X
    Categories: JamsaiPerfect Guy ผู้ชายคนนี้ฉันดีไซน์เองทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Perfect Guy ผู้ชายคนนี้ฉันดีไซน์เอง บทที่ 5 – บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 20

บทที่ 5

ตั้งแต่เปลี่ยนเวลาทำงานให้ยืดหยุ่น ฟางเซี่ยงเฉียนก็ติดตั้งเครื่องตอกบัตรที่หน้าประตูห้องออกแบบเพื่อตรวจสอบเวลาทำงานของพนักงานว่าครบแปดชั่วโมงหรือไม่

เซียวเซียวเข้าไปที่บริษัทตั้งแต่เช้าเพราะต้องการแก้ข้อกล่าวหาที่เคยได้รับ ตอนที่ตอกบัตรเพิ่งจะเจ็ดโมงครึ่งเท่านั้น

เว็บไซต์ที่ซย่าเหยียนแนะนำทำตามที่รับปากไว้ได้จริงๆ โดยส่งรายงานมาที่อีเมลของเธอ รายงานฉบับนี้มีความละเอียดมาก ครอบคลุมถึงไอพีของหน้าม้าแต่ละราย เส้นทางการส่งข้อความวิจารณ์ เปรียบเทียบคำวิจารณ์ ถือว่าเป็นหลักฐานที่แน่นหนา และสุดท้ายยังมีเอกสารที่แนบตัวอย่างการทำธุรกรรมของบริษัทต้าเจียงที่ติดต่อกับลูกค้าอีกสามราย ซึ่งมีรูปแบบเดียวกันกับการวิจารณ์ในแง่ลบครั้งนี้

รายงานทั้งหมดมีถึงยี่สิบหน้าจึงเสียเวลาพิมพ์อยู่ครู่ใหญ่

เงินสองร้อยหยวนนี้คุ้มค่ามากจริงๆ เซียวเซียวกดยืนยันรับสินค้าทันทีแล้วให้ห้าดาวพร้อมกับคำชมเชยอีกหลายประโยค

ตอนนี้ในห้องออกแบบมีเธออยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น เสียงเครื่องพิมพ์ดังก้องไปทั้งห้อง

เซียวเซียวนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเอง แล้วมองดูโต๊ะทำงานของเพื่อนร่วมงานแต่ละคน

โต๊ะทำงานของจ้าวเหอผิงรกที่สุด เศษผ้า ตัวอย่างผ้า ไม้บรรทัด ดินสอ วางมั่วกันไปหมด และสิ่งที่รับไม่ได้ที่สุดก็คือแก้วน้ำที่เขาดื่มทิ้งไว้หลายวันแล้วยังไม่ได้ล้างสักที แก้วกระเบื้องซึ่งเต็มไปด้วยคราบชาสกปรกนั่น

ส่วนโต๊ะทำงานของฉินย่าหนานค่อนข้างเรียบร้อย บนโต๊ะเต็มไปด้วยของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เธอไปเสาะหามาจากที่ต่างๆ กระถางพลูด่าง กระปุกออมสินรูปหมี แอ็กเซสซอรี่ของแอลวาย ไม้บรรทัดรูปแบบต่างๆ… ฉินย่าหนานเป็นคนช่างพูด เปิดเผย เวลาไม่มีงานก็มักจะเดินไปคุยกับคนนั้นคนนี้ไปทั่ว สนิทกับทุกคนในแผนก เจอของที่ชอบก็ขอจากอีกฝ่าย นานวันเข้าของก็กองเต็มโต๊ะ

โต๊ะทำงานของหยางเซี่ยวช่างทำแพตเทิร์นแตกต่างจากคนอื่น โต๊ะของเขาปูด้วยผ้าสักหลาด มีชอล์กวางอยู่มากมาย ในห้องออกแบบห้องหนึ่งจะมีช่างทำแพตเทิร์นคนเดียว เพราะฉะนั้นเมื่อทุกคนออกแบบเสร็จแล้วจะต้องส่งแบบให้หยางเซี่ยวทำแพตเทิร์นออกมา จะว่าไปคนที่ทำงานในตำแหน่งนี้น่าจะเป็นคนที่ทุกคนในห้องออกแบบจะต้องมาเอาอกเอาใจ ทว่านิสัยของหยางเซี่ยวเป็นคนเงียบๆ ชอบเก็บตัว ไม่ค่อยพูดจาอะไรกับใคร จึงดูแปลกแยกไม่เข้ากับทุกคน

เมื่อพิมพ์รายงานเสร็จเรียบร้อยเซียวเซียวก็เย็บเอกสารเข้าด้วยกัน ยามนั้นเองเครื่องสแกนนิ้วของห้องออกแบบก็ดังขึ้น บอกให้รู้ว่ามีคนเข้ามาทำงานแล้ว

เมื่อฟางเซี่ยงเฉียนเปิดประตูเข้ามาก็เห็นเซียวเซียว ทำให้เธอต้องเช็ดแว่นตาแล้วมองอีกครั้งราวกับกำลังเห็นสิ่งประหลาด

“อรุณสวัสดิ์ค่ะหัวหน้า” เซียวเซียวยิ้มทักทาย

“อรุณสวัสดิ์” ฟางเซี่ยงเฉียนตอบรับกลับไปแล้วเดินไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง “ทำไมถึงมาเช้านักล่ะ” เธอต้องส่งลูกไปโรงเรียนตอนเช้าถึงได้มาทำงานเช้าทุกวัน แต่คนที่ไม่ได้มีภาระเช่นเซียวเซียวจะมาเช้าขนาดนี้ทำไม

“มีเรื่องที่จะต้องรายงาน วันนี้เลยมาเช้าหน่อยน่ะค่ะ” เซียวเซียวถือรายงานที่พิมพ์เสร็จใหม่ๆ เดินไปข้างๆ ฟางเซี่ยงเฉียน

ฟางเซี่ยงเฉียนตากระตุก ดวงตาภายใต้แว่นตาคู่นั้นมีประกายวาบขึ้นมาเพียงชั่วครู่แล้วก็จางหายไป เธอนั่งลงแล้วมองด้วยความสนใจ ก่อนจะยกแก้วน้ำชาที่เพิ่งชงขึ้นดื่มพร้อมพยักหน้าให้เซียวเซียว “นั่งลงก่อนแล้วค่อยพูด”

ก่อนหน้านี้ฟางเซี่ยงเฉียนเคยทำงานทั้งรัฐวิสาหกิจและบริษัทเอกชน จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเธอรู้ดีว่าพนักงานในแผนกมักจะฟ้องกันเอง ในฐานะที่เป็นหัวหน้าจะต้องเก็บข้อมูลของลูกน้องที่ว่าร้ายกัน ก็เหมือนกับได้กำความลับหรือจุดอ่อนของแต่ละคนเอาไว้ เวลาจัดการก็จะได้สะดวกง่ายดาย เหมือนกับฮ่องเต้ในสมัยโบราณ หากต้องการนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรได้อย่างมั่นคง ก็ไม่อาจยอมให้ขุนนางสมัครสมานสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ขุนนางทั้งหลายต่างพากันเพ็ดทูลใส่ร้ายฝ่ายตรงข้าม คนที่เป็นฮ่องเต้ถึงจะนั่งบนบัลลังก์ได้อย่างสบายใจ

ฟางเซี่ยงเฉียนทำงานมาครึ่งปี เซียวเซียวไม่เคยรายงานปัญหาใดๆ ทำให้เธอมั่นใจว่าเซียวเซียวไม่คิดจะใกล้ชิดกับเธอ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นคนของผู้บริหารระดับสูงก็เป็นได้ แต่วันนี้เซียวเซียวถูกเตะออกมาจากห้องฟิตติ้ง ในที่สุดก็สำนึกได้ว่าจะต้องพึ่งพาเธอ ทำให้ฟางเซี่ยงเฉียนพอใจเป็นอันมาก มองเซียวเซียวด้วยสายตาที่อ่อนโยนขึ้นไม่น้อย

เซียวเซียวไม่ค่อยได้เห็นใบหน้าของฟางเซี่ยงเฉียนที่ดูมีความสุขขนาดนี้ แอบรู้สึกหวั่นใจอยู่บ้างแต่ก็นั่งลงอย่างว่าง่าย จากนั้นก็วางรายงานที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะ “คำคอมเมนต์ในเวยป๋อน่ะค่ะ ฉันให้คนตรวจสอบออกมาแล้ว เป็นฝีมือของพวกหน้าม้าทั้งหมด นี่คือรายงานการวิเคราะห์ หัวหน้าลองพิจารณาดูนะคะ”

รอยยิ้มบนใบหน้าของฟางเซี่ยงเฉียนที่ตั้งใจรอฟังข้อมูลความลับต่างๆ นิ่งค้างไปชั่วขณะแล้วค่อยๆ เลือนหายไป เธอยื่นมือไปหยิบรายงานฉบับนั้นมา “เธอหมายความว่ายังไง”

“มีคนกลั่นแกล้งฉัน เสื้อผ้าที่ฉันออกแบบชุดนั้นไม่มีปัญหาแน่นอน” เซียวเซียวอธิบายด้วยความรู้สึกที่ได้ปลดปล่อย จึงไม่ได้สังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของฟางเซี่ยงเฉียน

“ฉันเข้าใจแล้ว เรื่องนี้ฉันจะแจ้งให้ทางผู้อำนวยการรับทราบ” ฟางเซี่ยงเฉียนใช้สองมือถือรายงานฉบับนั้น ท่าทางเหมือนให้ความสำคัญมาก

“ขอบคุณค่ะหัวหน้า” เซียวเซียวยิ้มออก ก่อนจะลุกขึ้นกล่าวขอบคุณฟางเซี่ยงเฉียน

“อืม กลับไปที่โต๊ะเธอได้แล้ว อีกสักพักพวกเขาก็จะมากันแล้ว” ฟางเซี่ยงเฉียนโบกมือให้เซียวเซียวกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง

เซียวเซียวพยักหน้ารับแล้วหมุนตัวกลับไป

คิดว่าเด็กคนนี้จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่คิดว่าจะสงสัยการตัดสินใจของฉัน น่าหัวเราะชะมัด

ฟางเซี่ยงเฉียนโยนรายงานฉบับนั้นเข้าไปในลิ้นชัก ไม่คิดแม้แต่จะเปิดอ่านสักนิด

วันนี้เซียวเซียวมาทำงานแต่เช้า ตอนบ่ายก็สามารถเลิกงานได้เร็วกว่าปกติ มีเวลาไปอยู่ที่ซังอวี๋ได้หลายชั่วโมง แค่คิดก็ตื่นเต้นเล็กๆ แล้ว

ที่ซังอวี๋สมบูรณ์แบบจริงๆ ทั้งฟิตเนส ความบันเทิง การพักผ่อน มีครบทุกอย่าง การดูแลสุขภาพครบวงจรทำให้เธอรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก

เธอหยิบเอาเครื่องคิดเลขมาคำนวณ ชุดใหม่ทั้งหมดห้าสิบสามชุด มีชุดที่เธอออกแบบอยู่เก้าชุด นอกจากเฮดดีไซเนอร์ที่ลาออกไป เงินโบนัสครึ่งปีของเธอน่าจะมากที่สุด จะเติมเงินเป็นบัตรรายสามเดือนก็แสนจะเหลือเฟือ

 

ใกล้เวลาพักกลางวันพนักงานก็พากันเดินออกมา แผนกเสื้อผ้าสำเร็จรูปได้รับแจ้งจากเลขาฯ ว่ามีประชุมเรื่องออกแบบตอนบ่ายโมงตรง

งานแถลงข่าวเสื้อผ้าคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวใกล้จะมาถึงแล้ว อเดอลีนและซีเนียร์ดีไซเนอร์ทำงานล่วงเวลาเพื่อปรับปรุงเสื้อผ้าสำเร็จรูปพวกนี้ออกมา แต่ก็ยังไม่เป็นที่พึงพอใจ แม้จะดูเหมือนไม่มีปัญหาอะไร ทว่าก็ยังขาดความรู้สึก และที่สำคัญคือไม่มีจุดเด่น

การเปิดประชุมเฉพาะแผนกเสื้อผ้าสำเร็จรูปครั้งนี้เพราะหวังว่าจะแก้ไขรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้

“ฉันเคารพงานออกแบบของพวกคุณ ดังนั้นจึงหวังว่าพวกคุณจะแสดงความคิดเห็นออกมา” อเดอลีนดึงเอารูปชุดฤดูใบไม้ร่วงสามสิบหกชุดกับชุดฤดูหนาวอีกยี่สิบแปดชุดขึ้นโปรเจ็กเตอร์ให้ฉายทีละรูปอย่างต่อเนื่อง ใช้สายตาเข้มงวดกวาดมองดีไซเนอร์แผนกเสื้อผ้าสำเร็จรูปทีละคน

พวกจ้าวเหอผิงพากันก้มหน้าไม่กล้าพูดอะไร ฉินย่าหนานเอียงศีรษะแลบลิ้นใส่เซียวเซียวลับหลังอเดอลีน ห้องประชุมเข้าสู่ความเงียบ

เซียวเซียวเงยหน้าขึ้นมองเสื้อผ้าพวกนั้นแล้วดูบันทึกการประชุมที่ตนเองบันทึกสิ่งที่เรียนรู้มา เมื่อต้นปีที่เธอออกแบบเธอก็มีความคิดอะไรบางอย่างแล้ว แต่ตอนนั้นไม่กล้าจะพูดออกมา ทุกคนในแผนกคิดว่าเธอเป็นเพียงไม้ประดับสวยๆ พูดออกไปก็ไม่มีใครฟัง

“นี่คือคำตอบของพวกคุณเหรอ ไม่มีอะไรจะพูด เพราะคิดว่าชุดที่ตัวเองออกแบบสมบูรณ์แบบแล้วงั้นสิ” เสียงเย็นเยือกของอเดอลีนดังขึ้น

“ถ้าไม่มีใครพูด พวกเราก็ถามทีละคนเลยละกัน” หลินซือหย่วนอาร์ตแอดไวเซอร์นั่งพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางงดงาม ยื่นนิ้วออกมาชี้ลอยๆ

บรรยากาศกดดันมาก ผู้ช่วยสองคนเกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว

“อเดอลีน ฉันมีข้อคิดเห็นค่ะ” ในที่สุดเซียวเซียวก็ยกมือขึ้น ทุกคนพากันเงยหน้าขึ้นมองตรงไปที่เซียวเซียวราวกับว่าเธอเป็นผลกีวี่ที่ซ่อนตัวอยู่ในไข่นกกระทา เป็นคนที่กำลังหักหลังพรรคพวก

“ว่ามา” อเดอลีนกอดอก สีหน้าเย็นชาเข้มงวดเหมือนอย่างเคย

“จริงๆ แล้วแบบชุดพวกนี้ไม่ได้มีปัญหาใหญ่ เพียงแต่ขาดความเป็นหนึ่งเดียว” เซียวเซียวกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าอมเทาของครีเอทีฟไดเร็กเตอร์กวาดมองมาที่เธอ สายตาเด็ดขาดที่มองมาทำให้เธอรู้สึกเหมือนมีแรงกดดันมหาศาลกำลังกดดันเธออยู่ เป็นความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนเวลาตอบคำถามอาจารย์ในชั้นเรียน

อเดอลีนเลิกคิ้วที่เรียวยาวพลางพยักหน้าให้เซียวเซียวพูดต่อไป “แล้ว?”

“ฉันเสนอว่าควรออกแบบอะไรเล็กๆ สักอย่างใส่ไปในเสื้อผ้าทุกชุดให้เหมือนกัน”

สายตาซึ่งเต็มไปด้วยความสงสัยพุ่งตรงมาที่เซียวเซียวทันที ฝ่ามือของเธอมีเหงื่อซึมออกมา คำพูดประโยคนี้เมื่อพูดออกมาต้องทำให้เพื่อนดีไซเนอร์ในแผนกไม่พอใจเป็นแน่ แต่เธอก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดต่อไปว่า “ก็เหมือนกับที่คุณได้ออกแบบเข็มขัดผ้าที่ใช้กับชุดโอตกูตูร์ เหมาะที่จะเอามาใช้กับเสื้อโค้ตและเสื้อกันหนาวที่สุด”

เสื้อผ้าสำเร็จรูปชั้นสูงของฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวยังไม่ได้เปิดตัวออกไป มีพนักงานในบริษัทเพียงไม่กี่คนที่เห็นชุดเต็มทั้งชุด เมื่อคำพูดนี้ถูกเอ่ยออกมา บรรยากาศในห้องประชุมก็เปลี่ยนไปโดยฉับพลัน

อเดอลีนรู้สึกประหลาดใจ “เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันออกแบบเข็มขัดผ้า”

สำหรับชุดโอตกูตูร์ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว อเดอลีนได้ออกแบบเข็มขัดผ้ามาเป็นพิเศษด้วยการติดจีบระบายสวยงามเข้าไปกับเอวเสื้อที่กว้างมากเพื่อช่วยให้ผู้สวมใส่ดูมีเอวคอดเล็กอีกด้วย

“ฉันเห็นในห้องฟิตติ้งค่ะ” เซียวเซียวตอบตามความเป็นจริง

ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้เซียวเซียวเคยเป็นนางแบบฟิตติ้ง เมื่อรู้ที่มาที่ไป สายตาของอเดอลีนก็มีแววชื่นชมขึ้นมาหลายส่วน “งั้นเธอคิดจะเอามาใช้ตรงๆ เลยรึ”

“ไม่ค่ะ” เซียวเซียวปฏิเสธในทันที “การออกแบบเข็มขัดผ้าเพื่อเป็นจุดเด่นของชุดโอตกูตูร์ ถ้าดึงเอามาใช้ในเสื้อผ้าสำเร็จรูปธรรมดาจะทำให้ชุดโอตกูตูร์เสียราคา ยิ่งไปกว่านั้นขั้นตอนการผลิตชุดโอตกูตูร์ยุ่งยากและซับซ้อน โรงงานขนาดใหญ่ทำออกมาไม่ได้ ถ้าจะทำก็ต้องมาแก้ไขอีก เพราะฉะนั้นต้องทำให้ง่ายขึ้น”

เมื่อนำองค์ประกอบของชุดโอตกูตูร์มาทำเสื้อผ้าสำเร็จรูปจะต้องมีการปรับให้เรียบง่าย นี่ก็คือธรรมเนียมปฏิบัติซึ่งกลายเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป อเดอลีนเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดี แค่ต้องการถามเพื่อจะทดสอบเธอเท่านั้น ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เธอเป็นคนละเอียดลออดีมาก ข้อเสนอแนะนี้เป็นข้อเสนอที่ยอดเยี่ยมมาก”

เพียงคำว่า ‘ยอดเยี่ยมมาก’ ก็ทำให้ทุกคนถึงกับตะลึง เพราะอเดอลีนจัดว่าเป็นแม่มดร้ายในวงการแฟชั่น เวลาที่พูดออกมาก็มีแต่ความรังเกียจเดียดฉันท์และคำด่าทอ น้อยครั้งนักที่จะชมใครออกมา

“ในฐานะดีไซเนอร์ สิ่งที่พวกคุณต้องทำไม่ใช่แค่ตั้งหน้าตั้งตาออกแบบ แต่ต้องรู้จักคิดและพิจารณา” อเดอลีนมองทุกคน น้ำเสียงกลับมาเย็นชาอีกครั้ง

ฉินย่าหนานฉีกมุมปากขยิบตากับจ้าวเหอผิงแล้วพูดเสียงเบา “งั้นฉันก็ต้องไปที่ห้องฟิตติ้งและสัมผัสกับเข็มขัดผ้าที่ออกแบบบ้างน่ะสิ”

“ไม่ได้เห็นเข็มขัดผ้าที่ออกแบบแล้วมองไม่เห็นอย่างอื่นงั้นรึ ฉันให้พวกคุณดูชุดโอตกูตูร์ไปแล้วตั้งกี่ชุด ตัวเองไม่รู้จักคิดทบทวน ยังจะไปโทษคนอื่นที่รู้จักคิด นี่มันตรรกะบ้าบออะไรกัน!” อเดอลีนพูดด้วยเสียงเย็นเยียบ ทำเอาจ้าวเหอผิงตกใจจนต้องรีบยกสมุดขึ้นมาปิดหน้าตัวเอง

ถึงแม้จะมีอายุแล้ว แต่อเดอลีนก็ไม่ได้หูตาฝ้าฟาง ขนาดอยู่ไกลออกไปยังได้ยินอีก

ฉินย่าหนานได้ยินดังนั้นใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันใด

เซียวเซียวเหลือบมองฉินย่าหนานแวบหนึ่ง อีกฝ่ายช่างเป็นคนพูดไม่รู้จักคิดจริงๆ ปกติก็ยังพอรู้ขอบเขต แต่พักนี้มักจะผิดปกติ ดูเหมือนจะปากจัดกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย แล้วก็มักจะแอบพุ่งประเด็นมาที่เธอด้วย นี่มันเกิดอะไรขึ้น หรือเมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้ เพียงแต่เธอไม่ได้ใส่ใจเท่านั้น

ทุกคนพากันคิดอยู่ในใจเงียบๆ การประชุมยังดำเนินต่อไป

ด้วยเวลาที่มีจำกัด การปรับแบบของเสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวจึงใช้ข้อเสนอแนะที่เซียวเซียวเสนอมาไปทำต่อ อเดอลีนกลับมาพูดถึงเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนในซีซั่นถัดไป

“สำหรับหัวข้อ ‘ชีวิตใหม่’ พวกคุณมีความคิดอะไรบ้าง” โปรเจ็กเตอร์ตัดกลับไปที่หัวข้อชีวิตใหม่ อเดอลีนกอดอกมองไปที่ทุกคน

เธอยังไม่ได้เริ่มออกแบบชุดโอตกูตูร์ในหัวข้อชีวิตใหม่เพราะยังต้องการให้คนรุ่นใหม่ได้นำเสนอแนวคิดออกมาก่อน

“ผมคิดว่าชีวิตใหม่น่าจะไปทางเด็กสาววัยรุ่น มีแบรนด์เครื่องสำอางที่มีภาพลักษณ์แบบเดียวกันนี้ ดังนั้นน่าจะใช้สีชมพูเป็นสีหลัก เลือกใช้สีชมพู สีฟ้า สีเหลืองไข่ไก่ที่ดูเด็กดูอ่อนเยาว์เหมือนกับฤดูใบไม้ผลิซึ่งชีวิตใหม่กำลังผลิยอดออกมา” เนื่องจากก่อนหน้านี้เซียวเซียวได้รับการชมเชย ทำให้หลายคนมีความกล้าที่จะพูดมากขึ้น คนที่ชอบความสนุกสนานครึกครื้นอย่างจ้าวเหอผิงจึงยกมือขึ้นแสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก

“ฉันมีความคิดเหมือนกับพี่จ้าว ทั้งเรายังสามารถเพิ่มลูกไม้และดอกไม้เล็กๆ เข้าไปได้” ดีไซเนอร์อีกคนพูดตามทันที

“ไม่ได้ กลุ่มลูกค้าของเราคือผู้หญิงอายุยี่สิบถึงสามสิบห้า เด็กมากไปคงไม่เหมาะ ฉันกลับคิดว่าน่าจะทำให้ผู้หญิงที่เริ่มเป็นผู้ใหญ่ได้ความรู้สึกของเด็กสาวกลับคืนมา ความสดใสเยาว์วัยที่อยู่บนพื้นฐานของความเรียบง่ายดูเปิดเผย”

แต่ละคนมีความคิดแตกต่างกัน ต่างเสนอความคิดของตนและพูดคุยกันอย่างครึกครื้น นี่คือสิ่งที่อเดอลีนอยากเห็นจึงไม่ได้คิดจะห้ามปราม

ฉินย่าหนานกำมือที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะไว้แน่น อ้าปากเล็กน้อยพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ เหมือนกับปลาที่อยู่ในแม่น้ำอันแห้งเหือด ต้องพยายามดิ้นรนเฮือกสุดท้ายเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้ “ไม่ ที่พวกเธอพูดมามันไม่ถูก”

เสียงที่ค่อนข้างดังนั้นดึงดูดสายตาของทุกคนกลับมา เสียงที่ปรึกษาหารือกันก็เงียบลง

“ต้นกำเนิดชีวิตใหม่ก็คือใบเหอฮวนและดอกซานซู่” ฉินย่าหนานลุกขึ้นยืน นำเสนอมุมมองของตัวเองอย่างเชื่อมั่น “ใบเหอฮวนหมายถึงการลาจาก ส่วนดอกซานซู่หมายถึงการเกิดใหม่…”

เมื่อคำพูดเหล่านี้ออกมา เซียวเซียวถึงกับต้องเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างงุนงง

“ชีวิตใหม่น่าจะหมายถึงการรับรู้ของชีวิต” ฉินย่าหนานพูดอย่างตื่นเต้น เหมือนกับศิลปินซึ่งกำลังจมอยู่ในแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นมาจนไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้

ดวงตาสีฟ้าอมเทาของอเดอลีนเป็นประกายขึ้นมาทันที “พูดได้ดีมาก”

หัวข้อชีวิตใหม่นี้เกิดจากการที่อาร์ตแอดไวเซอร์ไปถ่ายรูปป่าในแอฟริกามาให้เธอดูจนเกิดแรงบันดาลใจ ทั้งรูปต้นอ่อนที่เพิ่งงอกจากดิน นกน้อยที่เพิ่งออกจากไข่ น้ำในลำธารที่ไหลเชี่ยวยามเข้าสู่ฤดูฝน ใบเหอฮวนที่ผลิบานในยามเช้าตรู่ สิ่งเหล่านี้สร้างความรู้สึกรักและศรัทธาต่อชีวิต ทำให้เธอกำหนดหัวข้อ ‘ชีวิตใหม่’ ขึ้นมา การประชุมใหญ่คราวที่แล้วเธอไม่ได้อธิบายให้ชัดเจน ไม่คิดว่าเด็กรุ่นใหม่จะมองได้ลึกซึ้ง

เมื่อการประชุมสิ้นสุดลง คนในแผนกเสื้อผ้าสำเร็จรูปก็เดินพูดคุยกันออกมา

“ย่าหนานใช้ได้นะเนี่ย สามารถตีโจทย์ได้แตกขนาดนี้” จ้าวเหอผิงพูดพร้อมกับยักคิ้วหลิ่วตาให้เธอ

ฉินย่าหนานยิ้มกริ่มรับ

หยางเซี่ยวช่างทำแพตเทิร์นที่อัดอั้นจนหน้าแดงแล้วพูดออกมาอย่างทนฟังต่อไปไม่ได้ว่า “วันนั้นฉันได้ยินอยู่ชัดๆ ว่ามันเป็นความคิดของเซียวเซียว”

จ้าวเหอผิงอึ้งไปก่อนจะหันกลับไปมองเซียวเซียว

“โอ๊ย นั่นมันพวกฉันสองคนคิดด้วยกันหรอก” ฉินย่าหนานถูกไล่ต้อนจนมุมแต่ก็ไม่ได้ร้อนรน ตรงเข้าไปคล้องแขนเซียวเซียวพลางกล่าวต่อ “เมื่อกี้ฉันตื่นเต้นไปหน่อยเลยลืมพูดถึงแกน่ะ แกไม่โกรธฉันใช่ไหม คืนนี้ฉันเลี้ยงข้าวเป็นการขอโทษดีไหม”

“คิดด้วยกัน ใครจะพูดออกมาก็เหมือนกัน” ทุกคนมองสถานการณ์ในตอนนี้แล้วก็พยายามช่วยประนีประนอม อย่างไรเสียฉินย่าหนานกับเซียวเซียวก็เป็นเพื่อนร่วมสถาบันเดียวกัน ความสัมพันธ์ต้องไม่ธรรมดา

เซียวเซียวมองฉินย่าหนานที่เสแสร้งด้วยสายตาเย็นชา เธอไม่อยากจะขายหน้าจึงไม่ต้องการทะเลาะกันตรงนี้ ถ้าฉินย่าหนานยอมรับว่าเอาความคิดของเธอไปพูดก็จะให้แล้วๆ กันไป เพราะเรื่องนี้เธอเองก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบ พูดออกมาต่อหน้าคนอื่นโดยไม่คิดจะปิดบังอะไร จึงเป็นโอกาสให้คนอื่นนำเอาไปใช้ได้ แต่คำพูดที่ว่า ‘คิดด้วยกัน’ นี่มันเกินจะรับได้จริงๆ

เซียวเซียวค่อยๆ ดึงแขนตัวเองออกมา เมื่อก่อนเธอไม่ค่อยแสดงอารมณ์มากนักเพราะมีภาพลักษณ์ของสาวสวยค้ำคอเอาไว้ ทว่าตอนนี้ไม่ต้องสนใจแล้ว “คิดด้วยกันเหรอ แกก็กล้าพูดออกมานะฉินย่าหนาน ฉันเพิ่งรู้ว่าหน้าแกหนากว่าที่คิดไว้ซะอีก”

สีหน้าของฉินย่าหนานเขียวสลับกับซีดเผือด คอแข็งพูดด้วยเสียงกร้าวทันที “ทำไมจะไม่ใช่ช่วยกันคิด ก็ฉันเป็นคนอธิบายพาวเวอร์พ้อยต์ให้แกฟังนะ เราสองคนถกกันตั้งนานถึงได้ข้อสรุปออกมา” เธอตัวค่อนข้างเตี้ยและอวบ พูดออกมาเสียงดังเหมือนประทัด สิ่งที่พูดออกมานี้จึงได้ยินกันทั้งชั้น

เซียวเซียวมองฉินย่าหนานที่ยืนเท้าเอวตั้งท่าพร้อมจะทะเลาะ รู้สึกว่าถ้าทะเลาะกันต่อไปก็เหมือนลดตัวลงไป เธอขายหน้าตรงนี้ไม่ได้ แต่ถ้าหันหลังกลับตอนนี้ก็จะดูเหมือนกลัวฉินย่าหนาน ดังนั้นจึงเลียนแบบสายตาไม่แคร์โลกของจั่นหลิงจวินเหลือบตามองบนอย่างสวยๆ หัวเราะพร้อมกับส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วหมุนตัวกลับไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว

คนหนึ่งที่มั่นใจในตัวเองกับอีกคนที่กินปูนร้อนท้อง มองดูก็รู้ได้ทันทีว่าใครผิดใครถูก เพื่อนๆ ดีไซเนอร์ด้วยกันไม่กล้าพูดอะไรอีก ต่างพากันหาข้ออ้างเดินจากไป ปล่อยให้ฉินย่าหนานยืนกระทืบเท้าอยู่ตรงนั้นคนเดียว

 

เมื่อถึงเวลาเลิกงาน เซียวเซียวก็เก็บของและงานทุกอย่างบนโต๊ะใส่ลิ้นชักแล้วล็อก รหัสผ่านคอมพิวเตอร์ก็เปลี่ยนให้ซับซ้อนขึ้น ไม่ได้สนใจฉินย่าหนานที่ตาแดงๆ ราวกับไม่ได้รับความเป็นธรรม เธอนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปที่ถนนตงอวี๋

รถไฟฟ้าใต้ดินตอนบ่ายสามโมงครึ่งโล่งว่าง ถึงตอนนี้เซียวเซียวจึงได้ผ่อนคลายใบหน้าที่เย็นชานั้นลง ดันโหนกแก้มที่พองลมจนเหมือนปลาปักเป้าอย่างเบามือ

ฉินย่าหนานเป็นเพื่อนที่เรียนคณะเดียวกันมา ทั้งสองเข้ามาในบริษัทนี้ด้วยกัน ช่วยกันเตือนเวลานัดสัมภาษณ์ ช่วยเหลือกันจนผ่านช่วงเวลาอบรมไปได้ สำหรับเซียวเซียวแล้วฉินย่าหนานไม่เหมือนกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น แต่ไม่คิดว่าใจคนจะเปลี่ยนได้ง่ายดายเช่นนี้

หลังปลงกับชีวิตเรียบร้อยแล้วเธอก็ก้มหน้าส่งข้อความให้จั่นหลิงจวิน

เสี่ยวเสี่ยวปู้ : ฉันเถียงกับคนที่บริษัทแล้วพ่ายแพ้มา อยากทราบว่ามีคอร์สสอนกลยุทธ์ไหม

จั่นหลิงจวินเอส : มีคลาสศิลปะการต่อสู้ เปิดสอนทุกวันตอนห้าโมงเย็น

 

ศิลปะการต่อสู้เหรอ เซียวเซียวจ้องมองหน้าจอนิ่งอยู่ครู่ใหญ่จนแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้เข้าใจผิด ใช้ศิลปะการต่อสู้ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในที่ทำงานอย่างนั้นหรือ

เมื่อคิดถึงว่าวันหนึ่งฉินย่าหนานจะมาแย่งผลงานของตัวเอง มือซ้ายกำหมัดตามด้วยมือขวากำหมัด ย่อเข่าลงวาดขาออก ออกท่าสิบแปดฝ่ามือสยบมังกร พายุทรายเคลื่อนหิน นกกระจอกกลับป่า ระเบิดมารร้ายแซ่ฉินให้กลายเป็นควัน แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาบนแผ่นหลังของจอมยุทธ์เซียวเซียวทอดเป็นเงายาว ราวกับมีเสียงระบบดังขึ้นว่า ‘K! O!’

นี่…ดูท่าจะไม่เลวนะ

 

เมื่อถึงซังอวี๋ คลาสศิลปะการต่อสู้ยังไม่เริ่ม ห้องโถงรับแขกมีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาก ส่วนใหญ่คือเสียงโวยวายของชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนโซฟา

“ไหนบอกว่าสามารถฟื้นฟูทุกอย่างได้ไม่ใช่รึ ทำไมถึงทำให้มือของผมกลับมาเหมือนเดิมไม่ได้ล่ะ” ชายวัยกลางคนยกข้อมือขวาที่พันผ้าพันแผลหนาไว้ชูขึ้น เห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะผ่าตัดแขนมา

“ที่นี่เป็นศูนย์ฟื้นฟู ไม่ได้ทำการตัดต่ออวัยวะ ทำได้แต่สวมมือเทียมให้คุณ” นักบำบัดสาวที่อยู่ในเสื้อไหมพรมคอเต่าแขนกุดสีฟ้าอ่อนทับด้วยสูทสีขาว กางเกงขายาวทรงกระบอก ตอบคำถามเขาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

นี่คือนักบำบัดองค์รวมหนึ่งในสองคนของซังอวี๋ ชื่อว่าเลี่ยวอี้ฟาน

“พวกแกโฆษณาหลอกลวง!” ชายวัยกลางคนถลึงตาจ้องมอง “เรียกเจ้าของที่นี่ออกมา!”

“เรียกบอสออกมาก็เหมือนกัน ถ้าหากคุณรู้สึกว่าที่นี่ทำตามที่คุณคาดหวังไว้ไม่ได้ คุณสามารถไปที่หน้าเคาน์เตอร์แล้วทำเรื่องขอเงินคืนได้” เลี่ยวอี้ฟานพูดด้วยความสุภาพ เมื่อพูดจบก็หันหลังเดินกลับไปทันที

“เฮ้ย! นี่มันมารยาทอะไร” ชายวัยกลางคนโมโหจนแทบจะระเบิด ถลึงตาโตๆ คู่นั้นก่อนยกแก้วน้ำขึ้นดื่มเสียงดังอึกแล้ววางลงบนโต๊ะ “น้ำนี่มันร้อนลวกปาก คิดจะรังแกคนที่มีมือข้างเดียวอย่างฉันใช่ไหม”

พนักงานบริการที่อยู่ด้านข้างรีบเปลี่ยนน้ำให้เขาทันทีแต่ก็โดนปฏิเสธ แล้วเขาก็อ้างว่าชั้นหนึ่งแอร์เย็นเกินไป จะขึ้นไปที่ชั้นสาม

“ชั้นสามเป็นพื้นที่เฉพาะ ลูกค้าวีไอพีถึงจะขึ้นไปได้ค่ะ” พนักงานบริการมองตามเขาที่เอาบัตรไปแตะที่ลิฟต์แล้วพยายามกดหมายเลขสาม แต่ทำอย่างไรไฟก็ไม่สว่างขึ้น

จั่นหลิงจวินถือแบบฟอร์มชุดหนึ่งเดินออกมาจากห้องทำงาน เห็นเซียวเซียวที่มาถึงแล้วก็พยักหน้าให้เล็กน้อย พยาบาลในชุดสีชมพูเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ชี้ไปที่ชายวัยกลางคนซึ่งกำลังโวยวายแล้วกระซิบอะไรบางอย่างกับเขา

ชายวัยกลางคนขึ้นไปชั้นสามไม่ได้ก็กลับมานั่งอย่างโมโห

จั่นหลิงจวินส่งแบบฟอร์มให้กับพยาบาล แล้วก้าวขายาวๆ ไปตรงหน้าชายวัยกลางคนก่อนยกมือขึ้นเล็กน้อย พยาบาลส่งแฟ้มผู้ป่วยของชายวัยกลางคนมาให้จั่นหลิงจวิน

“คุณหวังใช่ไหมครับ ข้อมือขวาขาด” จั่นหลิงจวินก้มหน้ากวาดตาดูแฟ้มผู้ป่วย “ไม่ทราบว่าสิ่งที่คุณต้องการคือ?”

“ผมต้องการให้พวกคุณรักษามือของผมให้หายดีเหมือนเดิม ผมจ่ายเงินไปตั้งมาก ไม่ได้มาเพื่อออกกำลังกายนะ” ชายวัยกลางคนใช้น้ำเสียงไม่ดีกับหญิงสาว แต่เมื่อเจอจั่นหลิงจวินที่หนักแน่นภูมิฐาน น้ำเสียงก็อ่อนลงไปหลายส่วน

คนที่เพิ่งจะสูญเสียอวัยวะมักจะเรียกร้องการฟื้นฟูที่เกินกว่าความเป็นไปได้ ซังอวี๋เจอคนแบบนี้จนเป็นเรื่องปกติ นอกจากลูกค้าที่อยากรู้อยากเห็นแล้ว พนักงานคนอื่นๆ ก็หันกลับไปทำงานของตัวเองต่อ

ขณะเดียวกันหลี่เหมิงก็ออกมาจากห้องกายภาพบำบัดเพื่อดื่มน้ำ เมื่อเห็นเซียวเซียวเดินมาเขาก็เอ่ยทักทาย “คุณเซียว ได้ยินว่าคุณเตรียมจะเข้าคลาสศิลปะการต่อสู้ของผม”

ชายหนุ่มร่างกำยำเดินเข้ามาใกล้ด้วยความกระตือรือร้น

เซียวเซียวถอยหลังโดยอัตโนมัติทันที ก่อนมองหลี่เหมิงตั้งแต่หัวจรดเท้า “ครูสอนศิลปะการต่อสู้?”

“ถูกต้อง” หลี่เหมิงยิ้มจนเห็นฟันขาวเรียงเป็นแถว เดิมทีคลาสศิลปะการต่อสู้ของเขาไม่ค่อยมีคนสนใจ แต่จู่ๆ จั่นหลิงจวินก็บอกเขาว่าวันนี้จะมีนักเรียนหนึ่งคน ทำให้เขาเฝ้ารอเวลาห้าโมงเย็นอย่างใจจดใจจ่อ

“เอ่อ ฉัน…” คำปฏิเสธติดอยู่ที่ริมฝีปาก เมื่อเห็นสายตาเต็มไปด้วยความคาดหวังของชายหนุ่มร่างกำยำก็ทำให้เซียวเซียวไม่อาจจะปฏิเสธออกไปได้ ได้แต่หันหน้าไปถลึงตาใส่จั่นหลิงจวินว่าทำไมถึงได้ปากไวเสียจริง

“ตอนนี้การฟื้นฟูที่ทันสมัยที่สุดก็คือการซื้อมือไบโอติกที่ผลิตจากทางยุโรป ซึ่งสามารถแทนที่มือได้ทั้งหมด ส่วนเรื่องราคานั้นค่อนข้างสูง” จั่นหลิงจวินหยิบแคตตาล็อกที่อยู่บนโต๊ะน้ำชาส่งให้ดู “ถ้าคุณเห็นด้วย ผมสามารถติดต่อทางยุโรปเพื่อสั่งทำได้ครับ”

ชายวัยกลางคนมองราคาบนแคตตาล็อกแล้วเกิดความลังเลขึ้นมา

“แน่นอนว่าถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้ นั่นก็หมายถึงเราไม่มีความสามารถเพียงพอ คุณจะลองไปสอบถามตามที่อยู่นี้ดูก็ได้” จั่นหลิงจวินหยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทส่งให้เขา

ชายวัยกลางคนรับนามบัตรมาดู ใบหน้าหยาบกระด้างนั้นพลันเปลี่ยนเป็นสีเขียวสลับแดง

“ที่ไหนกัน” เซียวเซียวถามครูสอนศิลปะการต่อสู้คนใหม่

“เขาอู่ไถ” หลี่เหมิงกระซิบเสียงเบา

“…” เซียวเซียวได้ยินดังนั้นก็ถึงกับจนคำพูดไปทันที

มีหมอที่ไหนจะบอกให้คนไข้ไปเขาอู่ไถ เพราะนั่นแปลว่า ‘ถ้าฉันรักษาไม่ได้ คุณก็ได้แต่สวดอ้อนวอนต่อเทพเจ้าแล้วล่ะ’

เซียวเซียวยกมือขึ้นปิดตา ไม่กล้ามองดูสีหน้าของชายมือด้วนคนนั้นต่อ

ชายวัยกลางคนโมโหมาก เขาหายใจเข้าออกแรงๆ ก้มหน้ากำหมัดแน่น มองดูแล้วเหมือนพร้อมที่จะพุ่งเข้าใส่จั่นหลิงจวินได้ตลอดเวลา

จั่นหลิงจวินยังคงทำท่าเหมือนพูดเรื่องสบายๆ แล้วหยิบแคตตาล็อกอีกเล่มมาเปิดขึ้นอย่างช้าๆ “แน่นอนว่าถ้าคุณยินดีที่จะลดความคาดหวังลง ก็สามารถเลือกมือเทียมแบบนี้”

มือไบโอติกที่สามารถทำงานแทนมือปกติได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ต้องสั่งทำจากทางยุโรปซึ่งเพิ่งจะคิดค้นขึ้นมาได้ โดยยังไม่ได้ผลิตจำนวนมาก ราคาสั่งทำจึงสูงยิ่ง ไม่ใช่ว่าคนธรรมดาจะสามารถยอมรับราคานี้ได้ คนไข้ที่เสียแขนหรือขาจะเลือกอวัยวะเทียมแบบธรรมดา

วัตถุประสงค์หลักก็คือเพื่อความสวยงาม เมื่อสวมถุงมือแล้วก็ไม่แตกต่างจากคนปกติ แบบที่แพงหน่อยก็จะสามารถใช้มืออีกข้างหนึ่งในการบังคับการจับแบบง่ายๆ ได้ด้วย

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ชายวัยกลางคนที่ไม่รู้ว่าจะหาทางลงอย่างไรจึงแกล้งทำเป็นรับมาดูอย่างไม่ใส่ใจเท่าไร เมื่อเห็นราคามือเทียมกับความสามารถและคำแนะนำแล้ว อารมณ์ก็ดูเย็นลงมาก

“ทางเราแนะนำให้คุณใช้แบบนี้ เพราะยังไงซะมือไบโอติกก็เพิ่งถูกคิดค้นขึ้นมา ยังไม่ค่อยสมบูรณ์ มือไบโอติกต้องทำการผ่าตัดเพื่อเชื่อมเส้นประสาทและไม่อาจถอดออกได้ ส่วนอวัยวะเทียมปกติสามารถถอดได้ตลอดเวลา คุณลองแบบนี้ดูก่อน รออีกสักสองสามปีจนเทคโนโลยีก้าวหน้ากว่านี้ค่อยเปลี่ยนเป็นมือไบโอติกก็ยังได้” จั่นหลิงจวินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบรื่นและเป็นจังหวะ ไม่ได้รีบร้อนแต่ก็ไม่ได้ช้าจนเกินไป ทำให้คนฟังคล้อยตามได้โดยไม่รู้ตัว

แล้วก็เป็นดังที่คาดไว้ ชายวัยกลางคนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เริ่มคล้อยตาม จั่นหลิงจวินลุกขึ้น แล้วก็มีผู้จัดการที่ทำหน้าที่จัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือราคาสูงเดินเข้ามาเชิญชายวัยกลางคนไปอีกห้องเพื่ออธิบายความแตกต่างของอวัยวะเทียมแต่ละรุ่น

เซียวเซียวมองตะลึงอ้าปากค้าง จั่นหลิงจวินมีวิธีจัดการจริงๆ ด้วย พูดแค่เพียงไม่กี่ประโยคก็จัดการเรื่องราวได้เรียบร้อย แล้วยังทำให้คนไข้จ่ายเงินเพิ่มขึ้นได้อีก

“นั่นคือลูกพี่ที่ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้” หลี่เหมิงซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เซียวเซียวมองจั่นหลิงจวินที่กำลังเดินห่างออกไปด้วยสายตาชื่นชม “คนไข้ทั่วๆ ไปนัดจะจัดให้เจออี้ฟานก่อน ถ้าจัดการยากถึงจะส่งไปให้ลูกพี่”

จัดการยากถึงจะส่งไปให้ลูกพี่? จัดการยาก?

เซียวเซียวรู้สึกเหมือนมีลูกธนูดอกใหญ่พุ่งเข้ามาพร้อมกับคำพูดของหลี่เหมิงและปักลงที่กลางหลัง ตอนนั้นพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ส่งเคสเธอให้กับจั่นหลิงจวิน นั่นก็แปลว่าในสายตาของคนที่ซังอวี๋เธอก็เป็นลูกค้าที่เรื่องมากน่ะสิ

‘ค่ะ อยากทราบว่าคุณต้องการรูปแบบไหนคะ’

‘เอ่อ…ต้องการแบบหล่อ สูงร้อยแปดสิบห้าเซ็นต์ขึ้นไป อบอุ่นอ่อนโยน เข้าอกเข้าใจคน’

มาหาหมอแท้ๆ แต่ยังเลือกรูปร่างหน้าตาส่วนสูง ช่างดูเป็นพวกคลั่งไคล้คนหล่อ หลงใหลเรื่องอย่างว่าจริงๆ ถึงได้ส่งฉันให้คุณหมอจั่นดูแลสินะ

และเซียวเซียวที่ดูสติล่องลอยอยู่ในตอนนี้ก็ถูกหลี่เหมิงลากไปโดยไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน ก่อนจะเริ่มเรียนคลาสศิลปะการต่อสู้ที่เขาคาดหวังว่าจะสอนมานานแล้ว

“ที่ชั้นสามมีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรเหรอ” ร่างกายของเซียวเซียวไม่อาจออกแรงหนักๆ ได้ จึงได้แต่เรียนท่าพื้นฐานเท่านั้น ขณะที่ทำท่าไปก็ซักถามพูดคุยกับครูฝึกไปด้วย

หลี่เหมิงนิ่งคิดอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ “มีทุกอย่าง”

“…” ถามแล้วก็เหมือนไม่ได้ถาม

เซียวเซียวทำการวอร์มดาวน์พลางคิดถึงสิทธิพิเศษของบัตรวีไอพีที่พนักงานหน้าเคาน์เตอร์พูดถึง

ได้รับบริการนอกสถานที่ฟรีเดือนละสามครั้ง และมีสิทธิ์เข้าใช้บริการที่ชั้นสาม

 

“บัตรวีไอพีต้องเติมเงินทีเดียวหนึ่งล้านหยวนและต้องมีลูกค้าวีไอพีคนอื่นแนะนำด้วยถึงจะได้ค่ะ” เถียนเถียนพนักงานหน้าเคาน์เตอร์พูดด้วยหน้าตาใสซื่อบริสุทธิ์

หนึ่งล้าน…เฮ้อ…

เซียวเซียวแอบหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา พอเปิดออกก็พบว่ามีท่านประธานเหมา อยู่ไม่กี่ใบ สายวัด และสลิปบัตรเครดิต

“ที่นี่มีผู้มีอุปการคุณรายใหญ่สนับสนุน จึงได้มอบบัตรวีไอพีให้กับพวกเขา แต่ข้างในเป็นบัตรเปล่าไม่มีเงิน” เมื่อเห็นเซียวเซียวทำท่าหมดหวัง เถียนเถียนจึงรีบอธิบายต่อ “วีไอพีส่วนใหญ่จะเป็นคนมีชื่อเสียงในวงสังคม จริงๆ แล้วพวกเขาก็ไม่ต้องการบริการแบบนี้เท่าไหร่หรอกค่ะ”

การบริการตรวจรักษาฟื้นฟูนอกสถานที่ไม่ได้สะดวกและได้ผลดีเหมือนกับการรักษาที่สโมสรเพราะมีข้อจำกัดด้านเครื่องมือ สำหรับคนทั่วไปก็ไม่มีความจำเป็นสักเท่าไรจริงๆ มีเพียงแต่พวกที่มีชื่อเสียงไม่อาจเปิดเผยตัวได้ถึงจะต้องการบริการแบบนี้

เซียวเซียวยักไหล่ เก็บสายวัดเข้าไปในกระเป๋าสตางค์อย่างเดิม มีคำพูดที่ว่ามีเครื่องมือทำมาหากินติดเอาไว้สามารถเรียกเงินเรียกทองได้ ดังนั้นในกระเป๋าสตางค์ของเธอจึงมีสายวัดตัวแบบม้วนติดอยู่ตลอดเวลา

“ผมนัดแฟนเอาไว้ ไปก่อนนะ” ซ่งถังสวมกางเกงยีนและรองเท้าสเก็ตบอร์ดพุ่งเข้ามากล่าวลาที่หน้าเคาน์เตอร์

เซียวเซียวมองไปที่ซ่งถังนักโภชนาการซึ่งดูไม่ออกว่าเป็นหมอหรือคนไข้กันแน่ ก่อนจะพลันคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

ปัญหาของที่นี่อยู่ตรงที่ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนสถานที่สำหรับการรักษาฟื้นฟู ไม่สามารถแยกนักบำบัดกับลูกค้าออกได้เลยจริงๆ โชคดีที่ตอนนั้นเธอยังหน้าบาง ถึงไม่กล้าพูดอะไรที่ไม่สมควรออกมา ไม่อย่างนั้นจั่นหลิงจวินต้องเลกเชอร์ความหมายของคำว่า ‘ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล’ แน่ๆ

ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าพวกเขาไม่มีชุดพนักงานที่เป็นแบบเดียวกันนี่เองสินะ

 

ในเวลาเดียวกับที่จั่นหลิงจวินเลิกงาน เซียวเซียวก็รวบรวมความกล้าเดินออกไปพร้อมกับเขา เมื่อรถยังเข้าซ่อมอยู่ คุณหมอจั่นผู้นี้ก็เลยจำเป็นจะต้องเข้าไปเบียดในรถไฟฟ้า และทั้งสองคนก็ไปทางเดียวกันเสียด้วย

“จะว่าไปนักบำบัดอย่างพวกคุณทำไมถึงไม่สวมยูนิฟอร์มล่ะ ใส่เสื้อผ้าไม่ซ้ำกันทุกวันแบบนี้ ดูแล้วแยกไม่ออกว่าใครเป็นหมอใครเป็นคนไข้กันแน่นะ” เซียวเซียวเริ่มโยนหินถามทางก่อน

“ยูนิฟอร์มมันน่าเกลียด” จั่นหลิงจวินที่กำลังศึกษาเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติหันมาตอบ แล้วจึงสอดธนบัตรยี่สิบหยวนเข้าไปในตู้

“นั่นก็เพราะไม่ได้ดีไซน์ดีๆ น่ะสิ” เซียวเซียวตาเป็นประกายขึ้นมาทันที รู้สึกว่าตัวเองมองเห็นโอกาสทางธุรกิจจึงรีบเปิดการขายต่อ “ถ้าฉันออกแบบยูนิฟอร์มให้กับพวกคุณเป็นไง จะเปลี่ยนเนื้อผ้าไปตามลักษณะงานของแต่ละคน แล้วยังดูสวยงามทันสมัยอีกด้วย”

จั่นหลิงจวินดึงบัตรใช้ครั้งเดียวพร้อมกับเงินทอนออกมา “ค่าออกแบบของแอลวายไม่ถูก เราไม่มีงบประมาณเหลือแล้ว”

“ไม่ต้องจ่ายเงิน” เซียวเซียวเดินตามเขาเข้าไปในสถานี “ฉันออกแบบให้พวกคุณฟรี แค่ให้บัตรวีไอพีฉันก็พอ”

จั่นหลิงจวินหรี่ตามองเธอแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ

“ทำไม ดูถูกฝีมือออกแบบของฉันเหรอ” เซียวเซียวมองเขาอย่างเคืองๆ เล็กน้อย “ฉันเป็นดีไซเนอร์เหรียญทองของแผนกเสื้อผ้าสำเร็จรูปนะ อีกหน่อยก็จะกลายเป็นสุดยอดดีไซเนอร์ระดับโลก อีกห้าปีไม่พูดถึงบัตรเปล่าๆ ต่อให้มีเงินห้าล้านอยู่ในบัตรก็ใช่ว่าจะเรียกให้ฉันออกแบบได้นะ”

ในเวลานั้นเองเสียงขบวนรถไฟฟ้าแล่นเข้าสู่สถานีก็ดังขึ้นจากที่ไกลๆ

“ขอทางหน่อยๆ จะขึ้นรถหรือเปล่า ไม่ขึ้นก็หลบหน่อย” หญิงชราที่ถือตะกร้าผักยืนอยู่ด้านหลังทั้งสองร้องตะโกนอย่างรีบร้อน เมื่อเห็นหนุ่มสาวสองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าไม่ยอมขยับก็พยายามเบียดตัวอ้วนๆ เตี้ยๆ ออกมา

เส้นทางสายนี้ค่อนข้างเก่า บริเวณริมรางรถไฟฟ้าจึงไม่มีประตูกั้นอีกชั้น เซียวเซียวมัวแต่พูดคุยจนไม่ทันระวังตัวจึงโดนร่างอ้วนๆ ของหญิงชราชนเข้าอย่างจังและล้มลงที่พื้นริมขอบชานชาลา

วู… ลมเย็นๆ พัดวูบขึ้นขณะที่รถไฟฟ้าวิ่งเข้าสถานีมา ชิ้นส่วนเหล็กกล้าขนาดใหญ่พุ่งตัวออกมาจากอุโมงค์อันดำมืดราวกับเป็นสัตว์ร้ายที่กำลังจะกลืนกินผู้คน เพียงพริบตาเดียวก็สามารถกลืนกินคนตัวเล็กๆ อย่างเซียวเซียวลงไปได้ทั้งตัว

“ว้าย!” คนรอบข้างที่เห็นเหตุการณ์กรีดร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ

บทที่ 6

 เซียวเซียวตกใจกลัวจนขนหัวลุก เธอประคองตัวยืนอยู่ตรงขอบเส้นเหลือง ถ้าล้มต้องตกลงไปที่รางรถไฟฟ้าขนาดสองเมตรนั่นแน่ๆ

ทันใดนั้นมือแข็งแรงข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาคว้าไหล่เธอไว้แล้วกระชากกลับเข้ามาได้ทันก่อนที่จะถูกขบวนรถไฟฟ้าพุ่งเฉียดศีรษะไป

แผ่นหลังแนบไปกับแผ่นอกที่กระชับและอบอุ่น หัวใจของเซียวเซียวที่ราวกับถูกโยนขึ้นไปสูงเป็นหมื่นเมตรจนแทบจะระเบิดออกก็พลันหยุดลง เธอยังยืนงงไม่ได้สติอยู่พักใหญ่

ยามนั้นเองมือใหญ่ก็ค่อยๆ ยื่นออกมากุมมือเล็กที่สั่นเทาเอาไว้

“ไม่เป็นไรใช่ไหม” จั่นหลิงจวินไม่กล้าปล่อยเซียวเซียวทันทีด้วยกลัวว่าเธอจะเข่าอ่อนล้มลงไป ในขณะที่มือข้างหนึ่งนั้นจับมือเธอไว้ อีกข้างหนึ่งก็พยายามคว้าจับตัวหญิงชราที่พยายามจะหนี

“จะทำอะไรน่ะ” หญิงชราพยายามสลัดมือของอีกฝ่ายออก

เมื่อครู่ผู้คนรอบข้างไม่ทันสังเกตเห็นหญิงชรา แต่พอได้ยินเสียงโต้เถียงกันจึงหันมามอง

“เมื่อกี้ยายเกือบจะฆ่าเธอแล้วนะ” จั่นหลิงจวินจับแขนหญิงชราไว้แน่นเหมือนเป็นกุญแจมือ เอ่ยพูดทีละคำอย่างชัดเจน

“โอ๊ย คุณพูดเองเออเองเลยนะ เมื่อกี้ทุกคนก็เห็น ฉันทำอะไรที่ไหนกัน” หญิงชราเท้าเอว ท่าทางเหมือนไม่กลัวอะไร

จั่นหลิงจวินไม่สนใจหญิงชรา เขาหันไปทางเด็กสาวที่อยู่ในชุดนักเรียนแล้วบอกว่า “รบกวนโทรแจ้งตำรวจที”

“ได้…ได้ค่ะ” เมื่อเด็กสาวได้เห็นหน้าจั่นหลิงจวินชัดๆ หน้าก็แดงเรื่อขึ้นทันที แล้วรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกอย่างว่าง่าย

เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายจะแจ้งตำรวจ หญิงชราก็ลนลาน พยายามดิ้นรนเพื่อจะหนี “ฉันต้องไปรับหลานอีกนะ ไม่มีเวลามาวุ่นวายกับพวกเธอ”

คนที่รีบก็ขึ้นรถไฟฟ้าไป คนที่ไม่รีบก็รอดูเหตุการณ์

เมื่อที่สถานีเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย เจ้าหน้าที่ประจำสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินก็เข้ามา

“เจ้าหน้าที่รีบมาจัดการเร็ว สองคนนี้ข่มขู่เอาเงิน” หญิงชราร้องตะโกนออกมา

เมื่อเจ้าหน้าที่เดินมาถึงจึงให้จั่นหลิงจวินปล่อยมือหญิงชราเสียก่อนเพื่อสอบถามถึงต้นสายปลายเหตุ หญิงชราไม่ยอมขอโทษและยืนยันว่าทั้งสองคนขู่จะเอาเงิน

“เมื่อกี้ยายผลักพี่สาวคนนี้” เด็กนักเรียนชั้นประถมที่สะพายเป้ตะโกนออกมาเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม

“นั่นสิ ฉันก็เห็น เกือบทำให้ผู้หญิงคนนี้ตกลงไปแล้ว”

“แถวชานชาลามีอันตรายมาก ทำไมถึงผลักกันได้”

คนรอบข้างต่างพากันพูดขึ้นมา หญิงชราเห็นสถานการณ์ไม่ดี มือจับตะกร้าแน่นเตรียมจะวิ่งหนี แต่ถูกตำรวจที่มาทันเวลาจับตัวเอาไว้

เมื่อเห็นว่าตำรวจมา หญิงชราก็ยิ่งร้อนรน “ฉันขอโทษได้ไหม ขอโทษนะแม่หนู ฉันจะรีบไปรับหลาน เห็นพวกเธอสองคนยืนคุยกัน เลยคิดว่าพวกเธอยังไม่ไป ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ”

ตอนนี้เซียวเซียวตั้งสติได้แล้ว ตัวเธอเองก็ไม่ได้เป็นอะไรจึงคิดจะให้แล้วกันไป

แต่จั่นหลิงจวินที่อยู่ข้างๆ กลับไม่เห็นด้วย

“นี่มันเจตนาฆ่าคนตาย ขัดขวางความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ ไม่ใช่ว่าเธอพูดว่าไม่เป็นไรก็จบกันได้”

เดิมทีตำรวจตั้งใจว่าจะอบรมสั่งสอนหญิงชรานิดหน่อยแล้วก็จบกันไป ทว่าเมื่อได้ยินจั่นหลิงจวินพูดถึงความสงบเรียบร้อยของสาธารณะแล้วมองผู้โดยสารที่บันทึกวิดีโออยู่ด้านข้าง สีหน้าท่าทางจึงพลันเคร่งขรึมขึ้นมาทันที

“ไปกับพวกเราหน่อย” ตำรวจก้าวไปจับหญิงชราไว้ ก่อนจะหันกลับไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ประจำสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน “รบกวนช่วยเอาบันทึกในกล้องวงจรปิดออกมาด้วย พวกเราต้องบันทึกหลักฐาน”

ดังนั้นเดิมทีเซียวเซียวคิดจะกลับบ้านเข้านอนเร็วๆ แต่ตอนนี้เธอกลับต้องไปสถานีตำรวจแทน

 

เนื่องจากเซียวเซียวไม่ได้ตกจากชานชาลาและยังไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น ทำให้ไม่สามารถเอาผิดหญิงชราได้ อย่างไรก็ตามผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์มีจำนวนมาก พรุ่งนี้อาจเกิดเป็นข่าวใหญ่ หลังจากทบทวนดูแล้วทางตำรวจจึงได้กักตัวหญิงชราเอาไว้ก่อนโทษฐานที่ทำลายความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ

เมื่อออกจากสถานีตำรวจท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว ยามค่ำคืน ณ ตลาดกลางคืนบนถนนสายหนึ่งของปักกิ่งประดับด้วยโคมแดง เมื่อมองจากระยะไกลจะเห็นสีแดงสว่างราวกับทั่วทั้งท้องฟ้าแขวนกุ้งมังกรตัวเล็กๆ ไว้เต็มไปหมด

“วันนี้โชคดีที่มีคุณอยู่ด้วย คุณช่วยฉันไว้อีกครั้งแล้ว” เมื่อเซียวเซียวคิดถึงเรื่องเมื่อครู่ก็เกิดความกลัวขึ้นมา จึงหันไปกล่าวขอบคุณจั่นหลิงจวินด้วยความจริงใจ เมื่อคราวที่แล้วถึงไม่มีจั่นหลิงจวินช่วยเหลือก็ไม่เป็นไรเพราะเรื่องไม่ได้ร้ายแรงถึงแก่ชีวิต แต่วันนี้ไม่เหมือนกัน หากไม่ใช่เพราะว่าจั่นหลิงจวินปฏิกิริยาว่องไวแล้ว เธอคงถูกรถไฟฟ้าชนเละจนกลายเป็นเศษเนื้อ “ฉันขอเลี้ยงมื้อค่ำคุณนะ”

จั่นหลิงจวินก้มหน้ามองเธอ เพราะช่วงนี้มีการควบคุมตารางการใช้ชีวิตประจำวันและอาหารการกิน ตอนนี้ใบหน้าของเธอจึงไม่บวมอย่างเดิมอีกแล้ว เมื่อแก้มป่องๆ ของเธอถูกโคมไฟแดงๆ ส่องมาก็เหมือนกับวุ้นของปลาทองที่อยู่ในสระบัว ดูแล้วรู้สึกว่าน่ารักขึ้นมา “กินมื้อค่ำไม่ดีนะ”

“โอ๊ย แค่ครั้งเดียวเองนะ ฉันเพิ่งรอดตายมาได้ ยังไงก็ขอฉลองสักหน่อย” เซียวเซียวพูดไม่หยุดพร้อมกับดึงแขนจั่นหลิงจวินไปยังร้านอาหารที่เธอมาบ่อยๆ

จากนั้นกุ้งมังกรน้อยสองกิโลกรัมครึ่งก็กองเต็มอยู่ในจาน กลิ่นหม่าล่าหอมหวนลอยขึ้นมา ทำเอามืออยู่นิ่งไม่ได้อีกต่อไป

จั่นหลิงจวินสวมถุงมือแล้วหยิบกุ้งขึ้นมาตัวหนึ่ง น้ำมันพริกสีแดงรสชาติเผ็ดร้อนไหลหยดลงมาตามตัวกุ้ง รับรองว่าเป็นอาหารที่ทั้งเผ็ดทั้งมัน ซึ่งนี่เป็นอาหารต้องห้ามในชีวิต “คุณยังกินยาอยู่ พยายามอย่ากินเผ็ด” ไม่ใช่เพราะว่าพริกจะล้างยา แต่เพราะยาสมัยใหม่จะกัดกระเพาะ ถ้ายังกินอาหารเผ็ดจัดจะทำให้กระเพาะและลำไส้รับภาระหนักเกินไป

“แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวน่า นี่ฉันเกือบจะไม่มีชีวิตรอดมากินแล้วนะ” เซียวเซียวหยิบคีมขึ้นมาแกะเปลือกกุ้งไม่หยุด ใช้เพียงแค่สองสามทีก็แกะเปลือกกุ้งออกได้หมด ก่อนจะจุ่มลงไปในน้ำจิ้มที่เข้มข้นแล้วกินเข้าไปทั้งคำ อา…ชีวิตสมบูรณ์แล้ว

แววตาของจั่นหลิงจวินมีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นมา เขาก้มหน้าลงแกะเปลือกกุ้งบ้าง มือซ้ายสวมถุงมือ มือขวาถือตะเกียบ บิดหัวกุ้ง ขยับซ้ายขวาแล้วดึงเปลือกกุ้งตามด้วยดึงขี้กุ้งออกมา ก่อนจะเอาเปลือกกุ้งวางไว้ในจานใส่เศษอาหารข้างๆ แล้วจัดการแกะเปลือกกุ้งทั้งตัวอีกครั้ง หลังจากกินไปห้าตัว จานใส่เศษอาหารตรงหน้าเขาก็มีเปลือกกุ้งที่เป็นทรงวางอยู่ห้าตัว เป็นภาพที่งดงามจริงๆ

จั่นหลิงจวินเหลือบตามองเซียวเซียวที่กินจนปากแดงไปหมด “พูดกันว่าหญิงสาวมักจะปฏิเสธการกินอาหารที่มีเปลือกต่อหน้าคนที่รู้สึกดีด้วย”

เซียวเซียวกะพริบตาปริบๆ เปลือกกุ้งกองอยู่เต็มโต๊ะ ท่าทางการกินช่างดุเดือดไม่น่าดูเลยสักนิด

นี่…กำลังหลอกด่าว่าฉันไม่รักษาภาพลักษณ์ใช่ไหม

เซียวเซียวกัดฟันพูดออกไปว่า “งั้นฉันเป็นผู้หญิงคนแรกที่เลี้ยงกุ้งมังกรคุณหรือเปล่า ผู้หญิงคนอื่นเห็นคุณแล้วก็คงไม่กล้าแม้แต่จะเดินเข้ามาด้วยซ้ำมั้ง”

จั่นหลิงจวินทำท่าคิดอย่างจริงจังแล้วจึงตอบว่า “ก็ใช่”

“ฮ่าๆ” เซียวเซียวหัวเราะพลางแกะเปลือกกุ้งต่อไป “ไม่อาจเป็นสาวน้อยที่งดงามได้ แต่ขอเป็นครั้งแรกของคุณก็ไม่เลวเหมือนกันนะ”

“…” มือของจั่นหลิงจวินที่ถือกุ้งอยู่ถึงกับชะงักค้าง เขาเอียงคอนิดๆ มองเซียวเซียวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “นี่แซวผมเหรอ”

ชายหนุ่มรูปหล่อสูงใหญ่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำท่าเอียงคอเหมือนแมวน้อย

เซียวเซียวมองเขาด้วยใจเต้นระรัว เกือบจะยื่นมือออกไปสัมผัสใบหน้าหล่อเหลานั้นแล้ว เธอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะแสร้งทำเป็นพูดเสียงใหญ่อย่างนักเลงว่า “ถูกต้อง”

สีหน้าจั่นหลิงจวินเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาหรี่ตาลงมองเซียวเซียว มือยกตะเกียบขึ้นแล้วแย่งกุ้งที่แกะเปลือกแล้วในมือของเธอมา

“…” เซียวเซียวรู้สึกอึ้งงันกับปฏิกิริยาเช่นนี้ของเขา

กุ้งมังกรหนึ่งมื้อนี้ทำให้เซียวเซียวรู้จักอีกด้านของจั่นหลิงจวินเพิ่มขึ้นอีกแล้ว

เมื่อกลับถึงบ้านเซียวเซียวนอนหงายอยู่บนเตียงพลางคิดถึงเหตุการณ์ที่กินอาหารมื้อดึกกับจั่นหลิงจวินในคืนนี้ ก่อนจะดึงหมอนเข้ามากอดแล้วกลิ้งไปกลิ้งมาพลางหัวเราะไม่หยุดเหมือนคนเสียสติ

เมื่อคิดถึงเรื่องที่พูดกันก่อนถูกหญิงชราขัดจังหวะ เธอจึงตัดสินใจว่าจะไปที่ซังอวี๋เพื่อขายงานต่อ

ถ้าเป็นเมื่อก่อนรับรองว่าเธอคงไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้เด็ดขาด อาจเป็นเพราะว่าตอนนี้มีไขมันมาพอกอยู่บนหน้า หนังหน้าเลยหนาขึ้นสินะ

เมื่อเปิดวีแชตดูรูปโพรไฟล์ ‘แก้วชานม’ ของจั่นหลิงจวิน เซียวเซียวก็ทอดถอนใจออกมาแล้วพลันรู้สึกหมดแรงใจ เธอก็เหมือนตัวประกอบในนวนิยายที่รักไม่สมหวัง ได้แต่ซ่อนตัวอยู่ตามมุมเพื่อแอบมองตัวเอกแล้วเจ็บปวดใจอยู่เพียงคนเดียว

“วันนั้นฉันดื่มเหล้าจนเมาแล้วจับมือของเธอไว้ พูดอะไรเพ้อเจ้อออกไป…” เซียวเซียวใช้รีโมตแอร์แทนไมโครโฟนร้องเพลงเศร้าๆ ขึ้นมา “ในสายตาของเธอมันเป็นเพียงแค่เรื่องตลก ฉันจึงเจ็บปวด แม้กลิ่นอายของเธอยังเหลือทิ้งไว้ในมือฉัน…”

เมื่อยกมือเข้ามาใกล้มากขึ้นก็มีกลิ่นเหม็นกลิ่นหนึ่งลอยมา มันคือกลิ่นของกุ้งมังกรน้อย…

“…” นักร้องเซียวเซียววาง ‘ไมโครโฟน’ หมดอารมณ์ที่จะร้องเพลงต่อในทันใด

 

ฉินย่าหนานไม่ได้คุยกับเซียวเซียวมาสามวันแล้ว เซียวเซียวเองก็ขี้เกียจจะสนใจ เพื่อบัตรวีไอพีของซังอวี๋ เธอจึงใช้เวลาในช่วงเช้าออกแบบยูนิฟอร์มให้กับพนักงานของซังอวี๋ ส่วนงานของบริษัทก็ไว้ทำในช่วงเวลาทำงาน ปริมาณงานที่มีจึงเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ไม่มีเวลาสนใจเรื่องทะเลาะเบาะแว้งไร้สาระใดๆ อีก

วันนี้เป็นวันที่จั่นหลิงจวินเข้าเวร เซียวเซียวตั้งใจจะเลิกงานเร็วเป็นพิเศษ ตอนบ่ายสามโมงตรงก็เริ่มเก็บของเตรียมออกจากบริษัท แต่กลับได้รับโทรศัพท์ที่ไม่คาดคิด

“โจวเชี่ยน” เซียวเซียวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เธอคนนี้เป็นเพื่อนร่วมสถาบันเดียวกับเซียวเซียว ตอนที่เรียนหนังสือด้วยกันเซียวเซียวสนิทกับโจวเชี่ยนมากกว่าฉินย่าหนาน แล้วโจวเชี่ยนคนนี้ก็เป็นเพื่อนซี้กับฉินย่าหนาน

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ วันนี้ฉันออกมาทำธุระใกล้ๆ บริษัทพวกแก จะให้เกียรติกินข้าวด้วยกันหน่อยได้ไหม” เพราะโจวเชี่ยนเป็นไซนัส เวลาพูดจึงมีเสียงขึ้นจมูกตลอดเวลา

เซียวเซียวกวาดตามอง เห็นฉินย่าหนานกำลังมองมาทางนี้ เธอจึงเข้าใจเจตนาของคนที่โทรเข้ามาทันที “ทำไมถึงไม่โทรมาบอกเร็วหน่อย คืนนี้ฉันมีนัดแล้ว”

“หา? งั้นแกออกมาดื่มชาสักแก้วนะ กว่าฉันจะออกจากถนนวงแหวนรอบที่ห้า มาถึงแถวนี้ไม่ง่ายเลย เรียกย่าหนานมาด้วยนะ” โจวเชี่ยนรวบรัดตัดความแล้วยังบอกสถานที่นัดหมายด้วย ซึ่งก็คือร้านขนมหวานที่อยู่ตรงข้ามบริษัทนี่เอง

เมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วเซียวเซียวก็ไม่อาจปฏิเสธต่อไปได้ แต่ก็ไม่อยากพูดอะไรกับฉินย่าหนาน จึงเอ่ยปากไปว่า “แกบอกย่าหนานเองก็แล้วกัน ฉันออกมาแล้ว” พูดจบเธอก็ถือของเดินตรงออกไปทันที

ฉินย่าหนานกัดฟันแน่นแล้วลุกขึ้นตามไป ก่อนจะรีบเดินเข้าไปในลิฟต์ที่เซียวเซียวกำลังจะกดปิด

ในลิฟต์มีเพียงพวกเธอสองคนเท่านั้น บรรยากาศจึงอึดอัดมาก

ฉินย่าหนานสูดหายใจเข้าลึกแล้วเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน “แกจะไม่พูดกับฉันจริงๆ เหรอ”

“ก็ไม่นี่ สองสามวันนี้ยุ่งมาก แล้วก็ไม่มีอะไรจะพูดด้วย” เซียวเซียวก้มหน้าตอบวีแชตของเพื่อนรักอย่างเหลียงจิ้งเหยาที่ส่งมา ตอนนี้อีกฝ่ายไปทำงานที่ฮ่องกง กำลังช็อปปิ้งกระหน่ำ ซื้อของมากองพะเนินแล้วถ่ายรูปส่งมาอวดให้เธอดู

 

เสี่ยวเสี่ยวปู้ : ทำไมถึงมีเนกไทด้วยล่ะ

ต้าต้าเหยา : ก็เอาไว้ให้ผู้ชายน่ะสิ

เสี่ยวเสี่ยวปู้ : เชอะ บอกมา ให้พ่อหรือให้พี่ชาย

ต้าต้าเหยา : หุบปากแกซะ แกนี่รู้ดีจริงๆ ฉันว่ากระโปรงตัวนี้แกคงไม่อยากได้แล้วใช่ไหม

เสี่ยวเสี่ยวปู้ : อยากได้ๆๆๆ ท่านอ๋องหญิง ข้าน้อยผิดไปแล้ว

 

แม้ตอนนี้มือจะพิมพ์ส่งข้อความไร้สาระ แต่ใบหน้าของเซียวเซียวกลับยังคงเย็นชาเหมือนกับจงใจทิ้งฉินย่าหนานไว้อย่างนั้น

เพียงชั่วครู่ลิฟต์ก็ลงมาถึงชั้นล่าง ทั้งสองคนเดินออกมาด้วยกัน โจวเชี่ยนที่ยืนรออยู่โบกมือด้วยความยินดี โจวเชี่ยนสูงกว่าเซียวเซียวเล็กน้อย อาจเป็นเพราะโครงร่างใหญ่จึงทำให้ดูตัวหนา หน้าอกคัพอีกระเพื่อมขึ้นลง ดูเหมือนลูกบาสเกตบอลสองลูก

 

“ทางฉันก็แค่บริษัทเล็กๆ จะไปเทียบกับพวกแกได้ยังไง บอสฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือการออกแบบ คิดแต่ว่าจะขายของเถาเป่า ให้รวย” โจวเชี่ยนสั่งของหวานมาสามจานแล้วก็พูดถึงเรื่องนี้ พูดอ้อมอยู่พักใหญ่จึงได้พูดถึงเซียวเซียวกับฉินย่าหนาน “แล้วนี่พวกแกทะเลาะกันเหรอ”

“เปล่า” / “อืม”

เซียวเซียวกับฉินย่าหนานพูดพร้อมกันแต่คำตอบกลับสวนทางกัน

โจวเชี่ยนหัวเราะฝืนๆ “เซียวเซียว จริงๆ เรื่องของพวกแกย่าหนานเล่าให้ฉันฟังแล้ว เรื่องนี้ย่าหนานทำไม่ถูก ฉันก็ต่อว่ามันไปแล้ว แกก็อย่าโกรธมันเลยนะ”

โจวเชี่ยนตั้งใจจะมาเป็นกาวสมานใจให้ทั้งคู่ เซียวเซียววางช้อนลงแล้วใช้กระดาษเช็ดปาก “เรื่องเล็กน้อย ฉันลืมไปหมดแล้ว”

“วันนั้นฉันเพิ่งถูกด่า รีบร้อนจะกู้หน้าคืน หลงผิดก็เลยเอาความคิดของแกพูดออกไป ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ” ฉินย่าหนานรับรู้ถึงสายตาที่โจวเชี่ยนส่งมาให้ จึงรีบกล่าวขอโทษออกไป “ขอโทษนะเซียวเซียว”

ปกติฉินย่าหนานก็เป็นคนปากไม่มีหูรูด พูดอะไรผิดไปก็ไม่เคยขอโทษ วันนี้พอได้ยินคำพูดขอโทษออกจากปากอีกฝ่าย ทำเอาเซียวเซียวรู้สึกประหลาดใจไปเหมือนกัน เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เมื่อพูดกันขนาดนี้แล้ว ถ้ายังไม่ยอมลงให้อีกก็แปลว่าเธอเป็นคนใจแคบ เซียวเซียวจึงยกแก้วขึ้นชนกับฉินย่าหนาน ถือว่าเรื่องนี้ก็ให้แล้วกันไป

ทั้งสามคนกลับเข้าสู่บรรยากาศสมัยเรียนอีกครั้ง พูดคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่พักใหญ่ ก่อนที่เซียวเซียวจะมองดูเวลาเห็นว่าสายแล้วจึงขอตัวไปก่อน ปล่อยให้ฉินย่าหนานกับโจวเชี่ยนคุยกันต่อ

ตอนแรกพวกเธอทั้งสามคนก็มาสัมภาษณ์ที่บริษัทนี้ โจวเชี่ยนถูกคัดออกไปจึงต้องไปหางานที่บริษัทอื่น บริษัทที่โจวเชี่ยนทำงานนั้นออกแบบและผลิตสินค้าเอง มีแบรนด์ของตัวเองและรับผลิตตามคำสั่งลูกค้า แล้วยังรับผลิตโดยติดแบรนด์อื่น รวมทั้งขายสินค้าออนไลน์แบบไม่มีมาตรฐานด้วย

“หน้าเซียวเซียวเป็นอะไร” โจวเชี่ยนถามขึ้นหลังจากที่เซียวเซียวจากไปแล้ว

“ผลจากการกินยาน่ะ”

“เป็นโรคอะไรอ่ะ”

“ไม่รู้สิ…”

 

เซียวเซียววางรูปที่ออกแบบสเก็ตช์ทั้งสามไว้ตรงหน้าจั่นหลิงจวิน มีชุดนักโภชนาการ นักกายภาพบําบัด และชุดของพนักงานสาวหน้าเคาน์เตอร์ รูปแบบแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่กลับให้ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกัน

“นี่เป็นแค่รูปสเก็ตช์ ของจริงต้องสวยกว่านี้แน่นอน” เซียวเซียวอธิบายอย่างละเอียดต่อไปถึงเนื้อผ้าของแต่ละชุด “หลี่เหมิงต้องการการเคลื่อนไหวที่คล่องตัว เนื้อผ้าจึงต้องยืดหยุ่น แล้วเขาก็ชอบใส่เสื้อกล้าม”

จั่นหลิงจวินมองดูรูปตรงหน้าด้วยแววตาซับซ้อน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“เป็นไงบ้าง ช่วยพูดกับบอสของพวกคุณให้หน่อยนะ ออกแบบเสร็จแล้วฉันจะติดต่อกับโรงงานให้ ราคาถูกมากเลย” เซียวเซียวพยายามขายอย่างสุดกำลัง

“คุณสามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ไหม” จั่นหลิงจวินเงยหน้าขึ้นถามเธอ

“ได้แน่นอน ฉันจะถามพวกเขาทีละคนว่าพวกเขาต้องการอะไร” เซียวเซียวหยิบสายวัดกับสมุดเล่มเล็กๆ ออกมา “ถามก่อนเลยว่าคุณอยากใช้สีอะไร”

“สีดำ” จั่นหลิงจวินตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว

เซียวเซียวจดบันทึกแล้วเหลือบตาขึ้นมองเสื้อสีดำของจั่นหลิงจวิน แม้คนคนนี้จะสวมเสื้อสีดำแล้วดูดีมาก แต่ว่า…

“คุณหมอต้องเป็นเทวดาชุดขาวไม่ใช่เหรอ ทำไมคุณถึงใส่สีดำตลอดเลยล่ะ”

“ฟื้นฟูกับเจ็บป่วยหรือฉุกเฉินไม่เหมือนกัน ในฐานะดีไซเนอร์คุณควรจะเข้าใจความหมายระหว่างสีขาวกับสีดำสิ” จั่นหลิงจวินติดกระดุมแขนเสื้อ ผ้าสีดำใต้แสงไฟสว่างทำให้เห็นสีที่งดงามขึ้น “รักษาหายก็ถือว่าเป็นการต้อนรับแบบดูดีมีราคา ถ้ารักษาไม่หายก็บอกลาก่อนส่งลงโลงได้เลย”

สีดำเหมาะที่จะใช้ในบางสถานการณ์ แต่การอธิบายแบบนี้เซียวเซียวเพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก

เธออึ้งกับการตีความเรื่องสีของจั่นหลิงจวิน เมื่อคิดขึ้นได้ก็พูดอ้อมแอ้มว่า “คุณมีพรสวรรค์มากขนาดนี้ เรียนแพทย์ช่างน่าเสียดายจริงๆ”

สายงานด้านการออกแบบช่วงแรกนั้นต้องอาศัยความขยันอดทน แต่เมื่อถึงขั้นสูงไปแล้ววัดกันที่พรสวรรค์ซึ่งแต่ละคนมีอยู่ในตัว ความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ก็จะแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างดีไซเนอร์ระดับสูงกับดีไซเนอร์ธรรมดาได้

จั่นหลิงจวินก้มหน้าลงมองรูปชุดที่ออกแบบให้นักกายภาพบําบัดแล้วหัวเราะกับตัวเอง “ไม่ใช่พรสวรรค์อะไรหรอก แค่ได้รับการอบรมมาก็พอแล้ว”

อบรม? เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ต้องอบรมด้วยเหรอ

เซียวเซียวไม่ค่อยเข้าใจ แต่จั่นหลิงจวินก็ไม่คิดที่จะอธิบายอะไรต่ออีก เพียงส่งรูปที่เธอออกแบบคืนไป

ใช้ไม่ได้เหรอ

เซียวเซียวรับรูปสเก็ตช์กลับมา รู้สึกผิดหวังอยู่บ้างที่การขายผลงานของตัวเองเป็นครั้งแรกกลับล้มเหลวแบบนี้ “ก็ได้ ฉันรู้ว่าเงื่อนไขแบบนี้มันอาจจะดูไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าไหร่ แต่ยังไงซะ…”

เสียงเปิดลิ้นชักไม้ดังขึ้น เซียวเซียวเงยหน้าขึ้นก็เห็นจั่นหลิงจวินหยิบบัตรสีขาวออกมาจากลิ้นชักแล้ววางลงบนโต๊ะที่มันวาวจนส่องแทนกระจกได้ บัตรสีขาวจนเกือบจะใสใบนั้นดูแล้วสะอาดตายิ่ง มีเพียงรูปต้นไม้สีทองสองต้นอยู่ตรงกลางเท่านั้น

“ทำต่อไปแล้วกัน ถ้าสามารถทำให้ทุกคนในซังอวี๋ถูกใจได้ล่ะก็ บัตรใบนี้ก็จะเป็นของคุณ” จั่นหลิงจวินใช้นิ้วสองนิ้วคีบบัตรใบนั้นขึ้นมา เซียวเซียวแววตาเป็นประกาย ขณะที่เธอยื่นมือออกไปคว้า จั่นหลิงจวินกลับเบี่ยงมือหลบทันทีแล้วเก็บบัตรเข้าไปในลิ้นชักเหมือนเดิม

“คุณรอดูไว้ให้ดีๆ เถอะ” คนตรงหน้ายินดีจะใช้บัตรมาแลกเปลี่ยนกับการออกแบบของเธอ นั่นเป็นการยืนยันว่าการออกแบบของเธอมีค่า เซียวเซียวไม่อาจบังคับให้ตัวเองไม่ยิ้มได้ อยากจะท่องบทกลอน ‘ป๋อเล่อ* กับม้าพันลี้’ จริงๆ

 

ห้องกายภาพบำบัดกำลังคึกคักเรื่องการวัดตัว ทำเอาเลี่ยวอี้ฟานที่อยู่ในห้องรับรองหมายเลขสองออกมายืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง มองเซียวเซียวซึ่งกำลังวุ่นวายกับการวัดตัวหลี่เหมิงด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะหันกลับเข้าไปในห้องทำงานของจั่นหลิงจวิน

“คุณรู้ตัวไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่ ออกแบบชุดทำงานเพื่อแลกกับบัตรวีไอพี? ช่างตลกสิ้นดี” เลี่ยวอี้ฟานขมวดคิ้วพลางดันแว่นตากรอบทองตรงดั้งขึ้น

“จะให้บัตรกับใครผมเป็นคนตัดสินใจเอง” จั่นหลิงจวินเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่ค่อยชอบใจน้ำเสียงของรุ่นน้องนัก “การออกแบบของผู้มีความสามารถไม่อาจตีมูลค่าได้ มันมีมูลค่าสูงกว่าบัตรเปล่าใบนั้นมาก”

“ผู้มีความสามารถ?” เลี่ยวอี้ฟานหยิบรูปชุดที่เซียวเซียวออกแบบบนโต๊ะขึ้นดู มองไม่เห็นว่าตรงไหนที่จะเรียกว่า ‘ผู้มีความสามารถ’ ได้สักนิด

จั่นหลิงจวินยืนอยู่ตรงหน้าต่างบานสูง มองตัวเมืองที่กำลังจะเข้าสู่ยามค่ำคืนนอกหน้าต่าง ดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้ายังคงพยายามส่องแสงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเลือนหายไป จากนั้นก็เข้าสู่ค่ำคืนอันยาวนาน เขาเปล่งเสียงออกมาด้วยความเชื่อมั่น “ผู้มีความสามารถไม่ควรถูกปกปิดไว้”

เมื่อได้รับการยอมรับจากจั่นหลิงจวิน เซียวเซียวก็รู้สึกว่าตัวเองเต็มไปด้วยพละกำลัง เหมือนกับลาที่เห็นหัวแครอตแล้วพยายามดึงขึ้นมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

เสื้อผ้าที่เป็นซีรี่ส์เดียวกันแบบนี้เธอตัดสินใจนำแนวความคิดแบบโอตกูตูร์มาใช้ในการออกแบบ โดยจะออกแบบและเลือกใช้ผ้าตามลักษณะของลูกค้าแต่ละคน อย่างเช่นหลี่เหมิง ในฐานะที่เป็นนักกายภาพบำบัดและครูฝึกศิลปะการต่อสู้ เสื้อผ้าของเขาต้องแสดงออกถึงความมั่นคงหนักแน่นของอาชีพและต้องให้เขาสะดวกในการทำท่าทางต่างๆ ด้วย จากการวัดตัวก็ทำให้รู้ว่าหลี่เหมิงไหล่และอกกว้าง แต่สะโพกกลับเล็กกว่าที่คิดไว้ รูปร่างแบบนี้ไม่เหมาะจะสวมชุดเข้ารูปพอดีตัว เพราะจะทำให้ส่วนล่างดูแคบและไม่มั่นคง

ต้องแก้ไขแบบที่เคยดีไซน์ เธอจึงเริ่มออกแบบใหม่

ตอนเช้าออกแบบยูนิฟอร์มให้กับซังอวี๋ จากนั้นก็ทำงานทั้งวัน ตกเย็นก็ไปที่ซังอวี๋เพื่อออกกําลังกาย แม้จะยุ่งทุกวันแต่ก็รู้สึกเต็มที่กับชีวิต เซียวเซียวถือโอกาสในการวัดตัวทำความรู้จักทุกคนในซังอวี๋ วัดตัวคนหนึ่งก็ออกแบบชุดหนึ่ง มุมานะทำเช่นนี้มาครึ่งเดือน จนถึงวันนี้ก็เหลือเพียงนักบำบัดองค์รวมสองคนที่ยังไม่ได้วัดตัวเท่านั้น

เมื่อคิดว่าจะได้เข้าใกล้จั่นหลิงจวินในระยะประชิดแล้ว เซียวเซียวก็ออกไปทำงานอย่างร่าเริงกว่าทุกวัน

ของที่ดีที่สุดก็ต้องเก็บไว้ตอนสุดท้ายแบบนี้สินะ

 

“วันนี้เงินเดือนออกแล้วนะ” เมื่อเข้ามาในบริษัทก็ได้ยินเสียงแปดหลอดของฉินย่าหนานดังขึ้น

“ใช่แล้ว พอคิดถึงเงินเดือน สิ่งที่ต้องตรากตรำมาทั้งเดือนนี้ก็ไม่สูญเปล่าแล้ว” จ้าวเหอผิงที่ตาดำคล้ำเพราะอดหลับอดนอนเปรยออกมา

พวกเขาต้องทำงานล่วงเวลาเพื่อแก้ไขชุดคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ในที่สุดก็ทันงานแถลงข่าว แล้วผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่เลวทีเดียว อเดอลีนไม่ได้ทรมานพวกเขาต่อไปอีก แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องรีบทำชุดคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนต่อ จึงยังคงไม่มีเวลาว่างอย่างเคย

เพราะวันนี้เป็นวันเงินเดือนออก ทุกคนจึงดูสดใสร่าเริงมาก แม้แต่ฟางเซี่ยงเฉียนที่ไม่ค่อยยิ้มก็ยังยิ้มออกมาให้เห็น อีกทั้งตอนเที่ยงยังออกไปกินข้าวกับพวกเธอด้วย

ร้านปลาย่างในเขตนวัตกรรมมักจะเป็นที่รวมตัวของทุกคน เมื่อปลาย่างร้อนๆ ลงไปอยู่ในท้องแล้วตามด้วยน้ำบ๊วยหวานอมเปรี้ยว ก็เป็นความชื่นใจอีกอย่างหนึ่งสำหรับฤดูร้อน รวมทั้งสามารถวางความขัดแย้งและการแบ่งแยกระหว่างเพื่อนร่วมงานไว้ชั่วคราวได้เพราะอาหารรสเลิศ

“ชื่อของฉันควรจะเป็นตัวเฉียน จากคำว่าเฉียนคุน แต่ตอนไปแจ้งเกิดพิมพ์ผิด ทำเอาฉันเหมือนคนที่มุ่งแต่จะหาเงินเท่านั้น” ฟางเซี่ยงเฉียนพูดถึงชื่อของตน ทำให้ทุกคนหัวเราะออกมาเสียงดัง

“คุณก็ควรจะไปเปลี่ยนซะ” ฉินย่าหนานพูดอย่างไม่ค่อยเห็นด้วย “ตอนแรกชื่อฉันเขียนเป็นย่าหนานที่แปลว่าเป็นรองผู้ชาย แต่หลังจากเรียนประถมฉันก็รู้สึกว่ามันไม่เพราะ ร้องไห้โวยวายให้แม่ไปเปลี่ยน”

“ตัวหนานของต้นหนานความหมายดีกว่าตัวหนานที่หมายถึงผู้ชายเยอะเลย” ผู้ช่วยที่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ รีบประจบทันที

แล้วฉินย่าหนานที่ได้ยินก็รู้สึกชอบใจจริงๆ เธอคีบเนื้อปลาชิ้นใหญ่ให้กับผู้ช่วย “กินอีกสิ เธอน่ะผอมมาก ต้องกินเยอะๆ หน่อย”

ตึ๊ง! เสียงโทรศัพท์มือถือของเซียวเซียวที่วางอยู่บนโต๊ะดังขึ้น ร้องเตือนว่ามีข้อความเข้ามา เซียวเซียวที่กำลังแทะก้างปลาอยู่ไม่ได้สนใจดู จากนั้นก็มีเสียงตึ๊งดังขึ้นตามมาติดๆ เธอจึงละสายตาจากปลาแล้วหันไปมองหน้าจอ

 

‘หมายเลขบัญชีสี่ตัวท้ายเก้าแปดแปดหกของท่านมีเงินเข้า 8,635 หยวน’

‘หมายเลขบัญชีสี่ตัวท้ายเก้าแปดแปดหกของท่านมีเงินเข้า 2,000 หยวน’

 

“เอ๋? ทำไมเงินเดือนถึงแยกเข้าสองครั้ง” เซียวเซียวขมวดคิ้วพลางเอ่ยขึ้น แล้วสองยอดนี้รวมกันก็ไม่ใช่เงินเดือนที่เธอได้รับ รู้สึกว่าจะเกินมาสองพันหยวนเท่านั้น

“เงินเดือนที่ไหนกัน นั่นมันเงินโบนัสครึ่งปีต่างหากล่ะ” ฉินย่าหนานตอบมาแล้วก็กรีดร้องอย่างดีใจ เพื่อนคนอื่นๆ จึงโห่ร้องตาม เงินโบนัสครึ่งปีเป็นตัวเลขที่ไม่น้อย ทุกคนต่างพากันยกแก้วน้ำบ๊วยขึ้นชน

เงินโบนัสครึ่งปี?!

ในสมองของเซียวเซียวมีเสียงวิ้งๆ ดังขึ้นมา เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูตัวเลขนั้นอีกหลายครั้ง ไม่ได้ตกศูนย์ไปเลย มีแค่แปดพันกว่าหยวนกับสองพันหยวน

“แผนกการเงินโอนเงินให้ฉันผิด” เซียวเซียวไม่ได้ยกแก้วขึ้น เพียงมองโทรศัพท์ของตัวเองอย่างเซ็งๆ

“ฉันดูหน่อย” ฉินย่าหนานชะโงกหน้าเข้ามาดูแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง อาจเป็นเพราะหลายวันก่อนได้รับบทเรียนที่มีเรื่องกับเซียวเซียว ครั้งนี้เธอจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำเพียงแค่แอบมองหน้าซีดขาวของเซียวเซียวแล้วปลอบด้วยเสียงเบาๆ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวกินข้าวเสร็จก็ไปถามที่แผนกการเงินดู”

“อืม” เซียวเซียวพยักหน้ารับแต่ในใจกลับรู้สึกสับสน เงินโบนัสครึ่งปีเป็นเงินก้อนใหญ่ เงินเดือนของเธอพอให้เธอใช้ในแต่ละเดือนเท่านั้น ถ้าไม่มีเงินโบนัสครึ่งปี เธอจะซื้อเสื้อผ้าแพงหน่อยก็ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเติมเงินเป็นบัตรรายสามเดือนที่ซังอวี๋เลย

 

เมื่อกลับถึงบริษัทเซียวเซียวก็รีบมุ่งตรงไปที่แผนกการเงิน แผนกด้านการบริหารจัดการ ได้แก่ แผนกการเงิน แผนกบุคคล แผนกการตลาด และแผนกประชาสัมพันธ์รวมอยู่ที่ชั้นห้าทั้งหมด เมื่อออกจากลิฟต์ก็เจอเสี่ยวจางแผนกการตลาดที่เดินออกจากประตูมาพอดี

“เซียวเซียว ทำไมมาถึงชั้นห้าได้ล่ะ” เสี่ยวจางเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีอยู่แล้ว อีกทั้งเมื่อคราวที่แล้วเซียวเซียวยังให้น้ำแร่กับเขา เขาจึงรีบเข้ามาทักทาย

“มีธุระกับแผนกการเงินนิดหน่อย นี่คุณต้องออกไปข้างนอกอีกเหรอ” เซียวเซียวพยายามปกปิดความกังวลใจหยุดยืนคุยกับเขา “ข้างนอกแดดร้อนจัดนะ คุณไปที่โกดังหาหมวกสักใบใส่เถอะ”

“เป็นความคิดที่ดี” เสี่ยวจางตาเป็นประกายขึ้นมาทันใด ที่ห้องจัดแสดงมีมุมหนึ่งทำเป็นโกดังเล็กๆ ไว้เก็บสินค้าตัวอย่างที่ไม่ค่อยได้ใช้ แผนกการตลาดมีสิทธิ์ที่จะไปหยิบของข้างในได้

หลังโบกมือลาเสี่ยวจางแล้วสีหน้าของเซียวเซียวก็กลับมาบึ้งตึงเหมือนเดิม ก่อนที่เธอจะเคาะประตูแผนกการเงินเพื่อขอเข้าไปด้านใน

“โอนผิดเหรอ เป็นไปไม่ได้นะ ฉันตรวจดูตั้งสองรอบ” เมื่อเจ้าหน้าที่การเงินได้ยินคำพูดของเซียวเซียวก็ตกใจมากเช่นกัน รีบหยิบตารางเงินเดือนมาเทียบ หลังจากดูเรียบร้อยแล้วจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก

เจ้าหน้าที่การเงินพับตารางเงินเดือนให้แสดงเฉพาะส่วนของเซียวเซียวพร้อมกับชี้ให้ดู

“เงินเดือนหลังหักภาษีก็แปดพันหกร้อยสามสิบห้าหยวน โบนัสครึ่งปีสองพันหยวน คุณดูให้ชัดๆ นะ” เจ้าหน้าที่การเงินที่ถูกกล่าวหาว่าโอนเงินเดือนผิดพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจหลังอ่านตัวเลขออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา

“ขอโทษนะนาน่า ฉันร้อนใจไปหน่อย” เซียวเซียวหยิบตารางเงินเดือนมาดูอย่างละเอียดแล้วกล่าวขอโทษเจ้าหน้าที่การเงิน “โบนัสครึ่งปีของฉันทำไมมันต่ำอย่างนี้”

เมื่อได้ยินเซียวเซียวพูดออกมาเช่นนี้ สีหน้าของเจ้าหน้าที่การเงินก็ดีขึ้นมาบ้าง มองเธอด้วยสายตาเข้าใจความรู้สึก “นี่เป็นวิธีการคิดคำนวณแบบใหม่ ถ้าการประเมินคุณได้แค่ซีก็จะได้โบนัสแค่นี้แหละ แล้วเงินเดือนครึ่งปีหลังก็จะต้องถูกปรับลดลงด้วย”

 

เมื่อในการประเมินเซียวเซียวได้ระดับซี เงินโบนัสครึ่งปีจึงเหลือแค่สองพันหยวนเหมือนเป็นเงินที่ใช้ไล่ขอทาน มองดูคอมพิวเตอร์ซึ่งมีชุดที่ออกแบบให้กับซังอวี๋ เธอก็พลันหมดแรงกับสิ่งที่ทุ่มเทลงไป ถ้าไม่มีเงินโบนัสครึ่งปี เธอได้บัตรวีไอพีใบนั้นมาจะมีประโยชน์อะไร

“อย่าเศร้าใจเลย ฉันก็ได้ซีเหมือนกัน” หยางเซี่ยวตบไหล่เซียวเซียวเบาๆ พลางฝืนยิ้มที่ดูแย่กว่าร้องไห้ออกมาเสียอีก

“ทำไมนายถึงได้ซีล่ะ” เซียวเซียวขมวดคิ้ว

“ตอนที่พูดกับหัวหน้าเธอก็บอกไว้อยู่แล้วว่าความสามารถในการสื่อสารของฉันแย่มาก มนุษยสัมพันธ์ก็ไม่ดี ถ้ามีเพื่อนร่วมงานให้ซีสองคนขึ้นไป นั่นก็แปลว่าฉันได้ซี” หยางเซี่ยวก้มหน้าลงวาดเส้นโค้งลงบนกระดาษแข็งอย่างช้าๆ “พวกเขาเอาแบบดีไซน์มาให้ฉัน ตัวเลขมักจะผิดอยู่เสมอ บางครั้งฉันก็อดบ่นไม่ได้ คงไม่ชอบใจหาว่าฉันเรื่องมากมั้ง”

เซียวเซียวคิดถึงแบบประเมินความสัมพันธ์กับคนในแผนกที่ทุกคนต้องกรอกเมื่อเดือนที่แล้ว ยังคิดว่าเขียนไปเล่นๆ ไม่คิดว่าจะเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ด้วย ตอนนั้นเธอให้เอกับทุกคน คิดไม่ถึงว่าจะมีคนให้ซีกับหยางเซี่ยวมากกว่าหนึ่งคน คนในห้องออกแบบที่ดูสรวลเสเฮฮากันดี ทว่าตอนนี้ในสายตาของเซียวเซียวก็ไม่ต่างอะไรกับการอยู่ท่ามกลางอสูรร้าย

เซียวเซียวกำสลิปเงินเดือนที่ถ่ายสำเนามาจากแผนกการเงินไว้แน่น เธอไม่ยอมปล่อยให้เป็นแบบนี้แน่

เซียวเซียวลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปตรงหน้าฟางเซี่ยงเฉียน “แผนกการเงินบอกว่าผลประเมินของฉันได้ซี นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

“โอ้! งั้นเหรอ” ฟางเซี่ยงเฉียนร้องอย่างตกใจ “ไม่น่าจะเป็นไปได้ ฉันให้เธอเอเลยนะ อาจจะเป็นเพราะผลการประเมินจากผู้บริหารล่ะมั้ง”

เซียวเซียวไม่เคยคิดจะเชื่อคำพูดโง่ๆ ของอีกฝ่าย “รายงานฉบับนั้นคุณให้ผู้อำนวยการดูหรือยัง”

เมื่อได้ยินเซียวเซียวถามด้วยน้ำเสียงเอาเรื่องเช่นนี้ สีหน้าของฟางเซี่ยงเฉียนก็เปลี่ยนไปในทันที เธอหยิบรายงานที่ทิ้งไว้ในลิ้นชักออกมาแล้วโยนลงไปบนโต๊ะ “รายงานหลอกๆ จากเว็บไซต์พวกนี้จะเอาไปให้ผู้อำนวยการดูได้ยังไง เธอไม่รู้จักอายแต่ฉันหน้าไม่หนาพอ เงินโบนัสครึ่งปีน้อยก็ต้องรู้จักทบทวนตัวเองให้ดีๆ ว่าครึ่งปีที่ผ่านมาทำงานเป็นยังไงบ้าง คราวที่แล้วที่คุยกันฉันก็เคยบอกไว้แล้วใช่ไหม อย่าคิดแต่เรื่องความผิดพลาดของคนอื่น ให้คิดว่าตัวเองทำดีพอแล้วหรือยัง!”

เซียวเซียวจับรายงานที่แม้แต่ซองก็ยังไม่ถูกเปิดออกดูไว้แน่น มือเกร็งจนเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นมา รู้สึกเหมือนมีเลือดร้อนๆ พุ่งจากเท้าขึ้นมาถึงศีรษะ ก่อนจะคว้าแก้วน้ำบนโต๊ะสาดไปที่หน้าของฟางเซี่ยงเฉียน

สีหน้าที่ยิ้มเยาะเย้ยของฟางเซี่ยงเฉียนพลันเปลี่ยนเป็นตกตะลึง อ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้าง น้ำอุ่นๆ ไหลลงมาตามใบหน้าของเธอ ทั้งยังพาเครื่องสำอางบางส่วนลงมาด้วย และหยดลงบนพื้นเสียงดังเปาะแปะๆ

ห้องเงียบจนน่ากลัว ทุกคนเหมือนกับถูกสะกดให้นิ่งไว้ ต่างปากอ้าตาค้างกับภาพที่เห็น

“อย่าคิดว่าคุณมีอำนาจนิดๆ หน่อยๆ แล้วจะยิ่งใหญ่อะไร ฉันไม่ยอมหรอกนะ!” เซียวเซียววางแก้วกระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรงและลากเก้าอี้ไปขวางทางเดินตรงกลาง ก่อนจะหยิบรายงานฉบับนั้นแล้วเดินออกไปทันที

“กรี๊ด!” ในที่สุดฟางเซี่ยงเฉียนก็ตั้งสติได้ เธอกรีดร้องเสียงดังพร้อมกับลุกขึ้น ตั้งใจจะตามไปแต่มีเก้าอี้ขวางทางไว้อยู่ เมื่อเธอดึงเก้าอี้ออกได้ก็ไม่รู้ว่าเซียวเซียวไปทางไหนเสียแล้ว

 

เซียวเซียวไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่นิดเดียวที่ระเบิดใส่ฟางเซี่ยงเฉียน ทว่ากลับรู้สึกสะใจเป็นที่สุด

สนามหญ้าด้านหน้าของบริษัทแอลวายมีเก้าอี้ไม้ที่ทำไว้อย่างงดงาม เซียวเซียวหาที่นั่งใต้ร่มไม้แล้วโทรศัพท์หาเหลียงจิ้งเหยา

“เมื่อกี้ฉันทำเรื่องยิ่งใหญ่มาก” เซียวเซียวมีความรู้สึกเหมือนไก่ชนที่เพิ่งได้ชัยชนะมา เธอยืดอกขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ฉันสาดน้ำใส่หน้าฟางเซี่ยงเฉียน”

“ว้าว…ทำได้ดีมาก” เหลียงจิ้งเหยาน่าจะอยู่ในออฟฟิศจึงร้องออกมาเสียงเบา ก่อนจะรีบเดินออกมานอกห้องแล้วพูดเสียงดังขึ้น “ใช้ได้เลยนะเนี่ย แต่อยู่ๆ ทำไมถึงกล้าขึ้นมาได้ล่ะ”

ครึ่งปีมานี้ฟางเซี่ยงเฉียนเหมือนจงใจจะกลั่นแกล้งเซียวเซียว เธอต้องทนรับอะไรมาไม่น้อย เหลียงจิ้งเหยาบอกให้เธอไม่ต้องสนใจ อยากจะทำอะไรก็ทำ และในที่สุดคนหน้าบางอย่างเซียวเซียวก็ก้าวข้ามผ่านมาได้เสียที

“ฉันทนมาพอแล้ว ตอนนี้อะไรก็ไม่สำคัญ ชีวิตฉันสำคัญที่สุด ความสะใจมาเป็นอันดับหนึ่ง ตอนนี้พอมาคิดๆ ดู ฉันควรจะทำอย่างนี้ตั้งนานแล้ว ฉันจะได้ไม่ต้องกดดันจนป่วย” ยามนี้เองเซียวเซียวก็มองเห็นฉินย่าหนานเดินออกมาจากประตูบริษัท สีหน้าดูคล้ำเล็กน้อย “ฉินย่าหนานออกมาตามฉันแล้ว เดี๋ยวค่อยคุยกันอีกทีนะ”

“ได้ๆ แกก็ระวังนังหมาลอบกัดหน่อยนะ ตอนที่เรียนด้วยกันฉันก็รู้สึกว่านังนั่นไม่ใช่คนดี” เหลียงจิ้งเหยาพูดต่ออีกประโยคแล้วก็วางสายไป

เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายของเพื่อนรัก เซียวเซียวเกือบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ตั้งแต่คราวที่แล้วที่เธอเล่าเรื่องฉินย่าหนานขโมยความคิดของเธอไป เหลียงจิ้งเหยาก็ทำตัวเป็นจูเก่อเลี่ยงหลังเกิดเรื่อง ขุดเรื่องที่ฉินย่าหนานทำไว้สมัยเรียนด้วยกันเพื่อยืนยันว่าฉินย่าหนานไม่ใช่คนดีอะไร

“เซียวเซียว ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ฉินย่าหนานวิ่งเข้ามาถามอย่างใส่ใจพลางขมวดคิ้วมองหน้าเซียวเซียว

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 พ.ย. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 20

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: