเบาๆ พาลูกสองกลับเรือนไป
ทั้งสามคนนิ่งเงียบตลอดทางจนน่าประหลาดใจ จวบจนเดินมาถึงหน้าประตูลานเรือนตนเอง ก็ได้ยินหลูจวิ้นตะโกนเสียงดัง
“ท่านแม่! เกิดเรื่องอะไรขึ้นขอรับ”
หลูซื่อมิได้ตอบคำถามนี้ของเขา เพียงสั่งให้เขาดับไฟในลานแล้วจูงอี๋อวี้ไปล้างหน้า
ต่อมาจนกระทั่งเข้านอน หลูจวิ้นยังทำท่าทางจดๆ จ้องๆ แต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีก อี๋อวี้คิดในใจว่าต้องเป็นหลูจื้อกำชับอะไรเขาตอนอยู่ข้างนอกเป็นแน่ อันที่จริงนางอยากถามเช่นกัน แม้จะคาดเดาเรื่องได้เลาๆ แต่ยังอยากฟังจากปากมารดาสักหน่อย แต่ว่าหลูจวิ้นยังไม่กล้ากระตุกหนวดเสือ นางย่อมไม่วิ่งตัดหน้าไปเข้าปากเสือเอง
ด้วยเหตุนี้ทั้งสี่คนนอนหลับอย่างสงบเช่นนี้ทั้งราตรี วันถัดมาฟ้าเพิ่งสว่างอี๋อวี้ถูกหลูซื่อปลุกตื่นขึ้น เร่งให้สวมอาภรณ์แล้วลุกลงจากเตียง ตอนกินอาหารเช้านางเอ่ยปากพูดในที่สุด
“แม่มีเรื่องหารือกับพวกเจ้า พวกเจ้าลองดูว่าทำได้หรือไม่”
อี๋อวี้ใจกระตุกวูบหนึ่ง พอจะรู้แล้วว่ามารดาบังเกิดความคิดอะไร นางพยักหน้าพร้อมกับพี่ชายสองคน จากนั้นหลูซื่อก็เล่าเรื่องของครอบครัวเซียงเซียงให้ทุกคนฟัง
หลิวกุ้ย พี่ชายของหลิวเซียงเซียง ซึ่งก็คือเด็กหนุ่มเกกมะเหรกเกเรที่อี๋อวี้เห็นเมื่อวานคนนั้น เพราะบิดาป่วยตายไปเมื่อสองปีก่อน เขาจำต้องประทับลายนิ้วมือในสัญญาเป็นบ่าวแบบไถ่ตัวได้อยู่ในเรือนนายตำบลอย่างไม่มีทางเลือก
นายตำบลจางหรือนายท่านจางผู้นี้มีอายุล่วงเลยห้าสิบแล้ว ในเรือนมีภรรยาเอกป่วยกระเสาะกระแสะคนหนึ่ง และอนุสองคนที่ได้รับความโปรดปรานมาก หนึ่งในนั้นมีนามว่าหลิ่วอี๋เหนียง นางมีพี่ชายแท้ๆ ในสกุลเดิมคนหนึ่งแซ่เจิ้งนามลี่ เขาโยกย้ายตามน้องสาวที่ออกเรือนมาอาศัยอยู่ที่นี่
พี่ชายของหลิ่วอี๋เหนียงผู้นี้เดิมทีเป็นอันธพาลต่างเมืองคนหนึ่ง ทั้งไม่เอาการเอางาน ปลิ้นปล้อนตลบตะแลง และมัวเมาในอบายมุข โดยเฉพาะการพนัน
นายตำบลจางส่งหลิวกุ้ยไปอยู่กับเจิ้งลี่พักเดียว เรื่องอื่นมิได้เรียนรู้ กลับติดพนันอย่างงอมแงม นับแต่ฤดูใบไม้ผลิปีนี้ เขาใช้เงินที่เก็บหอมรอมริบไว้ไปเรื่อยๆ จนหมดเกลี้ยงไม่ว่า เงินที่ส่งมาให้ครอบครัวทุกเดือนก็ค่อยๆ เริ่มไม่ตรงเวลา ตอนหลังยิ่งหนักข้อถึงขั้นเอาเงินของครอบครัวไปเล่นพนัน
ระยะก่อนเขาตามเจิ้งลี่ไปที่บ่อนพนันใหญ่ในอำเภอชิงหยาง เสียเดิมพันไปก้อนโต บ่อนพนันเป็นสถานที่อะไรเล่า ท่านขาดเงินก็มีให้หยิบยืม ขอเพียงท่านพนันต่อไปเป็นพอ เพียงแต่ต้องชดใช้เงินคืนเป็นสองเท่า ดังนั้นจากหนึ่งก้วนกลายเป็นสองก้วน สองก้วนทบเป็นสี่ก้วน จนกระทั่งบ่อนพนันไม่ยินยอมให้หลิวกุ้ยยืมเงินอีก เขาก็ติดหนี้เป็นเงินยี่สิบก้วนแล้ว
ครั้นชดใช้คืนไม่ได้ก็จะตัดนิ้วเขา หนึ่งนิ้วแทนเงินหนึ่งก้วน ถึงนับรวมนิ้วเท้าแล้วได้ครบพอดี แต่เป็นไปได้อย่างไรที่หลิวกุ้ยจะยอมถูกตัดนิ้วจริงๆ สุดท้ายเขาขอความช่วยเหลือจากเจิ้งลี่ที่ไปบ่อนพนันด้วยกัน และตกลงขายน้องสาวตนเองให้อีกฝ่ายถึงเอาตัวรอดมาได้
ไม่รู้ว่าสองสามวันก่อนเขาล่อหลอกให้หลิวเซียงเซียงประทับลายนิ้วมือในสัญญาขายตัวได้อย่างไร จนวันก่อนตอนบ่ายเจิ้งลี่ให้คนมาส่งสารที่หมู่บ้านเค่าซาน บอกให้สกุลหลิวจัดเก็บข้าวของแล้วส่งตัวบุตรสาวไปให้เขาวันพรุ่งนี้ จ้าวซื่อ มารดาของหลิวเซียงเซียงถึงได้รู้เรื่องนี้
จนปัญญาที่บิดาของหลิวเซียงเซียงด่วนจากไป ในเรือนมีมารดาเป็นที่พึ่งเพียงคนเดียว พี่ชายแท้ๆ ยังบีบคั้นให้นางไปเป็นบ่าวไพร่คนอื่นชดใช้หนี้สิน เด็กสาวซึ่งเฝ้ารอออกเรือนด้วยใจจดจ่อพลันพบกับความสิ้นหวัง นางไปที่ต้นไม้ด้านหลังหมู่บ้านตั้งใจจะผูกคอตายเมื่อวานนี้ เคราะห์ดีที่ป้าสะใภ้หนิวผ่านไปพบเข้าถึงหว่านล้อมให้กลับเรือน
สำหรับหลิวกุ้ยผู้นั้น เมื่อเย็นวานเขารุดออกจากตำบลจางกลับมาที่หมู่บ้านเค่าซานด้วยเหตุผลกลใดก็สุดรู้ ได้พบกับป้าสะใภ้หนิวที่พาหลิวเซียงเซียงกลับมาส่งพอดี ทำให้จ้าวซื่อรู้ว่าบุตรสาวเพิ่งคิดสั้น จึงยื้อยุดบุตรชายไว้จนเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นเมื่อคืนนี้
เมื่อฟังหลูซื่อเล่าจบ อี๋อวี้ลอบสะทกสะท้อนใจ เป็นครอบครัวที่ปราศจากบิดาดุจเดียวกัน นางมีทั้งมารดาและพี่ชายดูแล ทว่าหลิวเซียงเซียงกลับถูกพี่ชายแท้ๆ ของตนเห็นเป็นเช่นทรัพย์สินมอบต่อให้ผู้อื่น
“แม่ไม่กลัวว่าพวกเจ้าอายุยังน้อย ได้ยินเรื่องที่ไม่สมควรฟังแล้วจะแปดเปื้อนหู ขอเพียงเป็นคนย่อมต้องทำเรื่องที่ผิดพลั้งสักวัน แต่สิ่งที่หลิวกุ้ยผู้นั้นกระทำมิใช่แค่คำว่าผิดคำเดียว จื้อเอ๋อร์ จวิ้นเอ๋อร์ แม่เลี้ยงดูสั่งสอนพวกเจ้าสองคนมาจนเติบใหญ่กับมือ ไม่เคยอาศัยไหว้วานคนอื่น แม่รู้ดีว่าลูกๆ ของแม่เป็นคนอย่างไร ถึงไม่หวั่นใจว่าภายภาคหน้าพวกเจ้าจะเป็นเช่นเดียวกับเจ้าคนเลวยิ่งกว่าเดรัจฉานนั่น” หลูซื่อกล่าวถึงตรงนี้แล้วเว้นจังหวะเล็กน้อย ดวงตาของนางทอแววระมัดระวังยิ่ง
“แม่ตั้งใจจะเอาเงินในเรือนออกมาห้าก้วน เป็นเงินก้อนแรกตั้งต้น ผู้ใหญ่บ้านจะได้ระดมเงินจากคนทั้งหมู่บ้านไปให้สกุลหลิวไถ่สัญญาขายตัวของเซียงเซียงคืนมา หมู่บ้านเรามียี่สิบเจ็ดเรือน ทุกเรือนช่วยกันสมทบคนละครึ่งก้วนหนึ่งก้วนก็พอแล้ว แค่ว่าเงินห้าก้วนนี้แม่จะใช้สร้างเรือนและซื้อเครื่องเรือนเพิ่มเติมให้พวกเจ้าสองคนหลังเก็บเกี่ยวพืชผลปีหน้า ฉะนั้นแม่ให้พวกเจ้าเป็นผู้ตัดสินใจว่าอยากได้เรือนหลังใหม่หรือช่วยเหลือสตรีน่าสงสารที่ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับพวกเจ้า”
หลูซื่อเอ่ยถ้อยคำนี้จบก็จ้องเขม็งที่บุตรชายสองคนรอคำตอบของพวกเขา อันที่จริงนางหายใจไม่ทั่วท้องอยู่เช่นกัน ด้วยไม่ว่าอย่างไรนางก็จะให้ยืมเงินก้อนนี้ เพียงจะอาศัยเรื่องนี้ทดสอบคุณธรรมของบุตรชาย หวังว่าพวกเขาจะไม่ทำให้นางผิดหวังจึงจะดี
“ต้องให้ยืมสิขอรับ จะให้พี่เซียงเซียงแต่งงานกับอันธพาลไม่ได้!” เมื่อคืนหลูจวิ้นไม่ได้ไปมุงดูที่เรือนสกุลหลิว เมื่อครู่นี้ได้ยินมารดาเล่าเรื่องของเซียงเซียงจบ เขาก็เริ่มยั้งปากไม่ค่อยอยู่แล้ว หากไม่ใช่บรรยากาศเคร่งเครียดเหลือเกิน เขาคงเต้นผางๆ โวยวายไปนานแล้ว
อี๋อวี้มองดูหลูจวิ้นที่ข่มใจจนสองแก้มแดงก่ำด้วยสีหน้าแปลกชอบกล ไม่รู้เหตุใดนางรู้สึกว่าท่าทางพลุ่งพล่านของเขาดูน่าสงสัยอย่างยิ่ง
หลูจื้อรอหลูจวิ้นแสดงความเห็นจบ ถึงเอ่ยปากเนิบๆ “เรื่องเรือนพวกเรายังพออยู่กันได้ ไม่ต้องรีบร้อนตอนนี้ ช่วยคนสำคัญกว่าขอรับ”
หลูจวิ้นพูดผสมโรงอย่างรวดเร็ว “ใช่ๆๆๆ พี่ใหญ่พูดถูก ใช่ว่าเรือนของพวกเราอาศัยอยู่ไม่ได้สักหน่อย รอไว้ค่อยสร้างหลังใหม่อีกทีวันหลังก็ไม่สาย ท่านแม่ พวกเรารีบเอาเงินไปให้สกุลหลิวเถอะ เกิดช้าไปพี่เซียงเซียงคงต้องออกเรือนไปกับคนเลว”
ตอนพูดคำว่า ‘ออกเรือนไปกับคนเลว’ หลูจวิ้นกัดฟันกรอดๆ อี๋อวี้แจ่มแจ้งในบัดดล รู้ว่าเพราะอะไรตนเองรู้สึกผิดปกติ ที่แท้สีหน้าแบบนั้นของหลูจวิ้นเหมือนถูกคนอื่นแย่งภรรยาไปต่อหน้าต่อตาอย่างไรอย่างนั้น!
แม้นางไม่เคยเห็นหน้าของหลิวเซียงเซียงมาก่อน แต่ได้ยินมาว่าเป็นคนสะสวย หลูจวิ้นจะสิบขวบแล้ว เด็กในยุคโบราณล้วนเป็นผู้ใหญ่เร็วมาก จะบอกว่าเขามีคนที่แอบหลงรักอยู่ก็มิใช่เรื่องแปลก ดูเหมือนหลิวเซียงเซียงยังโตกว่าเขาสองสามปี ไม่รู้ว่าหลูจวิ้นถูกตาต้องใจในรูปโฉมงดงามของเด็กสาว หรือชมชอบคนที่มีอายุมากกว่า
พออี๋อวี้รู้ตัวว่าคิดเตลิดไปไกลแล้วก็รีบเร่งดึงความคิดกลับมา นางเห็นหลูซื่อเลื่อนสายตามาที่ตนเองก็นิ่งงันไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะเข้าใจความหมายของมารดา นางพยักหน้าพร้อมส่งเสียงตอบ “พี่ใหญ่พี่รองพูดถูกเจ้าค่ะ”
เมื่อทุกคนในครอบครัวเห็นพ้องต้องกันเช่นนี้ หลูซื่อแบ่งหน้าที่ทันที
“แม่จะไปที่เรือนท่านผู้ใหญ่บ้านปรึกษาเรื่องระดมเงินก่อน หลูจื้อ เจ้าไปที่สกุลหลิวบอกกล่าวสองแม่ลูกให้รู้สักคำ และให้พวกนางรอคอยอยู่ที่เรือน”
“ขอรับ” หลูจื้อลุกออกไป
“หลูจวิ้น เจ้าไปที่เรือนท่านป้าสะใภ้หนิว เรียกให้นางไปหาแม่ที่เรือนท่านผู้ใหญ่บ้าน”
“อื้อ” หลูจวิ้นรีบวิ่งออกไปเหมือนกัน
หลูซื่อหมุนกายตั้งท่าจะออกไป กลับถูกมือเล็กๆ คู่หนึ่งดึงชายเสื้อไว้ พอหันหน้าไปก็เห็นดวงตากลมโตสุกใสของบุตรสาวกะพริบปริบๆ ขณะเอ่ยถาม “ท่านแม่ แล้วข้าล่ะ”
“เจ้าเฝ้าเรือน” ว่าแล้วก็แกะมือนางออกแล้วก้าวออกนอกประตูไป
คราวนี้ในเรือนเหลือแต่อี๋อวี้เป็น ‘คนว่างงาน’ คนเดียว ตอนแรกอารมณ์ของนางสลดหดหู่ด้วยเรื่องของเซียงเซียงอยู่แล้ว เป็นเหตุให้ถ้อยคำเดียวของหลูซื่อทำให้นางสะเทือนใจได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น
หลูซื่อไปที่เรือนของผู้ใหญ่บ้านจ้าวพูดเรื่องรวบรวมเงิน เขาตอบตกลงทันควัน เดิมทีจ้าวซื่อของสกุลหลิวก็เป็นญาติคนหนึ่งของเขา หากนับกันตามอาวุโสยังต้องเรียกขานเขาว่า ‘ท่านอา’ ด้วยซ้ำไป ฉะนั้นเมื่อช่วยเหลือได้ เขาย่อมไม่ปฏิเสธแน่นอน
หมู่บ้านเค่าซานมีผู้คนอาศัยอยู่ยี่สิบกว่าเหย้าเรือน ถึงจะมีคนประพฤติตัวไม่ดีอย่างหวังซื่อ แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนซื่อตรง คนที่ชอบพอกับสกุลหลิวต่างมีความคิดจะช่วยเหลือตั้งแต่ต้นแล้ว ส่วนคนที่ไม่ชอบหน้ากันก็ไม่บ่ายเบี่ยงเพราะเห็นแก่หน้าผู้ใหญ่บ้าน ยิ่งกว่านั้นยังมีหลูซื่อเป็นตัวอย่างเช่นนี้ แม่ม่ายที่แต่เดิมไม่ใคร่ได้พูดจาวิสาสะกับสกุลหลิวยังเอาเงินออกมาในเวลานี้ คนอื่นๆ จะไม่ช่วยเหลืออีกแรงก็ใช่ที่
ด้วยเหตุนี้ตอนผู้ใหญ่บ้านพาคนไปเคาะประตูเรือนทีละหลัง ส่วนใหญ่ล้วนตกลงมอบเงินให้หนึ่งก้วน ส่วนน้อยก็เต็มใจให้สามสี่ร้อยอีแปะ
จ้าวซื่อยังขอให้หลูซื่อจดเป็นบัญชีให้นาง เมื่อคนในหมู่บ้านยกขบวนกันมาที่เรือนหลังน้อยของสกุลหลู หลูซื่อถือกระดาษกับพู่กันนั่งอยู่ในลาน คนใดนำเงินมาให้ก็จดชื่อคนนั้นไว้ จวบจนยามเที่ยงวันรวบรวมเงินได้มากกว่าครึ่ง เหลือแค่ไม่กี่ครอบครัวที่สามีไม่อยู่เรือนยังตัดสินใจไม่ได้ ต้องรอถึงตอนบ่ายจึงจะได้
คนที่นำเงินมาให้แล้วมิได้แยกย้ายไปไหน คนยี่สิบกว่าคนเบียดเสียดกันอยู่ในเรือนสกุลหลู บ้างนั่งยองๆ รออยู่เฉยๆ ตรงรั้วกำแพง บ้างจับกลุ่มกันสนทนาสัพเพเหระ อี๋อวี้นั่งอยู่หน้าประตูเรือนพินิจสีหน้าที่แตกต่างกันไปของพวกเขา ในใจมีความรู้สึกผิดแปลกไปจากเดิมผุดขึ้น
ในเรื่องของหลิวเซียงเซียงนั้น แรกเริ่มท่าทีของนางคล้ายเป็นแค่ผู้ชมอยู่วงนอก แม้นางไม่ใช่คนใจร้าย แต่วิญญาณเคยเป็นคนยุคปัจจุบันมาแล้วยี่สิบปี วิทยาการอันล้ำหน้าทำให้นางได้เห็นความแล้งน้ำใจของผู้คนมามากต่อมาก อีกทั้งสภาพสังคมยังส่งผลให้คนที่อยู่ในยุคนั้นจำต้องนิ่งเฉยดูดายกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง
แต่เมื่อมองดูกลุ่มชาวบ้านเบื้องหน้าที่เห็นว่าตนสามารถช่วยสกุลหลิวให้รอดพ้นจากสถานการณ์ลำบากได้ นางกลับบังเกิดความรู้สึกร่วมไปด้วย นางนับเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนี้เช่นกัน มารดาของนางกำลังช่วยเหลือเด็กสาวแสนอาภัพคนนั้นอย่างสุดกำลัง นางไม่ใช่คนที่มุงดูอยู่วงนอกอีกต่อไป
แม้กระนั้นหลังจากสกุลหลิวนำเงินไปคืนจริงๆ แล้ว หลิวเซียงเซียงจะหลุดพ้นจากเคราะห์ร้ายนี้ได้หรือ คนที่ชื่อเจิ้งลี่ผู้นั้นจะยอมผลักไสหญิงงามที่ได้มาครอบครองในกำมือออกไปอีกจริงๆ หรือ
ตลอดเวลาที่ผ่านมาดูเหมือนว่านางจะมองข้ามความเป็นจริงของยุคโบราณที่ยังโหดร้ายมากกว่ายุคปัจจุบันขั้นหนึ่ง โลกอดีตแห่งนี้แบ่งชนชั้นวรรณะอย่างเด็ดขาด เงินตราและบารมีจึงมีอำนาจเหนือสิ่งอื่นใด ไม่เหมือนในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดที่ถึงแม้ผู้คนจะยกย่องเชิดชูคนรวย เหยียบย่ำรังแกคนจน แต่ยังมีกฎหมายและศีลธรรมเป็นดั่งหมวกใบใหญ่ที่สวมครอบอยู่บนศีรษะ
ในชนบทห่างไกล การควบคุมบังคับด้วยกฎหมายและศีลธรรมยิ่งหย่อนยาน อย่าว่าแต่หลิวกุ้ยผู้นั้นติดเงินคนอื่นจริงๆ ถึงได้เอาตัวน้องสาวไปใช้หนี้แทน แค่ว่ากันตามรูปโฉมของหลิวเซียงเซียง เว้นเสียแต่ว่านางไม่ก้าวเท้าออกจากเรือน ไม่เช่นนั้นช้าเร็วก็ต้องพานพบเรื่องพรรค์นี้อยู่ดี
สตรีในยุคโบราณหมายจะปกป้องตนเองเป็นเรื่องยากเย็นเข็ญใจ รูปโฉมธรรมดายังพอทำเนา ทว่าขอแค่มีความงามสองสามส่วน อีกทั้งฐานะยากจน คนใดเล่าจะหนีพ้นบททดสอบของโชคชะตาไปได้
หัวไหล่ถูกคนตบเบาๆ ทีหนึ่งกะทันหัน อี๋อวี้หันหน้าไปมองคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง แววสับสนเคว้งคว้างในดวงตานางยังไม่เลือนหายไป เพียงมองปราดเดียวก็จับความรู้สึกกระวนกระวายในใจนางได้
หลูจื้อถามอย่างฉงนใจน้อยๆ “เป็นอะไรไป”
อี๋อวี้ส่ายหน้า ไม่อาจบอกเขาได้ว่าจู่ๆ นางก็กระจ่างแจ้งในเรื่องบางเรื่องแล้ว แม้นไม่อยากขบคิดไปมากกว่านี้ แต่นางอดมิได้ที่จะพินิจพิจารณาทุกสิ่งรอบกายใหม่อีกครา พาให้อึดอัดคับข้องในอกเพราะเหตุนี้
“ขวัญเสียด้วยเรื่องเมื่อวานนี้หรือ”
นางพยักหน้าอย่างซื่อตรง รู้ว่าตนเองไม่ใช่แค่ตกใจเสียขวัญธรรมดาๆ นางไม่อาจไม่ยอมรับว่าก่อนหน้านี้นางมองโลกแห่งนี้ดีงามเกินไป จนขาดความตื่นตัวระวังภัย เพียงเพราะว่าความรักของครอบครัวที่หล่นลงมาจากฟ้า ก็ถูกความสุขท่วมทับจนหน้ามืดตามัว
“ไม่ต้องกลัว พี่ใหญ่ไม่ปล่อยให้เจ้าต้องประสบเรื่องพรรค์นี้หรอก”
เห็นแววจริงใจสุดจะเปรียบบนดวงหน้าอ่อนเยาว์ของหลูจื้อแล้ว นางขมขื่นใจระลอกหนึ่ง เด็กคนนี้ฉลาดรู้ความ แต่อย่างไรเขายังอายุน้อยไม่เคยออกไปผจญโลกภายนอก หลูซื่อก็ดูแลครอบครัวได้ดี ไม่ปล่อยให้ลูกๆ ต้องพบกับความลำบากอะไร ด้วยเหตุนี้เขาไม่เข้าใจด้านที่โหดร้ายของโลกที่ไม่เท่าเทียมกัน มีบางเรื่องใช่ว่าไม่อยากเจอแล้วจะหลีกเลี่ยงได้
ชีวิตในตอนนี้มีความสุขมาก แต่ถ้าอยากอยู่อย่างเป็นอิสระยิ่งขึ้นก็ต้องมีวิธีปกป้องตนเอง แล้วอำนาจกับเงินตราคือหนทางตรงที่สุด
พี่ใหญ่หลูจื้อต้องเข้าร่วมการสอบเข้ารับราชการแน่นอน ในราชวงศ์นี้ระบบการสอบได้พัฒนาไปอย่างสมบูรณ์พอสมควรแล้ว
เท่าที่นางรู้ ทุกปีราชสำนักจะจัดการสอบเข้ารับราชการชั้นสามัญ วิชาสอบแบ่งตามหัวข้อต่างๆ สิบกว่าประเภท ตั้งแต่หมิงจิงไปจนจิ้นซื่อ ซึ่งระดับจิ้นซื่อจะได้เป็นขุนนางในราชสำนักง่ายที่สุด
ผู้เข้าสอบรับราชการชั้นสามัญที่ส่งมายังสำนักปกครองยังแบ่งตามที่มาได้เป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเรียกว่าเซิงถู คือผู้เข้าร่วมสอบที่มาจากสำนักศึกษาในเมืองหลวงและเมืองต่างๆ กลุ่มที่สองเรียกว่าเซียงก้ง คือผู้เข้าร่วมสอบที่ไม่ได้มาจากสำนักศึกษา แต่ผ่านการสอบระดับเมืองและมณฑลมาแล้ว เซียงก้งซึ่งได้รับการเสนอชื่อจากกองการคัดเลือกให้เข้าร่วมการสอบที่ฉางอันได้โดยทั่วไปจะเรียกกันว่าจวี่เหริน สุดท้ายทั้งสองกลุ่มล้วนต้องเข้าร่วมการสอบของกรมพิธีการ หรือที่เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ชุนเหวย’ (การสอบฤดูใบไม้ผลิ) ซึ่งสำนักปกครองเป็นผู้จัดขึ้น
นายตำบลจางผู้นั้นเป็นจวี่เหรินในกลุ่มเซียงก้ง เพียงแต่สอบ ‘ชุนเหวย’ ที่ฉางอันไม่ผ่าน จึงหมดวาสนาได้เป็นขุนนางในราชสำนัก กระนั้นยังคงกลับสู่บ้านเดิมรับตำแหน่งเป็นนายตำบลได้
ลำพังแค่ดูจากตัวเขาก็มองออกได้ว่าในยุคนี้การสอบเข้ารับราชการเป็นทางหนึ่งที่จะลืมตาอ้าปากได้ง่ายดายปานนั้น เมื่อดูจากสภาพการณ์ของหลูจื้อในตอนนี้ หากเข้าร่วมสอบในอีกสี่ปีให้หลัง คงสอบผ่านได้เป็นจวี่เหรินอย่างสบายๆ สำหรับเรื่องได้เป็นใหญ่เป็นโตจากการสอบ ‘ชุนเหวย’ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ทว่าการจุนเจือผู้เข้าสอบรับราชการคนหนึ่งกลับทำได้ลำบากกว่าส่งเสียนักศึกษามหาวิทยาลัยสักคน เพราะแค่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ รัฐบาลก็ให้กู้เงินเพื่อการศึกษา แต่ถึงเรียนไม่ได้เรื่องขนาดไหนยังมีเงินทุนเงินบริจาคจากที่อื่นอีก ผิดกับยุคนี้ที่ต่อให้สอบผ่านระดับมณฑลแล้ว ไม่แน่ว่าจะได้รับเสนอชื่อให้เข้าร่วมการสอบ ‘ชุนเหวย’ ในเมืองหลวงเสมอไป ถึงระหว่างนั้นไม่ต้องใช้เงินติดสินบน ก็ต้องให้สินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ
อย่างเช่นครอบครัวของนางในตอนนี้ หลูซื่อมีวิชาความรู้ติดตัว ถึงประหยัดเงินที่ต้องส่งลูกเข้าสำนักศึกษาได้ก้อนหนึ่ง แม้ไม่ถึงขั้นส่งเสียหลูจื้อไม่ไหว แต่ก็ยากเย็นเข็ญใจพอดู
ความยากจนเป็นเหตุสินะ!
เพราะไม่มีเงิน ฉะนั้นหลิวเซียงเซียงถึงถูกพี่ชายแท้ๆ เอาไปใช้หนี้แทน
เพราะไม่มีเงิน ฉะนั้นภัยแล้งถึงทำให้ชาวนาที่ปลูกข้าวเลี้ยงชีพข่มตานอนไม่หลับ
เพราะไม่มีเงิน ฉะนั้นหลูซื่อถึงมีเวลาว่างก็ต้องปักผ้าไม่หยุด
เพราะไม่มีเงิน ฉะนั้นเสื้อผ้าชุดเดียวถึงเลาะแก้มาแล้วสี่ห้าหกครั้งก็ยังต้องใส่ต่อไป เนื้อชิ้นเดียวถึงทำให้คนทั้งครอบครัวกินอย่างตื่นเต้นไปได้หลายวัน…
นางคิดไปถึงพลังพิเศษของเลือดตนเองอีกครั้ง อันที่จริงการใช้ประโยชน์จากจุดนี้ให้ดีๆ โดยไม่ให้ถูกจับได้หาใช่เรื่องยากอะไร นางคิดแผนการไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนแรกตั้งใจว่าจะรอให้ตนเติบโตกว่านี้อีกหลายปี แต่เรื่องของหลิวเซียงเซียงเป็นเหมือนเกราะไม้เคาะสติให้นางต้องไตร่ตรองว่าจะทำเรื่องนี้เร็วขึ้นดีกว่าหรือไม่
ยามนั้นเองเสียงท้องร้องดังโครกครากขึ้น อี๋อวี้ถึงรู้ตัวว่าหิวแล้ว นางเงยหน้าขึ้นมองหลูจื้อที่จับจ้องหน้าผากตนเองอย่างเหม่อลอย ค่อยมองกลุ่มคนที่ยังไม่แยกย้ายกลับไปในลานเรือนแล้ว ถอนใจเฮือกลุกขึ้นไปหาของกินในห้องครัว
ขนมรังนกเมื่อเช้านี้ยังเหลืออีกลูกหนึ่ง นางเขย่งยืนบนปลายเท้าหยิบขนมรังนกในชามบนเตามาบิเป็นชิ้นเล็กๆ ส่งเข้าปากแล้วเคี้ยวกิน เมื่อคุ้นเคยกับความแห้งกระด้างเฉพาะตัวของขนมชนิดนี้แล้ว กลับรับรู้ถึงรสชาติที่หวานหอมอยู่บ้างของมันได้
ขณะที่นางกินขนมรังนกทีละคำเล็กๆ ตรงหน้าเตาอย่างใจลอย พลันมีเสียงเอ็ดอึงลอยมาจากในลานเรือนระลอกหนึ่ง นางขมวดคิ้วกลืนคำสุดท้ายลงไป ก่อนจะปัดเศษขนมที่ติดอยู่บนนิ้วออกแล้วแหวกม่านเดินออกไป
อี๋อวี้สาวเท้าไปถึงหน้าประตูเรือน เห็นคนในลานเพิ่มขึ้นหลายคน พวกเขาสวมชุดสีเทาแบบเดียวกัน เห็นชัดว่าไม่ใช่คนในหมู่บ้านนี้ สามคนนั้นกำลังทะเลาะกับจ้าวซื่อ พอเงี่ยหูฟังดีๆ แค่สองคำก็รู้ว่าพวกเขาเป็นคนที่เจิ้งลี่ส่งมารับตัวหลิวเซียงเซียง
จ้าวซื่อไม่ยินยอมเป็นธรรมดา ต่อให้พวกคนในหมู่บ้านมิได้รวบรวมเงินให้ นางก็คิดว่าถ่วงได้นานเท่าไหนก็เท่านั้น ในเมื่อตอนนี้คืนเงินได้แล้ว ย่อมไม่ยอมให้ใครมาพาตัวบุตรสาวไปแน่นอน ทั้งสองฝ่ายจึงทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นมาเพราะเหตุนี้
“ข้าบอกว่าจะคืนให้แล้วมิใช่หรือ พวกเจ้ารีบกลับไปซะ ข้าไม่ขายลูกสาวหรอก”
“ท่านป้า พวกข้าเป็นแค่คนที่ถูกคุณชายเจิ้งส่งมาทำงาน คืนเงินหรือไม่ พวกข้าจะตัดสินใจอะไรได้ อย่างไรพวกข้าต้องพาตัวแม่นางหลิวคนนี้ไปให้ได้ ท่านมีเรื่องใดก็ไปคุยกับคุณชายเจิ้งเองเถอะ อย่าทำให้บ่าวอย่างพวกข้าต้องลำบากใจเลย”
หนึ่งในชายชุดเทาที่มีถุงใต้ตาห้อยย้อยส่ายหน้าพลางกล่าวอย่างจนปัญญา จากนั้นเดินผ่านตัวจ้าวซื่อจะเข้าไปดึงตัวหลิวเซียงเซียงที่อยู่ข้างหลังนางมา กลับถูกจ้าวซื่อผลักออกไป เขาเซถอยหลังไปหลายก้าวถึงยืนทรงตัวนิ่ง ท่าทางสุภาพมีมารยาทก็แปรเปลี่ยนไปทันใด เขาถ่มน้ำลายลงพื้นคำหนึ่ง ก่อนจะตะโกนบอกอีกสองคนด้านหลัง “ลากตัวไป!”
ชาวบ้านสองสามคนที่ใจกล้าหน่อยเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ก็รีบเข้าไปขวางหน้าเอาไว้ บุรุษสองคนที่จะเข้าไปจับหลิวเซียงเซียงฝ่าด่านพวกเขาเข้าไปไม่ได้ แม้นพวกชายชาวนาไม่มีวิชายุทธ์ติดตัว แต่เรี่ยวแรงดี พวกเขาเจ็ดแปดคนตีวงล้อมสามคนนั้นไว้ อีกฝ่ายจะผลักจะดันอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยให้ผ่านเข้าไป
“นี่ทำอะไรกันอยู่ หลีกทางไปเดี๋ยวนี้!” ขณะที่สองฝ่ายประจันหน้ากันอยู่นี่เอง หลิวกุ้ยวิ่งตะโกนเสียงดังมาแต่ไกล ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ายังสวมไม่เรียบร้อย มองปราดเดียวก็รู้ว่าเพิ่งตื่นนอน
“ถอยไปๆ” หลิวกุ้ยเข้าไปในลานเรือนได้ก็ยื่นมือไปฉุดดึงตัวพวกผู้ชายหมู่บ้านเดียวกันออก พวกเขาเห็นท่าทางของเด็กหนุ่มแล้วนิ่งงันไปในทีแรก ต่อมาพากันถอยสองก้าวเปิดทางให้โดยไม่รู้ตัว สามคนนั้นรีบเร่งเบียดแทรกผ่านคนทั้งกลุ่มเข้าไป
“หลิวกุ้ย! ชาวบ้านที่นี่ช่างกล้าดีนักนะ จะรุมทุบตีพวกข้าหรือไร พวกข้าล้วนทำงานรับใช้คุณชายเจิ้ง เจ้าบอกข้ามาตามตรง จะให้พวกข้าพาตัวน้องสาวเจ้าผู้นี้ไปหรือไม่กันแน่ ถ้าไม่ให้ เช่นนั้นพวกข้าจะกลับไปเชิญคุณชายเจิ้งมารับนางด้วยตนเอง”
“แหะๆ อย่าพูดแบบนี้สิขอรับ สัญญาขายตัวของน้องสาวข้าน่ะเป็นสัญญาขายขาด วันหน้าตอนอยู่เป็นคนของคุณชายเจิ้ง ตอนตายก็เช่นกัน…ฮ่าๆ ใกล้วันปีใหม่แล้วพูดคำนี้จะไม่เป็นมงคลนะขอรับ” หลิวกุ้ยกล่าวอธิบายเสียงอ่อนๆ กับบุรุษถุงใต้ตาห้อยย้อยคนนั้น ไม่หลงเหลือท่าทางไร้ยางอายเมื่อคืนนี้ จากนั้นเขายังหันหน้าไปตะคอกใส่คนในลานเรือน “นี่ไม่มีงานทำกันแล้วรึ เที่ยงตะวันตรงหัวแล้วไม่อยู่เรือนกินข้าวดีๆ วิ่งออกมายุ่งเรื่องชาวบ้านกันหมด!”
คนที่ยืนอยู่ด้านข้างมองดูสีหน้าเขาที่แปรเปลี่ยนกลับไปกลับมาแล้วต่างเบิ่งตาค้างไปตามๆ กัน ชาวนานิสัยซื่อตรงเหล่านี้ไม่เคยเห็นคนที่ขายน้องสาวตนเองแล้วยังยืนอยู่อย่างหน้าไม่อายได้พรรค์นี้
จ้าวซื่อฟังคำพูดเขาแล้วโกรธจนแทบสิ้นสติไปแต่แรก ข้างฝ่ายหลิวเซียงเซียงกลับสงบนิ่งผิดธรรมดา นางยืนพยุงมารดาไว้พลางมองหน้าพี่ชายอย่างปึ่งชา
“เจ้าพูดจาอัปมงคลอะไรของเจ้า! พวกเพื่อนบ้านกำลังช่วยพวกเราอยู่ พอรวบรวมเงินได้ครบแล้ว ข้าจะไปไถ่สัญญาขายตัวของเซียงเซียงคืนมา อย่ามาพูดคำอัปมงคลอยู่ๆ ตายๆ อีก” จ้าวซื่อเค้นแรงเฮือกหนึ่งด่าทอบุตรชาย แต่ไม่บังเกิดผลดังใจหมายอย่างเห็นได้ชัด ด้วยหลิวกุ้ยผู้นั้นหาได้แยแสนางไม่ กลับหันไปกล่าวกับหลิวเซียงเซียง
“เซียงเซียง เจ้ารู้ว่าตั้งแต่เล็กข้าก็ดีต่อเจ้าไม่น้อย หลังจากท่านพ่อตายไป ข้าหาเงินเลี้ยงครอบครัวนี้คนเดียว ไม่เคยปล่อยให้เจ้าอดมื้อกินมื้อ แล้วเจ้าทนดูข้าถูกเขาลากไปตัดนิ้วต่อหน้าต่อตาได้ลงคอหรือ อยู่กับคุณชายเจิ้งมีอะไรไม่ดี ถึงจะเป็นบ่าว แต่เจ้าหน้าตาสะสวยแบบนี้ ยังต้องกลัวว่าเขาจะไม่ดีต่อเจ้าหรือ เจ้าชมชอบเครื่องประดับผมกับผงชาดมิใช่หรือ ขอแค่อยู่กับเขา ของพวกนี้วันหน้าเจ้าอยากได้เท่าไหร่ก็ย่อมได้”
หลิวเซียงเซียงไม่ตอบ หากแต่แววตาเย็นชาก่อนหน้านี้แฝงรอยทุกข์ใจระคนกังขาจางๆ
“หลิวกุ้ย!” จ้าวซื่อฟังแล้วทำหน้าบึ้งตึงฉับพลัน นางตะเบ็งเสียงขึ้นกะทันหัน “ข้าก็บอกแล้วว่าพอรวบรวมเงินครบแล้วจะไถ่สัญญาขายตัวกลับมา! น้องสาวเจ้าไม่มีวันไปเป็นบ่าวเป็นอนุให้พวกอันธพาลคนหนึ่ง เจ้าเลิกล่อลวงนางได้แล้ว!”
“ข้าล่อลวงนางที่ไหนกัน หรือว่าอยู่ในหมู่บ้านยากจนนี้ ออกเรือนไปกับเจ้าหนุ่มอ่อนต่อโลกที่ทำนาเป็นอย่างเดียวคือสิ่งที่ดีต่อนาง”
“เจ้า…หากเจ้ากล้าปล่อยให้พวกเขาเอาเซียงเซียงไปวันนี้ ข้าจะถือว่าไม่มีลูกอย่างเจ้า!”
หลิวกุ้ยมองจ้าวซื่อด้วยสายตาที่ปนเปไปด้วยความรู้สึกหลายหลาก เขาชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับปากแต่กลับไม่กล่าวอะไร เพียงถอยหลังสองก้าวบอกกับชายชุดเทาสามคนใกล้ตัว “รีบพาตัวไปเถอะ”
ทั้งสามสบตากันไปมา ยังกลัวว่าจะถูกคนรุมล้อมไว้อีก สุดท้ายบุรุษถุงใต้ตาห้อยย้อยทำเสียงจึกจักพลางมองหลิวกุ้ย เขาพูดกับจ้าวซื่อที่เอาตัวบังหลิวเซียงเซียงไว้ “ท่านป้า ข้าขอพูดสักคำให้ท่านเข้าใจแจ่มแจ้ง ลูกชายท่านไม่ได้ติดหนี้คุณชายเจิ้งเพียงยี่สิบก้วน พวกท่านรวบรวมให้ครบในชั่วประเดี๋ยวประด๋าวไม่ได้หรอก ให้พวกข้าพาคนไปแต่โดยดีเถอะ เกิดยั่วโทสะคุณชายเจิ้งเข้า เอาสัญญาขายตัวนั่นไปฟ้องร้องที่ว่าการอำเภอ เรื่องจะไม่ยุติโดยง่ายแค่พวกท่านเอาลูกสาวใช้หนี้แทน”
จ้าวซื่อได้ยินวาจาของเขาแล้วอึ้งงันไปทันที ชั่วอึดใจต่อมานางไต่ถามหลิวกุ้ยเสียงเครียด “จะ…เจ้าบอกมา…นี่มันเรื่องอะไรกันแน่! ไม่ใช่ยี่สิบก้วนหรือ ตกลงเจ้าติดหนี้คนอื่นเท่าไหร่กันแน่” กล่าวถึงคำสุดท้าย สุ้มเสียงของนางสั่นระริกจนยากจะระงับไว้ได้
ใบหน้าของหลิวกุ้ยฉายแววลุแก่โทษจางๆ ในที่สุด เขางึมงำบอกจำนวนเงิน จ้าวซื่อหูไวได้ยินแล้วเพียงรู้สึกหน้ามืดวูบหนึ่งแล้วหงายหลังล้มตึงไป กระทั่งหลิวเซียงเซียงข้างหลังนางซึ่งชะงักค้างอยู่กับที่เพราะตกใจคำพูดของพี่ชายก็ยื่นมือรับตัวมารดาไว้ไม่ทัน
หนิวซื่อมองอยู่ด้านข้าง ตั้งท่าจะพูดแทรกขึ้นหลายครั้งหลายหนทว่าข่มใจไว้ตลอด จวบจนจ้าวซื่อเป็นลมล้มลงก็อดรนทนไม่ไหวอีก นางสืบเท้าขึ้นหน้าสองก้าวสะบัดฝ่ามือตบหน้าหลิวกุ้ยฉาดหนึ่ง ซ้ำปรี่เข้าไปถ่มน้ำลายใส่หน้าเขาสุดแรงแล้วหันไปประคองจ้าวซื่อไว้
หลิวกุ้ยคงจะตกใจเพราะมารดาอยู่ก่อน ต่อมาถูกหนิวซื่อตบหน้าจนมึนงงอีก เขาได้แต่ยืนทื่ออยู่กับที่ไม่ไหวติง
หลูซื่อลุกลนเข้าไปช่วยกันกับหนิวซื่อพยุงจ้าวซื่อเข้าไปในเรือน ทิ้งคนทั้งกลุ่มมองหน้ากันไปมาอยู่ด้านนอก
อี๋อวี้ไม่ได้ยินจำนวนเงินที่หลิวกุ้ยบอก นางมองหลิวเซียงเซียงที่ยังยืนอยู่ที่เดิมอย่างงุนงงอยู่บ้าง เห็นอีกฝ่ายนิ่งอึ้งไปก่อนจะตกตะลึงพรึงเพริด ความขัดแย้งในใจที่เผยออกมาทางดวงหน้าน้อยๆ ที่งดงามนั่นในเวลานี้บีบคั้นหัวใจคนอย่างไรบอกไม่ถูก
ชาวบ้านทั้งหลายล้วนนิ่งตาค้างเมื่อเห็นจ้าวซื่อเป็นลมล้มลง จนกระทั่งบุรุษถุงใต้ตาห้อยย้อยก้าวเข้าไปลากตัวหลิวเซียงเซียงมาแล้วเตรียมตัวจะกลับ พวกเขาก็ยังดึงสติคืนมาไม่ได้
ด้านหลูจวิ้นถูกมารดายึดตัวไว้จนแผลงฤทธิ์ไม่ได้ก่อนหน้านี้ สะกดอารมณ์จนตาแดงก่ำอยู่นานแล้ว พอมองเห็น ‘คนชั่ว’ สองสามคนนั่นกำลังจะพาตัว ‘พี่เซียงเซียง’ ไปอีก เขาสบช่องตอนหลูจื้อไม่ทันระวัง กระโจนออกไปชนฝ่ายตรงข้ามเต็มแรงจนกระเด็นแล้วยืนขวางอยู่เบื้องหน้าเซียงเซียง
“ห้ามพาพี่เซียงเซียงไป เจ้าพวกคนชั่ว!”
เสียงตะโกนของหลูจวิ้นทำให้กลุ่มชาวบ้านที่ตะลึงงันอยู่ได้สติขึ้นมา กรูกันเข้าไปตีวงล้อมไว้อีกครั้ง ถึงจ้าวซื่อหมดสติไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็มองดูคนนอกพาเด็กสาวในหมู่บ้านไปต่อหน้าต่อหน้าไม่ได้
สองฝ่ายประจันหน้ากันเป็นคำรบที่สอง ชาวสกุลหลิวสามคนที่เป็นต้นเรื่อง คนหนึ่งเป็นลม คนหนึ่งไม่พูดจา คนหนึ่งเอาแต่ก้มหน้า
ทันใดนั้นบุรุษถุงใต้ตาห้อยย้อยล้วงของสิ่งหนึ่งจากอกเสื้อ ชาวบ้านที่ห้อมล้อมพวกเขาสามคนไว้ผงะไปข้างหลังสองก้าวทันควัน
อี๋อวี้หรี่ตามองผ่านกลุ่มคนเข้าไป เห็นเป็นกริชเล่มหนึ่งนั่นเอง แม้ดูท่าทางไม่คมกริบเท่าไร แต่อย่างไรก็เป็นอาวุธ ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านที่แทบจะไม่มีปัญญาซื้อกระทั่งมีดหั่นผักจึงพากันถอยหนี
ในสมัยโบราณที่ต่อสู้กันด้วยอาวุธมีคม สำหรับคนชนบทเหล่านี้ มีดเล็กๆ เล่มหนึ่งสร้างความอกสั่นขวัญผวาและสะพรึงกลัวได้อย่างง่ายดายไม่ต่างจากยามที่ผู้คนในยุคที่นางจากมาเผชิญหน้ากับปืน
“พอได้แล้ว ข้าจะไปกับพวกเจ้า”
เสียงกังวานใสของเซียงเซียงดังขึ้นฉับพลัน เป็นคราแรกที่อี๋อวี้ได้ยินนางพูด เมื่อมองนางอีกทีเพียงรู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้คลับคล้ายตัดสินใจอะไรได้แล้ว ใบหน้าของนางนิ่งสนิทเช่นก่อนหน้านี้ ไม่เหลือแววลังเลและขัดแย้งในใจอีก
หนิวซื่อก้าวออกมาจากเรือนได้ยินวาจานี้ของเด็กสาวพอดี นางอึ้งงันไปแล้วพูดเสียงดังอย่างร้อนรน “เซียงเซียง อย่าพูดจาเหลวไหลนะ!”
“ข้ามีสติดี ท่านป้าสะใภ้หนิว” หลิวเซียงเซียงกัดริมฝีปากล่าง มองหนิวซื่อแวบหนึ่งแล้วเอ่ยกับสามคนที่มารับตัวนาง “พวกท่านรอข้าครู่หนึ่ง ข้าฝากฝังเรื่องบางเรื่องแล้วจะไปกับพวกท่าน” กล่าวจบนางไม่รอให้พวกเขาตอบตกลงก็สาวเท้าไปหาหนิวซื่อ
หนิวซื่อรอนางเดินมาถึงตรงหน้า ฉวยข้อมือนางดึงเข้าไปในเรือน พร้อมเอื้อมมือมาคว้าตัวอี๋อวี้เข้าไปด้วย และเหวี่ยงปิดประตูดังปึ้ง หลูจวิ้นที่วิ่งเหยาะๆ มายังแทรกกายตามเข้าไปไม่ทัน
ทันทีที่ผ่านเข้าประตูมา นางลดสุ้มเสียงลงเอ็ดใส่หลิวเซียงเซียง “เจ้าเด็กโง่ ที่พูดไปเมื่อครู่นี้หมายความว่าอะไร”
อี๋อวี้เห็นหลิวเซียงเซียงสั่นศีรษะโดยที่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน นางค้อมกายต่ำคำนับให้หนิวซื่อ จากนั้นไม่รอให้อีกฝ่ายห้ามปราม หมุนกายไปคำนับให้หลูซื่อที่ดูแลมารดาตนเองอยู่ข้างเตียงด้วย
“ท่านน้าท่านป้าทั้งสอง เซียงเซียงขออภัยพวกท่านไว้ตรงนี้ อีกทั้งวันหน้ามีเรื่องใดเกิดขึ้นไหว้วานพวกท่านช่วยดูแลท่านแม่ข้าด้วยเจ้าค่ะ”
หลูซื่อได้ยินถ้อยคำที่หลิวเซียงเซียงพูดตอนอยู่ข้างนอกเช่นกัน นางนิ่งเงียบรับการคารวะของเด็กสาวแล้ว กล่าวทอดถอนใจอย่างจนปัญญา “เจ้าตรองดูดีแล้วหรือ”
หลิวเซียงเซียงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม หากแต่อี๋อวี้ตาไวมองเห็นมือของนางที่กำเป็นหมัดแน่นมิได้คลายออกนับแต่เข้ามาในเรือน
หลูซื่อถอนใจอีกเฮือกหนึ่ง เบือนหน้าไปอีกทางไม่พูดคำใดอีก
หลิวเซียงเซียงหมุนกายไปเอ่ยกับหนิวซื่อ “ท่านป้าสะใภ้หนิว ข้าคิดแจ่มแจ้งแล้วถึงได้พูดเช่นนี้ ท่านอย่าเกลี้ยกล่อมข้าอีกเลย ท่านเห็นข้าตั้งแต่เล็กจนโตย่อมรู้นิสัยข้าดี อีกอย่างคราวนี้พี่ชายข้าติดหนี้ก้อนใหญ่จริงๆ…” สุดท้ายนางบอกจำนวนเงินอย่างไม่เต็มเสียงนัก อี๋อวี้อยู่ใกล้ๆ ได้ยินแล้วเบิกตากว้างทันใด
พอฟังนางพูดจบ หนิวซื่อตะลึงค้างไปในทีแรก ต่อมาก็มองนางนิ่งๆ อยู่เนิ่นนานจวบจนขอบตาแดงเรื่อ ถึงค่อยๆ เบือนหน้าหนี ขานตอบเบาๆ คำหนึ่งแล้วไม่กล่าววาจาอีก
พวกนางตกอยู่ในความเงียบไม่ถึงครู่หนึ่ง เสียงเร่งของบุรุษถุงใต้ตาห้อยย้อยก็ดังขึ้นที่ลานด้านนอก หลิวเซียงเซียงเดินไปที่หน้าเตียง คุกเข่าให้จ้าวซื่อที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่บนนั้น โขกศีรษะกับพื้นสามทีดังตุบๆๆ แล้วลุกขึ้นเดินออกนอกประตูเรือนไป
อี๋อวี้ยืนอยู่ที่เดิม อาศัยแสงสว่างที่ส่องลอดช่องหน้าต่างข้างตัวเข้ามา มองเห็นรอยยิ้มขมขื่นบนใบหน้านางได้ชัดเจน
เสียงประตูถูกเปิดดังเอี๊ยด หลิวเซียงเซียงเหยียดแผ่นหลังตรง เดินตามชายชุดเทาสามคนนั้นออกจากลานเรือนเล็กๆ ของสกุลหลิวโดยมีสายตาของชาวบ้านมองตามไป
หลูจวิ้นเห็นเหตุการณ์เป็นแบบนี้ก็แตกตื่นทันควัน ทว่าเขาวิ่งออกไปไม่ถึงสองก้าวก็ถูกหลูจื้อซึ่งจับตาดูอยู่ด้านข้างยึดตัวไว้แล้ว
“พี่เซียงเซียง ท่านจะไปไหน!” เขาไม่กล้าออกแรงสะบัดมือหลูจื้อออก ได้แต่ตะโกนไล่หลังหลิวเซียงเซียงอย่างร้อนใจจนน้ำตาไหลออกมา
หลิวเซียงเซียงได้ยินเสียงร้องเรียกของเขา ร่างนางหยุดชะงักเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ หันกลับมา ทอดสายตามาที่ลานเรือน คล้ายว่ากำลังมองหาคนที่ส่งเสียงเรียกนางท่ามกลางหมู่ผู้คน แสงแดดยามบ่ายส่องกระทบดวงหน้าของนางจนดูพร่าเลือนไป ได้ยินเพียงเสียงกังวานใสของนางดังลอยมา “พี่เซียงเซียงจะไปมีชีวิตที่สุขสบาย หลูจวิ้นเจ้าอย่าลืมบอกท่านแม่ของพี่เซียงเซียงด้วยว่าพี่เซียงเซียงจะไปมีชีวิตที่สุขสบายแล้ว”
กล่าวจบนางก็จากไปโดยไม่เหลียวหลัง อี๋อวี้ยืนอยู่หน้ากระท่อมมองตามแผ่นหลังของนางที่ห่างไปไกลทุกทีๆ ด้วยจิตใจที่สับสนเคว้งคว้างไปหมด
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 พ.ย. 62)
Comments
comments
No tags for this post.