ทดลองอ่าน – บทที่ 7
หลังจากนั้นวันปีใหม่ซึ่งแต่เดิมอี๋อวี้ตั้งตารอคอยเป็นพิเศษผ่านพ้นไปอย่างราบเรียบ วันปีใหม่ของที่นี่ไม่เหมือนกับเมื่อชาติก่อนของนางเสียทีเดียว แม้มีธรรมเนียมแสนโบร่ำโบราณดุจเดียวกัน แต่ไม่เคร่งครัดพิถีพิถันอย่างที่นางนึกภาพไว้
นับตั้งแต่หลิวเซียงเซียงไปจากหมู่บ้านเค่าซาน หลูจวิ้นเซื่องซึมไปพักหนึ่ง ตอนที่อี๋อวี้มองดูเขาเศร้าสร้อยเพราะรักแรกของตนเอง มักอดไม่ได้ที่จะหวนประหวัดถึงแสงแดดยามบ่ายในวันนั้น รวมถึงคำฝากฝังที่เต็มไปด้วยความนัยคลุมเครือประโยคนั้นของหลิวเซียงเซียง
ทว่าเมื่อดอกอิ๋งชุนกิ่งแรกตรงปากทางเข้าหมู่บ้านแย้มบาน หลูจวิ้นก็กลับมาร่าเริงดังเก่า เด็กน้อยคงจะเป็นอย่างนี้เอง เสียใจได้ง่ายแล้วก็หายเป็นปกติได้ง่าย
เดือนสามตามจันทรคติ อากาศกลับมาอบอุ่นอีกครา มีหิมะตกลงมาครั้งเดียวตอนต้นปี วันที่หิมะละลาย อี๋อวี้หนาวจนตัวแข็งแทบลุกจากเตียงไม่ไหว ทำให้ถูกหลูจื้อกระเซ้าด้วยเรื่องนี้ไม่เว้นวาย
สถานการณ์ทางนาข้าวเป็นไปด้วยดีมาก ชาวหมู่บ้านเค่าซานส่วนใหญ่จะปลูกข้าวสาลีฤดูใบไม้ผลิ โดยจะหว่านเมล็ดตอนปลายฤดูใบไม้ร่วง และเก็บเกี่ยวในปลายฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นอีกสองเดือนข้างหน้าจะถึงเวลาเก็บเกี่ยวพืชผลอีกแล้ว
อี๋อวี้นึกขึ้นได้ว่าตนเองข้ามภพมาในช่วงนี้ของปีที่แล้ว นางอยู่ที่นี่ครบหนึ่งปีโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยหรือนี่ เรื่องที่แต่ก่อนไม่กล้าคิดฝันเกิดขึ้นกับตัวนางไม่หยุดหย่อน ส่งผลให้นางสะทกสะท้อนใจกับสิ่งที่ประสบพบเจออย่างช่วยไม่ได้
ท้ายที่สุดนางยังไม่ได้ดำเนินแผนการใช้สรรพคุณวิเศษจากเลือดสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้ครอบครัวเร็วขึ้น โดยหาข้ออ้างที่มีเหตุผลน่าฟังโน้มน้าวใจตนเอง ถือเสียว่าอยากรอให้เป็นผู้ใหญ่กว่านี้อีกหลายๆ ปีถึงจะลงมือทำได้สะดวก ส่วนเหตุผลอื่นๆ กลับถูกนางซ่อนไว้อยู่ในใจลึกๆ
อี๋อวี้หาได้รู้ไม่ว่าการตัดสินนี้ของนางได้ช่วยชีวิตตนเองเอาไว้ เนื่องจากความผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจในตอนย้อนเวลาสู่อดีตทำให้นางมีพลังอันนี้ แต่ใช่ว่ามันจะเป็นเรื่องดีเสมอไป เดิมทีในวันนั้นที่นางเจาะเลือดสิบกว่าหยดในคราวเดียวเพื่อแก้ไขภัยแล้งก็เกือบมีอันเป็นไปแล้ว ถ้าหลายปีนี้นางยังบุ่มบ่ามเอาเลือดออกมาใช้จำนวนมาก จะต้องจบชีวิตอีกครั้งแน่นอน ซึ่งนี่จะเป็นเรื่องราวต่อไปในภายหลัง
ทว่าหลังจากวันปีใหม่ อี๋อวี้ยังชวนหลูจวิ้นไปที่ภูเขาด้านหลังเป็นเพื่อน แล้วสบช่องที่เขาไม่ทันสังเกตใช้เลือดที่ผสมน้ำให้เจือจางรดต้นซานจาสิบกว่าต้น เพราะถ้าแอบใช้พลังพิเศษกับที่อื่นจะสะดุดตาเกินไป ต้นซานจานี้ได้รับเลือดของนางไปจนออกผลสองครั้งในปีเดียวมาแล้ว ตอนนี้จะให้ออกสามสี่ครั้งก็ไม่สร้างความแปลกใจให้หลูซื่อมากไปกว่านี้
ก่อนฤดูร้อนจะมาเยือน อี๋อวี้มีโอกาสได้เดินทางไกลในที่สุด หลูซื่อตั้งใจจะไปที่อำเภอขายงานฝีมือที่ทำจากเนื้อผ้าชั้นดีและปักด้วยลวดลายละเอียด ไม่รู้เหตุใดถึงได้คิดจะพาอี๋อวี้ไปด้วย
ธรรมดาหลูจวิ้นได้ยินว่าออกไปข้างนอกก็ชอบขอติดตามไป แต่พักก่อนเขาได้ไปขายถังหูลู่ถึงที่อำเภอชิงหยางบ่อยๆ หนนี้เลยมิได้ร่ำร้องขอไปด้วย
ด้วยเหตุนี้รุ่งสางของวันหนึ่งในปลายเดือนห้า มาตรว่าหลูซื่อไม่ได้ตื่นขึ้นมาเตรียมตัวตั้งแต่ยามอิ๋นเช่นเดียวกับช่วงหลายวันนั้นที่ไปขายปิงถังหูลู่ แต่ยังลุกจากเตียงตอนเสียงไก่ขันแรก พอแต่งตัวเรียบร้อยถึงสวมเสื้อผ้าให้อี๋อวี้ที่ยังนอนหลับงัวเงียอยู่ จนกระทั่งอุ้มนางขึ้นเกวียนที่หลูจวิ้นเทียมวัวไว้ให้แล้วออกจากเรือนไปก็ไม่ได้ปลุกนางให้ตื่น
อี๋อวี้ตื่นขึ้นกลางทางเพราะแรงสะเทือน วัวเทียมเกวียนวิ่งได้ไม่เร็วนัก หลูซื่ออยากไปให้ถึงตัวอำเภอเร็วขึ้น ก็หวดแส้ในมือไปที่ตัวมันเบาๆ สองที แม้นไม่ถึงกับเจ็บ แต่ทำให้มันเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นบ้าง ต่อให้อี๋อวี้ซุกอยู่อ้อมแขนของนางยังรู้สึกถึงความโคลงเคลงระลอกหนึ่งได้
“ท่านแม่ ถึงหรือยังเจ้าคะ” นางลืมตาขึ้น เงยหน้าขึ้นเห็นแต่ปลายคางขาวผ่องของหลูซื่อ
“ยังเลย ยังง่วงอยู่หรือไม่”
เสียงก้องกังวานของหลูซื่อดังอยู่เหนือศีรษะ ด้านหลังมีกลิ่นหอมอบอุ่นเฉพาะตัวมารดา นางเอาหัวถูไถกับอกของหลูซื่อ พร้อมเอ่ยเสียงออดอ้อน “ไม่ง่วงแล้ว โคลงเคลงจะแย่ นอนไม่หลับเจ้าค่ะ”
หลูซื่อลูบหัวของเด็กน้อย พูดกลั้วเสียงหัวเราะแผ่วๆ “พี่รองของเจ้าบอกว่าวันหน้ามีความสามารถแล้วจะซื้อรถม้าให้เจ้ามิใช่หรือ กลับไปเร่งเขาสิ”
อี๋อวี้ส่งเสียงหัวร่อทันที เมื่อนึกไปถึง ‘สัญญาไร้ราคา’ มากมายก่ายกองของพี่รองตน
หลูซื่อหยิบเสบียงกับถุงน้ำที่เตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าออกมา ทั้งคู่กินไปคุยไปจนเวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วยามเศษ จึงมาถึงหน้าประตูอำเภอชิงหยาง
หลูซื่อบังคับเกวียนเทียมวัวให้แล่นเข้าไป ตอนเข้าประตูยังต้องจ่ายค่าผ่านทางห้าอีแปะสำหรับวัวตัวนี้ อี๋อวี้ถึงได้รู้ว่ามีการเก็บเงินค่าเข้าเมืองด้วย แม้แต่เด็กตัวกระจ้อยร่อยอย่างนางก็ต้องจ่ายห้าอีแปะถึงยอมให้พาเข้าไปได้
เมื่อเข้าเมืองไปแล้ว หลูซื่อลงจากเกวียนเดินไปจูงวัวข้างหน้า ส่วนอี๋อวี้ซึ่งนั่งอยู่บนเกวียนดังเดิมมองสำรวจทุกสิ่งเบื้องหน้าสายตาอย่างสนใจใคร่รู้
ประตูเมืองหันหน้าไปทางถนนที่กว้างขวางพอให้เดินได้สิบคนสายหนึ่ง ตรงกลางปูพื้นด้วยแผ่นหินตลอดทั้งสายกินเนื้อที่หนึ่งในสามของถนน ส่วนที่เหลือล้วนเป็นพื้นดินที่ถูกคนเดินย่ำผ่านไปมาจนราบเรียบ
สองข้างทางเป็นร้านรวงเรียงรายกันไป โดยมากเป็นเรือนชั้นเดียวสลับกับเรือนสูงสองชั้นประปรายที่ก่อสร้างด้วยหินและไม้ ทว่าตัวเรือนภายนอกงดงามประณีตกว่าที่ตำบลจางหลายส่วน จุดที่กรุด้วยไม้จะทาเป็นสีแดงเข้มทั้งหมด ส่วนที่เป็นหินก็พิถีพิถันเช่นกัน ผนังกำแพงทุกหนแห่งล้วนใช้ก้อนหินขนาดเท่ากัน ไม่มีก้อนใดยื่นออกมาให้เห็น
ร้านค้าเหล่านี้เปิดประตูรับลูกค้าแล้ว มีป้ายร้านทุกรูปแบบแขวนอยู่บนคานประตู ชื่อร้านก็สะดุดตาอ่านง่าย เช่นว่าพวกร้านขายผ้าล้วนตั้งชื่อว่า ‘ร้านขายผ้า…’ พวกร้านขายธัญพืชก็ตั้งว่า ‘ร้านธัญพืช…’
เมื่อเลียบเลาะไปตามถนนหลักของอำเภอชิงหยางสายนี้ ยิ่งตรงไปข้างหน้ายิ่งมีผู้คนสัญจรไปมามากขึ้น อี๋อวี้มองสำรวจร้านค้าต่างๆ อย่างละเอียด พร้อมทั้งชำเลืองมองเครื่องแต่งกายของคนรอบตัว
เปรียบเทียบกับคนในหมู่บ้านเค่าซานและตำบลจางแล้ว ผู้คนที่นี่สวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ดีกว่ามิใช่แค่ระดับเดียว สตรีสวมเสื้อคลุมป้ายข้างตัวสั้นกับกระโปรงตามแบบฉบับของยุคนี้ เรือนผมเป็นมวยม้วนขดซ้อน ประดับด้วยปิ่นสองขาฝังหยกเขียวและห่วงหยก บุรุษสวมเสื้อคลุมยาวรัดสายคาดเอวทำจากหนัง ใส่หมวกผ้าโปร่งสีเข้มหลากหลายแบบ และรองเท้าทรงสูงถึงน่องหรือรองเท้าผ้า
ผิดแผกจากชายหญิงชาวชนบทที่ไม่ว่าอย่างไรก็สลัดท่าทางเงอะงะขลาดอายที่ติดตัวอยู่ไม่หลุด คนในเมืองนี้แต่ละคนอกผายไหล่ผึ่ง โดยเฉพาะยามที่มองหญิงชาวนาที่มาจากต่างถิ่นอย่างเห็นได้ชัดเช่นหลูซื่อ ราวกับว่าบนหน้าพวกเขาจะฉายแววเย่อหยิ่งระคนดูแคลนเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน
อี๋อวี้ลอบเบ้ปาก คิดอยู่ในใจว่าถ้าตัวตนแท้จริงของนางเป็นเด็กบ้านนอกมาแต่เดิมก็คงจะประหม่าจริงๆ แต่วิญญาณข้างในตัวนางเคยมีชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบันที่วิทยาการก้าวหน้าและพรั่งพร้อมทางวัตถุมายี่สิบปี แม้ว่าฐานะไม่ร่ำรวยอะไร หากว่ากันถึงเรื่องหูตากว้างไกล อย่าว่าแต่คนที่นี่ ต่อให้ในเมืองหลวงฉางอัน เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่จะเทียบคนที่ข้ามมิติมาอย่างนางได้ติด
ถนนสายนี้ยาวมากจริงๆ มุ่งหน้าตรงไปอีกสิบกว่าจั้งจนเหลียวหลังไปมองเห็นประตูเมืองไม่ชัดแล้ว เบื้องหน้ากลับยังไม่ถึงสุดทาง พอถึงทางแยกที่เท่าไหร่ก็สุดรู้ หลูซื่อไม่ตรงไปข้างหน้าต่อ นางหันหัววัวเลี้ยวเข้าถนนที่ตัดออกไปทางตะวันออก
เมื่อเข้าสู่ถนนเล็กสายนี้ ทางก็เริ่มแคบลง หลูซื่อพยายามจูงวัวให้ชิดริมทางเต็มที่แล้วยังยึดที่ไปเกินครึ่ง สร้างความไม่พึงใจให้คนอื่นๆ บนถนน มีคนไม่น้อยมองมาที่พวกนางแม่ลูกด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
หลูซื่อเดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่เหลือบแลซ้ายขวา และหยุดลงที่หน้าร้านแห่งหนึ่งซึ่งแขวนป้ายว่า ‘ร้านขายผ้าหนีอวิ๋น’ นางปลดสายบังเหียนที่คล้องคอวัวออกมามัดไว้กับต้นชิงหยางขนาดใหญ่หนึ่งคนโอบตรงหน้าร้าน จากนั้นคว้าถุงสะพายขึ้นพาดไหล่แล้วอุ้มอี๋อวี้ลงมาจากเกวียน
“ท่านแม่ ข้าเดินเองเจ้าค่ะ” อี๋อวี้ดิ้นขลุกขลักในวงแขนมารดาสองทีแล้วกล่าวขึ้น
หลูซื่อไม่คัดค้าน วางตัวนางลงพื้นแล้วจับจูงมือเล็กๆ เข้าไปในร้านขายผ้าหนีอวิ๋น
ผ่านเข้าประตูไปก็เห็นโต๊ะหน้าร้านทำจากไม้สีน้ำตาลสูงครึ่งตัวคนตัวหนึ่งตั้งริมผนัง ด้านหลังมีบุรุษคิ้วดกหน้าเหลี่ยมผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาถือไม้วัดอยู่ในมือกำลังวัดอาภรณ์สีน้ำเงินอมม่วงที่วางแผ่อยู่บนโต๊ะ
“หลงจู๊หลี่” หลูซื่อเดินเข้าไปแล้วหยุดยืนห่างจากโต๊ะสองก้าวพร้อมส่งเสียงเรียก
หลงจู๊หลี่เงยหน้าเห็นว่าเป็นหลูซื่อก็อ้าปากกล่าวทักทาย “อ๊ะ แม่นางหลูมาแล้วหรือ”
หลูซื่อพยักหน้ายิ้มๆ สืบเท้าขึ้นหน้าอีกก้าว ปลดถุงสัมภาระบนไหล่ลงวางบนมุมที่ว่างอยู่บนโต๊ะแล้วคลายเชือกรัดปากถุงออก ส่วนหลงจู๊หลี่ยื่นมือมารื้อดูของในนั้น
อี๋อวี้ยืนอยู่ด้านข้างมองสำรวจเครื่องตกแต่งภายในร้านอย่างเบื่อหน่ายอยู่บ้าง เห็นตรงที่ว่างทางซ้ายของโต๊ะหน้าร้านตั้งโต๊ะเตี้ยๆ อยู่สี่ห้าตัว แต่ละตัวยาวครึ่งจั้ง บนนั้นมีชุดเสื้อผ้าที่พับอย่างเรียบร้อยวางเรียงซ้อนกันเป็นตั้งๆ บ้างก็คลี่แผ่อยู่ ยังมีโต๊ะตัวหนึ่งในนั้นที่วางพวกเครื่องประดับกายชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่งามประณีต เช่นถุงแพร และสายคาดเอวฝังหยก เป็นต้น
หลูซื่อรู้จักกับหลงจู๊หลี่ตอนขายถังหูลู่เมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีกลาย ยามนั้นนางตะโกนขายของอยู่ริมถนน ส่วนเขากำลังซื้อของให้บุตรชายอยู่ เห็นลายปักละเอียดงดงามบนเสื้อของหลูจวิ้น หลังจากถามไถ่แล้วก็ชักชวนหลูซื่อมาทำการค้านี้ด้วยกัน เขารับซื้องานฝีมือผ้าปักของนาง บางครั้งยังจ้างนางทำพวกของชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ยามที่ลูกค้าซึ่งดูท่าทางเป็นแม่ลูกกันคู่หนึ่งก้าวเข้ามา อี๋อวี้กำลังมองกระโปรงสีทับทิมที่วางแสดงบนโต๊ะตัวหนึ่ง จึงไม่ได้สังเกตเห็นสายตาเหยียดหยามตอนที่เด็กหญิงวัยเจ็ดแปดขวบคนนั้นปรายตามองมาทางมารดาของตน
แม่นางน้อยเห็นท่าทาง ‘เร่อร่า’ ของอี๋อวี้แล้ว ทำปากยื่นกระตุกมือมารดาทีหนึ่งพร้อมพูด “ท่านแม่ พวกเราอย่าซื้อที่นี่เลยเจ้าค่ะ”
“ไฉนยังไม่ได้ดูก็จะไปแล้ว ไม่ถูกใจที่นี่หรือ”
แม่นางน้อยส่ายหน้า ปรายตามองอี๋อวี้กับมารดาอีกแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “ก็ข้าไม่อยากอยู่ในนี้นี่เจ้าคะ”
อี๋อวี้ได้ยินเสียงเล็กใสแฝงแง่งอนนี้แต่ต้น พอได้ยินบทสนทนาของพวกนาง และเห็นแววตาที่แม่นางน้อยมองมา ไหนเลยจะไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอะไร นี่คงเพราะขัดหูขัดตาพวกนางสินะ
“ท่านทั้งสองต้องการซื้ออะไร เชิญเข้ามาดูข้างในสิขอรับ ชุดเสื้อผ้าในร้านเล็กๆ ของข้านี้ส่วนใหญ่ทำจากผ้าต่วนหลากสีและปักลายด้วยหญิงปักผ้าฝีมือดี หากอยากได้แบบอื่น ท่านยังสามารถวัดตัวและบอกที่ตั้งเรือนเอาไว้ รอเมื่อทำเสร็จแล้ว พวกข้าจะนำไปส่งให้ถึงประตูขอรับ”
หลูซื่อต่อรองราคาอยู่กับหลงจู๊หลี่ เห็นเขาพลันหยุดกลางคัน หันไปทักทายลูกค้าทางด้านหลังก็ไม่มีน้ำโห นางเห็นแม่ลูกคู่หนึ่งที่แต่งกายงามหรูยืนมองตนเองอยู่ตรงหน้าประตู ถ้าจะพูดให้ถูกต้องคือมองนางแล้วก็มองบุตรสาวของนาง
นางเลิกคิ้วนิดเดียวจนแทบสังเกตไม่เห็น จากนั้นหันหน้าไปพูดกับหลงจู๊หลี่ “ท่านต้อนรับลูกค้าก่อนเถอะ ข้ารอประเดี๋ยวหนึ่งก็ได้” ว่าแล้วก็จูงอี๋อวี้เดินเบี่ยงไปด้านข้างสองก้าวหลีกทางให้
เขาพยักหน้าแล้วก้าวออกจากด้านหลังโต๊ะไปต้อนรับแม่ลูกคู่นั้น เชิญพวกนางมาที่หน้าโต๊ะตัวเตี้ยพวกนั้นและแนะนำไปทีละอย่าง
แม่นางน้อยคนนั้นไม่อ้าปากบอกว่าจะออกไปอีก พวกนางดูอยู่พักหนึ่ง เลือกได้สองสามชุดแล้วไปจ่ายเงินที่โต๊ะหน้าร้าน พอสองคนนั้นเดินไปถึงหน้าประตู อี๋อวี้ถึงได้ยินเสียงเล็กใสนั่นอีกครา
“พวกบ้านนอกคอกนา น่ารังเกียจจริงๆ” คำเรียกนี้ไม่ได้หมายถึงแค่ชาวชนบท โดยมากกลับพูดถึงคนที่หยาบคายไร้การศึกษาและน่ารังเกียจเดียดฉันท์ ในยุคโบราณนี้ก็เป็นคำที่แฝงนัยดูหมิ่นไว้ด้วยอย่างโจ่งแจ้ง
หลูซื่อหน้าเปลี่ยนสี อี๋อวี้ขมวดคิ้ว กระทั่งหลงจู๊หลี่ก็วางหน้าไม่ค่อยจะถูก จนพวกนางเดินห่างไปไกลแล้วถึงกล่าวกับหลูซื่อด้วยน้ำเสียงเจือรอยขอลุแก่โทษจางๆ “แม่นางหลู ตกลงตามราคาที่ท่านบอกเมื่อครู่เถอะ ข้าหยิบเงินให้ท่านนะ”
กล่าวจบเขาหลบตานาง หมุนกายไปหยิบเงินเหรียญออกมาหลายพวง และนับต่อหน้านาง ก่อนจะผลักทั้งกองไปให้ หลูซื่อเก็บเงินขึ้นโดยไม่เปล่งวาจาใด จากนั้นกล่าวอำลากับเขาแล้วพาบุตรสาวกลับไป
อี๋อวี้ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องเมื่อครู่นี้ สมัยที่นางเป็นเด็กกำพร้าถูกคนมองด้วยสายตาเหยียดหยามมามาก สำหรับนางแล้วระดับแค่นี้ยังเทียบชั้นกันไม่ได้ เพียงแต่พอนางเห็นสีหน้าฝืดเฝื่อนอยู่บ้างของหลูซื่อ ก็ลอบทุกข์ใจและสงสารอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากอยู่ด้วยกันมานานปานนี้ นางพอจะคาดคะเนได้เลาๆ แล้วว่าก่อนหน้านี้ไม่ว่าอยู่ที่สกุลเดิมหรือในตระกูลของสามี สภาพความเป็นอยู่ของหลูซื่อต้องไม่เลวเป็นแน่ ถึงแม้นางเป็นชาวนามาหลายปี ทว่าจากที่เคยฟุ่มเฟือยต้องมาประหยัดมัธยัสถ์ย่อมเป็นเรื่องที่ยากกว่า นับดูแล้วนางใช้ชีวิตอย่างลำบากยากจนนานกว่าตนเองแค่สี่ห้าปี ต่อให้ปรับตัวได้ ภายในใจคงจะหวนนึกถึงชีวิตที่หรูหราสุขสบายในอดีต ตอนอยู่ในชนบทยังไม่เท่าไหร่ แต่พอเข้าเมืองถูกคนมองด้วยสายตาดูถูก นางต้องอึดอัดคับข้องใจแน่นอน
อี๋อวี้อยากปลอบใจนาง แต่ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี ทำได้แค่ชี้นิ้วไปที่สิ่งของแปลกใหม่บนถนนพลางเซ้าซี้ถามโน่นถามนี่เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ กระนั้นกลับไม่เป็นผลเท่าไรนัก
ยามสองแม่ลูกออกจากเมืองเป็นเวลาเที่ยงแล้ว ตอนเช้าพวกนางแค่กินเสบียงไปบ้าง จึงเริ่มท้องร้องด้วยความหิว ดีที่ก่อนออกมา หลูซื่อซื้อหมั่นโถวติดมาด้วยสองลูก กินแกล้มกับน้ำสะอาดที่เหลืออยู่ครึ่งถุง ก็พอถูๆ ไถๆ รองท้องได้
ในอำเภอชิงหยางนี้ข้าวของราคาแพง บะหมี่ชามหนึ่งหรือหมั่นโถวลูกหนึ่งล้วนต้องมีสามอีแปะ และเพราะเกิดเรื่องชวนให้ไม่สบอารมณ์ในร้านขายผ้าหนีอวิ๋น ตอนหลังหลูซื่อหมดแก่ใจจะพาอี๋อวี้เดินเที่ยวในเมืองต่อ เพียงซื้อของใช้จำเป็นจิปาถะแล้วก็ขี่เกวียนพานางกลับ
อี๋อวี้นั่งบนเกวียนกินหมั่นโถวสีออกเหลืองนวลๆ โดยไม่พูดจาสักคำ ความแช่มชื่นเบิกบานตอนขามาเมื่อเช้าอันตรธานไปสิ้น พอนึกถึงว่าตั้งแต่เข้าเมืองไปก็ถูกคนจับจ้องด้วยสายตาอคติ แม้นางไม่เก็บใส่ใจ แต่จะบอกว่าไม่สนใจแม้สักนิดคงเป็นคำเท็จ โดยเฉพาะเมื่อคิดไปว่าหลูซื่ออาจไม่ชอบใจเพราะเหตุนี้ นางยิ่งไม่สบายใจมากขึ้น
ขณะที่นางลอบพินิจสีหน้าของหลูซื่อ หลูซื่อก็ชายตามองนางเป็นระยะๆ ครั้นเห็นมารดาทำท่าจะพูดก็ไม่พูด อี๋อวี้อยากจะเอ่ยปากปลอบใจ แต่รู้ว่ามีบางคำพูดไม่เหมาะกับอายุของตนเองในตอนนี้ ดังนั้นทั้งคู่ต่างนิ่งเงียบไปเกินครึ่งทาง จวบจนเข้าสู่ป่าโปร่งผืนหนึ่ง หลูซื่อก็อ้าปากถามนางเสียงเนิบๆ ในที่สุด
“อวี้เอ๋อร์รู้สึกว่าในเมืองไม่ค่อยดีใช่หรือไม่”
อี๋อวี้รอนางเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อนอยู่แล้ว จึงรีบเร่งกล่าวตอบตามสัตย์จริง “อื้อ”
“ใช่หรือไม่ว่าถูกคนอื่นมองแบบนั้นแล้วในใจเป็นทุกข์”
นางไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของหลูซื่อเช่นไร หรือจะบอกว่าที่นางเป็นทุกข์ไม่ใช่เพราะสายตาคนอื่น หากแต่กลัวมารดาเสียใจเมื่อหวนคิดถึงชีวิตในอดีต
“เจ้าลูกคนนี้ ทุกครั้งแม่ถามเจ้าอย่างจริงจัง เจ้าล้วนไม่พูดตอบ ต้องให้แม่หยั่งเดาจิตใจของเจ้า กลับคล้าย…” เสียงพูดของหลูซื่อหยุดชะงักไปกะทันหัน อี๋อวี้เลิกคิ้วขึ้น พอจะเดาได้รางๆ ว่าประโยคหลังที่นางกล่าวไม่จบคืออะไร
“เฮ้อ แม่รู้ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องรู้สึกเป็นทุกข์ ครั้งแรกที่พาพี่รองของเจ้ามา เขายังทะเลาะกับคนอื่นด้วย ตอนนั้น…”
หลูซื่อหันเหหัวข้อสนทนาไปที่หลูจวิ้น เอ่ยเล่าด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆ ถึงเรื่องที่หลูจวิ้นมีปากเสียงกับคนอื่น เพราะวาจาระคายหูเหยียดหยามคนชนบทคำเดียวในตอนที่นางพาเขาเข้าเมืองเป็นครั้งแรก
“คนในเมืองพวกนั้นดูถูกคนชนบทอย่างพวกเราก็นับเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เจ้าอย่าได้ทุกข์ใจเพราะมันเลย พวกเราทำมาหากินอย่างสุจริตเป็นพอ ไม่ต้องไปใส่ใจสายตาของผู้อื่น” หลูซื่อพูดจบแล้วมองอี๋อวี้ด้วยแววตาเคว้งคว้างอยู่บ้าง
อี๋อวี้เห็นว่าแม้มารดาจ้องมองตนเองอยู่ ทว่าดวงตาทั้งคู่เลื่อนลอยขึ้นทีละน้อยก็ชักตระหนกในใจ กลับได้ยินนางพึมพำกับตนเอง “ถ้ามิใช่…พวกเจ้าพี่น้องคงไม่ถูกคนดูแคลน…”
เสียงของนางเบามาก ทั้งยังขาดเป็นห้วงๆ อี๋อวี้ได้ยินแค่ถ้อยคำหนึ่งที่นางพูดซ้ำไปซ้ำมาตอนท้ายคลับคล้ายจะเป็นคำว่า ‘ถูกๆ ผิดๆ’ อะไรสักอย่าง บันดาลให้ข้อกังขาที่ทับถมอยู่ในหัวตั้งแต่เมื่อครึ่งค่อนปีก่อนผุดขึ้นมาอีกครั้ง
นางพยายามสะกดความกระหายใคร่รู้ความจริงเอาไว้ หลังจากปรับตัวเข้ากับครอบครัวนี้ได้แล้วมีเรื่องเดียวที่นางรู้สึกเสียดายตราบจนทุกวันนี้จริงๆ ก็คือเรื่องที่ดูเหมือนทุกคนรู้กันหมดยกเว้นแต่นางคนเดียวเรื่องนี้
ถึงกระนั้นนางจะทำให้หลูซื่อต้องเสียใจเพราะความอยากรู้อยากเห็นของตนไม่ได้ มารดากับพี่ชายสองคนต่างพยายามปิดบังนางเรื่องนี้อย่างสุดความสามารถ ในเมื่อพวกเขาไม่อยากให้นางรู้ เช่นนั้นนางจะทำให้คนในครอบครัวต้องกลัดกลุ้มใจมากขึ้นเปล่าๆ ปลี้ๆ ไม่ได้
ต่อให้ทุกคนมี ‘ความลับ’ ระหว่างกัน ถึงที่สุดแล้วทุกคนยังคงเป็นคนในครอบครัวที่ใกล้ชิดกันมากที่สุด
เกวียนเทียมวัวแล่นผ่านทางขรุขระจุดหนึ่งพอดี ร่างของทั้งคู่สะเทือนวูบหนึ่ง คนหนึ่งเงยหน้า คนหนึ่งดึงสติคืนมา สายตาของพวกนางสบประสานกันอีกครั้ง
สีหน้าของหลูซื่อค่อยๆ อ่อนละมุนลง มือหนึ่งดึงสายบังเหียนบนตัววัว มือหนึ่งลูบผมบุตรสาวเบาๆ พร้อมกล่าว “ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ ก็คิดถึงเรื่องในอดีต แม้เจ้ายังเป็นเด็ก อีกทั้งสมองไม่ปกติอยู่หลายปี แม่ยังรู้สึกอยู่ไม่วายว่าดูคล้ายเจ้ามีอะไรบางอย่างผิดแผกจากผู้อื่น เจ้าฉลาดเทียบจื้อเอ๋อร์ไม่ได้ แล้วก็ไม่ร่าเริงเท่าจวิ้นเอ๋อร์ แต่บางครั้งกลับเหมือนเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อยเสียยิ่งกว่าพี่ใหญ่เจ้าเสียอีก”
อี๋อวี้ฟังนางพูดจบแล้วก็อึ้งงันไปในทีแรก ต่อมาจึงส่งยิ้มอ่อนหวานให้นางแล้วเอ่ยขึ้น “เสี่ยวอวี้แค่รู้สึกว่าสมองตนเองเข้าใจทุกอย่างดี แต่ไม่ได้เป็นหนอนหนังสืออย่างพี่ใหญ่ที่ทำตัวเหมือนตาเฒ่าคนหนึ่งหรอกนะเจ้าคะ”
นางรู้ว่าการกลบเกลื่อนกิริยาอาการบางอย่างของตนเองที่ผ่านมาต้องทำให้หลูซื่อเฉลียวใจเป็นแน่ จึงไม่เคยคิดจะแสร้งทำเป็นเด็กน้อยที่ใสซื่อไม่รู้ประสีประสา ในเมื่อหลูซื่อเอ่ยออกมา ก็แสดงว่าไม่ใคร่จะใส่ใจกับ ‘ความฉลาดเกินวัย’ ของนาง
“คำพูดนี้อย่าให้เขาได้ยินเข้าเชียว ประเดี๋ยวเขาจับจุดอ่อนของเจ้ามาเย้าแหย่เจ้าบ้าง แม่ไม่รู้ด้วยนะ” หลูซื่อกลั้นยิ้มไม่อยู่
อี๋อวี้ทำปากยื่นอย่างไม่พึงใจ แต่พอนึกไปถึงท่าทางน้ำนิ่งไหลลึกของเจ้าเด็กตัวร้ายหลูจื้อแล้วนางก็ลอบสะท้านเยือกในอก ไม่ ‘นินทา’ เขากับหลูซื่ออีก จากนั้นเปลี่ยนเรื่องไปพูดถึงหลูจวิ้นที่รังแกได้ง่ายกว่า
ปีนี้พืชผลสุกงอมเร็วกว่าที่แล้วๆ มาครึ่งเดือน ชาวหมู่บ้านเค่าซานพากันตื่นเต้นอย่างยิ่งยวด เพราะได้ผลเก็บเกี่ยวมากกว่าปีก่อนถึงสองส่วน ที่นาสามสิบหมู่ของสกุลหลูก็ทำกำไรมากขึ้นจากเดิมครึ่งก้วน
ด้วยเหตุนี้อี๋อวี้รบเร้าให้หลูซื่อแบ่งพื้นที่ในลานเป็นแปลงผักเล็กๆ กว้างหนึ่งจั้งยาวหกฉื่อ ยังได้หลูจวิ้นช่วยพลิกหน้าดินและขนดินในทุ่งนามาปรับพื้นให้เรียบ
คนในครอบครัวคิดแค่ว่านางเห็นเรือนอื่นปลูกผักก็อยากได้บ้าง จึงปล่อยนางไปตามเรื่อง หากแท้ที่จริงอี๋อวี้มีแปลงผักนี้แล้วทำประโยชน์ได้มากมาย หลังจากสลัดความกระวนกระวายในใจพักก่อนทิ้งไปได้ นางตรึกตรองเป็นอย่างดีแล้วตกลงปลงใจรอให้สภาพการณ์เช่นนี้คงที่ไปสักสองสามปี ค่อยเริ่มใช้พลังพิเศษของตนเองอย่างเต็มที่ แต่ก่อนหน้านั้นแค่ปลูกพืชผักสนุกๆ สร้างความสุขเล็กๆ น้อยๆ ให้ชีวิตของครอบครัวสี่คนนั้นยังเป็นเรื่องที่ทำได้อยู่
หากพูดว่าก่อนการเก็บเกี่ยวนาข้าวในหมู่บ้าน นางยังกังขาอยู่ว่าการใช้เลือดเจือจางกับพื้นที่กว้างใหญ่จะบังเกิดผลหรือไม่ ผลการเก็บเกี่ยวรอบนี้ได้ไขข้อข้องใจของนางแล้ว
ในหมู่บ้านนี้ ที่นาสามสิบหมู่ของครอบครัวนางถือเป็นจำนวนที่มากแล้ว เมื่อเทียบกับมาตราวัดของยุคปัจจุบันที่นางรู้มีส่วนต่างกันอยู่บ้าง ที่นาหนึ่งหมู่ของสมัยนี้จะเท่ากับประมาณห้าร้อยตารางเมตร ยี่สิบหมู่ก็เท่ากับหนึ่งเฮกตาร์ ชาวนาทั้งหมู่บ้านมีที่นาทั้งหมดยี่สิบกว่าเฮกตาร์ ส่วนใหญ่ปลูกข้าวสาลี บ้างก็มีพวกข้าวโพดปะปนอยู่ด้วยเป็นส่วนน้อย
แม้ว่าการเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์ของปีนี้เป็นผลมาจากฝนตกห่าใหญ่ในฤดูใบไม้ร่วงรอบนั้นและการขุดลอกคูดินของชาวบ้านด้วยเช่นกัน แต่อี๋อวี้รู้ดีแก่ใจว่าธัญพืชที่เผชิญกับความแห้งแล้งแล้วยังมีผลเก็บเกี่ยวสมบูรณ์กว่าปีก่อนๆ จะต้องถูกกระตุ้นด้วยเลือดของนางอย่างแน่นอน
เลือดเพียงไม่ถึงสิบหยดยังบังเกิดผลต่อพืชบนผืนดินยี่สิบกว่าเฮกตาร์ได้ เมื่อเป็นแบบนี้ปัญหาในการใช้เลือดเจือจางกับพื้นที่ขนาดใหญ่ก็คลี่คลายลงอย่างง่ายดาย นางไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไปว่าวันหลังต้องจำยอมเลือดตกยางออกครั้งใหญ่เพื่อให้ครอบครัวร่ำรวย อย่าลืมว่าถึงจะแค่เอาเข็มเจาะปลายนิ้วทีเดียว แต่สำหรับสตรีแล้วมันยังเจ็บมากนะ
ความหวาดหวั่นและวิตกกังวลเมื่อแรกที่ค้นพบว่าตนเองมีพลังพิเศษมลายหายไปแล้ว บัดนี้นางวาดฝันถึงอนาคตอย่างใจจดใจจ่อ
หลังลองซักถามหลูซื่อดูแล้ว นางเลือกเฟ้นต้นไม้ที่จะมาปลูกอย่างรอบคอบ เป็นพันธุ์พืชสามชนิดที่แม้แต่หลูซื่อก็ไม่รู้จักสรรพคุณของพวกมัน แต่ล้วนเป็นพืชที่นางคุ้นเคยดีและพบได้บ่อยๆ ในยุคปัจจุบัน ได้แก่ปั้วเหอ ว่านหลูฮุ่ย และผูกงอิง ซึ่งนางพบในป่าที่ภูเขาด้านหลังและริมลำธาร
นางย้ายหน่ออ่อนของแต่ละต้นมาปลูกในแปลงผักส่วนหนึ่งอย่างเบาไม้เบามือ ตอนแรกคอยเอาใจใส่ดูแลรดน้ำทุกวัน และไม่รีบเร่งให้พวกมันโตไวๆ จวบจนต้นว่านหลูฮุ่ยดูทีท่าไม่ค่อยดี ถึงใช้น้ำผสมเลือดของนางรดพวกมันสองสามหยด กลายเป็นว่าว่านหลูฮุ่ยมาทีหลังกลับแซงหน้า งอกงามได้ดีกว่าผูกงอิงและปั้วเหออย่างมากตามคาด หลังจากทดลองแล้ว นางถึงค่อยๆ ใส่ ‘น้ำบำรุง’ ต้นไม้ตำรับพิเศษให้กับพืชทั้งสามชนิด
ฤดูร้อนมาถึงแล้ว พืชสามชนิดในแปลงผักของนางล้วนเข้าสู่ช่วงเจริญเติบโตเต็มที่ หลูซื่อชอบใจเหลือหลาย กล่าวชมสองสามคำแล้วเริ่มไต่ถามนาง
“แรกๆ ที่เจ้าขลุกเล่นอยู่กับต้นไม้พวกนี้ แม่ยังหัวเราะเยาะว่าเจ้ายังใส่ปุ๋ยไม่เป็นอยู่เลย ตอนนี้ล้วนเติบโตงอกงามหมดแล้ว เจ้ามีฝีมือในเรื่องเล่นซุกซนอยู่หลายส่วนจริงๆ”
“เสี่ยวอวี้เล่นซุกซนที่ไหนกัน ท่านแม่ ต้นหญ้าใบเขียวๆ นี่กินแล้วมีกลิ่นหอมสดชื่น ลิ้นชาๆ สนุกดีเจ้าค่ะ” นางสบช่องแนะนำใบปั้วเหอกับหลูซื่อทันที
หลูซื่อบังเกิดความสนใจทันที นางเด็ดปั้วเหอมาใบหนึ่ง เพราะไม่เคยเห็นอี๋อวี้ใส่ปุ๋ยอะไรให้มัน นางใช้นิ้วมือถูใบปั้วเหอเบาๆ หลายทีก่อนจะใส่เข้าปากอมไว้
“เอ๊ะ นี่มันต้นอะไรกันถึงมีรสชาติแบบนี้” หลูซื่อหรี่ตาลงอย่างประหลาดใจ นางคายใบไม้ที่อยู่ในปากกลับออกมา วางไว้บนมือพิศดูอย่างละเอียดโดยไม่รังเกียจ
“เสี่ยวอวี้ก็ไม่รู้ ข้าเจอมันตอนเล่นอยู่ริมลำธาร นึกว่าจะออกดอก กลับมีแต่ใบ”
หลูซื่อขมวดคิ้วพลางพูด “นี่แม่ลืมดุเจ้าไปเลย ไม่รู้ว่าของนี้กินได้หรือเปล่าก็กล้าลองชิมสุ่มสี่สุ่มห้า เจ้าเอาอะไรต่อมิอะไรใส่เข้าปากได้อย่างไร ใจกล้ากว่าพี่รองของเจ้าแล้วนะ”
อี๋อวี้เบะปาก กล่าวโต้เสียงแผ่วๆ “เมื่อครู่นี้ท่านแม่ก็ใส่เข้าปากเหมือนกันไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
หลูซื่อหูไวได้ยินเสียงพึมพำของนางก็ทั้งฉิวทั้งขันทันใด นางส่ายหน้าพูด “เจ้าลูกคนนี้ ยิ่งโตยิ่งเถียงคำไม่ตกฟาก ปกติแม่ไม่ได้เข้มงวดกับเจ้า พอซุกซนเกเรขึ้นมายังไม่ยอมให้ใครปรามอีก เจ้าฟังแม่ให้ดี วันหน้าของที่ไม่รู้จักเอามาจับเล่นได้ แต่ถ้ายังกินส่งเดชอีก มิเช่นนั้นแม่จะทำโทษเจ้าแล้วนะ”
อี๋อวี้รีบสั่นศีรษะพร้อมกล่าว “ท่านแม่ ข้าชิมใบปั้วเหอหลายหนมากแล้ว ไม่เห็นจะรู้สึกไม่สบายตัว ท่านแม่คิดดูนะ ฤดูร้อนอากาศร้อนอย่างนี้ ถ้าของสิ่งนี้กินได้ พวกเราเอามันไปแช่น้ำดื่มจะเย็นชื่นใจขนาดไหน พี่รองก็ไม่ต้องดื่มน้ำเย็นแก้กระหายอยู่เรื่อยจนถูกท่านแม่เอ็ดนะเจ้าคะ”
หลูซื่อได้ยินแล้วคิ้วที่ขมวดอยู่ก็พลันคลายออก นางเด็ดใบปั้วเหอมาอีกใบหนึ่งแล้วถาม “เจ้าเรียกมันว่าปั้วเหอหรือ เป็นอักษรตัวใดบ้าง”
อี๋อวี้เพิ่งรู้ตัวว่าพลั้งปากไปแล้ว จำต้องพูดพลางยื่นมือทำท่าขีดเขียนบนพื้น “ปั้ว (บาง) จากคำว่าคุณธรรมสูงเสียดเมฆบางเบา เหอ (บัว) จากคำว่าบึงบัวกลางวสันตฤดู เพราะใบของต้นนี้มีหน้าตาเหมือนกับใบบัวที่ท่านแม่สอนข้าปัก เป็นสีเขียวสดงดงามมาก แต่มันทั้งเล็กทั้งบาง ข้าก็เลยเรียกมันว่าปั้วเหอ (ใบบัวบาง) เจ้าค่ะ”
อี๋อวี้ปั้นเรื่องส่งเดช พลางคิดถึงความแปลกประหลาดของห้วงมิตินี้ นางเรียนด้านประวัติวรรณคดีมา ย่อมแจ่มแจ้งเรื่องสำนวนโวหารเป็นธรรมดา…ว่ากันว่าเริ่มมีในราชวงศ์ซ่งใต้ แต่ในช่วงเวลานี้กลับมีคำศัพท์ที่เป็นสำนวนจำนวนมากแล้ว นับแต่หนึ่งปีก่อนนางตั้งต้นฝึกเขียนอักษรเป็นต้นมา หลูซื่อกับหลูจื้อสอนสำนวนโวหารที่ใช้บ่อยและอธิบายความหมายให้นางรู้ ซึ่งใกล้เคียงกับยุคปัจจุบันตามที่นางเรียนมา แค่ว่ามีตำนานที่มาบางส่วนไม่เหมือนกันเท่านั้น
“เอ๊ะ เอาสำนวนที่เพิ่งเรียนไปเมื่อหลายวันก่อนมาใช้อวดภูมิกับแม่เสียแล้วหรือ แต่ชื่อที่เจ้าตั้งขึ้นก็นับว่าเหมาะเจาะดี” หลูซื่อเห็นท่าทางฉลาดน่ารักของนางแล้ว อารมณ์โกรธกรุ่นๆ ก่อนหน้านี้ก็พลันจางหายไป นางยื่นมือไปเขี่ยปลายจมูกบุตรสาว
อี๋อวี้ฉีกยิ้มกว้างแล้วพูด “ท่านแม่วางใจได้ เจ้าต้นนี้ขึ้นอยู่ริมลำธาร ถ้ามันมีพิษ ปกติพวกเราดื่มน้ำก็ต้องรู้แล้ว ไหนเลยต้องรอมาจนถึงวันนี้”
“เจ้าฉลาดนักนะ” หลูซื่อขบคิดถ้อยคำของนางแล้วเห็นว่าชอบด้วยเหตุผลแปดส่วน จึงไม่ว่ากล่าวนางด้วยเรื่องนี้อีก กลับเด็ดใบปั้วเหอหลายใบแล้วกลับเข้าไปในเรือนอย่างกระตือรือร้น หมายใจว่าจะลองแช่น้ำดื่มตามวิธีที่บุตรสาวบอก
บัดนี้เรือนหลังน้อยของสกุลหลูไม่ใช่กระท่อมรั้วไม้โกโรโกโสเฉกเดียวกับเมื่อสามปีก่อนอีก เรือนหน้ากว้างหนึ่งช่วงเสาขยายเป็นสามช่วงเสา เรือนหลักแต่เดิมถูกกั้นเป็นสองห้อง ห้องฝั่งตะวันตกเป็นห้องนอนของหลูซื่อกับอี๋อวี้ ห้องฝั่งตะวันออกเป็นห้องโถงกับห้องครัว ในลานยังสร้างเรือนอีกหลังหนึ่ง ก่อผนังด้วยก้อนดินสี่ด้านประกบกับโครงหลังคาไม้ ใช้เป็นเรือนพำนักของบุตรชายสองคน
สามปีมานี้สกุลหลูอาศัยผลเก็บเกี่ยวจากนาข้าวและขายถังหูลู่จนออมเงินได้ไม่น้อย ปีก่อนทั้งซ่อมแซมเรือนเดิมและสร้างเรือนใหม่เพิ่มหลังหนึ่งยังมีเงินเก็บเหลือเฟือ
อี๋อวี้ผมยาวแล้วไม่ต้องมัดจุกชี้โด่เด่สองข้างยามออกไปไหนมาไหน ทุกคราที่หลูซื่อมีเงินเหลือ มักชอบไปตลาดนัดซื้อของกระจุกกระจิกราคาถูกมาแต่งกายให้บุตรสาว
ยามนี้อี๋อวี้กำลังนั่งเขียนอักษรอยู่ข้างหน้าต่าง เรือนผมรวบขึ้นมุ่นมวยแกละสองข้างเรียบกริบอวดหน้าผากเรียบเนียนโหนกนูน เพราะนางก้มหน้าอยู่ทำให้ปลายเชือกผูกผมสีเหลืองนวลที่มัดเป็นปมผีเสื้อห้อยลงเคลียข้างแก้ม มือเล็กขาวนุ่มจับพู่กันอย่างมั่นคง ลากเส้นไปทีละขีดๆ ตามแบบคัดตัวอักษรเล่มหนึ่งบนโต๊ะ นับแต่ความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้น นางจะฝึกคัดลายมือทุกวันจนกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว
หลังจากบิดข้อมือน้อยๆ ลากพู่กันเขียนเป็นขีดสุดท้าย นางวางมันลงบนด้านข้างแท่นหมึกรูปทรงเรียบๆ จากนั้นยื่นมือไปจับมุมบนของกระดาษทั้งสองข้าง ยกขึ้นมองพินิจแผ่นตัวอักษรบรรจงที่ฝึกคัดเสร็จแล้วของวันนี้ไปพลาง ส่งเสียงอ่านเบาๆ ไปพลาง
“ปักแร้ว
ปักแร้วถี่ถี่ ตบเท้าตึงตึง นักรบคึกคัก คือผู้พิทักษ์ของเจ้าเมือง
ปักแร้วถี่ถี่ ริมทางกว้างขวาง นักรบฮึกเหิม คือทหารกล้าของเจ้าเมือง
ปักแร้วถี่ถี่ กลางพงไพรลึก นักรบห้าวหาญ คือคนสนิทของเจ้าเมือง”
เสียงสุดท้ายเงียบลง นางยังขบคิดนัยความหมายของคำกลอน ‘ปักแร้ว’ บทนี้อย่างละเอียดต่อ นางอดนึกไปถึงแววตาเป็นประกายของหลูจื้อยามท่องกลอนบทนี้ไม่ได้ ดูทีว่าบุรุษทั้งหลายล้วนมีใจมุ่งหมายแทนคุณแผ่นดิน แต่ไหนแต่ไรมาอุดมการณ์ยิ่งใหญ่และปณิธานสูงส่งเป็นเรื่องของพวกบุรุษโดยเฉพาะอยู่แล้ว พี่ใหญ่ของนางกำลังเป็นเด็กหนุ่มแรกรุ่น แม้จะสุขุมเยือกเย็นกว่าพี่รองหลูจวิ้นไม่น้อย แต่อย่างไรก็เป็นวัยซึ่งเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาที่จะได้แสดงออก
ในฤดูร้อนของปีนี้ หลูจวิ้นได้เข้าสู่สำนักยุทธ์เป็นศิษย์พี่ใหญ่อย่างเต็มตัว เขาในวัยสิบสามมีเรือนร่างบึกบึน ตัวโตสูงใหญ่กว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันเป็นคืบ ยามไม่แย้มยิ้ม เค้าความอ่อนเยาว์บนใบหน้าจะลดลงสองส่วน ดูเป็นเด็กหนุ่มหล่อเหลาคนหนึ่งแล้ว
อาจจะเป็นเพราะเด็กสาวชนบทมักถือเอาบุรุษที่ดีคือมีเรี่ยวแรงทำนาเป็นเกณฑ์ เลยทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบของหญิงสาวในหมู่บ้านมากกว่าหลูจื้อผู้คงแก่เรียน หลายวันก่อนมีคนมาถึงที่เรือนพูดคุยกับหลูซื่อเรื่องการแต่งงานของเขา อี๋อวี้ยังทำใจยอมรับประเพณีแต่งงานมีลูกเร็วของยุคสมัยนี้ได้ลำบาก ยังดีที่หลูซื่อปฏิเสธคนที่มาทาบทามถึงเรือนด้วยเหตุผลกลใดก็สุดรู้
“เสี่ยวอวี้ เจ้าอยู่ในเรือนหรือไม่!” เสียงตะโกนเรียกลอยมาจากกลางลานเรือน อี๋อวี้ได้ยินเสียงนี้แล้วลอบหัวเราะในใจ นางรีบเก็บกระดาษที่แห้งสนิทแล้วให้เข้าที่ ก่อนจะแหวกม่านเดินออกไป
เด็กสาวร่างสูงผอมนางหนึ่งยืนอยู่ตรงกลางลาน เห็นอี๋อวี้ออกมาก็แย้มปากยิ้มทันทีแล้วกล่าว “ข้านึกว่าเจ้าไม่อยู่เรือนเสียอีก”
อี๋อวี้เพียงยิ้มไม่กล่าวตอบ พานางเข้าไปในห้องโถง ทั้งคู่นั่งลงสนทนากันบนเสื่อ
จะว่ากันถึงความสัมพันธ์ของนางกับผู้มาเยือนแล้ว มันช่างเป็นเรื่องที่ซับซ้อนยอกย้อนที่สุดในใต้หล้านี้ เด็กสาวตัวสูงผู้นี้มิใช่ใครอื่น นางก็คือหลี่เสี่ยวเหมย บุตรสาวของหวังซื่อที่เคยบาดหมางกับสกุลหลูเมื่อหลายปีก่อนนั่นเอง
สองปีก่อน ไม่รู้หวังซื่อไปได้ยินมาจากที่ไหนว่าหลูซื่อหาเงินจากการปักผ้าได้ไม่น้อย นางสั่งให้บุตรสาวไปที่เรือนสกุลหลูขอร้องหลูซื่อให้สอนงานเย็บปักถักร้อยให้โดยไม่ออกหน้าด้วยตนเอง แม้หลูซื่อจะเป็นคนดุร้าย ก็ทำใจดำกับเด็กไม่ลงคอ ถึงกระนั้นนางตะขิดตะขวงใจที่จะถ่ายทอดวิชาปักผ้าประจำตระกูลให้คนนอก ทว่ายังคงเลือกหาวิธีปักที่เรียนรู้ได้ง่ายแบบอื่นๆ มาสอนหลี่เสี่ยวเหมย ต่อมาฝีมือของอี๋อวี้รุดหน้าขึ้น หลูซื่อจึงยกหน้าที่สอนหลี่เสี่ยวเหมยต่อให้บุตรสาว
ถึงอย่างไรจิตใจของอี๋อวี้ก็เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวคนหนึ่ง ทั้งรู้ว่าหลี่เสี่ยวเหมยผู้นี้มีนิสัยค่อนข้างเถรตรง ไม่เหมือนกับมารดาที่ชอบระรานผู้อื่น เป็นธรรมดาที่นางจะไม่ถือสาหาความกับเด็กน้อยคนหนึ่งด้วยเรื่องเก่าๆ อีก นอกจากนี้เสี่ยวชุนเถาฝึกปักผ้ากับนางอยู่แล้ว เพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งก็ไม่มีอะไรต่างกัน
นางสอนวิธีปักผ้าที่ถ่ายทอดให้คนนอกได้ให้กับอีกฝ่ายอย่างตั้งอกตั้งใจ บางครั้งเสี่ยวเหมยยังฝึกจำตัวอักษรกับเสี่ยวชุนเถาบ้าง ไปๆ มาๆ เด็กหญิงทั้งสามเริ่มสนิทสนมกัน จนนับได้ว่าเป็นเพื่อนที่ชอบพอกันที่สุดในหมู่เด็กวัยไล่เลี่ยกัน
“พี่เสี่ยวเหมย ท่านมามือเปล่า หรือว่ามิได้มาหัดปักลายใหม่กับข้า แต่ตั้งใจจะขอกินอาหารกลางวันมื้อหนึ่ง” หลังจากนั่งลง อี๋อวี้สังเกตเห็นว่าหลี่เสี่ยวเหมยไม่ได้เอาเครื่องไม้เครื่องมือปักผ้าติดมาด้วย ก็รู้อยู่แก่ใจว่านี่คงเป็นความคิดของหวังซื่ออีกแล้วเป็นแน่แท้ เพื่อเอารัดเอาเปรียบครอบครัวนางเล็กๆ น้อยๆ กระทั่งเศษผ้าชิ้นสองชิ้นก็ยังคิดทำ ทว่าเรื่องแบบนี้เห็นบ่อยจนชินตาแล้ว
แต่นางแจ่มแจ้งดีว่าเด็กสาวหน้าแดงก่ำตรงหน้าหาได้เต็มใจทำเช่นนี้ ฉะนั้นพอกระเซ้าคำหนึ่งแล้วก็ไม่กล่าวอะไรอีก นางลุกขึ้นไปหยิบตะกร้าเข็มกับด้ายมาจากตู้ตัวเตี้ยทำจากไม้ฮว่าด้านข้าง เลือกผ้าเนื้อนุ่มๆ ผืนหนึ่งส่งให้อีกฝ่าย
“ไม่ต้องเอาของดีขนาดนี้หรอก” หลี่เสี่ยวเหมยมองดูผ้าพื้นในมือนางแล้วไม่ได้ยื่นมือรับ เพียงเม้มปากส่ายหน้าเบาๆ
อี๋อวี้ก็ไม่คะยั้นคะยอ นางรู้ว่าถ้าหลี่เสี่ยวเหมยไม่เอาผ้ากลับเรือนไปสักชิ้น ต้องโดนหวังซื่อดุด่ายกใหญ่แน่นอน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยืนกรานจะรักษาศักดิ์ศรีเล็กน้อยนั่นไว้ นางจะพูดความจริงออกมาก็ใช่ที่ ถึงอย่างไรทุกคนล้วนมีขีดจำกัดที่ไม่อาจแตะต้องได้กันทั้งสิ้น
อี๋อวี้นั่งบนเสื่อเอาผ้าปักธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่งขึงกับสะดึงและเลือกด้าย เสร็จแล้วอธิบายวิธีปักลายปลาไนที่จะสอนวันนี้ เพราะเป็นลายที่ค่อนข้างซับซ้อน นางขอให้หลูจื้อวาดภาพปลาไนไว้ล่วงหน้าแผ่นหนึ่ง และหยิบมาให้หลี่เสี่ยวเหมยดูอยู่ขณะนี้ ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจชัดเจนขึ้นไม่น้อย
มาตรว่าจะไม่มีความจำดีเลิศเช่นเดียวกับอี๋อวี้ หลี่เสี่ยวเหมยกลับมีพรสวรรค์ในการปักผ้าอย่างหาตัวจับยาก นางฝึกปรือแค่สองปีก็ปักได้เข้าท่าเข้าทางแล้ว อี๋อวี้เห็นนางยอมทุ่มเทเวลาทั้งมีความชอบในด้านนี้ เลยสอนวิธีปักแบบซื่อชวนขนานแท้ประจำตระกูลที่ไม่ค่อยสำคัญทว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งหลายอย่างให้นางลับหลังหลูซื่อ เช่น การปักผสม การปักปม
“เสี่ยวอวี้ นี่เจ้าเป็นคนวาดหรือ งามจริงๆ” หลี่เสี่ยวเหมยดูภาพปลาไนอย่างละเอียดแล้ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหน้านางด้วยแววตาเลื่อมใส
“ไม่ใช่ พี่ใหญ่ข้าเป็นคนวาด ข้ามีความสามารถด้านนี้ที่ไหนกัน ตัวอักษรยังเขียนได้ไม่ดีเลย” นางไม่ชอบวาดภาพจริงๆ เทียบกับหลูจื้อที่เชี่ยวชาญทั้งวาดภาพเขียนตัวอักษรแล้วห่างชั้นกันลิบลับ
“เอ๊ะ! พี่หลูจื้อเป็นคนวาดหรือ มิน่าถึงงามอย่างนี้”
อี๋อวี้เห็นดวงตาของหลี่เสี่ยวเหมยที่เป็นประกายทุกคราหลังได้ยินชื่อของหลูจื้อแล้ว ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางยังพึงใจในตัวหลูจื้อ ทั้งที่เขามิได้สนใจไยดีนางสักเท่าไร จึงได้แต่สรุปว่าเป็นอารมณ์เพ้อฝันของเด็กสาวที่ปราศจากเหตุผลใดๆ
ตามความเห็นของนาง ระหว่างสองคนนี้ไม่มีความเป็นไปได้ในทางนั้นเลย นั่นไม่ใช่เพราะนางเห็นว่าหลี่เสี่ยวเหมยไม่คู่ควร ถึงหวังซื่อเองก็ตามคงไม่เห็นพ้องให้บุตรสาวแต่งงานกับตระกูลศัตรูเป็นอันขาด ดูเหมือนหลายวันก่อน นางยังได้ยินว่าหวังซื่อมองหาตระกูลผู้มีอันจะกินในละแวกตำบลจาง เตรียมจะให้เสี่ยวเหมยออกเรือนไป ฝ่ายชายมีความประพฤติดีพอสมควร เพียงแต่ขาข้างหนึ่งของเขากะเผลกๆ อยู่บ้าง เป็นเหตุให้การแต่งงานล่าช้ามาหลายปี อายุจวนเจียนยี่สิบแล้วยังไม่ตบแต่งภรรยา
พวกนางคุยเล่นไปปักผ้าไปจนเกือบเที่ยงวันโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว อี๋อวี้มองดูสีท้องฟ้าแล้วครุ่นคิดว่ามื้อกลางวันจะกินอะไรดี เช้านี้แม่ไก่ที่ลานด้านหลังออกไข่มาสองใบ ประเดี๋ยวขอให้หลูซื่อทำแกงจืดไข่น้ำให้พวกนางพี่น้องชิมดู
หลี่เสี่ยวเหมยปักผ้าอีกครู่หนึ่งก็เอาของกลับเรือนไปรายงานตัวกับมารดา อี๋อวี้เก็บของแล้วไปหอบฟืนในลาน เตรียมตัวจุดเตารอทำอาหาร ช่วงฤดูใบไม้ผลิอากาศค่อนข้างแปรปรวน ตอนเช้าหนาวจนตัวสั่น แต่ตอนนี้พอนางเติมฟืนจุดไฟเพื่อต้มน้ำ ก็มีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมออกมาทั่วหน้าผากเรียบเนียนแล้ว
อี๋อวี้ดูโตขึ้นกว่าเมื่อสามปีก่อน แม้นดวงหน้ายังกลมป้อมเหมือนผลผิงกั่ว* ทว่าเริ่มมีเค้าความงามสามส่วนแล้ว ต่างจากเด็กสาวในหมู่บ้านที่มีรูปหน้าไม่ค่อยสมส่วน หน้าตาของนางจิ้มลิ้มกว่ามาก แต่ทั้งไม่สวยเด่นทั้งไม่งามสง่า เพียงรวมความได้คำเดียวว่า ‘พริ้มเพรา’ โดยเฉพาะดวงตาโตออกเรียวยาวเล็กน้อยคู่นั้น ยามยิ้มจะละม้ายมณีหยดน้ำ เวลาที่มันเพ่งมองอะไรนิ่งๆ กลับคลับคล้ายดาวประกายพรึกคู่หนึ่ง รังไหม ใต้ขนตาล่างยังขับเน้นให้นัยน์ตาดำขลับคู่นั้นมีเสน่ห์มากขึ้น
ต้มน้ำในหม้อไปได้ครึ่งทาง หลูซื่อแหวกม่านก้าวเข้ามาในห้องครัว เห็นร่างเล็กๆ นั่นเค้นแรงจนหน้าแดงก่ำ หมายจะผลักโอ่งน้ำที่ตั้งเอียงไปตอนเก็บกวาดเมื่อวานนี้ให้กลับเข้าที่ นางจึงรีบเข้าไปห้าม และตะเพิดบุตรสาวไปเล่นข้างนอกระหว่างรอกินข้าว
อี๋อวี้ทำปากยื่น แสร้งทำงอนตุ๊บป่องๆ ออกไป ได้ยินเสียงเอ็ดกลั้วหัวร่อของมารดาดังข้างหู นางเงยหน้าขึ้นเห็นหลูจื้อนั่งอยู่บนเสื่อหน้าโต๊ะกินข้าวถือหนังสือเล่มหนึ่งมองตนเองด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
“เป็นอะไรไป ถูกไล่ออกมาอีกแล้วหรือ”
“เอ่อ…อื้อ”
“อะไรกัน ยังโกรธอยู่หรือ เจ้าต้องเข้าใจท่านแม่บ้างนะ ท่านเป็นห่วงว่าเจ้าจะทำไฟไหม้ในห้องครัวเท่านั้นเอง”
“…”
หลูจื้อทำสีหน้าจริงจัง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงพบว่าอี๋อวี้ที่ก้มหน้าอยู่หาได้มีท่าทีจะพูดตอบ เขาจึงเอื้อมมือไปหยิกแก้มกลมยุ้ยของนางทีหนึ่ง
อี๋อวี้เงยหน้ามองเขาด้วยความเจ็บ นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อเห็นดวงหน้าหนุ่มน้อยที่นับวันยิ่งรูปงามขึ้นนั่นประดับด้วยรอยยิ้มชัดเจน
ไม่รู้เพราะเหตุใด นางยิ่งโตขึ้น คนในครอบครัวยิ่งชอบสัพยอกนาง อาจเพราะหลูจวิ้นวางตัวเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไม่น้อยหลังจากเขาได้เป็นศิษย์พี่ที่สำนักยุทธ์ในตำบลจาง เป้าหมายที่ถูกทุกคนเย้าหยอกก็ค่อยๆ เปลี่ยนคนไป ส่วนนางกลับได้แต่จำใจอดกลั้นไว้
อี๋อวี้รู้ว่าตนเองสู้ฝีปากเขาไม่ได้ นางแค่นเสียงฮึ หมุนกายไปดูแลแปลงผักในลานของนาง ตั้งแต่สามปีก่อนนางเริ่มลองผิดลองถูกปลูกพืชพวกนี้ จากแรกเริ่มที่คนในครอบครัวไม่สนใจ ต่อมาก็มุงดูด้วยความสนุก จนบัดนี้ตั้งตารอคอยอย่างโจ่งแจ้ง
แปลงผักเล็กๆ ผืนนี้เพิ่มรสชาติสีสันให้กับชีวิตที่เรียบง่ายของสกุลหลูมากขึ้น น้ำชาลอยใบปั้วเหอนั่นทั้งเย็นสดชื่นและชุ่มคอแก้กระหาย ซึ่งหลูจื้อชอบดื่มหนึ่งถ้วยหลังอ่านตำราเป็นที่สุด
ส่วนก้านอ่อนของผูกงอิงนำมาล้างสะอาดแล้วบดให้ละเอียดผสมกับแป้ง พอทำออกมาเป็นแป้งย่างจะเจือกลิ่นหอมอ่อนๆ เป็นอาหารหลักที่หลูจวิ้นโปรดปรานที่สุดในตอนนี้
ยังมีน้ำเมือกเหนียวๆ ที่คั้นจากใบว่านหลูฮุ่ยใช้ทาหน้าป้องกันไม่ให้แตกแห้งและทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้นได้ ฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว อี๋อวี้วางแผนให้หลูซื่อพบว่าพืชชนิดนี้สามารถรักษาอาการผิวหนังแตกแห้งได้ ซ้ำยังมีสรรพคุณช่วยให้ผิวขาวสวยอีกด้วย ไม่ต้องเอ่ยถึงว่านางดีอกดีใจขนาดไหน แม้นางไม่ต้องตากแดดตากลมทั้งวัน แต่ต้องลงนาบ่อยๆ จะมีสตรีคนใดเล่าที่ไม่กลัวตนเองแก่ชราอัปลักษณ์จริงๆ ต่อให้เป็นหญิงม่ายก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ในป่าที่ภูเขาด้านหลังมีพืชแปลกๆ หายากอยู่ไม่น้อย ตอนหลังนางยังย้ายต้นอื่นๆ มาปลูกตามลำดับ ทั้งหมดล้วนมีขนาดค่อนข้างเล็กและมีสรรพคุณพิเศษ
หลูซื่อเห็นนางปลูกต้นไม้พวกนี้รอดได้จริงๆ ก็หมดความคิดที่แค่จะมุงดูด้วยความสนุกอย่างเมื่อแรก และเปลี่ยนมาเริ่มต้นสนับสนุน ‘ความชื่นชอบสนใจ’ ในเรื่องนี้ของนาง
ตามบทบัญญัติของราชสำนัก ผู้ศึกษาทั่วแผ่นดินที่มีอายุครบสิบสี่ปีและไม่เคยผ่าน ‘การสอบรุ่นเยาว์’ สามารถเข้าร่วมการสอบระดับมณฑลตามแถบถิ่นที่พำนักอาศัยในเดือนหนึ่งได้ หลังจากสอบผ่านแล้วจึงเข้าสู่เมืองหลวงรายงานตัวกับผู้คุมสอบอีกที เมื่อได้รับการเสนอชื่อแล้วถึงจะได้เข้าร่วมการสอบ ‘ชุนเหวย’ ของกรมพิธีการในเดือนสี่
รัชศกเจินกวนปีที่ห้า หลูจื้อซึ่งจะย่างเข้าวัยสิบสี่ปีเต็มหลังฤดูใบไม้ร่วงสามารถเข้าร่วมการสอบเข้ารับราชการในปีหน้าได้แล้ว
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 พ.ย. 62)
Comments
comments
No tags for this post.