X
    Categories: 14 วัน 14 เรื่องทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ลำนำรักเจ้านาวา ชุด หัวใจเจ้าทะเล

หน้าที่แล้ว1 of 36

บทนำ

 

งานเลี้ยงวสันต์บุปผาพรรณแดงเขียว

งามสะพรั่งจริงเชียวโปะแป้งหนา

ภรรยาผู้ใดพิงประตูตั้งตารอ

สามีใครหนอไม่ยอมกลับเรือน

 

บทกวีไร้ชื่อผู้แต่งถูกเขียนลงบนผนังหอสุรา ผู้คนที่มาร่ำสุราหาความสำราญที่นี่ มีไม่กี่คนที่จะสังเกตเห็นบทกวีไร้นามบนพื้นที่เล็กๆ นี้ เนื่องจากบนผนังของหอสุรานี้เต็มไปด้วยบทกวีที่นักดื่มขาจรขีดเขียนเอาไว้ยามเมามาย

กลอนบทสั้นๆ อยู่ท่ามกลางบทกลอนมากมาย ยากที่จะดึงดูดความสนใจจากนักดื่มจริงๆ โดยเฉพาะนักเลงสุราที่ดื่มสุราแล้วดวงตาทั้งคู่ล่องลอย ทว่าในตอนนี้กลับมีนักเลงสุราหนวดเฟิ้มรายหนึ่งกอดไหสุราพลางจ้องบทกวีไร้นามบทนั้นด้วยความสนอกสนใจ

ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เขานั่งอยู่หน้าบทกวีไร้ชื่อนี่พอดี ใครใช้ให้เขามาดื่มสุราที่นี่เพียงลำพัง ใครใช้ให้เขาเป็นนักเลงสุราตัวฉกาจที่ดื่มพันจอกก็ไม่รู้จักเมา และได้แต่จ้องมองมันในสถานการณ์ที่กำลังเบื่อหน่ายสุดขีดนี้กันเล่า

คนที่เขียนกลอนบทนี้ลายมืองดงามยิ่งนัก กอปรกับความหมายเหน็บแนมเล็กน้อยระหว่างบรรทัดตัวอักษร แค่มองก็รู้ว่าคนเขียนคือสตรี แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดตอนนั้นนางจึงมาที่หอสุราแล้วหยิบพู่กันเขียนบทกวีไร้นามบทนี้

นางออกเรือนแล้วหรือ หรือมาตามสามีที่ไม่กลับบ้านที่นี่ เขาคาดเดาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

ชายหนุ่มกรอกเหล้าอีกอึกหนึ่งด้วยท่าทางโงนเงน เขากำลังจ้องกลอนบทนั้น รู้สึกว่า…สตรีที่มีความสามารถในการประพันธ์มากไปก็ไม่ดี อย่างพี่สาวคนโตของเขาที่คล้ายบุรุษ อย่างพี่สะใภ้ใหญ่ของเขาที่เป็นคนอารมณ์ร้อน ถ้าหากไม่ได้แต่งกับสามีที่เหมาะสมกัน ก็จะกลายเป็นหญิงเก่งกาจคู่กับสามีไม่เอาไหน ยากที่จะได้ครองคู่กันอย่างราบรื่นกระมัง

เฮ้อ เขาคงจะเบื่อมากเกินไป เป็นถึงบุรุษร่างสูงใหญ่แต่กลับคิดฟุ้งซ่านกับกลอนไร้ชื่อบทนั้นขึ้นมาได้ ช่างน่าเศร้าโดยแท้

ชายหนุ่มกรอกสุราอีกอึกหนึ่งอย่างไร้เรี่ยวแรง สายตาของเขาย้ายไปอยู่นอกรั้วของหอสุรา มองดูผู้คนคับคั่งบนท้องถนนข้างล่างที่แต่งกายด้วยชุดคลุมยาว รู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล จากจงหยวนไปสิบกว่าปี เมืองหยางโจวแห่งนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก เพียงแต่อยู่ซีอวี้ มานมนาน จู่ๆ พอกลับมาทางใต้ที่อากาศอบอุ่นเป็นมิตรกับผู้คน เขาก็รู้สึกปรับตัวยังไม่ได้อยู่บ้าง

เขาอยากจะกรอกสุราอีกอึก แต่กลับพบว่าไหสุราว่างเปล่า เพิ่งจะเงยหน้าขึ้นเรียกเสี่ยวเอ้อร์ให้เอาสุรามาให้ ก็เห็นบ่าวรับใช้สกุลจั้นขึ้นชั้นสองเดินมาทางนี้ เขาถอนหายใจเบาๆ ได้แต่ล้มเลิกความคิดที่จะสั่งสุรามาอีกไปเสีย

“คุณชายขอรับ ฮูหยินส่งพวกเรามารับท่าน”

เฮ้อ รู้อยู่แล้วว่าขอเพียงก้าวเข้ามาในเมืองหยางโจวก็คงหลบไม่พ้นสายตานาง

เขาหัวเราะขมขื่นอย่างไร้เสียง รู้ว่าไม่อาจจะยืดเวลาต่อไป จึงจำต้องลุกขึ้นอย่างยอมรับชะตากรรม โยนไหสุราให้คนหนึ่งในนั้น จากนั้นก็บิดขี้เกียจแล้วหาวหนึ่งที สางหนวดครึ้มที่เต็มไปด้วยฝุ่นและทรายอย่างซึมกะทือพลางเดินลงไปข้างล่าง

ตอนที่เขาเดินผ่านโต๊ะรับเงิน จู่ๆ ก็หยุดชะงัก หันกลับไปบอกผู้ติดตามข้างหลังที่อุ้มไหสุรามาด้วย

“เจ้าชื่ออะไร”

“เรียนคุณชาย ข้าแซ่หลัว ชื่ออัน พี่น้องท่านนี้แซ่ติง ชื่อเอ้อร์ ท่านเรียกข้าว่าหลัวอัน เรียกเขาว่าติงเอ้อร์ก็ได้ขอรับ” บ่าวรับใช้พยักหน้า รีบเข้ามาแจ้งชื่อ

“เอาล่ะ น้องหลัว ตอนที่จ่ายเงินก็ช่วยเอาเหล้ากลับไปให้ข้าไหหนึ่งด้วย”

“คุณชายจะดื่มเหล้าอะไรขอรับ”

“ไม่รู้ว่าพวกเขามีเหล้าเจี้ยนหนานเซาชุน หรือไม่ ถ้าหากไม่มี เอาเซ่าซิง มาก็ได้” เขาสั่งเสร็จแล้วก็ทักทายบ่าวรับใช้อีกคน แต่กลับนึกชื่ออีกฝ่ายไม่ออกไปชั่วขณะ “ติง…”

“ติงเอ้อร์ขอรับ” บ่าวรับใช้อีกคนรีบย้ำชื่อแซ่ตัวเอง

“ติงเอ้อร์ เจ้านำทางสิ ข้าไม่รู้ว่าสมาคมสกุลจั้นอยู่ที่ใด”

“ขอรับ” ติงเอ้อร์ได้ยินดังนั้นก็พาเขาไปขึ้นรถม้าที่รออยู่ข้างนอกนานแล้ว

เมื่อเดินมาถึงรถม้า ติงเอ้อร์ก็ค้อมกายบอก

“คุณชาย เชิญขึ้นรถขอรับ”

อื้ม นี่ข้าไม่ได้นั่งรถม้ามาหลายปีแล้วนะเนี่ย!

มองรถม้าที่แม้จะเรียบง่ายและดูหยาบๆ แต่ก็กว้างขวางสะดวกสบายแล้ว เขาก็ฉีกยิ้มเผยให้เห็นฟันขาวใต้หนวดครึ้ม หัวเราะแหะๆ พลางก้าวขึ้นรถม้า เพิ่งจะล้มตัวลงนอนราบมือสองข้างหนุนหลังศีรษะ รถม้าก็ขับเคลื่อนไปข้างหน้าแล้ว

เขายกขาขึ้นไขว่ห้าง โยกเอนไปพร้อมรถม้า ปากก็ครวญเพลงชาวหุย โคลงเคลงเช่นนี้ไปตลอดทางจนถึงที่หมาย

ดูท่าว่ากลับจงหยวนคราวนี้จะไม่ได้แย่อย่างที่เขาคิดไว้เลย…

บทที่หนึ่ง

ฤดูร้อนอบอ้าว

ในลานสวนริมทะเลสาบสีเขียวมรกต มีเสียงจักจั่น มีเสียงนก และมีสายลมอ่อนพัดโชย

ต้นหลิวยืนต้นเขียวไสวบนทางลาดปูด้วยหิน สตรีในอาภรณ์สีขาวกอดกระดาษเซวียนจื่อหลายม้วนเยื้องย่างไปทางหอรั่วหราน

“กระต่ายขาวโดดเดี่ยว เที่ยวท่องสอดส่ายทั่วออกตก อาภรณ์ใหม่ย่อมดีกว่าเก่า สหายเก่าย่อมดีกว่าใหม่…”

หญิงสาวเดินผ่านริมทะเลสาบ ได้ยินเสียงนุ่มใสไพเราะจับใจของสุ่ยเหลียนดังมาจากเรือนริมธาร มุมปากนางหยักยกขึ้นเล็กน้อยพร้อมส่ายหน้าเบาๆ

น้องสามชอบท่องบทกวีพวกนี้ นางโชคดีที่เกิดมามีน้ำเสียงไพเราะดุจดังนกขมิ้น ชวนให้ได้ยินแล้วไม่รู้จักเบื่อ ต่อให้นางจะสวดมนต์ น่ากลัวว่าจะทำให้คนฟังจนลุ่มหลงมัวเมาเช่นกัน

คราวก่อนสุ่ยเหลียนไปทำบุญที่วัดกับแม่รอง กลีบปากแดงชุ่มชื้นเพิ่งจะเผยอก็ดึงดูดหนุ่มเจ้าสำราญมาขอแต่งงานถึงบ้านเป็นโขยง ทำเอาสุ่ยเหลียนที่กลัวคนแปลกหน้ามาแต่ไหนแต่ไรขวัญเสีย นับแต่ครั้งนั้นนางก็ไม่ชอบออกไปข้างนอกยิ่งกว่าเดิม ท่องกวีเขียนโคลงคู่อยู่ที่เรือนริมธารผู้เดียวทั้งวัน ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมไปทำบุญที่วัดกับแม่รองอีก

หญิงสาวในอาภรณ์สีขาวยังไม่หยุดเท้า มุ่งหน้าเข้าไปในสวนต่อ ผ่านเรือนริมธารของน้องสาวไปก็เป็นเรือนบุปผาจรุงของน้องห้าสุ่ยหลัน ที่พักของน้องห้าสงบเงียบเสมอ นางมองเห็นควันขาวพวยพุ่งอยู่ตรงห้องปรุงยาหลังบ้านมาแต่ไกล ตามมาด้วยกลิ่นยาจางๆ ลอยอวลอยู่ในอากาศ

ไม่ต้องคิดนางก็รู้ว่าน้องห้ากำลังปรุงยาอีกแล้ว นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่ายาพวกนั้นมีอะไรน่าดึงดูดใจ ถึงกับทำให้สุ่ยหลันในวัยสิบสองปีหลงใหลได้ถึงเพียงนี้ เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ เฉลียวฉลาดและชอบอ่านหนังสือ แต่หนังสือที่น้องห้าอ่านไม่เหมือนกับหนังสือที่น้องสามสุ่ยเหลียนอ่านเลยสักนิด เพราะหนังสือที่น้องห้าอ่านล้วนเป็นตำราแพทย์ประหลาดๆ

บิดาชอบที่น้องห้าเฉลียวฉลาด จึงไม่เคยห้ามนางอ่านตำราพวกนั้น แล้วยังให้คนไปเสาะหาตำราแพทย์จากที่ต่างๆ มาให้น้องห้าอีกด้วย ทั้งยังเชิญท่านหมอที่ทักษะการแพทย์ล้ำเลิศมาสอนวิชาแพทย์ให้นาง กระทั่งช่วยนางสร้างห้องปรุงยาโดยไม่สนใจว่าแม่สามจะคัดค้านหรือไม่ โชคดีที่ไม่ว่าน้องห้าจะทำการใดก็ใจเย็นรอบคอบมาตลอด เวลาปรุงยา ท่านหมอที่เชิญมาผู้นั้นจะอยู่ข้างๆ เสมอ ตลอดสองปีที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเรื่องเลย จึงทำให้แม่สามวางใจ

เดินผ่านเรือนบุปผาจรุงไปอีกก็จะเป็นหอรั่วหรานแล้ว

ขึ้นไปบนหอรั่วหราน ขอเพียงมองจากหน้าต่างชั้นสองออกไปข้างนอกก็จะเห็นเรือนที่พักของน้องสาวสองสามคนในสวนตะวันออกได้ชัดเจน ในสวนตะวันออกของสกุลสุ่ยล้วนเป็นที่พักของเหล่าสตรีของจอมยุทธ์สุ่ย สุ่ยอวิ๋น

สมัยวัยเยาว์จอมยุทธ์สุ่ยอวิ๋นแห่งต้งถิงเป็นคนมากความสามารถ เจ้าสำราญ ทั้งยังมีวรยุทธ์ล้ำเลิศ อายุยี่สิบก็สู่ขอภรรยาเอกหนึ่งอนุสามตามลำดับ หลังจากแต่งงานแล้วภรรยาทั้งสี่คนก็ตั้งครรภ์อย่างราบรื่น แต่โชคร้ายที่ภรรยาทั้งสี่ของสุ่ยอวิ๋นล้วนแต่ให้กำเนิดบุตรสาวผิวเนื้อนวลเนียนหน้าตาน่ารัก การไม่มีทายาทสืบสกุลนั้นเป็นเรื่องใหญ่ เป็นการอกตัญญู แน่นอนว่าสุ่ยอวิ๋นจะต้องมีบุตรชายให้ได้สักคนถึงจะพอใจ!

แต่หลายปีมานี้ บุตรสาวล้วนกระโดดออกมาทีละคนๆ ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไรก็ทำให้ภรรยาทั้งสี่ให้กำเนิดบุตรชายไม่ได้ อีกทั้งตอนบุตรสาวคนที่สิบสามถือกำเนิดกลับทำให้ภรรยาเอกของเขาต้องเสียชีวิต จอมยุทธ์สุ่ยเสียอกเสียใจแล้วจึงยอมรับชะตากรรมไม่ดันทุรังอีกต่อไป

มองทะเลสาบและภูเขาเขียวชอุ่มนอกหน้าต่างแล้วก็ให้นึกถึงมารดาที่อ่อนโยนราวกับสายน้ำ หญิงสาวในอาภรณ์ขาวรู้สึกเศร้าขึ้นมานิดๆ จวบจนวันนี้มารดาจากโลกนี้ไปได้ห้าปีแล้ว แต่ในฝันกลางดึกนางยังคงฝันถึงความอ่อนโยนและเสียงเพลงขับกล่อมที่มารดาจะกล่อมนางเข้านอนสมัยที่นางยังเล็กอยู่เสมอ

นางถอนหายใจเบาๆ หันไปเอาม้วนกระดาษวางบนโต๊ะแล้วคลี่ออกอย่างระมัดระวังยิ่ง จากนั้นก็นำที่ทับกระดาษทับมุมไว้แต่ละด้าน กระดาษเซวียนจื่อสีขาวกางแผ่อยู่บนโต๊ะ เผยให้เห็นภาพบนนั้น

เห็นเพียงภาพบนนั้นไม่เหมือนกับภาพภูเขาลำธารบุปผาสกุณาทั่วไป แต่เป็นภาพร่างและลายเส้นแปลกประหลาด อีกทั้งตรงกลางยังจดตัวเลขไว้จำนวนหนึ่ง หากมองให้ละเอียดก็จะเห็นชัดว่าภาพบนนั้นคือภาพเรือที่แยกเป็นส่วนๆ

หญิงในชุดขาวทับภาพเรือเรียบร้อยแล้ว เฉี่ยวเอ๋อร์สาวใช้ประจำตัวนางตั้งแต่เด็กจึงได้ยกชาร้อนเดินอย่างแช่มช้าเข้ามา ปากยังพึมพำบอก

“คุณหนู ท่านเดินเร็วเหลือเกิน”

นางคลี่ยิ้ม หยิบพู่กันและแท่งฝนหมึกออกมาจากตู้พลางเอ่ยเสียงนุ่ม

“เรือลำนี้สกุลจั้นรีบร้อนจะเอา ข้าต้องวาดภาพออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทุกคนในอู่ต่อเรือถึงจะเริ่มทำงานได้”

เฉี่ยวเอ๋อร์นำถาดชาวางไว้บนโต๊ะ ทำหน้าไม่เห็นด้วย

“สกุลจั้นอยู่ไกลถึงเมืองหยางโจว ข้าว่าพวกเขาไม่น่าจะมาเอาในเวลาสั้นๆ หรอกเจ้าค่ะ”

“จะว่าอย่างนั้นไม่ได้หรอก พวกเรารับปากเขาไว้แล้ว แน่นอนว่าต้องทำให้เสร็จโดยเร็วที่สุด” มือข้างหนึ่งของนางฝนหมึก มืออีกข้างจับแขนเสื้อไม่ให้จุ่มน้ำหมึก เอ่ยเบาๆ พร้อมคลี่ยิ้ม “คนเราพูดแล้วจะผิดคำพูดได้อย่างไร”

“ข้าทราบเจ้าค่ะ ข้าทราบ อักษรคนและคำพูดรวมกันเป็นคำว่าเชื่อพูดแล้วก็ต้องทำ ถูกต้องหรือไม่เจ้าคะ” เฉี่ยวเอ๋อร์เดินมาถึงข้างโต๊ะแล้วรับงานฝนหมึกไปทำต่อ ทั้งไม่ลืมกลอกตา “แต่เล็กจนโต ข้าท่องได้แล้วเจ้าค่ะ”

หญิงสาวในชุดขาวถูกสีหน้าซุกซนของสาวใช้เย้าแหย่จนหัวเราะ อดเอ่ยเยาะหยันไม่ได้

“เช่นนั้นก็ดี เจ้าได้ยินน้องสามท่องกลอนมาตั้งแต่เด็ก ท่องให้ข้าฟังหน่อยเป็นไร?”

เฉี่ยวเอ๋อร์ได้ยินดังนั้น ดวงตารูปเมล็ดซิ่งก็เบิกกว้าง รีบเถียง

“ไม่เหมือนกันนะเจ้าคะ! กลอนที่คุณหนูสามท่องออกเสียงยากเหลือเกิน ทุกครั้งที่ข้าได้ยินก็จะรู้สึกง่วงงุนจวนจะหลับ จำได้เสียที่ไหนกันเล่าเจ้าคะ” เพื่อไม่ให้คุณหนูใหญ่จู่โจมตัดขานางอีก นางจึงรีบเบิกตาโตอย่างใสซื่อเอ่ยเตือน “คุณหนู ท่านรีบวาดภาพมิใช่หรือ คนเราพูดแล้วต้องทำตามที่พูดใช่หรือไม่เจ้าคะ”

เห็นเฉี่ยวเอ๋อร์ทำหน้าแสร้งโง่น่ารัก หญิงสาวชุดขาวก็ยิ้มพลางส่ายหน้า เพิ่งจะนั่งลงบนเก้าอี้ก็หยิบพู่กันจุ่มหมึกดำเล็กน้อยแล้ววาดภาพเรือที่ยังวาดไม่เสร็จต่อ

นางมีนามว่าสุ่ยรั่ว อายุสิบแปดปี เป็นบุตรสาวคนแรกของสกุลสุ่ย

มารดาของสุ่ยรั่วก็คือหลี่ซื่อภรรยาเอกที่คลอดยากจนเสียชีวิตผู้นั้น ทางบ้านหลี่ซื่อทำกิจการอู่ต่อเรือมาหลายปี พอถึงสมัยของหลี่ซื่อ นางเป็นธิดาเพียงคนเดียว ดังนั้นตอนที่นางแต่งเข้าสกุลสุ่ย อู่ต่อเรือก็ย่อมเป็นสินเดิม กลายเป็นกิจการของสกุลสุ่ย

แต่สุ่ยอวิ๋นเป็นจอมยุทธ์มาทั้งชีวิต ไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับกิจการอู่ต่อเรือเลยสักนิด ฉะนั้นหลังแต่งงาน หลี่ซื่อจึงเป็นคนจัดการงานส่วนใหญ่ในอู่ต่อเรือ สมัยเด็กสุ่ยรั่วก็จะมาเดินเล่นในอู่ต่อเรือกับมารดาเสมอ อาจเพราะได้ยินได้เห็นมามากตั้งแต่เล็ก สุ่ยรั่วจึงวาดภาพโครงเรือได้ตั้งแต่ยังเด็กมาก มีไหวพริบเป็นพิเศษในการออกแบบเรือมาแต่ยังเยาว์ ดังนั้นห้าปีก่อนตอนที่หลี่ซื่อคลอดลูกจนเสียชีวิตไป สุ่ยรั่วก็ตัดสินใจรับช่วงกิจการอู่ต่อเรือ

ยามนั้นสุ่ยรั่วเพิ่งอายุได้สิบสาม แม้ตอนเริ่มต้นจะยังขาดความสามารถ ทว่านางก็พากเพียรเรียนรู้งานทุกอย่างอยู่เสมอ ทุกๆ คืนจะจุดตะเกียงพลิกอ่านตำราโบราณหาวิธีสร้างเรือที่ดียิ่งกว่าเดิม กระทั่งคิดสร้างแบบเรือลำเล็ก เอามันไปวางไว้ในถังน้ำ ให้เฉี่ยวเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ช่วยพัดลมหรือกวนคลื่นน้ำ เลียนแบบสถานการณ์แต่ละแบบที่อาจเกิดขึ้นได้ สถานที่ที่นางลองแบบเรือมีตั้งแต่ถังน้ำไปจนถึงสระเล็กๆ ตั้งแต่สระเล็กๆ ไปจนถึงลำธาร ในที่สุดปีก่อนที่จะอายุสิบห้า นางก็วาดภาพเรือที่ตัวเองออกแบบได้เป็นภาพแรก และเอาไปให้อู่ต่อเรือสร้างตามแบบนั้น

เดิมไม่มีใครมีท่าทีในแง่ดีกับการที่คุณหนูใหญ่ซึ่งอายุยังน้อยนำภาพเรือมาให้ แต่หลังจากที่ทุกคนเห็นภาพเรือที่นางวาดแบบออกมาอย่างยอดเยี่ยมแล้วก็พากันชื่นชมไม่ขาดปาก ทว่าสิ่งที่ทำให้สุ่ยรั่วประหลาดใจที่สุดคือบิดาที่ตลอดมาไม่ค่อยใส่ใจนางถึงกับเป็นตัวตั้งตัวตีสนับสนุนให้นางลงมือทำได้เต็มที่

แน่นอนว่านางประสบความสำเร็จแล้ว

สามปีต่อมา สุ่ยรั่วได้ปรับปรุงเรือขนาดเล็กที่สกุลสุ่ยสร้างมาแต่เดิม ได้แก่ เรือตั๊กแตน เรือเฉาฝ่าง เรือโหลวฉวน กระทั่งเรือออกทะเลที่เดินทางไปทั่วทั้งมหาสมุทรก็ไม่ได้ยากเกินกำลังของนาง ชื่อเสียงอู่ต่อเรือสกุลสุ่ยขจรขจายจากต้งถิงไปไกลถึงเขตปกครองก่วง หยาง เฉวียน ไปถึงกระทั่งเมืองใหญ่ทางเหนืออย่างฉางอัน ลั่วหยาง ก็ยังมีคนรอนแรมมาไกลถึงที่นี่เพื่อขอให้ออกแบบเรือให้ มีชื่อเสียงโด่งดังไร้ผู้ใดเทียบเทียม

แต่คนนอกกลับรู้กันน้อยนักว่าเรือของสกุลสุ่ยนั้นมีสตรีเป็นผู้วาดแบบ สาเหตุคือเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความยุ่งยากที่ไม่จำเป็น โชคดีที่ทุกคนในอู่ต่อเรือให้ความร่วมมือกันดี คนนอกจึงไม่ได้รู้กันทั่ว ต้งถิงคือดินแดนของสกุลสุ่ยและไม่มีผู้ใดกล้านินทาส่งเดชด้วย ดังนั้นสามปีมานี้ฐานะของนางจึงไม่เคยถูกเปิดเผย และช่วยลดขี้ปากคนไปไม่น้อยจริงๆ

เวลาค่ำ เฉี่ยวเอ๋อร์จุดตะเกียงสองดวง สุ่ยรั่วยังคงมีสมาธิจดจ่อกับการวาดภาพเรือ

“คุณหนูเจ้าคะ ท่านพักสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” เฉี่ยวเอ๋อร์ฝนหมึกมาทั้งบ่าย ข้อมือบางเมื่อยจะตายอยู่แล้ว

“หากเจ้าเหนื่อยแล้วก็ไปพักก่อนเถอะ ข้าวาดต่ออีกประเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” นางเงยหน้า ยิ้มบอกเบาๆ

เห็นดวงตาคู่นั้นที่อ่อนโยนและแน่วแน่ของคุณหนูใหญ่แล้ว เฉี่ยวเอ๋อร์ทำอะไรนางไม่ได้เลยสักนิดเดียว

คุณหนูคนนี้หนอ ดูเหมือนอ่อนโยนน่ารัก ความจริงแล้วก็อ่อนโยนน่ารักนั่นแหละ ถ้าบอกให้นางไปพักก็คือให้นางไปพักจริงๆ ไม่ได้แค่พูดไปตามมารยาทเท่านั้น

แต่ปัญหาคือนายยังไม่พัก นางซึ่งเป็นสาวใช้จะวิ่งไปกินข้าวนอนหลับได้อย่างไรกันเล่า

หากให้สาวใช้ของคุณหนูคนอื่นๆ มาเห็นเข้า นางก็แย่น่ะสิ ถึงตอนนั้นก็ยังจะติฉินนินทานางอีกด้วย

เห็นคุณหนูใหญ่ก้มหน้าจดจ่อกับการวาดภาพต่อ เฉี่ยวเอ๋อร์ก็ถอนหายใจด้วยความคับแค้นใจ หยิบแท่งฝนหมึกขึ้นมาฝนน้ำหมึกต่อไปตามยถากรรม

ขณะเคลื่อนไหวแบบเดิมๆ ซ้ำๆ อย่างเบื่อหน่าย สายตาของเฉี่ยวเอ๋อร์ก็ไปหยุดอยู่บนใบหน้าของคุณหนูใหญ่ของตนโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความสัมพันธ์ของแซ่สกุลหรือไม่ บรรดาคุณหนูสกุลสุ่ยจึงหน้าตาไม่เลวเลยสักคน แต่ละคนงดงามราวกับดอกบัวแรกแย้มที่โผล่พ้นน้ำ ทั้งยังงดงามยิ่งๆ ขึ้นไป คุณหนูใหญ่ของนางถือว่าเป็นคนที่หน้าตาธรรมดาที่สุดแล้ว

แม้นางจะเห็นคุณหนูโฉมงามเหล่านี้มาตั้งแต่เด็ก แต่นางก็ยังคงจ้องมองจนใจลอยอยู่บ่อยครั้ง แม้คุณหนูใหญ่จะไม่ใช่คนที่งามที่สุด แต่นางกลับรู้สึกว่าคุณหนูใหญ่เป็นคนที่นิสัยดีที่สุด

อย่างคุณหนูรองที่เป็นคนเฉียบแหลมมากประสบการณ์ มีความน่าเกรงขามมาแต่กำเนิด นางเป็นคนดูแลบัญชีในบ้าน ทุกครั้งที่ทุกคนเห็นคุณหนูรองก็จะไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม

ส่วนคุณหนูสามแม้จะอ่อนโยนแต่ก็มีนิสัยขี้ขลาด นอกจากนี้ยังชอบอ่านหนังสือ ทุกครั้งที่นางไปชิมชาที่ศาลาริมน้ำกับคุณหนูใหญ่ ไม่นานนักนางก็จะเริ่มง่วงอย่างอดไม่ไหว

คุณหนูสี่หน่วยก้านดีเป็นพิเศษ ฉะนั้นตั้งแต่เล็กจึงฝึกยุทธ์กับนายท่าน หลายปีมานี้ยังติดตามนายท่านเดินทางไปทั่วทิศ แม้แต่สาวใช้ประจำตัวก็ยังต้องติดตามไปทั่วทั้งแผ่นดินจงหยวน

คุณหนูห้าสมัยยังเล็กมักชอบทำหน้าเครียดขรึม เพิ่งจะอายุสิบสองก็ชอบศึกษาค้นคว้าตำราแพทย์ตำรายา เอะอะก็จะเคี่ยวยาปรุงยา ชุนฮวาและชิวเยวี่ยที่ติดตามคุณหนูห้ามักจะมีกลิ่นยาแปลกๆ ติดตัว

ถ้าหากเป็นข้าจะต้องทนไม่ไหวแน่คิดมาถึงตรงนี้เฉี่ยวเอ๋อร์ก็ลอบยินดีที่ตัวเองไม่ได้ถูกส่งไปปรนนิบัติคุณหนูท่านอื่นอย่างอดไม่ได้

คิดๆ ดูแล้วคุณหนูของนางเหมือนจะมีส่วนที่ประหลาดกันทุกคน พอนึกถึงคุณหนูสองสามท่านหลังที่อายุยิ่งน้อยลดหลั่นกันไป เฉี่ยวเอ๋อร์ก็หนังศีรษะชาหนึบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ลอบชำเลืองมองคุณหนูใหญ่แวบหนึ่ง แล้วก็นึกเห็นใจคุณหนูใหญ่ที่มีน้องๆ ที่รูปโฉมงดงามแต่นิสัยประหลาดชอบกลเหล่านี้

ความจริงแล้วตั้งแต่คุณหนูใหญ่อายุได้สิบห้าก็มีคนมาสู่ขอถึงบ้าน แต่คนเหล่านั้นพอเห็นคุณหนูรองที่งามล้ำชนิดพรากวิญญาณแล้วก็ลืมจุดประสงค์เดิม หันมาเกี้ยวพาคุณหนูรองแทน หรือไม่ก็ได้ยินเสียงพึมพำหวานนุ่มแสนเสนาะของคุณหนูสามแล้ว ยอดวีรบุรุษก็กลายเป็นคนอ่อนระทวยในชั่วพริบตา อยากจะอุทิศทั้งหัวใจให้แก่คุณหนูสามใจแทบขาด แต่คุณหนูสามเป็นคนตาขาวตั้งแต่เกิด ทุกครั้งที่มีคนคิดจะล่วงเกินก็จะถูกบรรดาศิษย์ที่วรยุทธ์สูงส่งของนายท่านไล่ออกไป

กาลเวลาผันผ่านไป น้องๆ ของคุณหนูใหญ่แต่ละคนก็ยิ่งงดงามล้ำเลิศ งามจนต้องตกตะลึง อีกทั้งเวลาที่นายท่านไม่อยู่ คนที่คอยดูแลพวกนางก็จะเป็นคุณชายสวี่ศิษย์คนโตของนายท่าน หรือไม่ก็คุณหนูรอง เมื่อเวลาผ่านไปคนอื่นๆ ก็นึกว่าคุณหนูใหญ่แห่งสกุลสุ่ยออกเรือนไปแล้ว ปรากฏว่าพอคุณหนูใหญ่อายุสิบเจ็ดก็ไม่ค่อยมีใครมาสู่ขอแล้ว

ฮือๆ…พอจ้องมองสุ่ยรั่วที่แต่งกายเรียบๆ ด้วยชุดกระโปรงสีขาวทั้งตัวแล้ว เฉี่ยวเอ๋อร์ก็อดขมวดคิ้วงามไม่ได้ ความจริงแล้วนางก็ไม่ได้กลัวว่าคุณหนูใหญ่จะไม่ได้แต่งออกไปหรอก…แม้คุณหนูใหญ่จะไม่ได้งามล้ำอย่างน้องๆ แต่ก็งามยิ่งกว่าแม่นางทั่วๆ ไปมากนัก ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ได้แต่งออกไปเลย!

ปัญหาคือคุณหนูใหญ่อายุสิบแปดแล้ว ครึ่งปีมานี้ยังไม่มีใครมาสู่ขอ นางกำลังเป็นกังวลแทนเจ้านาย แต่ตัวคุณหนูใหญ่นั้นไม่ได้ตระหนักเลยสักนิด ทั้งยังก้มหน้าก้มตาวาดภาพเรือทั้งวัน นางคิดอยากช่วยเกล้าผมมวยทรงที่นิยมกันให้คุณหนูใหญ่ อีกฝ่ายกลับกลัวว่านางจะเมื่อยมือเลยบอกว่าไม่ต้องทำ นางได้ยินแล้วก็แทบลมจับ

คุณหนู…คุณหนูไม่ร้อนใจเลย ทำเอาบ่าวคนนี้ร้อนใจแทบตาย!

ทุกครั้งที่คิดอยากช่วยแต่งตัวงามๆ กว่านี้ให้สักหน่อย คุณหนูใหญ่ก็จะพยักหน้ารับคลี่ยิ้มอ่อนโยน แต่พอหันกลับไปก็ยุ่งอยู่กับงานอู่ต่อเรืออีก ลืมว่าต้องลองชุดใหม่ ลืมว่าต้องเกล้าผม ลืมว่าต้องไปเลือกชาดทาปากและแป้งผัดหน้าที่ร้าน ทุกครั้งก็จะลืมสาวใช้อย่างนางไว้ข้างหลังไกลๆ ทำให้นางต้องอัดอั้นจุกอก

เห็นคุณหนูใหญ่ที่ก้มหน้าก้มตาตั้งอกตั้งใจวาดภาพแล้ว เฉี่ยวเอ๋อร์ก็ลอบตัดสินใจจากก้นบึ้งของหัวใจ…

ข้าจะต้องคิดหาวิธีดีๆ ให้ได้ ให้คุณหนูแต่งออกไปในปีที่อายุสิบแปดนี้! หากยังเสียเวลาต่อไป คุณหนูจะพ้นช่วงวัยที่เหมาะสมแก่การออกเรือนแล้วกลายเป็นหญิงทึนทึก!

เฉี่ยวเอ๋อร์ฝนหมึกพลางใช้ความคิดปราดเปรื่อง นางจะต้องวางแผนให้ดีๆ…

ภูเขาไกลโพ้น ดอกไม้แรกแย้ม สายน้ำไหลเรื่อยไม่หวนกลับ

แม่น้ำฉางเจียงที่แสนงดงามมักจะเห็นเงาใบเรืออยู่ไม่น้อย บ้างก็ล่องไปตามแม่น้ำ บ้างก็ล่องทวนน้ำ หรือไม่ก็บรรทุกสินค้า ไม่ก็ตกปลา ลมหนาวพัดโชยเอื่อยเช่นนี้ ภาพทิวทัศน์งดงามสำราญใจ ถ้าหากได้สุราดีอีกกา กับแกล้มอีกสองสามจาน ก็จะยิ่งสุขสำราญเลยทีเดียว

แต่ในตอนนี้บนเรือที่ติดธงของสกุลจั้นกลับมีชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งหน้าตาซีดขาวคล้ายปลาตายนั่งพิงหีบสินค้า บนใบหน้าหาความสำราญใจมิได้เลยสักนิด

มองตัวอักษร ‘จั้น’ โดดเด่นอยู่บนธงที่ปลิวไสวตรงหัวเรือ เขาก็เหมือนเห็นหน้าตาบิดเบี้ยวลำพองใจของหญิงผู้นั้นทับซ้อนกับธงผืนใหญ่ ทำให้รู้สึกไม่สบายถึงขีดสุด

มังกรสมุทรตระกูลจั้นติดอันดับหนึ่งในสิบสมาคมใหญ่แห่งต้าถัง

คนที่เป็นผู้นำคือสตรี ชื่อเสียงเรียงนามว่าจั้นชิง อายุ…สามสิบห้า?

น่าจะใช่กระมัง ไหนๆ นางก็เป็นหญิงห้าว สิ่งที่ทำให้คนไม่อาจเชื่อได้มากที่สุดคือหลายปีที่เขาไม่อยู่บ้าน หญิงห้าวผู้นี้ถึงกับหลอกเอาคนมือเติบมาแต่งงานด้วย แล้วคนมือเติบผู้นั้นก็คือเซียวจิ้ง พี่ใหญ่ร่วมสาบานของเขา

เฮ้อ เดิมนึกว่าในที่สุดจะได้หลุดพ้นจากกรงเล็บของหญิงห้าวผู้นี้เสียที ใครจะไปรู้ว่าไปอ้อมซีอวี้รอบใหญ่ๆ รอบหนึ่งกลับมา เขาก็ยังถูกหญิงห้าวควบคุมอย่างแน่นหนา ไม่เพียงแค่นั้น ตอนนี้นางแต่งงานแล้ว คนที่แต่งด้วยยังเป็นพี่ใหญ่ของพี่ใหญ่ของเขาอีก ลำดับอาวุโสนี้ไม่ว่าจะนับอย่างไรเขาก็ยังอ่อนอาวุโสที่สุด อีกทั้งยังลดลำดับลงสองขั้นติด นี่คือสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงตั้งแต่ที่ออกไปจากบ้าน

ชายร่างใหญ่กำยำหนวดดำถอนหายใจ แม้ทางใต้อากาศจะอบอุ่นแต่กลับชื้นนิดๆ เขามักจะรู้สึกว่าหนวดครึ้มที่คางหนักขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไร้สาเหตุ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีละอองน้ำเกาะอยู่หรือไม่

เขาน่ะแซ่จั้น ชื่อปู้ฉวิน แม้จะเป็นนายน้อยสกุลจั้น แต่มีนิสัยเลือดร้อน สมัยเด็กเพราะทะเลาะกับบิดาจึงประชดด้วยการหนีออกจากบ้าน ท่องยุทธภพอยู่หนึ่งรอบ สุดท้ายมีโอกาสได้เดินทางไปซีอวี้แต่กลับหลงทางในทะเลทราย เกือบจะถูกดวงอาทิตย์ร้อนแรงแผดเผาจนกลายเป็นศพแห้งๆ เสียแล้ว

โชคดีที่ในช่วงกึ่งมึนงงกึ่งตื่นนั้น ทำให้เขาเดินสับสนจนมาถึงเขตรอบนอกของเขาเหยี่ยวดำที่เล่าลือกันแล้วหมดสติไป จากนั้นก็ถูกนายน้อยแห่งเขาเหยี่ยวดำเฮ่อเหลียนอิงช่วยชีวิตไว้จึงได้รอดตาย

ช่วงเวลาที่พักรักษาตัวอยู่ที่เขาเหยี่ยวดำ เขาพบว่าแม้เฮ่อเหลียนอิงจะดูเหมือนเย่อหยิ่งเย็นชา แต่ความจริงแล้วก็เป็นบุรุษเลือดร้อนคนหนึ่ง เขาได้เห็นกับตาเมื่อมีคนปล้นขบวนสินค้าของเขาเหยี่ยวดำสองสามครั้งทำให้เฮ่อเหลียนอิงต้องตอบโต้กลับ อีกทั้งเฮ่อเหลียนอิงยังเป็นคนที่ทำงานเฉียบขาดยึดถือคุณธรรม ลงโทษและให้รางวัลลูกน้องชัดเจน และทำดีด้วยใจจริงโดยไม่หวังให้ใครรู้ ยิ่งทำให้เขาเกิดความเลื่อมใสต่อนายน้อยที่วรยุทธ์สูงส่งผู้นี้

หลังจากนั้นไม่นานจั้นปู้ฉวินก็สมัครใจเข้าร่วมกับเขาเหยี่ยวดำ เฮ่อเหลียนอิงแม้ปากจะไม่ได้พูด แต่ในใจกลับชื่นชมชายหนุ่มที่เป็นคนเปิดเผยผู้นี้ยิ่งนัก แม้จะไม่ได้เรียกขานเป็นพี่น้องกับเขา แต่ก็ให้ใจกับชายตัวโตร่างสูงเจ็ดฉื่อ ผู้นี้เหมือนดังพี่น้อง สิบปีที่ผ่านมาทั้งสองคนร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน ทั้งยังไปล่าดินแดนกันที่ทะเลทรายอีกด้วย

เฮ่อเหลียนอิงได้ฉายาราชาแห่งทะเลทรายจากซีอวี้ จั้นปู้ฉวินมีความชอบใหญ่หลวงที่ไม่อาจมองข้าม แต่เขากลัวว่าจะถูกคนของสกุลจั้นตามหาตัวพบ จึงยินดีที่จะอยู่ในนามแม่ทัพของเขาเหยี่ยวดำ ไม่เคยบอกชื่อแซ่กับผู้ใด คนนอกจึงรู้แค่ว่าข้างกายราชาแห่งทะเลทรายมีชายตัวโตหนวดดำที่กล้าหาญไร้เทียมทาน แต่กลับไม่มีผู้ใดรู้ชาติตระกูลและความเป็นมาของคนผู้นี้เลย

แต่คนของเขาเหยี่ยวดำทำตัวลึกลับอย่างยิ่งมาตลอด ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลก จึงทำให้จั้นปู้ฉวินหลบซ่อนตัวอยู่ในซีอวี้ได้สิบกว่าปีโดยไม่ถูกพบตัว

กระทั่งสามปีก่อน จั้นปู้ฉวินไปทำการค้าแทนพี่ใหญ่เฮ่อเหลียนอิงที่ด่านอวี้เหมิน และได้พบกับเซียวจิ้งที่โรงเตี๊ยมโดยบังเอิญ เขาเห็นแหวนมังกรที่เป็นสมบัติตกทอดของสกุลจั้นอยู่บนนิ้วของคนผู้นี้ ตอนแรกเขายังนึกว่าที่บ้านเกิดเรื่อง พอสืบดูจึงได้รู้ว่าหญิงห้าวได้แต่งงานไปหลายปีแล้ว และชายหนุ่มผู้นี้ก็คือพี่เขยมือเติบที่เขาไม่เคยเจอ อีกทั้งเหมือนอีกฝ่ายยังสืบหาที่อยู่ของเขาไปทั่วทุกที่ด้วย

เพราะไม่อยากถูกจับตัวกลับไป จั้นปู้ฉวินจึงออกจากด่านอวี้เหมินกลับเขาเหยี่ยวดำทันที แต่สุดท้ายก่อนที่จะออกนอกด่านก็ถูกพี่เขยที่ดูเหมือนสุภาพเรียบร้อยแต่ความจริงเฉลียวฉลาดเจ้าเล่ห์สกัดไว้

สิ่งที่น่าปวดหัวคือเซียวจิ้งเป็นชายโฉดที่เฮ่อเหลียนอิงตามหามาสิบกว่าปี…เอ่อ ไม่สิ คือพี่ชายร่วมสาบานที่ช่วยพี่สะใภ้ใหญ่หนีตายจากเหตุวุ่นวายในโรงเตี๊ยมสุนทรีเยือนในปีนั้น แต่ตอนนี้เซียวจิ้งเป็นพี่เขยของเขา อีกฝ่ายไม่รู้ว่าจะจับหรือไม่จับเขาดี หลังจากที่พูดคุยกันพักหนึ่ง จั้นปู้ฉวินต้องลงทุนลงแรงอย่างมหาศาล สุดท้ายจึงได้ทำข้อตกลงกับเซียวจิ้งสำเร็จ…เขาจะไม่รายงานให้เฮ่อเหลียนอิงรู้ เซียวจิ้งก็อย่าบังคับให้เขากลับไป และเขารับรองว่าจะคอยส่งข่าวให้หญิงห้าวอย่างสม่ำเสมอ

หลังจากที่พวกเขาตกลงกันเช่นนี้แล้วก็แยกย้ายกันไป ต่างคนต่างกลับบ้าน

และเพราะเหตุผลนี้ เขาจึงได้ถูกบังคับให้ติดต่อกับบ้านเดิมอีกครั้ง

เวลาสามปีผ่านพ้นไปในพริบตา ในที่สุดพี่ใหญ่เฮ่อเหลียนอิงก็ได้พบกับพี่สะใภ้ใหญ่ที่หายตัวไปนานอีกครั้ง ถึงแม้พี่ใหญ่จะโกรธมากที่เขารู้เรื่องแต่ไม่บอก ส่วนพี่สะใภ้ใหญ่ก็โกรธที่พวกเขารวมหัวกันปิดบังนาง เซียวจิ้งถามเขาว่าจะกลับไปเมืองหยางโจวด้วยกันหรือไม่ เขาคิดใคร่ครวญสักพัก รู้ว่าช้าเร็วก็ต้องกลับไปอยู่ดี จึงกลับไปพร้อมเซียวจิ้ง

ชายหนุ่มทั้งสองขี่ม้าควบตะบึงหลายวัน สามวันก่อนจะเข้าเมืองหยางโจว เซียวจิ้งต้องไปทำธุระที่ท่าเรือ เขาจึงปฏิเสธการเดินทางร่วมกันอย่างสุภาพ มุ่งหน้าไปดื่มสุราที่หอสุราตามลำพัง ไม่คิดเลยว่าเพิ่งจะดื่มไปได้ไม่กี่ไห หญิงห้าวจะส่งคนมาตามตัวแล้ว…

อาการวิงเวียนแผ่ลาม จั้นปู้ฉวินพิงหีบสินค้า เบิกตามองชายฝั่งสีเขียวอ่อนถอยหลังไปช้าๆ ด้วยสีหน้าย่ำแย่ ข่มกลั้นอาการคลื่นไส้ที่แผ่ออกมายังหน้าอกและท้องไม่หยุด

เสียทีที่สามวันก่อนหน้านี้เขายังคิดว่ากลับมาจงหยวนก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด ใครจะไปรู้ว่ายังไม่พ้นสามวัน จากที่รู้สึกว่าไม่เลวก็กลายเป็นรู้สึกเสียใจแล้ว

เรือขนาดใหญ่ลำนี้คือเรือขนส่งสินค้าของสกุลจั้น สองวันก่อนเรือออกจากเมืองหยางโจวเข้าสู่แม่น้ำฉางเจียงมุ่งหน้าไปทางตะวันตก วางแผนไว้ว่าจะผ่านเจียงโจวไปถึงต้งถิง มีสินค้าบรรทุกอยู่เต็มเรือ ส่วนเขาก็เป็นแค่ของอย่างหนึ่งในนั้น…

ผิวน้ำมีลมเย็นๆ พุ่งขึ้นมา ทำให้เกิดคลื่นน้ำพาให้ตัวเรือโคลงเคลง จั้นปู้ฉวินหยุดความคิดในทันที สีหน้ากลายเป็นซีดขาว ผ่านไปหนึ่งเค่อ* ตัวเรือก็ยังโคลงเคลงอย่างหนัก ในที่สุดเขาก็กลั้นอาการคลื่นเหียนที่คอไม่ไหวอีกต่อไป สาวเท้าพุ่งไปเริ่มอาเจียนที่ข้างเรือ

“คุณชาย ยังไหวหรือไม่ขอรับ” ครั้งนี้หัวหน้าขนส่งสินค้าเห็นเขาอาเจียนหนักมากจึงเดินเข้ามาถามอย่างห่วงใย

จั้นปู้ฉวินไม่มีแรงตอบ ได้แต่หมอบอยู่กับกราบเรือ หน้าซีดฝืนโบกมือ แต่โบกได้แค่สองที คลื่นก็ปะทะเข้ามาอีก…

“แหวะ…” เขาหันไปอาเจียนใส่แม่น้ำฉางเจียงอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตทันที

ไม่ง่ายเลย ตอนที่เขาอาเจียนเอาทุกอย่างออกมาหมดไส้หมดพุง บนผิวน้ำก็กลับมาสงบเงียบไร้เกลียวคลื่น เขาหมอบอยู่บนกราบเรือหน้าตาไร้สีเลือด ในใจด่าสิบแปดชั่วโคตรของหญิงห้าวนั่นไปจนจบตั้งแต่แรกแล้ว แม้อยากจะสาปแช่งให้นางคลอดลูกออกมาไม่มีรูก้น แต่เห็นแก่ที่ลูกชายของนางก็คือหลานชายของเขา จึงได้ฝืนข่มกลั้นไว้

มารดามันเถอะ! ถ้าหากต้องอาเจียนอย่างนี้ไปทุกวัน เรือลำนี้ยังไม่ทันแล่นไปถึงต้งถิง ข้าคงตายไปเฝ้ายมบาลก่อนแล้วล่ะ!

จั้นปู้ฉวินจ้องมองคลื่นน้ำไหลเชี่ยวที่ถอยหลังไปไม่หยุด รู้สึกหมดแรงไปทั้งตัว แต่แล้วก็พลันเกิดอาการคลื่นเหียนขึ้นมาอีกระลอก จึงรีบเบนสายตาไปทางอื่น นั่งพิงอยู่ข้างเรือด้วยใบหน้าซีดขาว

มารดามันเถอะ! หากรู้แต่แรกว่าจะต้องรับกรรมเช่นนี้ ข้าไม่กลับมาหรอก!

จ้องมองเมฆขาวบนท้องฟ้าที่ลอยเคลื่อนช้าๆ เขาก็อดนึกถึงวันนั้นที่ท้องฟ้าสดใสเช่นเดียวกันนี้ไม่ได้…

 

เพิ่งจะเหยียบย่างเข้าสู่สำนักเดินเรือสี่สมุทรของสกุลจั้นที่เมืองหยางโจว จั้นปู้ฉวินก็เกือบจะชนเข้ากับสตรีท้องโตที่รีบร้อนพุ่งออกมาจากในบ้าน เขารีบยื่นมือออกไปประคองหญิงมีครรภ์ที่เกือบล้มคะมำ

‘บัดซบ เจ้าไม่มีลูกตาหรือ ไม่มีธุระแล้วมาเกะกะอยู่ตรงนี้ทำไม! เจ้ามากับ…’ หญิงท้องโตอ้าปากปุ๊บก็ด่ากราด แต่ตอนที่เห็นคนตรงหน้าชัดก็ถลึงตากว้าง ‘อาฉวิน?!’

มือใหญ่ของจั้นปู้ฉวินยังคงวางอยู่รอบเอวกลมกว้างของสตรีตรงหน้า ดวงตาสองข้างถลึงจนกว้างยิ่งกว่านาง ชายหนุ่มจ้องท้องที่ใหญ่ราวกับลูกหนังด้วยสีหน้าประหลาด เอ่ยพึมพำ

‘สวรรค์ นี่มันอะไร’

‘ท้องของข้า’ นางสงบสติอารมณ์แล้วตอบอย่างหัวเสียพลางปัดมือใหญ่ออก แล้วผลักเขาไปอยู่ข้างๆ ‘เอามือของเจ้าออกไป แล้วก็อย่ามาขวางทางข้า!’

นางพูดจบแล้วก็รีบร้อนเดินออกไปข้างนอกต่อโดยไม่สนใจเขาเลย สั่งกำชับคนที่ตามหลังมาเป็นพรวนเสียงดัง

‘เสี่ยวอู่ ไปดูที่ท่าเรือว่าเอ้อร์ซูมาถึงหรือยัง! เสี่ยวชี เจ้าไปร้านสกุลฉินตรวจดูสินค้าที่จะเอาขึ้นเรือวันรุ่งขึ้นอีกรอบ!’ ตอนที่นางเดินมาถึงข้างนอกก็พอดีกับที่หลัวอันอุ้มไหสุรากลับมา นางรีบเรียกเขาไว้ ‘หลัวอัน เจ้ากลับมาพอดี รีบไปหอสี่สมุทร ดูว่าลุงไช่เตาต้องการให้ช่วยอะไรหรือไม่ วันนี้ที่นั่นรับจัดโต๊ะเลี้ยงแขกสามสิบโต๊ะ อาจจะยุ่งหัวหมุน ถ้าหากคนไม่พอก็ไปโยกย้ายคนมาจากท่าเรือ’

‘ทราบแล้วขอรับ’ สองสามคนที่ถูกระบุชื่อตอบรับ แต่ละคนรีบแยกย้ายกันไปทำงาน

‘ฮูหยิน เถ้าแก่หวังยังติดหนี้เราเดือนที่แล้ว เขาอยากจะเลื่อนจ่ายเงินออกไปเดือนหน้าขอรับ เถ้าแก่โจวก็จ่ายค่าสินค้าของเดือนนี้เรียบร้อยแล้ว แต่เขาอยากจะคุยเรื่องขึ้นค่าขนส่งกับท่าน’ เหล่าอู๋ที่รับหน้าที่ดูแลบัญชีบอกอยู่ข้างหลังนาง

หญิงท้องโตผู้เฉียบแหลมมากความสามารถมาถึงข้างรถม้า เลิกม่านรถม้าขึ้น ได้ยินแล้วก็หันกลับไปถามโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

‘ปีที่ผ่านมานี้สถานะการจ่ายเงินของเถ้าแก่หวังเป็นอย่างไรบ้าง’

‘ปกติทุกอย่างขอรับ’

‘ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขาติดไว้เดือนหน้าได้ ส่วนโจวอวี้เฉิง บอกเขาว่าค่าขนส่งของเราสมเหตุสมผลที่สุด ถ้าหากเขามีปัญหาก็ไปหาเจ้าอื่น’

‘ขอรับ’ เหล่าอู๋พยักหน้า รีบเอาพู่กันจดไว้ในสมุด

‘ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่’ นางยืดท้องโตๆ กระโดดขึ้นรถม้าอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว ทำเอากลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังตกใจจนเหงื่อท่วม โดยเฉพาะจั้นปู้ฉวินที่เมื่อครู่ยังคอยมองท้องกลมดิกของนางตาค้าง

เหล่าอู๋ปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากที่ตกใจเพราะนาง ก่อนจะรีบบอก

‘สกุลสุ่ยแห่งต้งถิงส่งจดหมายมาอีกแล้วขอรับ บอกว่าจะเพิ่มเงินค่าต่อเรืออีก’

คิ้วงามขมวดมุ่นเล็กน้อย นางพึมพำกับตัวเองครู่หนึ่งแล้วบอก

‘รู้แล้ว เรื่องนี้เอาไว้ก่อน พรุ่งนี้ข้าค่อยจัดการ’

‘ขอรับ’

‘เอาล่ะ ข้ากลับเคหาสน์ก่อน หากมีธุระก็ส่งคนไปแจ้งข้า’ นางพูดจบแล้วก็ปล่อยม่านลง บอกคนขับรถม้าที่อยู่ข้างหน้าว่ากลับเคหาสน์สี่สมุทรที่อยู่นอกเมือง

ทุกคนเบียดกันอยู่หน้าประตูน้อมส่งฮูหยิน แต่คิดไม่ถึงว่ารถม้าวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็กลับได้ยินเสียงฮูหยินร้องสั่งให้หยุดดังลั่น ทุกคนยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็เห็นนางเลิกม่านขึ้นอีก เลื่อนสายตาไปยังบุรุษตัวโตหนวดดำที่อยู่ข้างประตูใหญ่แล้วเอ่ยเสียงเย็น

‘ขึ้นรถ’

จั้นปู้ฉวินมองซ้ายมองขวาแล้วจึงเอานิ้วชี้จมูกตัวเองพลางถาม

‘เรียกข้า?’

‘เหลวไหล ไม่เรียกเจ้าแล้วจะเรียกใคร!’ จริงๆ เลย นางเกือบจะลืมเจ้าเด็กนี่ไปแล้ว ‘งงอยู่ทำไม ยังไม่รีบขึ้นรถอีก!’

‘อ้อ’ จั้นปู้ฉวินเกาศีรษะแล้วรีบขึ้นรถแต่โดยดี

ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้กลัวใครไม่กลัวกันเล่า แต่เขาก็ทำอะไรคนท้องไม่ได้ โดยเฉพาะหญิงท้องโตที่เป็นพี่สาวแท้ๆ ที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาสิบกว่าปี…คุณหนูใหญ่แห่งมังกรสมุทรตระกูลจั้น คนที่ชื่อเสียงระบือไกล หลักแหลมมากความสามารถ มีลูกน้องนับร้อย ร้อยศึกไร้ศัตรูคนนั้น ซึ่งก็คือจั้นชิง

กลับมาถึงเคหาสน์สี่สมุทร คนยังไม่ทันลงจากรถ เซียวจิ้งที่รีบกลับมาจากท่าเรือก็มาถึงประตูแล้ว เขาอุ้มภรรยาสุดที่รักลงจากรถม้า เห็นจั้นชิงยืดท้องใหญ่อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดเซียวจิ้งอย่างบอบบางน่ารัก ทั้งสองคนยังไถ่ถามทุกข์สุขกระซิบกระซาบคำพูดหวานๆ ใส่กัน จั้นปู้ฉวินก็ได้แต่ปากอ้าตาค้างพูดไม่ออก

ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยเห็นหญิงห้าวอ่อนโยนถึงเพียงนี้ ทำเอาเขาต้องเอามือนวดตาสองข้างอย่างอดไม่ได้ มือยังไม่ทันวางลงก็เห็นเด็กสองคนที่อายุราวๆ สิบกว่าขวบกระโดดออกมาจากที่นั่ง พุ่งเข้ามาฟันฉับลงที่ตัวเขา ปากก็ยังไม่ลืมร้องด้วยเสียงดังลั่น

‘คนป่า เอามีดไปกินซะ!’

‘ทำ…’ จั้นปู้ฉวินหลบวูบ ยกเท้าขวาขึ้น สองมือคว้าไว้ เตะดาบใหญ่ของเด็กสองคนกระเด็นหวือ มือแต่ละข้างคว้าคอเสื้อของเด็กน้อยเหมือนจับลูกไก่ ขมวดคิ้วแล้วพูดต่อให้จบ ‘ทำบ้าอะไรเนี่ย?!’

‘ปล่อยข้า! เจ้าคนป่า!’ เด็กทางขวาที่แขนขาปัดป่ายดีดดิ้นอยู่กลางอากาศสุดชีวิตจ้องเขาอย่างเดือดดาล

เด็กคนที่อยู่ทางซ้ายก็ถลึงตากว้าง มองเขาหน้านิ่ง จากนั้นก็เอ่ยถาม…

‘เจ้าคิดจะกินพวกเราหรือ’

กิน?! จั้นปู้ฉวินทำหน้าเหลอหลา เด็กบ้าสองคนนี้นึกว่าข้าเป็นปีศาจกินคนหรือ

‘เอ้าหรานเอ้าเทียน อย่าเกเร’ ในที่สุดสามีภรรยาที่อยู่ข้างหน้าก็สังเกตเห็นสถานการณ์ทางนี้ เซียวจิ้งหัวเราะบอก

‘พวกเราไม่ได้เกเรสักหน่อย อาจารย์หลินบอกว่าคนป่าล้วนคือคนเลวที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบ!’ เซียวเอ้าเทียนที่ถูกจั้นปู้ฉวินหิ้วอยู่ทางขวาร้องบอกเสียงดัง

‘อาจารย์หลินยังบอกอีกว่าคนป่าล้วนฆ่าคนไม่กะพริบตา แล้วยังกินคนด้วยนะ’ เซียวเอ้าหรานที่อยู่ทางซ้ายเอ่ยเสริมกับบิดามารดาทำหน้าจริงจัง

‘อาจารย์หลินนี่ใคร’ เซียวจิ้งขมวดคิ้ว ถามภรรยาที่รักในอ้อมกอดอย่างฉงน ตอนที่เขาออกจากบ้านไปเดือนก่อน ไม่เคยได้ยินบุตรชายพูดถึงคนที่ว่านี้

‘คนเล่านิทานที่อยู่ละแวกนี้น่ะ’ จั้นชิงมองบุตรชายสองคน เลิกคิ้วพร้อมบอกเสียงเย็น ‘ข้าเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าไปฟังเขาพูดจาเหลวไหลอีก’

เด็กสองคนเห็นมารดาเอ่ยขึ้น ท่าทางก็อ่อนลงไปมาก

เห็นทั้งสองคนสงบเสงี่ยมขึ้นแล้ว จั้นปู้ฉวินก็ปล่อยคอเสื้อให้พวกเขายืนดีๆ

ดวงตาคู่งามของจั้นชิงเบิกกว้าง ก่อนจะเอ่ยตำหนิ

‘ใครให้พวกเจ้าเอาดาบมาฟันผู้อื่น ให้พวกเจ้าฝึกยุทธ์แล้วมาเล่นเหลวไหลเช่นนี้หรือ คนอื่นพูดอะไร พวกเจ้าก็เชื่ออย่างนั้น วันนี้โชคดีที่เป็นท่านอาของพวกเจ้า ถ้าหากวันไหนไปทำร้ายคนผ่านทางที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เข้าจริงๆ พ่อจะดูซิว่าพวกเจ้าจะเอาอะไรไปชดใช้เขา!’

เอ้าหรานเอ้าเทียนได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิด แต่ชั่วพริบตาทั้งคู่ก็เงยหน้าขึ้น จ้องจั้นปู้ฉวินแล้วร้องลั่นพร้อมกันด้วยความตกตะลึง

‘ท่านอา?!’

จั้นปู้ฉวินก็ไม่ได้สงบนิ่งไปกว่ากัน ตาค้างลิ้นพันจ้องเด็กร้ายกาจสองคนที่อยู่ตรงหน้า ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหญิงห้าวมีบุตรชายสองคนที่โตขนาดนี้แล้ว

เอ้าเทียนเพิ่งจะพูดจบก็ถลึงตากว้าง ชี้มารดาแล้วร้องเสียงหลงอย่างอดไม่ได้

‘ท่านแม่ ที่แท้ท่านก็เป็นคนป่า!’

‘คนป่าอะไรกัน เหลวไหลทั้งเพ!’ จั้นชิงเคาะหัวบุตรชายเบาๆ อย่างอารมณ์เสีย

‘แต่เขาใส่ชุดชาวหู นะ!’ เอ้าหรานช่วยน้องชายพูดด้วยความสงสัย

‘ใครกำหนดว่าคนที่ใส่ชุดชาวหูคือคนป่า?’ เซียวจิ้งบอกขันๆ ‘แล้วถ้าพ่อใส่ชุดชาวหู พวกเจ้าจะเอามีดมาฟันพ่อเหมือนกันหรือไม่เล่า’

พี่น้องทั้งสองคนมองกันไปมองกันมา เป็นใบ้ไปชั่วขณะ แต่ยังคงขุ่นข้องในอก เอ้าหรานจึงว่าต่อ

‘นั่นไม่เหมือนกัน ท่านเป็นพ่อนี่ ไม่ใช่คนป่า’

‘ถ้าอย่างนั้นน้องสาวสกุลอวี่เหวินเป็นคนต่างถิ่น นางก็คือคนป่าน่ะสิ? พวกเจ้าสองคนจะฟันนางหรือ’ เซียวจิ้งถามยิ้มๆ

เอ้าหรานเอ้าเทียนยิ่งอับจนคำพูดไปชั่วขณะ ได้แต่ส่ายหน้าแรงๆ อวี่เหวินหลิงหลิงน่ารักยิ่งนัก พวกเขาสองคนเอามีดฟันนางไม่ลงหรอก

‘เหตุใดถึงไม่ฟันล่ะ นางไม่ใช่คนต่างถิ่นหรอกหรือ’ เซียวจิ้งจงใจถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว

สองพี่น้องสบตากันอีกครั้ง นานสักพักจึงได้ตอบ

‘น้องหลิงเป็นคนดี ท่านอาอวี่เหวินก็เป็นคนดี’

‘ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง’ เซียวจิ้งแสร้งทำเป็นเข้าใจขึ้นมาทันที แล้วคลี่ยิ้มพร้อมสอนบุตรชาย ‘เพราะฉะนั้นต้องแยกแยะระหว่างคนดีกับคนเลวใช่หรือไม่ ไม่ใช่แบ่งแยกว่าเป็นคนต่างถิ่นหรือชาวฮั่น?’

คำพูดของบิดาให้สติ สองพี่น้องจึงเข้าใจขึ้นมาทันที ก้มหน้าอย่างละอายใจนิดๆ

‘สำนึกผิดแล้วใช่หรือไม่’

‘ขอรับ’ พวกเขาสองคนพยักหน้าอย่างว่าง่าย

เซียวจิ้งหัวเราะ

‘ยังไม่รีบขอโทษท่านอาปู้ฉวินอีก’

เอ้าหรานเอ้าเทียนหันกลับไปแต่โดยดี โค้งคำนับขออภัยจั้นปู้ฉวินที่แต่งกายด้วยชุดต่างถิ่นอย่างสำนึกผิด

เห็นเด็กสองคนหน้าตางดงาม ท่าทางสบายๆ เป็นธรรมชาติ อายุน้อยแค่นี้แต่กลับมีมารยาทนัก โดยเฉพาะเซียวเอ้าเทียนที่มีบุคลิกเหมือนจั้นเทียนผู้เป็นบิดาเมื่อหลายปีก่อน จั้นปู้ฉวินรู้สึกตื้นตันใจจึงหัวเราะบอก

‘ช่างเถอะ เด็กๆ แค่ชอบฟังนิทานเท่านั้นเอง’

สิ้นเสียง บ่าวรับใช้ของเคหาสน์สี่สมุทรก็เข้ามารับ ทุกคนเข้าบ้านทักทายปราศรัยกันพักหนึ่งแล้วก็แยกย้ายกลับไปพักที่ห้องของตัวเอง

จั้นปู้ฉวินเดินทางจากตำบลอวี้เฉวียนรีบมาเมืองหยางโจว เปื้อนฝุ่นไปทั้งตัว แค่ตบส่งๆ ก็จะมีควันเหลืองๆ ลอยออกมา โชคดีที่บ่าวรับใช้สกุลจั้นฉลาดหัวไว รีบเอาน้ำมาให้อาบแล้วเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เขา

ชายหนุ่มอาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้วก็นอนพักบนเตียงครู่หนึ่ง ตอนที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งพระจันทร์ก็ลอยเด่นบนท้องฟ้าแล้ว

บ่าวรับใช้คนหนึ่งมาเชิญเขา บอกว่าเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับเรียบร้อยแล้ว เขาจัดแจงตัวเองอีกเล็กน้อยแล้วก็เดินตามไปถึงด้านหน้า…

 

คลื่นลมในแม่น้ำตลบม้วนขึ้นมาอีก จั้นปู้ฉวินอยากอาเจียนขึ้นมาอีกระลอก ขัดจังหวะการรำลึกความทรงจำในหัว

มารดามันเถอะ! ‘เลี้ยงต้อนรับ’ อะไรกันหา!

จั้นปู้ฉวินหน้าซีดไปทั้งหน้า อยากจะอาเจียนเอาน้ำย่อยออกมา เขาคิดอย่างเดือดดาล เพราะคาดไม่ถึงว่าเช้าวันรุ่งขึ้นจะถูกสามีภรรยาใจดำคู่นั้นเตะออกจากประตูใหญ่ บอกว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนสกุลจั้น ออกจากบ้านไปโดยไร้สาเหตุตั้งหลายปี อย่างน้อยๆ ก็ต้องช่วยสกุลจั้นทำงานสักหน่อย จากนั้นก็บังคับให้เขาขึ้นเรือ ยืนกรานให้เขาไปต้งถิงเพื่อตรวจดูว่าเหตุใดช่วงนี้สกุลสุ่ยจึงเพิ่มเงินทุนสร้างเรือไม่หยุด

บอกตามตรง หากเขาออกไปจากเมืองหยางโจวได้ก็จะคิดหาหนทางไปจากเรือนี้ แต่หญิงห้าวน่าชังนั่นถึงกับสั่งทุกคนบนเรือว่าห้ามเข้าใกล้ฝั่งเลยตลอดทาง ทำเอาเขาอาเจียนมาสองวันติด เกือบจะอาเจียนเอาเครื่องในออกมาหมดแล้ว เขาอาเจียนจนสองขาอ่อนยวบแม้แต่จะยืนยังยืนไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะคิดหาวิธีข้ามน้ำลงไปจากเรือ

ดวงตาทั้งคู่จ้องน้ำในแม่น้ำที่ไหลเป็นสายยาวไกล จั้นปู้ฉวินคร่ำครวญ กระทั่งคิดจะสกัดจุดนิทราของตัวเองให้เคลิ้มหลับไปตลอดทางจนถึงต้งถิง

คนขับเรือสกุลจั้นที่อยู่ข้างๆ หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองก็คงไม่เชื่อว่าชายหนุ่มตัวโตสูงเจ็ดฉื่อที่พอขึ้นเรือมาก็อาเจียนอยู่บ่อยครั้งผู้นี้ ก็คือคุณชายสกุลจั้นที่หายตัวไปแสนนาน

นายท่านผู้เฒ่าจั้นเทียนมีฉายาว่ามังกรสมุทรมาแต่ไหนแต่ไรมิใช่หรือ แม้แต่คุณหนูใหญ่จั้นชิงที่คอยดูแลพวกเขาก็ได้รับยกย่องว่าเป็นธิดามังกรสมุทร เหตุใดบุตรชายของนายท่านผู้เฒ่าคนนี้ น้องชายของผู้นำคนปัจจุบัน ถึงไร้ประโยชน์เพียงนี้

ทุกคนสบตากัน นึกถึงข่าวลือเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ

ได้ยินว่าตอนนั้นคุณชายไม่พอใจที่นายท่านผู้เฒ่ายกตำแหน่งให้คุณหนูใหญ่จึงโกรธแค้นแล้วหนีออกจากบ้านไป…

คนขับเรือสองสามคนหน้าเจื่อนหัวเราะแหะๆ เข้าใจขึ้นมาทันที เรื่องราวคงไม่ใช่อย่างที่พวกเขาเคยคิดเสียแล้ว จากที่พวกเขาสังเกตดู คงเพราะคุณชายไม่ยอมรับตำแหน่งจึงได้หนีไปในคืนนั้นต่างหาก

ดูสิ เพิ่งจะขึ้นเรือได้สองวันเขาก็อาเจียนหนักถึงเพียงนี้ ถ้าหากตอนนั้นรับตำแหน่งดูแลกิจการ ชีวิตของคุณชายก็คงกลายเป็นวิญญาณใต้น้ำไปตั้งแต่แรกแล้วล่ะ!

บทที่สอง

ท่าเรือเยวี่ยหยางที่แสนพลุกพล่าน คนมากมายรีบขนสินค้าขึ้นลง

คุณชายจั้นที่เพิ่งลงเรือสีหน้าไม่สู้ดีนัก ใบหน้าส่วนที่ไม่ได้ถูกบดบังด้วยหนวดครึ้มยังคงขาวซีดราวกับคนตาย เห็นเขาค้อมหลังงอตัว ร่างสูงเจ็ดฉื่อไม่ได้มีความองอาจผ่าเผย ดูแล้วเหมือนคนไม่เอาไหนไร้สามารถ

“คุณชาย ท่านยังสบายดีใช่หรือไม่ขอรับ” อู่จงเดินลงจากเรือ ถามคำถามเดียวกันครั้งที่หนึ่งร้อยแปดด้วยความเป็นห่วง

จั้นปู้ฉวินโบกมือสองที ลูบเหงื่อเย็นบนหน้า พยายามยืดตัวขึ้น เหลือบมองคนถามอย่างอ่อนแรง

“ร้านเหล้าที่ใกล้ที่สุดอยู่ตรงไหน”

อู่จงผงะไปครู่หนึ่ง แล้วนึกถึงว่าตลอดทางคุณชายจะอาศัยกรอกสุราร้อนแรงเข้าปากจึงยืนหยัดเดินทางทางน้ำมาได้ มิน่าเล่าพอลงเรือก็ถามว่าร้านเหล้าไปทางไหน เขาจึงรีบบอก

“ข้างหน้าออกจากท่าเรือไปแล้วเลี้ยวขวาก็จะเห็นธงของหอเซียวเซียงขอรับ” พูดจบก็เรียกลูกน้องที่ขนย้ายสินค้าหนึ่งในนั้น “เสี่ยวลิ่ว เจ้าพาคุณชายจั้นไป”

จั้นปู้ฉวินโบกมือห้าม

“ไม่ต้องหรอก ไหนๆ ก็อยู่ข้างหน้านี้ พวกเจ้าทำงานของพวกเจ้าไปเถอะ ข้าไปเองได้”

เห็นคุณชายยืนกรานเช่นนั้น อู่จงก็ไม่ฝืนใจ แค่บอกที่อยู่สำนักเดินเรือสี่สมุทรสาขาเยวี่ยหยางกับจั้นปู้ฉวิน หลังจากนั้นก็หมุนตัวกลับเข้าไปช่วยถ่ายสินค้าออก

จั้นปู้ฉวินลากร่างใหญ่ยักษ์เชื่องช้าออกจากท่าเรือไปอย่างหมดแรง มุ่งหน้าไปยังหอเซียวเซียง โชคดีที่พอใครๆ เห็นร่างใหญ่ยักษ์ของเขาเดินโงนเงนมาก็พากันหลีกทางให้โดยสมัครใจ ถ้าไม่อย่างนั้นมีใครเผลอมาชนเขาเข้า ด้วยสภาพของเขาในตอนนี้คงต้องอาเจียนรดคนผู้นั้นแน่

ใครจะไปรู้ว่าเขาเพิ่งจะเลี้ยวเข้ามาในถนนใหญ่ก็มีใครบางคนปรี่ตรงเข้ามา ด้วยรูปร่างของเขาจึงทำให้เคลื่อนไหวเชื่องช้า อยากจะหลบก็หลบไม่ทัน ได้แต่มองหญิงสาวในชุดขาวกอดกระดาษหลายม้วนพุ่งเข้าชนร่างตัวเองเต็มแรงอย่างช่วยไม่ได้

เสียงตึงดังขึ้น เพราะจั้นปู้ฉวินร่างสูงใหญ่กำยำ แม่นางผู้นั้นชนเขาเข้าแล้วก็หงายหลังล้มลง ม้วนกระดาษที่กอดอยู่กระจายลงพื้นทันที จั้นปู้ฉวินเองก็รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนเพราะถูกนางชน เขาโก่งตัว กระทั่งความคิดที่จะข่มกลั้นไว้ยังไม่ทันแวบขึ้นมาก็อาเจียนเอาเศษอาหารและน้ำย่อยที่เหลืออยู่ในท้องออกมารดศีรษะและใบหน้าของแม่นางผู้นั้นแล้ว

สุ่ยรั่วล้มลงที่พื้น ยังไม่ทันทำความเข้าใจกับสถานการณ์ คิดไม่ถึงว่าพอเงยหน้าขึ้นมาก็จะถูกคนอาเจียนรดใส่ทั้งตัว! ครั้นได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยว นางก็เกือบจะอาเจียนตาม อีกทั้งใบหน้ายังเลอะเทอะ บนเสื้อผ้าก็เปรอะเปื้อนไปทั่ว นางเห็นสิ่งสกปรกน่าขยะแขยงพวกนั้นแล้วก็คิดแค่ว่าอยากจะหมดสติไปเสียตรงนั้น!

และในตอนนี้หางตาของนางก็เหลือบไปเห็นว่าภาพเรือที่หล่นอยู่ข้างกายเลอะของเสียเหล่านั้นด้วยเช่นกัน จึงรีบควบคุมความคิดที่จะหมดสติไปไว้ แล้วตะลีตะลานกอบกู้ภาพเรือพวกนั้นที่อุตส่าห์วาดมาทั้งคืนอย่างตื่นตระหนก กระทั่งไม่สนคราบสกปรกที่ติดอยู่บนหน้าและเนื้อตัว แต่กลับใช้มือเปล่าปัดสิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนภาพเรือนั้นออกก่อน

“คุณหนู! นี่มันอะไรกันเจ้าคะ” เฉี่ยวเอ๋อร์ที่มัวแต่อืดอาดยืดยาดเพิ่งจะมาถึง เห็นคุณหนูของตนคุกเข่าอยู่ที่พื้นกำลังช่วยชีวิตภาพเรือ บนศีรษะและบนดวงหน้ายังมีสิ่งสกปรกเหนียวเหนอะเหม็นเปรี้ยวติดอยู่ นางก็กรีดร้องทันที ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วเข้าไปพยุงคุณหนูให้ลุกขึ้น เช็ดคราบเปื้อนออกจากตัวของอีกฝ่ายพลางบ่นอุบ “สวรรค์! คุณหนูเดี๋ยวค่อยเก็บเจ้าค่ะ…”

“เฉี่ยวเอ๋อร์ เจ้ามาได้จังหวะพอดี รีบช่วยเช็ดภาพให้แห้งเร็วเข้า ถ้าชักช้าเดี๋ยวจะเลือนหมด” สุ่ยรั่วเอาม้วนภาพที่เก็บกลับมาได้ยัดให้เฉี่ยวเอ๋อร์ แล้วหันกลับไปกำลังจะย่อตัวลง

“คุณหนู ท่านทำความสะอาดตัวเองก่อนเจ้าค่ะ! คุณหนู…” เฉี่ยวเอ๋อร์ได้แต่ร้องเรียกนายตัวเองอย่างหมดแรง แต่สุ่ยรั่วไม่ได้ฟังเลยสักนิด เอาแต่รีบเก็บภาพเรือที่กลิ้งหล่นไปกลางถนนใหญ่ ทำเอาเฉี่ยวเอ๋อร์โมโหจนได้แต่กอดภาพเหม็นเปรี้ยว ย่ำเท้าอยู่ข้างๆ

เมื่อทำอะไรคุณหนูตัวเองไม่ได้ เฉี่ยวเอ๋อร์ก็หันกลับมาเห็นตัวต้นเหตุที่หน้าซีดขาว กำลังค้อมหลังยันกำแพงไว้ นางโมโหจนตะโกนใส่เขา

“เหตุใดเจ้าเดินไม่ดูทาง! ไม่มีลูกตาหรือไร น่ารังเกียจที่สุด! ถ้าหากขาดไปแม้แต่ภาพเดียว เจ้าขายตัวเองยังไม่พอให้ชดใช้เลย ยังจะมีหน้ายืนอยู่ได้ ไม่รีบมาช่วยกันอีก!”

จั้นปู้ฉวินเดิมก็สับสนงุนงงอยู่แล้ว พอถูกสาวใช้ตะคอกใส่จึงได้สติขึ้นหน่อย เขาหันไปอย่างโงนเงน ตั้งใจจะช่วยแม่นางผู้นั้น แต่คาดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งจะยืนตรงได้ก็ได้ยินสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ คนนั้นกรีดร้องอีกครั้ง

“คุณหนูระวังเจ้าค่ะ!”

พอเขาได้ยินก็เงยหน้าหันไปทางแม่นางผู้นั้นที่กำลังเก็บภาพอยู่บนถนน นางสนใจแต่จะเก็บภาพ โดยไม่รู้เลยว่ารถม้าคันหนึ่งแล่นมากลางถนนใหญ่ที่เบียดเสียดคับคั่ง พอรถม้าที่บรรทุกถุงแป้งไว้เต็มคันรถเอียงแฉลบเข้าไปทางแม่นางที่ขวางทางอยู่ด้วยระยะที่ห่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผงแป้งบนรถยังตกลงมาหนึ่งห่อดังปุ้ก พอถุงแป้งแตกเป็นรู ผงแป้งขาวก็ลอยฟุ้งเต็มฟ้าทันที คนขับรถม้าและผู้คนที่อยู่ข้างถนนต่างสะดุ้งตกใจจนเหงื่อท่วมเพราะนาง

ขณะเดียวกับที่ทุกคนโล่งอก ก็กลับได้ยินเสียงกีบเท้าที่ห้อมาอย่างรวดเร็วดังมาไม่ขาดสายจากที่ไม่ไกลนัก เฉี่ยวเอ๋อร์ยังไม่ทันดึงคุณหนูของตนกลับมา อาชาพันธุ์ดีสองสามตัวก็ห้อตะบึงมาชนิดฟ้าผ่ายังไม่ทันอุดหู และเพราะข้างหน้ารถม้ามีฝุ่นตลบและผงแป้งที่ลอยฟุ้งรอบทิศ ผู้คุ้มกันบนม้าจึงมองไม่เห็นว่ามีหญิงสาวอยู่บนถนนใหญ่ ยังคงควบม้ามาด้วยความเร็วสุดขีด

ผู้คนข้างถนนเห็นเหตุการณ์ก็รีบร้องลั่น

“ข้างหน้ามีคน! รีบหยุดเร็วเข้า!”

เสียงกีบเท้าม้าดังแสบแก้วหู คนบนหลังม้าไม่ได้ยินว่าคนที่อยู่ริมถนนกำลังร้องตะโกนอะไร

และก่อนที่เฉี่ยวเอ๋อร์จะพุ่งเข้าไปนั้น ชายตัวโตหนวดดำก็ตบหลังนาง…

“อย่าขยับ!”

ชายตัวโตหนวดดำพุ่งออกไป จมหายเข้าไปในควันฝุ่นและผงแป้ง พริบตาต่อมาผู้คุ้มกันสองสามคนนั้นที่เร่งม้าให้รีบเดินทางก็ผ่านไปราวกับสายลมพร้อมเสียงอึกทึกดังสนั่น เหลือทิ้งไว้เพียงผงแป้งขาวและทรายเหลืองลอยฟุ้งทั่วฟ้า…

“คุณหนู! แค่กๆๆ คุณหนู…” เฉี่ยวเอ๋อร์มือข้างหนึ่งเอาผ้าเช็ดหน้าอุดจมูก มืออีกข้างหอบภาพเรือ หรี่ตาเล็กเดินไปข้างหน้าคลำหาคุณหนูด้วยความเป็นห่วงท่ามกลางฝุ่นเหลืองสกปรก “คุณหนู ไม่เป็นไรใช่หรือไม่เจ้าคะ คุณหนู?”

คนที่อยู่ข้างๆ ยังตื่นตระหนกไม่หาย สถานการณ์บนถนนจบลงแล้ว แต่กลับทำให้ทุกคนตาค้าง…เห็นเพียงบริเวณที่กีบม้าก้าวผ่านไปคือความโล่งว่าง แล้วคนล่ะไปอยู่ไหน ไม่เห็นแม้แต่ชายเสื้อ!

เฉี่ยวเอ๋อร์ตะลึงงัน มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าว่างเปล่า

“แล้ว…คนเล่า?” แม้ว่าจะถูกเหยียบแบนแต่ก็น่าจะมีซากศพ หรือทิ้งรอยเลือดไว้สองสามแอ่งสิ เหตุใดในชั่วพริบตาเดียวจึงไม่เห็นอะไรเลยเล่า!

ทันใดนั้นก็มีใครบางคนตบหลังของนาง

“เฮือก?!” เฉี่ยวเอ๋อร์สะดุ้งโหยงแล้วเผลอปล่อยมือ ภาพเรือและผ้าเช็ดหน้าร่วงลงพื้นในทันที

นางหันขวับกลับไป เห็นผีร่างสูงเจ็ดฉื่อเต็มไปด้วยผงแป้งขาวราวหิมะทั่วทั้งตัว

“อ๊าก!…”

นางตกใจร้องลั่น ถอยหลังไปสามก้าวดังตึงๆๆ ร้องได้ครึ่งเดียวจึงเห็นชัดว่าที่มือของผีตนนั้นยังอุ้มผีสาวที่สลบไสลอยู่ด้วย…แม้สตรีผู้นั้นจะมีผงแป้งเลอะเต็มหน้า เฉี่ยวเอ๋อร์ก็ยังนึกออกทันทีว่าอีกฝ่ายคือคุณหนูของตน

“คุณหนู?!” นางหยุดถอยแล้วพุ่งตัวไปข้างหน้า ตวาดแหวใส่เจ้าคนร่างสูงใหญ่ “เจ้าทำอะไรคุณหนูของข้า รีบวางนางลงเดี๋ยวนี้!”

จั้นปู้ฉวินอยากจะอ้าปากพูด แต่อาการคลื่นเหียนก็พุ่งขึ้นมาที่คอ เขากลัวว่าจะอาเจียนออกไปอีกจึงได้แต่ปิดปากสนิทคลี่ยิ้มขื่น

เสี่ยวเอ้อร์ของหอเซียวเซียงซึ่งอยู่ข้างๆ ที่เอามือตบไหล่นางเมื่อครู่นี้รีบบอกอย่างไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี

“แม่นางเฉี่ยวเอ๋อร์ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว คุณชายท่านนี้ช่วยคุณหนูของเจ้าไว้ เขาอุ้มคุณหนูใหญ่หลบกีบม้า เหาะขึ้นไปบนชั้นสองของหอเรา แต่คุณหนูใหญ่อาจจะตกใจมาก จึงได้หมดสติตอนที่ร่อนลงพื้น”

“จริงหรือ” เฉี่ยวเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นแล้วสีหน้าก็ลดความดุร้ายลงเล็กน้อย แต่แววตายังเต็มไปด้วยความสงสัย มองสำรวจชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า

“จริงสิ” เสี่ยวเอ้อร์ที่ร้านช่วยพูด เมื่อครู่นี้เขาอยู่บนชั้นสอง เห็นกับตาว่าคุณชายคนนี้อุ้มคุณหนูใหญ่กระโดดขึ้นชั้นสองอย่างง่ายดาย ทักษะที่ปราดเปรียวนั้นทำให้เขาเลื่อมใสยิ่งนัก

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสั้นเร่งรถม้าคันหนึ่งผ่านมา เห็นเฉี่ยวเอ๋อร์แล้วจึงตวัดตัวลงจากม้าเดินเข้ามา

“คุณชายสวี่” เฉี่ยวเอ๋อร์เห็นผู้มาใหม่คือสวี่จื่อฉีศิษย์คนโตของนายท่านก็รีบอธิบายเรื่องราวให้เขาฟัง

สวี่จื่อฉีได้ฟังที่มาที่ไปของเหตุการณ์แล้วก็รีบเรียกรถม้าที่อยู่ข้างหลัง จั้นปู้ฉวินให้ความร่วมมือส่งแม่นางที่หมดสติขึ้นรถ เฉี่ยวเอ๋อร์ก็ปีนขึ้นรถคอยดูแลคุณหนูที่รักของนาง ก่อนจะขึ้นรถก็ยังไม่ลืมบอกให้คนอื่นๆ เก็บภาพเรือที่หล่นอยู่บนพื้นกลับไปด้วย

“อาจารย์ของข้าคือสุ่ยอวิ๋นดาบทองคำ ข้าน้อยสวี่จื่อฉี” ศิษย์คนโตของสกุลสุ่ยประสานมือให้จั้นปู้ฉวิน “ไม่ทราบว่าพี่ชายมีนามว่าอย่างไร”

จั้นปู้ฉวินได้ยินแล้วก็ผงะ ที่แท้แม่นางผู้นี้คือคุณหนูสกุลสุ่ย เสียแรงตามหาตั้งนานหาไม่เจอ แต่บทจะเจอก็เจอโดยบังเอิญจริงๆ ตอนนี้ท้องไส้ของเขาดีขึ้นบ้างแล้วจึงประสานมือตอบกลับ

“ที่แท้คือศิษย์ยอดฝีมือของจอมยุทธ์สุ่ย เป็นเกียรติยิ่งนัก ข้าน้อยจั้นปู้ฉวิน”

“ขอบคุณพี่จั้นที่ออกโรงช่วยเหลือ พี่จั้นคงไม่ใช่คนต้งถิงกระมัง ยามนี้เนื้อตัวสกปรกทำความสะอาดลำบาก หวังว่าพี่จั้นจะกลับไปคฤหาสน์สกุลสุ่ยของพวกเราด้วยกัน เพื่อล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ให้อาจารย์ของข้าได้ขอบคุณท่านด้วยตัวเอง”

ก็ดีเหมือนกัน ไหนๆ ช้าเร็วก็ต้องไปสกุลสุ่ยอยู่แล้ว ในเมื่อตอนนี้มีคนนำทาง แล้วแม่นางสุ่ยผู้นั้นก็ยังต้องลำบากเพราะข้า ข้าก็ควรตามไปด้วย แม้จะรู้สึกอยากดื่มเหล้า แต่อย่างน้อยก็ต้องรอให้คนปลอดภัยก่อนแล้วค่อยไปดื่มก็ยังไม่สาย จั้นปู้ฉวินใช้ความคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบรับอีกฝ่ายด้วยความยินดี

รถม้าแล่นเลียบชายฝั่งทะเลสาบต้งถิง ทอดสายตามองออกไปเห็นภาพงดงามที่เมฆขาวแย่งกันโผล่ออกมาจากภูเขา ลมเย็นสดชื่นปะทะต้นหลิวให้ปลิวไสว

ภาพทิวทัศน์ที่สวยงามของทะเลสาบและภูเขาในต้งถิงนี้ แม้จะไม่ได้ปกปิดหน้าตาเหมือนสาวงามวัยกำดัดในซูโจวหังโจว หรือเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มไปเสียทุกที่ แต่ภูเขาและแม่น้ำที่ทอดยาวไม่ขาดสายหลายลี้เช่นนี้กลับให้รสชาติอีกแบบ ทำให้คนเกิดความรู้สึกประทับใจอย่างลึกซึ้งกับภาพสายน้ำสะอาดบริสุทธิ์เชื่อมติดกับท้องฟ้า

มีเรือหาปลาอยู่ทั่วทะเลสาบ บางครั้งใกล้กับชายฝั่งก็ยังมีคนปลูกบัวหน้าร้อนริมทะเลสาบ ลมหนาวพัดโชยเอากลิ่นหอมสดชื่นของดอกบัวมาด้วย ทำให้จิตใจของจั้นปู้ฉวินแจ่มใสขึ้นไม่น้อยและรู้สึกสบายขึ้นมาก

รถม้าใช้เวลาเดินทางหนึ่งเค่อจึงได้มาหยุดหน้าคฤหาสน์สกุลสุ่ย

หลังลงจากรถม้า เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นแผ่นป้ายแขวนอยู่หน้าประตูใหญ่เขียนไว้ว่า ‘สกุลสุ่ยฟุ้งเฟื่อง’ ตัวอักษรแข็งแรงทรงพลัง มีชีวิตชีวาและทรงอำนาจ คนที่ตาถึงแค่เห็นก็รู้แล้วว่าตัวอักษรนี้เขียนโดยยอดฝีมือ จริงดังคาด ชื่อที่กำกับไว้คือจอมยุทธ์ต้งถิงที่ชื่อเสียงเลื่องลือทั่วยุทธภพ…สุ่ยอวิ๋นดาบทองคำ

“พี่จั้น เชิญ” สวี่จื่อฉีประสานมือเชิญอย่างนอบน้อม

จั้นปู้ฉวินรีบก้าวข้ามธรณีประตูตามไปพร้อมกัน

มาถึงโถงใหญ่ หมอได้ถูกเชิญมานานแล้ว ศิษย์ใหญ่สกุลสุ่ยผู้นี้ให้คนพาคุณหนูใหญ่กลับไปที่ห้อง และให้บ่าวรับใช้พาผู้มีพระคุณช่วยชีวิตคุณหนูใหญ่ไปล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องรับรองแขก

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าสะอาดที่สกุลสุ่ยเตรียมไว้ให้แล้ว จั้นปู้ฉวินก็ตามบ่าวรับใช้เดินผ่านตรอกแคบในสวนเก้าโค้งสิบแปดเลี้ยวกลับมาถึงห้องโถงใหญ่

เพิ่งจะมาถึงลานหน้าโถงก็เห็นพื้นที่โล่งกว้างเมื่อครู่นี้มีชายในชุดลำลองสีขาวเหมือนกันสิบคนล้อมเป็นวงอยู่ ตรงกลางมีชายสองคนกำลังประมือกัน หนึ่งในนั้นก็คือสวี่จื่อฉีที่พาเขาเข้ามาที่นี่ มือของชายหนุ่มถือดาบใหญ่ อีกคนแต่งกายด้วยชุดดำมือถือทวน หนึ่งดาบหนึ่งทวนรุกและรับกันอยู่ในสนาม เกิดเป็นเสียงก้องกังวาน

ดาบใหญ่ของสวี่จื่อฉีฟันซ้ายฟันขวา ทวนของชายชุดดำไม่ถอยทว่ากลับรุกไปข้างหน้า เสี่ยงอันตรายเพราะเข้าตาจน อาศัยรุกเพื่อรับ เกือบจะแทงเข้าไหล่ซ้ายของสวี่จื่อฉีแล้ว

ไม่น่าเชื่อว่าสวี่จื่อฉีจะไม่หลบ แต่แค่ใช้พลังจากเอวและเท้าสองข้างหลบปลายทวน มือขวาฟันไปตามตัวทวนอย่างแรง พอเห็นว่าจะฟันถูกมือใหญ่ของอีกฝ่ายที่จับทวนแล้ว จู่ๆ เขาก็พลิกดาบใหญ่ ให้แค่หลังดาบฟันโดนทวนในมือของอีกฝ่ายแทน

เคร้ง!

ทวนหล่นลงบนพื้นหินปูนเกิดเป็นเสียงชัดใส

สวี่จื่อฉีเก็บหมัดประสานมือพร้อมค้อมกาย

“ออมมือแล้ว”

ชายชุดดำไม่รับน้ำใจกับการที่อีกฝ่ายยั้งมือไว้ไมตรี เพียงแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างฉุนเฉียว หน้าตาบึ้งตึง หันกลับแล้วเดินออกไปจากประตูใหญ่ ไม่แม้แต่จะเก็บทวน

สวี่จื่อฉีฝืนยิ้มแล้วสั่งลูกน้อง

“เอาทวนส่งกลับไปที่คฤหาสน์สกุลฉี”

แปะๆๆๆ…

พอได้ยินเสียงปรบมือ สวี่จื่อฉีก็หันกลับมาเห็นจั้นปู้ฉวินเดินมาจากระเบียงทางเดิน

“พี่สวี่ฝีมือร้ายกาจยิ่งนัก” จั้นปู้ฉวินเอ่ยชมจากใจ ก่อนหน้านี้ตนไม่ได้มองสวี่จื่อฉีที่รูปร่างสันทัด หน้าตาเรียบๆ คนนี้ให้ดีจริงๆ เพียงเพราะคนในยุทธภพที่ฝีมือไม่เลว ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเฉียบแหลมหรือไม่ก็เป็นพวกก้าวร้าว น้อยนักที่จะทำตัวเรียบง่ายคล้ายคนพายเรืออย่างสวี่จื่อฉี นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นยอดฝีมือซ่อนคม พอใช้ดาบขึ้นมาก็ใช้อย่างคล่องแคล่วดุจสายน้ำ ราบรื่นไร้อุปสรรค

“ขายหน้าพี่จั้นแล้ว” สวี่จื่อฉีส่งดาบใหญ่ให้ศิษย์น้องวางกลับไปที่ชั้นอาวุธ แล้วหันกลับมาบอกอย่างถ่อมตัว

“คนเมื่อครู่นี้คือ?”

“คุณชายแห่งคฤหาสน์สกุลฉีจากถานโจว” สวี่จื่อฉียิ้มแห้ง “มาสู่ขอคุณหนูสามน่ะ”

“สู่ขอ?” จั้นปู้ฉวินผงะไปครู่หนึ่ง ในเมื่อมาสู่ขอ แล้วเหตุใดจะต้องลงไม้ลงมือกันด้วยเล่า

สวี่จื่อฉีรู้ว่าอีกฝ่ายแปลกใจ จึงจำใจอธิบาย

“คุณหนูสามยังอายุไม่ถึงสิบห้าก็มีคนมากมายมาสู่ขอถึงบ้าน นางเป็นคนขี้ขลาดและกลัวคนแปลกหน้า อีกทั้งฮูหยินรองยังอยากให้ช่วงนี้คุณหนูสามอยู่เป็นเพื่อนนางที่บ้านนานๆ หน่อย คุณหนูรองจึงยื่นข้อเสนอเพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยากว่า คนที่จะมาสู่ขอต้องผ่านด่านข้าจึงจะพบคุณหนูสามได้”

ใต้หล้ามีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือนี่ เป็นถึงชายชาติบุรุษ แต่กลับยุ่งอยู่กับการไล่แมลงวันที่ไม่รู้ดีรู้ชั่ว มิน่าเล่าพี่สวี่จึงได้คลี่ยิ้มขมขื่น แต่คนที่จะแต่งงานคือคุณหนูสาม แล้วเกี่ยวอะไรกับคุณหนูรองด้วย แล้วฮูหยินรองโผล่มาจากไหนอีก จั้นปู้ฉวินได้ยินแล้วก็สับสน หน้าตางงงัน

“ฮูหยินรองกับคุณหนูรองคือ?”

สวี่จื่อฉีพาจั้นปู้ฉวินเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่พลางบอก

“อาจารย์มีฮูหยินสี่ท่าน ฮูหยินรองคือมารดาแท้ๆ ของคุณหนูสาม คุณหนูรองและคุณหนูสามเกิดจากฮูหยินรองเหมือนกัน”

ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง

จั้นปู้ฉวินเข้าใจแจ่มแจ้ง ขณะตามสวี่จื่อฉีเข้ามาในห้องโถงใหญ่ เพิ่งจะนั่งลง บ่าวรับใช้ก็นำชาชั้นยอดมาให้

“ฟังสำเนียงของพี่จั้นแล้ว ไม่ใช่คนต้งถิงใช่หรือไม่ขอรับ”

“พี่สวี่หูดี ก่อนหน้านี้หลายปีข้าเดินทางไปซีอวี้ สองเดือนที่ผ่านมานี้เพิ่งจะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่จงหยวน จึงถือโอกาสมาเที่ยวเล่นที่เจียงหนาน” เขาเล่าแต่เรื่องพื้นๆ ที่ไม่สลักสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยาก

สวี่จื่อฉีได้ยินดังนั้นก็เหมือนจะโล่งอก

“พี่จั้นน่าสนใจจริงๆ น่าเสียดายที่บ่ายนี้อาจารย์มีธุระด่วนกะทันหันออกไปเยี่ยมสหาย สามวันห้าวันให้หลังจึงจะกลับมา หากพี่จั้นไม่รีบร้อน อยู่พักที่นี่สักสองสามวันเป็นอย่างไร จะได้ให้ข้าดูแลต้อนรับในฐานะเจ้าบ้านด้วย”

บังเอิญอะไรเช่นนี้ เขาเพิ่งจะนึกหาวิธีให้ได้อยู่ต่อ อีกฝ่ายก็ส่งมาให้ถึงประตูเองเลย ตอนที่สามีภรรยาใจดำคู่นั้นส่งเขาขึ้นเรือ บอกไว้ว่าระยะนี้สกุลสุ่ยอยู่ดีๆ ก็ขึ้นราคาเกินเหตุ ไม่เหมือนที่เคยทำก่อนหน้านี้ จึงสั่งให้เขาแอบมาแบบลับๆ

คำพูดของสวี่จื่อฉีตรงกับใจเขาพอดี จั้นปู้ฉวินอยากตอบรับแน่นอน แต่ก็ยังพูดจาตามมารยาทสักเล็กน้อย

“จะดีหรือ…”

“พี่จั้น ท่านเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตคุณหนูใหญ่ ถ้าหากอาจารย์กลับมาแล้วรู้ว่าพวกเราไม่รั้งให้ท่านอยู่ต่อ จะต้องตำหนิที่ข้าทำงานไม่ได้เรื่องแน่ๆ ท่านอย่าได้ปฏิเสธน้ำใจของข้าเลย”

จั้นปู้ฉวินหัวเราะลั่นแล้วตบไหล่สวี่จื่อฉี

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่เกรงใจพี่สวี่แล้ว บอกตามตรง ข้าชื่นชมจอมยุทธ์สุ่ยยิ่งนัก ที่มาในครั้งนี้เพราะอยากถือโอกาสขอคำแนะนำด้วย หวังว่าจอมยุทธ์สุ่ยจะช่วยชี้แนะวิชาเงอะๆ งะๆ ของข้า ดูซิว่าจะแอบลักจำวิชาดาบสักสองสามกระบวนท่าได้บ้างหรือไม่ ได้พักที่สกุลสุ่ยหลายวัน เป็นสิ่งที่จะหาก็หาไม่ได้แล้ว”

“พี่จั้นเกรงใจไปแล้ว” สวี่จื่อฉีเห็นอีกฝ่ายตอบรับอย่างตรงไปตรงมา ใบหน้าก็เผยรอยยิ้ม

“ไม่ได้เกรงใจหรอก เมื่อครู่วิชาดาบที่โต้ตอบกลับไปของพี่สวี่นั้น ไม่ใช่ว่าใครๆ จะทำได้ เห็นได้ว่าอาจารย์โด่งดังศิษย์ก็ยอดเยี่ยม สองสามวันหลังจากนี้ ดูท่าว่าพี่สวี่จะต้องช่วยให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว…แน่นอนว่าถ้าได้น้ำค้างปทุม สุราเลื่องชื่อของต้งถิงก็จะยิ่งดีเลย!” เขายิ้มกว้างบอก ช่วยไม่ได้ อาการอยากเหล้ากำเริบแล้ว ถ้าไม่ฉวยโอกาสนี้พูดสักหน่อย เขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจึงจะได้ลิ้มชิมให้นุ่มลิ้นสักที

สวี่จื่อฉีแววตาเป็นประกาย หัวเราะบอก

“เรื่องนี้ไม่ยากเย็น ข้าจะให้บ่าวรับใช้ไปเอาที่หอเซียวเซียงมาสักสามไหห้าไหเดี๋ยวนี้เลย!”

 

ตอนที่สุ่ยรั่วฟื้นขึ้นมา เฉี่ยวเอ๋อร์ก็ทำความสะอาดให้นางเอี่ยมอ่องไปทั้งตัวและเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าสะอาดให้นานแล้ว

นางหันหน้ามา เห็นเฉี่ยวเอ๋อร์เท้าแก้มชมพูพิงอยู่กับขอบโต๊ะ งีบหลับสัปหงก

บนโต๊ะมีภาพเรือแต่ละแผ่นที่เฉี่ยวเอ๋อร์เอามากางไว้ นางค่อยๆ ลุกนั่ง ลงจากเตียงไปตรวจดูสภาพของภาพพวกนั้น ภาพที่มีบางส่วนเลอะสิ่งสกปรกก็ถูกเฉี่ยวเอ๋อร์ทำความสะอาดแล้ววาดซ่อมด้วยเส้นสีดำโย้เย้ นางมองสักพักแล้วก็หัวเราะในใจ แม้เส้นสีดำจะบิดเบี้ยวไม่ตรงอยู่บ้าง แต่ก็ยังพอดูได้ อีกทั้งไม่ได้วาดผิดที่ผิดทาง เห็นได้ว่าเฉี่ยวเอ๋อร์ไม่ได้ทำชุ่ยๆ เหมือนกับที่แสดงออกอย่างทุกที

เฉี่ยวเอ๋อร์สาวใช้คนนี้อ่อนกว่านางหนึ่งปี ผิวเผินดูเหมือนทำงานหยาบๆ ไม่ใส่ใจ แต่ความจริงแล้วเป็นคนจิตใจดี ไว้ใจได้ แต่เพราะมีชีวิตยากลำบากมาตั้งแต่เล็กๆ จึงมีท่าทางหยาบกระด้าง พูดจาเพื่อปกป้องตัวเอง นางให้เฉี่ยวเอ๋อร์มาเป็นสาวใช้ประจำตัวได้ห้าปีแล้ว เรื่องที่ควรทำเฉี่ยวเอ๋อร์ไม่เคยทำพลาดสักอย่าง คนในบ้านก็มีแค่เฉี่ยวเอ๋อร์เท่านั้นที่เข้าใจนางมากที่สุด และนางเองก็ปฏิบัติกับเฉี่ยวเอ๋อร์ประหนึ่งเป็นน้องสาวอีกคนมานานแล้ว

ตอนที่นางเก็บภาพที่ตากจนแห้ง พอหยิบภาพสุดท้ายขึ้นมาก็เผลอไปโดนเก้าอี้เข้า

เฉี่ยวเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็ตื่นขึ้น

“อ๊ะ คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” นางนวดดวงตาที่ยังไม่ตื่นดี รีบรับภาพเรือไปจากมือสุ่ยรั่ว “คุณหนู ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางหาวแล้วถามขึ้นขณะที่กอดภาพเรืออยู่

“ข้าไม่เป็นไร พวกเรากลับมาบ้านได้อย่างไรหรือ” สุ่ยรั่วถามเบาๆ ด้วยเสียงนุ่มนวล

“หลังจากที่เจ้าล่ำนั่นช่วยคุณหนูแล้ว คุณชายสวี่ผ่านมาพอดีจึงพาพวกเรากลับมาเจ้าค่ะ” เฉี่ยวเอ๋อร์สูดหายใจลึกหลายที ให้ตัวเองสดชื่นอีกหน่อยแล้วจึงบอก “คุณหนู ภาพนี้ข้าให้คนเอาไปส่งอู่ต่อเรือก่อนก็ได้เจ้าค่ะ ไหนๆ ฟ้าก็มืดแล้ว ข้าว่าคงมีคนอยู่ที่อู่ไม่กี่คน แล้วพรุ่งนี้ท่านค่อยไปนะเจ้าคะ”

สุ่ยรั่วกำลังจะตอบก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตู

“เข้ามา”

สาวใช้ชุดดำคนหนึ่งได้ยินแล้วก็เข้ามาแจ้ง

“คุณหนูใหญ่ คุณชายสวี่ให้มาเชิญไปที่โถงหน้าเจ้าค่ะ”

“รู้หรือไม่ว่าเรื่องอะไร” เฉี่ยวเอ๋อร์ขมวดคิ้วถาม

“เรียนพี่เฉี่ยวเอ๋อร์ คุณชายสวี่จัดงานเลี้ยงมื้อค่ำให้คุณชายจั้นเจ้าค่ะ”

“คุณชายจั้นไหน” สุ่ยรั่วถามด้วยความแปลกใจ

“คือคุณชายที่วันนี้ช่วยคุณหนูใหญ่ที่ถนนเจ้าค่ะ” สาวใช้ชุดดำตอบ

“ที่แท้ก็เจ้าล่ำนั่น” เฉี่ยวเอ๋อร์บ่นอุบอิบอย่างอดไม่ได้

สุ่ยรั่วหัวเราะแล้วบอกสาวใช้ชุดดำ

“อีกประเดี๋ยวข้าจะไป”

สาวใช้ชุดดำได้ยินแล้วก็ถอยออกไป

เฉี่ยวเอ๋อร์แค่นเสียงหึ

“ช่วยคุณหนูอะไรกันเล่า เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าล่ำนั่นชนคุณหนูก่อน!”

สุ่ยรั่วหัวเราะเบาๆ บอก

“แต่เขาก็ช่วยข้าไว้จริงๆ นะ คนเขาแซ่จั้น เจ้าอย่าเอาแต่เรียกเขาว่าเจ้าล่ำสิ”

“ก็เขาล่ำจริงๆ นี่เจ้าคะ!” เฉี่ยวเอ๋อร์ย่นจมูก “ข้าว่าคนแซ่จั้นนั่นไม่ใช่คนดีอะไรหรอก ดูสิ อย่างสกุลจั้นที่เมืองหยางโจวนั่นน่ะ เวลาจะจ่ายเงินทีก็จ่ายอย่างไม่เต็มใจ แล้วยังคอยเร่งจะเอาเรือตลอด เหมือนว่าเราจะเสกเรือลำหนึ่งได้ในวันเดียวอย่างนั้นแหละ ตอนนี้จู่ๆ ก็มีเจ้าล่ำแซ่จั้นโผล่มาอีก…ข้าว่านะคุณหนู คนคนนี้คงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสกุลจั้นที่เมืองหยางโจวหรอกใช่หรือไม่เจ้าคะ”

“จะบังเอิญอะไรขนาดนั้นเล่า เมืองหยางโจวน่ะ ไม่ใช่จะไปถึงได้ในสิบยี่สิบลี้หรอกนะ เจ้านึกว่ามันอยู่ข้างบ้านหรือไร” นางหัวเราะพลางเอาปิ่นหยกม้วนผมสลวยขึ้น “เลิกคิดเหลวไหลได้แล้ว คุณชายจั้นยังรออยู่นะ”

เห็นคุณหนูกำลังจะก้าวออกไปจากห้อง เฉี่ยวเอ๋อร์ก็รีบวางภาพเรือที่ถืออยู่แล้วร้องด้วยความตระหนกเกินเหตุ

“คุณหนูของบ่าว ท่านคงไม่ได้จะออกไปพบแขกในสภาพนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”

สุ่ยรั่วหันกลับมาพร้อมเอียงหน้าเล็กน้อย ถามอย่างไร้เดียงสา

“มีอะไรผิดปกติหรือ”

“ผิดปกติแน่เจ้าค่ะ!” นางเดินไปดึงสุ่ยรั่วมาหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ประคองหัวไหล่ของเจ้านายแล้วชี้คนในกระจก “คุณหนูเจ้าคะ อย่างน้อยท่านก็ต้องเปลี่ยนมาใส่ชุดที่งามกว่านี้ เกล้าผมทรงที่ดีกว่านี้หน่อย แล้วจึงจะออกไปพบแขกได้นะเจ้าคะ”

“เฉี่ยวเอ๋อร์” สุ่ยรั่วเรียกชื่อสาวใช้ หัวเราะบอกอย่างหมดแรง “เจ้าพูดเหมือนกับยอดบุปผาที่หอจันทร์หอมจะออกไปเจอแขกอย่างนั้นแหละ”

“ชิ! ยอดบุปผาของหอจันทร์หอมจะสู้คุณหนูได้อย่างไรเจ้าคะ คุณหนูสกุลสุ่ยเราไม่ว่าคนไหนออกไปสักคนก็ต้องทำให้หญิงคณิกาพวกนั้นหมองไปทันทีเจ้าค่ะ” เฉี่ยวเอ๋อร์บอกอย่างมั่นใจ

สุ่ยรั่วได้ยินแล้วก็หัวเราะ

“เจ้าคงหมายถึงน้องรองกับน้องสามกระมัง”

“เฮ้อ คุณหนู ท่านมองความงามเพริศแพร้วของคุณหนูหลายๆ ท่านมากเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ถึงได้ไม่รู้ว่าตัวเองก็งามดังเทพธิดาจุติลงมา ไม่อย่างนั้นท่านคิดว่าเหตุใดทุกครั้งที่พวกเราเดินอยู่บนถนน จึงมักจะมีคุณชายมากมายจ้องท่านตาค้าง ไม่ได้จ้องข้าล่ะเจ้าคะ”

“มีด้วยหรือ” สุ่ยรั่วกะพริบตา ไม่รู้สึกว่าปกติจะมีใครมาจ้องตนเลยสักนิด

“มีเจ้าค่ะ…” เฉี่ยวเอ๋อร์ลากเสียงยาวอย่างหมดแรง เฮ้อ นางต้องยอมพ่ายแพ้ให้แก่คุณหนูผู้ความรู้สึกช้าคนนี้จริงๆ

บทที่สาม

“ใครๆ ต่างกล่าวกันว่าน้ำค้างปทุมมีดีอยู่ที่จอกเดียวหอมสดชื่น ทำให้สาวงามเมามาย สองจอกหัวหงอกหนวดขาวลืมโลก สามจอกได้กลิ่นแล้วให้งงงัน ดื่มลงไปแล้วเบาสบายราวกับเทพเซียน พี่จั้นคอทองแดงจริงๆ น้ำค้างปทุมหนึ่งไหหมดไม่เหลือสักหยด แต่ท่านกลับยิ่งสดชื่น หากบอกคนของหอเซียวเซียง พวกเขาจะต้องร้องชื่นชมแน่ๆ” สวี่จื่อฉีเห็นจั้นปู้ฉวินดื่มสุราหมดไหในพริบตาแต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเมามายเลยสักนิดก็ให้รู้สึกประหลาดใจ

จั้นปู้ฉวินฉีกยิ้มกว้าง รับไหสุราที่สวี่จื่อฉีเปิดผนึกออกแล้วส่งมาให้อย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย เขารินสุราให้ตัวเองและรินให้อีกฝ่ายพลางบอก

“พี่สวี่ ท่านก็ไม่เลวเลยนะ มาๆๆ เอาอีกจอก! น้ำค้างปทุมนี้ไม่เสียทีที่เป็นเหล้าดังของต้งถิง แค่กลิ่นก็ทำให้ผู้คนเมามายไปสามส่วนแล้ว หายาก…หายาก หายากจริงๆ!”

“พี่จั้น เหตุใดต้องเอ่ยหายากตั้งสามครั้ง” สวี่จื่อฉีถามด้วยความประหลาดใจ

“หายากอย่างแรกคือเป็นเหล้าขาวชั้นดี สองคือพี่น้องที่หายาก!” เขาโอบไหล่สวี่จื่อฉีหัวเราะแหะๆ

เจ้านี่น่าคบหาจริงๆ ใช้มีดรู้กำลังไม่ให้ถึงที่ตาย ดื่มเหล้าไม่รีบไม่ร้อนไม่กลัดกลุ้ม รู้จักให้ทางออกคน อีกทั้งทำอะไรค่อนข้างมีขอบเขต ไม่เลว…ไม่เลว สหายคนนี้คุ้มค่าที่จะผูกมิตรด้วย

“แล้วหายากอีกอย่างคืออะไรเล่า”

“คือ…” จั้นปู้ฉวินผงะ หัวเราะพลางลูบหนวดดำ

เขาพูดออกไปสามครั้งคือพูดไปเรื่อยเปื่อยอย่างนั้นเอง หายากที่สามน่ะหรือ

ลูกตาของเขากวาดมองในห้อง ยังนึกไม่ออกว่าหายากที่สามคืออะไร ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากระเบียงด้านใน พอหันกลับไปก็เห็นสตรีชุดขาวกำลังยกข้อมือขาวเนียนแหวกม่านประดับมุกเข้ามา ในสถานการณ์เร่งด่วนเขาจึงหาสิ่งทดแทนส่งเดช แม้จะยังไม่ทันมองหน้าตาของผู้มาใหม่ให้ชัด แต่สตรีชอบฟังคำหวาน ชมแล้วก็มักจะไม่มีทางผิด จึงหัวเราะบอก

“หายากที่สามน่ะหรือ แน่นอนว่าคือสาว…”

ยังไม่ทันพูดจบ หญิงสาวในชุดขาวก็เลิกม่านออก เห็นใบหน้าอ่อนโยนงดงาม จั้นปู้ฉวินหัวใจหยุดเต้น รู้สึกลำคอตีบตันทันที เดิมที่จะบอกออกไปว่า ‘สาวงามแห่งต้งถิง’ ก็พลันลืมไปเสียแล้ว

ชายหนุ่มตาค้าง มองนางด้วยความตะลึงงัน พริบตานั้นก็ลืมไปแล้วว่าตัวเองอยู่ที่ใด เห็นนางเยื้องย่างแช่มช้อย กรีดกรายเดินเข้ามา ดวงตาเป็นประกายฉ่ำ คิ้วดังหมึกวาด มือขาวเรียว แขนเสื้อพลิ้วไหว กลิ่นหอมดังกล้วยไม้ชวนให้มึนเมา ยอดหญิงงามแห่งต้งถิง…

“พี่สวี่” สุ่ยรั่วเดินมาถึงโต๊ะแล้วทักทายสวี่จื่อฉี

“คุณหนูใหญ่ เจ้าดีขึ้นบ้างหรือไม่” สวี่จื่อฉีโบกมือ บ่าวรับใช้ก็เอาชามและตะเกียบมาเพิ่ม

“ต้องขอบคุณพี่สวี่และคุณชายจั้น สุ่ยรั่วดีขึ้นมากแล้ว” สุ่ยรั่วบอกเบาๆ คลี่ยิ้มแล้วนั่งลงข้างโต๊ะ หางตาเหลือบมองชายที่ตัวแข็งทื่ออยู่ที่โต๊ะกลมโดยไม่รู้ตัว เหตุใดเขาถึงเอาแต่จ้องข้ากันนะ

“ดีขึ้นก็ดีแล้ว เมื่อครู่พี่จั้นยังห่วงอยู่ว่าคุณหนูใหญ่จะยังไม่สบายอยู่” สวี่จื่อฉีหันไป อยากจะแนะนำให้ทั้งสองได้รู้จักกัน แต่กลับเห็นจั้นปู้ฉวินยังคงมองคุณหนูใหญ่ด้วยอาการตะลึงงัน เขาเห็นแล้วก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจนัก เพราะเคยชินกับอาการของผู้คนเวลาที่เห็นพวกคุณหนูของสกุลสุ่ยครั้งแรกมานานแล้ว จึงเพิ่มเสียงดังขึ้นเล็กน้อย ร้องเรียกชายหนุ่ม “พี่จั้น!”

จั้นปู้ฉวินสะดุ้ง ได้สติในที่สุด แต่ดวงตาทั้งคู่ยังคงไม่ละสายตาจากใบหน้างามของสุ่ยรั่ว ตอนกลางวันที่พบกันบนถนนนางเปื้อนแป้งเลอะฝุ่นไปทั้งศีรษะและเนื้อตัว เขาจึงไม่ได้เห็นนางชัดๆ ไม่คิดเลยว่านางจะงดงามเลิศล้ำเพียงนี้

“พี่จั้น นี่คือธิดาคนโตของอาจารย์ คุณหนูใหญ่ ท่านนี้คือคุณชายจั้นที่ช่วยเจ้าไว้เมื่อบ่ายนี้” สวี่จื่อฉียิ้มพลางแนะนำทั้งสองคนให้รู้จักกัน

“ขอบคุณคุณชายจั้นที่ยื่นมือเข้าช่วย” สุ่ยรั่วขยับเผยอกลีบปากเอ่ยขอบคุณ จนกระทั่งตอนนี้จึงได้กล้ามองคุณชายจั้นที่ช่วยนางไว้อย่างเปิดเผย ตอนกลางวันที่เกิดเรื่องทุกอย่างโกลาหลไปหมด นางจึงไม่ได้มองคนที่ชนนางแล้วช่วยนางให้ชัดว่าหน้าตาเป็นอย่างไร จำได้แค่ว่าเขาไว้หนวดดกครึ้ม ตอนนี้มองให้ดีๆ แล้วก็ยังรู้สึกว่าหนวดครึ้มที่เขาไว้ปกคลุมใบหน้าครึ่งหนึ่ง ทำให้ดูไม่ออกว่าคุณชายจั้นอายุอานามเท่าไร อีกอย่างคือนัยน์ตาสีดำเป็นประกายนั้นมองนางค้างนิ่งโดยไม่ปิดบังเลยสักนิด

พอถูกเขามองจนรู้สึกกระอักกระอ่วน พวงแก้มของสุ่ยรั่วก็แดงเรื่อด้วยความเขินอาย ก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความอึดอัด จนกระทั่งตอนนี้นางจึงได้เชื่อที่เฉี่ยวเอ๋อร์บอกว่ามีคนคอยจ้องนางอยู่จริงๆ

“แค่กๆ” สวี่จื่อฉีเห็นจั้นปู้ฉวินยังไม่ดึงสายตากลับมาก็รีบกระแอมสองที

เมื่อรู้ว่าตัวเองเสียกิริยา จั้นปู้ฉวินก็หน้าแดงแล้วรีบตั้งสติ

“แค่ก! อื้ม คุณหนูทำม้วนภาพตกก็เพราะข้าน้อยล่วงเกิน คุณหนูไม่ตำหนิก็โชคดีมากแล้ว ข้าน้อยหรือจะกล้ารับคำขอบคุณ”

“คุณชายจั้นเกรงใจแล้ว” สุ่ยรั่วตอบเสียงแผ่ว ยังคงก้มหน้าเล็กน้อย ทำให้จั้นปู้ฉวินเห็นแค่แพขนตาดำของนางขยับไหวเบาๆ

ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงกับมีความคิดอยากจะยื่นมือออกไปเชยคางนางขึ้น แล้วมองสีหน้าของนางในตอนนี้ให้ชัดยิ่งนัก แต่ในความจริงนั้นเขาพบว่าตนไม่อยากพลาดทุกสีหน้าและอารมณ์ของนาง อย่างพริบตาเมื่อครู่นี้ที่จู่ๆ ก็เห็นนาง เขามีความรู้สึกที่อยากจับพู่กัน อยากจะวาดรูปโฉมของนางลงบนกระดาษ และนั่นคือเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในสิบกว่าปีมานี้

พู่กันของเขาไม่ได้วาดภาพมานานสิบกว่าปีแล้ว…

ปัง!

เสียงฝ่ามือดังชัดลอดผ่านฝากระดานเรือ จากนั้นสิ่งที่ตามมาคือเสียงคำรามที่ฟังดูเหนื่อยล้า…

‘สารเลว! แค่ก…ภาพเรือไม่วาด เจ้าวาดขยะพวกนี้น่ะหรือ?!…แค่กๆ ข้าให้เหล่าจางสอนเจ้า…แค่กๆๆ…สอนให้เจ้าจับพู่กันก็เพื่อวาดขยะพวกนี้น่ะหรือ! แค่กๆ…เจ้ามันคนไม่เอาไหน!’ จั้นเทียนโบกภาพวาดในมือด่าพลางไอโขลก สุดท้ายสองมือก็ฉีกภาพวาดทุกแผ่นเป็นสองซีกต่อหน้าบุตรชายแล้วโยนลงบนพื้น!

จั้นปู้ฉวินที่อายุสิบห้าสองมือกำหมัดแน่น จ้องบิดาอย่างโกรธแค้น คำรามกลับไปด้วยความโมโห

‘ใช่! ในสายตาของท่านก็มีแต่เรือเท่านั้นที่สำคัญ ทุกอย่างที่อยู่นอกเหนือไปจากกิจการที่เกี่ยวกับเรือก็คือขยะ ข้าก็คือขยะที่ไม่มีวันก้าวหน้าไปไหน! คนบนเกาะต่างรู้ว่าพี่ชิงต่างหากที่มีความสามารถสืบทอดสกุลจั้นได้ มีแต่ท่านเท่านั้นตาแก่ตาบอดที่มองไม่ออก! ข้าจะบอกให้นะว่าข้าไม่มีทางเรียนขับเรือเป็น! ไม่มีทางเรียนว่ายน้ำเป็น! ไม่มีทางสืบทอดตำแหน่งของท่าน…’

เสียง ‘ผัวะ’ ดังขึ้น อีกฝ่ามือตบคำพูดที่เหลือของเด็กหนุ่มทิ้งไป

จั้นปู้ฉวินถูกตบจนตาพร่าเห็นดาวไปชั่วขณะ นานพักใหญ่จึงได้สติ เขาใช้กำปั้นเช็ดเลือดสดที่มุมปากแล้วหมุนตัวออกไปทันที

‘หยุดอยู่ตรงนั้น!’ จั้นเทียนตวาด โมโหจนตัวสั่นเพราะบุตรชาย

จั้นปู้ฉวินที่กำลังเลือดขึ้นหน้าไม่หยุด ทำหูทวนลมกับคำที่บิดาตวาดให้หยุด

จั้นเทียนตบโต๊ะ ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ตวาดอย่างเดือดดาล

‘แค่กๆ…ข้าบอกให้เจ้าหยุด!’

จั้นปู้ฉวินเลือดร้อนอีกทั้งความโกรธแค้นสั่งสมมานาน มีหรือจะฟังคำตวาดห้ามของบิดา เขายังคงเดินออกไปจากห้องโดยสารเรือโดยไม่หันกลับมา

จั้นเทียนโมโหจนไอโขลกอยู่พักหนึ่งแล้วตวาดอีก

‘ดี! เจ้าไปเลย ไปแล้วก็ไม่ต้องกลับมา!’

สิ่งที่ตอบกลับมาคือเสียงกระแทกประตู

 

พระจันทร์เสี้ยว…

บนฟ้ามีพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ในน้ำสะท้อนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว

จั้นปู้ฉวินมองพระจันทร์ในน้ำแล้วดึงสติกลับมา ที่แห่งนี้คือเรือนเงาจันทร์บุปผา คือห้องรับรองแขกของสกุลสุ่ย

เขาไม่ได้คิดถึงคืนที่มีปากเสียงคืนนั้นมานานมากแล้ว และในคืนนั้นเองที่เขาโมโหจนหนีออกจากบ้าน ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยกลับไปอีกเลย เขาเข้าใจมาตลอดว่าตาแก่นั้นต่อให้อยู่ไปอีกสิบยี่สิบปีก็คงไม่มีปัญหา ใครจะไปรู้ว่าสองเดือนหลังจากนั้น ตาแก่ก็จะลาลับไปจากโลกนี้ และลูกอกตัญญูอย่างเขาคนนี้กลับเพิ่งรู้เมื่อตอนที่กลับบ้านไปสิบกว่าปีให้หลัง

ตอนนั้นทำอะไรตามอารมณ์ ไม่คิดว่าคืนนั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่สองพ่อลูกได้พบหน้า ทุกครั้งที่หวนนึกถึงก็จะทำให้เขารู้สึกผิด แต่ลึกๆ ในใจก็รู้ว่าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีกครั้ง เขาก็ยังโมโหและหนีออกจากบ้านเหมือนเดิม

ที่น่าขันคือตอนแรกนั้นจุดมุ่งหมายของเขาคือการวาดภาพไปเรื่อยเปื่อย แต่พอออกมาจากบ้านแล้ว เขากลับยุ่งอยู่กับการรบราฆ่าฟัน ยุ่งอยู่กับการหาเลี้ยงปากท้อง จากนั้นก็ไม่เคยจับพู่กันวาดภาพอีกเลย

คืนนี้เป็นครั้งแรกในสิบกว่าปีที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่เขาอยากจะวาดสิ่งที่เห็นออกมา ความตกตะลึงที่ได้เห็นคุณหนูใหญ่สกุลสุ่ยในตอนแรกนั้นยังคงกลั่นตัวอยู่ในใจไม่จางหาย กล้ามเนื้อและกระดูกมือขวาคันระคายขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เริ่มกระสับกระส่าย

เขาอยากจะวาดใบหน้าที่มีรอยยิ้มเบิกบานของนาง อยากวาดสีหน้าเอียงอายน่ารักของนาง…ไม่ใช่เพราะยินดีที่ได้เห็นสตรี แต่ชื่นชมสีหน้าท่าทางของนางที่ราวกับเทพธิดาจุติลงมา อยากวาดความอ่อนโยนบริสุทธิ์เหนือโลกลงบนกระดาษเซวียนจื่อสีขาว

จั้นปู้ฉวินฉีกยิ้มหัวเราะหยัน กลัวว่าเมื่อครู่เขาจะหยาบคายกับหญิงงามเกินไป ทำให้แม่นางขวัญเสียไปแต่แรกแล้ว เห็นนางก้มหน้าตลอดทั้งคืน หากไม่จำเป็นก็จะไม่สนทนาตอบคำ ดีไม่ดีคุณหนูใหญ่สกุลสุ่ยผู้นั้นคงนึกว่าเขาเป็นพวกบ้าตัณหาที่ไม่คู่ควรเสียด้วยซ้ำ

“เฮ้อ ช่างเถอะ เรื่องที่จะสืบยังไม่สำเร็จ ตอนนี้ไม่ควรนอกเรื่อง”

แม้จั้นปู้ฉวินจะคิดเช่นนี้ แต่มองมือใหญ่ที่แบออกแล้ว เขาก็ยังอดหัวเราะอีกสองทีไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าหลายปีมานี้เขาจะยังคิดอยากจับพู่กันขึ้นอีกครั้ง คิดไม่ถึงเลยจริงๆ…

วันถัดมา สวี่จื่อฉีมาเชิญจั้นปู้ฉวินไปนั่งเรือสำราญล่องทะเลสาบในฐานะเจ้าบ้าน

พอจั้นปู้ฉวินได้ยินว่าจะลงเรืออีกแล้ว สีหน้าก็เกือบจะเขียวคล้ำ รีบยิ้มแห้งปฏิเสธ

“พี่สวี่ ขอบอกตามตรงโดยไม่ปิดบัง หลายวันมานี้ข้าโดยสารเรือก็เจอคลื่นมามากพอแล้ว ในเวลาสั้นๆ นี้ไม่อยากจะขึ้นเรืออีกจริงๆ”

สวี่จื่อฉีได้ยินดังนั้นก็แก้คำพูดใหม่

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราสองคนก็ขี่ม้าไปชมทิวทัศน์ที่หอเซียวเซียงกันดีหรือไม่ หอเซียวเซียงสูงสามชั้น สามารถทอดมองไปไกลเห็นทิวทัศน์ต้งถิง ชมทัศนียภาพทะเลสาบได้กว่าครึ่ง อีกทั้งหอเซียวเซียงไม่ได้มีแค่น้ำค้างปทุมที่มีชื่อ พ่อครัวของที่นั่นยังเชี่ยวชาญในการนำส่วนต่างๆ ของปลามาประกอบอาหาร น้ำแกงตะพาบทั้งสดทั้งอร่อยแล้วยังบำรุงร่างกายด้วย หากมาถึงต้งถิงแล้วไม่ได้กินสักอย่างก็น่าเสียดายจริงๆ พี่จั้นคิดเห็นเช่นไร”

“สหายรัก ในเมื่อมีทั้งสุรารสเลิศและอาหารโอชะ ข้าย่อมไม่มีปัญหา!” จั้นปู้ฉวินตอบรับอย่างเบิกบานใจ ตอนนี้ยิ่งมองศิษย์คนโตสกุลสุ่ยผู้นี้ก็ยิ่งสบายตาแล้ว

บ่าวรับใช้จูงม้ามาให้แล้วถอยออกไป ชายหนุ่มสองคนตวัดตัวขึ้นม้า เพราะไม่ได้รีบเร่งเดินทางจึงคุยเล่นหัวเราะไปตลอดทาง จั้นปู้ฉวินคุยเรื่องทิวทัศน์นอกเมืองทางเหนือ และสิ่งที่ได้พบเจอจากการเดินทางไปทั่วสารทิศ สวี่จื่อฉีก็เล่าถึงเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นหลายปีมานี้ในยุทธภพจงหยวนสองสามเรื่อง จนตอนที่มาถึงหอเซียวเซียงแห่งเยวี่ยหยาง ชายหนุ่มทั้งสองก็เหมือนพี่น้องร่วมสาบานที่คบหากันมานานหลายปี

เสี่ยวเอ้อร์ที่หอเซียวเซียงเห็นคุณชายจั้นเมื่อวานนี้และคุณชายสวี่แห่งสกุลสุ่ยก็รีบออกมาต้อนรับทันที พอได้ยินว่าคุณชายทั้งสองจะนั่งชมทิวทัศน์ก็พาขึ้นชั้นบนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หาที่นั่งส่วนตัวที่สงบเงียบให้ทั้งสองคนตรงชั้นสามติดหน้าต่าง จากนั้นก็ลงไปยกสุราและอาหารขึ้นมาให้อย่างกระตือรือร้น

“ช่วงนี้ข่าวที่เล่าลือกันอย่างหนาหูที่สุดในยุทธภพก็คือเดือนก่อนสำนักชิงเยี่ยนที่ทำกิจการรับจ้างสังหารถูกคนกำจัด แต่ไม่รู้ว่าเป็นยอดฝีมือจากสำนักพรรคใด บางคนว่าเป็นภิกษุชื่อดังจากเส้าหลิน บางคนเดาว่าเป็นนักสู้รุ่นใหม่จากพรรคฉางไป๋ แล้วยังมีคนเดาว่าเป็นเหลิ่งหรูเฟิงศิษย์เอกของฉีไป๋เฟิ่ง…เพราะได้ยินว่าตอนนั้นเขาไม่อยู่ที่ฉางอันจึงน่าสงสัยที่สุด” กับข้าวยังไม่มา สวี่จื่อฉีจึงรินชาร้อนให้ตัวเองและจั้นปู้ฉวินก่อน

เพ้ย สำนักชิงเยี่ยนก็คือสำนักมือสังหารที่ไม่มีลูกตา ลักพาตัวลูกชายของพี่ใหญ่เขามิใช่หรอกหรือ พวกนั้นถูกพี่ใหญ่ เขา พี่เขย และเหลิ่งหรูเฟิงช่วยกันกำจัด ไม่คิดเลยว่าจะยังเป็นที่ถกเถียงของยุทธภพด้วย จั้นปู้ฉวินได้ยินแล้วก็เลิกคิ้ว หัวเราะถาม

“สำนักชิงเยี่ยนมีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธภพหรือ”

สวี่จื่อฉีคลี่ยิ้ม

“สำนักชิงเยี่ยนทำกิจการรับจ้างสังหาร ไปมาไร้ร่องรอย และมีการต่อสู้กันมากมายในยุทธภพ ขอเพียงคนอยู่ในยุทธภพ มากน้อยอย่างไรก็ต้องมีศัตรู แต่ละพรรคแต่ละสำนักย่อมหวาดระแวงสำนักชิงเยี่ยน ครั้งนี้สำนักชิงเยี่ยนถูกทำลาย ก็ไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยเท่าไรที่โล่งใจแล้ว”

ที่แท้เขาและพี่ใหญ่ก็นับว่าช่วยคนอื่นลดความยุ่งยากไปได้ไม่น้อย

“จากที่พี่สวี่มอง ในบรรดาสองสามคนที่เอ่ยถึงก่อนหน้านี้ ท่านคิดว่าใครมีความเป็นไปได้มากที่สุดหรือ” จั้นปู้ฉวินว่างอยู่เบื่อๆ จึงถามอย่างนึกสนุก

“เล่ากันว่ามือสังหารของสำนักชิงเยี่ยนส่วนใหญ่ถูกปลิดชีพในดาบเดียว แต่ก็มีรอยแผลที่เกิดจากทวนและอาวุธอื่นๆ ดังนั้นจึงไม่น่าจะเป็นสองคนแรก เป็นไปได้ว่าเจอกับยอดฝีมือหลายท่านที่ร่วมมือกันโจมตี สำนักชิงเยี่ยนเคยลอบสังหารขุนนางผู้ใหญ่หลายท่านก่อนหน้านี้ ดังนั้นเป็นไปได้มากว่าจะเป็นฝีมือของคุณชายรองเหลิ่ง ต่อให้เขาไม่ได้ลงมือเอง แต่ก็น่าจะมีส่วนรู้เห็น” สวี่จื่อฉีตอบ

ตอนนี้จั้นปู้ฉวินยิ่งมองสวี่จื่อฉีในมุมใหม่ คิดไม่ถึงว่าแม้อีกฝ่ายจะคาดเดาไม่ถูก แต่ก็ไม่ได้คลาดเคลื่อนไกลนัก แม้เหลิ่งหรูเฟิงจะแค่สังหารมือสังหารฉายาผู้พิพากษาดำขาวของสำนักชิงเยี่ยน แต่ก็มีส่วนร่วมในแผนการจริง ดูท่าเขาไม่อาจดูเบาพี่สวี่ที่หน้าตาขี้ริ้วคนนี้ได้ คนผู้นี้ไม่ใช่แค่ทางดาบไม่เลวเท่านั้น สมองก็ยังปราดเปรื่องมากอีกด้วย เขาจะต้องระวังตัวไม่เผลอเปิดเผยธาตุแท้ต่อหน้าศิษย์เอกของสกุลสุ่ยผู้นี้เสียแล้ว

ความจริงถ้าหากไม่ใช่เพราะพี่สาวกำชับไว้ก่อนหน้านี้ เขาก็อยากจะถามสวี่จื่อฉีไปตรงๆ ว่าเหตุใดสกุลสุ่ยจึงขึ้นราคาค่าต่อเรือสูงฮวบฮาบเช่นนี้ ทว่าตอนนี้เขาย่อมทำเช่นนั้นไม่ได้ จึงได้แต่คิดหาวิธีอื่น

เสี่ยวเอ้อร์ในร้านยกกับข้าวขึ้นโต๊ะทีละอย่าง ทั้งสองคนดื่มสุราพูดคุยกันอย่างสำราญใจ แล้วก็คุยเรื่องยุทธภพกันต่อ

ทะเลสาบต้งถิงนอกหน้าต่างมีเงาเรือเป็นหย่อมๆ ตีนเขาไกลๆ ถูกไอน้ำของทะเลสาบที่ระเหยขึ้นไปโอบล้อม เสียงคลื่นดังลอยมาเป็นพักๆ บางครั้งก็ยังมีเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วอีกด้วย

หลังจากที่คุยกันไปหลายยก ความจริงแล้วจั้นปู้ฉวินเลื่อมใสในความรู้เรื่องวรยุทธ์และการฝึกฝนของสวี่จื่อฉียิ่งนัก แต่น่าเสียดาย…เฮ้อ มีเรื่องปิดบังสหายดีๆ ที่เป็นคนใจกว้างเช่นนี้ ในใจเขาก็รู้สึกไม่ค่อยเป็นสุข ตอนนี้ก็ได้แต่รอให้เรื่องราวผ่านพ้นไป แล้วค่อยรับผิดกับพี่สวี่ท่านนี้แต่โดยดี

ดื่มสุรากินอาหารอิ่มหนำ ชายหนุ่มทั้งสองเพิ่งจะก้าวเท้าออกจากหอเซียวเซียงก็เห็นเด็กหนุ่มร่างกำยำแต่งกายด้วยชุดสกุลสุ่ยรีบร้อนเข้ามา บอกด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ

“ศิษย์พี่ใหญ่ คนที่อู่ต่อเรือตีกันแล้วขอรับ!”

“เกิดอะไรขึ้น” สวี่จื่อฉีขมวดคิ้ว ถามอย่างใจเย็น

“คนงานที่อู่ต่อเรือสองสามคนมีปากเสียงกันขอรับ คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วตีกันขึ้นมา คุณหนูใหญ่เอาภาพเรือมาพอดี เลยโดนลูกหลงไปด้วย ถูกท่อนไม้ที่หล่นลงมากระแทกบาดเจ็บขอรับ!”

สวี่จื่อฉีได้ยินดังนั้นก็รีบหันกลับไปบอกจั้นปู้ฉวินทันที

“พี่จั้น ขออภัย ข้าต้องไปจัดการที่อู่ต่อเรือก่อน เกรงว่าจะกลับไปพร้อมท่านไม่ได้แล้ว”

“พี่สวี่ อย่าพูดเช่นนี้เลย ข้าจะไปกับท่าน เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง” จั้นปู้ฉวินได้ยินว่าสุ่ยรั่วได้รับบาดเจ็บ หน้าอกก็พลันบีบรัดโดยไม่รู้ตัว ยืนกรานจะไปด้วย

สวี่จื่อฉีเห็นดังนั้นก็ไม่พูดมาก ทั้งสองขึ้นขี่ม้าแล้วรีบมุ่งหน้าไปยังอู่ต่อเรือสกุลสุ่ยทันที

 

“พวกสารเลวนี่ ปกติคุณหนูใหญ่ดีกับพวกเจ้าอย่างไร ตอนนี้กลับตีกันแค่เพราะเรื่องเล็กๆ ครอบครัวทะเลาะกันเองไม่พอ ยังจะทำให้คุณหนูใหญ่บาดเจ็บอีก! พวกเจ้านี่มันสารเลวจริงๆ!”

ตอนที่จั้นปู้ฉวินและสวี่จื่อฉีมาถึงข้างนอกอู่ต่อเรือก็ได้ยินเสียงเฉี่ยวเอ๋อร์ต่อว่าอย่างเดือดดาล

จั้นปู้ฉวินได้ยินแล้วก็นึกว่าสุ่ยรั่วบาดเจ็บสาหัส ม้ายังไม่ทันหยุด เขาก็ตวัดตัวลงจากม้าแล้วพุ่งเข้าไปข้างในอย่างปราดเปรียว ไม่คิดว่าจะเห็นกลุ่มคนยืนอยู่ด้านข้างรวมกันอย่างเป็นระเบียบ เฉี่ยวเอ๋อร์ก็ยืนอยู่ข้างสุ่ยรั่วที่ดูเหมือนไม่เป็นไร ชี้จมูกคนงานแถวนั้นพลางแหกปากด่ากราด

“เฉี่ยวเอ๋อร์ พอแล้ว ทุกคนไม่ได้ตั้งใจหรอก” สุ่ยรั่วช่วยพวกคนงานพูดเสียงนุ่ม

“อะไรคือไม่ได้ตั้งใจเจ้าคะ” เฉี่ยวเอ๋อร์เลิกแขนเสื้อข้างซ้ายของสุ่ยรั่วอย่างเดือดดาล “ดูสิ แผลใหญ่ขนาดนี้ ถ้าหากวันหน้าทิ้งรอยแผลเป็นไว้จะทำอย่างไร”

ทุกคนต่างก้มหน้างุด สีหน้าละอายใจ

สุ่ยรั่วสะดุ้งโหยงเพราะการกระทำที่อาจหาญของเฉี่ยวเอ๋อร์ ประจวบกับตอนนี้เห็นจั้นปู้ฉวินที่จู่ๆ ก็โผล่มาพอดี เห็นเขาจ้องแขนขาวราวหิมะของนางเขม็ง นางพลันอับอายจนหน้าแดง รีบดึงแขนเสื้อออกจากมือเฉี่ยวเอ๋อร์มาปิดแขนขาวเนียนของตนอีกครั้งแล้วเอ่ยอย่างขัดเขิน

“แค่แผลถลอกนิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่เป็นไรหรอก”

ตอนนี้สวี่จื่อฉีก็เข้ามาแล้ว พอเห็นสุ่ยรั่วไม่ได้เป็นอะไรมากจึงได้โล่งอก

“คุณหนูใหญ่ เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

“ไม่เป็นไรเสียที่…” เฉี่ยวเอ๋อร์เดิมจะฟ้อง แต่กลับถูกสุ่ยรั่วดึงแขนเสื้อ เห็นคุณหนูขมวดคิ้วนิดๆ นางจึงได้แต่ปิดปาก

สุ่ยรั่วจึงคลี่ยิ้มบอก

“ไม่เป็นไร แค่เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยเท่านั้น”

สวี่จื่อฉีรู้แน่ว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น แต่เขารู้ว่าคุณหนูใหญ่ไม่ชอบตำหนิบ่าวไพร่มาตลอด จึงไม่เปิดโปงคำพูดนาง ได้แต่ให้คนรีบพานางกลับคฤหาสน์สกุลสุ่ย ส่วนตัวเองก็อยู่จัดการต่อ

ก่อนจะขึ้นรถ สุ่ยรั่วก็บอกสวี่จื่อฉีอย่างอดไม่ได้

“พี่สวี่ เป็นแค่อุบัติเหตุจริงๆ ท่านอย่าตำหนิพวกเขาเลย”

“คุณหนูใหญ่วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” สวี่จื่อฉีคลี่ยิ้มปลอบใจนาง

สุ่ยรั่วเห็นดังนั้นจึงได้ขึ้นรถม้ากลับไปพร้อมกับเฉี่ยวเอ๋อร์ที่อารมณ์เดือดปุดๆ

จั้นปู้ฉวินเป็นห่วงแผลที่แขนนาง เดิมก็อยากจะตามไปด้วย แต่รู้ว่านางไม่อยากให้สวี่จื่อฉีรู้ว่านางได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์ครั้งนี้ จึงได้ล้มเลิกความคิด เมื่อครู่แค่ชำเลืองมองแวบเดียวเขาก็รู้ว่าอาการบาดเจ็บของนางไม่ได้รุนแรง แต่ถ้าหากหญิงสาวมีรอยแผลเป็นบนตัวจะไม่ดี ยิ่งกว่านั้นไม่ว่าจะมองอย่างไรบาดแผลนั้นก็น่าตกใจ ดีที่ก่อนหน้านี้พี่สาวยัดยาตลับหนึ่งให้เขา บอกว่าเป็นยาทาแผลชั้นดีที่ช่วยลบรอยแผลเป็นได้ เขาคิดว่าดึกๆ หน่อยหากมีโอกาสก็ค่อยเอายาไปให้นาง…

“เอาล่ะ อาหวัง เจ้าบอกมาซิว่าเมื่อครู่นี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

เสียงเข้มของสวี่จื่อฉีดังขึ้น จั้นปู้ฉวินจึงได้ดึงสติคืนมา สำรวจอู่ต่อเรือสกุลสุ่ยที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแคว้น

หลังจากที่เห็นแล้ว เขาก็ตาเป็นประกายอย่างห้ามไม่อยู่ ร้องชื่นชมอยู่ในใจ เลื่อมใสคนงานต่อเรือของสกุลสุ่ยเหล่านี้ แค่เห็นเรือที่ยังต่อไม่เสร็จอยู่อีกข้างหนึ่ง ไม่ใช่แค่เรือใหญ่เท่านั้นที่งานประณีต แม้แต่เรือเล็กก็ยังทำออกมาได้แข็งแรงและพิถีพิถัน

ทางนี้มีใบเรือที่ทำจากไม้ไผ่บางๆ สานอย่างดีพับซ้อนกันเป็นชิ้นๆ อยู่ อีกฝั่งก็มีรถที่ใช้สำหรับพันเชือกสมอโดยเฉพาะจอดกองอยู่ ด้านข้างยังมีกระดานกันน้ำและมีด้ามหางเสือที่ใช้สำหรับควบคุมหางเสือ ตลอดจนเชือกเส้นเล็กเส้นน้อย มีเชือกพวนที่ถักด้วยป่านแล้วเอามาใช้รัดใบเรือให้เล็ก และเชือกพวนที่หยาบเท่าแขนซึ่งถักจากตอกไม้ไผ่

มองไปไกลมีไม้หนานมู่ และไม้การบูรที่ตัดเป็นแผ่นใหญ่ไว้แล้ว ตลอดจนไม้ซานมู่ และไม้อวี๋มู่ ที่ยังไม่ได้แปรรูป ถัดมาข้างๆ ก็ยังมีปูนขาว น้ำมันต้นถง และน้ำมันมะกอก

ทั้งอู่ต่อเรือเต็มไปด้วยกลิ่นปูนขาว น้ำมันต้นถง น้ำมันมะกอก ไม้และเชือกแต่ละแบบ

ตอนที่ยังไม่หนีออกจากบ้านจั้นปู้ฉวินก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างเรือเช่นกัน…แม้เขาจะเมาเรือและว่ายน้ำไม่เป็น แต่ก็เพราะเหตุนั้นเขาจึงมีเวลาอยู่บนเกาะมาก ย่อมมีเวลาได้คลุกคลีกับเหล่าจางช่างฝีมือสกุลจั้นไม่น้อย ต่อมาจั้นเทียนก็ให้เหล่าจางถ่ายทอดวิชาต่อเรือให้เขา อาจเพราะแต่เดิมเขาก็มีพรสวรรค์อยู่พอสมควรในด้านนี้ อีกทั้งบิดามักจะกดดันจึงเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็เพราะเขาได้จับพู่กันวาดภาพเรือ จึงทำให้เขาพบพรสวรรค์ในการวาดภาพของตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็ไม่เพียงสนใจออกแบบภาพเรือเท่านั้น แต่ยังสนใจวาดภาพตันชิง อีกด้วย ตั้งแต่นั้นจึงเกิดเป็นปมในใจที่ยากจะคลายระหว่างสองพ่อลูก สุดท้ายจึงทำให้เขาหนีออกจากบ้านไป

หากให้ผู้เชี่ยวชาญตัดสิน ของจริงหรือของปลอมย่อมแยกแยะได้ชัด

เขามีความรู้เรื่องการต่อเรือเป็นทุนเดิม แน่นอนว่าแค่มองก็รู้ว่าอู่ต่อเรือของสกุลสุ่ยนั้นไม่เลวเลยจริงๆ ตั้งแต่เรือที่ยังไม่เสร็จไปจนถึงวัสดุที่เตรียมเอาไว้พวกนี้ ก็ดูออกว่ามีทักษะเฉพาะทางไม่แพ้อู่ต่อเรือใหญ่บนฝั่งทะเลพวกนั้น กระทั่งยังทำได้ดีกว่าอีกด้วย มิน่าเล่าจั้นชิงจึงได้เลือกร่วมมือกับสกุลสุ่ยทั้งที่มีอู่ต่อเรือตั้งมากมาย

แต่ก็เพราะเขาเห็นวัสดุที่สกุลสุ่ยเตรียมไว้ทั้งหมด ก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกเขาจึงขอขึ้นราคาเป็นเท่าตัว หรือว่าไม้ของที่นี่จะราคากระโดดพุ่งเป็นสามเท่าตัว

เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น เขาก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าสกุลสุ่ยจะมีสาเหตุใดให้ต้องขึ้นราคา

และตอนที่เขากำลังสับสนอยู่ก็พลันได้ยินเสียงพูดคุยของคนข้างๆ ดังขึ้น…

“ข้าไม่ได้ทำงานแย่หรือใช้ของไม่ดีเสียหน่อย!” เด็กหนุ่มที่คาดผ้าสีขาวบนหัวเถียงหน้าแดง

พออีกคนได้ยินก็รีบตำหนิเสียงเข้มทันที

“วันก่อนตอนกลางคืนเห็นๆ อยู่ว่ามีไม้กุ้ยมู่ สองคันรถมาที่อู่ ถ้าหากเจ้าไม่ได้ตุกติก แล้วเหตุใดทำเสร็จแล้วจึงเหลือแค่ครึ่งเดียวได้”

“มีสองคันรถที่ไหน เห็นๆ อยู่ว่ามีแค่คันรถเดียว!” เด็กหนุ่มคนนั้นบอกอย่างเดือดดาลไม่ยอมแพ้ “เมื่อวานตอนเช้าที่ข้ามาทำงาน ก็เห็นไม้กุ้ยมู่แค่คันรถเดียว แล้วลงมือทำออกมาเป็นไม้พายทันที เสี่ยวหลี่ก็รู้ ไม่เชื่อก็ถามเขาสิ!”

สวี่จื่อฉีให้ทั้งสองฝ่ายสงบสติอารมณ์ก่อน แล้วจึงหันไปถามเสี่ยวหลี่ที่อยู่ข้างๆ

“เจ้าจะว่าอย่างไร”

เสี่ยวหลี่รีบพยักหน้า

“เรียนคุณชายสวี่ พี่สามพูดไม่ผิด มีไม้กุ้ยมู่อยู่แค่คันรถเดียวจริงๆ ขอรับ”

คนที่ตอนแรกจับตัวพี่สามได้ยินแล้วก็รีบบอกอย่างอดไม่ได้

“คุณชายสวี่ วันนั้นตอนกลางคืนข้าและท่านอาอู๋ขนไม้กลับมาสองคันรถจริงๆ ขอรับ!”

สวี่จื่อฉีได้ยินดังนั้นก็ให้เดือดดาลขึ้นมา พี่น้องพวกนี้ทำงานอยู่ที่อู่มากว่าห้าปีแล้ว นิสัยใจคอดีใช้ได้มาตลอด ไม่เหมือนคนที่จะโกหกได้ อีกอย่างทั้งสองฝ่ายต่างก็มีพยานยืนยัน ถ้าหากทั้งสองฝ่ายต่างพูดไม่ผิด แล้วไม้กุ้ยมู่คันรถนั้นหายไปไหน หรือว่า

เขาขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว แม้จะไม่อยากคิดเช่นนั้น แต่ไม้คงไม่มีปีกบินได้ ดังนั้นจะต้องมีใครขโมยไปแน่

“เมื่อวานตอนเช้าใครเข้ามาในอู่คนแรก” จั้นปู้ฉวินเดินไปอยู่ข้างกายสวี่จื่อฉี โพล่งถามขึ้น

อีกคนหนึ่งยกมือตอบ

“ข้าเอง”

“ตอนที่เจ้าเข้ามามีอะไรมีพิรุธหรือไม่”

“ไม่มีขอรับ” เขาส่ายหน้า “ประตูลงกลอนอยู่ ตอนที่ข้าเข้ามาก็เห็นรถคันเดียวแล้วขอรับ”

“แล้วคืนก่อนใครออกไปคนสุดท้าย”

ครั้งนี้อาหวังยกมือขึ้น

“ข้าออกไปคนสุดท้ายขอรับ”

“อาหวังสังเกตเห็นไม้กุ้ยมู่นั้นหรือไม่” สวี่จื่อฉีเห็นแก่ที่เขาเป็นคนดูแลอู่ต่อเรือ จึงค่อนข้างถามอย่างมีมารยาท

“ไม่เห็นขอรับ” อาหวังตอบเสียงเนิบ

จั้นปู้ฉวินได้ยินฝ่ายนี้แล้วก็เหมือนพบทางตัน จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง

“ได้ยินว่าช่วงนี้ไม้ราคาขึ้นสูงหรือ”

เขาพูดจบก็สำรวจสีหน้าของทุกคนอย่างเงียบๆ เห็นทุกคนมีสีหน้าไม่พอใจ เพราะรู้ว่าเขาสงสัยคนในอู่ว่าขโมยของเพราะเห็นแก่เงิน และมีเกลือเป็นหนอน

สวี่จื่อฉีจึงรีบบอก

“ช่วงนี้ราคาไม้ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง เหตุใดพี่จั้นจึงได้ถามเช่นนี้”

จั้นปู้ฉวินฉีกยิ้มกว้าง แสร้งถาม

“อย่างนั้นหรือ เพราะข้าไม่รู้เรื่องพวกนี้ จึงถามดูเท่านั้น”

ทุกคนได้ยินแล้วจึงได้คลายโทสะ แต่หนึ่งในนั้นกลับแอบสะดุ้ง อดสำรวจชายหน้าหนวดคนนี้มากขึ้นกว่าเดิมไม่ได้…

 

สวี่จื่อฉีถามอยู่พักหนึ่งแล้วก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร เพื่อที่จะไม่ให้ส่งสินค้าล่าช้า จึงได้แต่ให้ทุกคนกลับไปประจำหน้าที่ตามเดิม ส่วนเขาก็กลับคฤหาสน์สกุลสุ่ยกับจั้นปู้ฉวินไปก่อน

หลังจากกินมื้อค่ำแล้ว เขาก็นั่งอยู่ในห้องหนังสือ ชั่งน้ำหนักคำพูดของทุกคน แต่ก็หาช่องโหว่ไม่เจอ ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม* ก็ยังคิดไม่ตกว่าตกลงแล้วไม้นั้นหายไปได้อย่างไร สิ่งเดียวที่จะเข้าใจได้คือในอู่มีเกลือเป็นหนอน ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เกิดเหตุการณ์ที่ผีไม่รู้เทวดาไม่เห็นเช่นนี้ได้ ขณะที่เขากำลังขมวดคิ้วมุ่น จู่ๆ ก็นึกถึงคำพูดตอนนั้นที่จั้นปู้ฉวินถามเกี่ยวกับไม้ขึ้นราคาก็พลันฉุกใจขึ้นมาแวบหนึ่ง แล้วลุกขึ้นหมายจะออกไปหาคน ใครจะรู้ว่าพอประตูเปิดออก คนที่เขาต้องการหาก็มาเองถึงที่

สวี่จื่อฉีผงะ หันกลับไปรินน้ำชาที่โต๊ะ

“ข้ามีเรื่องจะถามเจ้าอยู่พอดี เข้ามาสิ”

ใครจะไปรู้ว่าเขารินน้ำชาได้แค่ครึ่งเดียว ขนอ่อนหลังคอก็พลันลุกชัน รู้สึกถึงจิตสังหารที่ส่งทอดมาจากแผ่นหลัง จะหลบไปด้านข้างก็ไม่ทันการณ์แล้ว ยังคงถูกหมัดของอีกฝ่ายโจมตีเข้าที่หลัง เขานอนแผ่ลงไปข้างหน้ากระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง แต่สติสัมปชัญญะยังคงแจ่มชัด มือซ้ายรีบควานหาดาบใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วพลิกตัวหันกลับไปฟันฉับ!

ฝ่ายตรงข้ามหลบดาบแล้วซัดฝ่ามือเข้าที่หน้าอกอีกที

ข้างหลังสวี่จื่อฉีคือผนัง ไม่มีทางให้ถอยหนี ได้แต่ฝืนรับฝ่ามือของอีกฝ่าย แต่วรยุทธ์ของคนผู้นั้นล้ำเลิศเกินกว่าที่เขาคาดไว้ เขาพ่นเลือดออกมาอีกครั้ง ในแววตาฉายความตระหนกระคนไม่แน่ใจ ก่อนหน้านี้เขาไม่มีทางเชื่อแน่นอนว่าคนผู้นี้จะลงมือกับเขา และยิ่งไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะมีพลังยุทธ์สูงส่งถึงเพียงนี้ แต่ในตอนนี้ไม่มีเวลาให้เขาได้คิดอะไรมากมายแล้ว ได้แต่พยายามยกดาบใหญ่ขึ้น ใช้พลังเฮือกสุดท้ายฟาดฟันฝ่ายตรงข้าม…

จั้นปู้ฉวินหยิบยาวิเศษที่รักษาแผลตลับนั้น ขณะกำลังคิดว่าจะเอายาไปให้คุณหนูใหญ่สกุลสุ่ยอย่างไรดี จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงต่อสู้ที่แผ่วเบา เขาขมวดคิ้วด้วยความฉงน สำแดงวิชาตัวเบาไปทางที่มาของเสียงนั้นโดยที่ไม่ได้คิดอะไรมาก

คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะมาถึงนอกห้องหนังสือก็เห็นสวี่จื่อฉีถูกคนซัดกระเด็นออกมาจากหน้าต่าง

จั้นปู้ฉวินตื่นตระหนก รีบรับสวี่จื่อฉีไว้ก่อนที่เขาจะตกลงมา แล้วก็ได้เห็นเลือดสดๆ อันน่าสยดสยอง

“พี่สวี่!”

คนในห้องไม่คิดว่าข้างนอกจะมีคน หลังจากที่สะดุ้งตกใจแล้วก็รีบออกไปทางหน้าต่างอีกบาน หลบหนีไปท่ามกลางราตรีมืดมิด จั้นปู้ฉวินเดิมอยากจะจับอีกฝ่ายไว้ แต่สวี่จื่อฉีบาดเจ็บภายในอย่างสาหัสชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย เขาพยายามเอาของสิ่งหนึ่งยัดใส่มือจั้นปู้ฉวินแล้วก็หมดสติไป

ช่วยคนเป็นเรื่องเร่งด่วน จั้นปู้ฉวินจึงได้แต่ล้มเลิกความคิดที่จะไปตามจับฆาตกร เขานั่งขัดสมาธิ สองมือทาบบนแผ่นหลังของสวี่จื่อฉี ใช้พลังปราณช่วยต่อชีพจรที่ถูกสะเทือนขาด

คนยังไม่ทันฟื้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเอะอะ จั้นปู้ฉวินโคจรพลังจะไปถึงตำแหน่งสำคัญ รู้ว่าจะเสียสมาธิไม่ได้ จึงได้แต่เพิ่มความเร็วให้พลังปราณไหลเวียนเร็วขึ้น ใครเลยจะรู้ว่าตอนที่คนสกุลสุ่ยพุ่งเข้ามาในลานเล็ก สวี่จื่อฉีจะล้มไปข้างหน้าและกระอักเลือดออกมาจากอกพอดี คนอื่นจึงเห็นแล้วเหมือนสวี่จื่อฉีถูกเขาทำร้าย

“ศิษย์พี่” ชายหนุ่มแปลกหน้าถือดาบรีบเข้ามา พอเห็นเหตุการณ์ก็กระโดดขึ้นฟันจั้นปู้ฉวินหนึ่งดาบพร้อมแผดเสียงตวาด “ไอ้โจรชั่ว เอาดาบนี่ไปกิน!”

จั้นปู้ฉวินเสียพลังปราณไปกว่าครึ่งเพื่อช่วยรักษาสวี่จื่อฉี เดิมทีก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะรับมือกับใครอยู่แล้ว ตอนนี้เพื่อรักษาชีวิตตัวเอง จึงกลิ้งหลุนๆ หลบดาบใหญ่นั้นโดยไม่สนใจว่าท่วงท่าจะงดงามหรือไม่

ยังไม่ทันได้หายใจ ทางนี้ก็มีอีกคนเงื้อดาบฟันลงมาอีก จั้นปู้ฉวินหลบทางซ้ายได้ แต่ก็ไม่มีแรงจะสู้กับพวกเขาแล้ว เขาหายใจไม่ทัน เดิมก็ไม่อาจจะอ้าปากอธิบายได้ อีกทั้งวิชาดาบของสกุลสุ่ยก็ร้ายกาจจริงๆ ยิ่งกว่านั้นเขาสูญพลังปราณมากเกินไป แล้วจะไปต่อกรกับคนหมู่มากได้อย่างไร

ไม่ถึงสิบกระบวนท่า จั้นปู้ฉวินก็ไม่ทันระวังถูกหนึ่งในนั้นฟันเข้าหนึ่งแผล เขาหลบพ้นจุดสำคัญได้อย่างหวุดหวิด แต่ดาบใหญ่ยังคงฟันลงมาที่หัวไหล่ เข้ากระดูกไปสามส่วน เลือดสดๆ กระเซ็นออกมาจากประกายดาบภายใต้แสงจันทร์!

จั้นปู้ฉวินข่มความเจ็บที่ไหล่และฝืนต่อสู้ แต่สามคนที่ร่วมกันโจมตีตรงหน้านี้ไร้ช่องโหว่ พอหลบได้หนึ่งดาบก็มาอีกหนึ่งดาบ เป็นคลื่นดาบฟาดฟันมาไม่ขาดสาย ทั้งตัวเขาเกือบจะถูกปกคลุมอยู่ใต้ประกายดาบ หากเขายังจะต่อสู้กับคนพวกนี้อย่างอุตลุดต่อไป วันนี้ของปีหน้าก็คงเป็นวันครบรอบวันตายของเขาแล้ว

การหนีคือกลยุทธ์ที่ดีที่สุด ต้องรู้จักสู้รู้จักถอย ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างล้วนมีความหวัง!

เขา จั้นปู้ฉวินต่อสู้มาแล้วทั้งเหนือใต้ ห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทร กระทั่งไปสู้ต่อที่ซีอวี้แดนทะเลทรายก็ยังไม่ตาย ถ้าวันนี้ถูกคนฆ่าตายอยู่ที่นี่ไปอย่างสับสนมึนงง นั่นก็เท่ากับว่าสวรรค์ปรักปรำเขาแล้วจริงๆ!

พอความคิดตั้งมั่น เขาก็ใช้วิชาเหยี่ยวพลิกกาย พลิกออกไปจากคลื่นดาบแต่ละชั้น ร่อนลงบนต้นไม้ สะกิดเท้าอีกหนึ่งทีก็ข้ามออกไปจากลานเล็กแห่งนี้ กระโดดไปบนศาลาข้างทางอีกแห่งในลาน พี่น้องสามคนนั้นก็ตามมาด้วย ทำให้จั้นปู้ฉวินไม่อาจหอบหายใจ มือใหญ่เปิดแผ่นกระเบื้องแล้วเหาะเหินออกไป

เห็นแค่เขาอยู่ข้างหน้า สามคนอยู่ข้างหลังกระโดดขึ้นกระโดดลง ไล่จับกันอยู่บนหลังคาในลานบ้าน

ในสถานการณ์ที่ต้องหนีและมีคนไล่ตามเช่นนี้ จั้นปู้ฉวินจึงได้รู้ว่าลานบ้านสกุลสุ่ยใหญ่โตไม่เข้าท่า ทำให้เขาเกิดความเหนื่อยล้าที่ข้ามไปไม่พ้นจากที่นี่เสียที ในราตรีมืดมิดทั้งสู้ทั้งหนีจนมาถึงลานสวนตะวันออก ในที่สุดข้างหน้าก็ปรากฏทางรอดชีวิต เห็นว่าพอพ้นจากกำแพงไปแล้วก็คือป่าทึบ เขาจึงได้โล่งอก แต่คาดไม่ถึงว่าหนึ่งในนั้นจะรุดมาอยู่ข้างหน้ากะทันหัน จั้นปู้ฉวินสู้กับทั้งสามคนต่ออย่างหมดแรง เรือนกายใหญ่ยักษ์เคลื่อนย้ายกลางอากาศ เอนเอียงไปด้านข้าง แล้วทะยานเข้าไปในหอที่อยู่ข้างๆ

ใครจะไปรู้ว่าพอกระโดดเข้ามาทางหน้าต่างแล้วจะเห็นคนนั่งอยู่บนเตียงคนหนึ่ง จมูกพลันได้กลิ่นหอมสดชื่น

“ใครน่ะ”

พอได้ยินเสียงนี้จั้นปู้ฉวินก็เกือบจะกระโจนออกไปทันที แค่เพราะไม่อยากทำให้นางตื่นตกใจ แต่หลายปีมานี้สัญชาตญาณแห่งการอยู่รอดทำให้เขารู้ว่านางคือโอกาสหนึ่งเดียวของเขา…

ไม่ต้องคิดให้ซับซ้อนอีกต่อไป เขาพุ่งตัวไปข้างหน้า อุ้มคนงามที่ยังไม่ตื่นดีด้วยมือข้างเดียว ปากบอกแค่ว่า

“เสียมารยาทแล้ว”

จากนั้นเขาก็กระโดดออกมาจากหอแล้วพลิกตัวขึ้นหลังคา

“ผู้ร้ายฆ่าคน คืนชีวิตศิษย์พี่ใหญ่ของข้ามา!” ใครคนหนึ่งเห็นเขากระโดดออกมาก็รีบเข้าไปฟันเขา

จั้นปู้ฉวินยึดสุ่ยรั่วไว้รีบร้องตะโกน

“อย่าเข้ามา!”

พี่น้องสามคนนั้นหยุดทันที หนึ่งในนั้นบอกอย่างเดือดจัด

“ไอ้โจรสมควรตาย ปล่อยคุณหนูใหญ่เดี๋ยวนี้!”

จั้นปู้ฉวินยึดคอสุ่ยรั่วไว้ด้วยมือเดียวแล้วยื่นไปข้างหน้า สุ่ยรั่วลอยอยู่กลางอากาศทั้งตัว ชายหนุ่มเอ่ยขู่

“หากพวกเจ้าเข้ามาอีก ข้าจะโยนนางลงไปได้ทุกเมื่อ! ทุกคนถอยไปสองจั้ง* ให้หมด!”

สุ่ยรั่วตกใจราวกับดอกไม้เผือดสี แต่กลับไม่ได้กรีดร้องออกมา เพียงแต่ตัวสั่นไม่หยุด

คนทั้งสามเห็นเหตุการณ์ดังนั้นแม้จะเดือดดาลไม่ยอมแพ้ แต่ก็จำต้องถอยไปไกลกว่าสองจั้งโดยดี แล้วจึงเอ่ยขึ้นอีก

“ปล่อยคุณหนูใหญ่เดี๋ยวนี้!”

“ถ้าพวกเจ้าไม่ตามมา ข้าจะปล่อยนางเอง!” จั้นปู้ฉวินหัวเราะลั่น โอบสุ่ยรั่วเข้ามาในอ้อมอก สะกิดเท้าแล้วทะยานออกไปนอกกำแพง หนีเข้าไปในป่าทึบสีดำ…

บทที่สี่

สุ่ยรั่วถูกจับเป็นตัวประกันอยู่ในอ้อมกอดของคนผู้นี้ ได้ยินแค่เสียงลมหวีดหวิวข้างหู นางลองลืมตาแล้ว แต่ในผืนป่าทึบมืดมิดมองไม่เห็นอะไรเลย และเกือบจะถูกกิ่งไม้บาดตาเอาด้วยซ้ำ นางตระหนกจนรีบเอาหน้าซุกกลับไปที่แผ่นอกแข็งแกร่งของชายหนุ่ม

ในตอนแรก ท่ามกลางสายลมยังคลับคล้ายได้ยินเสียงคนเอ็ดตะโรตามมาข้างหลัง แต่ไม่นานเสียงคนก็ไกลออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ได้ยินแค่เสียงลมแรงหวีดหวิวและเสียงหัวใจเต้นในหน้าอกของเขา

จมูกเริ่มได้กลิ่นคาวเค็มของเลือด สุ่ยรั่วอดตัวสั่นสะท้านไม่ได้ หวาดกลัวเพราะไม่รู้ว่าจะถูกผู้ร้ายคนนี้พาไปที่ใด จนกระทั่งตอนนี้นางจึงได้นึกเสียใจที่ไม่ได้เรียนวรยุทธ์ป้องกันตัวจากบิดาเหมือนกับน้องสี่

นางไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด รู้แค่ราวกับเป็นเวลายาวนานไร้ที่สิ้นสุด เขาจะพานางหนีไปยังทิศทางใด นางคิดไม่ออกเลยสักนิดเดียว เพราะนางแยกแยะเหนือใต้ออกตกไม่ได้แต่แรกแล้ว

ความตื่นตระหนกและไร้ทางช่วยคือคำบรรยายความรู้สึกในใจของนางตอนนี้ นางทั้งกลัวว่าจะถูกเขาจับตัวถลาพุ่งออกไป และกลัวว่าเขาจะหยุดแล้วสังหารนางทิ้งในที่สุด ความรู้สึกกลัวที่ไร้ขอบเขตบีบรัดหัวใจของนาง ทำให้นางไม่กล้าส่งเสียงแม้สักแอะ ได้แต่ปิดตาทั้งคู่แน่นตัวสั่นระริกอย่างห้ามไม่อยู่ ที่ลำคอยังรู้สึกถึงพละกำลังของมือใหญ่ที่บีบอยู่เมื่อครู่นี้ แม้จะเป็นธิดาสกุลสุ่ย อย่างน้อยก็นับว่าเป็นบุตรสาวในยุทธภพ นางโตมาขนาดนี้ แต่กลับเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าความตายอยู่ใกล้แค่นี้เอง

นางเกือบจะได้ลิ้มรสคาวเลือด รสชาติแห่งความตาย…

ทันใดนั้นชายหนุ่มก็หยุดลง สุ่ยรั่วกลัวจนแทบกรีดร้องออกมา สุดท้ายก็แค่หน้าซีดราวกับคนตาย รอคอยให้ความตายมาถึง

“ขออภัย”

ขออภัย? สุ่ยรั่วประหลาดใจ นึกสงสัยสิ่งที่ตัวเองได้ยิน นางนึกว่าความตายกำลังจะมาถึงแล้ว แต่กลับได้ยินเขาเอ่ยว่าขออภัย

เขาปล่อยนาง นางอดไม่ได้จึงลืมตาทั้งคู่ ทำหน้าสับสน

“เมื่อครู่นี้ข้าน้อยล่วงเกินไปมาก เพราะไม่มีทางเลือกจริงๆ คุณหนูโปรดอภัยให้ด้วย” จั้นปู้ฉวินหน้าซีดขาวมือกุมหัวไหล่ไว้ เผยยิ้มขื่นพลางอธิบายอย่างจริงใจ

“ท่าน…” สุ่ยรั่วถอยไปหนึ่งก้าว คล้ายยังประหลาดใจและฉงน

ความมึนงงแผ่ลามมาระลอกหนึ่ง จั้นปู้ฉวินฝืนไว้ไม่อยู่จึงเอ่ยปลอบหญิงสาว

“ไม่ต้องกลัว ข้างหลังเจ้าไม่ไกลมีถนนเส้นเล็กๆ พอเห็นถนนแล้วก็เลี้ยวขวา เลียบถนนเส้นเล็กนั้นลงเขาไปประมาณครึ่งชั่วยามก็จะเจอผู้คนแล้ว”

พูดเสร็จก็แสดงท่าทางให้เห็นว่าตัวเองไม่ได้มีเจตนาร้าย เขาจึงหันหลังจากไปอย่างโรยแรง แม้ตอนอยู่ในหอเขาจะสกัดจุดข้างบาดแผลเพื่อห้ามเลือดแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ก็ได้เสียเลือดไปมาก อีกทั้งยังเสียพลังปราณไปกว่าครึ่ง แล้วยังลักพาคนฝืนใช้กำลังเหาะหนีอีก ตอนนี้เขาจึงไม่เหลือกำลังเลย ใกล้จะไม่ไหวอยู่รอมร่อ จึงได้รีบหยุด หนึ่งคือเพราะไม่มีกำลังแล้ว สองคือเพื่อปล่อยนางกลับไป

เพิ่งจะเดินมาได้ไม่กี่ก้าว ภาพตรงหน้าก็ยิ่งดำมืด ความมึนงงยิ่งหนักหน่วง จั้นปู้ฉวินรู้ว่าเขาจำเป็นต้องรีบหาที่ซ่อนตัวเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ แม้ที่นี่จะไกลจากคฤหาสน์สกุลสุ่ยมากแล้ว แต่เผื่อเอาไว้ก่อนจะดีกว่า เผื่อว่าหากถูกคนที่ฆ่าไม่เลือกพวกนั้นหาตัวพบ เขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

น่าตายนัก!

พละกำลังในร่างกายค่อยๆ ถดถอย เขาลอบสาปแช่ง เหมือนจะมองเห็นทางใต้ฝ่าเท้าพร่าเลือน ได้แต่กัดฟันลากสังขารที่หนักหนา เท้าแต่ละก้าวเดินโซเซก้าวแล้วก้าวเล่า ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะหันกลับไปมองนางจากไป…

สุ่ยรั่วกุมหน้าอกด้วยความตื่นตระหนก มองชายร่างสูงเจ็ดฉื่อลากเท้าหนักๆ จากไปไกล นางก็ลองถอยหนึ่งก้าว จากนั้นก็ถอยอีกก้าว พอเห็นอีกฝ่ายไม่ได้หันกลับมาจริงๆ จึงได้รีบหมุนตัววิ่งหนี แต่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงดัง ‘ตึง’ จากด้านหลัง นางตกใจจึงหันกลับไปมอง ก็เห็นชายหนุ่มล้มคว่ำหน้าลงไปทั้งตัว แน่นิ่งอยู่ข้างลำธาร ร่างกายท่อนบนกว่าครึ่งแช่อยู่ในน้ำ

สุ่ยรั่วยืนนิ่งอยู่ข้างป่ากำลังลังเล ทั้งๆ ที่รู้ว่าทางที่ดีที่สุดคือหมุนตัววิ่งหนีไป…คนผู้นี้สังหารพี่สวี่ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ควรสนใจว่าเขาจะเป็นหรือตาย แต่…เมื่อวานคนผู้นี้ก็ถือว่าช่วยนางไว้เช่นกัน

สุ่ยรั่วกัดกลีบปากล่างเบาๆ ขมวดคิ้วงามอย่างลำบากใจมองไปทางเขา

คนผู้นั้นนอนอยู่ตรงนั้น ขยับก็ขยับไม่ได้ราวกับศพ สัญชาตญาณของความใจดีทำให้นางเดินไปข้างหน้าตรวจดูอาการของเขา แต่อีกด้านหนึ่งก็กลัวว่าเขาจะฟื้นขึ้นมากะทันหันแล้วทำร้ายนาง…

ขณะที่นางเงยหน้าขึ้นด้วยความลังเลไม่หาย แสงจันทร์เจิดจ้าก็ส่องผ่านเมฆลงมา ทำให้นางเห็นแผลที่หัวไหล่ของชายหนุ่มชัดเจน เลือดสดไหลพรากอาบย้อมเสื้อผ้าขาดรุ่ยของเขา น้ำในลำธารชะบาดแผลนั้น แต่กลับทำให้สีเลือดแผ่เป็นวงกว้างบนผิวน้ำ ราวกับเขาหลั่งเลือดออกมาเป็นลำธารอย่างไรอย่างนั้น แลดูน่าสยดสยอง!

พอเห็นภาพนี้ สุ่ยรั่วก็ปิดปากสูดหายใจเฮือก ยังไม่ทันได้สติคืนมา ทั้งตัวของชายหนุ่มก็ถูกน้ำในลำธารชะจนเริ่มเคลื่อนไหวช้าๆ…

นางพุ่งเข้าไปในลำธารแทบจะโดยสัญชาตญาณ และยึดเขาไว้ในพริบตาสุดท้าย!

ไม่ได้สังเกตว่าสองเท้าและชายกระโปรงเปียกน้ำในลำธาร นางแค่ยึดชายหนุ่มที่ใกล้จะถูกน้ำในลำธารซัดออกไปสุดกำลัง ไม่ง่ายเลยกว่าจะดึงคนผู้นี้กลับมาริมธารได้ ทั้งต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดพลิกตัวเขาขึ้นมาให้หันหน้าขึ้น

แล้วตอนนี้ควรทำอย่างไร

สุ่ยรั่วมองชายตัวโตที่แทบจะเปียกโชกไปทั้งตัวด้วยความสับสนทำอะไรไม่ถูก นานพักหนึ่งจึงนึกได้ว่าควรจะดูว่าเขายังหายใจอยู่หรือไม่ นางย่อตัวลงอย่างหวาดๆ ยื่นนิ้วชี้ออกไปใต้จมูกที่ครึ้มหนวดของเขาอย่างกลัวๆ กล้าๆ นานพักหนึ่งจึงได้รู้ว่าเขายังมีลมหายใจ

เฮ้อ โชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่

นางหดมือกลับมาพลางโล่งอกแล้วลุกยืนขึ้น แต่หางตาก็ยังเหลือบไปมองบาดแผลที่หัวไหล่ของเขา

ทำอย่างไรดี

สุ่ยรั่วเห็นชายหน้าหนวดเจ็บหนักไม่ยอมฟื้น ก็นึกถึงคำพูดของเขาเมื่อครู่นี้ตอนที่ปล่อยนางไป เขาบอกว่าเขาไม่มีทางเลือก…

ยามนี้หลังจากที่สงบสติอารมณ์แล้ว ครั้นมองใบหน้าหนวดครึ้มของเขาอีก นางก็กลับไม่ได้รู้สึกกลัวเหมือนเช่นก่อนหน้านี้แล้ว ตรงกันข้าม พอหวนนึกถึงว่าคนผู้นี้แม้จะบุกเข้ามาที่หอรั่วหรานจับนางไว้ ผิวเผินนั้นดูเหมือนโหดเหี้ยมโอหัง กระทั่งจับคอนางอย่างโหดร้ายขู่ว่าจะโยนนางลงไปจากหอสูง แต่ตอนนั้นความจริงแล้วเขายึดผ้าคาดเอวข้างหลังนางไว้ด้วย อีกทั้งตลอดทางเขาไม่ได้ทำร้ายนางจริงๆ เมื่อครู่ก็รักษาสัญญาปล่อยนางจากไป ทั้งท่าทางยังมีมารยาทสุดประมาณด้วยซ้ำ

จู่ๆ แขนขวาก็เจ็บแปลบขึ้นมา นางจึงนึกได้ว่าแขนของตัวเองยังมีแผลถลอกเป็นแถบกว้าง แต่ก็เพราะเหตุนี้จึงทำให้นางยิ่งมั่นใจว่าคนผู้นี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อนาง เพราะเมื่อครู่แม้เขาจะจับนางไว้ แต่กลับไม่ได้แตะต้องแขนขวาที่นางได้รับบาดเจ็บเลยตั้งแต่ต้น กระทั่งเหมือนจะตั้งใจเลี่ยงด้วยซ้ำ…

น้ำในลำธารไหลซู่ ลมราตรีโชยพัดมาระลอกหนึ่ง เลิกกระโปรงที่เปียกชื้นของนางขึ้นเล็กน้อย

 

สุ่ยรั่วมองคนผู้นั้น ใคร่ครวญอยู่ในใจหลายตลบ สุดท้ายจึงได้สูดหายใจเข้าลึก ล้วงผ้าเช็ดหน้าสะอาดออกมาจากอกเสื้อ แกะผ้าที่แขนขวาซึ่งยังค่อนข้างสะอาดสะอ้านอยู่ออกมาแล้วย่อตัวลงช่วยพันแผลให้เขา

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เคยช่วยชีวิตนางไว้ครั้งหนึ่ง และเรื่องที่เกิดในคืนนี้ ทั้งจากวิธีที่เขาพูดเมื่อครู่นี้เหมือนจะมีปัญหานิดๆ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น นางช่วยพันแผลให้เขา ห้ามเลือดแล้วค่อยไปก็ยังไม่สาย และยังถือเป็นการตอบแทนน้ำใจของเขาด้วย

นางพันแผลให้เขาเสร็จแล้วก็ค่อยลงเขาไปหาครอบครัวชาวบ้านเพื่อแจ้งข่าวให้ที่บ้านรู้ ถ้าภายภาคหน้าพบว่าเขาไม่ใช่ผู้ร้ายฆ่าคน ถึงตอนนั้นนางจะได้ไม่ต้องรู้สึกใจไม่สงบไปชั่วชีวิตเพราะไม่ได้ช่วยเขา ทว่าถ้าหากเขาคือฆาตกรฆ่าคนจริงๆ เชื่อว่าเขาเจ็บหนักถึงเพียงนี้ก็คงเคลื่อนไหวไม่ได้แล้ว

หลังจากพันแผลที่หัวไหล่ของเขาเสร็จแล้ว สุ่ยรั่วจึงออกแรงเต็มที่ลากเขามาอยู่ใต้ต้นไม้ข้างลำธาร เพื่อไม่ให้เขาถูกน้ำซัดอีก แต่เขาทั้งตัวใหญ่และหนักเหลือเกิน นางจึงได้แต่ลากชายตัวโตสูงเจ็ดฉื่อมาทีละชุ่น* สุดท้ายก็เหงื่อโซมกาย กว่าจะลากเขามาอยู่ใต้ต้นไม้ในระยะสองฉื่อได้ สองมือแทบถลอก

นางหอบหายใจพลางล้างคราบเลือดบนมือของตนที่ลำธาร หันกลับไปมองชายหน้าหนวดที่นอนแน่นิ่งอย่างไม่ค่อยสบายใจแล้ว จึงได้หมุนตัวจากไปในทิศทางที่เขาบอกเมื่อครู่อย่างเด็ดเดี่ยว

 

พระจันทร์ค่อยๆ ย้ายจากเหนือศีรษะไปยังอีกฟากฝั่งของท้องนภายามราตรี ดาราดวงน้อยยังคงระยิบพร่างพราว

มองชายตัวโตที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ เสียงถอนหายใจเบาๆ ก็แผ่วพลิ้วออกมาจากกลีบปากแดงนุ่ม

“เฮ้อ…”

สุ่ยรั่วคุกเข่าอยู่ข้างชายหนุ่ม หว่างคิ้วงามมีร่องรอยความห่วงใยบางๆ

นางเองก็รู้ว่าไม่ควรจะสนใจเขาอีก แต่เมื่อครู่ที่เดินไปได้ไม่ไกล นางกลับคิดฟุ้งซ่านระหว่างทางบนเขาอย่างอดไม่ได้ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าทิ้งคนเจ็บหนักถึงเพียงนี้ท่ามกลางความมืดมิดในป่าเขาห่างไกลผู้คนแล้วช่างใจร้ายนัก พักหนึ่งก็คิดว่าเขาอาจจะถูกสัตว์ร้ายกินก็ได้ พักหนึ่งก็กลัวว่าเขาจะเจ็บหนักจนทนไม่ไหวแล้วหมดลมหายใจ

และตอนที่นางได้ยินเสียงหมาป่าเห่าหอนจากที่ไกลๆ จริงๆ นั้น นางก็ไม่ได้ขบคิดนานนัก หันหลังวิ่งกลับมา…แม้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะไล่หมาป่าหิวโหยอย่างไร

มือขาวเนียนของนางกำกิ่งไม้ที่เก็บมาจากพื้นเมื่อครู่นี้แน่น มองไปรอบทิศอย่างระแวดระวัง กลัวว่าจะมีฝูงหมาป่าโผล่พรวดออกมาจากข้างทางจริงๆ

จากนั้นไม่รู้ว่าเมื่อไร หมาป่าที่อยู่ไกลๆ ก็ไม่ได้เห่าหอนใส่พระจันทร์อีกแล้ว ในราตรีดำมืดนอกจากเสียงน้ำไหลซู่ๆ แล้ว บางคราวก็ยังได้ยินเสียงกบร้องและเสียงของสัตว์ตัวน้อยไม่ทราบชื่อผ่านมา หนังตาของนางก็ยิ่งหนักขึ้นทุกทีจนค่อยๆ ต้านทานไม่อยู่ สองสามวันก่อนหน้านี้นางไม่ได้นอนมากเท่าไรเพราะรีบเร่งวาดภาพ เมื่อคืนก็นอนไปได้ไม่กี่ชั่วยาม ตอนนี้จึงได้หลับสนิทไป ตอนแรกนางยังผวาตื่นเพราะเสียงแผ่วเบาที่ดังขึ้นกะทันหัน ทว่าหลังจากนั้นก็ไม่อาจจะยืนหยัดต่อไปได้ ได้แต่กอดกิ่งไม้ที่เอาไว้ใช้ป้องกันตัวแน่น พิงต้นไม้หลับไปด้วยความอ่อนล้า

และจั้นปู้ฉวินยังคงหมดสติแน่นิ่งอยู่ข้างกายนาง มีเพียงหน้าอกที่กระเพื่อมไหวและลมหายใจยาวที่บ่งบอกให้รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่

พระจันทร์บนผืนนภาค่อยๆ คล้อยต่ำ เส้นขอบฟ้าไกลสุดตาค่อยๆ ทอแสงสีขาว…

รุ่งอรุณพลันปรากฏ อุณหภูมิค่อยๆ สูงขึ้น ลมยามเช้าพัดโชย ใบไม้สั่นไหวตามแรงลม ไอน้ำชั้นบางไหลซึมออกมาจากใบไม้เขียวสดช้าๆ แล้วไหลรวมเป็นหยดน้ำเล็กๆ มาตามเส้นลายใบไม้ ใบไม้สีเขียวโน้มตัวลงช้าๆ เพราะน้ำหนักของหยดน้ำ จากนั้นหยดน้ำก็ไหลผ่านแสงอรุณสีเหลืองอร่ามหล่นร่วงลงมาในพริบตา…

แหมะ!

เขาลืมตาทั้งสองข้างในพริบตาที่น้ำเย็นเฉียบหยดลงตรงหว่างคิ้ว

แสงแสบตาทำให้เขาหรี่ตาทั้งคู่ทันที แต่ยังไม่พลาดใบไม้สีเขียวที่ยังคงสั่นไหว

นี่คือที่ไหน

ความคิดแวบผ่าน สมองของเขาก็สืบค้นความทรงจำของเมื่อคืนนี้ด้วยตัวเอง

มารดามันเถอะ! โชคร้ายแปดชั่วโคตรจริงๆ! จั้นปู้ฉวินพ่นสบถความเจ็บใจออกมา ลอบด่าสาปแช่งอยู่ในใจพลางลุกนั่งอย่างลำบากยากเย็น

น่าตายจริงๆ! สวี่จื่อฉีถูกคนทำร้าย เขาถูกคนสกุลสุ่ยเข้าใจผิดตามฆ่าอย่างน่าอนาถ แล้วยังหนีตายจับตัวคุณหนูใหญ่สกุลสุ่ยเป็นตัวประกันมาด้วย เขาจำได้ว่าเขาปล่อยนางไปได้ไม่นานเท่าไร พอหมุนตัวเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หมดสติ…

ความคิดและการเคลื่อนไหวหยุดชะงักในพริบตา เขาเพิ่งจะลุกนั่งได้ครึ่งทาง พอก้มหน้าก็กลับเห็นว่ามีใครเอาผ้าเช็ดหน้าของสตรีมาพันแผลบนหัวไหล่ไว้ให้อย่างดี เขาถลึงตามองผ้าเช็ดหน้าที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ผืนนั้นอย่างคนโง่งม จากนั้นพอหันกลับมาก็เห็นนาง!

ถลึงตาจ้องสตรีที่พิงต้นไม้ใหญ่นอนหลับสนิท จั้นปู้ฉวินไม่อาจขบคิดไปชั่วขณะ ได้แต่เบิกตากว้าง มองใบหน้าสงบนิ่งยามนิทราของนางตาค้าง

นานแสนนานเขาจึงพลันได้สติ ข่มความเจ็บลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ถอยหลังไปสองก้าว แต่ดวงตาทั้งคู่ยังไม่ละเลื่อนจากร่างของนาง ถลึงตากว้างจ้องใบหน้างามล้ำ อดสบถคำหยาบในก้นบึ้งหัวใจออกมาหลายประโยคไม่ได้

น่าตายนัก! เหตุใดนางจึงมาอยู่ตรงนี้ได้ แล้วยังหลับไปข้างกายข้าอีก? ข้าปล่อยนางไปแล้วมิใช่หรือ

หรือว่าข้าไม่ได้ปล่อยนางไปตั้งแต่แรก ข้าจำผิดหรือ

ไม่สิ! เขาก้มหน้ามองบาดแผลที่มือและไหล่ของตัวเองอีกครั้ง มั่นใจยิ่งนักว่าเขาได้ปล่อยนางไปแล้ว เพราะหากไม่ได้ปล่อยนางไป แล้วนางจะเอาผ้าเช็ดหน้าของตัวเองมาช่วยพันแผลให้ผู้ร้ายฆ่าคนอย่างเขาได้อย่างไร หรือในช่วงที่เขาไม่รู้ตัวเขาบังคับให้นางทำ?

ยังไม่ทันได้ข้อสรุปก็ได้ยินเสียงสุนัขหอนดังแว่วอยู่ไกลๆ

จั้นปู้ฉวินตื่นตระหนก รู้ว่าคนของสกุลสุ่ยส่งสุนัขล่าเนื้อมาตามหาเขา ตามหลักแล้วเขาไม่ควรคิดแตะต้องนางอีก แต่ตอนนี้กำลังภายในของเขายังไม่ฟื้นคืน จะหนีพ้นพี่น้องสกุลสุ่ยพวกนั้นที่ไม่แยกแยะถูกผิดเอาแต่ไล่ฆ่าเขาได้อย่างไร

เขาสบถสาปแช่งอีกสองสามประโยคอย่างหัวเสีย จั้นปู้ฉวินค่อนข้างหงุดหงิดว่าเหตุใดเมื่อคืนนี้นางถึงไม่จากไป เสียงเห่าของสุนัขใกล้เข้ามาทุกที ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือก ชายหนุ่มกัดฟัน ยื่นนิ้วออกไปสกัดจุดนางแล้วแบกนางไว้บนบ่าข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บ

เพื่อความปลอดภัย เอานางเป็นยันต์ป้องกันตัวถึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

แม้การทำเช่นนี้จะต่ำช้า แต่ตอนนี้ใกล้จะรักษาชีวิตไว้ไม่อยู่แล้ว ยังจะมาพูดเรื่องต่ำหรือไม่ต่ำช้าอะไรอีกเล่า จะว่าไปเขาก็ไม่ได้เป็นคนต่ำช้าครั้งแรกเสียหน่อย…แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดพอคิดว่าจะใช้นางมารักษาชีวิตตัวเองไว้ ลึกๆ ในจิตใจก็รู้สึกไร้ค่านัก อีกทั้งยังหงุดหงิดชะมัด!

หลังจากลอบสบถออกไปอีกที เขาจึงได้ออกแรงเหาะไปจากตรงนั้น ข้ามลำธารมุ่งหน้าไปยังภูเขาอย่างรวดเร็ว

แต่เพิ่งจะไม่นานเท่าไรเขาก็เหงื่อโซมกาย บาดแผลที่หัวไหล่เหมือนจะมีเลือดซึมออกมาอีก พอเผลอก็เกือบจะร่วงลงพื้นไปทั้งตัว

สุนัขล่าเนื้อที่ตามมาข้างหลังส่งเสียงร้องตื่นเต้น เห็นชัดว่ามันพบที่ที่พวกเขาหยุดพักเมื่อครู่นี้ ตอนนี้คนพวกนั้นจะต้องไล่ตามมาเต็มกำลังแน่

จั้นปู้ฉวินฝืนเหาะหนีด้วยร่างกายที่เหนื่อยล้า แต่เขาเองก็รู้ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ได้การ ถ้าหากไม่คิดหาวิธี ช้าเร็วก็ต้องถูกไล่ตามทัน!

และในตอนนี้เอง เขาคล้ายจะได้ยินเสียงน้ำซู่ซ่าดังมาจากข้างหน้า พลอยรู้สึกลิงโลดใจโดยไม่รู้ตัว รีบแบกสุ่ยรั่วมุ่งหน้าไปทางเสียงน้ำ จริงดังคาด ผ่านป่าไปแล้วก็เป็นน้ำตกสีขาวสายยาวไหลลงมาจากฟ้าอย่างที่เขาคิดไว้

ใต้น้ำตกคือสระน้ำลึก เขาสำรวจผืนดินรอบทิศ คิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็วแล้วตัดสินใจทันที

ผาน้ำตกยาวมีต้นไม้ใบหญ้า ปีนขึ้นไปไม่ยาก เขาวางสุ่ยรั่วลงแล้วกระโดดขึ้นไปบนผานั้นรวดเร็วปานสายฟ้า ไม่นานนักก็ปีนขึ้นไปถึงจุดสูงสุด แล้วฉีกเสื้อที่ขาดรุ่ยมาแต่แรก เอาผ้าที่ฉีกขาดชิ้นเล็กๆ นั้นเกี่ยวไว้กับกิ่งไม้ แสร้งสร้างสถานการณ์หนีเอาชีวิตรอดอย่างตื่นตระหนกไม่ทันระวังถูกเกี่ยวเสื้อ จนกระทั่งออกมาจากป่าแล้วถึงถนนเล็กๆ ที่ชาวบ้านใช้เดินเป็นประจำจึงได้ถอยกลับทางเดินไปที่น้ำตก จากนั้นเขาก็อุ้มสุ่ยรั่วกระโดดลงไปในสระลึก อยู่อย่างสงบนิ่งไม่ขยับเขยื้อนใต้น้ำตกที่โหมกระหน่ำ ให้ละอองน้ำที่ฟุ้งกระเซ็นกลบบังพวกเขาทั้งสอง

ไม่นานนักกำลังคนของสกุลสุ่ยที่พาสุนัขล่าเนื้อมาด้วยก็มาถึงที่นี่

เสียงคนและสุนัขเอ็ดอึงอยู่ข้างน้ำตก นานพักใหญ่คนพวกนั้นจึงมั่นใจว่าคนที่ตามจับตัวนั้นหนีไปแล้ว สองสามคนเหาะขึ้นไปที่หน้าผา คนอื่นๆ ก็พาสุนัขอ้อมขึ้นเขา

นานแสนนาน ทุกสรรพเสียงจึงได้ค่อยๆ ไกลออกไป แต่จั้นปู้ฉวินยังคงนั่งนิ่งอยู่ใต้น้ำตกไม่ยอมขยับ

นานพักใหญ่ จู่ๆ ใครคนหนึ่งก็วกกลับมา พอเห็นที่บ่อน้ำไม่มีคนอยู่จริงๆ จึงขมวดคิ้วแล้วปีนหน้าผาจากไป

จนกระทั่งตอนนี้จั้นปู้ฉวินจึงได้โล่งอกจริงๆ เมื่อมั่นใจว่าบนน้ำไม่มีใครอีกแล้วจึงพาสุ่ยรั่วลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ

ให้ตายสิ อันตรายจริงๆ! โชคดีที่หลายปีมานี้เรียนรู้จากตอนที่นำทัพไปทำศึกกับพี่ใหญ่มาไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคงถูกเจ้าบ้าที่วกกลับมาจับตัวได้แน่ๆ!

จั้นปู้ฉวินปาดน้ำออกจากหน้า ยังไม่ทันปรับลมหายใจดีก็สะดุ้งตกใจ เพราะคุณหนูใหญ่หน้าตาซีดเซียว เขาตระหนก รีบตรวจลมหายใจของนาง กลับพบว่านางไม่มีลมหายใจแล้ว ตอนนี้จึงนึกขึ้นได้ว่าเขาเรียนวรยุทธ์มา สามารถปิดลมหายใจในน้ำได้ แต่คุณหนูใหญ่สกุลสุ่ยผู้นี้ทำไม่ได้! อีกอย่างเมื่อครู่นี้เขายังสกัดจุดนางไว้ด้วย ต่อให้นางทำได้ก็ไม่อาจจะปิดลมหายใจได้อยู่ดี กลัวแต่ว่านางจะเผลอดื่มน้ำเข้าไปสิบกว่าอึกแล้ว!

จั้นปู้ฉวินพลันหน้าขาวซีดราวกับคนตาย ลองตรวจชีพจรของนางอีกครั้ง โชคดีที่ชีพจรยังเต้นอยู่ เขารีบคลายจุดชีพจรของนางที่ผนึกไว้พลางด่าตัวเองที่โง่งม และไม่มีเวลาจะมาสนใจว่าชายหญิงต้องเคร่งครัดในเรื่องห้ามแตะเนื้อต้องตัวกัน ทาบฝ่ามือลงบนหน้าอกนางโดยตรง ใช้พลังปราณช่วยให้นางกลับมาหายใจ

ครึ่งเค่อหลังจากนั้น สุ่ยรั่วก็สำลักน้ำออกมาหลายอึกติดๆ กัน ใบหน้าซีดขาวกลับมามีสีเลือดอีกครั้ง

จั้นปู้ฉวินดึงมือใหญ่ที่หน้าอกนางกลับมา รีบประคองนางลุกนั่ง ปากก็ขอโทษขอโพยไม่หยุด

“ขออภัย ข้าไม่ได้ตั้งใจ”

หน้าเขาซีดขาว หอบหายใจเล็กน้อย เพื่อช่วยให้นางกลับมาหายใจ เขาเสียพลังปราณที่เหลืออยู่ไปอีกนิด เมื่อคืนอาการบาดเจ็บเพิ่งจะฟื้นคืนปกติ ทว่าตอนนี้ก็กลับมาอาการหนักขึ้นอีกหลายส่วน

“แค่กๆ…เกิด…แค่ก…อะไรขึ้น” หน้าอกและปอดเจ็บจนทำให้นางน้ำตารื้น สุ่ยรั่วปิดปากไอพลางถาม ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตัวเองถึงรู้สึกเหมือนเพิ่งจมน้ำมา

เขาไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ได้แต่โพล่งออกมาอย่างกระดาก

“ขออภัย…”

สุ่ยรั่วกลับมาหายใจได้เล็กน้อยแล้วถามอีก

“ที่นี่ แค่ก…คือที่ไหน”

“บนเขา” ครั้งนี้เขาตอบอย่างรวดเร็ว แต่ตอบก็เหมือนไม่ได้ตอบ

ความจริงสุ่ยรั่วก็ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะตอบเหตุผลออกมา ดังนั้นจึงไม่ได้ซักไซ้อะไรมาก แค่ไอสองทีแล้วฝืนยันร่างลุกขึ้น

จั้นปู้ฉวินประคองนางลุกขึ้นอย่างทำอะไรไม่ถูก ข้างบนก็พลันแว่วเสียงสุนัขร้อง!

สุ่ยรั่วทำหน้าประหลาดใจ จั้นปู้ฉวินกลับเกือบจะสะดุ้งตกใจ นางเพิ่งจะเงยหน้าขึ้นก็ถูกเขาเอามือใหญ่มาปิดปากไว้ พร้อมลากนางเข้าไปซ่อนตัวในป่าทึบทันที

“อย่าร้อง” เขาบอกเสียงแผ่ว แม้เสียงจะเหี้ยมเกรียม แต่ในแววตากลับมีประกายเว้าวอน

สุ่ยรั่วถูกเขากดไว้ข้างต้นไม้ ดวงตาวาวฉ่ำวาบฉายความตระหนก ครั้งนี้นางไม่ได้เชื่อฟังเขาแต่โดยดี ตรงข้ามกลับเริ่มออกแรงดีดดิ้น แม้ปากเล็กจะถูกมือใหญ่ของเขาผนึกไว้ แต่ยังคงส่งเสียงร้องอู้อี้ออกมา

โชคดีที่เสียงน้ำตกดังมาก เสียงร้องอู้อี้ของนางจึงไม่ได้เล็ดลอดออกไปจริงๆ

กลัวว่านางจะร้องดิ้นต่อไปจนดึงดูดความสนใจของคนและสุนัขข้างบน มือใหญ่ของชายหนุ่มจึงโอบรอบเอวและสองมือของนางไว้ ก้มลงบอกข้างหูนางเบาๆ

“คุณหนูใหญ่ ข้าไม่ได้เป็นคนทำร้ายพี่สวี่ ข้าแค่ผ่านไปพอดี ขณะที่กำลังช่วยเขาก็ถูกพวกศิษย์ของบิดาเจ้าเข้าใจผิด! ตอนนี้พวกเขากำลังมีโทสะ ไม่มีทางฟังข้าอธิบายแน่ ข้าบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจต้านทานพวกเขาได้ ถ้าหากต้องตายที่ต้งถิงอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนี้ เกรงว่าคงทำให้ชื่อเสียงในยุทธภพของจอมยุทธ์สุ่ยอวิ๋นต้องแปดเปื้อน! ต่อให้คุณหนูใหญ่ไม่เห็นแก่ข้า ก็ควรเห็นแก่จอมยุทธ์สุ่ยอวิ๋นและพี่สวี่!”

จั้นปู้ฉวินหน้าซีดราวกับคนตายรีบอธิบาย กรอบหน้าผากมีเหงื่อเย็นผุดพราย ความจริงแล้วเขาในตอนนี้ไม่มีเรี่ยวแรงเหลือมากพอที่จะแบกนางวิ่งหนี ถ้าหากนางจะขัดขืนต่อไปจริงๆ ดึงดูดความสนใจจากข้างบนได้ เขาย่อมต้องตายโดยไร้ข้อกังขา

สุ่ยรั่วตัวแข็งทื่ออยู่ในอ้อมกอดชายหนุ่ม มือใหญ่ของเขาค่อนข้างเย็นเฉียบ ไม่เหมือนเมื่อคืนที่ยังมีความร้อนระอุ หน้าผากและเรียวคิ้วมีเหงื่อหยดลงมา ไม่รู้ว่าเป็นน้ำในลำธารหรือเป็นเหงื่อของเขา นางรู้ว่าเขากังวลยิ่งนัก และยังรู้ด้วยว่าขอเพียงนางดิ้นรนขัดขืนต่อไป หากเขาไม่ฆ่านางก็จะเอานางเป็นตัวประกันอีก…

นางเชื่อคำพูดเมื่อครู่ของเขาแค่สามส่วน นัยน์ตาสีดำของเขาที่อยู่ตรงหน้าใกล้ๆ นี้จับจ้องนางไม่กะพริบ นางเห็นเงาสะท้อนของตัวเองที่สงบนิ่งอยู่ในแววตาของเขา พริบตานั้นนางเข้าใจแล้วว่าแค่สามส่วนน้อยๆ นั้นก็เพียงพอให้นางหยุดดิ้น นางเลือกแล้ว เลือกที่จะช่วยเขา

นางไม่รู้ว่าการตัดสินใจนี้ผิดหรือถูก นางแค่หวังว่าในวันหน้าตนจะไม่ต้องเสียใจภายหลังเพราะเรื่องนี้

ลมภูเขาที่หนาวเข้าเนื้อพัดผ่าน เสียงน้ำที่ไหลตกลงมาดังซู่ๆ ฐานน้ำตกสะท้อนแสงอรุณสีเหลืองทอง สะท้อนเป็นสายรุ้งเล็กๆ บนละอองน้ำ คนใต้ต้นไม้สองคนตัวแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อน

ไม่นานเสียงสุนัขล่าเนื้อก็ไม่ได้แว่วมาให้ได้ยินอีก เสียงคนที่คืบใกล้เข้ามาก็ค่อยๆ ไกลออกไป…

บทที่ห้า

“ขอบคุณ…” ผ่านไปพักใหญ่ จั้นปู้ฉวินก็ปล่อยมือใหญ่ที่ปิดปากเล็กไว้ในที่สุด แล้วกล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ

แสงอาทิตย์ลอดผ่านใบไม้ในผืนป่าสาดส่องลงมาบนร่างเขา ตอนนี้สุ่ยรั่วจึงพบว่าความจริงแล้วเขาหน้าตาไม่เลวเลย…อย่างน้อยส่วนที่ไม่ได้ถูกปกคลุมด้วยหนวดหยิกหย็อยก็เป็นเช่นนั้น

ขนคิ้วของเขาทั้งดกทั้งดำ ดูยโสก้าวร้าว สันจมูกโด่งตรงดูเหมือนเคยถูกคนต่อยหักมาก่อน ใต้ตาขวามีรอยแผลเป็นที่มองเห็นไม่ชัดหนึ่งรอย ดวงตาสีดำทั้งคู่แม้ตอนนี้จะดูอ่อนล้าโรยแรง แต่ก็ยังทอรัศมีเปล่งประกาย

เอาเถอะ ส่วนอื่นๆ ไม่ได้หล่อเหลาจริงๆ กระทั่งยังเหมือนหัวหน้าโจรอย่างที่เฉี่ยวเอ๋อร์บรรยายไว้หน่อยๆ ด้วย แต่นางก็ยังรู้สึกว่ามองเขาแล้วสบายตายิ่งนัก

น้ำหยดหนึ่งไหลลงมาจากปลายผมของเขา ตอนที่สุ่ยรั่วสะดุ้งรู้สึกว่าความเย็นเฉียบไหลลื่นผ่านคอเสื้อเข้าไปในตัวเสื้อ จึงได้รู้ว่าพวกเขาสองคนอยู่ในท่าทางที่ไม่เหมาะไม่ควร มือใหญ่อีกข้างของเขายังคงรวบเอวบางของนางไว้แน่นไม่ยอมปล่อย และนางก็แทบจะซบอยู่กับเรือนกายสูงใหญ่กำยำของเขา อีกทั้งเสื้อผ้าของทั้งสองยังเปียกชื้น เสื้อผ้าของนางและเขาแนบสนิทกับร่าง กอปรกับเมื่อคืนนี้นางเข้านอนแล้วถึงได้ถูกเขาลักพาตัว ทั้งเนื้อตัวก็ใส่แค่เสื้อตัวในเพียงตัวเดียว ยามนี้เสื้อเปียกแนบตัวเผยให้เห็นรูปร่าง นางจึงรู้สึกราวกับตัวเองไม่ได้สวมใส่อะไรเลย

สีแดงเรื่อแผ่ลามขึ้นแก้มนวลทั้งสองข้าง สุ่ยรั่วสูดหายใจเฮือกเบาๆ เอ่ยอย่างกระสับกระส่าย

“ปะ…ปล่อยข้า…”

ได้ยินเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนของนาง จั้นปู้ฉวินที่ยังคงมองไปรอบๆ จึงได้สังเกตเห็นว่ามือของตัวเองยังคงโอบรัดนางแน่นไม่ยอมปล่อย อีกทั้งยังเป็นมือข้างที่หัวไหล่ได้รับบาดเจ็บข้างนั้นด้วย เขาถลึงตากว้างมองมือใหญ่ของตัวเองที่วางอยู่บนเอวบางของนาง ไม่อยากปล่อยนางเลยสักนิดเดียว

เอวบางเหลือเกินเขานึกสงสัยว่าฝ่ามือทั้งสองของตัวเองจะสามารถโอบรอบเอวบางของนางไว้ให้อยู่ในฝ่ามือได้ ก่อนหน้านี้ได้ยินใครๆ พูดกันว่าชาวแคว้นฉู่เอวบาง* ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเรื่องจริง

“คุณชายจั้น…” เห็นเขาก้มหน้ามองเอวนาง มือใหญ่ไม่มีทีท่าจะปล่อยเลยสักนิด สุ่ยรั่วก็ทั้งเขินอายระคนอึดอัดใจ ได้แต่ส่งเสียงเรียกเขาอีกครั้ง

จั้นปู้ฉวินได้ยินแล้วก็สะดุ้ง รีบดึงมือกลับมาแล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อกลบเกลื่อนที่เมื่อครู่นี้ตนมองเอวบางของนางอย่างตะลึงงัน เขาไม่กล้ามองนางอีก ได้แต่แสร้งทำเป็นมองสำรวจบนน้ำตกแล้วบอกด้วยเสียงดังห้วน

“เราต้องไปจากที่นี่”

“ระ…เรา?” สุ่ยรั่วเบิกตากว้าง หน้าตางุนงง

ชายหนุ่มนึกว่านางฟังไม่เข้าใจ เขาจึงเปลี่ยนคำพูดแล้วพูดใหม่อีกครั้ง

“พวกเรา”

“พวกเรา?” สุ่ยรั่วยังคงสับสน จากนั้นก็เข้าใจในพริบตาว่าเขานึกว่านางจะช่วยเขาหนีไปด้วยกัน ใบหน้าก็พลันซีดเผือด

เขาว่าต่อไป โดยไม่ได้สังเกตความผิดปกติบนสีหน้าของนาง

“ที่นี่จะอยู่นานไม่ได้ อีกอย่างพวกเราเสื้อผ้าเปียกไปหมดแล้ว ตรงนี้ไม่สะดวกจะก่อไฟ ต้องไปหาบ้านชาวบ้านแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า”

“ท่าน…ขะ…ข้าไม่ไป ข้าอยู่ที่นี่ก็ได้” สุ่ยรั่วละล่ำละลัก

ตอนนี้จั้นปู้ฉวินจึงได้รู้ว่านางยังไม่เข้าใจสถานการณ์ จึงทำหน้าเย็นชาใจแข็งบอก

“ข้าทิ้งเจ้าไว้ที่นี่ไม่ได้”

“เพราะเหตุใด ตอนนี้ท่านกำลังจะไป ข้ารอให้ท่านไปไกลแล้วค่อยไปตามคน” สุ่ยรั่วถอยหลังสองก้าว ดวงตาโตวาบประกายสับสน “ขะ…ข้าไม่บอกพวกเขาแน่นอน”

“ไม่ได้” เขาปฏิเสธเด็ดขาด ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าเข้าไปใกล้นาง

“เพราะเหตุใด” สุ่ยรั่วขมวดคิ้วมุ่น ในใจยิ่งทวีความตื่นตระหนก ถอยหลังติดๆ กันพลางตำหนิเสียงสั่น “ท่านถูกปรักปรำมิใช่หรือ”

“ใช่” จั้นปู้ฉวินตอบโดยไม่ลังเลสักนิด

สุ่ยรั่วหันหลังวิ่งหนีฉับพลัน เขาคาดไว้แต่แรกแล้ว จึงวิ่งก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าสองสามก้าว รวบเอวนางจากด้านหลังกอดไว้ไม่ให้นางหนี

“ไม่…” นางร้องอย่างอ่อนแรง ก่อนจะถูกชายหนุ่มสกัดจุดอีกครั้ง ร่างอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรงอยู่ในอ้อมกอดเขา ไม่อาจขยับกายหรือส่งเสียงได้อีก

ครั้งนี้จั้นปู้ฉวินไม่ได้แบกนางขึ้นบ่า แต่อุ้มนางไว้ตรงหน้าอกอย่างระมัดระวัง ก่อนจะหันหลังไปจากที่นั่น

สุ่ยรั่วลืมดวงตาคู่งาม จ้องคนเลวตรงหน้าอย่างขุ่นเคือง ในใจด่าตัวเองโง่งมไม่หยุด เหตุใดนางจึงเชื่อใจเขาง่ายดายเพียงนี้ จะต้องเสียเปรียบซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกหลายครั้งถึงจะตาสว่าง ช่างโง่งมจริงๆ!

คนสารเลวผู้นี้พานางไปยังบ้านไม้ในป่าที่รกร้างมานาน หลังจากนั้นก็หายไปครึ่งชั่วยาม ตอนที่เขาปรากฏตัวอีกครั้ง ในมือของเขาก็มีเสื้อผ้าสะอาดสองชุด อาหารแห้งจำนวนหนึ่งและสุราหนึ่งไห ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปปล้นชิงมาจากบ้านใด นางแค่หวังว่าเขาจะไม่ทำร้ายสตรีชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่พวกนั้น

จั้นปู้ฉวินแค่มองแววตานางก็รู้ว่านางกำลังคิดอะไร ได้แต่ยิ้มเจื่อนอธิบาย

“ใช้เงินซื้อมาน่ะ”

สุ่ยรั่วทำหน้าระแวง แสดงให้เห็นชัดว่าไม่เชื่อเขา

“เชื่อหรือไม่ก็ตามใจเจ้า” เขายักไหล่และไม่เสียเวลาอธิบายอีก เพียงแค่เอาเสื้อผ้าสตรีสะอาดๆ วางไว้บนตักนางแล้วบอก “หากเจ้ารับรองว่าจะไม่ร้องโวยวายเสียงดัง ข้าจะคลายจุดให้เจ้า ให้เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเอง ถ้าหากเจ้าคิดจะลองหนีหรือกรีดร้องอีก ข้าจะช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจ้า เข้าใจหรือไม่ เจ้าน่าจะรู้นะว่าเจ้าหนีไม่พ้นข้าหรอก”

นางหน้าแดงทันที ไม่รู้ว่าเพราะโมโหหรือขัดเขิน

มองดวงหน้างามของนางแล้ว เขาก็สติหลุดลอยไปอีกชั่วขณะ แต่ก็ได้สติคืนกลับมาทันที ล้วงยาวิเศษที่ช่วยรักษาบาดแผลตลับนั้นออกมา

“นี่ให้เจ้า จะได้ไม่มีแผลเป็น”

สุ่ยรั่วจ้องตลับยาที่เขาส่งมาให้ แล้วช้อนตามองเขาด้วยความฉงน

“แขนซ้ายของเจ้า” เขาเอาตลับยาวางไว้ข้างเสื้อผ้า

นางตระหนักรู้ในทันที แต่กลับยิ่งไม่เข้าใจคนคนนี้มากขึ้นไปอีก นางถูกการกระทำที่ขัดแย้งกันซ้ำไปซ้ำมาของเขาทำให้สับสนแล้ว

รู้ว่านางไม่น่าจะเสี่ยงตายหนีไป จั้นปู้ฉวินจึงคลายจุดให้นางแล้วหันไปหยิบชุดของบุรุษเดินออกไปข้างนอก

ครั้นพ้นสายตานางแล้ว เขาก็แสดงท่าทางอ่อนล้าออกมาทันที พิงประตูไม้หอบหายใจกุมความเจ็บปวดที่หัวไหล่ ต่างจากท่าทางกระฉับกระเฉงแข็งแรงยามอยู่ในห้องเมื่อครู่นี้ราวฟ้ากับเหว

จั้นปู้ฉวินเหงื่อเย็นไหลโซมทั่วตัว คลี่ยิ้มขมขื่น

หึ ถ้าหากตอนนี้นางวิ่งหนีไป ความจริงเขาก็ไม่มีแรงจะไล่ตามนางแล้ว แต่นางคงไม่เสี่ยงให้เขามีโอกาสช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้าถึงจะถูก

จั้นปู้ฉวินสูดหายใจเข้าลึก ถอดเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งมานาน ใส่กางเกงขายาวที่แลกมาจากนายพรานอย่างเชื่องช้า เดินเปลือยท่อนบนไปนั่งที่ท่อนไม้ใหญ่ข้างกองฟืนแล้วล้วงเอายารักษาบาดแผลสองสามขวดออกมาจากกระเป๋าในเสื้อ จากนั้นจึงใช้มือข้างเดียวแกะแผลที่หัวไหล่ที่นางพันไว้เมื่อคืน

เดิมเมื่อคืนตอนที่เขาหนีเอาชีวิตรอดมาได้ก็รีบกลืนยาเม็ดช่วยชีวิตที่พี่ใหญ่ให้ไว้เม็ดหนึ่ง ดังนั้นแม้แผลเมื่อวานจะฟันลึกเข้ากระดูกสามส่วน แต่ยาวิเศษนั้นผนวกกับพลังปราณของเขาที่โคจรรักษาตัวเองทั้งคืน วันนี้แผลจึงสมานพอสมควรแล้ว แต่ตอนนี้ที่เขาแกะผ้าพันแผลและผ้าเช็ดหน้าอย่างเงอะงะ ดึงถูกบาดแผลอยู่หลายครั้ง จึงทำให้แผลฉีกเล็กน้อย เลือดสดไหลซึมผ้าเช็ดหน้าทั้งผืน

เลือดสดๆ ไหลลงมาตามแขนแข็งแรงของเขารวมกันเป็นสายแล้วหยดลงพื้นช้าๆ

จั้นปู้ฉวินกัดฟันข่มความเจ็บปวด ลองแกะผ้าเช็ดหน้าที่ผูกปมไว้ต่อ ไม่นานมือใหญ่ทั้งมือก็ชุ่มไปด้วยเลือด นิ้วมือที่เปื้อนเลือดทั้งเปียกและเหนียวลื่น ยิ่งกว่านั้นปมยังแกะออกยากยิ่งนัก แม้เขาจะสามารถฉีกผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นทิ้งไปให้รู้แล้วรู้รอดก็ย่อมได้ แต่ไม่รู้เหตุใดเขาจึงไม่อยากจะฉีกมัน จึงใช้นิ้วมือเปื้อนเลือดเหนียวลื่นจัดการกับปมนั้นต่อไป

ตอนที่สุ่ยรั่วเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วเปิดประตูออกมา สิ่งที่เห็นก็คือภาพฉากนี้

เห็นเขาเลือดไหลทะลักเช่นนั้น นางก็แทบหมดสติไป กระทั่งนางเห็นชัดว่าเขากำลังทำอะไรก็รู้สึกว่าตนไม่อาจเข้าใจพฤติกรรมประหลาดของชายผู้นี้ได้เลย

“ท่านกำลังทำอะไรน่ะ” นางหน้าซีดขาวร้องถามเสียงตระหนก รีบเข้าไปแล้วย่อตัวลงช่วยชายหนุ่มแกะผ้าเช็ดหน้า

“ข้า…” มองดวงหน้าที่เป็นกังวลระคนร้อนรนของนาง จั้นปู้ฉวินทำหน้าเคอะเขิน พูดไม่ออกอยู่เป็นนาน

สุ่ยรั่วเองก็ไม่ได้อยากจะเข้าใจเขาแล้ว รีบหยิบผ้าที่เขาเอากลับมาเมื่อครู่นี้ช่วยกดที่แผลของเขา จากนั้นก็เข้าไปตักน้ำสะอาดจากอ่างในห้องมาเล็กน้อย ช่วยล้างแผลให้เขาแล้วเช็ดคราบเลือดที่ตัวตลอดจนที่มือของชายหนุ่ม อาจเป็นเพราะมีประสบการณ์จากเมื่อคืนแล้ว ครั้งนี้นางจึงเริ่มคล่องมือขึ้นมาก

ตอนนี้เองจั้นปู้ฉวินจึงได้มั่นใจว่านางเป็นคนพันแผลให้เขาเมื่อคืนนี้ มองนางเข้าๆ ออกๆ ห้องอย่างเร่งรีบ ช่วยล้างแผลทายาพันแผลให้เขาอย่างเอาใจใส่และอ่อนโยน ในใจของเขาก็มีความรู้สึกอ่อนโยนผุดขึ้นมาอย่างประหลาด

จนกระทั่งสุ่ยรั่วช่วยพันแผลให้เขาเรียบร้อย หยิบผ้าเปียกมา กุมมือขวาของเขาที่เปื้อนเลือดแล้วช่วยเช็ดคราบเลือดที่มือใหญ่ของเขาอย่างนุ่มนวลแล้ว นางจึงได้ตระหนักว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่

พริบตาที่นางปล่อยมือใหญ่ของเขากะทันหัน เขาก็พลิกมือมากุมมือเล็กของนางไว้เบาๆ

สุ่ยรั่วก้มหน้าก้มตาอย่างตกประหม่าไม่กล้ามองเขา รู้สึกแค่พวงแก้มร้อนผ่าว

จั้นปู้ฉวินจ้องคนงามตรงหน้าที่กำลังเอียงอาย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงห่วงใยคนที่ลักพาตัวนางซ้ำแล้วซ้ำอีกถึงเพียงนี้

“เพราะเหตุใด”

“ข้า…” นางเองก็เหมือนไม่ค่อยเข้าใจเช่นกัน นานพักใหญ่จึงกัดกลีบปากล่างบอกเสียงแผ่ว “ข้าแค่ไม่อยากเห็นคนตายไปต่อหน้าต่อตา”

นี่เป็นเพราะแค่นางมีใจเมตตาดุจพระโพธิสัตว์อย่างนั้นน่ะหรือ

จั้นปู้ฉวินรู้สึกอึดอัดในใจอย่างประหลาด จนตอนที่เขาเห็นนางผลุนผลันเข้าห้องไป จึงได้พบว่าเขาปล่อยมือเนียนนุ่มของนางไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

 

“ท่านให้สัญญาแล้วว่าจะปล่อยข้ากลับไป”

ราตรีมาเยือนอีกครา จั้นปู้ฉวินก่อกองไฟในห้อง สุ่ยรั่วนั่งอยู่บนเตียงเรียบหยาบ ลองเกลี้ยกล่อมให้เขาปล่อยนางกลับไปอีกหน

จั้นปู้ฉวินโยนกิ่งไม้เล็กๆ จำนวนหนึ่งใส่เตาไฟ ชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง แล้วบอกอย่างไม่รู้สึกผิดเลยสักนิดเดียว

“ข้าบอกว่าถ้าพวกเขาไม่ตามมาก็จะปล่อยคน”

“แล้วเหตุใดเมื่อคืนนี้…” นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าเมื่อคืนนี้เขาปล่อยนางไปได้ แล้วเหตุใดวันนี้กลับเปลี่ยนใจแล้ว

เขาหยิบกิ่งไม้ที่ค่อนข้างใหญ่หนามาเขี่ยฟืนในเตาไฟ นานครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นบอกนาง

“ข้าต้องการเวลา เจ้าช่วยข้ายื้อเวลาได้”

นางนิ่งเงียบ ไม่กล้าเชื่อเขาง่ายๆ อีก

แม้ตอนกลางวันจะช่วยเขาพันแผลเรียบร้อยแล้ว และเขาก็ไม่ได้สกัดจุดนางอีก กระนั้นนางก็ยังไม่เชื่อว่าเขาจะไม่ทำร้ายนางจริงๆ อีกทั้งไม่เชื่อว่าที่เขาไม่สกัดจุดนางเป็นเพราะเขาเชื่อใจนางด้วย สิ่งที่ค่อนข้างเป็นไปได้คืออย่างที่เขาพูด ต่อให้นางจะหนีไปได้ แต่ในป่าเขาร้างผู้คนเช่นนี้ นางก็หนีไม่พ้นอุ้งมือเขาอยู่ดี

“ข้าไม่ได้ฆ่าคน” เห็นความไม่เชื่อใจในแววตาของนาง เขาก็ขมวดคิ้วหนา ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงไม่อยากให้นางเข้าใจเขาผิด จั้นปู้ฉวินไม่สนว่านางจะฟังเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เอ่ยปากบอกอีกครั้ง “เมื่อคืนข้าต่อชีพจรให้พี่สวี่แล้ว ถ้าหากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ตอนนี้พี่สวี่จะต้องมีชีวิตอยู่ ขอเพียงเขาฟื้น เขาก็จะเป็นพยานได้ว่าข้าบริสุทธิ์”

สุ่ยรั่วเม้มปากอยู่นานจึงบอก

“ถ้าหากข้ากลับไป ท่านก็ยังซ่อนตัวได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องรอให้พี่สวี่ฟื้นด้วย”

จั้นปู้ฉวินได้ยินดังนั้นก็พลันฉีกยิ้มหัวเราะเยาะตัวเอง

“ถ้าวันนี้ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บหรือศิษย์ที่จอมยุทธ์สุ่ยสั่งสอนมาไม่ได้ร้ายกาจเพียงนั้น ข้าจะต้องปล่อยเจ้ากลับไปแน่ แต่โชคร้ายนัก ไม่เสียทีที่บิดาของเจ้าได้รับสมญานามว่าดาบทองคำแห่งต้งถิง ด้วยอาการบาดเจ็บของข้าในเวลานี้ แค่เจอศิษย์คนใดคนหนึ่งของเขาก็ล้วนแต่รักษาชีวิตไว้ไม่ได้แล้ว”

อย่างนั้นหรือ สุ่ยรั่วไม่รู้ว่าบิดาของตนจะมีชื่อเสียงในยุทธภพสูงส่งถึงเพียงนี้ นางแค่เห็นคนในยุทธภพเข้าออกสกุลสุ่ยบ้างเป็นครั้งคราว แต่ไม่เคยใส่ใจมากนัก

จั้นปู้ฉวินลุกขึ้น หยิบอาหารแห้งจำนวนหนึ่งส่งให้นางแล้วว่าต่อ

“อีกอย่างคนที่ทำร้ายพี่สวี่ค่อนข้างมีปัญหา ตอนนี้เจ้ากลับไปจะไม่ปลอดภัย”

“ทำไม” นางทำหน้าระแวดระวัง

“ตอนเช้าที่ข้าคิดทบทวนเพิ่งจะตระหนักได้ว่าเมื่อคืนนั้นตอนที่ข้ารีบไป พี่สวี่ถูกคนซัดกระเด็นออกมาจากในห้อง เส้นชีพจรที่ตัวขาดไปแปดในสิบ พี่สวี่เป็นศิษย์เอกของจอมยุทธ์สุ่ย ได้รับถ่ายทอดวิชาดาบจากจอมยุทธ์สุ่ย ต่อให้จอมยุทธ์สุ่ยลงมือเองก็ไม่มีทางเอาชนะพี่สวี่ได้อย่างง่ายดายภายในสิบกระบวนท่า เพราะฉะนั้นคนคนนั้นจะต้องเป็นคนที่เขารู้จักอยู่แล้ว เขาจึงได้เปิดประตูให้คนคนนั้นเข้าไป และมีเพียงเช่นนี้เท่านั้น พี่สวี่จึงได้ไม่ทันระวัง ถูกคนผู้นั้นทำร้ายสาหัสโดยไม่ทันตั้งตัว”

สุ่ยรั่วผงะ “ท่านหมายความว่า…”

“คนคนนั้นอาศัยอยู่ในบ้านสกุลสุ่ย แม้จะไม่ได้อยู่ในบ้านสกุลสุ่ย แต่ก็อาจจะเข้าออกยามวิกาลได้โดยง่าย และเพราะเหตุนี้ศิษย์น้องของพี่สวี่จึงได้ยิ่งมั่นใจว่าข้าเป็นฆาตกร เพราะข้าคือคนนอกเพียงคนเดียว” จั้นปู้ฉวินไม่กะพริบตาเลยสักนิด ท่าทางมั่นอกมั่นใจยิ่งนัก

“เป็นไปไม่ได้หรอก” นางส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ

“ข้าเห็นฆาตกรตัวจริง”

สุ่ยรั่วได้ยินดังนั้นก็รีบบอก

“ในเมื่อท่านเห็นเขา แล้วเหตุใดถึงไม่กลับไปชี้ตัวเล่า”

“เพราะข้าไม่ได้เห็นหน้าเขา เห็นแค่แผ่นหลังของเขาเท่านั้น แต่เขานึกว่าข้าเห็นแล้วและกลัวว่าข้าจะบอกเจ้า จึงได้กระตุ้นให้คนอื่นๆ ตามฆ่าพวกเราเต็มกำลัง” เขาดื่มสุราร้อนแรงเพื่อระงับความเจ็บปวดแล้วพูดต่อ “เจ้าลองคิดดู ข้าเคยบอกว่าหากไม่มีใครตามมาก็จะปล่อยเจ้า แต่คนสกุลสุ่ยตามประชิดเช่นนี้ เห็นชัดว่าเบื้องหลังนั้นฆาตกรตัวจริงอยากให้ข้าถูกบีบจนร้อนใจแล้วฆ่าเจ้าเสีย จากนั้นก็หนีเอาชีวิตรอดไปคนเดียว ดังนั้นหากข้าปล่อยเจ้ากลับไป เจ้าก็คงถูกคนผู้นั้นฆ่าทิ้ง และไม่ได้เห็นแม้แต่ประตูใหญ่สกุลสุ่ย”

“ทะ…ท่านพูดเหลวไหล!” สุ่ยรั่วลุกขึ้นด้วยความเดือดดาล ไม่เชื่อคำที่เขากล่าวหา

“ข้าไม่ได้พูดเหลวไหล ในใจเจ้าน่าจะรู้ดี” เขาไม่ได้โกรธที่นางไม่เชื่อ เพียงแค่ล้วงของอีกอย่างหนึ่งออกมาส่งให้นางดู “นี่คือสิ่งที่พี่สวี่ยัดไว้ให้ข้าก่อนจะหมดสติ”

สุ่ยรั่วเห็นของสิ่งนั้นแล้วก็ถึงกับตะลึงงัน รับมาแล้วจึงเห็นว่ามันคือมุมหนึ่งของโต๊ะไม้

“เหตุใดเขาถึงให้ของสิ่งนี้กับท่าน”

จั้นปู้ฉวินไม่ตอบแต่ถามกลับ

“นั่นคือไม้อะไร”

นางได้ยินแล้วก็สะท้านใจ หน้าไร้สีเลือด

“เป็นไปไม่ได้…”

“นี่คือไม้กุ้ยมู่ใช่หรือไม่” เขาจ้องสุ่ยรั่วตรงๆ “วันนั้นเจ้าน่าจะรู้เรื่องที่เกิดในอู่ต่อเรือดียิ่งกว่าข้า พี่สวี่และข้าคาดเดาว่าในอู่ต่อเรือมีเกลือเป็นหนอน เขาน่าจะรู้แล้วว่าปัญหาอยู่ตรงไหน คนคนนั้นจึงลงมือฆ่าเขา”

สุ่ยรั่วกัดกลีบปากล่างแน่น ไม่ยอมเชื่อว่ามีฆาตกรฆ่าคนในอู่ต่อเรือ แต่ความจริงที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้นางเกือบจะหลั่งน้ำตา นางได้แต่เบิกดวงตาทั้งคู่ที่น้ำตาปริ่มมองเขา โต้แย้งด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง

“คะ…คำพูดพวกนี้ท่านพูดเองทั้งนั้น ไม้กุ้ยมู่นี้ท่านเป็นคนเอามาเองหรือไม่ใครจะไปรู้”

จั้นปู้ฉวินถอนหายใจ บอกเพียงว่า

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงบอกเจ้าเรื่องนี้”

สุ่ยรั่วเม้มปากแน่นไม่ยอมตอบ แต่แววตาฉายชัดว่านางคิดว่าเขากำลังล่วงเกินตน

“วันก่อนและเมื่อวานนี้ข้าเห็นภาพเรือที่เจ้าหอบไว้ เมื่อวานตอนบ่ายข้าถามพี่สวี่ เขาจึงบอกข้าว่าเรือของสกุลสุ่ยล้วนมีเจ้าเป็นคนออกแบบ” เขามองนาง ชะงักไปแล้วจึงพูดต่อ “เจ้ารู้ว่าเรือของตัวเองตั้งราคาอย่างไรหรือไม่”

สุ่ยรั่วมองเขาอย่างเต็มไปด้วยความระแวดระวังทันที

“ข้าย่อมรู้แน่”

“ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้จักมังกรสมุทรตระกูลจั้นหรือไม่” จั้นปู้ฉวินขมวดคิ้วหนา มองคนที่บอบบางและงามสง่าราวสายน้ำตรงหน้าอย่างกระสับกระส่ายเล็กน้อย

“เหตุใดท่านถึงถามเรื่องนี้”

เขาสูดหายใจเข้าลึก มองนางนิ่งพร้อมบอก

“เพราะว่าข้าคือคนของมังกรสมุทรตระกูลจั้น”

ฟืนที่กำลังโหมไหม้ในเตาไฟจู่ๆ ก็เกิดเสียงระเบิดดังเปรี๊ยะ เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นสูงเล็กน้อย ในห้องพลันสว่างจ้าแล้วค่อยๆ มืดลงพร้อมกับเปลวไฟที่หดตัวกลับไปอีกครั้ง…

 

ตอนกลางดึกเริ่มมีฝนตกลงมาห่าใหญ่ หยาดฝนกระทบหลังคาดังซู่

จั้นปู้ฉวินนั่งขัดสมาธิปรับลมหายใจอยู่หน้าเตาไฟ หวังจะฟื้นกำลังภายในกลับมาโดยเร็วที่สุด ส่วนสุ่ยรั่วนอนอยู่บนเตียงที่ทำความสะอาดไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว หันหน้าเข้าหาผนัง มองเปลวไฟที่โลดเต้นอยู่บนนั้น ในใจยังคงคิดทบทวนคำพูดที่เขาบอกนางเมื่อครู่นี้

มังกรสมุทรตระกูลจั้น…เขาคือคนของสกุลจั้นจริงๆ!

ตอนแรกนางยังไม่เชื่อ แต่หลังจากเขานำจดหมายที่จั้นชิงนายหญิงแห่งสกุลจั้นเป็นคนเขียนเองออกมา นางก็จำต้องเชื่อแล้ว เพราะนางเคยเห็นลายมือของจั้นชิงมาหลายหน ยิ่งกว่านั้นจดหมายนั่นยังผนึกด้วยตราประทับเฉพาะของสกุลจั้น จดหมายเช่นนี้นางได้รับเดือนละสามถึงสี่ฉบับ ไม่มีทางจำผิดเด็ดขาด

หลังจากอ่านจดหมายจบแล้วและได้ยินว่าราคาต่อเรือสูงกว่าราคาเดิมสามถึงสี่เท่า นางก็แทบจะแข็งทื่อไปทั้งตัว ยามนี้เพิ่งจะเชื่อว่าที่แท้มีคนคิดคดทรยศอยู่ในอู่ต่อเรือจริงๆ และเรื่องนี้ก็ผ่านมาได้ปีหนึ่งแล้ว แต่นางกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด ถ้าหากไม่ใช่เพราะจั้นชิงปราดเปรื่อง ชื่อเสียงอู่ต่อเรือสกุลสุ่ยของนางจะต้องแปดเปื้อนเหม็นโฉ่เพราะคนที่ชักใยอยู่ลับๆ คนนั้นแน่!

นางโง่งมจริงๆ! ถ้าหากไม่ใช่สกุลจั้น อู่ต่อเรือที่นางพยายามรักษาไว้อย่างลำบากลำบนจะต้องพินาศด้วยมือนางอย่างนั้นหรือ ตอนนี้ไม่เพียงทำให้ชีวิตของพี่สวี่แขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่ยังทำให้คุณชายจั้นพลอยได้รับบาดเจ็บสาหัสไปด้วย แต่นางกลับทำอะไรไม่ได้เลย แล้วคุณชายจั้นที่ได้รับบาดเจ็บยังต้องคอยปกป้องนางที่ไร้ประโยชน์อีก

สุ่ยรั่วโง่เง่า ทั้งทึ่มทื่อทั้งไร้ประโยชน์!

มองเงามืดของเปลวไฟที่วูบไหว สุ่ยรั่วจมูกแดง กัดกลีบปากตำหนิตัวเอง น้ำตาใสแวววาวปริ่มขอบตาจวนจะหยดลงมา

โง่มาก โง่มาก โง่มาก

ตอนที่นางกำลังเสียใจอย่างหนักกับสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาด จู่ๆ จั้นปู้ฉวินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างหลังก็กระอักเลือดสดออกมา สุ่ยรั่วหันกลับไปมอง เห็นเขาล้มคว่ำบนพื้นทั้งตัว มุมปากมีเลือดไหล สีหน้าประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวขาว แล้วยังกระตุกไปทั้งตัว ทำเอานางตกอกตกใจจนต้องรีบปีนลงจากเตียง พุ่งไปข้างกายเขา

“คุณชายจั้น! ท่านยังสบายดีอยู่หรือไม่” นางคุกเข่าอยู่ข้างกายเขา ตระหนกลนลานทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้เลยว่าควรทำอย่างไรดี และไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ ได้แต่ใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดตรงมุมปากเขา ร้อนใจจนน้ำตาหยดลงมา

ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็เหงื่อไหลโซมอีก อุณหภูมิร่างกายประเดี๋ยวเย็นประเดี๋ยวร้อน ทำให้สุ่ยรั่วที่ตอนแรกลองย้ายเขาไม่กล้าขยับส่งเดชอีก ได้แต่เฝ้าอยู่ข้างกายเขาพลางใช้ผ้าขนหนูช่วยซับเหงื่อให้

แต่หลังจากนั้นไม่รู้นานเท่าใด พื้นตรงผนังด้านซ้ายก็เริ่มมีน้ำซึม เดิมบ้านไม้นี้เป็นที่พักชั่วคราวที่นายพรานสร้างไว้เพื่อความสะดวก ดังนั้นที่พื้นจึงไม่มีไม้กระดานหรือก่ออิฐ พอข้างนอกฝนตกนานเข้า น้ำฝนก็ซึมเข้ามาได้

สุ่ยรั่วเห็นดังนั้นก็ยิ่งลนลาน เดิมนางเป็นคุณหนูใหญ่ มีคนช่วยทำทุกอย่างให้เสร็จสรรพแต่เล็กจนโต นอกจากวาดภาพเรือ เย็บปักถักร้อย เขียนอ่านหนังสือแล้ว งานอย่างอื่นนั้นนางทำไม่เป็นเลยสักนิด เมื่อคืนที่ช่วยพันแผลให้เขาก็คือขีดจำกัดของนางแล้ว ยามนี้พอเจอสถานการณ์บ้านไม้มีน้ำท่วมเช่นนี้อีก นางย่อมไม่รู้ว่าจะหยุดน้ำฝนที่ซึมเข้ามาได้อย่างไร

และตอนนี้จั้นปู้ฉวินก็หมดสติอยู่บนพื้น พอเห็นน้ำจะท่วมเขาแล้ว สภาพเขาตอนนี้ก็แย่ถึงขีดสุด หากยังแช่น้ำอีก เป็นไปได้อย่างมากว่าอาการจะสาหัสจนเกินเยียวยา!

อารามร้อนใจขึ้นมา นางก็ไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหน ลากจั้นปู้ฉวินที่ร่างกายใหญ่โตกว่านางสองเท่าเต็มๆ ไปถึงข้างเตียง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรนางก็เอาเขาขึ้นเตียงไม่ได้ จึงกอดเขาร้องไห้อย่างร้อนใจโดยไม่รู้ตัว

จั้นปู้ฉวินที่หมดสติไปคล้ายได้ยินเสียงหญิงสาวร้องไห้ เขาพยายามลืมตาทั้งสองข้าง เห็นสุ่ยรั่วร้องไห้อยู่ในอ้อมอกเขา แม้ปราณที่ไหลเวียนสะเปะสะปะอยู่ในร่างเป็นพักๆ จะทำให้เขาทรมานแทบตาย กระนั้นเขาก็ยังใช้แรงทั้งหมด เอ่ยปลอบนางอย่างอ่อนกำลัง

“อย่า…ร้องไห้…”

สุ่ยรั่วได้ยินเสียงแล้วก็สะดุ้ง เงยหน้าขวับขึ้นมอง เห็นเขาลืมตาสองข้างก็รีบปาดน้ำตา บอกเสียงสะอื้น

“น้ำท่วมในบ้านแล้ว ข้ายกท่านไม่ขึ้น ท่านต้องช่วยข้ายกท่านขึ้นเตียง”

จั้นปู้ฉวินพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะลองลุกขึ้น สุ่ยรั่วรีบประคองเขา สองคนร่วมแรงร่วมใจ ไม่ง่ายเลยกว่าจะให้เรือนร่างใหญ่ยักษ์ของจั้นปู้ฉวินนอนลงบนเตียงได้ แต่เพราะเขาฝืนใช้กำลัง คนยังไม่ทันนอนลงก็กระอักเลือดออกมาอีกคำแล้วหมดสติไปอีกครั้ง

สุ่ยรั่วเห็นแล้วก็น้ำตาพรั่งพรู วุ่นวายอยู่กับการเอาผ้าขนหนูเช็ดเลือดให้เขา

นางเฝ้าอยู่ข้างกายเขาเช่นนี้ตลอดคืนกระทั่งฟ้าสว่าง โชคดีที่พอถึงตอนเช้าอาการสะบัดร้อนสะบัดหนาวของเขาก็ดีขึ้นมาก และฝนก็หยุดตกตอนที่ฟ้าใกล้สว่าง น้ำในห้องจึงท่วมสูงแค่ข้อเท้าเท่านั้น

สุ่ยรั่วนั่งคุกเข่าอยู่บนเตียง เคี้ยวอาหารแห้งที่เขาเอากลับมาเมื่อวานนี้ มือก็คลำหน้าผากและชีพจรของเขาอยู่บ่อยครั้ง ดูว่าอุณหภูมิร่างกายเขามีการเปลี่ยนแปลงบ้างหรือไม่

แม้จะไม่ได้นอนทั้งคืน แต่นางกลัวว่าเขาจะตายไปเช่นนี้ จึงไม่กล้ากระทั่งละสายตาและไม่กล้างีบหลับ จนกระทั่งเวลากลางวัน น้ำที่สะสมอยู่บนพื้นก็ค่อยๆ ลดลง เหลือเพียงโคลนเลนอยู่บนพื้น

ลองคิดดูแล้ว หลายวันก่อนนางยังกลัดกลุ้มอยู่ว่าหางเสือเรือควรจะยาวเท่าใด ควรจะกางใบเรือกี่แผ่นอยู่ที่หอรั่วหราน ยามนี้กลับอยู่ในภูเขาที่ไม่รู้ชื่อ สวมใส่เสื้อผ้าของสตรีชาวบ้าน นั่งอยู่บนเตียงเนื้อหยาบ เฝ้าชายที่รู้จักได้ไม่ถึงสามวัน ภาวนาให้เขาไม่ตาย!

ตอนเช้าอาการของเขาเริ่มคงที่ แต่หลังจากนั้นก็นอนหลับสลบไสลไปตลอดโดยไม่มีวี่แววว่าจะฟื้น

สุ่ยรั่วหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวาน แม้จะไม่มั่นใจว่าเขาเป็นอะไรไปกันแน่ แต่ก็รู้คร่าวๆ ว่าเขาน่าจะบาดเจ็บสาหัสเกินขีดจำกัด และเนื่องจากพานางหนีเอาชีวิตรอดมาสองวันติด เขาจึงได้กลายเป็นเช่นนี้

มองคนที่หลับใหลไม่ยอมฟื้นบนเตียงแล้ว สุ่ยรั่วก็รู้สึกไร้ค่าไปหมด หากรู้แต่แรกก็จะเรียนวิชาแพทย์สมุนไพรกับน้องห้าสักนิด ยามนี้จะได้รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี

สีท้องฟ้าค่อยๆ มืดมิด นางลองไปเก็บไม้แห้งๆ นอกบ้านจำนวนหนึ่งมาจุดไฟที่เตา เพราะไม่เคยทำ เริ่มแรกจึงจุดไม่ติด กว่าจะทำสำเร็จก็ช่างลำบากยากเย็น ปรากฏว่าไม้พวกนั้นที่ดูเหมือนแห้งสนิททว่าตรงกลางยังเปียกชื้นทำให้บ้านเต็มไปด้วยควันฟุ้ง นางรีบเอาเตาไฟไปวางไว้หน้าประตูทางเข้า ในบ้านจึงไม่ได้ปกคลุมด้วยควันดำอีก ทว่าเปลวเพลิงที่เตาหน้าประตูยังคงทำให้นางเห็นสภาพในห้องได้ชัดเจน

หลังจากนั้นนางก็กินอาหารแห้งอีกจำนวนหนึ่งแล้วกลับไปเฝ้าเขาที่ข้างเตียง

วันต่อมาอาการของจั้นปู้ฉวินยังไม่ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้แย่ลง

เพราะวันก่อนในห้องมีน้ำขังจนชื้น นางจึงเปิดหน้าต่างให้ลมผ่านเข้ามา ทั้งเอาผ้าที่เปื้อนเลือดก่อนหน้านี้ไปซักที่ลำธารใกล้ๆ โชคดีที่นางออกไปข้างนอกอยู่บ่อยครั้ง เคยเห็นว่าผู้คนเขาซักผ้ากันอย่างไร รู้ว่าต้องขัดบนหิน แต่บนเขาน้ำในลำธารเย็นเฉียบยิ่งนัก พอนางซักผ้าเสร็จ มือขาวผ่องทั้งสองข้างที่ถูกความเย็นจัดก็แดงก่ำขึ้นมา

หลังจากนั้นนางก็ตักน้ำในลำธารไปกลับสองถังเพื่อเติมน้ำในอ่างให้เต็ม

เขายังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใด ทำให้นางอดเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้

คืนเดียวกันนั้น ในที่สุดนางก็นอนคุดคู้หลับไปข้างเขาเพราะเหนื่อยล้าเหลือเกิน

คืนนั้นนางฝัน ฝันถึงบิดามารดาและตัวนาง ทั้งสามคนนั่งเรือเที่ยวชมต้งถิง นางในวัยเยาว์เล่นอย่างมีความสุขอยู่บนเรือ เรือลำนั้นเป็นเรือที่มารดาออกแบบ ทั้งลำใหญ่และงดงามยิ่ง

ฉับพลันนั้นมีหมอกปกคลุมบนผืนทะเลสาบ นางเห็นชายผู้หนึ่งยืนอยู่บนฝั่งที่อยู่ไกลออกไป

ชายผู้นั้นร่างสูงกำยำ เขาอุ้มเด็กหญิงคนหนึ่งไว้ ข้างๆ ยังมีสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่ ตอนที่นางจะโน้มตัวไปมองให้ชัดว่าพวกเขาหน้าตาเป็นเช่นไร จู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งตบบ่านางแล้วร้องเรียกชื่อนาง

สุ่ยรั่วหันกลับไปมองก็พบว่าชายผู้นั้นอยู่ข้างกายนาง และนางไม่เพียงขึ้นฝั่งในพริบตา ยังกลายเป็นสตรีนางหนึ่งด้วย เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ก็คือชุดที่เหมือนกับสตรีที่เห็นบนฝั่งเมื่อครู่นี้ และชายผู้นั้นก็ยังอุ้มเด็กน่ารักเอาไว้ด้วย

นางรีบมองไปบนทะเลสาบ เห็นมารดาแต่กลับไม่เห็นบิดา และไม่เห็นนางในวัยเยาว์ มารดายิ้มโบกมือให้นาง เรือลำใหญ่ค่อยๆ จางหายไปท่ามกลางสายหมอก

สุ่ยรั่วหัวใจบีบรัด ร้องลั่นอย่างร้อนรน

“ท่านแม่!”

ขณะเดียวกับที่นางอยากจะวิ่งไปข้างหน้าเพื่อตามเรือไป กลับมีคนข้างหลังกอดนางไว้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็สลัดไม่หลุด ได้แต่มองเรือลำใหญ่หายไปต่อหน้าต่อตา

นางอยากหันกลับไปมองให้ชัดว่าคนผู้นั้นท่าทางเป็นอย่างไร แต่ในพริบตาที่หันกลับไปนั้นนางก็พลันตื่นขึ้น

สุ่ยรั่วกะพริบตา พบว่าร่างของตัวเองกว่าครึ่งห้อยอยู่นอกเตียง พอนางหันกลับมาก็เห็นใบหน้าหนวดครึ้มของชายหนุ่ม ไม่รู้ว่ามือใหญ่ของเขาโอบเอวนางไว้ตั้งแต่เมื่อไร และเพราะเหตุนี้นางจึงไม่หล่นจากเตียง

ฟ้าสว่างแล้ว ข้างนอกมีเสียงนกร้องจิ๊บๆ

นางตะกายลุกขึ้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นความเข้าใจผิดหรือไม่ นางจึงรู้สึกว่าสีหน้าของเขาวันนี้ดีขึ้นมากแล้ว…

บทที่หก

ตอนที่จั้นปู้ฉวินฟื้นก็เป็นกลางดึกวันที่สามแล้ว

เขาลืมตาแห้งๆ ทั้งสองข้าง แต่เพิ่งจะลองขยับตัวเล็กน้อยก็ปวดกล้ามเนื้อจนทำให้ต้องนอนราบลงไปใหม่ เขาอดสบถคำหยาบออกมาสองประโยคไม่ได้

เขาเสียเลือดไปมากเกินไประหว่างที่หนีตายมาสองวัน กอปรกับพาแม่นางที่ไม่เป็นวรยุทธ์วิ่งหนีมาทั้งคืน เหน็ดเหนื่อยแทบตายมานานแล้ว แผลจากดาบยังไม่หายดี และอาการบาดเจ็บภายในที่เดิมต้องใช้เวลาครึ่งวันจึงจะหายก็กลับแย่ลงไม่น้อย ทั้งอาการบาดเจ็บภายในและภายนอกถูกเขาฝืนข่มไว้ตลอด จนกระทั่งคืนนั้นที่โคจรพลังปราณ ไม่ได้ปรับลมหายใจเป็นปกติ สุดท้ายอาการจึงมาถึงขั้นที่ยากจะควบคุม เกือบจะกระอักเลือดตาย

มองหลังคาบ้านไม้เก่าคร่ำคร่า เขาก็ลองรวบรวมพลังปราณ แต่พลังปราณในร่างกลับเหมือนใยบางๆ ค่อนไปทางรู้สึกว่าไร้พลังไปทุกส่วน ทำให้เขาด่าสาปแช่งออกมาติดๆ กันอย่างอดไม่ได้

มารดาเถอะ ทั่วร่างเขาทั้งบนล่างเจ็บเจียนตาย คล้ายถูกม้าหลายตัวย่ำเหยียบ พลังปราณในร่างกายยามนี้ก็ไม่อาจรวบรวมได้ ดูท่าภายในสามสี่วันนี้เขาคงลงจากเตียงไม่ได้ หากคนสกุลสุ่ยตามมาสังหารในเวลานี้ แค่ฟันลงมาดาบเดียว เขาก็จะไปเฝ้ายมบาล ไปเป็นเขยขวัญของท่านทันที!

ฉับพลันนั้นแขนนวลเนียนข้างหนึ่งก็พาดมาบนหน้าอกเขา จั้นปู้ฉวินนิ่งอึ้ง ข่มความเจ็บปวดแล้วฝืนหันไป จึงได้เห็นสุ่ยรั่วนอนหลับอิงแอบอยู่ข้างกายเขา เส้นผมของนางที่ราวกับเส้นไหมคลุมอยู่บนร่างเขากว่าครึ่ง ดวงหน้างามที่แต่เดิมขาวเนียนไร้ตำหนิเลอะฝุ่นเล็กน้อย ดวงตาที่ปิดอยู่มีรอยคล้ำจากความเหนื่อยล้า ที่น่าแปลกคือระหว่างที่หมดสติอยู่มือของเขาคล้ายจะโอบเอวนางไว้โดยสัญชาตญาณ ทำให้เขาเริ่มจะสงสัยว่านี่อาจเป็นอำนาจจิตของตัวเอง

สติสัมปชัญญะบอกเขาว่าเขาควรดึงมือกลับมา แต่ตอนที่มือใหญ่ของเขาเริ่มขยับก็ไม่ได้ดึงกลับ ทั้งยังโอบกอดนางแน่นยิ่งกว่าเดิม

จั้นปู้ฉวิน นางเป็นหญิงที่ยังไม่ออกเรือนทั้งยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่ใช่หญิงคณิกาเหล่านั้นที่จะให้เจ้าหลับนอนด้วยในคืนเดียว!

แม้จะบอกตัวเองเช่นนั้น แต่มือคู่นั้นก็ยังอ้อยอิ่งอยู่บนตัวสุ่ยรั่วแน่นไม่ยอมดึงกลับมา เขาเองก็ได้แต่มองใบหน้ายามนิทราของนางนิ่งค้างและเหม่อลอย

ก่อนหน้านี้ที่ลักพาตัวนางจากสกุลสุ่ยก็เป็นการทำลายชื่อเสียงของนางอย่างใหญ่หลวงแล้ว ยามนี้ไม่เพียงจะนอนร่วมเตียงเคียงหมอนกับนาง มือใหญ่ก็ยังโอบนางเข้ามาใกล้ หากคนสกุลสุ่ยพรวดพราดเข้ามาตอนนี้ เขาจะต้องถูกสับเละจนตายแน่นอน

ลมหนาวระลอกหนึ่งพัดลอดช่องประตูเข้ามา สุ่ยรั่วขี้หนาวจึงอิงแอบเข้ามาชิดเขายิ่งกว่าเดิม

จั้นปู้ฉวินทอดถอนใจ ช่างเถอะ ถูกสับตายก็เอาเถอะ

ตอนนี้เขาเพิ่งจะได้ตระหนักว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่า ‘ตายใต้ดอกโบตั๋น แม้เป็นผีก็ยังสำราญ’!

 

ตอนที่สุ่ยรั่วตื่นขึ้นมา ฟ้าก็สว่างแล้ว นางเอามือคลำหน้าผากชายหนุ่ม แต่เพิ่งจะแตะโดน เขาก็ลืมตาขึ้น

นางกะพริบตา มือเล็กยังนิ่งค้างอยู่บนหน้าผากเขา ราวกับไม่ค่อยมั่นใจว่าเขาตื่นอยู่หรือไม่

“สุขสวัสดิ์ยามเช้า” เขายกมุมปาก แม้มุมปากของเขาจะซ่อนอยู่ในดงหนวด แต่ก็ยังคงมีผลกับสีหน้าบนใบหน้า

สุ่ยรั่วสะดุ้งตกใจ เกือบจะหงายหลังตกเตียง โชคดีที่มือของเขายังคงโอบเอวนางอยู่

“สุขสวัสดิ์ยามเช้า…” นางเขินหน้าแดง ไม่อาจดึงมือเล็กที่แข็งค้างอยู่บนหน้าผากเขากลับมาได้ เอ่ยตะกุกตะกัก “ทะ…ท่าน…ยัง…สบายดีอยู่หรือไม่”

จั้นปู้ฉวินดึงมือใหญ่กลับมา ยิ้มแห้งๆ เอ่ยด้วยเสียงไร้เรี่ยวแรงและแหบพร่า

“ไม่สบาย”

สุ่ยรั่วทัดผมที่ยุ่งนิดๆ ไว้หลังหูอย่างกระสับกระส่าย สูดหายใจลึกๆ สองที สงบความประหม่าในใจได้อย่างยากเย็น พวงแก้มสองข้างจึงไม่ได้ร้อนไหม้อีก ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่ม

“จะดื่มน้ำให้ชุ่มคอหน่อยหรือไม่”

เขาย่นคิ้วหนาพร้อมส่ายหน้า เสียงยังคงแหบพร่า

“เหล้า…”

สุ่ยรั่วตะลึงงัน ดวงหน้าเล็กเอียงเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามเบาๆ

“ตอนนี้ท่านดื่มเหล้าได้หรือ”

เขาผงะ มองนางด้วยสายตาที่เหมือนกับว่านางถามคำถามปัญญาอ่อนอะไรอย่างนั้น นานพักหนึ่งจึงได้พยักหน้า

แต่สุ่ยรั่วกลับขมวดคิ้วงาม ไม่เชื่อคำตอบของเขาแล้วหมุนตัวลงจากเตียง เอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา

“ข้าจะเอาน้ำมาให้ท่านดื่ม”

หญิงคนนี้

จั้นปู้ฉวินทำหน้าไม่สบอารมณ์ เขาไม่เชื่อว่านางจะไม่เห็นกิริยาเล็กๆ น้อยๆ ของเขา แต่นางกลับมองข้ามความต้องการของเขา ตักน้ำหนึ่งชามจากอ่างน้ำช้าๆ แล้วเยื้องย่างกรีดกรายเดินกลับมา แต่ยามนี้หนึ่งคือเขาไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรเอง สองคือพอเห็นใบหน้างามอ่อนหวานของนางแล้วก็ไม่อาจโต้แย้งได้ จึงได้แต่มองของรักใต้โต๊ะที่เอากลับมาอย่างยากลำบากตาปริบๆ แล้วก็ทอดถอนใจ

“ท่านลุกขึ้นนั่งได้หรือไม่”

นางกลับมาที่ข้างเตียง น้ำเสียงแผ่วเบานุ่มนวลนั้นทำให้เขาไม่อาจโมโหนางได้จริงๆ

จั้นปู้ฉวินพยักหน้า ลองลุกขึ้นนั่ง เส้นเอ็น กระดูก และกล้ามเนื้อทั่วร่างทำให้เขาเจ็บจนเหงื่อโซมกาย มือไม้อ่อนยวบ เกือบจะทรุดนอนกลับลงไปบนเตียงใหม่ สุ่ยรั่วรีบวางน้ำชามนั้นแล้วเข้าไปพยุงแผ่นหลังและไหล่ของชายหนุ่มช่วยให้เขานั่งได้

ดวงหน้าเล็กของนางเข้ามาใกล้ตรงหน้า ผมยาวถึงเอวตกลงบนขาของเขาราวกับน้ำตก มือเล็กนุ่มราวกับไร้กระดูกข้างหนึ่งแตะไหล่เขา อีกข้างพยุงต้นแขน กลิ่นหอมเฉพาะตัวของสตรีจู่โจมมาพร้อมกับที่นางเข้ามาใกล้ จั้นปู้ฉวินอดไม่ไหวสูดหายใจเข้าลึก แต่กลับทำให้กล้ามเนื้อหน้าอกขยายกว้างเพราะเหตุนั้น เจ็บจนเขาต้องฉีกปากกัดฟันไว้ ในสมองข่มความสับสนไว้ไม่อยู่ เหตุใดสตรีที่ยังไม่ออกเรือนจึงมีวิธีทำให้ตัวเองหอมละมุนได้ในทุกสถานการณ์กันนะ

“ท่านไม่เป็นไรนะ” สุ่ยรั่วเบิกตารูปเมล็ดซิ่งดำขลับด้วยความกังวลเล็กน้อย

“ไม่เป็นไร…” สิแปลก! จั้นปู้ฉวินเผยรอยยิ้มบนใบหน้าเพื่อปลอบใจนาง ทว่าความจริงนั้นเจ็บจนเกือบร้องเรียกบิดามารดานานแล้ว ถึงอย่างนั้นแม้เขาจะไม่ใช่วีรบุรุษอะไร แต่ก็ไม่ใช่หมีดำที่แค่เจ็บเล็กๆ น้อยๆ ก็จะร้องส่งเสียงออกมาต่อหน้าสตรี หากเป็นเช่นนั้นต่อไปเขายังจะคลุกคลีอยู่ในยุทธภพได้อย่างไร ต่อให้ต้องเจ็บจนตายเขาก็จะข่มกลั้นไว้!

สุ่ยรั่วได้ยินเขาตอบเช่นนั้นก็หมุนตัวไปหยิบชามใส่น้ำสะอาดที่วางอยู่บนโต๊ะ นางเพิ่งจะหันไป ใบหน้าของจั้นปู้ฉวินก็บิดเบี้ยวไม่เหมือนคนและเกือบจะหลั่งน้ำตาออกมาทันที แต่พอนางหันกลับมา เขาก็กลับมาวางท่าอย่างจอมยุทธ์ดุจเดิม

นางเอาน้ำมาให้ จั้นปู้ฉวินเดิมต้องยื่นมือออกไปรับ แต่เพิ่งจะยกมือก็เจ็บปวดอย่างสุดแสน เขาแค่นเสียงขึ้นจมูก ฝืนข่มไว้ ใครจะรู้ว่าสุ่ยรั่วกลับนั่งลงข้างเตียงอย่างเป็นธรรมชาติ เอาน้ำมาใกล้ปากเขาแล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบานุ่มนวล

“ค่อยๆ ดื่ม”

การที่นางปรนนิบัติเช่นนี้ทำให้เขาค่อนข้างลิงโลดใจที่ได้รับการดูแล และค่อนข้างรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เขาอ้าปากจิบน้ำสะอาด รับความปรารถนาดีจากนาง น้ำสะอาดเย็นๆ ไหลผ่านลำคอ ลำคอที่แห้งผากจึงค่อยชุ่มชื่นขึ้น แต่ก็ยังคงแสบนิดๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้

เขาไอออกมาสองครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ น้ำในชามกระเซ็นออกมาเลอะหนวดเฟิ้มของเขา สุ่ยรั่วย้ายชามน้ำออกไป รีบเอาผ้ามาช่วยเช็ดให้แห้ง

มองกิริยาอันนุ่มนวลของนาง ความอ่อนโยนในหัวใจจั้นปู้ฉวินก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง อีกทั้งครั้งนี้ก็แทบจะเป็นคลื่นสูง มีอาการที่ยากจะควบคุม เขาพบว่าคราวนี้ตัวเองสิ้นท่าแล้วจริงๆ เขาไม่เพียงแค่อยากวาดภาพนางเท่านั้น แต่เขายังแทบจะมองสีหน้าของนางได้ทุกเวลาโดยไม่เบื่อเลยสักนิด คล้ายเพียงแค่มองเห็นนาง จิตใจของเขาก็สบายขึ้นมาก หลายวันที่ผ่านมานี้เขาเพิ่งจะตระหนักว่าเพราะรูปโฉมของนางทำให้มองแล้วรู้สึกสบายใจ และตัวนางก็ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลายอ่อนโยนไปทั้งตัว คล้ายสายลมอ่อนสดชื่นบนผิวทะเลสาบหลังฝน ทำให้คนมักจะยิ้มออกมาไม่รู้ตัว

“จะดื่มอีกสักนิดหรือไม่…” สุ่ยรั่วยกชามขึ้นพร้อมถามเขา พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นดวงตาที่อ่อนโยนคู่นั้นจ้องตนอยู่ พาให้หัวใจนางเต้นตึกตัก น้ำเสียงจางหายไปไม่รู้ตัว แล้วก็หน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง

เหตุใดเขาชอบมองนางเช่นนี้

สุ่ยรั่วถูกอีกฝ่ายมองจนก้มหน้าลงอีก หมุนชามในมืออย่างกระสับกระส่าย

“ข้า…หมดสติไปนานเท่าไร” รู้ว่าสายตาของตนร้อนแรงเกินไป ไม่อยากให้นางอึดอัดเกินไปนัก เขาจึงถามคำถามที่ไม่ค่อยอ่อนไหว

“สามวัน” นางตอบตามตรงแล้วชำเลืองมองเขาอีก อดคิดไม่ได้ว่าอาจเป็นเพราะครึ่งหนึ่งบนหน้าของเขาคือหนวด ก่อนหน้านี้นางนึกว่าเขาอายุสี่สิบกว่าแล้ว แต่หลายวันมานี้นางพบว่าเขาดูเหมือนอ่อนวัยกว่านั้นมาก แต่แค่ไม่รู้ว่าเขาอายุเท่าใดกันแน่

จั้นปู้ฉวินไม่สังเกตเห็นว่านางลอบชำเลืองมอง เพียงแค่นึกดีใจกับตัวเองที่วันนั้นเขานำอาหารแห้งกลับมามากพอ จะให้อยู่ต่อไปอีกสองสามวันก็คงไม่มีปัญหานัก

“เหตุใดท่านชอบมองข้าเช่นนี้”

พอพูดไปแล้ว สุ่ยรั่วจึงค่อยรู้สึกตัวว่าถามอะไรออกไป นางเขินจนหน้าแดง ยืนตัวแข็งทื่อด้วยความกระดาก แต่ที่ยังไม่ได้หมุนตัววิ่งออกไปนอกบ้านก็เพราะนางอยากรู้คำตอบจริงๆ

ตั้งแต่ที่เขาฟื้น ไม่ว่านางจะไปตักน้ำมาให้ดื่ม หรือเอาเตาไฟไปวางข้างนอก เอาเศษถ่านไปทิ้ง หรือกินอาหารแห้งเงียบๆ เขาก็ไม่ละสายตาไปจากนางเลยสักนิด ทำเอานางอึดอัดถึงขีดสุด ทุกอิริยาบถเริ่มแข็งค้างโดยไม่รู้ตัว แม้นางจะหันไปแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกถึงการจ้องมองที่เหมือนพยัคฆ์จ้องเหยื่อของมัน

กระต่ายที่ถูกหมาป่าจอมตะกละจ้องจะต้องรู้สึกแบบเดียวกันกับนางแน่!

แม้ว่าเขาจะเป็นหมาป่าที่เจ็บหนักนอนอยู่บนเตียงขยับไม่ได้…นางมองเรือนร่างใหญ่ยักษ์ของเขาที่แทบจะกางเต็มเตียงใหญ่ บางทีนางควรเรียกเขาว่าหมีน่าจะเหมาะกว่า

แม้หมีของนางจะบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ยังใหญ่โตกำยำนัก แม้จะนั่งนอนบนเตียงไม่ขยับ ก็ยังให้ความรู้สึกน่าเกรงขามยิ่ง หากนางไม่รู้ว่าเขาบาดเจ็บอยู่ ก็อาจจะคิดว่าเขาจะกระโจนเข้ามาจับนางกินเมื่อไรก็ได้

“ชอบมองอย่างไรนะ” เขาเลิกคิ้วหนา ถามอย่างน่าขัน แม้น้ำเสียงจะห้วนแหบ แต่ก็พูดได้ไม่เป็นปัญหา

“จ้องมองข้า…เช่นนี้ตลอดเวลา…” นางยิ่งพูดก็ยิ่งหน้าแดง ขนาดตัวเองยังรู้สึกกระดากอายแล้ว

“ในบ้านเก่าคร่ำคร่านี้เจ้าน่ามองที่สุด ข้าไม่มองเจ้าแล้วจะให้มองที่ใด” เขาทำหน้าตายหยอกล้อนาง ขนาดตายังไม่กะพริบ

สุ่ยรั่วได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเพียงสองแก้มร้อนผ่าวจนแทบมีควันโขมง หัวใจเต้นตึกๆๆๆ ไม่หยุด เสียงดังเหมือนรัวกลองอยู่ข้างหู ทำเอานางเขินอายจนมือเท้าก็เริ่มแดงไปด้วย นางก้มหน้าวิ่งออกไปเพราะทำอะไรไม่ถูก

จั้นปู้ฉวินหัวเราะ แต่เพิ่งจะหัวเราะได้สองที จากที่สุขล้นก็กลายเป็นเศร้าสลด รู้สึกตึงแผลที่หัวไหล่ เจ็บจนเหงื่อเย็นโซมกาย ร้องครางหงิงๆ…ไหนๆ ครั้งนี้ก็ไม่เห็นคนแล้ว เขาจะเป็นหมีควายอย่างไรก็ย่อมได้!

มารดามันเถอะ หวังจริงๆ ว่าแผลนี้จะหายเร็วหน่อย หลังจากที่ฟื้นคืนสติอยู่บนเตียงหลังนี้มาครึ่งวัน เขาก็แทบทนไม่ไหวแล้ว

หางตาชำเลืองมองสุราร้อนแรงไหนั้นที่อยู่ใต้โต๊ะ น้ำลายก็เกือบจะไหลอยู่รอมร่อแล้ว

หึๆ โลกนี้มันอะไรกัน ทั้งๆ ที่มีสุราดี มีสาวงาม มีภูเขาสวยและน้ำใส แต่ข้ากลับเจ็บหนักขยับไม่ได้ ได้แต่ปลอบใจตัวเองด้วยความคิดเพ้อพกหลอกลวง!

จั้นปู้ฉวินกลอกตา ทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้

“สวรรค์ ท่านช่างไม่ยุติธรรมกับข้าเลยจริงๆ!”

 

สองวันให้หลัง จั้นปู้ฉวินก็กลืนคำพูดที่ตัวเองเคยพูดไว้ก่อนหน้า

ดวงตาทั้งคู่ของชายหนุ่มจ้องภาพตรงหน้าตาค้าง กลืนน้ำลายอึกใหญ่ อดพึมพำเบาๆ ไม่ได้

“นี่มันเกินจะแก้แล้วจริงๆ…”

เมื่อครู่เพิ่งจะหลับมาถึงกลางดึก เพราะจู่ๆ ก็รู้สึกว่าหน้าอกถูกกด เขาเลยตื่นขึ้นมาจึงเห็นสุ่ยรั่วนอนอยู่บนร่างเขา มือข้างหนึ่งโอบคอเขาไว้ ส่วนอีกข้างวางอยู่บนหน้าอกเขา หน้าผากก็หนุนอยู่ที่เดียวกันนั้น ลมหายใจเบาบางราวกับกลิ่นกล้วยไม้พรูเข้ามาในเสื้อของเขาที่ไม่รู้ว่าแหวกกว้างตั้งแต่เมื่อใด เป่ารดผ่านหน้าอกและโหมเพลิงปรารถนาของเขาให้ลุกโชนในขณะเดียวกัน

สิ่งที่แย่ที่สุดคือเสื้อผ้าครึ่งบนของนางถูกดึงจนคลายไปกว่าครึ่ง เพราะมือใหญ่ที่ซุกซนของเขา เผยให้เห็นไหล่งามขาวราวหิมะด้านหนึ่ง และผิวเรียบลื่นนวลผ่องอีกกว่าครึ่ง อีกทั้งหน้าอกนุ่มที่ทับอยู่บนอกเขาซึ่งแทบจะโผล่ออกมาให้เห็น นางแค่หายใจ เนินนุ่มขาวผ่องก็ค่อยๆ กดทับหน้าอกเขาเบาๆ ผ่านชั้นเสื้อบางๆ และยังอยู่ในสภาพจะหลุดมิหลุดแหล่อีกด้วย

จั้นปู้ฉวินครางต่ำๆ ออกมา ลมหายใจเร่งร้อนขึ้นโดยไม่รู้ตัว กางสองมือออกไปด้านข้าง ไม่กล้าแตะต้องนางและไม่กล้ามองนางอีก ได้แต่มองหลังคาดำมืด ร้องเรียกสวรรค์อยู่ในใจ

สองวันติดกัน เขาได้โอบกอดสาวงามเต็มอ้อมกอด…ช่วยไม่ได้ แม้ระหว่างพวกเขาสองคนจะมีหมอนไม้ขวางกั้น แต่ก็นอนบนเตียงหลังเดียวกัน อีกทั้งกลางคืนหนาวเย็นมีน้ำค้าง หลังจากหลับสนิทก็จะหาที่อุ่นๆ โดยสัญชาตญาณ เมื่อคืนตอนที่เขาตื่นขึ้นมาก่อน ทั้งสองคนอยู่ในสภาพกอดเกี่ยวกันอยู่ แต่ตอนนั้นใกล้สว่างแล้ว อีกทั้งกล้ามเนื้อและกระดูกทั้งตัวเขายังปวดไม่หาย จึงยังไม่มีปฏิกิริยาร้อนแรงถึงเพียงนี้ เพื่อไม่ให้นางกระดากอาย เขาจึงฉวยโอกาสตอนที่นางยังไม่ตื่นย้ายนางกลับไปที่อีกฝั่งเตียง แต่เช้านี้เขาโคจรพลังปรับลมหายใจแล้ว กล้ามเนื้อและกระดูกไม่ได้เจ็บอีกแล้ว ทว่าตอนนี้…

ทันใดนั้นนางก็ถอนใจ ปรับท่านอนให้สบายแล้วก็หลับต่อ จั้นปู้ฉวินแข็งทื่อไปทั้งตัว ไม่ต้องมองก็รู้ว่าเสื้อบางๆ ของนางได้เลื่อนจากตำแหน่งเดิมอย่างตามใจชอบแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็เป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ ไม่ใช่นักบวช แน่นอนว่าเกิดปฏิกิริยาในทันที

ถ้าหากเขาเป็นวิญญูชนผู้มีเกียรติจริงๆ เขาก็ควรจะจัดดึงเสื้อนางให้ดีๆ และเคลื่อนย้ายนาง…

ตอนนี้ขาเนียนของสุ่ยรั่วพาดเอวเขา ทำเอาเลือดลมพลุ่งพล่านทันที วีรบุรุษหรือจอมยุทธ์ วิญญูชนผู้มีเกียรติอะไรนั่นถูกเขาโยนทิ้งไปไกลแสนแปดพันลี้แล้ว หากวันนี้คนที่นอนอยู่บนตัวเขาไม่ใช่นาง เขาอาจจะควบคุมได้ แต่อีกฝ่ายเป็นนางนี่สิ ทั้งยังเป็นสตรีหนึ่งเดียวที่ทำให้เขาหวั่นไหวในรอบสามสิบกว่าปีมานี้

ตายเป็นตายก็แล้วกัน ไหนๆ ข้าก็ไม่ใช่วีรบุรุษหรือจอมยุทธ์อะไรอยู่แล้ว!

จั้นปู้ฉวินกัดฟัน มือใหญ่ที่ชื้นเหงื่อมาแต่แรกลูบแขนเรียวนวลเนียนของนางอย่างอดไม่ไหว มืออีกข้างโอบเอวบางของนางแล้วพลิกตัวกดนางไว้ใต้ร่าง

สุ่ยรั่วพึมพำเบาๆ ทว่าไม่ได้ตื่นขึ้นมา

มองดวงหน้าบริสุทธิ์อ่อนหวานของนางแล้ว หัวใจของเขาก็บีบรัดโดยไม่รู้ตัว…

ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้!

จะทำกับนางเช่นนี้ไม่ได้! ต่อให้อยากได้นางแค่ไหน อย่างน้อยก็รอให้ลงเขาไปสู่ขอกับบิดานางแล้วค่อยว่ากัน!

จั้นปู้ฉวินเหงื่อซึมหน้าผาก ไม่ง่ายเลยกว่าสติสัมปชัญญะจะเอาชนะความปรารถนาอย่างสัตว์ได้ เขารีบเอามือข้างหนึ่งยันกายไว้ ใช้มืออีกข้างดึงเสื้อของนางที่เปิดออกให้กลับเข้าที่เข้าทาง และในตอนที่ทุกอย่างกำลังจะเรียบร้อย ไม่รู้เพราะเหตุใดมือใหญ่ที่ยันร่างไว้ถึงได้ลื่น…

‘ตึง!’

ร่างกายท่อนบนของเขากลับไปทับบนร่างนาง เตียงไม้ส่งเสียงประท้วง แต่โชคดีที่ไม่พังครืน

สุ่ยรั่วที่กำลังนอนหลับฝันถูกชายหนุ่มทับจนเกือบสิ้นลม นางผวาตื่นขึ้น กระแอมไอติดๆ กันหลายครั้งจึงกลับมาหายใจได้ จนตอนที่เห็นชัดว่าอะไรทับนางอยู่ก็เกือบร้องตระหนกออกมา แต่โชคดีที่ในชั่วขณะสุดท้ายปิดปากไว้ทัน

เห็นเขาหลับตาสนิททั้งสองข้าง ลมหายใจสม่ำเสมอ ไม่ขยับสักนิด สุ่ยรั่วนึกว่าเขานอนพลิกตัวจึงได้ทับนาง นางรีบคิดจะดึงตัวออกมาจากใต้ร่างเขาตอนที่เขายังไม่ตื่น แต่หมีตัวนี้ก็ช่างหนักเหลือเกินจนทำให้นางขยับไม่ได้เลย!

สุ่ยรั่วยังกลัวว่าจะทำเสียงดังจนเขาตื่น จึงไม่กล้าออกแรงผลักเขา ทว่าในตอนที่นางร้อนใจไม่รู้จะทำอย่างไรดีนั้น จู่ๆ เขาก็พลิกกลับไป!

หารู้ไม่ว่าผมยาวของนางไปพันเข้ากับเชือกแดงแขวนหยกประดับที่คอเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เขาพลิกกลับไปโดยไม่ให้สัญญาณเตือนล่วงหน้า เกือบจะกระชากผมสลวยของนางหลุดกำใหญ่ โชคดีที่นางปฏิกิริยาโต้ตอบว่องไวจึงพลิกตัวตามไปด้วย กลั้นหายใจหมอบอยู่บนตัวเขา ไม่กล้าขยับอีกพักใหญ่

จนเห็นว่าเขาไม่มีวี่แววว่าจะตื่น นางจึงรีบยื่นมือไปแกะผมและเชือกแดงที่พันกันอยู่อย่างระมัดระวัง แต่นางแกะมาตั้งนานก็แกะไม่ออกเสียที โชคดีที่เขาหลับสนิทราวกับหมูตาย นางก็ยิ่งได้ใจ ตั้งอกตั้งใจแกะผมที่พันอยู่นั้นอย่างสงบนิ่งมั่นคง

ทางจั้นปู้ฉวินก็ต้องร้องโอดครวญอย่างทุกข์ทรมานอยู่ในใจ ร่างกายท่อนบนของนางแทบจะหมอบอยู่บนร่างเขา เนินเนื้อนุ่มทั้งสองขยับย้ายไปพร้อมกับมือทั้งคู่ของนางครั้งแล้วครั้งเล่า คลับคล้ายคลับคลาจะลากผ่านหน้าอกของเขาไปๆ มาๆ อย่างกับจะเอาชีวิตเขาจริงๆ!

เดิมทีเขาอยากลองตะแคงตัว ให้นางแก้ปมนั้นออกได้สะดวก แต่ใครจะไปรู้ว่าพอเขาพลิกไปทางซ้าย อีกฝั่งกลับเป็นผนัง นางข้ามไปไม่พ้นจึงได้แต่คุกเข่าอยู่บนหลังเขาแล้วก้มลงมาแกะเชือก ปรากฏว่าหน้าอกของนางยังคงบดเบียดเสียดสีอยู่กับแขนขวาของเขา กอปรกับร่างของทั้งสองบดบังแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามา นางจึงมองเห็นไม่ชัด ปมก็ยังแก้ไม่ออก ผ่านไปพักใหญ่ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป แสร้งพลิกตัวไปทางขวาอีกที ปรากฏว่าเคลื่อนไหวรุนแรงเกินไป เกือบเบียดนางตกเตียง ทำเอาสะดุ้งตกใจจนเหงื่อท่วมตัวไปด้วยกันทั้งคู่

สุ่ยรั่วร้องออกมาแผ่วเบาในชั่วขณะสุดท้ายเพราะชายหนุ่มยื่นมือออกมากันไว้ได้ทันนางจึงไม่ตกเตียง แต่นางเพิ่งจะลูบอกดีใจ ทางจั้นปู้ฉวินกลับเจ็บปวดจนหางตาหลั่งน้ำตาลูกผู้ชายที่แสนล้ำค่าออกมาหนึ่งหยด เพราะแขนที่เขายื่นออกไปช่วยคนนั้นก็คือแขนข้างซ้ายที่หัวไหล่ถูกฟันบาดเจ็บ!

ถูกนางดึงไว้เช่นนี้ ทั้งๆ ที่เจ็บจนจะสิ้นใจอยู่รอมร่อ เขาก็ยังหลับตาแสร้งทำเป็นหลับ

โอ้สวรรค์ ใครก็ได้ ได้โปรดรีบมาช่วยข้าทีเถอะ

 

ภูเขาเขียวขจี น้ำใสกระจ่าง นกร้องจิ๊บๆ เป็นการมาถึงของอีกวัน

ดวงตาทั้งคู่ของจั้นปู้ฉวินเต็มไปด้วยเส้นเลือด เขาลองเคลื่อนไหวร่างกายบนที่โล่งหน้าบ้านไม้แต่เช้ามืด เพิ่งเริ่มออกหมัดยกขาก็ยังคงรู้สึกเจ็บ แต่พอเตะต่อยไปได้หลายชุด เลือดลมร่างกายยืดคลายแล้วก็ยิ่งออกหมัดได้คล่องมือขึ้น

จนกระทั่งเช้าตรู่ของวันนี้นางจึงได้แก้ปมหลุดหมด เขาถูกกระตุ้นจนเลือดลมพลุ่งพล่าน อีกทั้งไม่มีที่ให้ระบาย อีกนิดเดียวก็เกือบจะเลือดกำเดาไหลตายไปแล้ว

แย่แล้ว พอคิดถึงภาพเมื่อคืนนี้ก็เลือดลมพลุ่งพล่านขึ้นมาอีก

จั้นปู้ฉวินรีบใช้หมัดมังกรสมุทรเจ็ดสิบทองท่าที่สืบทอดมาจากตระกูลอีกหนเพื่อคลายความร้อนรุ่ม

เขาออกหมัดมวยอย่างมีพลังอยู่ทางนี้ ไม่รู้สุ่ยรั่วมาอยู่ข้างประตูยืนมองเขาฝึกมวยอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไร เมื่อแรกนางแค่สงสัย แต่พอเห็นแล้วก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ

แม้นางจะไม่เป็นวรยุทธ์ แต่บิดานางเป็นจอมยุทธ์ ทั้งยังรับลูกศิษย์ลูกหามากมาย อย่างน้อยๆ ตั้งแต่เล็กจนโตก็เคยเห็นผู้คนใช้ดาบ ใช้กระบี่ ใช้ไม้พลอง รำหมัด ดังนั้นจึงรู้ว่าเมื่อเรียนวรยุทธ์ในระดับหนึ่งแล้วก็จะฝึกพลังปราณได้สูงต่ำแตกต่างกันไป ยามนี้นางอยู่ห่างจากเขาอย่างน้อยสองถึงสามจั้ง แต่กลับสัมผัสได้ถึงลมหมัดที่ร้อนไหม้ของเขา!

ซึ่งก่อนหน้านี้นางเคยสัมผัสได้แค่จากร่างกายบิดาของนางเท่านั้น!

ตอนนี้นางเพิ่งรู้ว่าที่แท้วรยุทธ์ของเขาไม่อ่อนด้อย หลายวันก่อนนั้นมักจะเห็นแค่เขาถูกบรรดาศิษย์ของบิดาไล่ตาม นางยังนึกว่าวรยุทธ์ของเขาอยู่ในระดับพื้นๆ เสียอีก

ลมหมัดของเขาซัดถูกลำต้นของต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ จนสะเทือนใบไม้ร่วงหล่นลงมาไม่น้อย ใบไม้ใหญ่เล็กปลิวร่อนร่ายระบำอยู่กลางลมหมัดของเขาช่างงดงามยิ่งนัก คล้ายเรือลำเล็กที่แล่นอยู่ท่ามกลางพายุฝนโหมกระหน่ำ ถูกลมบงการจนเคลื่อนไปทางซ้ายขวา ขึ้นสูงและลงต่ำ

ใบไม้บางใบค่อนข้างใหญ่ ได้รับผลกระทบจากแรงลมค่อนข้างมาก ใบไม้บางใบค่อนข้างยาวเรียว ปะทะลมน้อย ได้รับผลกระทบจากลมก็น้อยตามไปด้วย นางมองอยู่อย่างนั้น ในสมองก็แวบแสงสว่างขึ้นมาฉับพลัน นางขมวดคิ้ว มองใบไม้ที่ร่ายระบำพวกนั้น ลองจับรายละเอียดที่แวบผ่านมาแล้วหายไปมาประมวลความคิด

ชุดหมัดมวยมังกรสมุทรจบลงแล้ว จั้นปู้ฉวินเก็บหมัดแล้วปรับลมหายใจให้เป็นปกติ

“อ๊ะ ข้ารู้แล้ว!” ดวงตาทั้งคู่ของนางเป็นประกายตอนที่เขาเก็บหมัด ร้องด้วยความตกตะลึง

จั้นปู้ฉวินหันกลับไป ตอนนี้จึงสังเกตเห็นนาง แต่กลับเห็นนางวิ่งอย่างรีบร้อนเข้าไปในบ้าน ไม่นานก็วิ่งออกมาอีก ก่อนจะเอ่ยถามหน้าตาตื่นเต้น

“ในบ้านไม่มีพู่กัน ท่านมีพู่กันหรือไม่ ข้าต้องรีบวาดมันออกมา!”

“วาดอะไร” เขาทำหน้าเหลอหลา ไม่เข้าใจว่านางตื่นเต้นอะไร

“ใบเรือน่ะ! ข้ารู้แล้วว่าควรจัดวางพวกมันอย่างไร!” นางคลี่ยิ้ม ดวงตาทั้งคู่ทอรัศมีวิบวาว

“ใบเรือ?” เขาอึ้งงัน ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบไปชั่วขณะ

“ใช่แล้ว ใบเรือ!” สุ่ยรั่วบอกอย่างลิงโลดใจ “ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้เลยว่าควรจะออกแบบใบเรืออย่างไรจึงจะใช้ประโยชน์จากพวกมันให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หรือให้เรือแล่นไปเร็วยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้ขอเพียงเป็นเรือลำใหญ่หน่อย ก็จะใช้ใบเรือสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ทั้งหมด เพื่อให้ต้านลมได้มากหน่อย แต่ตรงกันข้าม เพราะใบเรือมีขนาดใหญ่ก็ยิ่งทำให้ควบคุมลำบาก จำเป็นต้องใช้กำลังคนมาก หากจะหันเปลี่ยนทิศหรือหลบเรือที่แล่นมาจะยิ่งยากที่สุด แต่ถ้าด้านหน้าเรือเพิ่มใบเรือสามเหลี่ยมสักจำนวนหนึ่ง สถานการณ์ก็จะแตกต่างไปมาก!”

ถ้าไม่ใช่เพราะเดิมจั้นปู้ฉวินนับว่าเชี่ยวชาญเรื่องเรือ ไม่ว่าจะฟังคำพูดเป็นชุดนี้ของนางอย่างไรก็ย่อมไม่มีทางเข้าใจในทันทีแน่นอน แต่เขาฟังออกแน่ ไม่ใช่แค่ฟังออก ยังประหลาดใจกับวิธีของนางอย่างยิ่ง

ใบเรือสามเหลี่ยมหรือ ในความคิดทั่วๆ ไปของคนขับเรือ ใบเรือสามเหลี่ยมและสี่เหลี่ยมนั้นจะเอามาเทียบกันไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าใบเรือสามเหลี่ยมนั้นต้านลมได้น้อยกว่าใบเรือสี่เหลี่ยม ยิ่งกว่านั้นความเสถียรของใบเรือสามเหลี่ยมก็ต่ำด้วย ดังนั้นขอแค่เป็นนายช่างสร้างเรือที่มีความรู้สักหน่อยก็จะไม่คิดใช้ใบเรือสามเหลี่ยมเลย ยิ่งการทดลองที่อาจหาญอย่างที่นางคิดนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่ฟังที่นางพูดแล้ว เขากลับรู้ว่าวิธีของนางต้องใช้ได้ผลแน่นอน เป็นไปได้ว่าจะช่วยปรับปรุงให้เรือใหญ่คล่องตัวปราดเปรียวขึ้นได้

“เจ้าคิดจะทำอย่างไร” เขาเลิกคิ้ว ถามอย่างสนอกสนใจ

“ใบเรือใหญ่ยังต้องใช้ใบเรือสี่เหลี่ยม เสากระโดงหน้าเปลี่ยนเป็นใบเรือสามเหลี่ยมได้ ก็คือ…ท่านรอเดี๋ยว!” นางแค่พูดอย่างเดียวนั้นยากจะอธิบายให้เข้าใจ จึงดึงเขานั่งยองลง หยิบกิ่งไม้ตรงนั้นวาดภาพให้เขาดูบนพื้น

สุ่ยรั่วมือถือกิ่งไม้ อีกมือจับแขนเสื้อ ท่าทางที่วาดภาพนั้นคล่องแคล่วยิ่งนัก ประเดี๋ยวเดียวก็วาดเป็นภาพร่างของเรือขนาดยักษ์ เพราะกลัวเขาจะไม่เข้าใจ นางวาดพลางก็อธิบายให้เขาฟังไปพลาง

“เหมือนอย่างนี้ บนเสากระโดงหน้าติดตั้งใบเรือสามเหลี่ยมที่ค่อนข้างควบคุมง่ายไว้สองสามใบ หากต้องการเปลี่ยนทิศอย่างเร่งด่วน นอกจากจะใช้ด้ามหางเสือเรือในการควบคุมแล้ว ก็สามารถใช้ใบเรือสามเหลี่ยมที่เสากระโดงหน้าช่วยได้เช่นกัน เพราะใบเรือสามเหลี่ยมด้านบนแหลมด้านล่างกว้าง หากจะหมุนมันก็จะง่ายกว่าใบเรือสี่เหลี่ยม ไม่ต้องให้คนปีนขึ้นไป แค่หมุนตรงดาดฟ้าเรือก็ได้แล้ว”

นางเงยหน้ามองเขาอย่างกระตือรือต้น คลี่ยิ้มพร้อมอธิบาย

“หลังจากติดตั้งใบเรือสามเหลี่ยมแล้ว เวลาที่ลมแรงก็จะให้มันเอียงไปด้านข้างได้ยิ่งกว่าเดิม เพราะมันจะอยู่ในสภาพแหลมเอียงตรงหัวเรือ ลมก็จะลอดผ่านไปด้านข้างตามลักษณะใบเรือ ทว่าจะไม่ต้านด้านหลังใบเรือใหญ่โดยตรง นี่ไม่เพียงช่วยลดแรงลมเวลาที่ต้องปะทะลมอย่างกะทันหัน แต่ยังช่วยยืดเวลาถอดใบเรือใหญ่ด้านหลังด้วย แม้ใบเรือสามเหลี่ยมจะต้านลมค่อนข้างน้อย แต่กลับควบคุมง่ายกว่าใบเรือสี่เหลี่ยม ถ้าหากสามารถติดตั้งทั้งใบเรือสี่เหลี่ยมและใบเรือสามเหลี่ยมบนเรือได้ไปพร้อมกัน จะต้องช่วยเพิ่มความเร็วและความคล่องตัวให้เรือได้แน่นอน!”

จั้นปู้ฉวินมองภาพเรือที่นางวาด ฟังที่นางอธิบายแล้วก็ตะลึงงัน เขามองใบหน้ายิ้มแย้มงดงามของนางแล้วกล่าวชมอย่างจริงใจ

“เจ้ามีพรสวรรค์จริงๆ!”

“หา?” สุ่ยรั่วหน้าแดงทันที พลันนั้นก็ทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา

จั้นปู้ฉวินก้มหน้าแล้วมองภาพเรือที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะนั้น นอกจากรู้สึกทึ่งแล้วก็คือความทึ่ง เขายิ้มพร้อมส่ายหน้า เอ่ยขณะทอดถอนใจ

“ถ้าหากเรือลำนี้สร้างสำเร็จจริงๆ น่ากลัวว่านับจากนี้จะเปลี่ยนประวัติศาสตร์การสร้างเรือของต้าถังเราเป็นแน่”

เขาหันไปมองนางที่หน้าแดงก่ำไปทั้งหน้า ถามอย่างใคร่รู้

“เจ้าคิดใช้ประโยชน์จากใบเรือสามเหลี่ยมได้อย่างไรน่ะ”

พอถูกเขาถามเช่นนี้ สีหน้าของสุ่ยรั่วก็ยิ่งแดงจัด ตอบอย่างเอียงอาย

“เพราะท่าน…”

“ข้า?!” จั้นปู้ฉวินชี้จมูกตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าคำตอบจะเป็นเช่นนี้

สุ่ยรั่วลุกขึ้นพลางพยักหน้า

“ข้าเห็นท่านฝึกหมัดมวย สะเทือนจนใบไม้ร่วง ใบไม้มีทั้งใบใหญ่ใบเล็ก เพราะได้รับผลกระทบจากลมหมัดต่างกัน อีกทั้งองศาที่ปะทะลมก็ไม่เหมือนกัน ความเร็วตอนที่ตกลงมาก็ไม่เหมือนกัน จึงคิดได้ว่าใบเรือและใบไม้ความจริงแล้วก็คล้ายๆ กัน บางทีอาจจะลองใช้หลักการนี้กับเรือได้…”

จั้นปู้ฉวินได้ยินดังนั้นก็ประหลาดใจจนหลุดหัวเราะ มองใบไม้ใบหนึ่งร่อนลงบนผมสุ่ยรั่วช้าๆ แล้วยกมือขึ้นช่วยหยิบออกให้นาง ก่อนจะหัวเราะบอก

“ในโลกนี้มีใบไม้อยู่ทุกหนแห่ง แต่มีแค่เจ้าที่เข้าใจวิธีการสร้างเรือจากมัน สกุลจั้นเราหาคนร่วมมือได้ไม่ผิดจริงๆ! ตอนนี้ไม่ต้องทำเพื่ออย่างอื่น เพื่อเรือลำนี้แล้ว มังกรสมุทรตระกูลจั้นจะช่วยเจ้ารักษาอู่ต่อเรือสกุลสุ่ยเอาไว้แน่นอน!”

สุ่ยรั่วมองเขาด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเมื่อตระหนักว่าเขาเพิ่งจะให้คำมั่นกับนางก็รู้สึกตื้นตันใจอย่างอดไม่ได้ จมูกแสบร้อน ทั้งขอบตาก็แดงก่ำ

หลายวันมานี้ความจริงนางเอาแต่กังวล ไม่รู้ว่าควรจะจัดการเรื่องอู่ต่อเรืออย่างไร อู่ต่อเรือไม่เคยจ่ายค่าชดเชยมาก่อน แต่หลายปีมานี้ก็ไม่ได้ทำเงินได้เท่าไรนัก แม้ตอนนี้ในที่สุดนางจะได้รู้ว่าปัญหาอยู่ตรงที่มีคนเล่นลูกไม้ ถ้าหากแก้ปัญหานี้ได้อย่างราบรื่น รายได้ของอู่ต่อเรือจะต้องเพิ่มขึ้นมหาศาล แต่ปัญหาคือบิดานางคิดว่านางเสียเวลากับอู่ต่อเรือมากเกินไป คิดจะยุติเรื่องนี้มานานแล้ว ยิ่งกว่านั้นพอครั้งนี้เกิดปัญหา บิดาต้องยิ่งยืนกรานให้ปิดอู่ต่อเรือแน่!

เดิมนางเลิกหวังแล้วว่าอู่ต่อเรือจะดำเนินต่อไป แต่ยามนี้มีการสนับสนุนจากสกุลจั้น สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปแล้ว บิดาจะต้องล้มเลิกความคิดที่จะปิดอู่ต่อเรือแน่นอน

“ขอบคุณ…” สุ่ยรั่วมองเขาอย่างซาบซึ้งใจ มือเล็กสองข้างปิดปากเล็กที่หลุดเสียงสะอื้น แต่น้ำตายังคงไหลพรากอย่างไม่ยอมฟังคำสั่ง

สวรรค์ เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงร้องไห้กันเล่า

จั้นปู้ฉวินจับต้นชนปลายไม่ถูก มองนางปาดน้ำตาเลิ่กลั่ก

“นี่ๆๆ! เจ้า…อย่าร้องไห้สิ…” เขายื่นมือออกไปปาดน้ำตาบนแก้มนางอย่างลนลาน เอ่ยเก้อๆ “ไม่ต้องร้องแล้ว…เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลยไม่ใช่หรือ เหตุใดจู่ๆ ก็ร้องไห้กันเล่า”

นางส่ายหน้าเบาๆ หยาดน้ำตายังคงพรั่งพรูไม่ขาดสาย และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย จั้นปู้ฉวินทนเห็นนางร้องไห้ไม่ได้ ทั้งไม่รู้จักวิธีปลอบอย่างอื่น สุดท้ายก็ได้แต่ใช้วิธีทื่อๆ…ยื่นมือใหญ่ออกไปโอบนางเข้ามาในอ้อมอกให้นางร้องไห้โฮ

คนงามเจ้าน้ำตาอยู่ในอ้อมกอด เขาถอนใจเบาๆ อย่างจนใจ จั้นปู้ฉวินเงยหน้ามองฟ้าคราม รู้สึกเพียงลมหนาวพัดผ่าน ม้วนห่อใบไม้หลากสีที่ปลิวว่อน

ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงพี่ใหญ่เฮ่อเหลียนอิงที่ปลอบคนอย่างเงอะงะเช่นเดียวกัน

ทะเลทราย เส้นทางสายไหม เขาเหยี่ยวดำ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าหลายปีมานี้ที่ที่เขาอยู่มาสิบกว่าปีเหล่านั้นได้ห่างไกลออกไปราวกับอยู่คนละชาติภพ

 

(ติดตามต่อในเล่ม)

หน้าที่แล้ว1 of 36

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: