X
    Categories: ทดลองอ่านนวลหยกงามมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นวลหยกงาม เล่ม 10 บทที่ 11

หน้าที่แล้ว1 of 5

          บทที่ 11

ตอนเหยาจื่อชีขี่ลาลงเขาซื้อเกลือกลับมาถึงก็เกือบเป็นเวลาอาหารกลางวันแล้ว เหยาฮ่วงบ่นว่านางสองคำแล้วให้ไปช่วยหลูซื่อทำกับข้าวในห้องครัว ส่วนตนเองยกยาต้มไปที่ห้องเล็กทางปีกตะวันตก หานลี่นั่งบนม้านั่งข้างเตียงเห็นเขาเข้ามาก็หันไปเรียกอี๋อวี้ที่หลับตางีบอยู่

“อวี้เอ๋อร์ตื่นเถอะ ดื่มยาก่อนแล้วนอนครู่หนึ่งค่อยกินอาหาร”

อี๋อวี้ไม่ได้นอนหลับ นางทำเสียงตอบรับในลำคอแล้วลืมตา หานลี่พยุงนางลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงไว้

“เฮ้อ…ดูข้าสิหลงๆ ลืมๆ ถึงกับลืมหยิบกระสายยามา พี่หาน ท่านไปหาต้นหม่อนข้างนอกเด็ดใบหนึ่งล้างให้สะอาดเอามาให้ด้วย”

ดื่มยามาสองสามวันไม่เห็นเหยาฮ่วงเอาใบหม่อนมาเป็นกระสายยา หานลี่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจให้ตนปลีกตัวออกไปแต่ไม่เปิดโปงอีกฝ่าย แค่ว่าตอนก้าวเท้าถึงหน้าประตู เขาหันขวับกลับไปชูนิ้วนิ้วหนึ่งโบกไปมากับอี๋อวี้แล้วเดินไปยิ้มๆ ราวกับจะบอกเตือนอะไรนาง

“ลมแรง ปิดประตูด้วย” เหยาฮ่วงไม่ใส่ใจท่าทางมีลับลมคมในของเขา พอเห็นประตูปิดลงแล้วก็วางชามยาร้อนจนควันฉุยลงบนโต๊ะเตี้ยด้านข้าง ดึงม้านั่งมานั่งติดชิดริมเตียง

“เสี่ยวอวี้เอ๊ย”

“อาเหยา” อี๋อวี้ขานตอบเสียงเบาๆ กระถดตัวเข้าด้านในเตียงโดยไม่ส่อพิรุธ

“อื้อ…” ถึงแม้เหยาฮ่วงพยายามให้สีหน้าตนอ่อนโยนใจดีขึ้น แต่หนวดเครารุงรังทั้งหน้านั่นไม่มีส่วนช่วยใดๆ ดูอย่างไรล้วนไม่แฝงเจตนาดี “เสี่ยวอวี้เอ๊ย ตอนนั้นอาเหยาเคยสอนอะไรๆ เจ้าไปไม่น้อย ต่อให้ไม่ได้ยกน้ำชาโขกศีรษะ เจ้าก็นับเป็นลูกศิษย์ข้าครึ่งตัว หลังจากวันนั้นข้ารีบร้อนจากไปก็แยกกันหลายปี พริบตาเดียวเจ้าจะออกเรือนแล้ว วันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วนัก” เขาเริ่มอารัมภบทอย่างสะทกสะท้อนใจก่อนแล้วเปลี่ยนเรื่องพูด

“จริงสิ ข้าได้ยินท่านแม่เจ้าบอกว่าตอนนี้เจ้าเก่งกาจมากความสามารถแล้ว ไม่เพียงปั้นยาลูกกลอน ยังจับชีพจรตรวจโรคเป็น นี่คือเจ้าร่ำเรียนจากอาจารย์ในภายหลังหรือ” โทษมิได้ที่เขาจะคาดเดาแบบนี้ ด้วยความเป็นไปในใต้หล้า ไม่ว่าเป็นผู้ช่ำชองจัดเจนในสายบุ๋นหรือบู๊ ถ้าไม่ฝากตัวเป็นศิษย์ อาจารย์คนใดจะสอนวิชาให้อย่างจริงใจ

“สองปีที่ข้าออกท่องสำรวจกับเว่ยอ๋อง ประสบพบเจอเรื่องแปลกคนพิสดารไม่น้อย ข้าเรียนรู้มาจากคนอื่นบ้าง แต่ไม่ได้คารวะเป็นอาจารย์เจ้าค่ะ”

หากพูดว่าเหยาฮ่วงเป็นผู้ชักนำนางก้าวผ่านประตูของศาสตร์แห่งการปรุงยาตอนเป็นเพื่อนบ้านกันหนึ่งเดือน แต่ต่อมาภายหลังช่วงเวลาครึ่งปีในเขาต้าหมั่งล้วนเป็นเซียวถิงถ่ายทอดความรู้ให้อย่างหมดไส้หมดพุง พูดตรงๆ แล้ว เมื่อเปรียบกับเหยาฮ่วง เซียวถิงเป็นเหมือนอาจารย์มากกว่า ทว่าไม่ได้ยกน้ำชาโขกศีรษะดังเหยาฮ่วงพูด พวกนางจึงไม่ใช่ศิษย์อาจารย์กัน

“อ้อ? เป็นคนจำพวกใดบ้าง เจ้าเล่ามาสิ ดูว่าข้าเคยได้ยินหรือไม่”

มีหรืออี๋อวี้จะไม่รู้ว่าเป้าหมายที่เขาถามนั่นถามนี่อยู่ที่ม้วนหนังสือผ้าซึ่งมีวลีนิยามคำว่า ‘หมอยา’ ไว้เล่มนั้น ใช่ว่านางไม่อยากบอกตามความจริง แต่นางเป็นเช่นคนถูกงูกัดจนเข็ดขยาด ครั้งนั้นเหยาฮ่วงทิ้งกล่องไม้สีดำใบนั้นคล้ายเจตนาแต่ไม่เจตนาตอนหลบหนีไปทางลานด้านหลังเรือนนาง เป็นเหตุให้หลังจากนั้นนางโดนป้อมปราสาทแดงลักพาตัวหลายหน ทั้งประจักษ์ชัดแล้วว่าตำราผ้าไหมเล่มนั้นมิใช่ของสามัญ คนอย่างเหยาฮ่วงก็จัดอยู่ในจำพวกกึ่งธรรมะกึ่งอธรรมเช่นเดียวกับหานลี่ ตอนนี้เขาไม่เอ่ยถึงเรื่องกล่องใบนั้นสักคำ ใครจะรับรองได้เล่าว่าม้วนหนังสือผ้านั่นจะไม่นำความเดือดร้อนมาสู่พวกนางแม่ลูกและหลี่ไท่ ดังนั้นนางตกลงปลงใจแล้วว่าไม่เปิดปากเป็นอันขาด

“หลายคนนั้นไม่เหมือนกับท่าน พวกเขาหาได้มีชื่อเสียงเรียงนามโด่งดัง ดูทีว่าบอกแล้วท่านก็ไม่รู้จัก”

“เช่นนั้นเจ้าเล่าให้ข้าฟังสิ วันนี้ไม่รู้จักไม่ได้แสดงว่าวันหลังจะไม่มีโอกาสรู้จัก หากภาคภายหน้าได้พบเจอกันที่อื่น ข้าจะได้ผูกมิตรกับพวกเขา”

“อื้อ มีคนหนึ่งแซ่หวง คนหนึ่งแซ่หู แล้วก็อีกคนแซ่โอวหยางเจ้าค่ะ”

เหยาฮ่วงไม่พอใจกับคำตอบอย่างเห็นได้ชัด เขาแทบจะปักใจเชื่อว่าม้วนหนังสือผ้าที่อี๋อวี้พูดถึงต้องอยู่ที่คนเหล่านี้ “เจ้าพูดให้ชัดเจนกว่านี้ พวกเขามีความสามารถด้านใดหรือลักษณะพิเศษอะไร”

“อืม…” อี๋อวี้มองหน้าประตู ดวงตาแฝงรอยรำลึกความหลัง “ท่านหมอแซ่หวงมีฝีมือในการทำยาลูกกลอน โดยเฉพาะตำรับหนึ่งที่เรียกว่ายาน้ำค้างหยกเก้าบุปผาอะไรสักอย่าง บำรุงลมปราณได้ดีมาก เขาแขวนขลุ่ยหยกเลาหนึ่งไว้ตรงเอวเป็นประจำ ส่วนหมอพเนจรแซ่หูมีฝีมือฝังเข็ม ทะลวงชีพจรได้ เขามีวิชาแพทย์สูง รูปโฉมก็นับว่าหล่อเหลาหมดจด สำหรับอาจารย์แซ่โอวหยางถนัดการใช้พิษเฉกเดียวกับอาเหยา…”

เหยาฮ่วงฟังนางเล่าเป็นคุ้งเป็นแคว แต่คนที่คล้ายเป็นยอดฝีมือเหล่านี้ เขาทบทวนไปมาก็คิดไม่ออกว่าเคยได้ยินเกี่ยวกับพวกเขาจากที่ไหน เลยโบกมือพลางพูดเนือยๆ อยู่บ้าง

“เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว หากมีวาสนาได้พบกัน ข้าจะขอคำชี้แนะจากพวกเขา”

อี๋อวี้ลอบชำเลืองมองเขา นึกในใจว่าเกรงว่าชาตินี้เขาคงไม่มีโอกาสขอคำชี้แนะจากคนเหล่านี้ แต่เห็นเขาทำหน้าผิดหวังก็ชักไม่สบายใจ นางเรียกขานเขาแล้วกล่าว

“ข้าออกเดินทางไปกับท่านอ๋องครั้งนี้ ระหว่างทางได้สมุนไพรดีๆ หายากมาหลายอย่าง รอกลับเรือนไปค่อยจัดแบ่งส่วนหนึ่งมอบให้ท่านนะเจ้าคะ”

เหยาฮ่วงสงบสติลง เขากวาดตามองหน้านางรอบหนึ่ง ก่อนเหยียดมือยีผมที่แผ่สยายลงของนางกะทันหัน ฝ่ามือนุ่มนวล แววตาก็อ่อนแสงลง ก่อนจะหัวเราะร่วน หนวดกระดิกไปมายามกล่าวเสียงแปร่งๆ “แม่เด็กน้อยจะมีของดีอะไรได้ สมุนไพรในใต้หล้านี้ที่ข้าต้องการแต่หาไม่ได้ เกรงว่าเจ้าล้วนไม่เคยได้ยินมาก่อน”

ว่ากันว่าป้อมปราสาทแดงมีดินวิเศษชนิดหนึ่งสามารถปลูกพืชได้สารพัด อี๋อวี้รู้ว่าเหยาฮ่วงไม่ได้พูดโอ้อวด ทว่านางก็ไม่ได้คุยโวเช่นกัน สมุนไพรในหุบเขาเล็กบนเขาต้าหมั่งส่วนใหญ่เสาะหาได้ยากในแผ่นดิน เวลานี้ให้คนของหลี่ไท่ขนกลับมาเก็บในวังเว่ยอ๋อง ต่อมาหลี่ไท่กลับเมืองหลวงก็แบ่งบางส่วนส่งไปที่สวนผูเจิน นางคิดว่าจะกลับไปคัดเลือกของชั้นยอดกำนัลให้เหยาฮ่วงจึงเพียงยิ้มๆ ไม่อธิบายต่อ ปล่อยให้เขายีผมนางที่เริ่มยุ่งไม่เป็นระเบียบตามสบาย จากนั้นล้วงขวดใบเล็กจ่อใต้จมูกนางถึงลุกขึ้นยืน

“เจ้าพักผ่อนเถอะ ข้าไปดูสักหน่อย ยาใกล้จะเย็นชืดแล้ว ใบไม้ใบเดียวไปเด็ดบนยอดเขาหรืออย่างไร”

เหยาฮ่วงออกนอกห้องไปแล้วปิดประตูสนิท อี๋อวี้เอนกายกลับเข้าผ้าห่มอย่างงุ่มง่าม เมื่อครู่กล่าววาจามากไปหลายคำก็วิงเวียนศีรษะ ความง่วงงุนก็จู่โจมมา นางได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวบางอย่างดังแว่วๆ มาจากลานด้านนอก แต่ยังคงสะลึมสะลือหลับไป หาได้รู้ไม่ว่าอีกประเดี๋ยวตื่นขึ้นมา จะมี ‘ความประหลาดใจแกมยินดี’ ครั้งใหญ่รอคอยนางอยู่

ดงต้นหม่อนป่าห่างจากเรือนหลังเล็กไปหลายร้อยก้าว ตอนแรกหานลี่เด็ดใบของมันอย่างเชื่องช้า แต่พอได้ยินเสียงฝีเท้าม้ากุบกับลอยมาจากที่ไม่ไกลก็หักกิ่งหนึ่งอย่างว่องไวแล้วใช้วิชาตัวเบาทะยานกายวิ่งย้อนกลับไป เขาเห็นอาชาสูงใหญ่หลายตัวยืนอยู่นอกรั้วไม้ไผ่ได้แต่ไกล บนหลังม้าเป็นมือกระบี่สวมชุดดำ ยังมีร่างร่างหนึ่งในอาภรณ์สีเขียวอมม่วงเข้มที่ถูกล้อมอยู่ตรงกลาง ใบหน้าหานลี่เผยแววแปลกใจ มิใช่เพราะคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะมา แต่ไม่คาดว่าจะมาถึงรวดเร็วปานนี้

เขาไม่รู้ว่าหลี่ไท่ไม่พบวี่แววของอี๋อวี้มาหลายวันติดกัน ก็เพิ่มกำลังคนเฝ้าตอรอกระต่ายอยู่นอกสวนผูเจิน พอเหยาจื่อชีซึ่งถูกขอให้ไปส่งข่าวที่ตำบลหลงเฉวียนปรากฏตัว คนของหลี่ไท่ก็ตามประกบทันที กลุ่มหนึ่งควบม้าเร็วรุดกลับเมืองหลวงแจ้งข่าว อีกกลุ่มสะกดรอยตามลาของเหยาจื่อชีที่เดินอุ้ยอ้ายขึ้นเขา และทิ้งเครื่องหมายไว้ตามทาง แค่กลางทางหลี่ไท่ก็เร่งฝีเท้าม้าไล่ตามมาทันแล้ว

อีกด้านหนึ่ง เหยาฮ่วงก้าวออกจากห้องอี๋อวี้ สังเกตเห็นอาคันตุกะจากภายนอกขึ้นเขามา เขาผลุบเข้าห้องครัว ฉุดตัวเหยาจื่อชีที่หั่นผักอยู่แล้วกระโดดออกไปทางลานด้านหลัง หลูซื่อมองสองพ่อลูกกระโดดหนีไปทางหน้าต่างตาปริบๆ อึดใจต่อมาได้ยินเสียงฝีเท้าม้าจากนอกเรือน นางเดินไปชะเง้อมองตรงหน้าประตู บนหน้าฉายอารมณ์สับสนระลอกหนึ่งทันควัน จวบจนบุรุษหนุ่มหัวหน้ากลุ่มคนนั่นผงกศีรษะให้ด้วยหน้าตาเฉยเมย จากนั้นพลิกกายลงม้า สาวเท้าก้าวใหญ่เข้ามาในลาน นางถึงรีบเร่งเดินเข้าไปต้อนรับ

“ถวายคำนับเว่ยอ๋อง”

หลี่ไท่ยกมือเป็นเชิงบอกให้หลูซื่อไม่ต้องมากพิธี สายตาเขาตวัดผ่านร่างนางแวบเดียว เมื่อครู่อยู่บนหลังม้าชายหนุ่มก็มองสำรวจเรือนหลังนี้รอบหนึ่ง เพลานี้เขามองตรงไปยังประตูห้องซึ่งปิดสนิททางปีกตะวันตก หมุนกายออกเดินดุ่มๆ ไปที่นั่น

หลูซื่อเร็วกว่าเขาหลายก้าว กางมือขวางทางตรงหน้าประตู พลางลดสุ้มเสียงลงกล่าว “อวี้เอ๋อร์ยังนอนอยู่ข้างใน หากท่านอ๋องทรงไม่รังเกียจ จะเสด็จไปทางนั้นฟังหม่อมฉันพูดสักสองสามคำได้หรือไม่เพคะ”

ดวงตาของหลี่ไท่มองหลูซื่อกับประตูห้องสลับไปมารอบหนึ่ง หลังชั่งน้ำหนักแล้วเห็นว่าคนอยู่ในนั้นไม่หนีไปไหนก็คลายใจลง เขาพยักหน้ากับหลูซื่อแล้วเดินไปหยุดใต้ต้นไม้ริมรั้ว พอชายตาเห็นหานลี่ยืนอยู่ในลานไม่ใกล้ไม่ไกล ชายหนุ่มยกมือส่งสัญญาณกับพวกมือกระบี่ข้างนอก คนทั้งกลุ่มก็ขี่ม้ากระจายกำลังกันปิดล้อมเรือนหลังไม่ใหญ่โตนี้ไว้เองโดยไม่ต้องสั่ง

“ก่อนอื่นท่านอ๋องโปรดทรงประทานอภัยให้ด้วย” หลูซื่อแสดงคารวะ “เรื่องฉุกละหุก ราตรีนั้นหม่อมฉันพาบุตรสาวออกมาเสาะหาหมอรักษาตัวเลยไม่ได้ฝากบอกไว้ เห็นทีว่าคงทำให้ท่านอ๋องต้องทรงตามหาอยู่นานหลายวัน”

สีหน้าของหลี่ไท่ไม่เปลี่ยนแปลง เขาเอ่ยปากพูดอย่างหาได้ยากยิ่ง “เป็นข้าสะเพร่าเองถึงพลาดข่าวคราวจากทางนั้น จึงมิได้เร่งรุดไปให้ไวที่สุด เป็นเหตุให้พวกท่านตกใจเสียขวัญ”

หลูซื่อบีบมือที่วางประสานกันบนกระโปรงทีหนึ่งพลางเอ่ยกล่าวเสียงขื่น “ไม่กลัวท่านอ๋องทรงหัวเราะเยาะ เหตุการณ์นั้นน่าตกใจขวัญเสียจริงๆ วันนั้นอวี้เอ๋อร์จับไข้ตลอดวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น พูดเพ้อไม่หยุดจนสลบไปในที่สุด ถ้าพาตัวนางมาที่นี่ช้าไปนิดเดียว ไม่แน่ว่าจะกระทบกระเทือนถึงสมองกลายเป็นคนปัญญาอ่อนอีกครั้งก็เป็นไป อ้อ…อาจไม่ทรงทราบว่าหลังลูกของหม่อมฉันคนนี้คลอดออกมาก็สติไม่สมประกอบจนอายุสี่ขวบ…”

เพราะอี๋อวี้ป่วยกะทันหัน หลี่ไท่รุดมาไม่ทันเวลาก็ขุ่นเคืองใจอยู่แล้ว พอได้ยินหลูซื่อพูดเช่นนี้ เขาทำหน้าขรึมเม้มปากมองประตูห้องที่ปิดสนิทนั่น กลับไม่ใคร่ใส่ใจคำพูดประโยคหลังของหลูซื่อ ด้วยรู้เรื่องที่นางปัญญาอ่อนตอนเด็กมานานแล้ว

หลูซื่อพูดยืดยาวเป็นชุดก่อนเหลือบตาขึ้นมองก็พบว่าหลี่ไท่ใจลอย นางหน้าเปลี่ยนสี ถอนใจเฮือกอย่างอัดอั้น “จะอย่างไรหม่อมฉันก็พูดจาอ้อมค้อมไม่เป็นสักเท่าไร เช่นนี้ก็ขอทูลท่านอ๋องตรงๆ เถอะ คราวนี้อวี้เอ๋อร์ป่วยจนกลายเป็นแบบนี้ พักฟื้นจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ทุเลา หม่อมฉันรู้แก่ใจดีว่าต้องเกี่ยวข้องกับพระองค์อย่างหนีไม่พ้น ส่วนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่นั้น หม่อมฉันจะไม่ซักถามอีก ทว่าหม่อมฉันเป็นมารดาคน มีบางถ้อยบางคำไม่ได้ระบายออกมาก็ไม่สบายใจ…”

นางหยุดเว้นจังหวะ นิ้วมือขยุ้มกระโปรงจนยับย่น ขอบตาเริ่มแดงเรื่อโดยไม่รู้ตัว

“ลูกของหม่อมฉันคนนี้อาภัพตั้งแต่เล็ก พระองค์ก็ทรงทราบเรื่องราวในครอบครัวหม่อมฉันอยู่แล้ว พี่ชายสองคนของนางนั่น ดีชั่วสมัยวัยเยาว์เคยสุขสบาย มีแต่นางคนเดียวยังอยู่ในท้องแม่ก็ต้องระเหเร่ร่อนหลบหนีตามหม่อมฉัน พอลืมตาดูโลกก็สติไม่สมประกอบสี่ปี เดชะบุญที่นางหายดี แต่เพราะเกิดมาไม่สมบูรณ์เลยตัวผอมๆ เล็กๆ ตลอด พวกหม่อมฉันอาศัยอยู่ในชนบท แม้ไม่เรียกให้นางทำไร่ไถนา แต่ตอนนางตัวสูงไม่ถึงเอวหม่อมฉันก็เริ่มจับเข็มกับด้ายฝึกเย็บปักถักร้อยกับหม่อมฉันเพื่อหาเงินจุนเจือครอบครัว ชะรอยสวรรค์เวทนา พอนางผ่านช่วงสติไม่สมประกอบไป กลับเฉลียวฉลาดกว่าเด็กทั่วไปอย่างมาก ซ้ำยังรู้ความและเอาใจใส่ผู้อื่น ไม่ว่าเป็นอาหารเสื้อผ้า แต่ไรมานางไม่เคยเอ่ยปากขอ ทุกคราที่หม่อมฉันให้เศษเงินเหลือๆ นางจะเก็บหอมรอมริบไว้ซื้อหนังสือให้พี่ใหญ่ของนางอ่าน ตอนเด็กนางฝึกคัดลายมือ จะกอบทรายมารวมกันแล้วใช้กิ่งไม้ขีดเขียน หรือไม่ก็เก็บกระดาษที่พี่ใหญ่นางใช้แล้ว ใช้พู่กันแตะน้ำเปล่าเขียนด้านหลัง ในปีที่ผลเก็บเกี่ยวดี หม่อมฉันซื้อกระดาษสาให้ นางต้องดีอกดีใจนานพักหนึ่ง เป็นเด็กรู้จักพอจนชวนให้ปวดใจ…หม่อมฉันรู้สึกเสมอว่าเด็กดีปานนี้ คง…คงลงมาเกิดผิดที่ ถึงต้องมาตกทุกข์ได้ยากไปกับหม่อมฉันด้วย…”

หลูซื่อยกมือปิดปาก น้ำตาไหลรินลงมาเป็นสาย นางเบือนหน้าไปอีกทางร้องไห้กระซิกๆ หลี่ไท่ได้ยินแล้ว รู้สึกหน่วงๆ ในอกเป็นระลอก มือที่ไพล่หลังอยู่กำเป็นหมัด ด้านหานลี่ซึ่งอยู่ไกลออกไปตรึกตรองความหมายในถ้อยคำของนางด้วยท่าทางครุ่นคิด นี่เป็นคราแรกที่เขาได้ยินหลูซื่อเล่าเรื่องตอนเด็กของลูกๆ

นางปาดน้ำตาออกลวกๆ ไม่สนใจว่าหน้าตาจะเปรอะเปื้อน ก่อนจะสูดลมหายใจและกล่าวต่อ “เรื่องในภายหลัง พระองค์ทรงทราบดีอยู่แล้ว ครอบครัวของหม่อมฉันลงหลักปักฐานในตำบลหลงเฉวียน เริ่มแรกอาศัยการค้าเล็กๆ เลี้ยงชีพ พี่รองของนางตามไปอยู่กับพี่ใหญ่ที่เล่าเรียนในสำนักศึกษาหลวง นางก็อยู่กับหม่อมฉันสองคน ตื่นแต่เช้ามืดทำผลเล็บแดงเชื่อมไปขายในเมืองหลวง ครั้นความเป็นอยู่ดีขึ้น สำนักศึกษาหลวงรับนางเข้าไปเป็นศิษย์ ต่อมาพวกหม่อมฉันแม่ลูกได้กลับเข้าสกุลหลู ชีวิตที่ทุกข์ทนลำบากใกล้จะผ่านพ้นไปสักที ใครจะคิดว่าสวรรค์จะกลั่นแกล้งนางซ้ำอีกหน เริ่มต้นจากหม่อมฉันถูกลักพาตัว ท่านปู่ของนางล้มป่วยจากไป จวิ้นเอ๋อร์หายสาบสูญ จื้อเอ๋อร์ยังต้องคดีจนจบชีวิตในที่สุดอีก…” เสียงของหลูซื่อสั่นเครืออย่างยากจะควบคุมตนเองได้

“หม่อมฉันแจ่มแจ้งดีว่าลูกคนนี้เห็นแก่สายใยสัมพันธ์มากที่สุด นางเห็นหม่อมฉันกับพวกพี่ชายสำคัญเท่าชีวิต ทุ่มเทจิตใจอยู่ที่ตัวพวกหม่อมฉันสามคนทั้งหมด นางแยกจากท่านแม่ไม่ได้ยิ่งกว่าใครๆ หม่อมฉันเพียงคิดว่าตอนตนเองกินดีอยู่ดีในหนานจ้าว อวี้เอ๋อร์ต้องอยู่คนเดียวในเมืองฉางอัน นางขาดมารดา และไม่มีพี่ชายที่ดูแลพึ่งพากันและกัน ยังต้องมองดูพี่ใหญ่ของนางตายอย่างไม่เป็นธรรมในคุก ตอน…ตอนนั้นนางเพิ่งย่างวัยสิบสอง ยังโตไม่เต็มที่เลย ถึงเป็นผู้ใหญ่อย่างหม่อมฉันก็ยังทนรับไม่ไหว นางเป็นเด็กคนหนึ่งผ่านมาได้เช่นไร ถ้าทำให้นางเจ็บปวดน้อยลงส่วนหนึ่งได้ หม่อมฉันอยากเอามีดเฉือนตัวเองแบกรับไว้แทนนางแทบใจจะขาด…”

ร่างของหานลี่สั่นสะท้านน้อยๆ พอได้ยินหลูซื่อพูดถึงเรื่องร้าวรานใจ เขาถึงกับคิดเรื่องบางเรื่องได้ปรุโปร่งในบัดดล

“แต่ตอนพบกันอีกครั้งที่หนานจ้าว นางกลับปิดบังเรื่องต่างๆ ไว้ไม่ให้หม่อมฉันรู้ ไม่แม้แต่จะร้องทุกข์ต่อมารดา เอาแต่คิดเป็นอย่างแรกว่าไม่ให้หม่อมฉันโศกเศร้าเสียใจจึงจะดี ทรงเห็นว่าในใต้หล้ายังมีเด็กโง่เช่นนี้อยู่ที่ไหน นางประคับประคองหัวใจคนอื่นอย่างทะนุถนอม ส่วนหัวใจของตัวเองมิใช่ก้อนเนื้อก้อนหนึ่งหรือ!”

หลูซื่อตะเบ็งเสียงตะโกนพูดประโยคสุดท้ายแล้วก้มหน้าร่ำไห้อย่างไร้สุ้มเสียง

หลี่ไท่รออยู่ด้านข้างเงียบๆ หากตรงหน้าอกเดี๋ยวจุกแน่นเดี๋ยวสะท้านสะเทือนดุจมีใครรัวกลองอยู่ใกล้ๆ มันอึดอัดทรมานยิ่งกว่าบาดเจ็บเลือดไหล ความรู้สึกนี้กระตุ้นให้เขาอยากเห็นหน้านางจนทนไม่ไหวยิ่งขึ้น พันธนาการนางไว้ข้างกายจึงจะสงบใจลงได้

บรรยากาศในลานเรือนตึงเครียดอย่างมาก ผ่านไปนานเท่าไรก็สุดรู้ เสียงร้องไห้แผ่วเบาของหลูซื่อค่อยๆ เงียบลง นางเอาแขนเสื้อซับหางตาแล้วเงยหน้าขึ้น มองชายหนุ่มตรงหน้าในฐานะมารดาคนหนึ่ง…มารดาผู้ดื้อดึง นางจ้องมองนัยน์ตาสีผิดแผกจากคนทั่วไปนิ่งๆ ไม่นึกหวาดกลัว กลับบังเกิดความกล้าที่หาผู้ใดเทียบเคียงได้ ต่อให้ยามนี้เป็นฮ่องเต้ยืนอยู่เบื้องหน้า ก็อย่าได้หมายว่านางจะยอมถอยให้แม้สักครึ่งก้าว

หลี่ไท่รู้สึกได้ว่าสิ่งที่นางกำลังจะพูดเป็นเรื่องสำคัญมาก เขาปรับสีหน้าเป็นเคร่งขรึมจริงจัง มองตอบสตรีวัยกลางคนผู้นี้ ก็ได้ยินสุ้มเสียงแหบทุ้มอู้ๆ อี้ๆ ที่ดังมากระทบหูแล้วชัดเจนเป็นพิเศษ

“อวี้เอ๋อร์เป็นเด็กช่างระแวง มีเรื่องอะไรล้วนเก็บไว้ในใจ กลัวคนอื่นเป็นห่วง ไม่ว่าใครนางก็ไม่ยอมบอกจนกลายเป็นนิสัยติดตัว แก้อย่างไรก็แก้ไม่หาย ส่วนท่านอ๋องทรงเป็นคนเงียบขรึมไม่ช่างพูด นานวันเข้าพระองค์กับนางจะกินแหนงแคลงใจกันอย่างเลี่ยงได้ยาก จากคู่สร้างคู่สมจะแปรเปลี่ยนเป็นคู่เวรคู่กรรม ขืนให้นางล้มป่วยแบบนี้ซ้ำๆ ช้าเร็วก็คงสิ้นชีวิต ตามความเห็นของหม่อมฉัน พระองค์กับนางมิใช่คู่ครองที่เหมาะสมกันแน่นอน หม่อมฉันรู้ว่าอวี้เอ๋อร์ยังฝังใจกับเรื่องพี่ใหญ่นางจนไม่ยอมวางมือ หม่อมฉันจะเกลี้ยกล่อมนางเอง หากท่านอ๋องทรงมีความรักต่อนางจริงๆ แม้สักเศษเสี้ยว โปรดเสด็จกลับไปตอนนี้เถอะ”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 01 พ.ค. 63

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: