X
    Categories: ทดลองอ่านนวลหยกงามมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นวลหยกงาม เล่ม 10 บทที่ 10

หน้าที่แล้ว1 of 4

          บทที่ 10

“แขกทุกท่าน ภาพวาดสองภาพนี้เป็นหอขุยซิงของเราได้มาโดยบังเอิญ ดูทีว่าผู้มีสายตาเฉียบแหลมต้องรู้ความเป็นมาของพวกมันแล้ว ข้าผู้แซ่หลิวก็จะไม่สาธยายให้มากความ เพียงเป็นตัวแทนหอขุยซิงเรากล่าวรับรองกับทุกท่านอย่างแจ่มชัดคำเดียวว่าสองภาพนี้เป็นของแท้แน่นอน”

ยามค่ำคืนแห่งการดื่มสังสรรค์เคล้าเสียงร้องรำทำเพลง หอขุยซิงคือที่ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดของตงตูฮุ่ยนี้ ในโถงกว้างใหญ่มีผู้คนเนืองแน่นไร้ที่นั่งว่าง พอสิ้นเสียงช่างวาดภาพวัยชราบนแท่นยกสูงก็ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ดังระงมขึ้น จะกล่าวโทษที่ผู้เห็นแก้วแหวนเงินทองจนชินตากลุ่มนี้มองว่าพวกมันเป็นของหายากไม่ได้ อย่างไรสองภาพนี้ หนึ่งเป็นภาพที่ทุ่มเงินพันชั่งก็ยากจะซื้อหาได้ อีกหนึ่งเป็นภาพที่ทุ่มเงินพันชั่งก็ยากจะซื้อหาได้ยิ่งกว่า หากได้ภาพใดภาพหนึ่งเป็นของสะสม นั่นเป็นเรื่องเชิดหน้าชูตามากกว่าสร้างสวนดอกไม้ใหญ่โตแห่งหนึ่ง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าตอนนี้ยังมีคำกลอนสองบทชวนให้ขบคิดตีความจากลายมือคนคนเดียวกัน

คนที่สามารถมาหาความสำราญบานใจที่หอขุยซิงนี้ได้ ส่วนใหญ่เป็นพวกไม่กลัวความเดือดร้อน ไม่ว่าหอขุยซิงได้สองภาพนี้มาทางใดมิใช่เรื่องสำคัญ บัดนี้พวกมันปรากฏอยู่ที่นี่ ทั้งยังมีหอขุยซิงรับประกันว่าเป็นของจริง จะไม่ทำให้จิตใจคนสั่นคลอนได้อย่างไร นี่ก็มีคนตะโกนพูดอย่างอดใจไม่อยู่แล้ว

“ภาพวาดสองภาพนี้เป็นของปิดท้ายการประมูลคืนนี้หรือ”

“มิใช่ ของปิดท้ายการประมูลคืนนี้เป็นอย่างอื่นขอรับ”

“ตาเฒ่าหลิว นี่เจ้าหมายความว่าอะไร มาล่อหลอกให้พวกข้าอยากได้แล้วก็ไม่ขาย”

“ใต้เท้าเฮ่ออย่าเพิ่งใจร้อนขอรับ ที่นำออกมาให้ดูล่วงหน้าก็เพื่อให้ทุกท่านได้เตรียมตัวเตรียมใจ สามวันให้หลัง หอขุยซิงจะจัดงานประมูลเป็นพิเศษเพื่อภาพวาดสองภาพนี้ ถึงเวลาขอเชิญแขกทุกท่านมาอุดหนุนด้วยนะขอรับ”

ช่างวาดภาพวัยชรากล่าวจบก็โบกมือส่งสัญญาณให้พวกสาวใช้ปลดภาพวาดทั้งสองถือประคองลงไปอย่างระมัดระวัง ส่วนตนเองอยู่บนแท่นยกพื้นปลอบอารมณ์แขกทั้งหลายที่ร้องเอะอะอย่างไม่พอใจเพราะเอาภาพวาดไปเก็บ

เทียบกับความคึกคักเบื้องล่าง บนชั้นสามเงียบเหงาผิดสามัญอย่างเห็นได้ชัด สตรีชุดสีส้มนางหนึ่งนั่งเกาะราวรั้วใต้โคมไฟสลักลายทรงตะกร้าหิ้วดวงเดียวโดดเดี่ยว มือหนึ่งหยิบผลเล็บแดงผิวมันวาววับในถาดเงินตักส่งเข้าปาก มือหนึ่งชี้ไปข้างล่างพลางหัวเราะชอบใจ

“คิกๆ ภาพที่ซื้อมาในราคาสองร้อยตำลึง รอให้เว่ยอ๋องกับคุณชายตู้ได้ข่าว วันมะรืนมีพวกเขามาร่วมครึกครื้นด้วย จะไม่กำไรเป็นร้อยเท่าหรือไร อืม…นับรวมกับยาลูกกลอนโฉมน้ำค้างเม็ดละสามสิบก้วน น้องเสี่ยวอวี้เป็นเทพธิดาแห่งโชคลาภของข้าจริงๆ หนนี้ให้ข้าได้ช่วยนางบ้าง คนบางคนจะได้ไม่เห็นนางเป็นเช่นหมอนปักลาย”

ใต้เฉลียงสลัวรางคล้ายมีนางผู้เดียว นางกล่าวแบบนี้ให้ใครฟังก็สุดรู้ มีเพียงบานประตูเปิดแง้มไว้ข้างหลังขยับดังเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ เป็นเสมือนเสียงขานตอบ

 

หลี่ไท่เห็นภาพบนแท่นยกพื้นถูกเก็บไปก็ลุกขึ้นเดินออกจากหอขุยซิง เขาไม่ไปทวงของตรงๆ กับเถ้าแก่หอนี้ ในเมื่ออีกฝ่ายเอาภาพวาดออกมา แสดงว่าตั้งใจล่อให้เขามาประมูลแข่งวันมะรืนนี้ เพลานี้พูดมากไปก็เปล่าประโยชน์

รถม้าแล่นจากตงตูฮุ่ยแล้ววิ่งวนด้านนอกเหยียนคังฟางครึ่งรอบก่อนจะหยุดจอดในตรอกเล็กสายหนึ่งบนถนนใกล้กับวังเว่ยอ๋อง เงาดำสายหนึ่งก้าวมาที่ข้างรถม้า เลิกม่านประตูขึ้นมุมหนึ่ง กล่าวรายงานกับหลี่ไท่ด้านใน

“องค์ชาย พบคนแล้วพ่ะย่ะค่ะ พักอยู่ในโรงเตี๊ยมที่ชื่อว่าโจวไหลบนถนนสายตะวันออกทางทิศใต้ของย่านนี้”

หลี่ไท่แจ่มแจ้งดีว่าเสิ่นเจี้ยนถังจะไม่ไปจากเมืองหลวงตอนนี้ อย่างน้อยๆ ก็ไม่จากไปก่อนงานเสกสมรสของเขา หากไม่ได้ชมเรื่องสนุกนี้ คนผู้นั้นกลัวจะนอนตายตาไม่หลับ

เขาหันไปมองผู้อยู่ใต้อาณัติที่สืบหาเบาะแสของเสิ่นเจี้ยนถังได้ล่าช้าข้างนอก เห็นเขาถอยออกไปด้วยสีหน้าตึงเครียดอย่างรู้ตัวว่าปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ถึงงอนิ้วเคาะผนังรถม้าที่กลวงในสองที ส่งสัญญาณบอกให้จื่อหรานซึ่งซ่อนตัวอยู่ในที่ลับรุดไปจับคน เสิ่นเจี้ยนถังมิใช่พวกชั้นสามัญ คนที่สามารถเอาตัวรอดจากวังหลวงที่ชุกชุมไปด้วยยอดฝีมือโดยไม่บุบสลายอย่างนั้น ขืนส่งพวกมือกระบี่ประจำวังอ๋องไปจับตัวปลาไหลตัวนี้ เป็นไปได้มากว่าจะปล่อยให้เขาหลุดมือไปได้ หมายตามหาตัวอีกทีก็ยากแล้ว

รถม้าเลี้ยวกลับไปวังเว่ยอ๋อง หลี่ไท่ก้าวเข้าสู่หอซูหลิวแล้วตรงเข้าห้องนอน พออยู่คนเดียวในห้อง ใบหน้าชายหนุ่มถึงเผยแววอ่อนล้า เขาเปลื้องอาภรณ์ตัวนอกโยนทิ้งไว้ด้านข้างแล้วนอนราบบนเตียง ยกมือหนึ่งบีบหว่างคิ้ว

เขาไม่ได้หลับสนิทมาหลายวันติดต่อกันแล้ว แม้ปกติเขาจะนอนน้อย โดยเฉพาะช่วงก่อนพิษฝันร้ายกำเริบ ไม่นอนหลับตลอดสองสามวันก็ไม่รู้สึกกลัดกลุ้มใจ ทว่าชั่วขณะนี้ เขาบังเกิดความปรารถนาอยากพักผ่อนจากส่วนลึกในใจ และอยากตามนางกลับมาอยู่ข้างกายอย่างอดรนทนไม่ไหวแล้ว ต่อให้ได้แค่ดมกลิ่นสมุนไพรบนตัวนางโดยไม่ทำอะไรทั้งสิ้น เช่นนั้นอย่างน้อยเขาก็รู้สึกสบาย ไม่ใช่ถูกอารมณ์เหนื่อยหน่ายเกาะกุมไปทั่วสรรพางค์กายเฉกเช่นยามนี้

มีแต่ในสถานการณ์อย่างนี้ เขาถึงประจักษ์ว่ามิใช่อารมณ์ใดๆ ก็ตามที่เขาแทบไม่เคยมี จะเป็นสิ่งที่เขาชอบสัมผัสรับรู้ในเวลานี้ เป็นต้นว่ากังวลใจ กลัดกลุ้ม หรือตำหนิตนเอง

หลี่ไท่พลิกกายบนเตียงแล้วลุกขึ้นคลายสาบเสื้อออกบรรเทาความอึดอัดตรงกลางอก เขานั่งอยู่ตรงหัวเตียงหลุบตาลงตรึกตรอง ตกลงว่าระหว่างเขากับนางเกิดปัญหาขึ้นตรงใด สิ่งที่นางต้องการ ไม่ว่าตำแหน่งชายาอ๋อง หรือว่าป้ายเล็กๆ ป้ายหนึ่งในการประชันศาสตร์ห้าสำนักนั่น เขาทำให้นางสมหวังได้หมด เหตุใดนางยังตรอมใจจนล้มป่วยเพราะคนไม่สลักสำคัญผู้หนึ่ง หรือว่าเชื่อใจเขามันยากเย็นปานนั้น

“…เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่”

 

วันที่ยี่สิบเดือนสาม การประชันศาสตร์ห้าสำนักจบลงแล้ว แต่เหล่าลูกศิษย์ในสำนักศึกษาหลวงกลับไม่พูดคุยถึงการแข่งขันเช่นที่ผ่านมา เพราะว่าในตอนท้ายของการประชันศาสตร์จารีต เรื่องภาพวาดของไหลกั๋วกงกับเว่ยอ๋องปรากฏอยู่ในหอขุยซิงพร้อมกัน รวมถึงบทกลอนเคียงภาพสองบทของคุณหนูรองสกุลหลู ซึ่งลูกศิษย์หลายคนได้ยินได้เห็นมาถูกแพร่สะพัดออกไป ข่าวเล่าลือพรรค์นี้เป็นอาหารปากอันโอชะพอดี ใครเล่ายังจะจดจำการประชันศาสตร์ที่ผ่านไปแล้วได้

อี๋อวี้ไม่รู้เรื่องทางเมืองหลวงแม้แต่น้อย นางลงจากเตียงได้ตั้งแต่วานซืน ทว่าร่างกายฟื้นฟูได้ช้าผิดปกติ กินข้าวต้องให้คนป้อน เดินเหินต้องให้คนประคอง ปัญหาข้อใหญ่คือไร้เรี่ยวแรง พอตระหนักถึงความผิดปกติทางร่างกาย นางชักร้อนรนกังวลใจอย่างช่วยไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อหลูซื่อกับหานลี่มีท่าทีจะให้นางพักฟื้นอย่างสบายใจที่นี่

“ท่านแม่ ข้าว่าพวกเรามิสู้กลับตำบลหลงเฉวียนพรุ่งนี้เถอะ อยู่ที่นี่รบกวนอาเหยาไปเรื่อยๆ ไม่เหมาะ ตัวข้าเองก็เป็นหมอยา ในเมื่อฟื้นแล้ว กลับไปบำรุงรักษาร่างกายเองก็ได้เช่นกัน”

สองแม่ลูกนั่งคุยกันอยู่ตรงหัวเตียง หลูซื่อยังไม่ทันเอ่ยปาก เหยาฮ่วงเดินมาถึงหน้าประตูก็ส่งเสียงหัวเราะ “แม่เด็กน้อยไม่ถ่อมตนเอาซะเลย เจ้ารู้หรือว่าอันใดคือหมอยา ยังกล้าเรียกขานตนเองอย่างนี้”

เหยาฮ่วงนั้นไม่ล่วงรู้ถึงสิ่งที่อี๋อวี้ประสบผ่านมาในสองปีนี้ ตัวเขาเป็นหมอเทวดาจอมพิสดารผู้ ‘กระเดื่องนามไปทั่วหล้า’ เป็นธรรมดาที่ทะนงในฝีมือเชิงนี้ของตน จะว่าเขาไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาก็สมควรอยู่

อี๋อวี้จับน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยร่องรอยล้อเลียนของเขาได้ก็ไม่เก้อกระดาก นางหันศีรษะไปเห็นเขาเดินมาพร้อมกับหานลี่จึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา “กึ่งหมอกึ่งนักปรุงพิษ ไม่ทำลายชีวิต ไม่รักษาคน ร่างร้อยตำรับปรุงยาหนึ่งขนาน นี้คือนามแห่งหมอยา”

ดวงตาทั้งคู่ของเหยาฮ่วงเปล่งประกายวาบ เขาสืบเท้าสองก้าวไปหน้าเตียง ถ้าไม่มีหลูซื่อจับจ้องมองอยู่ด้านข้าง เกรงว่าจะตรงเข้าไปจับหัวไหล่ของอี๋อวี้แล้ว

“ประโยคนี้เป็นใครบอกเจ้า ไม่…ไม่สิ เจ้าเคยอ่านจากตำราเล่มหนึ่งใช่หรือไม่ เล่มที่…เล่มที่…”

หานลี่เห็นอากัปกิริยานี้ของเขาแล้วนัยน์ตาไหววูบ เอ่ยขึ้นว่า “พี่เหยาอย่าใจร้อน อวี้เอ๋อร์ ถ้อยความสองสามประโยคที่เจ้าบอกเมื่อครู่ เห็นจากตำราหรือได้ยินคนพูดมา”

อี๋อวี้หยุดคิดนิดหนึ่งก่อนเอ่ยตามสัตย์จริง “ดูจากตำราเล่มหนึ่งเจ้าค่ะ”

วังเว่ยอ๋องทรงอำนาจบารมี นับแต่นางเริ่มสนใจศาสตร์แห่งโอสถเมื่อสองปีก่อน หลี่ไท่ก็หาทางเสาะแสวงหาตำรับตำราทางศาสตร์นี้ทุกประเภทจากทั่วทุกสารทิศให้ แล้วก็เป็นตำราโบราณเล่มนั้นเป็นแรงบันดาลใจแรกให้นางก้าวเข้าสู่เส้นทางสายนี้ หากว่ากันถึงประสบการณ์ นางไม่อาจทัดเทียมเหยาฮ่วงได้ แต่ในเชิงศาสตร์วิชา นางคิดว่าตนเองไม่อ่อนด้อยแล้ว

“ตำราเล่มนั้น…ตำราเล่มนั้น…แค่กๆ…” ชะรอยเหยาฮ่วงที่โน้มตัวลงไปเกือบถึงขอบเตียงจะรู้ตัวว่าออกอาการตื่นเต้นเกินไป เขารีบยืดแผ่นหลังขึ้น ชะงักปากปั้นหน้าขรึม เสถามอี๋อวี้ว่า “ไหนเจ้าบอกมาสิ ตำราเล่มนี้หน้าตาเป็นอย่างไร”

“เป็นม้วนผ้าเจ้าค่ะ” อี๋อวี้เงยหน้าทบทวนความทรงจำพลางกล่าว “มีแค่ยี่สิบหน้าเศษ เก่าคร่ำคร่า ดูเหมือนในนั้นยังมีตำรับยาสองหน้า”

อี๋อวี้ลอบสังเกตสังกาสีหน้าของเหยาฮ่วงทางหางตา เห็นดวงตาเขายิ่งฉายแววตื่นเต้นอย่างสุดระงับ นางสะดุดใจวูบ ถึงรู้ว่าตอนนี้ไม่เหมาะจะใช้สมองมากเกินไป แต่ในสถานการณ์อย่างนี้ความคิดในหัวก็แล่นไปมาสิบกว่าตลบแล้ว

“ตำรับยาอะไรหรือ” หานลี่เอ่ยปากถามแทนเหยาฮ่วง ก่อนจะเห็นอี๋อวี้กล่าวตอบโดยไม่หยุดคิดใคร่ครวญ

“อันนี้ข้าก็ไม่รู้แล้ว ม้วนหนังสือผ้าเล่มนั้นเก่าแก่มาก ชื่อตำรับยาเลือนรางไปหมด สมุนไพรหลายชนิดในนั้นข้าก็ยังไม่รู้จักในตอนนั้นเลยไม่ได้จดจำไว้เจ้าค่ะ”

“แล้วตำราอยู่ที่ใด” เหยาฮ่วงถามต่อทันที

“ไม่รู้เจ้าค่ะ”

“ไม่รู้?” เหยาฮ่วงทำเสียงหลง ยื่นหน้าไปใกล้อี๋อวี้ หนวดเครารอบริมฝีปากชักดูน่ากลัว “ไฉนไม่รู้เล่า เจ้า…”

“ท่านแม่…” อี๋อวี้ทำคอย่น ซุกเข้าซอกไหล่มารดา

หลูซื่อนั้นหงุดหงิดแต่แรกที่พวกเขาถามโน่นถามนี่อี๋อวี้ นางจึงทำหน้าตึงยกมือกันเหยาฮ่วงออกไป กล่าวขึ้นพร้อมขมวดคิ้ว “นี่ท่านทำอะไร นางตกใจแล้วนะ”

หานลี่อยู่ด้านหลังมองดูศีรษะเล็กๆ สั่นระริกที่ซบบ่าหลูซื่อ มุมปากกระตุกทีหนึ่ง แววยิ้มๆ จุดวาบขึ้นในดวงตา เขายื่นมือจับข้อศอกเหยาฮ่วงดึงตัวกลับ และพูดปรามด้วยวาจานุ่มนวล

“ถ้าพี่เหยาร้อนใจอยากได้ตำราเล่มนั้น ไว้ค่อยๆ ลองถามนางดีๆ อายุปูนนี้แล้ว ยังจะข่มขู่เด็กอีกทำไม”

เหยาฮ่วงก็ลืมตัวไปชั่วขณะ เขาตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว มองหลูซื่อด้วยสายตาขอลุแก่โทษแล้วทำหน้าดังเก่า จากนั้นเอี้ยวคอปรายตามองหานลี่พลางกล่าว “ใครบอกว่าข้าร้อนใจอยากได้ตำราเล่มนั้น ข้าเพียงสนใจใคร่รู้…ไม่ได้รึ เอาล่ะๆ ข้าไปต้มยาที่ห้องครัวแล้ว”

จากนั้นเหยาฮ่วงก็เอื้อมมือไปลูบหัวอี๋อวี้อย่างขอไปที ก่อนหมุนกายเดินออกนอกประตู “ไม่รู้ว่าเจ้าจื่อชีกลับมาหรือยัง ออกไปทั้งเช้าแล้ว ก็แค่ซื้อเกลือต้องนานขนาดนี้ด้วยหรือ มิใช่ไปเที่ยวเถลไถลที่ไหนอีกนะ เฮ้อ…เจ้าลูกคนนี้ ยิ่งโตยิ่งไม่เชื่อฟัง”

ได้ยินเสียงบ่นของเขาห่างไปไกล อี๋อวี้ค่อยผงกหัวขึ้นจากอ้อมอกมารดา อ้าปากหาวแล้วพูดอย่างอ่อนเพลีย “ท่านแม่ ข้าง่วงแล้วเจ้าค่ะ”

“อย่างนั้นก็นอนลงนะ” หลูซื่อนึกถึงคำพูดของบุตรสาวก่อนหานลี่กับเหยาฮ่วงสองคนจะเข้าห้องมา นางกล่าวเสริมขึ้นอีกคำ “มีเรื่องอะไรรอประเดี๋ยวดื่มยาแล้วค่อยว่ากันนะ”

“อื้อ” อี๋อวี้ถูกประคองลงนอน ศีรษะถึงหมอนก็หลับตาลง

“ท่านอยู่ในนี้เฝ้านางสักครู่ ข้าจะไปดูที่ห้องครัว” หลูซื่อกำชับหานลี่เสียงเบาแล้วยกชายกระโปรงสาวเท้าฉับๆ ตามไป เมื่อวานนางไปตักน้ำริมลำธารกับหานลี่ ได้ฟัง ‘วีรกรรม’ ของท่านหมอเหยาผู้นี้ไม่น้อย ถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ท่านหมอแสนดีมีจิตใจเมตตากรุณาอันใด หากแต่เป็นบุคคลชื่อเหม็นฉาวโฉ่ลำดับต้นๆ ของยุทธภพ เดิมทีนางเห็นว่าไม่สำคัญ ครั้นนึกย้อนไปตอนนั้นเขาวางยาสลบครอบครัวนางเพื่อหนีเอาตัวรอด ประกอบกับท่าทางน่ากลัวเมื่อครู่นี้…ก็ขอให้นางหลูซื่อเป็นคนถ่อยสักหนเถอะ

“ฮ่าๆ” หานลี่เห็นชายเสื้อของหลูซื่อหายลับไปตรงข้างประตูถึงนั่งลงตรงหัวเตียง ก่อนจะพูดขึ้นขันๆ “ที่แท้แม่เด็กน้อยยังไม่ได้เลอะเลือนเพราะพิษไข้” เห็นอี๋อวี้หลับตาหายใจเป็นจังหวะยาวเหยียด ถ้าไม่รู้เรื่องยังนึกว่านางหลับอยู่จริงๆ เขาเอื้อมมือไปดีดหน้าผากนางเบาๆ ทีหนึ่ง พร้อมกับอ้าปากพูดต่อ “ยังรู้จักเรียกคนไปส่งข่าว นี่กลัวว่าเสียเวลาไปเจ้าหนุ่มนั่นจะไม่แต่งเจ้าเป็นภรรยาหรือไร”

เปลือกตาของอี๋อวี้กระตุกริกก่อนเปิดขึ้นช้าๆ นางมองดวงหน้าเปื้อนยิ้มเหนือศีรษะด้วยสีหน้าขัดเคือง เห็นหานลี่ชูนิ้วมือที่ดูแลอย่างสะอาดสะอ้านขึ้นนิ้วหนึ่ง และขยิบตากับนาง

“พวกเรามาเดิมพันกันดีหรือไม่เล่า”

 

 ติดตามต่อในเล่ม

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: