X
    Categories: 14 วัน 14 เรื่องทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดวงใจกลางสายลม

หน้าที่แล้ว1 of 27

บทนำ

ณ หอชุนเจียง เมืองหยางโจว

หอสุราที่ต้อนรับเฉพาะแขกร่ำรวยสูงศักดิ์ ไม่วุ่นวายแออัดเหมือนโรงเตี๊ยมธรรมดาทั่วไป ทั้งสามชั้นของหอชุนเจียงจัดแบ่งเป็นห้องส่วนตัว แต่ละห้องงดงามวิจิตร เครื่องเรือนทุกชิ้นล้วนเป็นของชั้นเลิศ ทั้งชุดเครื่องแก้ว ฉากบังลมหินอ่อน โต๊ะเก้าอี้ไม้แดงแกะสลัก รวมไปถึงแจกันกระเบื้องเคลือบ บนผนังแขวนลายมือของจิตรกรชื่อดัง บนโต๊ะวางถ้วยชามเครื่องเคลือบลงยาสีชมพูดอกกุหลาบครบชุด

แขกที่มาเยือนหอชุนเจียงหากมิใช่ยศศักดิ์สูงส่งก็ร่ำรวยมั่งคั่ง ลำดับชั้นในหอสุราแห่งนี้ ยิ่งสูงเท่าไรก็ยิ่งหรูหราเท่านั้น แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเหนือชั้นสามมีชั้นลับใต้หลังคาด้วย ทั้งชั้นแบ่งออกเป็นสองห้องซึ่งตกแต่งอย่างงามสง่า แฝงกลิ่นอายที่ลึกลับปกปิด เป็นที่พักผ่อนของเจ้าของหอชุนเจียงโดยเฉพาะ

ภายในห้องใต้หลังคายามนี้ ห้องส่วนตัวทั้งสองห้องล้วนเปิดอยู่ ห้องหนึ่งในนั้นมีเสียงสนทนาของบุรุษดังออกมา แทรกด้วยเสียงหัวเราะลั่นเป็นระยะ

ตรงกันข้าม อีกห้องหนึ่งกลับเงียบสนิท หน้าประตูมีองครักษ์หน้าตาดุดันสี่คนยืนถือดาบเฝ้าอยู่ ภายในห้องก็ล้อมรอบด้วยองครักษ์อีกสี่คน ทั้งยังมีสาวใช้วัยเยาว์สองคนคอยปรนนิบัติอยู่ใกล้โต๊ะกลม

ทว่าคนคนเดียวที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะกลมตัวใหญ่อันหรูหรากลับเป็นเด็กชายอายุราวสิบขวบคนหนึ่ง

ใบหน้าเล็กขาว ตาคมคิ้วงาม ฟันสะอาดริมฝีปากแดง ราวกับหลุดออกมาจากสมุดภาพก็ไม่ปาน เวลานี้เขานั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้ มองดูสาวใช้คีบกับข้าวมาจานหนึ่ง ตักน้ำแกงเติมข้าวมาวางข้างหน้าเขา

“พอแล้ว เอาเท่านี้ก่อน” เขายกมือให้สาวใช้ซ้ายขวาถอยไป แล้วยกถ้วยกระเบื้องลายครามขึ้นมาคีบกับข้าวกินเองด้วยท่วงท่างามสง่ายิ่ง กินอย่างไม่รีบไม่ร้อน แม้กระทั่งเสียงซดน้ำแกงก็ไม่มีหลุดลอด ทั่วกายเขาราวกับปกคลุมด้วยแสงจันทร์ โดดเด่นด้วยลักษณะสุขุมเกินกว่าอายุ เสริมเข้ากับรูปลักษณ์ภายนอกที่งดงามหมดจด

พินิจให้ละเอียดกว่านั้น เขาใส่ชุดผ้าแพรสีฟ้าหม่นสลับสีไข่มุก เท้าสวมรองเท้าหุ้มข้อหนังแกะสีขาว เอวคาดสายผ้าสีเงินลายเมฆ สวมหมวกลำลองผ้าแพรต่วนสีดำฝังหยก พกกระบี่สั้นเล่มหนึ่งไว้ข้างมือ บนฝักกระบี่ที่ทำจากเงินประดับด้วยอัญมณีหนึ่งเม็ดที่เป็นสีแดงสุกสว่าง ส่องสะท้อนวูบวาบบนใบหน้าอ่อนวัยนั้น

เมื่อมองจากที่ไกลๆ เปรียบประหนึ่งภาพวาดอันงดงามประณีต ชวนให้คนมองดูจนเพลิดเพลิน…

ปัง!

บรรยากาศอันเงียบสงัดหายวับไปกับตา เมื่อประตูห้องติดกันถูกผลักเข้ามาอย่างแรงโดยไม่ทันตั้งตัว ทุกคนต่างตะลึงงัน เด็กชายหยุดมือที่กำลังคีบอาหารแล้วเงยหน้ามองอย่างตกใจ

“ที่นี่เงียบดีจริงๆ!”

เสียงเล็กบางดังขึ้น แทบจะพร้อมกันนั้น คนที่ส่งเสียงก็วิ่งตื๋อเข้ามาที่โต๊ะกลม มองดูเด็กชายอย่างสนอกสนใจ

“นายน้อย ขออภัยด้วยขอรับ คือว่า…” องครักษ์ที่อยู่นอกประตูวิ่งตามแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาอย่างตะลีตะลาน

เด็กชายมองดูแขกไม่ได้รับเชิญตรงหน้าซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุประมาณห้าหกขวบ ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองตนอยู่เช่นกัน ใบหน้านั้นออกจะคล้ำไปหน่อยสำหรับเด็กหญิง พวงแก้มกลมตึงคล้ายกำลังอมอะไรอยู่ในปาก ดวงตาถูกก้อนเนื้อบนใบหน้าเบียดขึ้นไปจนเล็กหยี แต่แววตากลับสดใสเป็นประกายอย่างยิ่ง

“ข้ากินนี่ได้หรือไม่” สายตาของเด็กหญิงเลื่อนไปมองบนโต๊ะ จับจ้องที่จานลูกชิ้นกุ้งที่อยู่ท่ามกลางจานอีกหลายใบ

“นายน้อย ให้ข้าน้อยพานางกลับไปที่ห้องข้างๆ หรือไม่ขอรับ” องครักษ์พูดเสียงอ่อย

เด็กชายโบกมือพลางส่ายหน้า “ช่างเถอะ ไม่เป็นไร เจ้าออกไปก่อน”

ถึงแม้เขาจะไม่ชินกับการถูกคนรบกวนในเวลากินอาหาร แต่บิดาของเด็กหญิงเป็นสหายรักที่รู้จักกับท่านพ่อของเขามานานหลายปี ครั้นจะไล่นางออกไปก็คงไม่ดีนัก

“ช่วยเอาถ้วยกับตะเกียบมาเพิ่มให้คุณหนูเฟิ่งด้วย” เขาออกคำสั่ง

สหายของท่านพ่อผู้นี้แซ่เฟิ่ง ท่านพ่อให้เขาเรียกว่า ‘ท่านลุงเฟิ่ง’ แต่กลับได้ยินท่านพ่อเรียกฝ่ายนั้นว่าจิ่นเฟิ่งหรือจิ่งเฟิ่งอะไรสักอย่าง เขาไม่แน่ใจนัก เอาเป็นว่าในเมื่อเป็นท่านลุงเฟิ่ง ลูกสาวของเขาก็น่าจะเป็นคุณหนูเฟิ่งล่ะ

แม้ว่าจะท่าทางไม่เหมือน ‘คุณหนู’ เลยสักนิดก็เถอะ

“คุณหนูเฟิ่ง เชิญกินได้เจ้าค่ะ” สาวใช้คีบลูกชิ้นกุ้งลูกหนึ่งให้นาง

เด็กหญิงยิ้มร่า ยื่นมือไปหยิบลูกชิ้นเข้าปากโดยตรง พูดพลางเคี้ยวตุ้ยๆ “สวัสดีพี่ชาย ข้าชื่อเฟิ่งเป๋าเป่า ท่านพ่อบอกว่าชื่อเป๋าเป่ามาจากคำว่าชือเป๋าเป่า* แล้วท่านล่ะ”

คิ้วงามของเด็กชายเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่อยากเชื่อว่าจะมีใครกล้าใช้มือหยิบอาหารแบบนี้ แล้วเดี๋ยวจะล้างให้สะอาดอย่างไรกันล่ะ เขาอึ้งไปสักพักก่อนจะเอ่ยปากตอบว่า “ข้าชื่อมู่ชิง”

“พี่มู่ ข้ากินอีกลูกหนึ่งได้หรือไม่” เด็กหญิงชี้ไปที่ลูกชิ้นกุ้ง

“ข้าไม่ได้แซ่มู่” เขามองมือกับปากที่มันหยดของอีกฝ่ายแล้วรู้สึกขนหัวลุก เมื่อครู่นางว่านางชื่ออะไรนะ เป๋าเป่า? เหตุใดถึงมีชื่อพรรค์นี้ด้วย

“งั้นท่านแซ่อะไรล่ะ” นางมองเขา ดวงตากลอกไปมา

“ข้า…ช่างเถอะ เจ้าอยากกินอะไรก็คีบเอาเองเลย ไม่ต้องถามหรอก” แซ่ของเขาออกจะพิเศษอยู่สักหน่อย ท่านพ่อบอกว่าตอนกลับเป่ยจิงเขาจะชื่อว่าอ้ายซินเจวี๋ยหลัวมู่ชิง แต่ยามปกติให้ใช้แซ่ตามมารดา ชื่อว่าหลิ่วมู่ชิง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนก็ไม่ใช่พี่มู่แน่ๆ แต่เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน เขาคิดว่าถึงจะอธิบายไป เป๋าเป่าอะไรนี่ก็คงฟังไม่เข้าใจหรอก

“ลูกชิ้นอร่อยจริง พี่มู่ไม่กินหรือ ยังเหลืออีกลูกหนึ่ง ข้าให้” นางดันจานมา จานส่งเสียงกระทบกันดังกริ๊ก

“ข้าอิ่มแล้วล่ะ” เขาวางถ้วยกับตะเกียบลง ทั้งถ้วยทั้งชามล้วนสะอาดเกลี้ยง แต่ไหนแต่ไรท่านพ่อของเขาไม่เคยชอบให้โต๊ะอาหารเลอะเทอะ เขาจึงไม่เคยทำข้าวหรือกับข้าวหกเรี่ยราด ท่านแม่ของเขาก็ไม่ชอบให้คนกินทิ้งกินขว้าง เขาจึงกินข้าวที่สาวใช้ตักให้หมดเกลี้ยงเสมอ ที่ผ่านมาเขากินแบบสะอาดสะอ้านและไม่ฟุ่มเฟือยมาตลอด ไม่เหมือนใครบางคน…

หลิ่วมู่ชิงมองดูคนตรงหน้าอย่างตะลึงงัน เฟิ่งเป๋าเป่าใช้ช้อนตักข้าวกินจนเม็ดข้าวติดเต็มแก้มไปหมด อีกมือหนึ่งก็หยิบลูกชิ้นกุ้งลูกสุดท้ายในจานขึ้นมา พยายามจะกัดเข้าปากที่ฟันหน้าหายไป

เขาอดไม่ได้ที่จะกระแอมกระไอแล้วบอกว่า “เจ้าทำข้าวหกเต็มไปหมดเลย”

เฟิ่งเป๋าเป่าชำเลืองมองเขาแล้วพูดเสียงอู้อี้ “ท่านพ่อบอกว่ายิ่งหกเยอะก็ยิ่งแสดงว่าอร่อย”

หลิ่วมู่ชิงอึ้งไป ประโยคนี้สมกับเป็นคำพูดของท่านลุงเฟิ่งจริงๆ ดูท่าทางท่านลุงเฟิ่งจะเป็นคนไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไร ระหว่างที่คิดเขาก็พูดว่า “พ่อเจ้าก็ทำการค้าด้วยหรือ”

“ทำการค้าคืออะไร” นางถามกลับ

ถามเช่นนี้แสดงว่าคงไม่ได้ทำการค้าสินะ หลิ่วมู่ชิงใช้วิธีถามใหม่ “งั้นพ่อเจ้าทำอะไรล่ะ”

“พ่อข้าก็เป็นพ่อข้าน่ะสิ ไม่งั้นจะเป็นอะไรได้เล่า” นางตอบราวกับเป็นเรื่องที่สมควรเข้าใจได้อยู่แล้ว แววตาฉายความสงสัยอย่างยิ่ง เหมือนรอฟังอยู่ว่าที่แท้แล้วพ่อของนางเป็นอะไรกันแน่

หลิ่วมู่ชิงกลอกตาเล็กน้อย ตัดสินใจไม่ถามเรื่องนี้ต่อ เพราะเขานึกขึ้นมาได้ว่าผู้ติดตามข้างกายท่านลุงเฟิ่งล้วนเรียกท่านลุงเฟิ่งว่าอาจารย์หรือไม่ก็นายท่านเฟิ่ง ดูลักษณะแล้วไม่เหมือนคนเป็นพ่อค้า แต่เหมือนนักเลงแห่งขุนเขาจำพวกนั้นมากกว่า เขาส่งสัญญาณให้สาวใช้รินชาหอมให้ แล้วยกถ้วยชาขึ้นดื่มโดยไม่พูดไม่จา ดื่มไปได้ไม่กี่คำก็สังเกตเห็นว่าเด็กหญิงตรงหน้าจ้องตนตาแป๋ว

“หน้าข้ามีอะไรติดอยู่หรือ” เขาหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับมุมปาก ซึ่งไม่มีอะไรถูกเช็ดออกมา

“พี่มู่ ไยท่านดื่มชาไม่มีเสียงเลยล่ะ” นางมองเขาอย่างฉงน “ท่านพ่อบอกว่าชายิ่งอร่อยก็ยิ่งต้องดื่มเสียงดัง หรือว่าชาถ้วยนี้ของท่านไม่อร่อย”

“อร่อย แต่ข้าไม่อยากส่งเสียง” ชาเบญจมาศขาวถ้วยนี้คุณสมบัติพอจะเป็นชาถวายฝ่าบาทได้ด้วยซ้ำ จะไม่อร่อยได้อย่างไร

“ข้าก็อยากดื่มด้วย! พี่สาวขอชาอย่างนี้ให้ข้าด้วยได้หรือไม่” นางหันหน้าที่เต็มไปด้วยเม็ดข้าวไปขอชากับสาวใช้

สาวใช้คนนั้นเห็นท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของนางก็เม้มปากยิ้ม รินชาให้นางถ้วยหนึ่งและไม่ลืมกำชับว่า “ร้อนหน่อยนะเจ้าคะ คุณหนูเฟิ่งค่อยๆ ดื่ม ระวังลวกปาก”

นางได้ยินดังนั้นก็ทำปากจู๋ตั้งหน้าตั้งตาเป่าอยู่สักพัก จากนั้นก็ไม่ได้ยกถ้วยขึ้นมา แต่ยื่นคอจนปากไปจรดขอบถ้วยแล้วสูดน้ำชาเสียงดัง “ซู้ด” เข้าไปหลายอึก

หลิ่วมู่ชิงไม่เคยเห็นเด็กหญิงที่ไหนดื่มชาอย่างเปิดเผยเช่นนี้มาก่อน ชั่วขณะนั้นทั้งตกใจและกระอักกระอ่วน

“อร่อยมากเลย! เมื่อครู่เห็นท่านดื่มนึกว่ารสแย่เสียอีก” นางพ่นลมเสียงดัง “ฮ้า” ออกมาอย่างสดชื่น เดิมทีจะยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดปาก แต่จู่ๆ ก็หยุด รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าเนื้อดีที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเช็ดปากอย่างเรียบร้อยเลียนแบบกิริยาของหลิ่วมู่ชิงเมื่อครู่

หลิ่วมู่ชิงมิได้สนใจนางอีก นั่งดื่มชารสเลิศของตัวเองต่อไป มือหนึ่งลูบกระบี่ที่วางอยู่บนโต๊ะโดยไม่รู้ตัว อากัปกิริยานี้ดึงดูดสายตาของเฟิ่งเป๋าเป่าทันที ดวงตาของนางสว่างวาบ ร้องชมว่า “พี่มู่ มีดของท่านงามนัก!”

หลิ่วมู่ชิงเห็นนางทำท่าจะยื่นมือมันแผล็บมาจับกระบี่ก็รีบแย่งมาถือไว้ในมือก่อน ถึงท่านพ่อจะบอกว่าบุรุษควรมีน้ำใจและมารยาทกับสตรี แต่กระบี่เล่มนี้เป็นของขวัญวันเกิดอายุสิบขวบของเขา หลังจากได้มันมาเขาก็พกติดตัวไม่ห่างมือทุกวัน แล้วมือของเฟิ่งเป๋าเป่าก็มันเหลือเกิน เขาทนดูนางจับไม่ได้แน่

ระหว่างที่คิด เขาก็กอดกระบี่ไว้ในอกด้วยสีหน้าบึ้งตึง “นี่เป็นของรักของข้า ให้เจ้ายืมเล่นไม่ได้หรอก”

นางทำหน้าผิดหวัง แต่แล้วก็กะพริบตาปริบๆ ยื่นข้อเสนอ “ข้าก็จะเอาของรักของข้าให้ท่านยืมด้วย เราแลกกันเล่นดีหรือไม่”

หลิ่วมู่ชิงมองนางอย่างระแวง แต่ถึงอย่างไรความเยาว์วัยก็ห้ามความใคร่รู้ไว้ไม่อยู่ คิดสักพักก็พยักหน้าถามว่า “ของรักของเจ้าคืออะไร เอาติดตัวมาด้วยหรือไม่”

นางพยักหน้าหงึกๆ แล้วยิ้มแป้นหยิบถุงเล็กๆ ออกมาจากข้างเอว ประคองไว้ในอุ้งมือด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ หลิ่วมู่ชิงอดใจไม่ไหวยื่นหน้าไปดู สองตาจ้องที่มือของเฟิ่งเป๋าเป่าดูนางเปิดถุงใบนั้นออก ค่อยๆ ดึงถุงลงข้างล่าง

“จี๊ด!”

หนูขนสีน้ำตาลตัวหนึ่งโผล่หัวออกมาจากในถุง

“นี่ล่ะของรักของข้า เจ้าหนูขนปุย!” เฟิ่งเป๋าเป่าประกาศเสียงดังพร้อมฉีกยิ้มด้วยปากที่ไม่มีฟันหน้า

หลิ่วมู่ชิงเบิกตากว้างอย่างตกใจ ตอนยังเล็กอยู่เขาเคยติดตามมารดาขึ้นเรือไปดูงาน แล้วไม่ระวังเผลอตกลงไปในห้องเก็บเสบียงใต้ท้องเรือ โชคร้ายเจอฝูงหนูโจมตี ตั้งแต่นั้นมาเขาก็กลัวสัตว์ตระกูลหนูมาตลอด โชคดีที่ปกติในบ้านไม่มีหนูให้เห็น จึงไม่มีใครล่วงรู้ความลับนี้ เขาคาดคิดไม่ถึงเลยว่าภายในห้องส่วนตัวที่แสนสบายอย่างตอนนี้จะมีหนูอ้วนขนปุยตัวหนึ่งโผล่มา อีกทั้งยังอยู่ห่างแค่ระยะที่แทบจะกัดปลายจมูกเขาได้

หลิ่วมู่ชิงหน้าซีดลง ดวงตาเบิกกว้างขึ้นทุกทีๆ จนในที่สุดเมื่อหนูขนปุยส่งเสียงร้องจี๊ดๆ อีกหลายครั้ง เขาก็กลั้นไว้ไม่ไหวอีกต่อไป ตะเบ็งเสียงร้องลั่นอย่างลืมตัว “อ๊าๆๆๆๆ! เอาออกไป! เอาออกไป!”

เขาได้ยินตัวเองร้องเสียงหลงแบบที่ไม่เคยร้องมาก่อน แต่ก็ควบคุมไม่ได้แล้ว

เสียงร้องดังสนั่นนี้พลันกระจายไปทั่วชั้นใต้หลังคา ไม่เพียงองครักษ์ที่อยู่ภายในห้องจะสะดุ้งตกใจ องครักษ์ที่อยู่นอกห้องก็ถือดาบถลันเข้ามาทันที แม้กระทั่งห้องข้างๆ ก็หยุดสนทนา ทุกคนรีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“นายน้อย! นายน้อย?!”

“พี่มู่เป็นอะไรไปหรือ”

เฟิ่งเป๋าเป่าก็ตกใจเช่นกัน รีบเข้าไปสอบถามใกล้ๆ พร้อมกับเจ้าหนูที่อยู่ในมือ มันบังเอิญไปโดนคางของหลิ่วมู่ชิงเข้าพอดี

“ไม่เอา! ไม่เอา!” เขาตื่นตระหนกสุดขีด หนังศีรษะชาวาบ ขนลุกขนชันไปหมดทั้งตัว มือและเท้าปัดป่ายพัลวัน เก้าอี้ที่นั่งอยู่โงนเงนไปมาอย่างแรง ชั่วพริบตาต่อจากนั้นภายใต้สายตาของทุกคนที่จับจ้อง ร่างของเด็กชายก็หงายหลังล้มลงไปพร้อมเก้าอี้ ด้านหลังศีรษะกระแทกพื้นที่เงาวับจนส่องได้เสียงดังชัดถนัดหู!

ตึง!

“นายน้อยระวัง!”

“แย่แล้ว!”

หลิ่วมู่ชิงเห็นดาราพร่างพราย ท่ามกลางความมึนงงนั้น จำได้เพียงว่าทุกคนเข้ามาห้อมล้อม แต่ละคนมองเขาอย่างตกใจ ไม่เว้นแม้แต่บิดาของเขาที่สุขุมเยือกเย็นเสมอ

แต่ที่น่าโมโหที่สุดก็คือท่านลุงเฟิ่งหน้าดุคนนั้น เขากลับส่งเสียงหัวเราะสะใจแล้วพูดขึ้น “เต๋อเจิน ไม่จริงน่า ลูกชายเจ้าขี้ขลาดขนาดนี้เชียวรึ กลัวแม้กระทั่งหนู!”

ใครขี้ขลาดกัน! อย่ามาพูดจาส่งเดชต่อหน้าทุกคนเช่นนี้นะ! หลิ่วมู่ชิงต่อต้านอยู่ในใจอย่างร้อนรน ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะดับวูบ หมดสติไม่รู้สึกตัว

บทที่ 1

เจ็บ!

หลิ่วมู่ชิงลูบคลำท้ายทอย รู้สึกเหมือนเจ็บแปลบขึ้นมาชั่วขณะ

บ้าจริง! ไฉนจู่ๆ ก็ฝันเห็นเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อหกปีก่อนขึ้นมาได้นะ เขาส่ายหน้าพลางหัวเราะกับตัวเองแล้วคว้าเสื้อคลุมข้างเตียงขึ้นมาคลุมตัว ก้าวลงจากเตียงไปเปิดหน้าต่าง

ฟ้าเริ่มสว่างเรืองรอง ถึงเวลาที่เขาควรลุกไปฝึกกระบี่แล้ว

ในฐานะบุตรชายเพียงคนเดียวของหัวหน้าสำนักหลิ่วเยวี่ย หลิ่วมู่ชิงตระหนักถึงภาระหน้าที่ของตัวเองเสมอมา ตั้งแต่เขาจำความได้ก็เริ่มร่ำเรียนวิชากับอาจารย์หลายคนทุกวัน ตื่นมาฝึกกระบี่และหมัดมวยช่วงรุ่งสาง กินข้าวเช้าเสร็จก็อ่านตำราเขียนบทความกับอาจารย์ ตอนบ่ายบางวันเรียนขี่ม้ายิงธนู บางวันก็พิจารณาศิลปะทั้งสี่ฉินฉีซูฮว่า* และโบราณวัตถุล้ำค่าต่างๆ ช่วงเย็นก็ทบทวนบทเรียนของตอนเช้า ทั้งวิชาบุ๋นและวิชาบู๊ล้วนทบทวนหลายต่อหลายรอบ หากวันใดบิดาอยู่บ้านก็จะร่วมฝึกกระบี่กับเขาสักพักหนึ่ง หรือไม่ก็เรียกเขาไปถามบทเรียนที่ห้องหนังสือ

เมื่อโตขึ้นอีกหน่อย มารดาก็เริ่มสอนเขาทำบัญชี พาไปเข้าร่วมประชุมของสาขาอาชีพต่างๆ ที่อยู่ภายใต้สังกัดสำนักหลิ่วเยวี่ย หรือไม่เช่นนั้นก็ติดสอยห้อยตามบิดามารดาไปตรวจดูกิจการของสำนักหลิ่วเยวี่ยตามที่ต่างๆ

“นายน้อยตื่นเร็วนักขอรับ”

“วันไหนๆ นายน้อยก็ตื่นเร็วกว่าเจ้าอยู่แล้ว”

บ่าวรับใช้ชายสองคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาเดินเข้ามาในห้อง คนหนึ่งยกอ่างล้างหน้า อีกคนหนึ่งประคองชามเล็กๆ มา

หลิ่วมู่ชิงยิ้มฟังพวกเขาต่อปากต่อคำกัน แล้วล้างหน้าบ้วนปากอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยกชามเล็กขึ้นดื่ม ในนั้นคือรังนกที่ต้มจนเปื่อย หัวหน้าสำนักหลิ่วเยวี่ยสั่งเอาไว้ เขาไม่กล้าอิดออดไม่ดื่มได้

หัวหน้าสำนักหลิ่วเยวี่ยคือมารดาของเขาเอง บุคคลสำคัญผู้ดูแลทรัพย์สินมหาศาลทั้งหมดของครอบครัว ในสำนักหลิ่วเยวี่ย ไม่ว่าใครก็ต้องฟังคำสั่งของหัวหน้าสำนักทั้งสิ้น

ทว่าท่านแม่กลับเชื่อฟังท่านพ่อเป็นอย่างดี

เขาดื่มรังนกชามนั้นจนหมด แล้วเปลี่ยนมาใส่เสื้อสีฟ้าแบบสบายภายใต้การดูแลปรนนิบัติของบ่าวรับใช้

“ไปกันเถอะ” หลิ่วมู่ชิงเดินนำบ่าวรับใช้สองคนที่ชื่อว่าอู่เอ๋อร์กับลิ่วเอ๋อร์ออกไปทางเรือนด้านข้าง

หลิ่วมู่ชิงอายุสิบหกปี รูปหน้ายาว ผิวค่อนไปทางขาว จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากสีชมพู เส้นคิ้วเรียวคม พร้อมด้วยรูปร่างสูงโปร่งราวกับหลุดมาจากพิมพ์เดียวกับบิดามารดา น่าจะสูงกว่าเด็กหนุ่มรุ่นเดียวกัน ประกอบกับการไปเยี่ยมเยียนผู้คนมากมายมาตั้งแต่เด็กจนชิน ทำให้อากัปกิริยาการเคลื่อนไหวของเขาดูหนักแน่นและใจเย็นกว่าคนอื่น

“เหตุใดเรือนปีกทิศใต้มีคนเข้าๆ ออกๆ ตั้งแต่เช้าเลยล่ะ” หลิ่วมู่ชิงถามคนที่อยู่ด้านหลัง

อู่เอ๋อร์รีบตอบว่า “ได้ยินว่านายท่านเป็นคนสั่งไว้ บอกว่าจะมีแขกสำคัญมาพำนักหลายวันขอรับ”

หลิ่วมู่ชิงพยักหน้ารับรู้

“แขกที่ไหนรู้หรือไม่” เขาถามไปตามเรื่องโดยไม่ได้หยุดฝีเท้า การฝึกวรยุทธ์ในช่วงเช้าเป็นงานสำคัญของวัน จะล่าช้าไม่ได้แม้แต่นิดเดียว

ลิ่วเอ๋อร์ตอบทันควัน “เหมือนว่าจะเป็นแขกแซ่เฟิ่งนะขอรับ”

หลิ่วมู่ชิงชะงักทันที หันกลับไปมองพวกเขาแล้วทวนคำว่า “แซ่เฟิ่ง?”

“ขอรับ” ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน

อู่เอ๋อร์พูดต่อว่า “แซ่นี้หาได้ยากยิ่ง พวกข้าฟังครั้งแรกก็จดจำได้ ได้ยินว่านายท่านสกุลเฟิ่งพาบุตรสาวมาด้วยกัน มีอะไรหรือขอรับนายน้อย”

“ไม่มี” เขาส่ายหน้าเบาๆ แล้วหันตัวเดินต่อ

เป็นท่านลุงเฟิ่งแน่ๆ เขาเพิ่งจะฝันถึงเรื่องเก่าเมื่อหกปีก่อนมาหยกๆ ครอบครัวของท่านลุงเฟิ่งก็มาเยี่ยมที่บ้านเสียนี่ นี่เรียกว่าใจสื่อถึงกันหรือว่ามีนิมิตล่วงหน้ากันแน่นะ

พอคิดถึงการพบกับครอบครัวท่านลุงเฟิ่งเมื่อครั้งก่อน เขาก็ถอนใจเฮือกใหญ่

คราวที่แล้วทำเขาเสียหน้ามาก เรื่องที่นายน้อยสำนักหลิ่วเยวี่ยกลัวหนูถูกแพร่ออกไปจนรู้กันทั่ว ไม่เพียงเท่านั้น เขายังตกเก้าอี้หัวกระแทกพื้นเสียอีก ตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่เคยขายหน้าเท่านี้มาก่อน ไม่ใช่แค่เขาที่เสียหน้า แม้แต่ท่านพ่อท่านแม่ก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน โกรธไม่คุยกับเขาไปหลายวัน

เฮ้อ

โชคดีที่ตอนนั้นอู่เอ๋อร์กับลิ่วเอ๋อร์ไม่ได้ตามไปด้วย จึงไม่เห็นเขาเสียกิริยาเช่นนั้น แต่ถึงอย่างไรเรื่องก็ผ่านไปหลายปีแล้ว ความรู้สึกอับอายก็จางลง และแน่นอนว่าเขาเลิกกลัวหนูไปนานแล้ว

“บุตรสาวของนายท่านสกุลเฟิ่งอายุใกล้เคียงกับคุณหนูใหญ่ของเราไม่ใช่หรือ คราวนี้คุณหนูใหญ่จะได้มีเพื่อนแล้ว”

“ใช่ ดูท่าเทศกาลไหว้พระจันทร์ปีนี้บ้านเราคงคึกคักน่าดู”

หลิ่วมู่ชิงยิ้มน้อยๆ ฟังบ่าวสองคนคุยกัน เนื่องจากน้องสาวของเขาสุขภาพอ่อนแอและเป็นโรคหอบหืด จึงให้ท่านย่าช่วยดูแลอยู่ข้างกาย เติบโตมาที่เป่ยจิงตั้งแต่เล็ก จนกระทั่งเมื่อเดือนก่อนถึงย้ายกลับมาบ้าน บุตรสาวของท่านลุงเฟิ่งอายุใกล้เคียงกับน้องสาวเขา น่าจะเป็นเพื่อนเล่นกันได้ เป็นเช่นนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน

“พี่ใหญ่!” เสียงสดใสเสียงหนึ่งดังขึ้น

หลิ่วมู่ชิงชะงัก ที่แท้ลานฝึกวรยุทธ์ก็มีคนอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งก็คือน้องสาวของเขากับอาจารย์สอนวรยุทธ์หลายคนรวมถึงผู้ติดตามบางส่วน

หลิ่วอันเหอน้องสาวคนนี้อ่อนกว่าเขาสี่ปี เป็นพี่น้องเพียงคนเดียวของเขา อยู่ที่บ้านเก่าของท่านพ่อในเป่ยจิงตั้งแต่เด็ก ว่ากันว่าท่านพ่อของพวกเขาเคยเป็นเชื้อพระวงศ์ตำแหน่งสูงศักดิ์ แต่กลับละทิ้งยศเพื่อมาอยู่กับท่านแม่ ทว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ท่านพ่อกลับได้รับความเอาพระทัยใส่จากจักรพรรดิองค์ปัจจุบันเสมอมา ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด แค่ตอนที่เขากับน้องสาวเกิดก็ได้รับของพระราชทานล้ำค่าไม่ด้อยกว่าลูกหลานเชื้อพระวงศ์แล้ว แม้กระทั่งชื่อของพวกเขาก็ล้วนเป็นฝ่าบาทพระราชทาน

มู่ชิงนามของเขานั้นมาจากบท ‘จี๋ฝู่สรรค์ทำนอง เสนาะพ้องดุจลมชาย’* ในคัมภีร์กาพย์กลอน ยกความหมายว่างดงามสอดคล้องกลมกลืน แฝงนัยแห่งสันติสุข ทั้งยังสามารถขยายความไปเป็น ‘มู่** ชิง’ ที่แปลว่าเคารพราชวงศ์ชิงได้อีกด้วย เพื่อให้เขาไม่ลืมว่าตัวเองเกิดในราชวงศ์ชิงเผ่าแมนจู ให้เขาเทิดทูนต้าชิงไว้ในใจเสมอ

ส่วนชื่อหลิ่วอันเหอของน้องสาวนั้นก็หมายถึงความสงบร่มเย็น บ่งบอกว่าเกิดในยุครุ่งเรืองที่มีสันติสุขนั่นเอง แน่นอนว่าชื่อของทั้งพี่ชายและน้องสาวแสดงนัยลึกซึ้งของการคาดหวังสันติสุขระหว่างสำนักหลิ่วเยวี่ยกับราชสำนัก เรื่องเหล่านี้เขาได้ยินมาจากท่านย่าและลุงป้าทั้งสิ้น ท่านพ่อของเขาไม่เคยพูดถึงเรื่องราชสำนักเลยสักครั้ง

“พี่ใหญ่ วันนี้ข้าตื่นเช้ากว่าท่านอีก เรามาประลองกันเถอะ!” หลิ่วอันเหอพูดพลางตั้งท่า

หลิ่วมู่ชิงมองดูน้องสาวตีลังกาพุ่งมาทางเขาด้วยความรู้สึกร่ำไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก น้องสาวเขาอาจจะเคยอ่อนแอขี้โรคมาก่อน แต่ด้วยการดูแลเอาใจใส่ของท่านย่า ตอนนี้ไม่เพียงแต่ร่างกายจะแข็งแรงขึ้น สีหน้าเปล่งปลั่งตามลำดับ ยังได้ยินว่าเพื่อรักษาอาการหอบหืด ถึงกับต่อยมวยฝึกลมปราณทุกวันเลยทีเดียว เมื่อใส่ใจดูแลทั้งภายในและภายนอกควบคู่เป็นเวลาหลายปี ในที่สุดก็เลี้ยงดูจนนางแข็งแรง ‘กำยำ’

กำยำจริงๆ นะ! เขามองดูรูปร่างบึกบึนของน้องสาวก็ไม่แปลกใจที่ท่านแม่ตั้งข้อสงสัยบ่อยๆ ว่าน้องสาวถูกจับไปฝึกมวยปล้ำตอนอยู่ที่เป่ยจิงหรือไม่ ลับหลังท่านแม่พูดว่าอะไรนะ เหมือนจะพูดว่าไฉนเด็กผู้หญิงถึงได้ดูแข็งแกร่งทรงพลัง หลังพยัคฆ์เอวหมีอย่างนี้! แม้แต่ท่านพ่อก็ยังเคยหลุดปากพูดว่า ‘บำรุงมากเกินไปแล้ว’…

“อันเหอ เจ้าระวังหน่อย” เขาคว้าไหล่น้องสาวเอาไว้อย่างรวดเร็วเพื่อช่วยให้นางยืนมั่นคง ไม่ให้ล้มไปเพราะความตื่นเต้นเกินเหตุ

“ไม่ต้องห่วง แค่ลงมือก็พอ!” ใบหน้ากลมของหลิ่วอันเหอระบายยิ้มเต็มหน้า

“ข้าก็ลงมือแล้วนี่ไง” หลิ่วมู่ชิงยิ้มน้อยๆ มือขวาพลิกกลับไปแตะยอดศีรษะของนางอย่างว่องไว “มือแรกกันไหล่เจ้า ไม่ให้เจ้าโจมตี มือที่สองปัดหมัดเจ้าออกไป แย่งหัวเจ้ามาได้”

หลิ่วอันเหออึ้งไป แล้วแสดงสีหน้ารู้สึกตัวในฉับพลัน จับยอดศีรษะตัวเองร้องว่า “ไม่เอาๆ! เมื่อครู่ข้าไม่ได้ป้องกันตัวเลย พี่ใหญ่ขี้โกง เมื่อครู่ไม่นับ ข้าจะประลองใหม่!”

“ศัตรูไม่ให้เวลาเจ้าเตรียมตัวหรอกนะ” หลิ่วมู่ชิงอมยิ้ม พอเห็นน้องสาวร้องโวยวายก็ลูบศีรษะปลอบนาง “เอาล่ะๆ เรามาเริ่มใหม่ก็ได้”

ความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดหลังจากหลิ่วอันเหอย้ายกลับมาบ้านก็คือบรรยากาศของสำนักหลิ่วเยวี่ยที่เคยเงียบสงัดจนแทบจะเยือกเย็นพลันถูกทำลายไปสิ้น ตอนนี้ที่ไหนที่มีคุณหนูหลิ่วอยู่ ที่นั่นก็ดูจะอบอุ่นคึกคักขึ้นมา นับเป็นความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงอย่างที่หลิ่วมู่ชิงไม่เคยสัมผัส อันที่จริงเขาเป็นคนนิสัยสุขุมเยือกเย็นเกินกว่าอายุ ค่อนข้างชอบบรรยากาศเงียบสงบมากกว่า จึงไม่ค่อยชินเท่าไรเมื่อจู่ๆ ในบ้านก็กลับคึกคัก ทว่าเขาก็ยังยินดีที่เห็นน้องสาวกลับมา ถึงอย่างไรนางก็เป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของเขา ตั้งแต่เล็กได้อยู่ด้วยกันน้อยครั้ง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็สมควรรักใคร่เอาใจใส่มากขึ้นด้วยซ้ำ

“ข้าจะลงมือแล้วนะ ระวังขาของเจ้าให้ดี” หลิ่วมู่ชิงเตือนล่วงหน้า จากนั้นก็กวาดเท้าไปทางน้องสาวอย่างว่องไว รอให้นางกระโดดหลบไปแล้วจึงค่อยลองออกหมัด “ข้าจะโจมตีแขนขวาของเจ้า ใต้รักแร้สองข้าง จากนั้นเป็นต้นขาขวา ดูให้ดีล่ะ!”

หลิ่วอันเหอลงมือป้องกันแต่ละหมัดๆ ตามคำเตือนของพี่ชาย ประมือกันไปเช่นนี้จนสิบกว่าเพลง นางทั้งตื่นเต้นทั้งภูมิใจในตัวเอง เต้นแร้งเต้นกาอย่างเบิกบาน ถึงแม้นางจะชอบท่านย่ามาก ท่านลุงกับท่านป้าก็เห็นนางเสมือนลูกแท้ๆ แต่นางก็ยังดีใจที่ได้กลับมาบ้านในที่สุด

ภายในลานกว้าง เห็นเพียงสองพี่น้องประลองยุทธ์กันไปมา เสียงประลองหมัดของคนสองคนก็ดังขึ้นเป็นระยะ เสริมด้วยเสียงพูดคุยสรวลเสเฮฮา…

สำนักหลิ่วเยวี่ยก่อตั้งขึ้นมาด้วยสองมือของหลิ่วเยวี่ยตาทวดของหลิ่วมู่ชิง แล้วเริ่มขยายตัวกว้างขวางในมือของหลิ่วหรูเซิงตาของหลิ่วมู่ชิง หลังจากนั้นเคยตกอยู่ในมือคนชั่วเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนจะโชคดีถูกบิดามารดาของเขาร่วมมือกันชิงกลับมาได้

กิจการของสำนักหลิ่วเยวี่ยนั้นกระจายไปทั่วดินแดนเจียงซู นอกจากกิจการขนส่งทั้งทางบกทางน้ำ ยังมีโรงเตี๊ยมหอสุรา โรงสีข้าว ร้านยา ร้านของชำ โรงทอผ้า โรงย้อมผ้า โรงรับจำนำ เป็นต้น ความร่ำรวยมั่งคั่งนั้นยากจะคำนวณได้ รายได้ในแต่ละปีเหลือคณานับ

ทว่าจุดที่พิเศษก็คือสำนักหลิ่วเยวี่ยยึดถือธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบทอดมาตั้งแต่รุ่นตาทวดว่าร้านค้าทุกแห่งรวมไปถึงกิจการคุ้มภัยจะไม่แขวนป้ายสัญลักษณ์ของสำนักหลิ่วเยวี่ย ทั้งยังไม่บอกกล่าวกับคนภายนอกว่าอยู่ในสังกัดของสำนักหลิ่วเยวี่ยด้วย แรกเริ่มเดิมทีวิธีการนี้มีไว้เพื่อตัดความเชื่อมโยงระหว่างร้านรวงต่างๆ ป้องกันมิให้ร้านใดร้านหนึ่งเกิดเรื่องแล้วจะพลอยลากร้านอื่นไปเดือดร้อน แต่กลับคาดคิดไม่ถึงว่าในกาลต่อมา เรื่องนี้จะกลายเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้สำนักหลิ่วเยวี่ยแตกหน่อออกผลไปไกล

ดังเช่นที่มารดาของเขาพูดไว้ แตกก้อนใหญ่ให้เป็นเศษไม่ดึงดูดสายตาคนคือหลักการพื้นฐานที่ใช้ได้ยาวนาน ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาคนนอกก็เพียงได้ยินได้ฟังว่าสำนักหลิ่วเยวี่ยมีกิจการใหญ่โต หรืออาจจะพอคาดเดาได้ว่าเรือสินค้าขนาดใหญ่บางลำเป็นของพวกเขา แต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้แน่ชัดว่าสำนักหลิ่วเยวี่ยครอบครองร้านค้าอยู่กี่แห่ง และขอบเขตการค้าที่แท้จริงคือเท่าไรกันแน่

“นายน้อย หลงจู๊แซ่เฉินจากโรงเตี๊ยมเม่าเหลียงรออยู่ในห้องข้างที่เรือนด้านหน้าแล้วขอรับ”

อู่เอ๋อร์เดินเข้ามารายงานในห้องหนังสือ หลิ่วมู่ชิงกำลังยืนพินิจภาพวาดหลายใบอยู่หน้าโต๊ะ พอได้ยินก็ส่งเสียงขานรับ แล้วม้วนภาพในมือเก็บเรียบร้อยก่อนจะเดินออกไป

“เอาสมุดบัญชีพวกนี้ไปด้วย” หลิ่วมู่ชิงชี้ไปที่สมุดหลายเล่มข้างโต๊ะหนังสือ

อู่เอ๋อร์เข้าไปหยิบขึ้นมาทันทีแล้วหันตัวเตรียมออกไป กลับเห็นเจ้านายหยุดฝีเท้ากะทันหัน จ้องมองสมุดบัญชีในมือเขาคล้ายคิดอะไรอยู่ อู่เอ๋อร์ถามอย่างงุนงง “นายน้อย ยังขาดอะไรอีกหรือขอรับ”

หลิ่วมู่ชิงเหลือบมองหน้าเขาแล้วพูดว่า “วางสมุดบัญชีไว้ก่อน ไปเอาชาอู่หลงขนขาวที่ห้องข้ามา แล้วไปช่วยชงที่ห้องข้าง ข้าจะเดินนำไปก่อน”

“ขอรับ” อู่เอ๋อร์วางสมุดบัญชีไว้แล้วเดินออกไปอย่างเร็ว

หลิ่วมู่ชิงจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเดินตรงไปที่ห้องข้าง

ตั้งแต่จำความได้ก็รู้มาตลอดว่าตนคือผู้สืบทอดรุ่นต่อไปของสำนักหลิ่วเยวี่ย

เมื่อหนึ่งปีก่อน มารดามอบกิจการหนึ่งให้เขาดูแล ตอนนั้นยังเขียนสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรว่ากิจการนี้มิได้ยกให้เขา เพียงแต่ให้เขาดูแลเท่านั้น วันข้างหน้าไม่ว่าจะขาดทุนหรือกำไรล้วนเป็นความรับผิดชอบของเขาทั้งสิ้น เมื่อสรุปงบบัญชีปลายปีหากมีกำไรเหลือ ไม่เพียงจะยกส่วนกำไรให้เขา ปีถัดไปยังจะมอบร้านอีกหนึ่งร้านให้เขาดูแลเพิ่มด้วย ถ้าเขาเก่งพอจะรวบรวมเงินตำลึงได้มากพอก็สามารถซื้อร้านต่อจากมารดาได้ แต่ถ้าหากขาดทุน บัญชีส่วนนี้ย่อมต้องมาคิดที่เขา เขาต้องหาวิธีเอาเงินคืนให้ได้ ไม่อย่างนั้นหากแค่ขาดทุนเกินมูลค่าทรัพย์สินของร้าน มารดาก็จะยึดสิทธิ์ในการดูแลร้านคืน เมื่อไรที่ร้านในมือเขาถูกยึดคืนกลับไปทั้งหมด เขาก็จะต้องเก็บข้าวของม้วนเสื่อออกจากบ้าน และห้ามบอกใครๆ ว่าตนเป็นลูกชายสำนักหลิ่วเยวี่ย เพื่อไม่ให้เป็นที่หัวเราะเยาะของผู้คน…

เรื่องขับไล่ออกจากบ้านนั้น หลิ่วมู่ชิงเชื่อสุดใจว่ามารดาพูดจริงทำจริง

“นายน้อย” หลงจู๊แซ่เฉินยืนอยู่กลางห้องข้าง พอเห็นเขาเดินมาก็ประสานมือคำนับ

หลิ่วมู่ชิงยิ้มน้อยๆ ให้เขา พอนั่งลงแล้วก็ยังเห็นเขายืนอยู่จึงเอ่ยปากว่า “หลงจู๊เฉินไม่ต้องเกร็ง เจ้าเป็นหลงจู๊เก่าแก่ของสำนักหลิ่วเยวี่ยมาสามรุ่นแล้ว ไม่ต้องมากพิธีถึงเพียงนี้หรอก”

“ขอรับๆ” อีกฝ่ายพูดติดกันสองครั้ง น้ำเสียงถือว่าพินอบพิเทา ทว่าสีหน้ากลับไร้ซึ่งรอยยิ้ม

“วันนี้ที่นัดหมายมาก็ไม่มีอะไรพิเศษ คือว่าโรงเตี๊ยมเม่าเหลียงอยู่ในมือข้ามาเดือนกว่าแล้ว ยังไม่ได้ถามหลงจู๊เฉินเลยว่ามีอะไรต้องการเพิ่มหรือไม่ หรือว่ามีอะไรที่อยากบอกข้าเป็นการส่วนตัว เราอาศัยโอกาสนี้มาพูดคุยกันได้” หลิ่วมู่ชิงมองเขาด้วยนัยน์ตาสองดวงที่ดำปลาบเป็นประกาย แฝงความรู้สึกกระตือรือร้นที่ไร้เดียงสาอยู่บ้าง

เมื่อปีกลายเขาได้รับหน้าที่ดูแลร้านยาที่มีประวัติยาวนานยี่สิบปีมาร้านหนึ่ง ร้านแห่งนั้นเดิมทีก็มีกำไรอยู่แล้ว ดังนั้นตอนทำงบบัญชีตัวเลขจึงงดงามอย่างไม่น่าแปลกใจ เดือนก่อนที่เขาอายุครบสิบหกปีเต็มมารดาจึงมอบโรงเตี๊ยมเม่าเหลียงให้เขาดูแล แน่นอนว่าครั้งนี้ก็เขียนสัญญาไว้ กฎเกณฑ์ที่ระบุเหมือนครั้งก่อนหน้า

“บัญชีที่ข้าควรให้ก็ส่งขึ้นมาหมดแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีอะไรต้องการเป็นพิเศษ นายน้อยเรียกข้าพบ ถือว่าให้เกียรติข้ามาก ข้าก็รู้สึกซึ้งใจ แต่ช่วงใกล้เทศกาลไหว้พระจันทร์ร้านกำลังยุ่งมาก มิสู้ให้ข้ารีบกลับไปช่วยงานดีกว่านั่งอยู่ที่นี่” หลงจู๊แซ่เฉินเป็นคนรูปหน้าเหลี่ยมใบหูใหญ่ ยามพูดจามีลักษณะของชาวยุทธ์เหมือนกับผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าแก่ของสำนักหลิ่วเยวี่ยจำนวนมาก เขาพูดจบในอึดใจเดียวแล้วดื่มชาที่อู่เอ๋อร์ยกมาหมดในรวดเดียว จากนั้นก็จ้องหน้าหลิ่วมู่ชิงเขม็ง แววตาเชี่ยวชาญกร้านโลก ท่าทางบ่งบอกว่าจะคอยดูว่านายน้อยอย่างท่านจะทำอะไรข้าได้

อู่เอ๋อร์ยืนมองอยู่ด้านข้าง ยังอดโมโหขึ้นมาไม่ได้

เจ้านายเป็นถึงนายน้อยของสำนักหลิ่วเยวี่ย ไม่ว่าจะไปที่ไหนผู้ใดพบเจอก็ล้วนแสดงมารยาทด้วย ทว่าหลงจู๊แซ่เฉินกลับไร้มารยาทถึงเพียงนี้ เจ้านายซักถามดีๆ เขาก็หงุดหงิด เจ้านายเอาชาชั้นเลิศมาให้เป็นพิเศษ เขาก็ดื่มอั้กๆ หมดรวดเดียว ช่างไม่เห็นผู้ใดในสายตา ยโสโอหังยิ่งนัก!

หลิ่วมู่ชิงยิ้มบาง ไม่มีร่องรอยของความโกรธเคือง แต่ก็ไม่ปล่อยให้หลงจู๊แซ่เฉินกลับไปเช่นกัน เขาให้อู่เอ๋อร์รินชาให้พวกเขาทั้งคู่อีกแล้วพูดเรื่อยๆ ว่า “ในเมื่อหลงจู๊เฉินไม่มีอะไรอยากถาม งั้นข้าจะขอถามแล้วกัน”

หลงจู๊แซ่เฉินอึ้งเล็กน้อย เดาไม่ออกว่านายน้อยหน้าอ่อนปากแดงฟันขาวผู้นี้คิดจะถามอะไร เขาก็บอกแล้วว่ากำลังยุ่ง ไฉนจึงไม่รีบปล่อยเขากลับไปดูแลกิจการอีก กลับได้ยินหลิ่วมู่ชิงถามคำถามหลายคำถาม เช่นว่าคนในส่วนยกอาหารกับส่วนห้องครัวมีกี่คน แต่ละคนอายุเท่าไร มีภูมิหลังอย่างไร เป็นต้น เขาอดทนตอบคำถามไปจนครบ

“สรุปแล้วคนที่ดูแลบัญชีก็คือน้องเขยของเจ้าสินะ” ระหว่างที่หลิ่วมู่ชิงถาม สายตาเขามองไปที่ถ้วยชา ก่อนจะยกขึ้นมาดื่มอึกหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน

“ใช่ เขาดูแลบัญชีควบกับจัดซื้อ บางครั้งก็ช่วยยกอาหารหรือรินน้ำชาอะไรทำนองนี้” หลงจู๊แซ่เฉินท่าทีแข็งกร้าว ตอบอย่างรวดเร็ว

หลิ่วมู่ชิงพยักหน้าแล้วถามคำถามทั่วไปอีกนิดหน่อย กินเวลาไม่นานมาก ผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชา* ก็จบคำถาม

“วันนี้รบกวนหลงจู๊เฉินแล้ว” เขาพูดพลางลุกขึ้นยืน

“นายน้อยโปรดยั้งเท้า ไม่กล้ารบกวนให้ท่านไปส่ง ข้าคุ้นเส้นทางดีกลับออกไปเองได้” หลงจู๊แซ่เฉินบอกให้นายน้อยไม่ต้องไปส่ง สารภาพตามตรง การเดินทางมาวันนี้เสียเวลาเปล่าจริงๆ คิดดูว่าเขาเป็นคนเก่าคนแก่ที่รับใช้สำนักหลิ่วเยวี่ยมาสามรุ่นแล้ว แม้แต่หัวหน้าสำนักหรือก็คือมารดาของหลิ่วมู่ชิงก็ยังต้องเกรงใจเขา แต่หนุ่มน้อยหน้าอ่อนที่ขนยังขึ้นไม่ครบคนนี้กลับดึงดันให้เขาทิ้งร้านออกมาให้ได้ ผลปรากฏว่ากลับถามแต่เรื่องไร้สาระไม่สลักสำคัญอะไรเลย!

“ไฉนถึงมีคนไม่รู้จักแยกแยะดีเลวเช่นนี้ด้วย” อู่เอ๋อร์หงุดหงิดอย่างยิ่ง เก็บถ้วยชาไปก็บ่นพึมพำ “อุตส่าห์เอาชาดีมา เสียของจริงๆ”

หลิ่วมู่ชิงไม่พูดอะไร เพียงดื่มชาในมือตัวเองเงียบๆ จนหมด

โรงเตี๊ยมเม่าเหลียงมีมาตั้งแต่สมัยตาทวดแล้ว เขาเคยแวะไปดูที่โรงเตี๊ยมหลายครั้ง ได้เห็นด้วยตาตัวเองว่าภายในโรงเตี๊ยมคึกคักมีลูกค้าไม่ขาดสาย และด้วยเหตุนี้เองเมื่อมารดามอบร้านนี้ให้ เขาก็ลอบดีใจอยู่ลึกๆ นึกว่าจะได้ร้านมีกำไรเหมือนเมื่อปีที่แล้วอีก

ทว่าหลังจากตรวจดูบัญชีในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอย่างละเอียด ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ารายรับของโรงเตี๊ยมเม่าเหลียงไม่เป็นอย่างที่คาดไว้

ถูกต้อง โรงเตี๊ยมกิจการดียิ่ง แต่รายจ่ายกลับน่าตกใจอย่างเหนือคาด เทียบรายรับรายจ่ายแล้วเพียงแค่เสมอทุนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อสรุปบัญชีปีที่แล้ว บัญชีอยู่ในสภาพขาดทุนเห็นๆ ส่วนปีนี้ก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไร จนกระทั่งถึงปัจจุบัน รายจ่ายจะมากกว่ารายรับเล็กน้อยแทบทุกเดือน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จนถึงตอนสรุปบัญชีปีหน้า เขากล้ายืนยันว่าจะไม่เหลือกำไรเลยแม้แต่นิดเดียว

“อันเหอเล่นกับผู้ใดอยู่หรือ”

ขณะที่หลิ่วมู่ชิงเดินเอื่อยๆ ไปตามระเบียงทางเดินยาว พร้อมกับขบคิดเรื่องโรงเตี๊ยมไปด้วย หูก็ได้ยินเสียงหัวเราะอึกทึกครึกโครมดังมาจากเรือนด้านหลัง ท่ามกลางเสียงนั้นมีเสียงหนึ่งที่ดังที่สุด แค่ฟังก็รู้ว่าเป็นน้องสาวเขา แต่ฟังดูแล้วเหมือนว่ารอบๆ นั้นยังมีคนอีกหลายคนพูดคุยหัวเราะอยู่ด้วย

อู่เอ๋อร์คิดนิดหนึ่งก่อนจะตอบว่า “เหมือนจะเป็นบุตรีของนายท่านสกุลเฟิ่งนะขอรับ ได้ยินว่าหลายวันนี้คุณหนูใหญ่สองสกุลเล่นด้วยกันทุกวัน”

หลิ่วมู่ชิงพยักหน้าแล้วเดินไปตามทิศทางนั้น จริงด้วย เขาเกือบลืมไป เมื่อไม่กี่วันก่อนท่านลุงเฟิ่งพาลูกสาวมาที่นี่ พอตกกลางคืนท่านพ่อเขาก็ตามท่านลุงเฟิ่งออกไปข้างนอก บอกว่าอีกสิบกว่าวันจึงจะกลับมา ส่วนท่านแม่เขาก็เพิ่งบอกเมื่อคืนนี้ว่าจะไปตรวจดูสินค้าชุดหนึ่ง ไปครั้งนี้ใช้เวลาหลายวัน ก่อนไปยังกำชับเป็นพิเศษว่าให้เขาดูแลอันเหอกับลูกสาวสุดที่รักของท่านลุงเฟิ่งดีๆ

‘ถ้าน้องสองคนดื้อมากๆ ก็จับแยกกันก่อน เอาไปขังคนละห้อง อย่างไรขังเอาไว้ก็ดีกว่าให้ออกไปก่อเรื่อง’

นี่เป็นคำที่ท่านแม่บอกไว้ แต่นั่นเป็นสิ่งที่หัวหน้าสำนักหลิ่วเยวี่ยถึงจะทำได้ เขาจะไปจับเด็กผู้หญิงสองคนมาขังไว้ได้อย่างไร อีกอย่าง แค่เด็กผู้หญิงสองคนจะไปก่อเรื่องอะไรได้

เอ่อ…

หลิ่วมู่ชิงหยุดฝีเท้า จ้องมองลานบ้านของเรือนด้านหลังอย่างตะลึง เด็กหญิงสองคนที่รูปร่างใกล้เคียงกันกำลังร่วมแรงถือไม้ไผ่ลำยาว ร้องกรี๊ดสลับหัวเราะ พยายามจะยื่นไม้ไผ่ให้สูงถึงง่ามกิ่งไม้ บ่าวรับใช้หลายคนพากันล้อมหน้าล้อมหลังพวกนาง คอยก้าวหน้าถอยหลังตามราวกับกลัวว่าพวกนางจะล้ม

นั่นกำลังทำอะไรอยู่น่ะ หลิ่วมู่ชิงรู้สึกหางตากระตุกเบาๆ

“ไม่นึกเลยว่าจะจับยากอย่างนี้”

“เราพันใยแมงมุมไว้ที่ปลายไม้ตั้งเยอะแล้ว คราวนี้ต้องติดได้แน่ๆ เฮ้ ข้าเจอแล้ว ทางซ้ายนั่นมีตัวเบ้อเริ่มเลย!”

เด็กหญิงทั้งสองเซไปทางขวาทีซ้ายทีอย่างหาจุดศูนย์ถ่วงไม่ได้ แต่กลับหัวเราะร่วนชอบใจ ไม้ไผ่ยาวก็เอนไปเอนมาเช่นนั้นอยู่นานกว่าจะมั่นคง

หลิ่วมู่ชิงมองดูเงาร่างของเด็กทั้งสอง คนที่ใส่เสื้อสีเขียวนั่นคือน้องสาวเขา ส่วนอีกคนหนึ่งที่ใส่เสื้อสีม่วงอ่อนน่าจะเป็นลูกสาวของท่านลุงเฟิ่งกระมัง เมื่อหลายวันก่อนตอนพวกเขามาถึง เขากำลังยุ่งอยู่ หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอหน้ากันเลย พอตอนนี้มาดูแล้วก็รู้สึกสนใจไม่น้อย เด็กหญิงทั้งสองคนส่วนสูงไล่เลี่ยกัน แม้กระทั่งรูปร่างก็ใกล้เคียง ล้วนมิอาจดูแคลนได้ทั้งคู่ ล้วนดู…อวบอิ่มเปล่งปลั่ง

ดูไปแล้ว ทั้งบ้านสกุลหลิ่วและสกุลเฟิ่งต่างเลี้ยงดูลูกสาวได้ใช่เล่นทีเดียว! แน่นอนว่าคงไม่ถึงกับพูดเกินไปว่าพวกนางอ้วน แต่เอาเป็นว่าไม่อาจบอกว่าพวกนางผอมได้แล้วกัน

“เป๋าเป่าอย่าหัวเราะสิ เราต้องกลั้นหายใจ เบาไม้เบามือหน่อยนะ”

“ได้ เราห้ามส่งเสียง แล้วก็ห้ามขยับด้วย…ชู่ว์”

หลิ่วมู่ชิงเดินเข้าไปใกล้พวกนางอย่างเงียบเชียบ เป๋าเป่า…ชื่อนี้เขาจำได้ เด็กหญิงที่ทั้งมือและปากมันแผล็บคนนั้น นางบอกว่าตัวเองชื่อเป๋าเป่าที่แปลว่ากินอิ่ม แต่ภายหลังเขาถึงรู้ว่าที่จริงไม่ใช่เป๋าเป่าในความหมายนั้น แต่เป็นเป๋าเป่าที่แปลว่าที่รักต่างหาก ชื่อเป๋าเป่าแซ่เฟิ่ง รวมเป็นเฟิ่งเป๋าเป่า

“หนึ่ง สอง สาม เอาเลย!”

เด็กหญิงทั้งสองนับเบาๆ ด้วยเสียงกระซิบแล้วร่วมแรงกันดันไม้ไผ่ไปข้างหน้า

“ไอ้หยา บินไปแล้ว!”

“ไฉนพลาดอีกแล้วล่ะ!”

แทบจะจังหวะเดียวกันนั้น เงาร่างสูงเพรียวก็พุ่งพรวดอย่างว่องไว เหยียบไม้ไผ่ไต่ขึ้นไปอย่างแผ่วเบา ขณะที่ทุกคนยังไม่ทันแน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นก็เห็นเงาร่างนั้นตีลังกากลางอากาศ ย่างกรายลงมาเหยียบพื้น จึงค่อยเห็นว่าเป็นหลิ่วมู่ชิงที่ไม่รู้โผล่มาตั้งแต่เมื่อไรนั่นเอง

เขาหอบหายใจเล็กน้อย สองนิ้วหนีบจักจั่นที่เมื่อครู่บินออกไปแล้ว ถามอย่างสงสัยว่า “พวกเจ้าอยากได้ตัวนี้หรือ”

“จับได้แล้ว! จับได้แล้ว!”

“พี่ใหญ่เก่งมาก!”

หลิ่วอันเหอโยนไม้ไผ่ให้พวกบ่าวแล้วแย่งจักจั่นในมือเขาไป เฟิ่งเป๋าเป่าก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ทั้งสองกู่ร้องดีใจพลางมองหลิ่วมู่ชิงอย่างเลื่อมใส

พร้อมกับที่หลิ่วมู่ชิงก็มองเฟิ่งเป๋าเป่าเช่นกัน

ใบหน้ากลมแป้นไม่ต่างกับหลิ่วอันเหอ สองแก้มตึงนูน แต่ดวงตาโตกว่าน้องสาวเขานิดหน่อย ผิวพรรณยังคงคล้ำเหมือนเมื่อก่อน น้อยนักที่เด็กหญิงจะคล้ำเช่นนี้ อย่างน้อยๆ บรรดาบุตรีตระกูลใหญ่ที่เขาเคยเห็นมาก็ไม่มีใครตากแดดจนเป็นเช่นนี้ หลังจากนั้นดวงตาที่นับว่าโตคู่นั้นก็กลิ้งหลุกหลิกไปมา แค่เห็นก็รู้ว่าในสมองของนางต้องกำลังทำงานลื่นไหลอยู่แน่นอน

“พวกเจ้าจับจักจั่นมาทำไม” หลิ่วมู่ชิงไม่เข้าใจความคิดของเด็กหญิงเอาเสียเลยจริงๆ

“จักจั่นพวกนี้เสียงดังหนวกหู ทำให้เรานอนกลางวันไม่หลับ ข้ากับอันเหอก็เลยจะจับพวกมันไปปล่อยที่ภูเขาด้านหลัง” คนที่ตอบคือเฟิ่งเป๋าเป่า นางพูดจบก็ส่งยิ้มให้หลิ่วมู่ชิงแล้วทักทายว่า “พี่มู่ชิง”

นางได้ยินชื่อของพี่ชายหลิ่วอันเหอจากปากน้องสาวมานานแล้ว ชื่อนี้ฟังดูสง่างามแบบโบราณ ไม่เหมือนชื่อของนางที่ใช้คำซ้ำกัน นางรู้สึกว่าพี่มู่ชิงรูปร่างหน้าตาไม่ธรรมดา ใบหน้าขาวใสฟันก็ขาวผ่อง ดูสะอาดสะอ้านอย่างไม่น่าเชื่อ

นางเคยได้ยินท่านพ่อบอกว่าบุรุษหน้าขาวเชื่อไม่ได้ บุรุษฟันขาวก็ทำเป็นแต่เกี้ยวพาราสีเท่านั้น! ตอนนั้นนางยังสงสัยอยู่ว่าจะไปมีบุรุษหน้าขาวฟันขาวได้อย่างไร คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะมีมายืนอยู่ตรงหน้าหนึ่งคน

แต่ว่า…ฟันของท่านพ่อนางเองก็ค่อนข้างขาวเหมือนกันนะ…

ลูกตาดำขลับของเฟิ่งเป๋าเป่ากลอกไปมา อดไม่ได้ที่จะมองพี่มู่ชิงคนนี้หลายครั้ง

หลิ่วมู่ชิงพยักหน้าทักทายนางอย่างสุภาพ แต่ก็ยังไม่ลืมเตือนว่า “เมื่อครู่ที่พวกเจ้าทำอันตรายมากนะ ถ้าไม้ตกใส่หัวใครจะทำยังไง”

เพิ่งจะพูดเสร็จ เด็กหญิงทั้งสองก็หัวเราะพรืดพร้อมกัน แล้วยังปิดปากหัวเราะอย่างเกินจำเป็น พร้อมกับมองกันและกันด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ คล้ายได้ยินเรื่องน่าขันอะไรสักอย่าง

“ทำไมรึ” เขาพูดอะไรน่าขำขนาดนั้นหรือไง

หลิ่วอันเหอหัวเราะพลางบอกเฟิ่งเป๋าเป่าว่า “เห็นหรือไม่ ข้าบอกแล้วว่าพี่ข้าต้องพูดเช่นนี้”

“จริงด้วย เมื่อครู่เจ้าเลียนแบบได้เหมือนมากเลย” เฟิ่งเป๋าเป่าก็หัวเราะไม่หยุด

หลิ่วมู่ชิงชะงักไป เวลาเด็กหญิงสองคนอยู่ด้วยกันเป็นเช่นนี้เองน่ะหรือ เขาอดขำไม่ได้ แต่สีหน้ายังคงอบอุ่นดังเดิม น้ำเสียงก็อ่อนโยน “ถ้าพวกเจ้ากลัวจักจั่นร้องเสียงดัง ก็เปลี่ยนที่นอนไม่ดีกว่าหรือ ห้องหนังสือทางปีกตะวันออกก็สงบดีนะ”

“ให้พี่ใหญ่ช่วยเราจับจักจั่นดีกว่าเป็นไหนๆ” หลิ่วอันเหอเสนอ อันที่จริงตอนแรกนางกับเฟิ่งเป๋าเป่าลองปีนขึ้นต้นไม้เพื่อไปจับแล้ว แต่ถึงอย่างไรฝีมือก็คล่องแคล่วสู้พี่ใหญ่ไม่ได้ ลองกี่ครั้งๆ ก็ล้มเหลว ทำได้เพียงเขย่าใบไม้ให้ร่วงเกลื่อนพื้น

“ใช่ พี่มู่ชิงต้องจับได้มือละตัวแน่ๆ” เฟิ่งเป๋าเป่าสนับสนุนทันที

หลิ่วมู่ชิงหัวเราะเสียงปร่า เมื่อครู่ก็แค่ลองทำชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น จะให้เขาเสียเวลามาจับจักจั่นอยู่ที่นี่ทั้งวันได้อย่างไร “จับไปปล่อยเดี๋ยวก็บินกลับมาอีก ไม่มีประโยชน์หรอก”

เดิมทีเด็กสองคนก็ไล่จับจักจั่นจนหนำใจแล้ว พอได้ยินเช่นนี้ก็บังเกิดความคิดใหม่ขึ้นมาทันที

“ไม่งั้นเราไปจับกระรอกที่ภูเขากันก็ได้”

“ดีเลย รีบไปเถอะ”

หลิ่วมู่ชิงเห็นท่าทางกระตือรือร้นพร้อมออกรบของพวกนางแล้วก็ขำ กำชับว่า “ถ้าจะไปภูเขาด้านหลังต้องกลับมาก่อนฟ้ามืดนะ อู่เอ๋อร์เจ้าก็ตามไปด้วย พาคนไปมากหน่อย”

“เจ้าค่า!” หลิ่วอันเหอกับเฟิ่งเป๋าเป่าตอบเป็นเสียงเดียวกันอย่างฮึกเหิมเปี่ยมพลัง พลังเสียงกลบเสียงของอู่เอ๋อร์ไปเสียสนิท

หลิ่วมู่ชิงพยักหน้า หมุนตัวเตรียมจะเดินไป แต่แล้วก็หยุดหันมาสั่งน้องสาวว่า “อันเหอ เย็นนี้มากินข้าวกับพี่นะ เป่าเปา* ก็มาด้วยนะ”

เขาพูดไปตามธรรมชาติโดยไม่ได้คิดอะไร แต่คิดไม่ถึงว่าพอจบประโยคนี้กลับเรียกเสียงหัวเราะดังสนั่นจากสาวน้อยทั้งสองอีกครั้ง แถมยังหัวเราะชนิดงอหน้างอหลัง น้ำตาแทบจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ

คราวนี้อะไรอีกล่ะ หลิ่วมู่ชิงมองหน้าพวกนางอย่างเอือมระอา

“เป่าเปา! น่าขันนัก เหมือนซาลาเปาเนื้อ ซาลาเปาผัก ซาลาเปาหมูยังไงยังงั้นแน่ะ” หลิ่วอันเหอหัวเราะตัวงอ พูดไปก็ชี้เฟิ่งเป๋าเป่าไปด้วย

“เป่า…เปา! ฮ่าๆ ไม่เคยได้ยินใครเรียกอย่างนี้มาก่อนเลย เป่าเปา เป่าเปา เฟิ่งเป่าเปา ฟังดูเหมือนซาลาเปาอร่อยๆ เลยนะ” เฟิ่งเป๋าเป่าก็เรียกตัวเองหลายครั้ง ชอบใจจนหน้าตายิ้มหยีไปหมด

คนทั่วไปต่างเรียกนางว่าเป๋าเป่าหรืออาเป่าตามบิดาของนาง ส่วนท่านแม่เรียกนางว่าเป่าเอ๋อร์ ตอนเด็กๆ นางคิดมาตลอดว่าชื่อตัวเองมีความหมายว่ากินอิ่มอย่างที่บิดาบอก ตอนหลังพอได้เรียนหนังสือแล้วถึงรู้ว่าถูกบิดาแกล้งหยอก กินอิ่มอะไรกัน ที่จริงแล้วคือเป่าจากจินหยวนเป่า ต่างหากล่ะ!

หลิ่วมู่ชิงหลับตาเบาๆ ขณะที่เสียงหัวเราะลั่นของสองสาวชัดเจนข้างหู เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านแม่ถึงบอกว่าให้จับพวกนางแยกออกจากกันได้ คงเป็นเพราะสาวน้อยสองคนนี้ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวรบกวนนางไม่หยุดเป็นแน่

“ไม่งั้น ต่อไปจะเรียกเจ้าว่าเป๋าเป่าแล้วกัน” เขามองเด็กหญิงผิวคล้ำตัวกลมที่ยังคงยิ้มแป้น

เฟิ่งเป๋าเป่าส่ายหัวดิก “พี่มู่ชิงเรียกว่าเป่าเปาเถอะ ฟังแล้วเพราะดี”

“เป่าเปา! เป่าเปา!” หลิ่วอันเหอเรียกติดกันหลายครั้ง

คนที่ถูกเรียกยื่นมือไปปิดปากนางแล้วแย้งว่า “ไม่ให้เจ้าเรียก! นี่เป็นชื่อที่พี่มู่ชิงเรียกก่อน ให้พี่มู่ชิงเรียกได้คนเดียวเท่านั้น”

“ไม่รู้ล่ะ! ข้าจะเรียกซะอย่าง!” หลิ่วอันเหอดึงมือนางออกแล้วลงมือจักจี้อีกฝ่ายอย่างไว

เฟิ่งเป๋าเป่ากรีดร้องเสียงแหลมสักพักก็ลงมือตอบโต้ และแล้วเด็กสองคนก็คว้าตัวอีกฝ่ายไว้แล้วจักจี้กันไปมา หลิ่วมู่ชิงรีบถอยห่างออกมาหลายก้าวเพื่อไม่ให้โดนลูกหลง

เป่าเปา มันน่าหัวเราะขนาดนั้นเชียวหรือ ชื่อที่ซ้ำกันสองเสียงก็เรียกอย่างนี้เหมือนกันหมดไม่ใช่หรือไง เขาส่ายศีรษะ ไม่อยู่ร่วมวงกับสาวน้อยสองคนอีก หันไปกำชับอู่เอ๋อร์สั้นๆ ว่าให้จับตาดูพวกนางไว้ แล้วเดินลิ่วตรงไปยังห้องหนังสือ

ซาลาเปาเนื้อ ซาลาเปาผัก ซาลาเปาหมู แล้วก็ซาลาเปาเฟิ่งงั้นรึ

ฟังดูคล้ายซาลาเปาที่ห่อตีนไก่* ชอบกล แต่นี่คงเป็นรายการอาหารที่ชวนให้คนงุนงงเป็นแน่ ระหว่างที่คิด มุมปากของหลิ่วมู่ชิงก็หยักยิ้มขึ้นบางเบาแทบไม่สังเกตเห็น

บทที่ 2

โรงเตี๊ยมเม่าเหลียงเป็นโรงเตี๊ยมเก่าแก่ที่มีผู้คนขวักไขว่ ตั้งอยู่บนถนนใหญ่ของเมืองหยางโจว ห่างออกไปไกลระยะหนึ่งก็มีโรงเตี๊ยมตั้งอยู่เช่นกัน แม้หน้ากว้างของอาคารจะไม่กว้างเท่าโรงเตี๊ยมเม่าเหลียง แต่ก็เป็นร้านที่มีสามชั้น และยังมีห้องส่วนตัวไว้รับรองแขก การจัดวางเครื่องเรือนต่างๆ ก็ล้วนใกล้เคียง

หลิ่วมู่ชิงนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวชั้นสาม จิบชาพลางมองไปทางโรงเตี๊ยมเม่าเหลียงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ประมาณหนึ่งเค่อ* หลังจากนั้นดรุณีสองคนก็เดินหัวเราะคิกคักกันออกมาจากโรงเตี๊ยม ในมือยังถือห่อกระดาษเคลือบน้ำมันมาด้วยห่อหนึ่ง พอเดินพ้นออกมาก็สาวเท้ามาทางโรงเตี๊ยมที่เขาอยู่อย่างไว

หลิ่วมู่ชิงเห็นดังนั้นก็อดขันไม่ได้ ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าตึงๆ ตังๆ ดังใกล้เข้ามา

“พี่ใหญ่!”

“พี่มู่ชิง!”

“พวกเรากลับมารายงานตามคำสั่งแล้ว!”

หลิ่วอันเหอกับเฟิ่งเป๋าเป่าแย่งกันเรียกคนละทีสองที จนมาจบพร้อมกันที่ประโยคสุดท้าย เสียงใสแจ๋วกังวาน

“พอๆ คนทั้งโรงเตี๊ยมได้ยินความลับของเราหมดแล้ว” หลิ่วมู่ชิงกลั้นยิ้มเอาไว้ เรียกให้ทั้งสองคนปิดประตูเข้ามานั่งที่ แล้วรอฟังรายงานของพวกนาง

“ข้าพูดก่อน ในส่วนยกอาหารมีทั้งหมดสิบคน นอกจากนี้หลงจู๊เฉินก็ควบหน้าที่ยกอาหารด้วย ฮูหยินกับลูกชายของเขาก็มาช่วยต้อนรับแขกเหมือนกัน ทุกคนวิ่งไปวิ่งมาวิ่งขึ้นวิ่งลง ตะโกนไปตะโกนมา คึกคักสุดๆ เลย” หลิ่วอันเหอพูดก่อน

เฟิ่งเป๋าเป่าพูดต่อทันที “ให้ข้าพูดบ้าง ข้ากับอันเหอแกล้งทำเป็นเดินหลงเข้าไปดูในห้องครัว ข้างในมีแปดคน สามคนทำครัว อีกสามคนหั่นผักล้างผัก แล้วก็อีกสองคนล้างจาน”

“ดีมาก พวกเจ้าสังเกตได้ละเอียดดีมาก” หลิ่วมู่ชิงพยักหน้า ถึงแม้ข้อมูลเหล่านี้เขาจะสืบรู้มาก่อนหน้าแล้ว แต่ก็ยังต้องมอบคำชมให้พวกนาง

สองสามวันมานี้เขาเห็นว่าสาวน้อยทั้งสองคนเล่นทุกอย่างที่สามารถเล่นได้จนครบแล้ว เมื่อวานเริ่มร้องงอแงขอออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก เขาขบคิดดูก็ตัดสินใจมอบหมายงานให้พวกนางทำ หนึ่งเพื่อฆ่าเวลา สองคือเขาจะได้จับตาดูให้ปลอดภัยด้วย

“พี่ใหญ่ นี่คือขนมไหว้พระจันทร์ของโรงเตี๊ยมเม่าเหลียง เราซื้อมาไส้ละอัน เดี๋ยวตอนเย็นเรามาลองชิมกันนะ” หลิ่วอันเหอวางห่อกระดาษเคลือบน้ำมันในมือลงบนโต๊ะ

“อันเหอ เจ้าแสดงความเห็นตอนเราลองกินกับข้าวหน่อยสิ เจ้าเชี่ยวชาญเรื่องรสชาติอาหารดี ข้ากินดูแล้วก็คล้ายๆ กันหมด ไม่รู้จะเปรียบเทียบให้ละเอียดอย่างไร” เฟิ่งเป๋าเป่าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

หลิ่วมู่ชิงพยักหน้า น้องสาวของเขาคนนี้ถูกเลี้ยงดูที่เป่ยจิงอย่างดีจนสัมผัสเรื่องการกินว่องไวมาก หากพ่อครัวแอบอู้ข้ามขั้นตอนไปแม้แต่ขั้นตอนเดียวนางก็ยังจับได้

“เมื่อครู่ข้ากับเป๋าเป่าสั่งกับข้าวสามอย่างที่เหมือนกับที่เรากินตอนเที่ยงที่นี่ หากพูดถึงฝีมือการปรุง ทั้งสองร้านก็พอสูสีกัน แต่เรื่องวัตถุดิบมีข้อแตกต่างเล็กน้อย”

หลิ่วอันเหอเห็นทั้งสองคนจ้องมองตนเป็นตาเดียวก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ยืดตัวนั่งตรงขึ้นมาแล้วอธิบายอย่างละเอียด “อย่างเช่นปูนึ่งลอกกระดอง ปูของโรงเตี๊ยมเม่าเหลียงคุณภาพด้อยกว่า มันปูก็อยู่ได้ไม่ทันถึงเที่ยง ส่วนไข่แดงที่ราดนึ่งพร้อมกับปูก็น้อยกว่าที่นี่หนึ่งหรือสองฟอง จากนั้นก็เป็นขาหมูรมควันตุ๋น ขาหมูของโรงเตี๊ยมเม่าเหลียงถึงแม้จะใช้ขาหมูจินหวาชั้นดีเหมือนกัน แต่ปริมาณน้อยกว่าที่นี่อย่างเห็นได้ชัด ฉะนั้นจึงทำให้กลิ่นหอมไม่เพียงพอ แล้วก็ข้าวผัดจานนั้นอีก ทั้งเนื้อหอยกาบกับเอ็นหอยตากแห้งใส่น้อยมาก กลับเอาเต้าหู้แห้งหั่นเต๋าใส่แทน ก็เลยกินไม่ได้รสชาติเลย”

“ราคาของอาหารสามจานนี้เท่ากันทั้งสองร้าน ก็หมายความว่าโรงเตี๊ยมเม่าเหลียง…” เฟิ่งเป๋าเป่ากลอกตาไปมา แล้วกลอกกลับมามองสองพี่น้องหลิ่วมู่ชิงและหลิ่วอันเหอ

กลับเห็นหลิ่วมู่ชิงยื่นนิ้วชี้เรียวยาวมาวางบนปาก ส่ายหัวเบาๆ พลางพูดเสียงต่ำว่า “ข้อสรุปต่อจากนี้อย่าพูดต่อไปอีกเลย ถือเสียว่าเห็นแก่หน้าข้า”

เฟิ่งเป๋าเป่ากับหลิ่วอันเหอสบตากัน ทั้งสองเป็นเด็กหญิงที่เฉลียวฉลาดหัวไว เข้าใจในทันใดว่าถึงอย่างไรโรงเตี๊ยมเม่าเหลียงก็เป็นของสำนักหลิ่วเยวี่ย ไม่อาจโพนทะนาเสียงดังว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ‘โกงวัตถุดิบ’ ต้องระวังกำแพงมีหูประตูมีช่อง!

พวกนางหัวเราะอย่างมีเลศนัย เฟิ่งเป๋าเป่าลดเสียงลงต่ำเลียนแบบหลิ่วมู่ชิง ดวงตากลอกไปมาครู่หนึ่งก็กระซิบว่า “ข้ารู้แล้ว พูดไม่ได้”

หลิ่วมู่ชิงหัวเราะออกมา อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปเขกหน้าผากเฟิ่งเป๋าเป่าทีหนึ่งแล้วว่าอย่างเอ็นดู “คุณหนูน้อยตัวร้าย”

“คุณหนูน้อย?” หลิ่วอันเหอปิดปากหัวเราะ

เฟิ่งเป๋าเป่าหน้าแดงหูร้อนทันที โต้อย่างโมโห “เจ้าเองก็เหมือนกันนั่นแหละ!”

“เมื่อครู่พี่ใหญ่พูดถึงเจ้าคนเดียว แสดงว่าเจ้าเหมือนคุณหนูน้อยมากกว่า คุณหนูน้อยเป็นเด็กดีนะ เดี๋ยวพี่สาวจะซื้อน้ำตาลให้กิน” หลิ่วอันเหอพูดพลางเลียนแบบอากัปกิริยาของหลิ่วมู่ชิงเมื่อครู่ ยื่นมือไปเขกหน้าผากเฟิ่งเป๋าเป่าเช่นกัน

เฟิ่งเป๋าเป่าหน้าแดงก่ำ ทั้งอายทั้งโกรธ “เราอายุเท่ากัน เจ้ากล้าเอาเปรียบข้า นิสัยไม่ดี!”

หลิ่วมู่ชิงเห็นทั้งสองคนเริ่มตีกันอีกครั้ง อีกทั้งสาเหตุยังมาจากการที่เขาเรียกเฟิ่งเป๋าเป่าว่าคุณหนูน้อยด้วย ชั่วขณะนั้นก็เกิดความรู้สึกกระดากใจขึ้นมา อันที่จริงเมื่อครู่นี้เขาก็แค่รู้สึกว่าท่าทางที่เฟิ่งเป๋าเป่ากลอกตาหลุกหลิกอย่างซุกซนดูน่าเอ็นดูจนอยากจะเขกหัวนางสักที ส่วนที่เรียกว่าคุณหนูน้อยนั้นก็ได้ยินมาจากมารดาของเขา เขาก็แค่พูดออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรมาก ไม่รู้เลยว่าจะทำให้นางอับอายถึงเพียงนี้

เด็กหญิงสองคนโต้เถียงกันเสร็จก็เริ่มจักจี้กันและกัน หลิ่วมู่ชิงรีบสั่งให้คนรินน้ำชายกขนมมาให้ จึงทำให้พวกนางทั้งสองสงบลงได้ในที่สุด

“พี่ใหญ่ ข้าจะไปเวจ” หลิ่วอันเหอแลบลิ้นพูดอย่างอายๆ

“ให้ข้าไปด้วยหรือไม่” เฟิ่งเป๋าเป่าถาม

“ไม่ต้องหรอก เจ้าอยู่นี่แหละ” หลิ่วอันเหอหน้าแดงเรื่อรีบเดินออกไปอย่างเร็ว

หลิ่วมู่ชิงสั่งให้สาวใช้สูงอายุคนหนึ่งตามไปด้วย จากนั้นก็กลับมานั่งที่ รินน้ำชาให้เฟิ่งเป๋าเป่า

“อิจฉาอันเหอนัก มีพี่ชายนี่ดีจริงๆ” เฟิ่งเป๋าเป่าเห็นหลิ่วมู่ชิงดูแลเอาใจใส่น้องสาวอย่างใกล้ชิดก็โพล่งออกมาอย่างยั้งไม่อยู่

หลิ่วมู่ชิงกำลังรินชาอยู่ พอได้ยินก็อดยิ้มไม่ได้ “เป่าเปาไม่มีพี่ชายพี่สาวหรือ”

“ข้าเป็นคนโตสุด นอกนั้นยังมีน้องชายอีกสองคน เอ้อ แต่ข้ามีศิษย์พี่เยอะแยะ” ทว่าบรรดาศิษย์พี่ทั้งหลายก็ไม่มีใครเหมือนกับหลิ่วมู่ชิง นางมองดูเขาเปิดฝาครอบกาน้ำชา บรรจงเปลี่ยนใบชาแล้วเติมน้ำร้อนอย่างพิถีพิถัน ที่แท้การชงชาก็งดงามน่ามองถึงเพียงนี้ มิน่าเล่าชาที่ต้มออกมาถึงได้หอมเป็นพิเศษ ไม่เพียงเท่านั้น พี่มู่ชิงยังใช้ระดับเสียงน่าฟังเรียกนางว่าเป่าเปาด้วย โดยเฉพาะคำว่าเปานั้นแผ่วเบาหางเสียงยกขึ้นเล็กน้อย ฟังแล้วยิ่งเสนาะหูเข้าไปใหญ่

เป่าเปา! คิก ยิ่งเรียกยิ่งฟังก็ยิ่งสนุก เหตุใดเมื่อก่อนถึงไม่เคยคิดว่าให้ทุกคนเรียกนางแบบนี้นะ

“ศิษย์พี่?” เขาเงยหน้ามองนาง

เฟิ่งเป๋าเป่ารีบเก็บความปีติยินดีในส่วนลึกของใจแล้วพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ท่านพ่อท่านแม่ข้ารับลูกศิษย์มาอยู่ด้วยหลายคน แต่ละคนแก่กว่าข้าไม่กี่ปี ได้ยินมาว่าหลังจากข้าเกิดไม่นานก็รับเข้ามาแล้ว”

“ฉะนั้นเป่าเปาก็เลยเรียนวรยุทธ์ตามพวกเขาสินะ” เขาเคยได้ยินท่านพ่อท่านแม่เล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่าไม่รู้ท่านลุงเฟิ่งกับภรรยาคิดอะไร ถึงชอบรับศิษย์เข้ามาถ่ายทอดวรยุทธ์ มิน่าเล่าเมื่อก่อนเขาถึงเคยได้ยินคนเรียกท่านลุงเฟิ่งว่าอาจารย์

“อื้อ แต่ข้าไม่สนใจวรยุทธ์หรอกนะ” นางย่นจมูก

“แล้วเป่าเปาสนใจอะไรล่ะ” เขาถามไปตามเรื่องตามราว เบนความสนใจไปมองที่บานประตู สงสัยว่าเหตุใดป่านนี้น้องสาวถึงยังไม่กลับมาอีก

ไม่เหมือนกับหลิ่วมู่ชิงที่ใจลอยคิดเรื่องอื่น เฟิ่งเป๋าเป่านั้นกลับดีใจอย่างยิ่ง พอนางได้ยินคำถามนั้นก็ดึงกระบี่สั้นเล่มหนึ่งออกจากรองเท้ายาวมาวางไว้บนโต๊ะแล้วพูดอย่างคึกคักว่า “ข้าชอบเล่นอันนี้!”

หลิ่วมู่ชิงอึ้งไปเล็กน้อย จ้องมองกระบี่สั้นประดับอัญมณีที่วางอยู่บนโต๊ะ

“นี่เจ้าทำเองหรือ” หลิ่วมู่ชิงลูบคลำอัญมณีบนฝักกระบี่โดยไม่รู้ตัว เห็นเฟิ่งเป๋าเป่าพยักหน้า เขาก็ถามต่ออย่างแปลกใจ “เหตุใดเจ้าถึงอยากทำของพวกนี้ล่ะ”

“เรื่องนี้ว่าไปก็น่าขัน ตอนยังเล็กข้าตามท่านพ่อมาเยี่ยมสหาย แล้วบังเอิญไปเห็นกระบี่สั้นที่งดงามมากของพี่ชายคนหนึ่ง บนฝักกระบี่นั้นมีอัญมณีสีแดงหนึ่งเม็ด ตอนนั้นข้าเห็นแล้วชอบจริงๆ น่าเสียดายที่พี่ชายคนนั้นไม่ยอมให้ยืมเล่น พอกลับบ้านข้าก็เลยเอาสร้อยคอของท่านแม่กับกระบี่สั้นมาทำเล่นเองซะเลย” เฟิ่งเป๋าเป่าบอกเล่าที่มาอย่างกระตือรือร้น แต่กลับสังเกตเห็นว่าหลิ่วมู่ชิงสีหน้าเปลี่ยนไป คล้ายกระอักกระอ่วนแต่ก็อยากหัวเราะในคราเดียว นางเองก็เป็นคนหัวไวอยู่แล้ว ครู่เดียวก็เข้าใจทันที แลบลิ้นออกมาหัวเราะแห้งๆ แล้วส่ายศีรษะ

หลิ่วมู่ชิงหัวเราะออกมาแล้วถามอย่างเย้ยๆ “พี่ชายขี้งกคนนั้นก็คือข้าใช่หรือไม่”

“พี่มู่ชิง ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ข้าจำได้แค่ว่าตอนนั้นเห็นกระบี่สั้นที่งดงามมาก รายละเอียดอย่างอื่นข้าลืมไปหมดแล้วล่ะ” เฟิ่งเป๋าเป่าพูดพลางช้อนหน้าขึ้นมองเขาอย่างประเมิน

สวรรค์มาทดสอบได้เลยว่านางไม่ได้มีเจตนาจริงๆ นางจะไปรู้ได้อย่างไรว่า ‘พี่มู่’ คนนั้นที่แท้ก็คือหลิ่วมู่ชิง ตอนนี้กลับมาพูดถึงเรื่องกระจอกงอกง่อยอย่างการไม่ยอมให้ยืมดาบต่อหน้าเจ้าตัว ช่างน่าขายหน้าจนอยากจะขุดหลุมหลบเสียให้ได้

“นอกจากกระบี่สั้น เรื่องอื่นเจ้าลืมไปหมดแล้วจริงๆ หรือ” หลิ่วมู่ชิงถามยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ

“จริงสิ!” เฟิ่งเป๋าเป่าตอบเสียงดังฟังชัด แต่แล้วครู่เดียวก็กลอกตา ลดเสียงพูดว่า “อันที่จริงก็ไม่ได้ลืมหมดจดขนาดนั้นหรอก ข้ายังจำได้ว่าหลังจากท่านเห็นหนูแล้วก็…”

หลิ่วมู่ชิงถลึงตาเล็กน้อย ยกนิ้วชี้กดริมฝีปากอย่างรวดเร็ว

เฟิ่งเป๋าเป่าเห็นดังนั้นก็ปิดปากหัวเราะ จากนั้นก็ขยับเข้าไปย้ำเสียงเบาว่า “ข้ารู้แล้ว พูดไม่ได้”

“ใช่ เรื่องนี้ก็พูดไม่ได้” เขายกมุมปากยิ้มนิดหนึ่ง ดวงตาเต็มไปด้วยแววยิ้ม

“ข้ากลับมาแล้ว” หลิ่วอันเหอผลักประตูเข้ามา มองคนทั้งสองอย่างประหลาดใจ “คุยอะไรกันอยู่ ไฉนท่าทางลับๆ ล่อๆ”

“ไม่มีอะไร” เฟิ่งเป๋าเป่าเก็บกระบี่สั้นใส่คืนที่ข้างรองเท้า “แค่ให้พี่มู่ชิงดูกระบี่สั้นอัญมณีเล่มนั้นน่ะ”

“พี่ใหญ่ก็คิดว่างามใช่หรือไม่ เจ้าบอกว่าจะทำให้ข้าเล่มหนึ่ง อย่าลืมนะ!” ประโยคที่สองหันไปพูดกับเฟิ่งเป๋าเป่า หลิ่วอันเหอเข้ามาแกว่งแขนนางไปมาพลางกำชับให้นางไม่ลืมสัญญาอย่างออดอ้อน

“ไปเถอะ เราออกมาตลอดทั้งบ่ายแล้ว สมควรกลับบ้านได้” หลิ่วมู่ชิงลุกขึ้นยืน

ทั้งสามคนเดินออกมานอกโรงเตี๊ยม

ก่อนขึ้นรถม้า หลิ่วมู่ชิงเหลือบมองไปทางโรงเตี๊ยมเม่าเหลียงแวบหนึ่ง หยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไปพึมพำสั่งผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลัง

“ขอรับ” อู่เอ๋อร์รับคำสั่งแล้วเดินออกไปเร็วรี่

“พี่ใหญ่ ท่านให้อู่เอ๋อร์ไปทำอะไรหรือ เกี่ยวข้องกับโรงเตี๊ยมเม่าเหลียงหรือไม่” ขณะอยู่ในรถม้า หลิ่วอันเหอก็จ้องมองหลิ่วมู่ชิงอย่างสงสัย ไม่เพียงแต่นาง แม้กระทั่งเฟิ่งเป๋าเป่าก็ยังแสดงสีหน้าอยากรู้

“ข้าไม่ยักรู้ว่าความอยากรู้อยากเห็นของพวกเจ้าจะมากถึงเพียงนี้” หลิ่วมู่ชิงยิ้มให้ใบหน้าอ้วนกลมสองดวงตรงหน้า

“วันนี้ข้ากับอันเหอถือว่ามีส่วนร่วมในเรื่องนี้แล้ว ย่อมต้องใส่ใจผลลัพธ์ต่อจากนี้สิ” เฟิ่งเป๋าเป่าก็ซักต่อ ได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญอย่างการไปสืบข่าวคราวเป็นครั้งแรก ถึงอย่างไรก็ไม่อาจเมินเฉยได้

หลิ่วมู่ชิงเลิกม่านขึ้นมามองดูโรงเตี๊ยมเม่าเหลียงที่มีผู้คนเดินเข้าเดินออกแล้วพูดต่อว่า “ให้อู่เอ๋อร์ไปสืบดูว่าโรงเตี๊ยมเม่าเหลียงติดต่อซื้อวัตถุดิบอาหารกับผู้ใด เท่านั้นแหละ”

“อ๋อ” เฟิ่งเป๋าเป่ากับหลิ่วอันเหอส่งเสียงสนเท่ห์พร้อมกัน เงียบไปพักหนึ่งก็หันมามองหลิ่วมู่ชิงราวกับนึกอะไรขึ้นได้

“พี่ใหญ่สงสัยว่าจะมีคนเล่นไม่ซื่ออยู่ในนั้นรึ”

“พี่มู่ชิงสงสัยว่าการจัดซื้อมีปัญหาหรือ”

เด็กหญิงทั้งสองผลัดกันซักถามคนละประโยค

หลิ่วมู่ชิงหัวเราะนิดหนึ่ง ไม่ได้อธิบายต่อ เพียงแต่ตบตัวรถเบาๆ ส่งสัญญาณให้คนขับออกเดินทางได้ “ไปเถอะ กลับบ้านได้แล้ว”

จะว่าไปวันนี้คุณหนูน้อยทั้งสองคนก็แสดงผลงานได้ดีกว่าที่คาดไว้ คราวนี้เขายืนยันได้แล้วว่าปัญหาของโรงเตี๊ยมเม่าเหลียงอยู่ที่ไหน ตอนนี้งานด่วนที่ต้องรีบจัดการก็คือตรวจสอบที่ไปของเงินจัดซื้อก้อนโตในแต่ละเดือน เขาไม่เคยสังเกตเห็นเลยว่าวัตถุดิบอาหารจ่ายไปมาก แต่กลับนำมาทำอาหารน้อย มิน่าเล่าถึงขายดิบขายดีแต่ขาดทุนทุกเดือน!

 

ยามบ่ายที่แสนสงบ ในห้องหนังสือใหญ่อันโอ่โถงของสำนักหลิ่วเยวี่ย เด็กหญิงสองคนนั่งงีบหลับเคียงข้างกันบนเก้าอี้ยาวหลังฉากบังลม เพื่อไม่ให้คนข้างๆ ตกลงไป ทั้งคู่จึงใช้ขาเกี่ยวอีกฝ่ายไว้

“ห้องหนังสือนี่เงียบจริงๆ ด้วย” เฟิ่งเป๋าเป่าเล่นกระบี่สั้นอัญมณีสุดที่รัก นิ้วคลึงไปมาบนอัญมณีที่ติดอยู่บนฝัก

“ใช่ เราจะได้นอนกลางวันสบายๆ แต่น่าเสียดายที่พรุ่งนี้เจ้าก็กลับแล้ว” หลิ่วอันเหอหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวขึ้นมาวางแปะบนหน้า ดวงตายังคงปิดอยู่

“ไม่งั้นเจ้าก็ตามข้ากลับไปอยู่ด้วยกันสักพักสิ แถวบ้านข้ามีทั้งภูเขาแม่น้ำ มีที่ให้เล่นเยอะเลย” เฟิ่งเป๋าเป่าเองก็ไม่อยากจากสหายใหม่คนนี้ไปเช่นกัน ที่บ้านนางมีแต่บุรุษ นานๆ ทีจึงจะมีสหายหญิงเหมือนหลิ่วอันเหอ

“กว่าข้าจะได้กลับมาบ้านก็แทบแย่ เลยอยากอยู่ที่บ้านนานๆ หน่อยน่ะ” หลิ่วอันเหอดึงผ้าเช็ดหน้าบนหน้าออกแล้วถอนหายใจหนักๆ นางชอบท่านพ่อท่านแม่กับพี่ชาย ถึงแม้จะชอบเฟิ่งเป๋าเป่ามากเช่นกัน แต่นางยังไม่อยากออกไปจากบ้านตอนนี้

“ถึงอย่างไรปีหน้าข้าก็มาใหม่น่ะ ท่านพ่อบอกว่าต่อไปนี้ทุกปีที่มาที่นี่ก็จะพาข้ามาด้วย” เฟิ่งเป๋าเป่าพูด เด็กหญิงทั้งสองนัดหมายว่าจะเจอกันใหม่ปีหน้า แล้วคล้องแขนพูดคุยกันอีกพักหนึ่ง จู่ๆ เฟิ่งเป๋าเป่าก็ถามว่า “อันเหอ ตอนเจ้าอยู่เป่ยจิง มีคนที่ชอบหรือไม่”

ดวงตาที่เดิมทีปิดอยู่ของหลิ่วอันเหอเปิดขึ้นมาในทันใด มองเฟิ่งเป๋าเป่าด้วยสีหน้าประหลาด เอ่ยถามว่า “ไฉนจู่ๆ พูดถึงเรื่องนี้ล่ะ”

เฟิ่งเป๋าเป่ากลอกดวงตาใสกระจ่าง ท่าทางทะเล้นอย่างยิ่ง จากนั้นก็ยื่นปากพูดว่า “เจ้าตอบข้ามาก่อนสิ ตกลงว่ามีหรือไม่”

หลิ่วอันเหอชะงักไป ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก็ตอบตะกุกตะกักว่า “ที่จริงข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“งั้นก็แสดงว่ามีน่ะสิ” เฟิ่งเป๋าเป่าลุกขึ้นมามองนาง

“ก็บอกว่าไม่รู้ไงเล่า!” หลิ่วอันเหอวางผ้าเช็ดหน้ากลับไปบนหน้าแล้วพึมพำว่า “ยังไม่ถึงเวลาออกเรือนสักหน่อย ก่อนหน้านั้นก็ยังมีเวลาเลือกได้อีก!”

“อ้อ?” เฟิ่งเป๋าเป่าอุทานเสียงเกินจริงพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าของนางออกแล้วซักไซ้ว่า “แสดงว่าคนที่เจ้าชอบไม่ได้มีแค่คนเดียว?”

“ไม่ใช่อย่างนั้น” หลิ่วอันเหอรีบโต้แย้ง “ที่จริงข้าไม่รู้หรอกว่าชอบคนคนหนึ่งเป็นความรู้สึกอย่างไร เป๋าเป่า เจ้ารู้หรือ”

เฟิ่งเป๋าเป่ามองหน้านาง เอียงคอเล็กน้อย พักใหญ่ก็ส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“ก็ถูกแล้วไง เจ้าเองก็ไม่รู้ ตอนนี้มาพูดเรื่องนี้ออกจะเร็วเกินไปหน่อย” หลิ่วอันเหอรวบรัดหาข้อสรุป

“จะบอกอะไรให้” เฟิ่งเป๋าเป่าลดเสียงลง ดวงตากลอกไปมา ท่าทางมีลับลมคมใน

“อะไรหรือ” หลิ่วอันเหอยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วกระซิบถาม ใบหน้าเปี่ยมด้วยการรอคอย

“ศิษย์พี่แปดนัดหมายข้าไปท่องเที่ยวในยุทธจักรด้วยกัน เขาบอกว่าจะมีแต่ข้ากับเขาสองคน”

หลิ่วอันเหอดวงตาทอประกาย น้ำเสียงตื่นเต้น “หนีไปด้วยกันหรือ”

“ไม่ใช่นะ ศิษย์พี่บอกว่าถ้าข้าตกลงเขาจะไปขอกับท่านพ่อท่านแม่ โธ่ ข้าก็บอกไม่ถูก สรุปว่าข้ายังไม่ได้ตอบตกลง ศิษย์พี่บอกให้ข้าค่อยตอบเขาหลังจากนี้อีกสี่ปี”

“ศิษย์พี่แปดของเจ้าชอบเจ้าหรือ” หลิ่วอันเหอชี้จมูกถามนาง

เฟิ่งเป๋าเป่าส่งเสียงหัวเราะคิกคัก พยักหน้าอย่างอายๆ และเก้อเขิน “ทุกคนก็พูดกันอย่างนั้น ข้าก็คิดว่าน่าจะใช่”

“แล้วเจ้าชอบเขาหรือไม่”

“…ไม่รู้สิ” แม้จะรู้สึกว่าเวลามีคนชอบจะเขินๆ อยู่บ้าง แต่นอกจากนี้แล้วก็เหมือนจะไม่มีความคิดอื่นใดอีก

เด็กหญิงทั้งสองมองหน้าอีกฝ่ายแล้วหัวเราะพรืดออกมาพร้อมกัน

“ไม่รู้ๆ เราสองคนต่างไม่รู้เหมือนกัน!” หลิ่วอันเหอหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเล่นอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็พูดเสียงขึงขัง “เจ้าอย่าไปชอบศิษย์พี่แปดเลย มาแต่งกับพี่ชายข้าดีกว่า เราจะได้เจอกันบ่อยๆ ไง”

เฟิ่งเป๋าเป่าแย่งผ้าเช็ดหน้ามาแล้วถามอย่างแปลกใจ “พี่มู่ชิงยังไม่หมั้นหมายหรอกหรือ”

“ยังนะ ท่านพ่อบอกว่าเรื่องแต่งงานไม่อาจกำหนดสุ่มสี่สุ่มห้าได้ ถ้าหากตอนหลังนึกเสียใจขึ้นมาแล้วยกเลิกจะยุ่งยากมาก” หลิ่วอันเหอเขย่าแขนนางอย่างอารมณ์ดี ซักไซ้ต่อ “ยังไม่บอกเลยว่าเจ้าคิดว่าพี่ชายข้าเป็นอย่างไรบ้าง”

“พี่มู่ชิงน่ะหรือ…” เฟิ่งเป๋าเป่าเพ่งสมาธิครุ่นคิด ในสมองปรากฏใบหน้าขาวเนียนสะอาดสะอ้านดวงหนึ่ง ข้างหูคล้ายสดับทำนองเสียงแผ่วเบาสง่างาม นางคิดอยู่สักพักก็ส่ายหน้าดิก “ไม่ได้ๆ! ท่านพ่อบอกว่าห้ามแต่งงานกับบุรุษที่ดูดีเกินไป”

“เพราะเหตุใดเล่า” หลิ่วอันเหอถามอย่างแปลกใจ

“ท่านพ่อบอกว่าบุรุษรูปงามเชื่อถือไม่ได้” ก็คำพูดของบิดาไม่ควรเป็นเหมือนลมผ่านหูใช่หรือไม่เล่า อีกอย่างตั้งแต่เล็กนางก็คิดว่าบุรุษควรจะห้าวหาญกำยำเหมือนอย่างบิดาของนาง พี่มู่ชิงขาวใสบอบบางเกินไป ถ้าแค่มองก็ย่อมสะดุดตาน่ามอง แต่นางยังคงชอบแบบบิดานางมากกว่า

“งั้นเจ้าก็แต่งกับคนขี้เหร่แล้วกัน ต่อไปข้าเจอชายขี้เหร่ที่ไหนก็จะไปบอกเขาว่าท่านรีบไปขอเฟิ่งเป๋าเป่าสิ ท่านพ่อนางเตรียมสินเจ้าสาวสิบคันรถไว้มอบไข่มุกในอุ้งมือ* ให้ชายขี้เหร่แล้ว!” หลิ่วอันเหอสัพยอก

“ไม่เอาหรอก! อันเหอเจ้าร้ายนัก” เฟิ่งเป๋าเป่าโต้กลับ ยื่นมือไปจี้เอวหลิ่วอันเหอ ฝ่ายหลังกรีดร้องวี้ดว้ายป้องกันไม่หยุด หัวเราะร่วนอยู่สักพักใหญ่กว่าจะเงียบลง

“จริงสิ ข้าบอกไม่ใช่หรือว่าจะเอาใบสั่งยากับตำรับอาหารมาให้เจ้า เล่นเพลินจนเกือบลืมแล้ว” ระหว่างที่พูดหลิ่วอันเหอก็รีบลงจากเก้าอี้เอน “เดี๋ยวข้ากลับมานะ เจ้ารออยู่นี่แหละ อีกเดี๋ยวแม่นมยกยาต้มมาแล้วไม่เห็นใครก็เรียกหาไปทั่วอีก วุ่นวาย”

“รู้แล้ว รีบไปเถอะ” เฟิ่งเป๋าเป่าดันไหล่นางบอกให้รีบไปรีบกลับ

บิดาของหลิ่วอันเหอให้คนสนิทจัดใบสั่งยาหลายสำรับ รวมทั้งเขียนตำรับอาหารไว้บอกว่าแค่ทำอาหารตามตำรับที่เขียนไว้ทุกวัน จะช่วยลดไขมันในร่างกายได้

เมื่อก่อนเฟิ่งเป๋าเป่าไม่เคยคิดว่ารูปร่างตัวเองอวบอิ่มเกินไป เพราะท่านพ่อนางมักจะบอกว่าเป็นหญิงมีเนื้อมีหนังหน่อยถึงจะดี ทั้งยังต้มน้ำแกงแล้วบังคับให้นางกับท่านแม่ดื่มให้หมดบ่อยๆ คิดดูแล้วไขมันก็น่าจะสร้างขึ้นมาด้วยเหตุนี้ แต่นางเดินทางมาหยางโจวครั้งนี้ เห็นสาวน้อยบนถนนแต่ละคนล้วนรูปร่างสะโอดสะอง ประกอบกับหลิ่วอันเหอคอยแต่บ่นให้ฟังว่าอยากจะผอมเพรียวเหมือนอย่างบิดามารดาของตัวเอง ก็ชักจะทำให้นางอยากเป็นอย่างนั้นบ้าง ดังนั้นจึงตัดสินใจเอาใบสั่งยากับตำรับอาหารกลับไปลองดู

นอกหน้าต่างลมพัดโชย หยอกให้กิ่งไม้ส่งเสียงดังสวบสาบ ดอกอ่อนหลายดอกเอนไหวไปตามแรง นางย่างเท้าไปยังข้างหน้าต่าง สูดรับความเย็นสบายจากสายลม

ไม่นานนักแม่นมคนหนึ่งก็ยกน้ำยาสีดำขุ่นเข้ามา กลิ่นประหลาดเล็กน้อย เหมือนเป็นยารักษาโรคหอบหืดโดยเฉพาะ

เพียงแต่หลิ่วอันเหอบอกว่าเดี๋ยวก็กลับมาไม่ใช่หรือ ไฉนถึงยังไม่มานะ

 

ที่ห้องข้างอันเงียบสงบห้องหนึ่งในสำนักหลิ่วเยวี่ย

“นายน้อย เตรียมพร้อมแล้วขอรับ”

“อืม” เสียงอบอุ่นทุ้มต่ำดังขึ้น ครู่หนึ่งก็เอ่ยปากอีกครั้งว่า “ใช้ได้แล้ว ลงไปกันก่อน”

“ขอรับ” บ่าวรับใช้หลายคนทยอยกันถอยออกไป ตามธรรมเนียมแล้ว พวกเขาต่างรู้ดีว่าอีกประมาณครึ่งชั่วยาม* ค่อยกลับมา

ภายในห้องอันหรูหรา เงาร่างสูงโปร่งกำลังยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยขณะมองหมู่มวลบุปผาด้านนอก จากนั้นก็ดึงหน้าต่างปิด

ผ่านไปหลายวสันต์แล้วสินะ

ท่านพ่อเคยพูดว่าบางครั้งก็ให้หาเวลาว่างจากการงานมาทำสิ่งที่ตัวเองชอบบ้าง เป็นการบำรุงจิตใจ ไม่เพียงแต่จะไม่กระทบเรื่องอะไรมากมาย หากยังช่วยฟื้นฟูสภาพอารมณ์อีกด้วย

หลิ่วมู่ชิงดึงนาฬิกาพกลงยาจากข้างเอวออกมาวางบนโต๊ะเตี้ยอย่างเรียบร้อย แล้วปลดจี้หยกแกะสลักรูปบุปผา จากนั้นก็ถอดแหวนหยกบนนิ้ว ดึงกระบี่สั้นอัญมณีออกจากข้างรองเท้าหุ้มข้อ แล้ววางของแต่ละอย่างเรียงบนโต๊ะเตี้ย

พูดถึงการบำรุงจิตใจ สิ่งที่ท่านพ่อชอบที่สุดก็คือการชื่นชมกระบี่ล้ำค่า เขาเองก็ชอบศาสตราวุธเหมือนกัน ทั้งยังสะสมของล้ำค่าชั้นดีบางส่วน เพียงแต่เมื่อเทียบกันแล้ว เขาชมชอบความเพลิดเพลินอีกอย่างหนึ่งมากกว่า…

เขาค่อยๆ ปลดกระดุมคอเสื้อ ถอดชุดสีฟ้าสายน้ำตัวนอกออก จากนั้นก็คลายรองเท้าหนังวัวหุ้มข้อตัดเย็บพิเศษ แล้วจึงถอดชุดชั้นกลางสีขาว เสื้อชั้นใน รวมไปถึงกางเกงขายาวสีเข้ม กางเกงขาสั้น แต่ละชิ้นพับพาดไว้บนพนักเก้าอี้ตามลำดับอย่างเป็นระเบียบ ท้ายสุดก็ไม่ลืมถอดยันต์คุ้มกายที่แขวนคอวางไว้ข้างโต๊ะ

ในที่สุดทั่วทั้งตัวก็ไม่เหลืออาภรณ์ติดกายแม้แต่ชิ้นเดียว

เรือนร่างที่สมกับเป็นเด็กหนุ่มเปลือยเปล่า

บ่าไหล่ขยายกว้าง เอวสะโพกหนั่นแน่น เรือนร่างผอมบางแต่กลับมีกล้ามเนื้อที่ได้มาจากการออกกำลังฝึกวรยุทธ์มานานปี มิได้เติบโตจนเกินไปนัก กลับแฝงด้วยความงดงามของวัยเยาว์ ผิวพรรณที่ไร้ตำหนินั้นสะอาดนวลผ่องเหมือนกับใบหน้าของเขา ทั่วทั้งตัวราวกับหยกสีขาวที่ใสบริสุทธิ์

จ๋อม!

เขายื่นมือลงไปวนในถังไม้ครู่หนึ่ง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว น้ำในนี้อุ่นเพียงพอทั้งยังใส่สมุนไพรที่เขาชอบมาแต่ไหนแต่ไร กลิ่นหอมสดชื่นอันเป็นเอกลักษณ์นั้นทำให้คนผ่อนคลาย ขับไล่อารมณ์ขุ่นมัวในช่วงนี้ที่เกิดจากเรื่องโรงเตี๊ยมเม่าเหลียงไปเสีย

หลิ่วมู่ชิงเหยียบบันไดไม้ ก้าวลงไปในถังไม้อย่างคล่องแคล่ว ค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงให้ร่างกายช่วงใต้บ่าแช่ในน้ำร้อน

จริงๆ นะ ตั้งแต่ยอดศีรษะลงมาจนถึงปลายเท้า ไม่มีส่วนไหนในร่างกายที่ไม่สดชื่นเลย!

เขาถอนหายใจเบาๆ ครู่หนึ่งก็เอนหลังพิงข้างถัง สองแขนกางพาดบนขอบถัง สองตาทอดมองบนผิวน้ำ ในใจกลับครุ่นคิดเรื่องที่โรงเตี๊ยม

หลายวันมานี้เขาดำเนินการต่อเนื่องเป็นชุด เริ่มจากสกัดกั้นแหล่งจัดซื้อวัตถุดิบอาหารของโรงเตี๊ยมเม่าเหลียงก่อน ตรวจสอบรายละเอียดการจัดซื้อที่ผ่านมาให้ชัดเจน แล้วจึงเปิดโปงได้ว่าตัวการที่ยักยอกเงินออกไปจำนวนมากนั้นก็คือน้องเขยของหลงจู๊เฉินนั่นเอง

ผลลัพธ์นั้นสร้างคลื่นกระทบใหญ่หลวง

หลงจู๊เฉินพาภรรยามาขอพบหัวหน้าสำนักถึงที่ เดิมทีคิดว่าท่านแม่เขาจะหาเหตุผลมาปฏิเสธการเข้าพบ คิดไม่ถึงว่าจะเรียกเขาเข้าไป รวมกับหลงจู๊เฉินด้วยกันเป็นสามคน ปิดประตูเจรจาในห้องลับยาวนาน

หลงจู๊เฉินที่ตลอดมาไม่เคยแยแสนายน้อยอย่างเขา กลับพินอบพิเทาต่อหัวหน้าสำนักอย่างยิ่ง พูดไม่กี่คำก็น้ำตาไหลพราก

หลิ่วมู่ชิงประคองน้ำไว้ด้วยสองมือ ล้างหน้าให้สะอาด จากนั้นก็พรมใส่หน้าอีกหลายที

หลงจู๊เฉินคนนั้นซื่อตรงต่อหน้าหัวหน้าสำนักมากทีเดียว พูดไม่หยุดปากว่าขอให้หัวหน้าสำนักลดโทษให้ แล้วอ้างว่าดูบัญชีไม่เป็น จึงให้น้องเขยจัดการเพียงผู้เดียว ท่านแม่บอกว่าบัญชีที่ขาดตกไปจำต้องให้น้องเขยเขาหรือครอบครัวพวกเขาชดเชย หลงจู๊เฉินก็พยักหน้ารัวๆ…

คิดถึงตรงนี้เขาก็อดอัดอั้นใจไม่ได้ วิธีการจัดการเหมือนกันแท้ๆ พอให้เขาทำไม่ราบรื่น แต่แค่ท่านแม่เอ่ยปากคำเดียวก็ไม่มีใครกล้าโต้แย้งแล้ว

มีความรู้สึกว่าคงไม่ใช่ท่านแม่รู้ปัญหาของโรงเตี๊ยมเม่าเหลียงอยู่นานแล้ว จึงจงใจส่งมาให้เขาหรอกนะ

ความจริงเป็นอย่างไรเขาไม่อาจรู้ได้ หลังจากหลงจู๊เฉินกลับไป ท่านแม่ก็อบรมเขายกใหญ่

‘ยังไม่ทันแน่ใจสาเหตุก็รีบร้อนตัดแขนตัดขาเสียแล้ว อดใจไม่ไหวขนาดนั้นเชียว ตอนนี้ทุกย่างก้าวของเจ้าล้วนเป็นที่จับตามอง มีหลายคนเฝ้ารอให้เจ้าหกล้มจะได้เอามาหัวเราะเยาะอยู่ ก่อนทำอะไรเจ้าไม่คิดถึงผลลัพธ์บ้างเลยหรือ ลูกจ้างเก่าแก่วัยสามสิบคนหนึ่งจะไล่ออกไปง่ายๆ อย่างนี้ได้รึ แม่จะบอกเจ้านะ นี่ไม่ใช่การเล่นหมากรุก คิดจะเอาคืนก็เอาคืน เมื่อไรที่ลงมือไปแล้วจะไม่มีทางให้วกกลับได้อีก รู้หรือไม่!’

นางยังเสริมว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายที่นางจะยื่นมือเข้ามาจัดการ ต่อไปกิจการที่ส่งต่อให้เขา ไม่ว่าจะเกิดเพลิงไหม้หรือถูกคนยักยอกจนย่อยยับก็ไม่เกี่ยวกับนางอีก

หลิ่วมู่ชิงถอนหายใจ

อันที่จริงท่านแม่พูดผิดไปอย่างหนึ่ง เล่นหมากรุกคิดจะเอาคืนก็เอาคืนได้เสียเมื่อไร นั่นก็ลงมือแล้วไม่มีทางวกกลับเหมือนกัน เฮ้อ ช่างเถอะ แต่ไหนแต่ไรท่านแม่ก็ไม่เล่นหมากรุกอยู่แล้ว กับศิลปะทั้งสี่ก็ไร้ความสนใจ ความสนใจที่ใหญ่ที่สุดของท่านแม่คือการนับเงิน รวมไปถึงฟังท่านพ่อพูดคุยเรื่องสัพเพเหระต่างหาก

เพียะ!

เขายกมือตบผิวน้ำทีหนึ่ง ละอองน้ำกระเซ็นขึ้นมาผืนใหญ่ สาดทั่วใบหน้าและศีรษะของเขา

‘ถ้าเจ้าไม่วางยาอย่างเชื่องช้าโดยไม่แสดงสีหน้า ก็ต้องวางดาบปาดคอรวดเดียวโดยไม่แจ้งเตือนก่อน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ห้ามเอะอะมะเทิ่งเข้าไปตบหน้าตบหัวอีกฝ่ายเด็ดขาด!’

คำพูดนี้ไม่ผิดแม้แต่น้อย เพียงแต่เวลาลงมือจริงเขายังไม่อาจจับจุดสำคัญนั้นได้

ทว่าอย่างน้อยโรงเตี๊ยมเม่าเหลียงก็ไม่ขาดทุนอีกต่อไปแล้ว ซึ่งเท่ากับลดความเสียหายของเขาไปได้อย่างแน่นอน

สวบ!

เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนพลางระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ ยกแขนบิดตัวไปด้านหลังเพื่อคลายกล้ามเนื้อทั่วร่าง ท่านพ่อพูดไว้ไม่ผิด หาเวลาว่างมาทำสิ่งที่ตัวเองชอบบ้าง ได้บำรุงจิตใจ ทั้งยังสะอาดอีกด้วย!

 

บนระเบียงทางเดิน ลมเย็นพัดโชยมา

เงาร่างหนึ่งวิ่งจี๋อย่างเร็ว แม้ร่างนั้นจะกลมแน่นอวบอิ่ม แต่ฝีเท้ากลับว่องไวปราดเปรียว

ยาประหลาดถ้วยนั้นใกล้จะเย็นแล้ว ยังไม่เห็นเงาของหลิ่วอันเหอเลย ไม่รู้ไปไหนกันแน่!

คุณหนูน้อยตัวกลมมองซ้ายแลขวา คล้ายกับได้กลิ่นยาสมุนไพรลอยมาจากห้องข้าง กลิ่นนั้นหอมสดชื่นเสียเหลือเกิน หรือว่าหลิ่วอันเหอจะมากินยาถึงที่นี่กันนะ

นางกินยากี่ชามกันแน่เนี่ย! ไฉนมีกลิ่นยาทุกหนทุกแห่งเลย

เอี๊ยด…

หลิ่วมู่ชิงที่อยู่ในห้องข้างได้ยินเสียงจากโถงด้านนอกก็ลุกยืนเต็มความสูง เรียกเบาๆ ว่า “ข้าเสร็จแล้ว พวกเจ้าเข้ามาได้”

“อันเหอ เจ้ามากินยาในนี้หรือ”

เสียงน้ำใสกระจ่างกลบเสียงถามนี้ไปสิ้น คนที่ยืนอยู่โถงด้านนอกแสดงสีหน้าสงสัย ก้าวเข้าไปด้านในโดยไม่รู้ตัว เห็นฉากบังลมหินอ่อนแกะสลักรูปบุปผาสกุณาอันวิจิตร นางชะงักนิดหนึ่งแล้วจึงอ้อมข้างฉากเดินเข้าไป

“วันนี้พวกเจ้ามาเร็วเสียจริง” เสียงบุรุษที่ฟังดูอบอุ่นดังขึ้น

ร่างสูงโปร่งยืนอยู่ในน้ำ กำลังก้าวขาสูงเพื่อจะข้ามขอบถังออกไป สายตาเหลือบเห็นคนคนหนึ่งโผล่หน้าออกมาจากฉากบังลม

“พี่มู่ชิงหรือ…”

แรกสุดสิ่งที่เข้ามากระทบสายตาเฟิ่งเป๋าเป่าคือวัตถุสีขาวก้อนใหญ่ จากนั้นก็เป็นหน้าขาวๆ ของหลิ่วมู่ชิงที่หันขวับกลับมา แต่แทบจะเวลาเดียวกันนั้น นางก็พลันพบว่าวัตถุขาวๆ ผอมบางที่อยู่ตรงหน้าก็คือร่างเปลือยเปล่าของหลิ่วมู่ชิง…

“วะ…เหวอออ!”

พี่มู่ชิงมะ…ไม่…ไม่ได้ใส่เสื้อผ้า?!

นางยกมือกุมหน้าอก อ้าปากหวอ และอ้ากว้างขึ้น จากนั้นก็กรีดเสียงร้อง ในสมองมีเสียงดังอื้ออึงก่อนจะว่างเปล่า

โตมาจนอายุสิบสองปี แม้ว่าในบ้านจะมีบุรุษอยู่หลายคน แต่นางไม่เคยเห็นบุรุษไม่ใส่เสื้อผ้าทั้งบนทั้งล่างมาก่อน ทั้งยังอยู่ในระยะใกล้ขนาดนี้ด้วย ใกล้จนกระทั่งนางเห็นหยดน้ำใสแจ๋วที่เกาะบนร่างสูงยาวนั้นชัดเจน บนแผงอกที่เปียกชื้นมีจุดสีชมพูสองเม็ด ยังมีเอวและสะโพกที่เส้นโค้งชัดเจนจนน่าตะลึง รวมไปถึงขายาวๆ ข้างหนึ่งที่กำลังอ้ากว้าง แล้วก็…สิ่งที่น่าสะพรึงที่สุดก็คือนางเห็นตรงนั้นที่อยู่ระหว่างขาทั้งสองข้าง

ตรงนั้น…ตรงนั้นเหตุใดเป็นแบบนั้นล่ะ!

ข้าเห็นแล้ว! ข้าเห็นหมดแล้ว! ทั้งยังเป็นของพี่มู่ชิงเสียด้วย!

“จะ…เจ้าอย่าเสียงดังสิ!”

หลิ่วมู่ชิงดึงสติกลับมาจากสถานการณ์คับขันได้ก่อน เขาทิ้งตัวกลับลงไปในถังน้ำดังตูม หูสองข้างแดงขึ้นทันควัน พยายามห้ามเฟิ่งเป๋าเป่าไม่ให้กรีดร้องอย่างลนลาน แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว

เสียงกรีดร้องดังสนั่นไปทั่วชั้นฟ้า

“อ๊าๆๆๆ!”

เฟิ่งเป๋าเป่ายกมือขยุ้มผม นางแน่ใจว่าบนหัวตัวเองต้องมีควันออกมาแน่ๆ! ไม่เพียงเท่านั้น นางยังได้ยินเสียงร้องของตัวเองดังต่อเนื่อง จากนั้นก็เห็นใบหน้าขาวสะอาดของหลิ่วมู่ชิงเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว จากซีดเผือดตามด้วยแดงเรื่อ ต่อมาก็กลายเป็นแดงจัด ตื่นตระหนกจนขยับปากอ้าๆ หุบๆ พูดไม่ออก

“เกิดอะไรขึ้น”

“นั่นเสียงเป๋าเป่านี่!”

“มีอะไรกัน”

โถงด้านนอกมีเสียงอู่เอ๋อร์กับลิ่วเอ๋อร์พร้อมด้วยหลิ่วอันเหอกับบ่าวรับใช้อีกหลายคน

เฟิ่งเป๋าเป่าได้ยินเสียงฝีเท้าก็ได้สติขึ้นมาทันใด หลิ่วมู่ชิงเบิกตากว้างเงี่ยหูฟัง ทั้งสองคนสบตากันชั่วขณะ และแล้วก็ตะโกนไปทางโถงด้านนอกพร้อมกันทันที “อย่าเข้ามา!”

ซึ่งช้าไปเสียแล้ว

ปัง!

กลุ่มคนที่อยู่นอกห้องดันประตูเข้ามาพร้อมกัน พริบตาเดียวคนทั้งหมดก็ถลันเข้ามาในห้อง เฟิ่งเป๋าเป่าตกใจหน้าถอดสี รีบหมุนตัวกลับเพื่อจะหลบ แต่แล้วก็ปะทะกับฉากบังลมหินอ่อนที่งดงามนั้นเข้าอย่างจัง จังหวะชนอย่างแรงทำให้ฉากบังลมสั่นสะเทือน ฉากบังลมทั้งบานหงายไปด้านหลัง

เสียงดังโครม ฉากบังลมหงายล้มต่อหน้ากลุ่มคนที่บุกเข้ามาพอดี ทุกคนต่างมองเห็นภาพตรงหน้าแบบหมดจด

เพียงแค่เห็นก็เข้าใจได้ทุกอย่าง คุณหนูใหญ่สกุลเฟิ่งถลันเข้ามาในห้องอาบน้ำสุขาวดีของนายน้อยของพวกเขา!

ทุกคนมองไปยังเฟิ่งเป๋าเป่าที่ตื่นตระหนกจนเกือบจะร้องไห้ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงดังตุ๋ม คราวนี้แย่ยิ่งกว่าเก่า นายน้อยผู้สงบนิ่งสง่างามของพวกเขาจู่ๆ ก็จมลงไปก้นถัง…

“นายน้อย! นายน้อย?!”

“แย่แล้ว นายน้อยเป็นลมหรือไม่น่ะ?!”

อู่เอ๋อร์กับลิ่วเอ๋อร์ร้องแตกตื่น

“ฮึก!” เฟิ่งเป๋าเป่าสูดจมูก หลังจากสะอึกสะอื้นแล้วก็ส่งเสียงร้องหงิงๆ นางไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย นางไม่ได้อยากจะเห็นด้วย แต่ในเมื่อเห็นไปแล้ว ตอนนี้จะให้ทำอย่างไรล่ะ

“เป๋าเป่าเป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงร้องไห้”

เสียงเอะอะดังแทรกไปทั่วนภา ในห้องข้างมีทั้งเสียงวิ่งวุ่น เสียงตะโกน เสียงร้องไห้ เสียงซักถาม

วุ่นวายโกลาหลยิ่งนัก

หลิ่วมู่ชิงหลับตาสนิท กลั้นหายใจดำลงไปใต้น้ำ เขาไม่ได้หมดสติ แต่แค่ไม่อยากออกไป ไม่เพียงเท่านั้น เขายังอยากให้ตัวเองจมน้ำตายไปเลยด้วย!

เกิดมาสิบหกปี ไม่เคยขายหน้าเช่นนี้มาก่อน ถูกเห็นร่างกายหมดเปลือกตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งอีกฝ่ายยังเป็นบุตรีของมิตรเก่าบิดา เป็นสหายรักของน้องสาว และเป็นคุณหนูน้อยที่เรียกเขาทุกวันว่าพี่อย่างนั้นพี่อย่างนี้! ถ้ารู้อย่างนี้เขาเอาผ้าเช็ดมือหรืออะไรสักอย่างมาปิดไว้หน่อยดีกว่า อย่างน้อยคงจะไม่ต้องถูกเห็นแม้กระทั่งตรงนั้น แต่ตอนนี้อะไรก็ไม่ทันแล้ว!

ตั้งแต่จำความได้ นอกจากแม่นมที่คอยดูแลกับคนสนิทข้างกายแล้ว ไม่มีใครเคยเห็นร่างเปลือยของเขามาก่อน แม้แต่ท่านพ่อท่านแม่ก็ไม่เคย ตอนนี้อะไรที่ควรเห็นและไม่ควรเห็นล้วนถูกเฟิ่งเป๋าเป่าคนนี้เห็นหมดแล้ว!

หลิ่วมู่ชิงขมวดคิ้วมุ่นอยู่ในน้ำ กลั้นหายใจอย่างอึดอัด ฟองอากาศผุดออกมาจากปากเขาเป็นสาย ใบหน้านั้นยุ่งตลอดเวลา ในใจรู้สึกโกรธเคืองหรืออับอายเขาก็บอกไม่ถูก แต่มีเรื่องหนึ่งที่เขาแน่ใจยิ่ง นั่นก็คือในชั่วชีวิตนี้เป็นตายเขาก็จะไม่แช่น้ำอีกแล้ว!

บทที่ 3

บนภูผาละอองหิมะปะทะวสันต์ วสันต์ไปสารทมาคือสิ้นสุด

ทั้งผืนดินเริ่มต้นเปลี่ยนสีใหม่อีกครา เพียงพริบตาก็ผ่านไปสองปี

ภายในป่า บนพื้นหญ้าอ่อนชื้นที่เพิ่งผ่านพิรุณพรมมาหมาดๆ ปูด้วยใบไม้กลาดเกลื่อน พื้นดินที่เป็นโคลนเลนผสมกับซากใบไม้ส่งกลิ่นเย็นสดชื่นกลางสายลม

สัญญาณของฤดูใบไม้ร่วงปรากฏแล้ว

“ศิษย์น้อง รีบมาเร็ว” เสียงเด็กหนุ่มสองคนดังขึ้นพร้อมกัน

“ศิษย์พี่แปดศิษย์พี่เก้าไม่ต้องสนใจข้า รีบไปจับนกตัวนั้นก่อนเลย!” เสียงเล็กแหลมดังแทรกกับเสียงหัวเราะใส เด็กสาวคนหนึ่งพูดพลางวิ่งตามสองคนข้างหน้า

เงาร่างของทั้งสามวิ่งลัดเลาะท่ามกลางสุมทุมพุ่มไม้ ทันใดนั้นเด็กหนุ่มคนที่วิ่งอยู่หน้าสุดก็ตีลังกาขึ้นกลางอากาศหลายตลบ เมื่อขึ้นไปถึงจุดสูงสุดก็ออกแรงขว้างก้อนหินก้อนเล็กออกไป โดนนกตัวหนึ่งที่หลบอยู่ในพุ่มไม้เข้าพอดี จากนั้นก็ฉวยจังหวะที่นกกำลังร่วงลงมาโฉบเข้าไปคว้าไว้ได้ทันควัน

ฝีไม้ลายมือของเด็กสาวยังไม่เทียบชั้นศิษย์พี่ชาย จู่ๆ ปลายเท้าก็ลื่นไถล ถลาล้มไปข้างหน้าทั้งตัว

“ศิษย์น้องระวัง!” เด็กหนุ่มทั้งสองร้องพร้อมกัน รีบเข้าไปดึงแขนของเด็กสาวทั้งซ้ายทั้งขวา หยุดยั้งจังหวะลื่นไถลไปข้างหน้าของนาง ขจัดภัยที่จะล้มลงพื้นโคลน

“เยี่ยมไปเลย จับได้แล้ว!” เด็กหญิงคนนั้นมิได้นำพาเลยว่าจะหกล้มหรือไม่ นางยิ้มแป้นรับนกตัวนั้นมา แล้วถอนขนสีฟ้าอมเขียวบนตัวมันออกอย่างว่องไว ก่อนจะยื่นมือปล่อยให้นกบินจากไปกลางอากาศ

“แค่นี้เองหรือ เหตุใดไม่ถอนขนให้หมดเลยล่ะ”

“จริงด้วย กว่าจะจับได้แทบแย่”

เด็กหนุ่มทั้งสองต่างแสดงความเห็น

เด็กสาวที่ถอนขนนกก็คือเฟิ่งเป๋าเป่านั่นเอง นางได้ยินดังนั้นก็กลอกตาว่องไว ถลึงตาใส่คนตรงหน้าทีละคนแล้วพูดเสียงขุ่น “ไม่มีขนก็ไม่มีชีวิตน่ะสิ เราจับมาหลายตัวหน่อยก็แล้วกัน เก็บทีละน้อยก็ได้มากเองล่ะ” นางชูถุงตาข่ายในมือขึ้นมา ข้างในมีขนสีฟ้าอมเขียวสีสันแพรวพราวอยู่ไม่น้อย

“ข้าช่วยเจ้าเอง!”

“ให้ข้าทำเอง!”

สองเด็กหนุ่มพูดจบก็หันขวับมามองกันและกันด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป คนหนึ่งยกมือกอดอก อีกคนหยักเหยียดมุมปาก คล้ายกับดูแคลนอีกฝ่าย

“ถ้าวันนี้พวกท่านสองคนทะเลาะกันอีกล่ะก็ ต่อไปข้าจะไม่เรียกหาพวกท่านอีกแล้ว” เฟิ่งเป๋าเป่าหันตัวเดินไปในดงป่า เด็กหนุ่มทั้งสองเห็นดังนั้นก็รีบตามหลังไปติดๆ

“ศิษย์น้อง!” เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่คิ้วเข้มตาโตตะโกนเรียกอย่างร้อนรน

“เสิ่นอาหลิน” เฟิ่งเป๋าเป่าหันกลับมามองศิษย์พี่แปด “ท่านตะโกนเสียงดังเพียงนี้ อย่าว่าแต่นกเลย แม้แต่งูก็ยังตกใจหนีไปหมด!”

ศิษย์พี่แปดชื่อว่าเสิ่นหลิน แต่เฟิ่งเป๋าเป่ากลับชอบเพิ่มคำว่า ‘อา’ ใส่ลงไปตรงกลาง เขาได้ยินคำเรียกที่คุ้นเคยนี้ก็ยิ้มแก้มปริ พูดยิ้มๆ ว่า “ไม่เป็นไรหรอกน่ะ ข้าแค่จะเตือนเจ้าว่าระวังลื่นล้ม”

“ข้าจะระวัง แต่ท่านอย่าส่งเสียงดังอีกล่ะ” เฟิ่งเป๋าเป่าเห็นพวกเขาสงบศึกเลิกต่อปากต่อคำกันแล้วก็ระบายยิ้มหวาน เดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่บอกกล่าว

เสิ่นหลินมองรอยยิ้มที่สดใสมีชีวิตชีวานั้นด้วยสายตาเหม่อลอย

แต่ก่อนเขาเคยคิดว่าคนที่งดงามที่สุดในโลกนี้คือมารดาของเฟิ่งเป๋าเป่า แน่นอนว่าเป๋าเป่าไม่ใช่ไม่งาม แต่เมื่อเทียบกันแล้วก็น่าจะจัดเป็นอันดับสองมากกว่า ทว่าในช่วงหลายปีมานี้เขารู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเป๋าเป่ามีแนวโน้มจะนำหน้าผู้อาวุโส ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับการที่นางยืดตัวสูงขึ้นและรูปร่างผอมลงหรือไม่

เสิ่นหลินเหม่อมองเงาร่างที่อยู่เบื้องหน้า เฟิ่งเป๋าเป่ายังคงไม่จัดว่าผอม แต่ก็ไม่อาจบอกว่านางอ้วนแน่ๆ อันที่จริงเขารู้สึกว่าแบบนี้งดงามดีอยู่แล้ว คนโบราณกล่าวไว้ว่าอย่างไรนะ…อ้อ อ้วนผอมประสานดี! เสิ่นหลินยิ้มโง่ๆ อยู่พักหนึ่งก็นึกขึ้นได้ว่าจะต้องตามไป แต่เพิ่งจะก้าวเท้าก็ได้ยินเสียงเยาะหยันที่ไม่น่าฟังดังขึ้นด้านหลัง

“เสิ่นจอมเหม่อ”

เสิ่นหลินชะงัก หันกลับไปมองคนข้างหลังอย่างขุ่นเคืองแล้วกดเสียงต่อว่า “อู๋จื่อเฉียว แน่จริงเจ้าก็ด่าต่อหน้าสิ เหตุใดต้องรอให้ศิษย์น้องไปแล้วถึงค่อยมาลอบโจมตีคนล่ะ?!”

อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่แยแส แล้วฉวยโอกาสวิ่งตามเฟิ่งเป๋าเป่านำไปก่อน เสิ่นหลินเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งตามทันที

เสิ่นหลินกับอู๋จื่อเฉียวเป็นศิษย์ของสกุลเฟิ่ง คนแรกนั้นอยู่ในอันดับที่แปด ส่วนคนหลังอันดับที่เก้า

สกุลเฟิ่งเดินทางมาตั้งถิ่นฐานในตำบลเล็กๆ ที่ถือว่าเจริญรุ่งเรืองแห่งนี้เมื่อสิบห้าปีก่อน เริ่มแรกยังสร้างคฤหาสน์ขนาดใหญ่เอาไว้ในตัวตำบล แต่นายท่านสกุลเฟิ่งก็ซื้อที่ดินในป่าไว้ในขณะเดียวกัน และใช้เวลาสามปีก่อสร้างบ้านหลายหลังกระจัดกระจายในป่าบนภูเขาลึก

ได้ยินมาว่าช่างที่มาก่อสร้างตอนนั้นต่างกล่าวว่าบ้านของสกุลเฟิ่งสร้างได้อย่างแยบคายยิ่ง ทั้งลับสายตาทั้งสุขสบาย ภายในบ้านตกแต่งหรูหรางดงาม ภายนอกบ้านก็ล้วนมีทัศนียภาพงามตาทุกหนแห่ง เรียกได้ว่าเป็นวิมานอันสงบสุข แดนสวรรค์บนโลกมนุษย์โดยแท้!

เพียงแต่ว่าสกุลเฟิ่งนั้นช่างติดดินเหลือหลาย หลังจากย้ายเข้าบ้านใหม่ก็แทบไม่ได้ออกมาสู่โลกภายนอกเลย หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ยินว่ามีคนยากคนจนบางส่วนถูกขายเข้าไปทำงานในบ้านสกุลเฟิ่ง หรือเด็กๆ ไร้ที่พึ่งพิงที่ญาติขายมา สกุลเฟิ่งก็รับเป็นศิษย์ทั้งหมด นอกจากทำงานแล้วก็ยังได้ร่ำเรียนหนังสือและฝึกวรยุทธ์ ทำให้คนไม่น้อยแย่งกันเข้ามาเจรจาอยากส่งบุตรหลานมาคารวะอาจารย์บ้าง ทว่าไม่มีใครได้เข้าไปทั้งนั้น ยกเว้นเสิ่นหลิน

“ศิษย์น้อง ข้าจับได้อีกตัวแล้ว!” เสิ่นหลินตะโกนอย่างดีใจพลางประคองนกขนแพรวพราววิ่งตรงไปหาเฟิ่งเป๋าเป่า

“เยี่ยมไปเลย!” เฟิ่งเป๋าเป่าดึงขนสองสามเส้นออกมาใส่ในถุงตาข่าย

เสิ่นหลินเป็นบุตรชายของเจ้าของที่ดินที่อยู่ถัดไป และเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของสกุลเฟิ่งที่ไม่ได้ถูกขายมาทำงาน เดิมทีสกุลเฟิ่งไม่รับเด็กลักษณะนี้ แต่เสิ่นหลินนั้นมาจากการถือดาบไม้ที่ตัวเองทำวิ่งร่อนอยู่ในภูเขา จนหลายวันให้หลังหมดสติไป มารดาของเฟิ่งเป๋าเป่าเก็บกลับมาดูแล ว่ากันว่าชั่วขณะที่เสิ่นหลินฟื้นขึ้นมาเห็นมารดาของเฟิ่งเป๋าเป่าก็พึมพำเรียกว่า ‘พี่สาวนางเซียน’ ทำให้นายท่านสกุลเฟิ่งหัวเราะชอบใจใหญ่ ยอมรับเขาเข้ามาในบ้านอย่างองอาจ

“ศิษย์น้อง ข้าก็มีเหมือนกัน!“ อู๋จื่อเฉียวก็แทรกเข้ามาด้วย

“วันนี้เก็บได้เยอะจริงๆ” เฟิ่งเป๋าเป่าเก็บขนใส่ในถุงตาข่ายแล้วก็ส่งยิ้มให้ทั้งสองคน “เท่านี้ก็พอแล้วล่ะ!ไม่ต้องจับแล้ว”

“ศิษย์น้องจะกลับแล้วรึ” อู๋จื่อเฉียวถาม

เฟิ่งเป๋าเป่าก้าวยาวๆ กลับ “ข้าต้องเร่งงาน อีกสองวันก็จะออกเดินทางไปกับท่านพ่อแล้ว ไม่รีบไม่ได้”

“ศิษย์น้องช่างดีกับคุณหนูใหญ่สำนักหลิ่วเยวี่ยจริงๆ นะ” อู๋จื่อเฉียวเดินตามทางด้านขวาของนาง

“แน่อยู่แล้ว! ศิษย์น้องไปฉลองวันไหว้พระจันทร์ที่บ้านนางสองปีติดต่อกัน ปีนี้นับเป็นครั้งที่สาม ก็ย่อมต้องสนิทสนมกันเป็นธรรมดา” เสิ่นหลินเดินทางซ้ายของเฟิ่งเป๋าเป่า พูดด้วยน้ำเสียงเข้าอกเข้าใจ

“ฉลองวันไหว้พระจันทร์ด้วยกันก็ไม่ได้หมายความว่าจะสนิทกันเสียหน่อย ข้ากับเจ้าก็ฉลองด้วยกันทุกปีไม่ใช่รึ แล้วเจ้าว่าความสัมพันธ์เราดีหรือร้ายล่ะ” อู๋จื่อเฉียวเหล่ตามองเสิ่นหลิน

เสิ่นหลินก็ถลึงตาใส่เขาอย่างไม่ยอมแพ้ “คนบางคนแม้แต่คำว่าศิษย์พี่ยังไม่ยอมเรียก ยังจะมีหน้ามาพูดเรื่องความสัมพันธ์ดีแค่ไหนอีก เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”

“ให้เรียกน่ะง่ายนิดเดียว ถ้าทำตัวเหมือนคนเป็นศิษย์พี่สักนิดข้าก็จะเรียก”

“หยุด!” เฟิ่งเป๋าเป่าหยุดเดินกะทันหัน มองพวกเขาอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด “พวกท่านเป็นอะไรกันเนี่ย ก่อนหน้านี้ก็ยังดีๆ อยู่เลยไม่ใช่หรือ เหตุใดพักนี้ชอบค่อนแคะอีกฝ่ายเสียจริง”

เสิ่นหลินกับอู๋จื่อเฉียวสบตากันแวบหนึ่งแล้วก็ชักสีหน้าพร้อมกัน

พวกเขาไม่ได้เป็นอะไรหรอก ก็แค่คนสองคนอยากจะเอาใจคนคนเดียวกัน ต่างก็อยากจะได้รับความสนใจมากกว่าอีกฝ่าย ซึ่งแน่นอนว่านับวันความขัดแย้งก็ยิ่งมากขึ้น

ไข่มุกในอุ้งมือของสกุลเฟิ่งอย่างเฟิ่งเป๋าเป่าเป็นศิษย์น้องคนเล็กสุดที่เติบโตมาพร้อมกับพวกเขาตั้งแต่เล็ก แต่ไหนแต่ไรมาเสิ่นหลินก็ชอบเล่นอยู่ข้างกายนางเสมอ ส่วนอู๋จื่อเฉียวเดิมทีไม่แสดงออกมากนัก แต่พักหลังๆ ก็เริ่มคอยตามเฟิ่งเป๋าเป่าเช่นกัน คอยหาทางแทรกเท้าเข้ามาทุกเรื่อง ทำให้พี่ใหญ่เสิ่นหลินไม่พอใจเอาเสียเลย

“พวกข้าไม่ได้เป็นอะไร แค่คิดถึงว่าศิษย์น้องเดินทางไปคราวนี้ก็ตั้งอีกสองเดือนกว่าถึงจะกลับ ช่วงนี้ในบ้านคงอึดอัดแย่ ก็เลยอดต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายไม่ได้” อู๋จื่อเฉียวฝีปากว่องไวกว่าเสิ่นหลิน รีบตอบอย่างรวดเร็ว หวังจะปลอบใจเฟิ่งเป๋าเป่า

“ไม่สนพวกท่านแล้ว ข้าไปทำงานดีกว่า“ พูดจบนางก็เลิกสนใจคนทั้งสองแล้วเดินตรงไปด้านหน้า

อันที่จริงเฟิ่งเป๋าเป่าย่อมรู้ว่าคนทั้งสองเป็นอะไร ศิษย์พี่แปดแสดงออกชัดเจนว่าชอบนางมาตั้งนานแล้ว ส่วนศิษย์พี่เก้าอู๋จื่อเฉียวนั้นไม่รู้เหตุใดจู่ๆ ก็เข้ามามีส่วนร่วมด้วย คราวนี้ยิ่งไปกันใหญ่ วันๆ ทะเลาะกันจนนางไม่ได้อยู่เป็นสุข โชคดีที่ทั้งสองคนไม่กล้าบุ่มบ่ามต่อหน้าท่านพ่อท่านแม่นาง ไม่อย่างนั้นท่านแม่อย่างมากก็ด่าแค่ประโยคสองประโยค แต่ถ้าไปถึงท่านพ่อต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ ไม่ว่าจะเป็นเสิ่นหลินหรืออู๋จื่อเฉียวก็ต้องถูกถลกหนังเป็นแน่แท้

อีกอย่างนางก็ไม่มีเวลาจะหาเรื่องคนทั้งสองแล้ว นางยังต้องทำเครื่องประดับอีก! กว่าจะรวบรวมขนนกล้ำค่ามาได้เป็นถุง อยากจะทำปิ่นปักผมให้หลิ่วอันเหอสักหน่อย

หลิ่วอันเหอเห็นแล้วต้องชอบแน่ เมื่อปีก่อนนางทำกระบี่สั้นอัญมณีเล่มหนึ่งให้ หลิ่วอันเหอชอบใจจนถึงขั้นวางไว้ข้างหมอนตอนนอน

เฟิ่งเป๋าเป่าอมยิ้มมุมปาก วิ่งกลับไปที่ห้องตัวเองอย่างอารมณ์ดีแล้วหยิบกล่องเครื่องมือมาเริ่มต้นทำงาน

คิดถึงหลิ่วอันเหอขึ้นมาก็อดที่จะคิดถึงพี่ชายของนางไม่ได้ พอคิดถึงพี่ชายของนางก็จะพานคิดถึงเรื่องนั้น…

ปีนั้นนางร้องไห้โฮทำอะไรไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่นานหลิ่วอันเหอก็ดึงออกไปข้างนอก ได้ยินว่าเขาจมอยู่ใต้น้ำนานจนเกือบจะเกิดเรื่องใหญ่ โชคดีที่ถูกพวกบ่าวรับใช้ลากออกมาจากน้ำได้ในที่สุด ส่วนที่ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นบ้างนางก็ไม่รู้ เพราะวันถัดมานางก็หนีหน้าไปไกลแล้ว

ปีที่แล้วท่านพ่อก็พานางไปค้างที่สำนักหลิ่วเยวี่ยอีก หลิ่วอันเหอไม่พูดถึงเรื่องนั้นเลยแม้แต่คำเดียว ส่วนพี่มู่ชิงก็คล้ายจะงานยุ่งเหลือเกิน ร่วมกินข้าวด้วยกันครั้งเดียวในคืนที่นางกับท่านพ่อมาถึง หลังจากนั้นก็หายไปไม่เห็นเงา ได้ยินมาว่าเขาเดินทางไปกับกิจการคุ้มภัยของสำนักบ่อยครั้ง ทำงานยุ่งจนไม่ได้อยู่บ้านเกือบครึ่งปี ก็คงจริงดังว่า เพราะใบหน้าที่เคยขาวผ่องนั้นดูคล้ำลงไปเล็กน้อย

ดูอย่างนี้แล้วเทศกาลไหว้พระจันทร์ปีนี้เขาก็คงยุ่งอีกตามเคย อันที่จริงเขาไม่ต้องอยู่บ้านจะดีที่สุด เพราะถึงแม้เรื่องจะผ่านมาสองปีแล้ว แต่ทุกวันนี้นางคิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาทีไรหน้าก็ยังแดงทุกที ช่วยไม่ได้ ภาพนั้นช่างมีอานุภาพโจมตีล้นเหลือ นางพยายามจะลืมแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จเสียที

ขอโทษนะพี่มู่ชิง ปีนี้ท่านอย่าอยู่บ้านเลยดีกว่า!

วิ้งวิ้ง…

กลางฤดูใบไม้ร่วงอากาศแสนสดชื่น ในป่านอกเมืองสายลมเย็นพัดโชยมาต่อเนื่อง เสียงใบไม้กรอบแกรบและเสียงร้องของจักจั่นดังไม่ขาดหู ทำให้คนฟังแล้วสบายอารมณ์ยิ่ง โดยเฉพาะหลังช่วงบ่ายยิ่งเร่งเร้าความง่วงงุน

ขบวนรถสายหนึ่งแล่นผ่านผืนป่าแห่งนี้

“นายน้อย” ชายวัยกลางคนเร่งม้าเข้ามาเทียบม้าที่คนหนุ่มขี่แล้วเอ่ยว่า “ทุกคนออกเดินทางกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ตอนนี้เลยเที่ยงวันแล้ว ท้องหิวกันไปหมด ดูท่าคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีกหนึ่งชั่วยามจึงจะถึงตำบลที่อยู่ข้างหน้า ถ้าอย่างไรเราหยุดพักที่นี่ กินอาหารแห้งพักผ่อนสักงีบดีหรือไม่ขอรับ”

ผู้ที่ถูกเรียกว่านายน้อยเป็นหนุ่มรุ่นอายุสิบแปดปี เสื้อผ้าทอหยาบสีเทาที่สวมใส่อยู่มิอาจบดบังรูปโฉมที่งดงามของเขาได้ ใบหน้านั้นเป็นสีน้ำผึ้งอ่อน ซึ่งเป็นผิวที่ได้มาจากการบ่มแดดทำให้กลิ่นอายหนอนหนังสือที่แสดงทั่วกายแฝงไว้ด้วยความห้าวหาญอยู่สามส่วน เลื่อนมาพิศดูสรีระ เรือนร่างสูงโปร่งนั้นมีไหล่กว้างกำยำ แต่ไม่บึกบึนจนเกินไป สองมือที่กุมสายบังเหียนอยู่เรียวยาวและมีพลัง ข้างเอวยังแขวนไว้ด้วยกระบี่ยาวสีหมึก มองแวบแรกอาจดูธรรมดาสามัญ ทว่าเมื่อพินิจให้ละเอียดกว่านั้นก็จะพบอัญมณีสีดำหลายเม็ดประดับอยู่บนฝักกระบี่ เม็ดที่ปลายด้ามจับเปล่งประกายดำวาว ศาสตราวุธที่หาได้ยากนี้สะท้อนถึงตัวตนที่ไม่ธรรมดาของผู้เป็นเจ้าของ

“ก็ได้ เราพักที่นี่สักครู่แล้วกัน” ชายหนุ่มเสื้อเทาตอบรับด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น ทันทีที่เขาพูดจบก็เห็นม้าที่มีคนขี่สิบกว่าตัวลากรถม้าสองคันที่อยู่ตรงกลางไปหาที่พักใต้ร่มไม้ ทุกคนทยอยกันผูกม้าเอาไว้ จากนั้นก็แยกย้ายไปนั่งหรือเอนหลังพักผ่อน

ชายหนุ่มรูปงามที่ออกคำสั่งก็คือหลิ่วมู่ชิง นายน้อยแห่งสำนักหลิ่วเยวี่ยนั่นเอง

เมื่อสองปีก่อนเขาได้รับโรงเตี๊ยมเม่าเหลียงมา ตอนสรุปบัญชีเมื่อปีกลายก็นับว่าพอจะได้กำไรแบบถูๆ ไถๆ อยู่บ้าง มารดาจึงมอบกิจการคุ้มภัยอีกแห่งหนึ่งให้เขาเพิ่ม เขาผลักดันให้ตัวเองติดตามมือคุ้มภัยเดินทางไปหลายรอบ แล้วถือโอกาสดูสินค้าตามที่ต่างๆ ระหว่างทาง คาดคิดไม่ถึงว่ายิ่งดูก็ยิ่งสนุก จึงเสนอจะติดตามบิดาไปเรียนรู้การซื้อสินค้าเสียเลย เขาต้องเดินทางไกล ผ่านประสบการณ์ตากแดดตากฝน ค้างแรมนอกเมือง แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นลำบากตรากตรำ แต่ก็ไม่อาจนับว่าเป็นงานสบายอย่างแน่นอน

ที่น่าแปลกก็คือเขาถูกแดดเผาจนผิวคล้ำไปทั้งตัวเช่นนี้ ทว่าท่านพ่อเขากลับยังคงขาวผ่องดุจหยกไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ยังได้ยินว่าเมื่อก่อนท่านพ่อออกจากบ้านก็มักค้างแรมที่โรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดเสมอ ไฉนพอพาเขาไปด้วยกลับพักส่งๆ ที่โรงเตี๊ยมนอกเมือง แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องเล่าทีหลัง ไม่เกี่ยวกับการซื้อสินค้าแต่อย่างใด

เมื่อเดือนก่อนบิดาเรียกเขาไปคุยต่อหน้า สั่งว่าต่อไปให้เขาซื้อสินค้าด้วยตัวเอง ส่วนกฎเกณฑ์การสั่งซื้อก็ไม่ต่างอะไรกับการดูแลจัดการร้านค้า บิดาลงสัญญาให้เขากู้ยืมเงินทุน ระบุให้เริ่มชำระคืนเป็นงวดภายในหนึ่งปี ส่วนเรื่องกำไรและขาดทุนน่ะหรือ ก็ย่อมต้องคิดบัญชีบนศีรษะเขาหลิ่วมู่ชิงตามเคย…

ฉะนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกเดินทางไกลเพื่อซื้อสินค้าตามลำพัง

“นายน้อย หลายวันมานี้ท่านเดินทางเหน็ดเหนื่อยแล้ว ขึ้นไปนอนบนรถม้าสักพักดีกว่าขอรับ ก่อนเดินทางข้าค่อยไปปลุก” อู่เอ๋อร์ช่วยประคองเขาลงจากม้าแล้วส่งกาน้ำให้พร้อมกระซิบเบาๆ

หลิ่วมู่ชิงกวาดตาดูรอบๆ คนในขบวนหากมิใช่กำลังกินดื่มก็นอนหลับอุตุ เขาทอดสายตามองไปไกลกว่านั้นก็เห็นภาพป่าทึบไกลสุดลูกหูลูกตา เขาดื่มน้ำไปเกินครึ่งกาแล้วหันไปบอกอู่เอ๋อร์ว่า “ข้าจะไปดูข้างหน้าหน่อย”

“ข้ากับลิ่วเอ๋อร์จะไปด้วย” ว่าพลางโบกมือให้ลิ่วเอ๋อร์

หลิ่วมู่ชิงส่ายศีรษะ “พวกเจ้าเฝ้าอยู่ข้างรถนั่นล่ะ ดูแลสินค้าชุดนั้นให้ดี ข้าไปดูครู่เดียวก็มา”

“แต่ว่า…” อู่เอ๋อร์ก้าวตามเจ้านายไปติดๆ

“พอที เลิกตามตลอดได้แล้ว หรือว่าแค่ข้าจะไปเวจ เจ้าก็จะตามไปด้วย” เขายิ้มอ่อนโยน เผยให้เห็นฟันขาวสะอาด แล้วโบกมือเป็นสัญญาณให้อู่เอ๋อร์ไปเฝ้ารถม้า

อู่เอ๋อร์ยังคงไม่อาจวางใจ แต่ก็ทำได้เพียงเฝ้ามองนายน้อยเดินไปทางป่า เขากับลิ่วเอ๋อร์เป็นบ่าวรับใช้ที่หัวหน้าสำนักหลิ่วเยวี่ยทั้งสามีภรรยาอบรมสั่งสอนมาด้วยตัวเอง หากจะบอกว่าเป็นบ่าวรับใช้ สู้บอกว่าเป็นมือซ้ายมือขวาที่หัวหน้าสำนักหลิ่วเยวี่ยคัดเลือกมาให้นายน้อยจะเหมาะกว่า พวกเขาคนหนึ่งถนัดบุ๋น อีกคนหนึ่งชำนาญบู๊ กล่าวว่าคัดเลือกมาจากหนึ่งในพันคนก็ไม่เกินไปนัก

ตั้งแต่เล็กๆ อู่เอ๋อร์ก็อ่านบทกวีคล่องแคล่วทั้งยังคิดคำนวณเชี่ยวชาญ ส่วนลิ่วเอ๋อร์ก็เป็นยอดฝีมือด้านศิลปะการต่อสู้มาแต่กำเนิด ใช้อาวุธได้หลากหลายประเภท หากตั้งใจต่อสู้ขึ้นมา นายน้อยคงมิอาจสู้ได้ แน่นอนว่าฝีไม้ลายมือของอู่เอ๋อร์ก็ใช่จะอ่อนด้อย ถึงแม้จะเทียบนายน้อยกับลิ่วเอ๋อร์ไม่ได้ แต่ก็เป็นคนมีฝีมือในระดับใกล้เคียงกัน ดังนั้นก่อนออกเดินทางครั้งนี้ หัวหน้าสำนักจึงแอบสั่งเป็นการส่วนตัวว่าห้ามทั้งสองคนออกห่างจากนายน้อยแม้แต่ครึ่งก้าว จักต้องรักษาความปลอดภัยของนายน้อยให้จงได้

“นายน้อยล่ะ ข้าขยับที่ทางบนรถม้าไว้แล้ว ให้เขาไปงีบหลับพักผ่อนได้” ลิ่วเอ๋อร์เดินเข้ามาถาม พอเห็นอู่เอ๋อร์ยื่นมือชี้ไปยังเงาร่างสูงโปร่งที่เดินไกลออกไปในป่าก็อดเดือดดาลไม่ได้ “เหตุใดเจ้าถึงปล่อยให้นายน้อยเดินไปคนเดียวเล่า?!”

“นายน้อยบอกว่าจะไปเวจ ให้พวกเราเฝ้าสินค้าเอาไว้ให้ดีก็พอ” อู่เอ๋อร์ตอบ สินค้าชุดนี้ขนส่งยากลำบากจริงๆ นายน้อยคอยดูแลอย่างระวังมาตลอดทาง ขนาดฝนตกคนยังไม่ไปหลบฝน แต่กลับเป็นห่วงว่าสินค้าบนรถจะเปียกชื้น ใครๆ ก็ดูออกว่าเขาไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดขึ้นแม้แต่นิดเดียว

“สินค้าจะสำคัญกว่านายน้อยได้ยังไง! ไม่ได้การ เขาเดินไปไกลขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ข้าจะตามไปดู” ลิ่วเอ๋อร์กระชับดาบยาววิ่งตามไปทางดงป่า

“เป็นห่วงถึงเพียงนี้เชียวรึ กลัวว่านายน้อยจะถูกเสือกินหรือไร” ชายกลางคนที่เสนอให้หลิ่วมู่ชิงพักเมื่อครู่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ถ่มน้ำลายออกมาทีหนึ่ง ถามอู่เอ๋อร์ด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

อู่เอ๋อร์เหลือบมองเขาทีหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์

คนผู้นี้แซ่จางชื่อว่าเถี่ย เป็นหัวหน้าใหญ่ของกิจการคุ้มภัย อยู่ต่อหน้าหลิ่วมู่ชิงก็พินอบพิเทา เอ่ยเรียกนายน้อยอย่างนั้นนายน้อยอย่างนี้ แต่พออยู่ลับหลังกลับคอยจงใจเหน็บแนมเสมอ อู่เอ๋อร์เดินทางมาครั้งนี้ก็รู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในใจนานแล้ว

“นายน้อยวิชาดาบล้ำเลิศ ถึงจะมีเสือจริงๆ ก็ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก ที่กลัวก็กลัวคนซุ่มโจมตีมากกว่า ข้าว่านะ ความชั่วร้ายในใจคนยังน่ากลัวกว่าเสือมากนัก” อู่เอ๋อร์ตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

จางเถี่ยคลุกคลีอยู่ในยุทธภพมานานหลายปี พบเจอผู้คนมาหลากหลาย มิได้เห็นถ้อยคำประชดประชันของอู่เอ๋อร์อยู่ในสายตาเลย ฟังจบก็เพียงแต่หัวเราะด่าว่า “เจ้าลูกกระต่าย”

อู่เอ๋อร์ยิ่งโมโหกว่าเดิม คนในกิจการคุ้มภัยมักเรียกพวกเขาว่าลูกกระต่ายเป็นประจำ แค่แซวเขากับลิ่วเอ๋อร์ก็ยังไม่เท่าไร แต่ไฉนแม้แต่นายน้อยก็ยังถูกหัวเราะเยาะไปด้วยเล่า! ติดที่การเดินทางไกลครั้งนี้จะไม่พึ่งมือคุ้มภัยอย่างพวกเขาก็ไม่ได้ ช่างน่าอึดอัดเสียนี่กระไร! โชคดีที่พ้นแนวป่านี้ไปก็จะเข้าสู่เขตเจียงซูแล้ว ถึงตอนนั้นก็จะมีคนของสำนักหลิ่วเยวี่ยมาช่วยตลอดทาง ไม่ต้องคอยเฝ้ามองสีหน้าของคนพวกนี้อีก

“จางเถี่ย จะไปคุยกับพวกเขาทำไมเล่า คนเขากายเนื้อทองคำ ไม่มีอะไรต้องข้องแวะกับพวกเราหรอก มีอะไรต้องพูดคุย!” ชายชราที่ฟันดำเต็มปากแสยะยิ้มอย่างหยาบคาย แคะฟันไปขณะที่พูด

อู่เอ๋อร์ทำเป็นหูหนวกตาบอดไม่สนใจไปเสีย นายน้อยกำชับไว้ว่าอย่าขัดแย้งกับคนของกิจการคุ้มภัย เขาไม่อยากทำให้นายน้อยลำบากใจ แม้จะรู้สึกคับข้องใจแทนนายน้อยเหลือเกิน

มือคุ้มภัยพวกนี้ชอบนินทาลับหลังว่านายน้อยบอบบางทนความยากลำบากไม่ได้ และบอกว่านายน้อยไม่มีบุคลิกผู้นำโดยธรรมชาติเหมือนสามีภรรยาหัวหน้าสำนัก ทว่านายน้อยเพิ่งจะอายุสิบแปดปีเท่านั้น เหตุใดคนที่เยาะเย้ยเขาถึงไม่คิดบ้างว่าตอนตัวเองอายุเท่านี้ยังทำอะไรอยู่ ดีไม่ดีเกิดมาก็คิดแต่จะหาเมียเท่านั้นกระมัง! ยิ่งไปกว่านั้นนายน้อยอ่านตำราฝึกวรยุทธ์ ศึกษาการค้ามาเป็นเวลานาน หลายปีมานี้เริ่มดูแลกิจการก็ขยันขันแข็งทุกวันไม่มีเกียจคร้าน ความยากลำบากนี้มิใช่เรื่องที่คนนอกจะเข้าใจ…

ว่าแต่…เหตุใดนายน้อยกับลิ่วเอ๋อร์ยังไม่กลับมาอีก

สายลมเย็นหอบหนึ่งพัดมา ท่ามกลางพงไพร ชายฉกรรจ์สิบกว่าคนบ้างนอนบ้างนั่ง ผล็อยหลับไปเกินครึ่ง แม้แต่ม้าก็ยังสะบัดหางอย่างเอื่อยเฉื่อย

อากาศยามบ่ายในฤดูใบไม้ร่วงช่างน่านอนเสียนี่กระไร…

ทันใดนั้นเองม้าหลายตัวก็ย่ำเท้าพร้อมกันเบาๆ ราวกับมิได้ใส่ใจ

จางเถี่ยรวมถึงชายฉกรรจ์หลายคนคว้าจับอาวุธทันที ชั่วเวลาเพียงประกายไฟแลบ ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากทุกทิศทุกทางคล้ายระเบิด บ้างก็โดดออกมาจากหลุมพรางตัว บ้างก็กระโจนลงมาจากยอดไม้สูง และหลายคนโก่งคันธนู พริบตานั้นได้ยินเพียงเสียงสวบสาบ ม้าทุกตัวย่ำเท้าสับสนส่งเสียงร้องอึกทึก!

“มีคนซุ่มโจมตี! ทุกคนจับคู่หลังชนกัน! ระวังธนูด้วย!” จางเถี่ยตะโกนทันที

ชายฉกรรจ์ของกิจการคุ้มภัยทั้งหมดต่างชักอาวุธออกมาอย่างรวดเร็ว สองคนประกบเป็นหนึ่ง อู่เอ๋อร์เพิ่งจะชักดาบยาวออกมาก็ถูกคนคว้าตัวไปอย่างไว หันกลับไปเห็นเป็นจางเถี่ย

“ข้าคุ้มกันเอง เจ้ารีบพานายน้อยหนีไป ถ้าเขาไม่ยอม เจ้ากับลิ่วเอ๋อร์ก็ทำให้เขาสลบแล้วแบกไปซะ”

อู่เอ๋อร์อึ้งไปชั่วขณะ มองเขาอย่างแปลกใจ “แล้วพวกเจ้าล่ะ”

จางเถี่ยสบถด่า “ยังมีเวลาห่วงคนอื่นอีกรึ! เอาเป็นว่าเจ้าได้ตัวนายน้อยแล้วก็รีบไสหัวไปซะ ดูสถานการณ์ไม่สู้ดีเท่าไร ถ้าเขาเป็นอะไรไปแม้แต่นิดเดียว ข้าจะมีหน้าไปเจอนายท่านได้อย่างไร!”

ระหว่างที่พูดสองฝ่ายก็เริ่มเปิดฉากสู้รบกันดุเดือด คนทางฝั่งจางเถี่ยล้วนดุดันห้าวหาญ ทว่าอีกฝ่ายได้เปรียบในเรื่องจำนวนคน แทบจะเป็นการสู้แบบสามต่อหนึ่งด้วยซ้ำ ประกอบกับบนต้นไม้ยังมีมือธนูคอยยิงโจมตีไม่หยุดหย่อน สถานการณ์อันตรายอย่างยิ่ง…

อู่เอ๋อร์หลบไปทางด้านข้างโดยมีจางเถี่ยคุ้มกันตลอดทาง เขาคลานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเองก็เห็นคนคนหนึ่งเข้ามาประชิดตัวด้านหน้า เขากำลังจะแทงดาบสวนไปแล้ว ก่อนจะพบว่าเป็นลิ่วเอ๋อร์

“เร็ว ตามข้ามา!” ลิ่วเอ๋อร์ดึงเขาขึ้นมา

ภายในป่า กลุ่มของจางเถี่ยตกอยู่ในการต่อสู้อันดุเดือด จังหวะที่กำลังฆ่าฟันกันเลือดพล่าน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงขลุ่ยที่ดังเป็นพิเศษ กลุ่มคนที่ซุ่มโจมตีนั้นต่างหยุดชะงัก สีหน้าประหลาดใจเป็นล้นพ้น

นี่มันเสียงสัญญาณให้ถอนทัพไม่ใช่หรือ ขณะที่ทุกคนกำลังลังเลก็ได้ยินเสียงขลุ่ยแบบเดียวกันดังขึ้นอีกครั้ง แปลกจริง กำลังจะชนะอยู่แล้ว! เหตุใดจู่ๆ ถึงให้ล่าถอยล่ะ

สองฝ่ายรบรากัน การหยุดชะงักเพียงครู่ก็พลิกสถานการณ์ได้

คนของจางเถี่ยรีบฉวยโอกาสกระชากมือธนูหลายคนลงมา ท่ามกลางความโกลาหล เริ่มมีคนของอีกฝ่ายตะโกนว่าล่าถอย

“เฮ้! ไหนบอกว่าหลังจากเสียงขลุ่ยดัง อย่างมากสองครั้งพวกเขาก็จะล่าถอยแล้วไง ตอนนี้ดูแล้วเสียงขลุ่ยคงไม่ได้ผล!”

เสียงกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้น ทุกคนต่างหยุดชะงักแล้วหันมองไปทางเสียง เห็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งคนหนึ่งคุมตัวชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเนิบนาบออกมาจากดงป่า

นายน้อย! จางเถี่ยคิ้วกระตุก

“ยังไม่ถอยอีก? หรือว่าอยากให้สหายหัวกับตัวขาดจากกัน” หลิ่วมู่ชิงสีหน้าเย็นเยียบ สายตาแผดเผากลุ่มคน กระบี่ยาวในมือกดแน่นบนลำคอของชายวัยกลางคน เห็นได้ชัดว่าบาดเป็นรอยแผลเส้นหนึ่งแล้ว

ที่แท้หลิ่วมู่ชิงเห็นว่าผืนป่าแห่งนี้หนาทึบมาก รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ จึงออกไปสำรวจภูมิศาสตร์ตามลำพัง จากนั้นก็พบม้าหลายตัวผูกอยู่ห่างๆ มีคนคนหนึ่งรออยู่ข้างๆ คล้ายเฝ้าอะไรอยู่ เขายังไม่ทันจะได้สำรวจให้ละเอียดก็พลันได้ยินเสียงต่อสู้ดังมาจากที่ไกลๆ กำลังคิดจะกลับไปช่วยก็ถูกลิ่วเอ๋อร์ที่ตามมาทันห้ามไว้ ทั้งสองจึงหันไปจับตัวคนที่นั่งรอคนนั้นแล้วบังคับให้เป่าสัญญาณออกคำสั่งล่าถอย

“เฮ้ ฟังให้ดีนะ!” หลิ่วมู่ชิงตะเบ็งเสียงดังขึ้น “ม้าของพวกเจ้าถูกข้าปล่อยไปหมดแล้ว ถึงจะปล้นสินค้าชุดนี้ได้ก็ไปได้ไม่ไกล…”

“แล้วยังไงล่ะ“ คนที่ถูกจางเถี่ยกดคอหอยอยู่พูดตัดบทหลิ่วมู่ชิง “ป่าภูเขาแถบนี้พวกข้าหลับตาเดินก็ยังหนีออกไปได้ ฆ่าพวกเจ้าทั้งหมดฝังไว้ที่นี่ซะ แล้วค่อยไปหาม้าพวกนั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย”

“ดี ใจกล้าดี” หลิ่วมู่ชิงมองอีกฝ่ายแล้วพูดต่อว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ คิดว่าพวกเจ้าก็คงเตรียมใจที่จะสูญเสียทุกอย่างมาแล้วสินะ ถึงได้ไม่กลัวที่จะเป็นศัตรูกับสำนักหลิ่วเยวี่ยในภายหลัง เจ้าไม่กลัว ลูกน้องเจ้าก็คงไม่กลัว เจ้า เจ้า แล้วก็เจ้าต่างไม่กลัว ใช่หรือไม่” เขาจงใจจี้ถามเป็นรายคน ซึ่งคนที่ถูกจี้ถามก็ชะงักอย่างเห็นได้ชัด

“ทุกคนอย่าหลงกล โจรถ่อยคนนี้จงใจขู่เรา เรามีคนมากกว่า หนึ่งดาบหนึ่งคนแทงพวกมันตายหมดซะ ใครจะรู้ว่าเราเป็นคนทำ!”

หลิ่วมู่ชิงโตมาจนป่านนี้เพิ่งจะเคยถูกคนเรียกว่าโจรถ่อยเป็นครั้งแรก ทั้งโมโหทั้งรู้สึกขันในเวลาเดียวกัน แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดไม่ผิด ตอนนี้ยังมิกล้าประมาทศัตรู เขาปั้นหน้าเคร่ง พูดกับหัวหน้าคนนั้นว่า “สมองของเจ้าไม่ฉลาดเอาเสียเลย คนของข้าไปนำกำลังเสริมมาแล้ว ถึงยามคับขันพวกข้าจะถูกฆ่าตายหมด แต่พวกเจ้าไม่มีม้า ย่อมไปได้ไม่ไกล แล้วจะหนีกำลังเสริมของข้าไปได้อย่างไร”

อีกฝ่ายฟังจบก็เห็นลูกน้องหลายคนของตนต่างเผยสีหน้าลังเล เพลิงโทสะพลันปะทุ พูดอย่างไม่ยอมแพ้ “ห้ามใครคิดจะไปทั้งนั้น! ถ้าต้องตายทุกคนก็ตายด้วยกัน!”

 

 

(ติดตามต่อในเล่ม)

หน้าที่แล้ว1 of 27

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: