บทที่ 14
เทียบกับที่ตงฟางโย่วเป็นคนของป้อมปราสาทแดง เรื่องตงฟางหมิงจูยังไม่ตายสร้างความกังวลให้อี๋อวี้มากกว่า เพราะมันเปิดเผยถึงแบบแผนการแบ่งชนชั้นวรรณะอันเคร่งครัดของป้อมปราสาทแดงอีกคำรบหนึ่ง เมื่อนางขบคิดความหมายในถ้อยคำของหลี่ไท่ซ้ำอีกที นางก็ปะติดปะต่อเรื่องราวได้คร่าวๆ บางส่วนแล้ว
กลุ่มอิทธิพลลับอย่างป้อมปราสาทแดงนี้อาจดูห่างไกลจากพวกนางเป็นอันมาก นางถึงขั้นไม่เข้าใจว่าการดำรงอยู่ของที่นี่มีความหมายใดกันแน่ ทว่าในขณะเดียวกันมันก็อยู่ใกล้พวกนางแค่เอื้อม ใกล้ชิดถึงขนาดที่ว่าตั้งแต่เมื่อก่อนจนตอนนี้มักมีคนที่เกี่ยวข้องกับป้อมปราสาทแดงบ้างในที่ลับบ้างในที่แจ้งปรากฏขึ้นรอบตัวนาง เป็นต้นว่าหานลี่ เหยาฮ่วง เหยาอีตี๋ ยังมีตงฟางโย่ว รวมถึงตงฟางหมิงจูซึ่งถูกส่งตัวกลับไปแล้ว
ไม่ว่าวิธีการใช้พิษสยบคนและการกักขังคนไว้ทดสอบยา หรือกลุ่มคนอย่างหานลี่ เหยาปู้จื้อ เหยาอีเซิง เหยาอีตี๋ที่นางเคยประสบพบเจอกับตนเอง ล้วนเป็นสีสันแห่งความชั่วร้ายที่อาบย้อมป้อมปราสาทแดงไว้ชั้นหนึ่ง นางยังไม่ลืมว่าหนึ่งในสาเหตุที่พวกนางทั้งครอบครัวต้องพลัดบ้านพลัดถิ่นก็เพราะมัน
ครั้งหนึ่งป้อมปราสาทแดงเคยหนุนหลังอันอ๋องช่วงชิงอำนาจ ทำให้นางตระหนักได้ว่าพวกเขามีเป้าหมายจะควบคุมราชสำนัก แต่เมื่อตรึกตรองอย่างละเอียดก็ไม่คล้ายเป็นเช่นนั้นอีก เพราะบางครั้งพวกเขายกตนเกินไป ถูกต้อง…ยกตน อย่างเรื่องของตงฟางหมิงจูที่มาจากแบบแผนแบ่งแยกชนชั้นอย่างเคร่งครัด แสดงให้เห็นชัดว่าดูแคลนคนต่างเผ่า นางยังไม่ลืมตอนที่เหยาอีตี๋พูดไขอดีตของหลี่ไท่ในป่าหมอกพิษ เคยเอ่ยว่าเขากับเสิ่นเจี้ยนถังถูกป้อมปราสาทแดงพากลับไปฝึกฝน แล้วท่าทีของหงกูที่มีต่อคนเลือดผสมอย่างพวกเขา หากมิใช่เพราะกฎเผ่าบางข้อ นางถึงขั้นไม่เต็มใจให้พวกเขาขึ้นเขา
ด้วยเหตุฉะนี้ในความรู้สึกของนาง มันละม้ายดวงตาคู่หนึ่งที่เฝ้าดูผู้คนในใต้หล้าและวังวนแห่งอำนาจจากทุกแห่งหน แทนที่จะบอกว่าเป็นการควบคุม ดูคล้ายป้อมปราสาทแดงกำลังส่งเสริมผลักดันยิ่งกว่า มันเป็นผู้ชมอยู่ด้านข้าง และยื่นมือแทรกเป็นครั้งคราว บางทีมันอาจจะไม่เคยมีความคิดที่จะเป็นตัวสำคัญในการแก่งแย่งชิงอำนาจเลยก็เป็นได้
อี๋อวี้ตกใจกับความคิดนี้ของตน หลังนางกล่าวพินิจพิเคราะห์ให้หลี่ไท่ฟังด้วยหน้าตาจริงจัง ทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบชั่วเวลาสั้นๆ นัยน์ตาสีเขียวมรกตที่สะท้อนเงาคนได้คู่นั้นจ้องมองหญิงสาวนิ่งนาน จวบจนนางเอี้ยวคอไปมาอย่างอึดอัดแล้วเอ่ยถามเสียงค่อย “บางทีข้าคงคิดมากเกินไป”
“บางครั้งเจ้าฉลาดมากจริงๆ”
น้อยนักที่เขาจะออกปากชม นานๆ มีสักหนก็ทำให้นางดีใจไปได้หลายวัน ทว่าคราวนี้นางกลับไม่มีแก่ใจ มุมปากแห้งเป็นขุยขยับขมุบขมิบพักหนึ่ง สุดท้ายนิ่งค้างในลักษณะแปลกพิกล ปราศจากความตื่นเต้นเพราะยิงเข้ากลางเป้าแต่อย่างใด ดุจดั่งกินผลอิงเถารสหวานอมเปรี้ยวลูกหนึ่งแล้วติดอยู่กลางลำคอ ทั้งกลืนไม่เข้าทั้งคายไม่ออก
“อย่าคิดมากเกินไป” หลี่ไท่คลายมือที่กุมประสานกันอยู่ดึงออกจากชายผ้าห่มแล้วยกชามยาที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กขึ้น ไออุ่นในอุ้งมือเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว หากยังหลงเหลือติดค้างตามร่องนิ้วอยู่บ้าง “สุดแต่จะเป็นไปเถอะ”
อี๋อวี้พยักหน้านิดหนึ่ง นางหยักยิ้มมุมปากอย่างฝืดเฝื่อนอีกครา ภายในเวลาแสนสั้นนี้ เขากับนางก็เข้าใจบางอย่างตรงกันแล้ว บางทีเขากับนางอาจพูดถกกันเรื่องนี้อีกในภายหลัง แต่มิใช่ตอนนี้
“ยาเย็นชืดแล้ว” หลี่ไท่เห็นเศษกากยาสีเหลืองอมน้ำตาลตกตะกอนอยู่ในชามยา ก่อนจะยื่นหน้าไปดมใกล้ๆ พลางเอ่ย “เหยาฮ่วงไปแล้ว เจ้ารู้ตำรับยาหรือไม่”
ในเมื่อตามหาคนพบแล้ว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้นางพักฟื้นอยู่ที่นี่ต่อ แต่เหยาปู้จื้อไม่อยู่ ไม่รู้ว่าร่างกายของนางจะฟื้นฟูล่าช้าลงหรือไม่
“เขาไม่ได้บอกกับข้า” อี๋อวี้มองเสี้ยวหน้าด้านข้างคมคายสมส่วนของชายหนุ่ม กระแอมไอให้คอโล่งแล้วเสียงพูดยังคงแหบแห้ง “อาการของข้านี้เป็นป่วยทางใจ ตอนนี้ปรับความเข้าใจกับท่านได้ก็ไม่เป็นอะไรมาก รอหลังจากกลับไป ข้าปรุงยาปรับลมปราณด้วยตัวเองสักเทียบก็ได้เจ้าค่ะ”
หลี่ไท่เชื่อถือฝีมือในศาสตร์แห่งโอสถของนางอยู่มาก บาดแผลจากยาพิษตรงกลางอกตอนเขากลับเมืองหลวงหายสนิทแล้ว อีกทั้งจับชีพจรนางดูก็ไม่พบจุดใดผิดปกติ
อี๋อวี้เห็นเขาวางชามยาลงด้านข้าง ลุกขึ้นตั้งท่าจะออกไป นางรีบส่งเสียงพูด “ประเดี๋ยวเจ้าค่ะ”
หลี่ไท่หันหน้ากลับมา เห็นแววกระวนกระวายผุดขึ้นในสายตานางอีก เขาเดินย้อนกลับมาหยุดยืนข้างเตียง ก้มหน้าให้นางเห็นดวงตาของตนชัดๆ “ข้าไปสั่งการครู่หนึ่ง รอรถม้ามาถึง พวกเราก็กลับกัน”
“ข้า…” อี๋อวี้ลอบคับอกคับใจ ความกล้าพูดอย่างตรงไปตรงมาเมื่อครู่นี้หายไปไหนก็สุดรู้ ครั้นคำพูดมารอตรงปลายลิ้นก็กลายเป็นยากจะเอื้อนเอ่ยจากปาก นางมักวิตกโดยไม่รู้ตัวอยู่ร่ำไปว่าเขาจะโมโห ไม่พอใจ หรือรู้สึกว่านี่เป็นนางไม่เชื่อใจหรือไม่
ทันทีที่กระดาษกรุหน้าต่างบานนั้นถูกแทงทะลุ ไม่ยากที่หลี่ไท่จะค้นพบว่านางกำลังคิดเหลวไหลเช่นเคย ดวงตาของนางแดงเรื่อไม่ใคร่มีชีวิตชีวานัก ประหนึ่งกระต่ายหูตกตัวหนึ่งชวนให้อยากเข้าไปลูบศีรษะอย่างอดใจไม่อยู่ แล้วเขาก็ทำเช่นนั้นจริงๆ
เขาโน้มตัวไปเอามือหนึ่งวางทาบบนกระหม่อมนาง อีกมือแตะตรงโคนผมแล้วลูบผมดำนุ่มสลวยปลายชี้น้อยๆ ไปข้างหลังเบาๆ เฉกเช่นยามนางยังไม่ตื่นขึ้น นี่เป็นอากัปกิริยาใกล้ชิดง่ายๆ ที่เขาชมชอบมาก
จนเมื่อสองแก้มซูบตอบของนางค่อยๆ ซับสีแดงเรื่ออีกครั้งดูแข็งแรงขึ้นมาก เขาถึงก้มหน้าแตะปากบนหน้าผากเนียนเกลี้ยงของนางแล้วถอยตัวออกเว้นระยะห่างเพื่อมองดูแววตาแกมสะเทิ้นอายของนางให้ชัด นี่เป็นจุดหนึ่งซึ่งเป็นที่ต้องใจเขาเป็นพิเศษ นางจะเกิดความขัดเขินเวลาทั้งคู่ใกล้ชิดกันได้ง่ายดายมากเสมอ แต่ในเวลาอย่างนี้นางไม่เคยหลบตาเขา มันทำให้เขาเห็นจะแจ้งว่าเงาสะท้อนในดวงตานางเป็นใคร
จุมพิตต่อไปย่อมประทับลงบนริมฝีปากแห้งผากของนางเป็นธรรมดา ถึงแม้นางไม่ทันปิดปากจนเปิดช่องให้เขารุกราน แต่เขากลับไม่ตั้งใจจะฉวยโอกาส เพียงบดคลึงเบาๆ อย่างมีน้ำอดน้ำทนสุดจะกล่าว จนกระทั่งลมหายใจที่พ่นรดปีกจมูกเขาคล่องขึ้น ถึงตวัดไล้กลีบปากล่างของนางอย่างแผ่วเบา รสยาขมปนหวานฝาดๆ ตรงปลายลิ้นเตือนเขาถึงเรื่องบางเรื่อง
เขาแตะกลีบปากนางอีกทีถึงผละห่าง มองนัยน์ตาสุกใสของนางพลางเอ่ยถาม “อยากพูดอะไรหรือ”
ชะรอยว่าจูบนี้ส่งความกล้าให้อี๋อวี้ นางสูดลมหายใจแล้วพูดเสียงเบา “วันหลังข้าจะพยายามพูดเปิดอกกับท่าน แต่ท่านอย่ายั่วยุข้าอย่างเมื่อครู่อีก ถ้าเกิดวันใดท่านทำแบบนี้อีกหน ข้าคงขาดใจตายไปเลย”
ขณะนี้นึกย้อนไปถึงคำพูดเมื่อเกือบครึ่งชั่วยามที่แล้วของเขา ในอกยังเจ็บแปลบๆ ต่อให้รู้ว่าเขาจงใจพูดอย่างนั้นยั่วยุตนเอง มันก็ปวดใจดุจเดียวกัน
“พยายาม?” หลี่ไท่เหลือบเปลือกตาขึ้น เขายืนตัวตรงหลุบตาลงมองนางชั่วครู่ เห็นวี่แววว่านางจะเป็นกระต่ายหูตกอีก ก็คิดคำนึงว่าคิดเล็กคิดน้อยกับสตรีผู้นี้มากเกินไปไม่ได้ เขาถึงพยักหน้าถือเป็นการตกลงอย่างไม่สู้เต็มใจ
อี๋อวี้รู้ว่าส่วนใหญ่เขาล้วนพูดจริงทำจริง เมื่อหัวใจคืนกลับเข้าที่เดิม นางยิ้มตาโค้งส่งให้หลี่ไท่ ไม่คาดหวังว่าเขาจะมีปฏิกิริยาตอบกลับอะไร นางเห็นเขาชายตามองตนเองแวบหนึ่งแล้วสาวเท้าออกนอกห้องไปตามคาด
“คิกๆ…” เห็นประตูห้องงับปิด นางเปล่งเสียงหัวร่อกับตนเองอย่างกลั้นไม่อยู่ พอได้ยินเสียงสะท้อนกลับในห้องถึงนึกกระดากอาย ปิดปากหัวเราะขลุกขลักชั่วครู่ก็มีเสียงเคลื่อนไหวมาจากหน้าห้อง นางเบนสายตาไปจับร่างร่างหนึ่งที่ก้าวเข้ามา มุมปากที่แย้มกว้างชะงักค้างไปกะทันหัน
“ข้าพูดผิดหรือไม่เล่า เดี๋ยวร้องไห้เดี๋ยวหัวเราะ สองตาบวมเป่ง เจ้าแพ้พนันครั้งนี้แล้ว” หานลี่ไม่เดินไปใกล้ๆ ยืนเอามือไพล่หลังอยู่หน้าประตู ยิ้มพรายมองอี๋อวี้ “ที่พวกเราเดิมพันกันไว้ยังนับอยู่หรือไม่”
“ย่อมต้องนับสิ กล้าได้ต้องกล้าเสีย ข้าไม่ไร้สัจจะอย่างคนบางคน” อี๋อวี้ไม่เฉไฉ “รอหลังจากข้าหายดีแล้ว ท่านก็พาคนมาเถอะ แต่บอกไว้ก่อนนะ ข้าไม่รับรองว่าจะปรุงยาถอนพิษได้แน่นอน”
การเดิมพันเล็กๆ ไม่เป็นพิษเป็นภัยครั้งหนึ่งก็ถือเป็นการตอบแทนน้ำใจหานลี่ นางกลับสนใจใคร่รู้หนักหนาว่าสหายที่โดนยาพิษผู้นั้นจะเป็นใครมาจากไหน
“ไม่รีบ รอหลังงานเสกสมรสของเจ้าผ่านพ้นไป ยามนี้เจ้าจดจำไว้เป็นพอ”
เมื่อได้ยินหลี่ไท่จะรับอี๋อวี้กลับวังอ๋องไปพักฟื้นหลายวัน หลูซื่อต้องคัดค้านเป็นธรรมดา เหลือแค่สิบวันครึ่งเดือนก็จะถึงงานเสกสมรส จะปล่อยให้คนทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพังได้อย่างไร กระนั้นหลี่ไท่มีท่าทียืนกรานเป็นอันมาก อี๋อวี้ถูกขนาบอยู่ตรงกลางจนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดีที่ได้หานลี่ช่วยเหลือ ใช้คารมโน้มน้าวใจหลูซื่อจนตอบตกลงให้อี๋อวี้ไปพำนักในวังอ๋องในช่วงเวลาสำคัญนี้ ถึงอย่างไรก่อนแต่งบุตรสาว ยังมีเรื่องอีกมากต้องให้หลูซื่อตัดสินใจ อี๋อวี้อยู่ที่สวนผูเจิน นางก็ไม่อาจแยกร่างคอยดูแลทั้งสองทางได้ไหว
หลี่ไท่พาอี๋อวี้ออกเดินทางไปก่อนแล้ว หลูซื่อกับหานลี่รออยู่ในลานเรือนจนถึงพลบค่ำก็ไม่เห็นเงาของเหยาปู้จื้อ จึงเขียนสารทิ้งไว้ฉบับหนึ่งพร้อมเงินตำลึงก้อนหนึ่ง จากนั้นนั่งรถม้าของหลี่ไท่กลับสู่ตำบลหลงเฉวียน
อี๋อวี้ถูกห่อตัวด้วยผ้าห่มชั้นหนึ่งนอนหนุนตักหลี่ไท่ นางจ้องสันปกหนังสือในมือเขาจนหลับไปอีก ตัวโคลงๆ เคลงๆ อยู่บนรถม้าที่แล่นออกจากป่าเขา ครั้นนอนนานไปก็เวียนศีรษะ นางบอกให้หลี่ไท่พยุงนางลุกขึ้น เลิกม่านหน้าต่างขึ้นตั้งใจจะทอดสายตามองไปไกลๆ กลับปะทะกับหัวม้าที่ยื่นมาใกล้อย่างไม่ทันตั้งตัว
“ว้าย!” นางร้องอุทานเสียงหนึ่งแล้วกระถดตัวซุกกลับเข้าอ้อมอกหลี่ไท่
ม้าตัวนั้นวิ่งตีคู่ไปกับรถม้าอยู่ดีๆ ได้ยินเสียงร้องของนาง ปลายใบหูสีดำอมเทาก็กระตุกริกๆ มันหันคอมามองนางแวบหนึ่ง อึดใจต่อมามันแสยะปากอวดฟันขาววาววับทั้งปากใส่นางอย่างขู่ขวัญเต็มที่ ทำเอาอี๋อวี้มองจนตาค้าง
“นี่คือฟานอวี่หรือเจ้าคะ” นางแหงนหน้าขอคำยืนยันจากหลี่ไท่ที่พลิกหน้าหนังสืออยู่ เห็นเขาส่งเสียงตอบในลำคอโดยไม่เงยหน้าขึ้น นางจึงไม่รบกวนการอ่านหนังสือของเขาอีก ยกปลายคางวางเกยไหล่บึกบึนของชายหนุ่มประจันหน้ากับอาชาตัวนั้นพอดี ก่อนจะเผยสีหน้าอ่อนโยนใจดีหมายแสดงไมตรีให้ ‘อีกฝ่าย’ เห็น แต่แล้วฟานอวี่กลับไม่รับน้ำใจ หันคอกลับแล้ววิ่งเหยาะๆ ไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจใคร
อี๋อวี้โดนม้าตัวหนึ่งหมางเมิน ซ้ำยังเป็นอาชาคู่กายหลี่ไท่ ในใจจึงรู้สึกไม่ยอมแพ้อยู่สักหน่อย นางเคยเห็นฝีเท้าของมันตอนแข่งตีคลี ย่อมบังเกิดความคิดอยากขี่มันสักหนไม่มากก็น้อย เลยลองเรียกชื่อมันคิดจะตีสนิทให้คุ้นหน้าคุ้นตากันก่อน ไหนเลยจะรู้ว่ามันไม่แยแสนางสักนิด ราวกับว่านางไม่ได้เรียกชื่อมันอยู่กระนั้น
ปฏิกิริยานี้กลับสร้างความคึกคักท้าทายให้อี๋อวี้ นางเรียกชื่อมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า จวบจนหลี่ไท่เอื้อมมือกระตุกม่านลงปิด นางถึงหุบปากไม่กวนใจผู้อื่นต่ออีก
ทว่าหญิงสาวซบอกหลี่ไท่ได้ครู่เดียวก็อยู่ไม่สุขอีก แหงนหน้าเอ่ยขึ้น “เหตุใดมันไม่สนใจข้าเจ้าคะ”
รออยู่นานครึ่งเค่อยังไม่ได้ยินเสียงตอบของหลี่ไท่ อี๋อวี้นึกว่าเขาคร้านจะใส่ใจคำพูดไร้สาระของตน นางเริ่มคับข้องขุ่นใจ หาได้รู้ไม่ว่าหลี่ไท่ก็บอกนางไม่ถนัดปาก ปกติเจ้าม้าตัวนั้นก็เมินเฉยไม่ไยดีเขาเสมอ ถึงมิได้พูดตอบนาง
บรรยากาศในรถอึมครึมลง ได้ยินแต่เสียงพลิกแผ่นกระดาษไปมา ผ่านไปพักหนึ่งสุ้มเสียงทุ้มเนิบของหลี่ไท่จึงดังขึ้น “รอเจ้าหายดี ค่อยไปลานขี่ม้าลองดู”
ขืนอี๋อวี้ยังฟังความหมายของเขาไม่ออกก็เป็นคนโง่งมแล้ว ความคับข้องก่อนหน้านี้มลายหายไปสิ้น
“อื้อ” นางรับคำอย่างดีอกดีใจ จากนั้นหันเหไปครุ่นคิดหาตำรับยาบำรุงปราณ เพียงอยากหายสนิทไวๆ จะได้ลองขี่ม้าวิเศษตามคำเล่าขานนั่น
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 08 พ.ค. 63
Comments
comments
No tags for this post.