บทที่ 13
“ดีมาก ถ้าข้าทำเรื่องที่สร้างความกระวนกระวายใจให้เจ้าอีก ก็ทำอย่างเมื่อครู่นี้ บอกออกมาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ข้าอนุญาตให้เจ้าไม่เชื่อใจ แต่เจ้าต้องบอกให้ข้ารู้”
อี๋อวี้ยังจมจ่อมอยู่กลางความเจ็บปวดจับขั้วหัวใจในทีแรก พอได้ยินหลี่ไท่กล่าวจบ หลังเสียงสะอื้นไห้ดังต่อไปอีกเป็นเวลาสั้นๆ ก็หยุดลงฉับพลัน หญิงสาวซึ่งแขนขาอ่อนแรงปล่อยให้เขาอุ้มขึ้นวางลงบนเตียง ดึงผ้าห่มมาห่มถึงหน้าอก ก่อนหมุนกายไปหยิบผ้าจากที่วางอ่างน้ำตรงมุมห้อง
จวบจนผืนผ้าเย็นเฉียบสัมผัสข้างแก้ม อี๋อวี้ถึงตั้งสติได้ นางขบคิดคำพูดท้ายสุดของหลี่ไท่อย่างรวดเร็ว ดวงหน้าเล็กๆ ที่ผ่านการร้องไห้แดงก่ำเหยเกฉายความรู้สึกสลับสับเปลี่ยนกันไป ท้ายที่สุดก็หยุดอยู่ที่สีหน้าจะร้องไห้ก็ไม่ร้องไห้
“ท่าน…ท่านเจตนายั่วยุข้า?”
หลี่ไท่ไม่ตอบถือว่ายอมรับโดยปริยาย เขาเช็ดหน้าเช็ดตาที่เหนียวเหนอะหนะของนางแล้วโยนผ้าทิ้งลงบนโต๊ะเล็กตรงหัวเตียง นั่งหันข้างที่ขอบเตียง ฉวยแขนของนางมาวางนิ้วแตะข้อมือตรวจชีพจรให้ ต่อจากนั้นสอดมือข้างหนึ่งอ้อมหลังแล้วจับตัวนางพลิกลงนอนคว่ำหน้าบนตักโดยไม่บอกกล่าวให้รู้สักคำ
อี๋อวี้เพิ่งร้องไห้มายกหนึ่งก็อ่อนเพลียไปทั้งตัว นางยังไม่เข้าใจสถานการณ์อย่างชัดแจ้ง ก็รู้สึกเย็นวาบที่หัวไหล่ เสื้อตัวในหลวมโพรกเพรกบนร่างถูกเปลื้องลงมาครึ่งหนึ่งอวดลาดไหล่ นิ้วมือที่แตะลงบนไหล่ขวาทำให้หญิงสาวหน้าร้อนซู่ นางดิ้นขัดขืนตามสัญชาตญาณ แต่ขยับได้ไม่กี่ที ท้ายทอยก็ถูกตีด้วยน้ำหนักมือไม่แรงไม่เบาครั้งหนึ่ง
“นอนนิ่งๆ”
หลี่ไท่จับตามองรอยฟกช้ำปื้นใหญ่เท่าฝ่ามือที่ยังไม่เลือนหายไปบนไหล่ขวาของนาง เขาคิดขึ้นได้ว่านี่น่าจะเกิดจากการชนกระแทกที่หอเทียนอ่ายตอนฝนตกวันนั้น พาให้เขาหน้าบึ้งลงเล็กน้อย เม้มปากเป็นเส้นตรงขณะล้วงตลับเงินที่ส่งคนเข้าวังไปขอมาจากอกเสื้อ เปิดฝาควักยาขี้ผึ้งสีขาวน้ำนมก้อนหนึ่งมาบี้ตรงกลางฝ่ามือให้อ่อนลง จากนั้นเดินกำลังภายในวางมือทาบกับไหล่นางแล้วนวดคลึงช้าๆ เขาออกแรงมากขึ้นทีละน้อย ไม่ได้ยินเสียงนางร้องเรียกก็รู้ว่าไม่เจ็บแล้ว ถึงกระนั้นชายหนุ่มไม่พึงใจที่เห็นรอยแผลเพิ่มขึ้นบนตัวนางอีก เขาเบนสายตาไปจับอยู่ที่แผลเป็นสามรอยเห็นได้รำไรข้างลำคอนาง
“พวกที่ไปเป็นเบาะรองหลังให้คนอื่น ประเภทหนึ่งเรียกว่าคนโง่ อีกประเภทเรียกว่าเบาปัญญา”
“เอ๊ะ?” ฝ่ามือของเขาร้อนผะผ่าว น้ำหนักมือก็ชวนให้สบาย อี๋อวี้ตรึกตรองคำพูดประโยคสุดท้ายของเขาอยู่ ได้ยินเขาโพล่งคำนี้ขึ้น นางยังคิดตามไม่ทันในชั่วขณะจริงๆ ว่าโดนเขาด่าทางอ้อมแล้ว ทว่าการเคลื่อนไหวของมือเขากลับกระตุ้นความทรงจำที่ไม่ใคร่น่าอภิรมย์ของนางบางอย่าง วันนั้นฝนตก จ่างซุนซีคลุมเสื้อตัวนอกสีฟ้าอ่อนนั่งอยู่ในห้อง ส่วนหลี่ไท่สวมเสื้อตัวในดื่มชากับนางโดยไม่กลัวคำครหาสักนิด…
เพียงคิดถึงตรงนี้ ความหึงหวงก็แล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ นางสูดน้ำมูกแล้วจะข่มกลั้นไว้ก็ได้ยินเสียงพูดของเขา
“ที่พูดเมื่อครู่นี้รู้เรื่องแล้วใช่ไหม”
อี๋อวี้ไม่รู้จะตอบเช่นไร นางกลัวว่าสิ่งที่นางเข้าใจ มิใช่ความหมายอย่างที่หลี่ไท่ต้องการบ่งบอก
“ข้ายังพูดไม่ชัดเจนพอหรือ” หลี่ไท่ไม่ได้ยินนางเปล่งเสียงพูด เขาลูบผมที่กระดกขึ้นตรงท้ายทอยของนางให้เรียบ พลางกล่าวเสียงเนิบ “ข้าไม่อาจเดาใจเจ้าออกได้เสมอ อย่าคิดเหลวไหลฟุ้งซ่าน ถ้าเจ้าไม่สบายใจก็บอกข้าตามสัตย์จริง”
ตรงกับคำกล่าวที่ว่าผงเข้าตา ถ้อยคำของหลูซื่อชี้ให้เห็นชัดว่าปัญหาระหว่างหลี่ไท่กับอี๋อวี้อยู่ตรงไหน คนหนึ่งเงียบขรึมไม่ช่างพูด คนหนึ่งคิดมากช่างระแวง หากไม่อาจเปิดอกต่อกันได้ ต่อให้วันหลังเขากับนางไม่กินแหนงแคลงใจกัน ก็ต้องมีปมค้างคาใจอย่างเลี่ยงได้ยาก หลี่ไท่มีนิสัยเย็นชา ไม่คำนึงถึงจิตใจผู้อื่นมากนัก แต่อี๋อวี้กลับเป็นคนเอาใจเขามาใส่ใจเรา ทันทีที่ไม่ระวังก็จะตกในสภาพเช่นตอนนี้ ตรอมใจจนป่วยหนัก
เพียงแต่คำขอร้องให้เขาไปจากอี๋อวี้ของหลูซื่อในตอนท้าย หลี่ไท่กลับทำหูทวนลม ถึงอย่างไรถ้าอยากสางปัญหา มีหนทางถมเถไป วิธีเดียวที่เขาไม่เคยเอามาใคร่ครวญก็คืออย่างที่หลูซื่อบอก
หลี่ไท่ไม่เห็นนางแสดงปฏิกิริยาใดนานครู่ใหญ่ก็ไม่ร้อนใจ ก่อนเขาย่างเท้าผ่านประตูห้องนี้ก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าหนนี้ต้องทำให้นางเข้าใจให้จงได้ ถ้ายังฟังไม่รู้เรื่อง เขาไม่ถือสาที่จะพูดซ้ำอีกรอบ ก่อนหน้านี้เขาสังเกตเห็นช่องว่างระหว่างคนทั้งคู่แล้วแต่หาทางแก้ไขไม่ได้ บัดนี้พบทางออกแล้ว มีหรือจะรามือโดยง่าย
“หากยังไม่เข้าใจ ข้า…” เสียงของเขาชะงักไป เพราะสัมผัสถึงอาการสั่นเทาแผ่วเบาจากตัวหญิงสาว เบื้องหน้าสายตาชายหนุ่มเป็นท้ายทอยปกคลุมด้วยเรือนผมสีดำ ไม่เห็นสีหน้าสีตา เขาเลยผละฝ่ามือจากหัวไหล่นางแล้วดึงเสื้อขึ้น ออกแรงอุ้มตัวนางพร้อมกับผ้าห่มมานั่งบนตัก ใช้มือหนึ่งประคองหลังไว้ ขณะจะถอยห่างเพื่อพิศดูสีหน้า นางกลับหดคอซุกหน้าลงกับซอกไหล่เขา
“อย่าขยับ…”
หลี่ไท่ไม่ขยับอีก ลมหายใจชื้นๆ ร้อนๆ บนคอและวงแขนนุ่มนิ่มที่โอบหลังอยู่ทำให้ทุกส่วนบนหน้าเขาอ่อนละมุนลง เขากระชับสองแขนตรงกลางหลังนางให้อ้อมกอดนี้แนบแน่นขึ้นแทนหญิงสาวที่ร่างกายไร้เรี่ยวแรง และพันธนาการร่างแบบบางไว้ในอ้อมอกอย่างแน่นหนา ถึงขั้นไม่นำพาว่าจะรัดนางเจ็บหรือไม่ การเผยความในใจด้วยวาจา บางทีอาจไม่มีวันที่เขาจะสอบผ่านชั่วชีวิต แต่เขาจะชดเชยให้ทางอื่นเป็นสองเท่า
มักมีคนผู้หนึ่งอย่างนี้เสมอ แวบแรกที่คิดจะไม่รู้สึกถึงความลึกซึ้ง ทว่าเมื่อได้พินิจอย่างละเอียดถ้วนถี่ จะเห็นความดีของนางอย่างไร้ที่สิ้นสุด และพอรู้ตัวอีกทีก็ขาดนางไม่ได้แล้ว
หลูซื่อยกชามใส่น้ำออกจากห้องครัว เห็นหานลี่ยืนอยู่หน้าประตูห้องปีกตะวันตก นึกว่าเขาลอบฟังผู้เยาว์สองคนในห้องคุยกัน นางจึงเดินไปถลึงตาใส่เขา ก่อนยกมือเคาะประตู
“อวี้เอ๋อร์ ตื่นหรือยัง”
ได้ยินเสียงเรียกจากนอกประตู อี๋อวี้ถึงเอาหน้าถูกับสาบเสื้อของหลี่ไท่เพื่อเช็ดน้ำตาแล้วกระตุกสายคาดเอวของเขา ไม่คิดว่าเขาไม่เพียงไม่คลายมือออก ยังส่งเสียงไปนอกประตูคำหนึ่ง
“ยังไม่ตื่น”
หลูซื่อชะงักมือที่จะเปิดประตู หันหน้าไปเห็นหานลี่ขยิบตาให้แล้วโคลงศีรษะอย่างอดยิ้มไม่ได้ นางจึงพูดกับคนในห้อง
“อย่างนั้นก็นอนต่ออีกครู่เถอะ”
ช่วงเวลาแห่งความหวานชื่นบนโลกนี้มีอยู่มากมาย คู่รักคืนดีกันก็เป็นหนึ่งในนั้น
อี๋อวี้ถูกหลี่ไท่กอดไว้เต็มอ้อมแขน ทั้งยังได้ยินเขาพูดให้ความกระจ่างอย่างนั้น นางก็รู้สึกว่าอาการป่วยกระเตื้องขึ้นเกินกว่าครึ่ง สดชื่นกระฉับกระเฉงอย่างที่ไม่ได้เป็นมาหลายวันนี้ ลมหายใจอวลไปด้วยกลิ่นเครื่องหอมจากกายเขา แสนอบอุ่นเป็นสุขและใจสงบเหลือเกิน ไม่รู้ว่าทั้งคู่ตระกองกอดกันไปนานเท่าใด จนกระทั่งหญิงสาวจามทีหนึ่ง เขาถึงเอาผ้าห่มห่อตัวนางแล้ววางนางลงบนเตียงตามเดิม
หลี่ไท่เพิ่งเหน็บชายผ้าห่มให้นางเสร็จ เห็นมือเล็กๆ ขาวเนียนข้างหนึ่งลอดออกมาจากมุมผ้า ควานเปะปะมากำชายเสื้อยับยุ่งของเขาไว้เบาๆ เห็นปลายท่อนแขนกลมกลึงโผล่ออกมา เขาไล่สายตาขึ้นไปมองสบดวงตาสุกใสคู่นั้น เทียบกับตอนที่ร้องไห้ฟูมฟาย นางแจ่มใสมีชีวิตชีวาขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด เขากอบกุมมือข้างนั้นสอดเข้าใต้ผ้าห่มด้วยกันแล้วไม่ดึงกลับอีก มันทำให้ดวงตาของนางที่มองเขาเป็นประกายมากขึ้น สองแก้มเริ่มมีสีสันกว่าก่อนหน้านี้
“วันนั้นฝนตกที่หอเทียนอ่าย เจ้าหนีกลับไปด้วยความโกรธเคืองเป็นเพราะเหตุอันใด” หลี่ไท่เป็นพวกนักลงมือทำอย่างแท้จริง พูดจบก็ซักไซ้หาต้นเหตุที่อี๋อวี้ป่วยทางใจคราวนี้โดยไม่รอช้า
อี๋อวี้ทำตาหลุกหลิกไปมา นางเพิ่งรับปากเขาเป็นมั่นเหมาะ แต่ครั้นจะเอ่ยปากจริงๆ ก็เห็นว่าพูดออกมาแล้วดูใจแคบ ขณะสองจิตสองใจอยู่ เขาบีบมือนางแรงๆ ทีหนึ่ง ไม่เจ็บทว่าเพียงพอจะกระตุ้นความกล้าของหญิงสาวขึ้นมาได้ นางคิดอีกทีแล้วจ้องเขาตาเขม็งพลางกล่าว
“นี่ก็ไม่มีอะไรพูดไม่ได้ วันนั้นข้าไปหาท่านที่หอเทียนอ่าย เห็นท่านกับคุณหนูจ่างซุนอยู่ในห้องกันตามลำพัง ท่านเป็นว่าที่สามีข้า ข้าเห็นหญิงอื่นเอาอาภรณ์ของท่านมาคลุมตัว แล้วท่านก็นั่งอยู่กับนางโดยไม่เกรงคำครหาเลย ตอนข้ากับนางสองคนล้มลง ท่านไปพยุงนางก่อนค่อยมาพยุงข้า ซ้ำตอนหลังยังแตะเนื้อต้องตัวนาง เป็นธรรมดาที่ในใจข้าจะทรมานอย่างยิ่ง ไม่อยากทนดูต่อก็เลยหลบออกมา”
ก่อนหน้านี้ตอนเฉิงเสี่ยวเฟิ่งไปหาหลี่ไท่ที่หอตำรา เขาคิดออกแล้วว่าเรื่องนี้ต้องมีสาเหตุจากจ่างซุนซี พอได้ยินจากปากนางอีก ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดเขานึกไปถึงวันนั้นนางผลักประตูเปิดแล้วเจอเขาในหอผิ่นหง ต่อมานางเมาสุรานั่งอยู่บนรถม้าด้วยท่าทางทุกข์ใจ ตอนนั้นเขามัวสำราญใจเพราะคำว่า ‘รัก’ ของนาง บัดนี้คิดไป ยามนั้นนางก็ฝืนข่มอารมณ์ไว้อยู่
เมื่อมองดูดวงตาของนางที่ฉายรอยขุ่นเคืองอย่างปิดไม่มิดในชั่วขณะนี้ ประกอบกับถ้อยคำที่เสิ่นเจี้ยนถังเคยกล่าวไว้ว่า ‘หึงหวงเพราะรัก’ นั่น ชายหนุ่มก็อารมณ์ดีอย่างปราศจากเหตุผล แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้าแม้แต่น้อย ปกติเขาไม่ชมชอบพูดอธิบาย ครั้นตอนนี้ต้องบอกนางให้เข้าใจ เขาจึงหลุบดวงตาสีน้ำทะเลทั้งคู่ลงแล้วเริ่มตรึกตรอง
อี๋อวี้เห็นเขานิ่งเงียบไป นางเลิกหางคิ้วขึ้น แค่นเสียงฮึอย่างไม่พึงใจก่อนกล่าวว่า “คุณหนูจ่างซุนมีใจต่อท่าน ท่านไม่รู้จริงๆ หรือ ใช่ว่าข้าใช้ใจคนถ่อยวัดใจวิญญูชน นางอาศัยท่านท้าทายข้าหลายครั้งหลายหน วันนั้นที่หอเทียนอ่าย นางทำทีเล่นทีจริง จงใจแสดงว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับท่านให้ข้าดู ด้วยหมายจะสร้างความร้าวฉาน ขนาดข้ายังดูออก ท่านกลับหลงมารยาหญิงของนาง พลอยเล่นละครผสมโรงไปด้วย”
ทว่ากล่าววาจาจบ ตัวหญิงสาวเองก็ชักเฉลียวใจรางๆ สายตาที่มองหลี่ไท่ค่อยๆ เปลี่ยนไป อึดใจต่อมาถึงเอ่ยด้วยหน้าตาชอบกล “นี่…นี่ท่าน?”
“เจ้าคิดว่าสตรีที่ยังไม่ออกเรือนคนหนึ่งมีข่าวลือกับบุรุษที่จวนจะแต่งงาน ผู้เสียเปรียบจะเป็นฝ่ายไหน”
อี๋อวี้กระจ่างแจ้งแล้วนึกพรั่นใจระลอกหนึ่งทันใด ต่อหน้าผู้อื่นจ่างซุนซีวางตัวห่างเหินกับหลี่ไท่ แต่ลับหลังตั้งหน้าตั้งตาเข้ามาแทรกกลางระหว่างตนกับหลี่ไท่ เริ่มแรกนางยังมีความระวังระไว หาได้รู้ไม่ว่าหลี่ไท่แค่คล้อยตามนางนิดๆ หน่อยๆ ก็ทำให้นางย่ามใจและลดความระแวงลง ถ้าหลี่ไท่ใจดำมากพอ ทำแบบนี้อีกหนสองหน ก็จะสามารถผลักหญิงงามล้ำหล้าผู้นี้ลงสู่หุบเหวลึกหมื่นจั้งได้แล้ว
หลี่ไท่นั้นหมายปองบัลลังก์และกำลังจะตบแต่งนางเป็นชายา เท่ากับยืนอยู่คนละข้างกับสกุลจ่างซุนแล้ว เขากระทำสิ่งที่เหมือนตบหน้าชาวสกุลจ่างซุนฉาดใหญ่เช่นนี้ กลับไม่มีคนหาเรื่องค่อนแคะได้สักนิด
อี๋อวี้มองบุรุษตรงหน้าอย่างเหม่อลอย อารมณ์หึงหวงก่อนหน้ามลายหายวับไป ในเพลานี้นางถึงกับบังเกิดความเห็นอกเห็นใจจ่างซุนซีอย่างน่าขัน
หลี่ไท่คิดไปถึงเรื่องใดก็สุดรู้ เขาชำเลืองมองไปทางซี่หน้าต่าง แววอ่อนโยนในดวงตาเปลี่ยนเป็นเย็นชาทีละน้อย ไม่รู้ว่าเขาพูดกับตนเองหรืออี๋อวี้
“การผูกไมตรีในใต้หล้านี้ล้วนหนีไม่พ้นการใช้เป็นเครื่องมือ แตกต่างกันที่บางคนประจักษ์ดีว่าเวลาไหนสมควรใช้ประโยชน์จากใคร แต่บางคนกลับไม่ล่วงรู้ถึงอันตรายของมัน”
อี๋อวี้มองดูดวงหน้าที่ทั้งแปลกตาทั้งคุ้นตานี้ของชายหนุ่ม อดนึกไปถึงคำกล่าวของเหยาอีตี๋กลางสายฝนวันนั้นไม่ได้ นางรู้เสมอมาว่าหลี่ไท่ไม่ใช่คนดีตามความหมายทั่วไป คนผู้นี้เลือดเย็น แล้งน้ำใจ และโหดร้าย บางทีเหยาอีตี๋อาจพูดถึงหลี่ไท่ได้แม่นยำเก้าส่วน หรือบางทีนางอาจเคยเห็นหลี่ไท่เพียงส่วนเดียว กระนั้นสำหรับนางแล้ว หนึ่งส่วนนี้กับเก้าส่วนนั้นล้วนเป็นหลี่ไท่ก็เพียงพอแล้ว
“ท่านเคยสนิทสนมกับพวกชาวสกุลจ่างซุนมิใช่หรือเจ้าคะ” อาจเป็นได้ว่าคำพูดของหลี่ไท่ช่วยสร้างความมั่นใจให้นางได้ ดังนั้นในเมื่อถามแล้ว นางก็ถามเสียให้พอในคราวเดียว
“สนิทสนม?” หลี่ไท่เบือนหน้ามา เขาหยุดเว้นจังหวะคล้ายใคร่ครวญความนัยของคำนี้ “ใครบอกกับเจ้าว่าข้าสนิทสนมกับพวกเขา”
อี๋อวี้ไม่กล้าบอกชื่อเฉิงเสี่ยวเฟิ่ง นางเบะปากกล่าว “ทักษะหมากล้อมของคุณหนูสาม ท่านเป็นคนสอนไม่ใช่หรือ”
หลี่ไท่มองนางปราดหนึ่ง “ตอนนั้นที่ข้าพาพวกเจ้าแม่ลูกจากสู่จงกลับมาด่านใน ได้รับพิษฝันร้ายก็เลยพักรักษาตัวในอุทยานซิ่งหยวน เวลาเบื่อหน่าย ย่อมต้องหาอะไรทำฆ่าเวลาอย่างช่วยไม่ได้”
อี๋อวี้ได้ยินเขาพูดสั้นๆ ง่ายๆ ทุกถ้อยคำ เป็นการบ่งบอกว่าไม่เคยมีเยื่อใยไมตรีใดๆ ในอดีตกับจ่างซุนซีจริงๆ ส่วนลึกของจิตใจย่อมยินดีปรีดาเป็นธรรมดา นางจึงมีแก่ใจสัพยอกเขา
“แล้วตอนนั้นท่านสอนข้าเดินหมากยิงธนูในคฤหาสน์ลับคงเป็นการฆ่าเวลาเช่นกันสินะ”
“ไม่ใช่” หลี่ไท่ปฏิเสธทันที เขาหวนรำลึกช่วงเวลานั้นด้วยสีหน้าเป็นปกติ ก้มหน้าลงมองนาง “ว่าไปแล้วก็น่าแปลกโดยแท้ แต่ไรมาข้าไม่ชมชอบสุงสิงกับใคร กลับพึงใจที่ได้ใกล้ชิดเจ้า”
อี๋อวี้อายจนหูแดงเพราะคำกล่าวนี้ ถ้อยวาจาจากปากเขาทำให้นางรู้สึกว่าตนเองแตกต่างจากคนอื่น พาความหวานชื่นเอ่อท้นหัวใจ นางส่งเสียงอือออในลำคอแล้วหลุดปากอย่างใจกล้า “ข้าก็ไม่ชมชอบให้ท่านใกล้ชิดกับคนอื่น ท่านอย่าทำอย่างนั้นกับคุณหนูจ่างซุนอีกได้หรือไม่เจ้าคะ”
“อื้อ”
ไหนเลยจะรู้ว่าเขาจะรับคำโดยไม่กะพริบตา อันที่จริงนางพูดออกมาแล้วเสียใจทีหลังทันควัน หลี่ไท่เป็นใคร นางแจ่มแจ้งดีที่สุด บุรุษที่ยึดมั่นกับเป้าหมายอย่างแรงกล้าผู้หนึ่ง การบอกให้เขาปล่อยมือจากการค้าขายที่มีแต่ได้ไม่มีเสียนั้นเป็นไปไม่ใคร่ได้ ด้วยเหตุนี้มีกระแสอารมณ์ผิดแปลกไปไหลรินผ่านใจหญิงสาว ชั่ว ณ เวลานี้นางเพิ่งทำความเข้าใจกับถ้อยคำที่หลี่ไท่พูดเพื่อสร้างความมั่นใจให้นางอย่างถ่องแท้เป็นคราแรก ตรงกลางอกอุ่นผะผ่าวละม้ายได้ผิงกองไฟ ปมค้างคาในความสัมพันธ์ระหว่างกันล้วนคลี่คลายในอึดใจ
“พูดจริงนะเจ้าคะ ห้ามบิดพลิ้ว”
หลี่ไท่เห็นรอยยิ้มที่กลั้นไม่อยู่บนหน้านาง แม้นยังซีดเซียวอิดโรย แต่สีหน้าดีขึ้นมาก เขาส่ายหน้าตอบ “ไม่”
นี่ก็ไม่มีอะไรน่าบิดพลิ้ว ถ้ารู้มาก่อนว่านางเกลียดชังเรื่องพรรค์นี้ถึงเพียงนี้ เขาคงไม่ทำแต่แรกจนเป็นต้นเหตุให้นางล้มป่วยหนนี้ กลับส่งผลเสียมากกว่า
อี๋อวี้ดีอกดีใจครู่หนึ่งแล้วหุบยิ้ม เล่าเหตุการณ์ที่พบเหยาอีตี๋นอกหอจวินจื่อในวันประชันศาสตร์เขียนอักษรให้หลี่ไท่ฟัง ยกเว้นเรื่องเจ้าหนุ่มนั่นแทะโลมตนกับคำนินทาว่าร้ายหลี่ไท่แล้ว นางบอกจนหมดโดยไม่กริ่งเกรงเลี่ยงหลบรวมถึงที่เขาพูดว่าสาเหตุการตายของตงฟางหมิงจูมาจากหลี่ไท่
หลี่ไท่ฟังแล้วสงบนิ่งมาก มีเพียงสายตาที่มองอี๋อวี้แฝงรอยลังเลอยู่บ้าง ครั้นนางสังเกตเห็นก็ชั่งใจชั่วครู่ก่อนกล่าว “ข้าแค่บอกกับท่าน เสียงเล่าลือในเมืองหลวงแพร่สะพัดรวดเร็ว ใครจะรู้ว่าวันหน้าจะถูกประณามหรือไม่ พวกเราระวังป้องกันไว้ก่อนเป็นการดี ไม่ว่าอย่างไร คนก็ตายไปแล้ว ท่านไม่อยากเอ่ยถึง เช่นนั้นพวกเราก็ไม่พูดถึงนาง”
นางไม่ค่อยอยากสนทนาเรื่องของตงฟางหมิงจูเช่นกัน ด้วยรู้สึกไม่วายว่าตนติดค้างสตรีนางนั้น จะอย่างไรอีกฝ่ายกับหลี่ไท่มีสัญญาหมั้นหมายกันก่อน จนใจที่ตงฟางหมิงจูลาลับจากโลกนี้ไป คงได้แต่รองานมงคลเสร็จสิ้น นางค่อยจุดธูปเซ่นไหว้ทุกวันชิงหมิง* ถือเป็นการปลอบประโลมดวงวิญญาณผู้ล่วงลับ
“ตงฟางหมิงจูยังไม่ตาย”
“เอ๊ะ?” อี๋อวี้ตกตะลึง
“ตงฟางโย่วเป็นคนของป้อมปราสาทแดง แต่มิใช่สกุลเดียวกัน ส่วนตงฟางหมิงจูแท้จริงแล้วเป็นบุตรสาวลับๆ ของธิดาเผ่ากับตงฟางโย่ว ศพในพิธีส่งศพวันนั้นเป็นตัวปลอม ตงฟางหมิงจูตัวจริงถูกรับกลับป้อมปราสาทแดงไปแล้ว”
เพราะตกใจเกินไป อี๋อวี้จึงนิ่งงันไปนานสองนานกว่านางจะค้นหาเสียงตนเองพบ
“ประเดี๋ยวก่อน ท่านรู้ตั้งแต่เมื่อไรเจ้าคะ”
“…สามปีที่แล้ว”
เพราะเขารู้ว่าธิดาเผ่าของป้อมปราสาทแดงล้ำค่าปานใด ดังนั้นตอนเลือกชายา เขาเลยมั่นใจได้ว่าตงฟางหมิงจูไม่มีวันได้แต่งเข้าวังเว่ยอ๋อง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 06 พ.ค. 63
Comments
comments
No tags for this post.