X
    Categories: 14 วัน 14 เรื่องทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ลำนำรักเจ้าสมุทรชุด หัวใจเจ้าทะเล

หน้าที่แล้ว1 of 45

บทนำ

ผืนฟ้าคราม หิมะขาว หน้าผาสูงตระหง่าน และท้องทะเลกว้างใหญ่

นกทะเลสีเทาขาวตัวหนึ่งโผบินอยู่กลางอากาศ โบยบินวนไปมาตามกระแสลม

ทันใดนั้นมันพลันเปลี่ยนทิศทาง พุ่งถลาลงไปในทะเลอย่างรวดเร็วจนก่อให้เกิดฟองคลื่นสาดกระเซ็น ก่อนจะทะลวงผืนน้ำกลับขึ้นมาอย่างว่องไวอีกครั้งทั้งที่ฟองคลื่นยังไม่ทันสงบลง ในจะงอยปากแบนยาวปรากฏอาหารเช้าของวันนี้เป็นที่เรียบร้อย นกทะเลตีปีกไปมา คาบปลาตัวน้อยเหินกลับไปบนหน้าผาสูงริมฝั่ง หลังร่อนลงอย่างมั่นคงแล้วก็เริ่มลิ้มรสอาหารอันโอชา

คลื่นลมทะเลซัดสาด ดวงอาทิตย์สาดส่อง

คลื่นสีเขียวอมฟ้าปะทะไปยังริมหน้าผาที่เต็มไปด้วยผืนตะไคร่ระลอกแล้วระลอกเล่า เกิดเป็นเสียงซ่าๆ ในยามที่ทั้งสองผสานกัน กลายเป็นฟองคลื่นกระเซ็นสีขาวอันงดงาม

ไม่ไกลจากริมฝั่งนักมีเรือสำเภาสีดำขนาดใหญ่ลำหนึ่งจอดอยู่ เมื่อเทียบกับความสงบผ่อนคลายทางฟากนกทะเลแล้ว ฟากเรือสำเภาสีดำนั้นดูวุ่นวายมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด

นกทะเลยืนอยู่ริมผา ระหว่างที่กำลังกลืนกินปลา มันก็ใช้ดวงตาคู่เล็กมองสำรวจเหล่ามนุษย์ที่กำลังโหวกเหวกอยู่บนเรือสำเภาสีดำลำนั้นไปพร้อมกัน ทันใดนั้นมันก็ได้เห็นเด็กน้อยอายุราวสิบขวบผู้หนึ่งวิ่งมายังริมหน้าผา แล้วตะโกนโบกมือให้กับผู้คนบนเรือสำเภา

“รอก่อน! รอข้าด้วยสิ!” เสียงของเด็กน้อยดังกังวาน แม้จะตัวเล็กกลับวิ่งได้รวดเร็วนัก เพียงชั่วพริบตาก็มาถึงข้างเรือสำเภาสีดำที่กำลังจะออกจากฝั่ง

บนเรือสำเภาสีดำ ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งกำลังใช้รอกหมุนสมอเรือขึ้นมา ส่วนอีกสองคนกำลังเก็บบันไดไม้มาได้ครึ่งทาง ยังมีอีกคนที่ยืนอยู่ท้ายเรือกำลังมองระวังภัยรอบด้าน ครั้นเมื่อได้ยินเสียงเรียกของเด็กน้อย คนทั้งสี่ก็ต่างหันมองตามเสียงไปบนฝั่งก่อนจะพากันนิ่งอึ้งไป คนเรือที่มองสำรวจอยู่บนพื้นยกสูงเป็นคนแรกที่ได้สติขึ้นมาพร้อมก้มหน้าลงไปตะโกนเสียงดัง

“หัวหน้า! คุณหนูใหญ่มาหาแล้วขอรับ!”

จั้นเทียนที่เดิมทีอยู่ข้างในเรือรีบวิ่งออกมายังกราบเรือทันทีที่ได้ยิน ก่อนจะได้เห็นบุตรสาวกำลังตะโกนเรียกเขาอยู่จริงๆ

“ท่านพ่อ ข้าเองก็จะขึ้นเรือเหมือนกัน!”

จั้นเทียนขมวดคิ้ว ตอบปฏิเสธเสียงดังกังวานดุจกลองลั่น

“พ่อบอกไปตั้งหลายหนแล้วว่าเด็กหญิงไม่อาจขึ้นเรือได้”

“ทำไมกัน” ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ถามกลับเสียงดัง

“ให้สตรีขึ้นเรือจะเกิดเภทภัย!” จั้นปู้ฉวินที่เพิ่งอายุเพียงแปดขวบแย่งตอบขึ้นมาข้างบิดา ทั้งยังทำหน้าพิลึกพิลั่นใส่พี่สาวที่อยู่บนฝั่ง ส่วนคนเรือคนอื่นๆ หลังได้ยินประโยคนี้แล้วก็ต่างพากันผงกศีรษะ

“ไม่มีทาง!” นางถลึงตาใส่ท่าทีอวดดีของน้องชายอย่างไม่พอใจ จากนั้นก็กำหมัดแน่นเอ่ยกับบิดาเสียงดัง “สิ่งที่น้องชายทำได้ ข้าเองก็ทำได้ เมื่อวานท่านยังเพิ่งพูดว่าข้าผูกเงื่อนเก่งกว่าน้องชายมากนัก เช่นนั้นเหตุใดเขาสามารถขึ้นเรือได้ แต่ข้ากลับทำไม่ได้กัน”

จั้นเทียนมองสีหน้าไม่ยินยอมของบุตรสาวแล้วเอ่ยปลอบ

“เจ้าเป็นเด็กหญิง เรี่ยวแรงค่อนข้างน้อย ส่วนพวกเราออกทะเลก็ล้วนไปทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นกัน”

“ท่านพ่อไม่ยุติธรรม!” นางข่มกลั้นน้ำตาแห่งความน้อยใจแล้วเอ่ยเสียงดังอย่างโมโห “ทั้งๆ ที่ข้าว่ายน้ำเก่งกว่าน้องชาย กลั้นหายใจใต้น้ำได้นานกว่าเสี่ยวโจวเสียด้วยซ้ำ แต่พวกเขาล้วนสามารถขึ้นเรือได้ หากข้ากลับทำไม่ได้ ท่านเคยพูดเองว่าการเดินเรือไม่ได้อาศัยเพียงแค่พละกำลังก็ใช้ได้นี่!”

บุคคลที่ยืนชมอยู่ด้านข้างอายุเท่าคุณหนูใหญ่และวันนี้ก็ได้ขึ้นเรือเป็นครั้งแรกอย่างเสี่ยวโจวใบหน้าแดงขึ้นมาอย่างกระอักกระอ่วน คนเรือคนอื่นๆ ก็ต่างยิ้มเยาะขึ้นมา มีชายฉกรรจ์หลายคนพากันตบบ่าผอมกะหร่องของเสี่ยวโจว ต้องการให้เขาพยายามให้มากเข้าหน่อย

ทว่าทุกคนก็ต่างรู้ดีอยู่แก่ใจว่าคุณหนูใหญ่ได้รับพรสวรรค์มาจากหัวหน้า แทบจะเติบโตมาในทะเลตั้งแต่เด็ก เกือบทุกๆ ด้านล้วนเก่งกว่าคุณชายน้อย อย่าว่าแต่เสี่ยวโจวเลย คนเรืออายุสิบเจ็ดสิบแปดบางคนเรื่องกลั้นหายใจใต้น้ำก็ยังแพ้ให้แก่คุณหนูใหญ่

นอกจากนี้คุณหนูใหญ่ยังพูดไม่ผิด หัวหน้ามักพูดเองจริงๆ ว่าการเดินเรือไม่ได้อาศัยเพียงแต่พละกำลัง คุณหนูใหญ่เป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างยิ่ง น่าเสียดายตรงที่เป็นสตรี ทุกคนมักต่างคิดกันอยู่เสมอว่าหากนางเป็นบุรุษก็คงดี หัวหน้าจะต้องดีใจมากแน่ๆ

จั้นเทียนขมวดคิ้วแน่นกว่าเก่า ยายหนูนี่ชักจะไม่ได้ความใหญ่แล้ว คำพูดเช่นนี้ก็ยังพูดออกมาได้!

เขามองไปยังบุตรสาวผู้มีสีหน้าดื้อรั้นบนฝั่ง เดิมทีคิดจะเอ่ยตำหนิ ทว่าเมื่อเห็นดวงตาที่ปกติเข้มแข็งมาโดยตลอดของนางทอประกายหยาดน้ำตา เห็นฟันที่กัดริมฝีปากล่างแน่น สองมือกำเป็นหมัด ก็อดถอนหายใจขึ้นมาในใจไม่ได้

เฮ้อ ไม่ควรเล่าเรื่องเกี่ยวกับการเดินเรือท่องสมุทรพวกนั้นให้นางฟังแต่แรกเลยจริงๆ ยิ่งไม่ควรสอนนางเกี่ยวกับการทำงานต่างๆ บนเรือ ทำเอาในหัวนางตอนนี้ล้วนคิดแต่เรื่องจะขึ้นเรืออยู่ตลอดทั้งวัน

สองบิดาบุตรสาว หนึ่งอยู่บนเรือ อีกหนึ่งอยู่บนฝั่ง ต่างจ้องตามองกันอย่างไม่มีใครยอมใคร

เห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ สหายสนิทที่ติดตามจั้นเทียนมากว่ายี่สิบปีอย่างฉีซื่อเจินเองก็ทนมองไม่ไหวอีกต่อไป จึงเอ่ยเกลี้ยกล่อมขึ้นมาเสียงเบา

“พี่ใหญ่ นางเหมือนท่านมาตั้งแต่เด็กแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เมื่อไรพวกเราจะได้ออกเรือกัน เลิกโมโหเด็กมันได้แล้วน่า”

จั้นเทียนได้ยินแล้วไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้

“งั้นความหมายของเจ้าคือจะยอมให้นางขึ้นเรือมาหรือ”

“เรื่องนี้…” ฉีซื่อเจินหันหน้ากลับมามองพรรคพวกที่อยู่รอบๆ ทว่าทุกคนที่สบตากับเขาล้วนเบนสายตามองไปทางอื่น แสดงให้เห็นชัดเจนว่าไม่คิดอยากจะรับเผือกร้อนชิ้นนี้

เขาสบถด่าในใจสองสามประโยค เมื่อหันหน้ากลับไปมองหลานสาวบนฝั่งที่พยายามจะขึ้นเรืออย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาแล้ว ก็ได้แต่รู้สึกว่านางช่างกล้าหาญกว่าผู้คนบนเรือส่วนใหญ่นัก หลังไตร่ตรองอยู่สักพัก เขาก็เปิดปากเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง

“เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นี่”

“อะไรนะ!” ทุกคนต่างตกใจ สายตาล้วนดึงกลับมากันหมด “ท่านฉี ท่านไม่ได้จริงจังหรอกใช่หรือไม่”

“เจ้ารอง?” จั้นเทียนเองก็มองไปยังพี่น้องร่วมสาบานอย่างประหลาดใจ

ส่วนเด็กหญิงบนฝั่งยิ่งเหมือนได้จุดประกายความหวังขึ้นอีกครั้ง สายตามองไปยังอารองฉีของนางอย่างตื่นเต้น

“แม้ยายหนูจะเป็นสตรี แต่ความกล้าไม่น้อยไปกว่าผู้อื่น” ฉีซื่อเจินยิ้มแย้มเอ่ย “เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน พวกเราส่งใครสักคนไปแข่งกับเด็กน้อย ถ้าหากนางชนะ ก็ให้ขึ้นเรือเป็นอย่างไร”

“ไม่ได้ ข้าไม่มีทางยอมอยู่บนเรือลำเดียวกับสตรี!” ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งโต้แย้งขึ้นมาอย่างไม่พอใจทันที

ฉีซื่อเจินเลิกคิ้ว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เถียนเหล่าชี เจ้าก็เป็นคนไปแข่งกับยายหนูก็แล้วกัน!”

“แข่งก็แข่ง หากข้าชนะแล้ว นางจะไม่มีวันได้ขึ้นเรือเป็นอันขาด!” เขาพ่นลมทางจมูกเอ่ยเสียงดัง

“ย่อมเป็นเช่นนั้น แต่ถ้าหากแพ้ขึ้นมาเล่า”

“พูดเล่นไปได้ ข้าจะไปแพ้ให้กับยายหนูอายุสิบขวบคนหนึ่งได้อย่างไร!”

“พูดเช่นนี้ก็ไม่ผิด แต่การแข่งขันจะต้องระบุกฎกติกาให้ชัดเจนก่อนเสมอ ถูกต้องหรือไม่” ฉีซื่อเจินยกยิ้มมุมปาก เอ่ยอย่างนุ่มนวล

“ได้! หากข้าแพ้ขึ้นมาจะยอมลงจากเรือทันที ชาตินี้ไม่มีวันกลับไปทำงานในทะเลอีกแล้ว!” เถียนเหล่าชีแค่นเสียงเอ่ย คิ้วคมเข้มทั้งสองเลิกขึ้นทั้งคู่ เอ่ยอย่างมั่นใจ

ผู้คนรอบข้างไม่มีใครยับยั้งเถียนเหล่าชีที่เอ่ยคำสาบานอันหนักหนาออกมา ในใจพวกเขาล้วนคิดว่าต่อให้คุณหนูใหญ่จะเก่งกาจมากเพียงใด ถึงอย่างไรก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ไม่มีทางเอาชนะเถียนเหล่าชีได้

จั้นเทียนเองก็เพียงขมวดคิ้ว ไม่ได้กล่าวอะไร

“ท่านฉี เช่นนั้นจะแข่งอะไรกันดีหรือ” เสี่ยวโจวเอ่ยถามความสงสัยในใจทุกคนออกมาอย่างใคร่รู้

ฉีซื่อเจินมองไปรอบๆ จากนั้นจึงยิ้มออกมาจางๆ นิ้วชี้ไปที่ปลายหน้าผาสูงชันซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก

“แข่งสิ่งนั้นก็แล้วกัน ให้เถียนเหล่าชีกับยายหนูออกตัวจากเรือลำนี้ ว่ายน้ำไปถึงริมฝั่งแล้วเด็ดดอกไม้สีเหลืองกลับมา ผู้ใดมาถึงก่อน คนนั้นก็ชนะ”

“ตกลง!” เถียนเหล่าชีตอบรับด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

เด็กหญิงมองไปที่หน้าผา บนใบหน้าแฝงความตกตะลึง สถานที่แห่งนั้นมิใช่…

นางเงยหน้ามองไปยังอารอง เมื่อเห็นว่าเขาขยิบตาซ้ายให้ตนเองก็อดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ พร้อมผงกศีรษะตอบตกลง

“เช่นนั้นก็ตกลงกันตามนี้ พวกเจ้าสองคนปล่อยบันไดลง” ฉีซื่อเจินสั่งชายฉกรรจ์ทั้งสองที่ยังคงถือบันไดเอาไว้อยู่

บันไดเพิ่งจะถึงพื้น นางก็ปีนป่ายขึ้นมาแล้วอย่างคล่องแคล่ว

รอจนกระทั่งทั้งสองคนยืนอยู่บนกราบเรืออย่างมั่นคง ฉีซื่อเจินจึงยกมือขึ้นเอ่ย

“เอาล่ะ รอข้านับถึงสาม ทันทีที่ลดมือลง พวกเจ้าสองคนก็สามารถออกตัวได้แล้ว…หนึ่ง สอง สาม…”

ทันทีที่เขาโบกมือ เถียนเหล่าชีกับเด็กหญิงก็กระโดดลงไปในทะเลดุจปลาที่แข็งแรงและกระฉับกระเฉงทั้งคู่ ว่ายตรงไปทางหน้าผาอย่างรวดเร็ว

เพียงไม่นานทั้งสองคนก็ไปถึงครึ่งทางแล้ว ผู้คนบนเรือต่างพากันส่งเสียงร้องประหลาดใจออกมา ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลจั้นกลับตามหลังเถียนเหล่าชีเพียงแค่ครึ่งช่วงตัวเท่านั้น ทำให้ทุกคนล้วนตกตะลึง

“ไม่เสียทีที่เป็นลูกสาวของท่านจริงๆ ร้ายกาจ ร้ายกาจยิ่ง!” ฉีซื่อเจินยกมือขึ้นบังแดด สายตามองตรงไปยังเงาร่างสองสายบนท้องทะเล เอ่ยยิ้มแย้มกับจั้นเทียนที่อยู่ข้างๆ

“นางแขนสั้น ตัวเล็ก เถียนเหล่าชีวาดมือหนึ่งหน นางต้องวาดสองหน รอว่ายไปอีกสักพักก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังแล้ว” จั้นเทียนวิจารณ์ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

เป็นดั่งที่คาดไว้ เพียงไม่นานเด็กหญิงก็เริ่มถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ทว่ารอยยิ้มของฉีซื่อเจินยังคงอยู่

ในตอนที่เถียนเหล่าชีเหลืออีกเพียงหนึ่งจั้ง ก็จะถึงฝั่งนั้นเอง ทุกคนกลับต้องตกใจที่เห็นเขาจมลงไปในทะเลกะทันหัน ถูกกลืนหายไปในทะเลโดยไม่คาดคิด

“ว้าก! แย่แล้ว” ทุกคนต่างส่งเสียงร้องตกใจ คิดไปว่าขาของเถียนเหล่าชีเป็นตะคริว คนเรือสองคนที่อยู่ชิดกราบเรือที่สุดรีบกระโดดลงไปในทะเล ว่ายไปยังหน้าผาสุดชีวิต แต่ระยะห่างนับได้ว่าไกลเกินไปจริงๆ กลัวแต่ว่ากว่าจะไปถึงก็ไม่ทันเสียแล้ว

ในตอนนั้นคุณหนูใหญ่สกุลจั้นได้ปีนขึ้นไปบนหน้าผาอย่างราบรื่นเรียบร้อยแล้ว และกำลังเด็ดดอกไม้สีเหลืองมาใส่ถุงผ้ากันน้ำที่ชุบน้ำมัน จากนั้นก็กลับตัวกระโดดลงไปในทะเล ก่อนจะไม่โผล่ขึ้นมาเป็นเวลาเนิ่นนาน สีหน้าทุกคนบนเรือพากันซีดขาว ต่างหันไปมองทางหัวหน้า ที่ประหลาดก็คือสีหน้าของเขายังคงสงบราบเรียบ มองไม่ออกถึงความกังวล กระทั่งท่านรองฉีเองก็ยิ้มแย้มเต็มใบหน้า

ในขณะที่ทุกคนกำลังอกสั่นขวัญแขวน ตื่นกังวลจนเหงื่อออกมือนั้นเอง พลันมีคนชี้ไปที่ทะเลด้านล่างหน้าผาแล้วตะโกนเสียงดัง

“ดูนั่น! นั่นคุณหนูใหญ่!”

ทุกคนพากันเพ่งมองไปจึงได้เห็นที่ทะเลด้านล่างหน้าผาปรากฏหัวคนสองหัวและ…ปลาตัวใหญ่หนึ่งตัว? จริงๆ ส่วนสองคนที่กระโดดลงไปช่วยคนนั้นก็เพิ่งไปถึงแค่ครึ่งทางเท่านั้น

“นั่นมันอะไรกัน” มีบางคนมองเห็นไม่ชัด ชี้ไปที่ปลาตัวนั้นแล้วเอ่ยถาม

“ทึ่ม นั่นคือโลมาอย่างไรเล่า!” คนที่อยู่ด้านข้างเคาะศีรษะเขาไปทีหนึ่ง

โลมาตัวใหญ่ตัวนั้นพาเด็กหญิงกับเถียนเหล่าชีว่ายผ่านชายฉกรรจ์สองคนที่อยู่ครึ่งทางกลับมายังข้างเรืออย่างรวดเร็ว คนเรือบางส่วนรีบร้อนกระโดดลงทะเลไปช่วยเหลือเถียนเหล่าชีกับคุณหนูใหญ่ขึ้นเรือ

“เป็นโลมาที่ฉลาดนัก” ใครบางคนเอ่ยอย่างอดรนทนไม่ไหว “รู้ด้วยว่าจะต้องพาพวกเขากลับมายังเรือ”

ทันทีที่ขึ้นเรือเถียนเหล่าชีก็สำลักน้ำทะเลออกมาคำแล้วคำเล่า ผิดกับคุณหนูใหญ่ที่ไม่เป็นอะไรสักนิดเดียว นางตบๆ ศีรษะโลมาอยู่ในทะเล จูบปลายจมูกของมันครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงปีนเชือกขึ้นมาบนเรืออย่างว่องไว

คนเรือคนหนึ่งมองดูจนตาโตอ้าปากค้าง เอ่ยถามขึ้นมาอย่างตกตะลึง

“โลมาตัวนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงของคุณหนูใหญ่หรือ”

“ไม่ใช่ ข้าแค่เล่นกับมันอยู่บ่อยๆ” นางตอบคำถามด้วยดวงตากลมโตเป็นประกาย ทำคล้ายกับว่านั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างยิ่ง

“เป็นโลมาตัวนั้นหรือที่ช่วยพวกเจ้า” เถียนเหล่าชีเพิ่งจะสำลักน้ำทะเลออกมาหมด เหล่าพวกพ้องที่อยู่ด้านข้างก็รีบร้อนถามคำถาม

เถียนเหล่าชีกระอักไอสองหน จากนั้นก็ส่ายศีรษะ สายตามองไปยังเด็กหญิงที่ยืนใบหน้าสงบนิ่งอยู่ด้านหน้าแล้วเอ่ยเสียงแหบแห้ง

“เป็นคุณหนูใหญ่ที่ช่วยข้าไว้ ที่ใต้หน้าผานั่นมีน้ำวนอยู่ ข้าไม่ทันระวังจึงถูกมันดูดลงไป เป็นคุณหนูใหญ่ที่ดำลงไปในทะเลแล้วเรียกโลมาตัวนั้นมาช่วยดึงข้าออกจากก้นน้ำวน”

ทุกคนเพียงได้ยินก็ยิ่งพากันพึมพำว่ามหัศจรรย์ด้วยความประหลาดใจ

ส่วนเด็กหญิงเดินไปที่เบื้องหน้าจั้นเทียนกับฉีซื่อเจิน แล้วหยิบดอกไม้สีเหลืองดอกนั้นที่ใส่อยู่ในถุงชุบน้ำมันออกมา

“ตอนนี้ข้าสามารถขึ้นเรือได้แล้วหรือยังเจ้าคะ”

จั้นเทียนมองบุตรสาวอย่างนิ่งเงียบ ผ่านไปสักพักใหญ่จึงเอ่ยขึ้น

“เจ้าขึ้นมาบนเรือเรียบร้อยแล้ว”

“เอ๋?” นางมองบิดาตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“เด็กโง่ พ่อเจ้าอนุญาตแล้วยังไม่รีบขอบคุณอีก” ฉีซื่อเจินยิ้มเตือนนาง

สีหน้าของเด็กหญิงค่อยๆ เปลี่ยนจากจริงจังกลายเป็นยิ้มกว้าง นางตื่นเต้นจนร้องออกมาเสียงดัง กระโดดโผเข้าหาจั้นเทียน

“ว้าว! ขอบคุณ! ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพ่อ!”

จั้นเทียนรวบกอดบุตรสาวที่ตัวเปียกไปทั้งตัว มุมปากปรากฏรอยยิ้มจางๆ ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มที่ริมหูนาง

“ขอบคุณอารองของเจ้าเถิด”

อ่า ที่แท้ท่านพ่อก็รู้ว่าข้าโกง! นางหน้าแดงด้วยความละอายใจพร้อมแลบลิ้นออกมาน้อยๆ ตั้งแต่เด็กนางก็เที่ยวเล่นอยู่แถวนี้ จึงรู้แต่แรกแล้วว่าที่ใต้หน้าผานั้นมีน้ำวนอยู่ ในเมื่ออารองรู้ บิดาก็ย่อมต้องรู้ด้วย

ในตอนนั้นเถียนเหล่าชีเองก็ดีขึ้นมากแล้ว เขาลุกขึ้นยืนเงียบๆ แล้วโค้งคำนับเอ่ยกับสองบิดาบุตรสาวสกุลจั้น

“ขอบคุณหัวหน้าที่คอยดูแลมาตลอดหลายปี ขอบคุณคุณหนูใหญ่ที่ช่วยชีวิตผู้น้อย เถียนเหล่าชีกล้าพนันย่อมกล้าแพ้ ตลอดชีวิตนี้จะไม่มีวันกลับไปทำงานในทะเลอีกขอรับ”

จั้นเทียนหันไปมองบุตรสาวคราหนึ่ง นางเข้าใจความนัยของบิดา จึงหันกลับมาเอ่ยยิ้มแย้มกับเถียนเหล่าชี

“ท่านลุงเถียน ท่านเข้าใจผิดไปแล้ว พวกเราก็แค่แข่งขันกัน ไม่ได้พนัน ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีเรื่องพนันเรื่องนี้มาก่อน ท่านพ่อท่านเคยได้ยินหรือไม่”

เถียนเหล่าชีได้ยินแล้วก็อดละอายใจขึ้นมาไม่ได้ อยู่บนเรือมานานหลายสิบปี ความจริงแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าอยู่บนบกจะสามารถทำอะไรได้ คิดไม่ถึงว่าก่อนหน้านี้เขาปฏิบัติตัวเช่นนั้นต่อนาง คุณหนูใหญ่กลับไม่ถือสา ไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตเขา ยังให้ทางลงแก่เขาอีกด้วย

จั้นเทียนยกมุมปาก ยิ้มบางเอ่ย

“ข้าไม่ได้ตั้งใจฟัง”

เถียนเหล่าชีได้ยินหัวหน้าเอ่ยเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งจนเกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว แต่ใครจะคาดว่าเสี่ยวโจวเจ้าเด็กเอ๋อกลับไม่รู้ความเปิดปากขึ้นมา

“ไม่ใช่ว่าท่านฉี…”

ฉีซื่อเจินตบลงบนศีรษะเสี่ยวโจวในพริบตาประดุจฟ้าแลบ ยิ้มแข็งๆ ถามเขา

“เจ้าจะบอกว่าข้าทำไมกันหือ”

“ท่านฉี! ท่านตีข้าทำไมกัน” เสี่ยวโจวกุมศีรษะ “ท่านเป็นคนพูดเองแท้ๆ ว่า…”

“หัวหน้าไม่ได้ตั้งใจฟัง ข้าเองก็ย่อมไม่ได้ตั้งใจฟัง พวกเจ้ามีใครได้ยินหรือไม่” ฉีซื่อเจินเอ่ยกลั้วหัวเราะแทรกประโยคของเสี่ยวโจว หันไปมองพรรคพวกแล้วเอ่ยถาม

“ไม่มี!” ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน หนนี้แม้แต่เสี่ยวโจวเองก็กระจ่างแล้ว

“ท่านลุงเถียน ท่านก็ได้ยินที่ทุกคนพูดกันแล้ว พวกเราไม่ได้ยินอะไรกันทั้งนั้น!” คุณหนูใหญ่สกุลจั้นนั่งอยู่ในวงแขนของบิดา กะพริบตาปริบๆ ให้เถียนเหล่าชีอย่างซุกซน

เถียนเหล่าชีกลั้นน้ำตา ตบหน้าอกเอ่ยอย่างใจป้ำ

“เถียนเหล่าชีได้ยินแล้ว คุณหนูใหญ่วางใจได้ ชีวิตนี้ของเถียนเหล่าชีเป็นท่านที่ช่วยเอาไว้ หากไม่ใช่คุณหนูใหญ่เอ่ย มิเช่นนั้นตลอดชีวิตนี้เถียนเหล่าชีจะเป็นคนเรือของสกุลจั้นตลอดไป!”

เถียนเหล่าชีเพิ่งจะกล่าวจบก็ได้ยินเสี่ยวโจวเจ้าเด็กเอ๋อเอ่ยขึ้นมา

“พูดเสียงดังขนาดนี้ หนนี้จะแกล้งไม่ได้ยินไม่ได้แล้วนะ”

ได้ยินดังนั้นทุกคนบนเรือต่างพากันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เถียนเหล่าชีหันไปถลึงตาใส่เสี่ยวโจวก่อน จากนั้นก็ทนไม่ไหวหัวเราะเสียงดังออกมาด้วยเช่นกัน

ท่ามกลางเสียงหัวเราะ นกทะเลบนหน้าผาสูงดึงสายตากลับมา กางปีกออก ยืดตัวเล็กน้อย ปีกทั้งคู่โบกสะบัดพัดพลิ้วไปในกระแสลม เริงร่ายไปบนท้องฟ้าสีคราม…

บทที่หนึ่ง

ราชวงศ์ถัง รัชศกเจินกวนปีแรก

เมืองหยางโจวตั้งอยู่ตรงจุดพบกันระหว่างแม่น้ำฉางเจียงกับแม่น้ำอวิ้นเหอ นับตั้งแต่ราชวงศ์ก่อนจวบจนกระทั่งปัจจุบัน เหล่าพ่อค้าคหบดีมากอิทธิพลทั้งในแดนกลางและแคว้นนอกล้วนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ แม้ระดับความเจริญรุ่งเรืองในตัวเมืองจะยังไม่อาจเทียบเท่าเมืองใหญ่ทางตอนเหนืออย่างเมืองฉางอันหรือลั่วหยาง หากก็คึกคักเป็นอย่างยิ่ง

ถึงแม้ความโกลาหลที่เกิดจากสงครามช่วงปลายราชวงศ์สุยจะทำให้จำนวนประชากรลดลงไปอย่างมหันต์ ชีวิตความเป็นอยู่ตกต่ำ พ่อค้าชาวหยางโจวเองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบไปได้ ทว่าหลังผ่านช่วงฟื้นฟูในช่วงรัชสมัยของเกาจู่ ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในแคว้นถึงแม้จะยังไม่ได้กลับไปอยู่ในระดับเดียวกับช่วงรุ่งโรจน์ของราชวงศ์สุย แต่ก็ค่อยๆ กลับมามั่นคงแล้ว หากว่าสามารถเจริญเติบโตอย่างสม่ำเสมอเช่นนี้ต่อไปได้ เช่นนั้นก็นับได้ว่าไม่เลวนัก ทว่าช่วงหลายปีมานี้กลับเกิดทั้งภัยแล้งและภัยหนาวติดต่อกัน พ่อค้าจำนวนไม่น้อยมองเห็นโอกาสให้ตักตวง ต่างพากันขึ้นราคาข้าวสาร คิดอยากร่ำรวยเงินทองครั้งใหญ่จากภัยพิบัติ โดยเฉพาะคหบดีกังฉินที่ทำการขนส่งทางทะเลมายังตัวเมืองหยางโจว

แต่เดิมภัยพิบัติเหล่านี้ก็ทำให้ราษฎรลำบากกันมากพออยู่แล้ว หลังข้าวสารถูกคนโก่งราคาขึ้นก็ยิ่งแพงระยับจนชวนให้ผู้คนอยากร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา ผ้าไหมสิบผืนกลับแลกได้เพียงข้าวสารหนึ่งโต่ว เท่านั้น ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาไม่อาจหากินได้แต่แรก

ในตอนนั้นเองที่ริมฝั่งแม่น้ำหยางโจวกลับปรากฏกองเรือสำเภาลำใหญ่ของมังกรสมุทรตระกูลจั้น ไม่รู้ว่าพวกเขาใช้วิธีการอันใด ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสามวันก็รวบซื้อกิจการทางน้ำทั้งหมดของตัวเมืองหยางโจว ในชั่วพริบตาเดียวเส้นทางออกนอกเมืองหยางโจวทางน้ำทั้งหมดล้วนถูกควบคุมโดยกองเรือที่แขวนธง ‘จั้น’ เอาไว้

เมื่อนึกถึงว่าเมืองหยางโจวนี้ด้วยเหตุผลทางทำเลที่ตั้งทำให้การส่งสินค้าออกนอกเมืองโดยส่วนใหญ่แล้วล้วนอาศัยการขนส่งทางน้ำ เวลานี้เส้นทางการขนส่งสินค้าถูกคนควบคุมเอาไว้ เหล่าตระกูลพ่อค้าคหบดีภายในเมืองต่างพากันหวาดหวั่นหวาดระแวง รู้สึกไม่สงบอย่างอดไม่ได้ ไม่รู้ว่าสกุลจั้นที่แต่เดิมเป็นผู้มีอิทธิพลทางทะเลกำลังวางแผนทำอะไรอยู่

คาดไม่ถึงว่าในวันถัดมามังกรสมุทรตระกูลจั้นกลับจัดคนส่งเทียบเชิญไปให้ทุกตระกูลพ่อค้าคหบดีในเมือง ชี้แจงว่าดึกวันนี้จะจัดงานเลี้ยงที่หอสี่สมุทร เชิญชวนเหล่าพ่อค้าทุกท่านให้มารวมตัวกัน สิ่งนี้พูดให้เสนาะหูได้ว่าเชิญชวน ในความเป็นจริงแล้วเหล่าพ่อค้าจะไม่ไปกันก็ไม่ได้ ผู้ใดใช้ให้ในมือผู้อื่นถือไพ่ใบสำคัญอยู่เล่า นอกเสียจากตนเองจะไม่อยากทำการค้าในเมืองหยางโจวอีกต่อไปแล้ว มิเช่นนั้นก็ทำได้แต่ต้องตอบรับคำเชิญอย่างเชื่อฟัง

ยามดึก โคมไฟที่หอสี่สมุทรจุดขึ้นอย่างสว่างไสว ที่ด้านนอกปรากฏเกี้ยวที่หรูหรามากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ คันแล้วคันเล่า ทั้งยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่นั่งรถม้าประดับทองคำและหยกทอประกายเจิดจรัสมา

บนหอสี่สมุทร บุรุษผู้หนึ่งนั่งเท้าคางอยู่ริมหน้าต่าง มองประเมินลงไปยังบรรดาเกี้ยวและรถม้าประกายทองระยับเหล่านั้น ริมฝีปากพึมพำประหลาดใจ

“ช่างยอดเยี่ยมกันจริงๆ ดูรถม้าคันนั้นของสกุลเฉิน แม้กระทั่งหลังคารถยังหุ้มด้วยทองคำเปลว เกี้ยวของสกุลหวังใหญ่มากพอจะให้คนสี่คนนอนเรียง ยังมีเจ้าหมูอ้วนแซ่ชวีนั่น เขาสวมใส่บรรดาเพชรนิลจินดาของล้ำค่าเหล่านั้นแล้วยังมีวิธีเดินไม่ให้ล้มได้ ช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์เสียจริง”

สตรีชุดเขียวที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาเลิกคิ้วแล้วแค่นเสียงเบาๆ คราหนึ่ง

”ในยุคสมัยเช่นนี้ยังสามารถถลุงเงินได้ถึงเพียงนี้ แค่ดูจากการแต่งกายก็สามารถรู้ได้แล้วว่าพวกพ่อค้ากังฉินเหล่านี้ละทิ้งสำนึกดีงามหาเงินมาได้มากน้อยเท่าไร ไปเป็นมหาโจรยังทำเงินได้ไม่ดีเท่านี้เลย! แต่คนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหยางโจวไม่ใช่คนเหล่านี้ เจ้าหันไปดูผู้อาวุโสที่เดินมาจากทางขวานั่น…” นางยื่นมือชี้ออกไป “เขาถึงจะเป็นคหบดีอันดับสองของเมืองหยางโจว”

“ท่านจะบอกว่าผู้อาวุโสที่สวมเสื้อผ้าเก่าๆ นั่นคือคหบดีอันดับสองของเมืองหยางโจว?! เป็นไปไม่ได้หรอกน่า” เขาเบ้ปาก แสดงสีหน้าเกินจริง

“คนรวยที่แท้จริงจะไม่แสดงออกว่าตนเองรวย ก็เหมือนกับที่คนเลวไม่มีทางยอมรับว่าตนเองเลวเช่นนั้น ผู้อาวุโสที่สวมชุดเก่าขาดผู้นั้นชื่อโจวอวี้เฉิง เชื่อมั่นในการขยันพากเพียรทำงานหนักจนกลายเป็นคหบดี ถึงแม้จะร่ำรวยเงินทองเป็นอย่างยิ่งแต่กลับไม่ชอบใช้เงิน” นางพูดไปพร้อมกับรินสุราดอกซิ่ง ประจำฤดูดื่มไปด้วย

“คหบดีอันดับสองแต่งตัวเช่นนี้ เช่นนั้นคหบดีอันดับหนึ่งคงไม่ใช่ว่าแต่งเหมือนขอทานเลยหรอกนะขอรับ”

“รู้จักอดออมแต่ไม่รู้จักหาเงินเองก็ยากจะประสบความสำเร็จ” นางพยักพเยิดหน้าไปทางซ้ายล่างทีหนึ่ง เอ่ยอธิบาย “นู่น บุรุษที่กำลังลงจากรถผู้นั้นก็คือคหบดีอันดับหนึ่งแห่งเมืองหยางโจว เขาชื่อฉินเซี่ยวเทียน อายุสามสิบปี กิจการที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเป็นของเขา เขาเองก็เป็นคนเพียงคนเดียวในเมืองที่กล้าใช้เงินตัวเองจัดตั้งกองเรือสำเภาและกองรถม้า”

“ที่ลงจากรถมามีสองคน เป็นผู้ที่สวมชุดสีม่วงคนนั้น หรือคุณชายที่แต่งตัวเป็นบัณฑิตข้างๆ เขากันขอรับ”

“ผู้ที่สวมชุดสีม่วงคนนั้น” สตรีชุดเขียวเพิ่งจะกล่าวจบ กลับได้เห็นบัณฑิตผู้นั้นคล้ายสัมผัสได้ถึงสายตาของพวกเขาจึงเงยหน้าขึ้นมามองอย่างกะทันหัน สายตาของทั้งสองคนพลันสบกัน เขาเผยรอยยิ้มจางๆ ผงกศีรษะให้นาง

นางรู้สึกใจสั่นขึ้นมาต่อดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นของเขาอย่างอธิบายไม่ได้ ทว่านอกจากอาการใจสั่นแล้ว ยังมีความแปลกใจปนอยู่ด้วย

คนผู้นี้รู้ว่าพวกนางกำลังสังเกตการณ์อยู่ เขาเป็นใครกัน

นางขมวดคิ้ว จำไม่เห็นได้ว่าสกุลฉินมีบุคคลผู้นี้อยู่ด้วย

บุรุษที่ข้างกายนางไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติของนาง เพียงแค่จ้องมองไปยังบุรุษชุดม่วงผู้นั้นอย่างอึดอัดใจ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉินเซี่ยวเทียนผู้นี้ยังจะมาอีกทำไมกัน การปิดกั้นของพวกเราไม่มีผลต่อเขามิใช่หรือขอรับ”

ได้ยินดังนั้นนางจึงละสายตากลับมา

“ตรงนี้นี่แหละที่เป็นความร้ายกาจของเขา เขาสามารถทำกิจการตามลำพังได้มิผิด ปัญหาอยู่ที่พวกเรา ตอนนี้พวกเรากินรวบการขนส่งสินค้ามากกว่าแปดส่วนของเมืองหยางโจว หากพวกเราต้องการโก่งราคาให้สูงขึ้น ก็ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อเขา แต่หากไม่ใช่เล่า ถึงแม้ความเป็นไปได้นี้จะน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยจริงหรือไม่ หากว่าพวกเราลดค่าจัดส่งลง ต้นทุนของบรรดาพ่อค้าในเมืองก็ต้องต่ำลง ย่อมส่งผลกระทบต่อกิจการของตระกูลเขาอย่างแน่นอน” สตรีชุดเขียวลุกขึ้นยืน “ที่เขากลัวก็คือความเป็นไปได้อันเล็กน้อยนั้นจะเกิดขึ้น”

“อ้อ เช่นนั้นหนนี้เขาก็มาถูกแล้ว” เขาหยักยิ้ม จากนั้นก็คิดขึ้นมาได้ “คุณหนูใหญ่ เช่นนั้นเขาจะกลายเป็นอุปสรรคหรือไม่ขอรับ”

“ไม่” อย่างน้อยนางก็หวังว่าเขาจะไม่เป็น

“ท่านมั่นใจขนาดนี้ได้อย่างไร”

“เพราะว่าคนผู้นี้ยังนับได้ว่าไม่เลวนัก เงินที่หามาล้วนเป็นเงินสุจริต” กล่าวจบนางก็หันไปมองข้างนอกเล็กน้อย เห็นว่าคนมากันพร้อมเกือบหมดแล้วจึงวางจอกสุราในมือลง เลิกคิ้วงามขึ้น “ไปกันเถิดเสี่ยวโจว พวกเราเองก็ควรปรากฏตัวได้แล้ว ไปเชิญผู้อื่นมาก็ไม่ควรให้ผู้อื่นต้องรอนานเกินไป”

หอสี่สมุทรในตัวเมืองหยางโจวนับได้ว่ามีชื่อเสียงโด่งดัง

เหตุใดจึงมีชื่อเสียง ย่อมเป็นเพราะว่าที่หอสี่สมุทรมีมีดอยู่เล่มหนึ่ง เป็นมีดที่มีชื่อเสียงยิ่ง!

มีดที่มีชื่อเสียงเล่มนี้มิได้เป็นมีดที่จอมยุทธ์นำมาใช้เข่นฆ่ากัน แต่เป็นมีดหั่นผักเล่มหนึ่ง มีดหั่นผักที่มีไว้ทำอาหารเลิศรสในใต้หล้าโดยเฉพาะ!

ใต้หล้านี้จะมีมีดหั่นผักที่ทำอาหารเองได้เยี่ยงไร ฟังดูแล้วไม่น่าขบขันไปหรือ

หากว่าท่านคิดเช่นนี้ เช่นนั้นก็ผิดแล้ว เพราะว่ามีดหั่นผักขึ้นชื่อของหอสี่สมุทรมิใช่มีดหั่นผักธรรมดาทั่วไป แต่เป็นชื่อชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง เขาแซ่ไช่ นามเตา เมื่อเรียกรวมกันก็กลายเป็น…ไช่เตา!

ภายในห้องครัว ในมือไช่เตาถือมีดหั่นผัก ยกมือสับไก่ต้มบนเขียงไม้อย่างคล่องแคล่วฉับๆๆ มีจังหวะเป็นอย่างยิ่ง ไม่เร็วไปนิด ไม่ช้าไปหน่อย แน่นอนว่าชิ้นเนื้อไก่ที่สับออกมานั้นก็มีขนาดกำลังพอดี

ถึงแม้จะบอกว่าชื่อของเขาเวลาเรียกแล้วจะฟังดูน่าขบขันอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้ผู้คนอดนับถือความมองการณ์ไกลในการตั้งชื่อของบิดาเขามิได้ เพราะว่าไช่เตาเก่งกาจในการใช้มีดหั่นผักจริงๆ แน่นอนว่าเขาย่อมทำอาหารเก่งด้วย และยังโชคดีที่รูปลักษณ์ของเขาไม่ได้คล้ายกับใบมีด

ไช่เตาสับไก่ต้มตัวสุดท้ายเสร็จแล้วก็จัดเรียงเนื้อไก่ลงบนจานอย่างคล่องแคล่ว ริมฝีปากอ้าขึ้น ส่งเสียงทุ้มต่ำ

“ยกอาหารได้!”

บรรดาเสี่ยวเอ้อร์ที่รอคอยอย่างนอบน้อมรีบผลัดกันยกถาดอาหารออกไปด้านนอกอย่างระมัดระวังทันที คืนนี้หอสี่สมุทรถูกคนเหมาเอาไว้หมดแล้ว ผู้คนที่มาราวยี่สิบกว่าคนล้วนเป็นคหบดีขั้นหนึ่งขั้นสองของเมือง ไม่อาจรับรองอย่างล่าช้าได้จริงๆ ดังนั้นทุกคนจึงบริการอย่างระมัดระวังยิ่งกว่ายามปกติ เกรงว่าจะไปมีเรื่องกับบรรดาคนใหญ่คนโตเหล่านี้

ออกมาด้านนอกห้องครัวแล้ว บรรดาเสี่ยวเอ้อร์พากันยกถาดอาหารไปวางบนโต๊ะ เห็นเพียงสีหน้าบรรดาผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ล้วนหนักอึ้ง ประดุจมารดาที่บ้านเสียอย่างไรอย่างนั้น ชวนให้ผู้คนไม่กล้าสูดหายใจส่งเดช

ฝีมืออาหารของไช่เตาหอสี่สมุทรสามารถมีราคาถึงสำรับละสองร้อยตำลึง และแน่นอนว่าย่อมมีชื่อเสียงถึงรสชาติอันโอชะ อาหารขึ้นโต๊ะมาจานแล้วจานเล่า ทว่ากลับไม่มีผู้ใดขยับตะเกียบ เพียงรอแต่คนส่งเทียบเชิญปรากฏตัวออกมา รอแล้วรอเล่ากลับไม่ปรากฏผู้ใดทั้งสิ้น เพียงไม่นานชวีพั่งจื่อผู้นั้นก็ยืนขึ้นมาอย่างทนไม่ได้ เอ่ยอย่างไม่พอใจ

“เจ้าเด็กน้อยจั้นชีผู้นั้นอยู่ที่ใดกันแน่ ข้าไม่ได้มีเวลาบ้าบอมาเสียรออยู่ที่นี่ทั้งคืนนะ!”

“ชวีพั่งจื่อ บนเทียบเชิญเขียนไว้ว่าจั้นชิง มิใช่จั้นชี” เถ้าแก่หวังเอ่ยเยาะเย้ยเสียงเย็น สกุลหวังของเขากับสกุลชวีเป็นศัตรูคู่อริกัน ทั้งสองคนไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเข้าตาสักครั้ง

ใบหน้าชวีพั่งจื่อแดงขึ้นมา ส่งเสียงหยาบกระด้าง

“ใครสนว่ามันเป็นชีหรือว่าชิง พวกเราทุกคนมาถึงหอสี่สมุทรตรงตามเวลาในเทียบเชิญ ล้วนรอกันมานานกว่าหนึ่งเค่อ* แล้ว เจ้าเด็กน้อยสกุลจั้นผู้นั้นก็ยังไม่ปรากฏตัว เห็นได้ชัดว่าต้องการกลั่นแกล้งพวกเรา!”

เขากล่าวจบก็ตบโต๊ะอย่างรุนแรงคราหนึ่ง ใครจะคาดว่าเสี่ยวเอ้อร์ผู้หนึ่งกำลังวางอาหารลงบนโต๊ะพอดี ตบโต๊ะลงไปหนึ่งทีขยับไปทีหนึ่งครั้งนี้ เป็นความบังเอิญที่ไม่บังเอิญไปโดนน้ำแกงหูฉลามบนมือของเสี่ยวเอ้อร์เข้าให้ ในชั่วพริบตานั้นน้ำแกงก็สาดกระจายไปทั่ว

“อ๊าก…บ้าเอ๊ย! เจ้าเด็กตาไม่มีแวว!” ชวีพั่งจื่อรีบชักเท้าข้างขวาที่ถูกน้ำแกงกระเซ็นโดนออกมาทันที รองเท้าหุ้มข้อชั้นดีถูกราดด้วยน้ำแกงไปกว่าครึ่ง ทำให้เขาโกรธจนเงื้อมืออวบอูมขึ้น ดูท่ากำลังจะตบลงไปยังใบหน้าของเสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังตกตะลึงผู้นั้นอยู่แล้ว ทว่าในเสี้ยวเวลาสุดท้ายกลับถูกคนขวางเอาไว้ได้ทัน

“เถ้าแก่ชวี” บัณฑิตผู้ติดตามข้างกายฉินเซี่ยวเทียนผู้นั้นไม่รู้ว่ามาอยู่เบื้องหน้าชวีพั่งจื่อตั้งแต่เมื่อไร ทั้งยื่นมือออกมาจับข้อมืออ้วนนิ่มของเขาได้อย่างง่ายดาย และเอ่ยยิ้มแย้มกับเขา “เพลิงโทสะอย่าได้ใหญ่โตนักเลย จะไม่ดีต่อร่างกายยิ่ง”

“เจ้านับเป็นตัวอะไรกัน” ชวีพั่งจื่อโกรธจนใบหน้าแดงจัดลงมาถึงคอหนา คิดอยากดึงมือกลับมาทว่าขยับไม่ได้ บัณฑิตผู้นี้มองดูอ่อนแอ คิดไม่ถึงว่าเรี่ยวแรงจะมีไม่น้อย

“ผู้น้อยเซียวจิ้ง” เขายิ้มบางๆ หลังแนะนำตัวเสร็จก็หันไปเอ่ยกับเสี่ยวเอ้อร์ที่ยังคงตัวสั่นอยู่ด้านข้าง “เจ้าอย่าได้กลัว เถ้าแก่ชวีจิตใจกว้างขวาง ไม่มีทางถือสาหาความเจ้า” เขาหันกลับไปมองเจ้าอ้วนชวีที่ถูกตนเองควบคุมอยู่ด้วยรอยยิ้ม “ตระกูลเถ้าแก่ชวีร่ำรวยมหาศาล แค่รองเท้าหุ้มข้อราคาไม่กี่ตำลึงเงิน ไม่เห็นอยู่ในสายตาหรอก ท่านว่าถูกต้องหรือไม่ เถ้าแก่ชวี?”

ชวีพั่งจื่อได้ยินแล้วอ้าปากอยากสบถด่า แต่คิดได้ทันท่วงทีว่าประโยคนี้ของเขาหากด่าออกไปแล้ว มิใช่เป็นการยอมรับว่าตนเองเป็นคนจิตใจคับแคบ กระทั่งเงินไม่กี่ตำลึงเงินก็ยังถือสากับเด็กยากจนผู้หนึ่ง ความใจกว้างไม่มีสักนิดเดียวหรอกหรือ ปากของเขาอ้าขึ้นกว้างทีเดียว ทว่ากลับค้างไว้อย่างน่ากระอักกระอ่วน คิดเพียงแค่ว่าจะด่าก็ไม่ใช่ จะไม่ด่าก็ไม่ถูก

ชวีพั่งจื่อไม่ได้พูดอะไร เสี่ยวเอ้อร์ที่อยู่ด้านข้างตกใจจนใบหน้าซีดเผือด รีบร้อนคุกเข่าลงเบื้องหน้า จับผ้าบนบ่าช่วยเขาเช็ดรองเท้าหุ้มข้อพร้อมกับเอ่ยขอโทษติดๆ กันไปด้วย

“ขออภัยๆ…”

ชวีพั่งจื่อเห็นดังนั้น อย่างน้อยเสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้ก็เอ่ยขอโทษแล้ว ดวงตาตี่ของเขามองไปรอบด้านคราหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองทิ้งชื่อเสียงฉาวโฉ่ไว้ ถึงได้ปิดปากลงอย่างโกรธขึ้ง

เห็นโทสะของชวีพั่งจื่อลดลงไปมากแล้ว เซียวจิ้งก็คลายมือออกอย่างยิ้มแย้ม เอ่ยยกยอเขา

“เถ้าแก่ชวีไม่เสียทีที่เป็นเถ้าแก่ชวี นับเป็นผู้ที่ใจกว้างดั่งมหาสมุทรจริงๆ”

เถ้าแก่ชวีได้ยินแล้วแค่นเสียงออกมาหนักๆ ทว่าสีหน้าดูดีขึ้นหลายส่วน เขากลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ เป็นการยอมรับคำพูดยกยอปอปั้นนี้

“พูดได้ดี”

“ช่างไร้ยางอายเสียจริง!” เพียงประโยคเดียวไม่ดังไม่เบา ทว่ากลับพูดความในใจของทุกคนออกมาหมดแล้ว

สายตาทุกคนหันขวับไปมองยังที่มาของเสียงทันที เพียงเห็นตำแหน่งประมุขที่แต่เดิมว่างเปล่า ไม่รู้ตั้งแต่ยามใดที่ปรากฏสตรีชุดเขียวผู้หนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างหาญกล้า ที่ด้านหลังนางยังมีบุรุษผู้หนึ่งที่ดูเหมือนองครักษ์ยืนอยู่ด้วย

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?!” ชวีพั่งจื่อโกรธจนตบโต๊ะอีกครั้ง พร้อมกับลุกขึ้นยืนอีกหน

“พูดว่าเจ้าไร้ยางอาย” นางกำลังยิ้มเยาะ ซึ่งเข้ากับการพูดทวนอีกครั้งอย่างยิ่ง

“อวดดี! เจ้าเป็นยายเด็กป่าเถื่อนจากที่ไหนกัน” ดวงตาตี่ของชวีพั่งจื่อถลึงมอง เหมือนแทบจะพ่นไฟออกมาได้ เอ่ยคำรามอย่างข่มขวัญ

“ลงสี่? เช่นนั้นข้าก็ทิ้งห้าได้แล้ว นี่ไม่ใช่ว่ากำลังเล่นไพ่ใบไม้ กันอยู่เสียเมื่อไร!” ดวงตากลมโตของนางแฝงไปด้วยรอยขบขัน โยนมือคราหนึ่งก็ทิ้งถั่วลิสงหนึ่งเม็ดเข้ามาในปากเล็กๆ

“เจ้าๆ เจ้า…” ชวีพั่งจื่อโกรธจนพูดตะกุกตะกัก

สตรีชุดเขียวเห็นดังนั้นยังหยอกเย้าด้วยการเงยหน้าหันไปยิ้มแย้มถามองครักษ์ที่ข้างหลัง

“เสี่ยวโจว ข้าโอหังเกินไปแล้วหรือไม่”

เสี่ยวโจวกลั้นขำ ตอบกลับด้วยใบหน้าจริงจัง

“เรียนคุณหนูใหญ่ แค่เพียงเล็กน้อย นายท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่าจะต้องไว้หน้าผู้อื่นบ้าง ต่อให้บางคนไร้ยางอายจริงๆ พวกเราเองก็ต้องช่วยดูแลยางอายนั้นแทนเขาขอรับ”

“ใช่หรือ” นางกะพริบดวงตากลมโตสีดำสนิทปริบๆ หันกลับไปมองชวีพั่งจื่ออย่างไร้เดียงสา เอ่ยยิ้มแย้มอย่างเสแสร้ง “เป็นเช่นนี้เอง เช่นนั้นข้าขออภัยด้วยแล้วกัน”

“เจ้าๆๆ” ชวีพั่งจื่อได้ยินแล้วยิ่งโกรธจัดจนตัวสั่น ชี้ไปที่ปลายจมูกของนางทว่าพูดอะไรไม่ออกนอกจากคำว่า ‘เจ้า’

“ข้าๆๆ ข้าทำไมกัน” นางเลียนแบบอาการตะกุกตะกักของเขา แล้วก็ยื่นนิ้วชี้ออกไปชี้กลับสั่นๆ ด้วยเช่นกัน เอ่ยอย่างขบขัน “เจ้าๆ เจ้านั่งลงเถอะเจ้า!”

ที่ประหลาดก็คือในยามที่นิ้วชี้ของนางสะกิดลง คาดไม่ถึงว่าชวีพั่งจื่อเองก็หัวเข่างอพับลงอย่างควบคุมไม่ได้ นั่งกลับลงไปแล้วจริงๆ ทั้งยังไม่พูดอะไรอีก เห็นได้ชัดว่าถูกคนสกัดจุดเข้าให้แล้ว

ฝีมือนี้เรียกได้ว่าช่วยเปิดโลกให้กับทุกคนจริงๆ ในชั่วพริบตาก็ได้รู้ว่าตนพบกับยอดฝีมือในยุทธภพเข้าให้แล้ว มีเพียงฉินเซี่ยวเทียนกับเซียวจิ้งที่มองสบตากันคราหนึ่ง สังเกตเห็นว่าผู้ที่ลงมือความจริงไม่ใช่สตรีชุดเขียว หากเป็นบุรุษที่อยู่ด้านหลังนางผู้นั้นต่างหาก

“คราวนี้ก็เงียบสงบขึ้นเยอะแล้ว” นางยิ้มแย้มกวาดสายตามองทุกคน จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนเอ่ยเสียงกังวาน “ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่วันนี้ทุกท่านในเมืองหยางโจวสามารถมาตามนัดได้ ขอเพียงในภายหน้าทุกท่านให้ความร่วมมือได้เฉกเช่นในวันนี้ พวกเรามังกรสมุทรตระกูลจั้นไม่มีทางสร้างความลำบากให้กับทุกท่านเป็นอันขาด หวังว่านอกจากจะสามารถร่วมมือกันได้อย่างราบรื่นแล้ว ยิ่งสามารถร่วมมือกันกำหนดค่าขนส่งได้อย่างเหมาะสม”

ประโยคนี้เพียงกล่าวออกไป บรรดาพ่อค้าคหบดีก็ต่างพากันนิ่งอึ้ง สตรีผู้นี้คือตัวแทนของสกุลจั้น?

นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน พ่อค้าอย่างพวกเขาตอบรับเทียบเชิญมาที่นี่ สกุลจั้นกลับเลือกสตรีผู้หนึ่งมารับมือพวกเขาอย่างไม่ให้เกียรติ? ล้อเล่นอะไรกัน!

เถ้าแก่หลายคนแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ออกมาทันที เถ้าแก่เฉินเป็นคนแรกที่โต้เถียงออกมา

“มังกรสมุทรตระกูลจั้นแม้จะเป็นผู้มีอิทธิพลทางทะเล แต่ส่งสาวน้อยผู้หนึ่งมารับมือกับพวกเรา ใช่เป็นการทำเกินไปหน่อยแล้วหรือไม่ เรียกผู้นำตระกูลจั้นชิงออกมา ไม่อย่างนั้นจะไม่มีการเจรจาอะไรทั้งนั้น!”

พ่อค้าจำนวนไม่น้อยก็สนับสนุนอย่างโกรธาทีละคน เจ้าพูดประโยคหนึ่ง ข้าพูดอีกประโยค

“ใช่ เรียกจั้นชิงออกมา!”

“แสดงความจริงใจหน่อย!”

“ที่นี่คือเมืองหยางโจว ไม่ใช่ถิ่นของสกุลจั้น!”

“พวกเราไม่เจรจาการค้ากับสตรี!”

“เรียกจั้นชิงออกมา!”

ในชั่วพริบตาเดียวภายในห้องโถงก็เต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกไม่เลิกรา สตรีชุดเขียวยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา ยืนฟังคำวิจารณ์คร่ำครึเหล่านี้ของบรรดาพ่อค้า ทางนี้พูดว่าสาวน้อย ทางนั้นพูดว่าไม่เจรจากับสตรี ฟังจนเพลิงโทสะนางยิ่งทียิ่งสูง จนตบโต๊ะอย่างรุนแรงไปคราหนึ่ง

“หุบปากกันให้หมด!”

โต๊ะส่งเสียงดังสนั่นออกมา หากเสียงพูดของนางกลับยิ่งดังกังวานกว่า ในชั่วพริบตาที่เสียงผู้คนพากันเงียบกริบ นางก็หรี่ตาลงพร้อมเอนตัวไปข้างหน้า พูดเน้นทีละคำต่อบรรดาผู้คนที่หยิ่งยโสเหล่านั้น

“ข้าเองคือจั้นชิง!”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ทุกคนพากันจับจ้องไปยังสตรีที่บอกว่าตนเองคือจั้นชิง จากนั้น…เถ้าแก่หวังเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นยืนหมุนตัวจากไป เถ้าแก่เฉินไม่พูดอะไรสักคำก็เดินไปทางประตู กระทั่งคำพูดทักทายยังไม่เอ่ย คนอื่นๆ พากันทยอยติดตามออกไป ชวีพั่งจื่อหากไม่ใช่ว่าโดนสกัดจุดอยู่ จะต้องเป็นคนแรกที่เดินออกจากประตูไปอย่างแน่นอน

ถึงแม้จะคาดการณ์ได้แต่แรกแล้วถึงสถานการณ์เช่นนี้ แต่นางก็ยังโดนท่าทีดูถูกของผู้คนเหล่านี้ทำให้เจ็บอยู่ดี

แม้กระทั่งโอกาสฟังนางพูดพวกเขายังไม่มีให้!

เพียงแค่เพราะว่านางเป็นสตรี…

ในดวงตาของจั้นชิงทอประกายโทสะ แต่นางกดข่มมันลงไปแล้วท้วงเตือนทุกคนเสียงเย็น

“การขนส่งทางเรือแปดสิบจากร้อยส่วนที่เมืองหยางโจวตอนนี้อยู่ในมือข้า ใครไม่คิดอยากทำการค้า สามารถเดินออกประตูใหญ่ของหอสี่สมุทรไปได้เลย”

ครั้นตระหนักได้ถึงความหนักหนาของปัญหา ผู้คนที่คิดอยากจะจากไปเหล่านั้นต่างชะลอฝีเท้าลงอย่างช่วยไม่ได้

โจวอวี้เฉิงที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดพลันเปิดปาก ขมวดคิ้วพูดขึ้นมา

“สาวน้อย พวกเรามาทำการค้า ไม่ได้มาเล่นหรอกนะ”

นางมองไปที่ผู้อาวุโสโจวซึ่งยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ประหลาดใจอยู่บ้างที่เขาไม่จากไป อีกทั้งผู้คนที่จะจากไปเหล่านั้นเมื่อได้ยินเสียงของโจวอวี้เฉิงก็ต่างพากันรู้สึกตัวว่าเขายังอยู่ที่เดิม จากนั้นก็พบว่าฉินเซี่ยวเทียนเองก็ยังไม่จากไป พวกเขาล้วนต่างหยุดชะงักลงด้วยความสงสัยอย่างอดไม่ได้ เพราะว่าสองคนนี้ไม่มีทางทำการค้าที่ขาดทุน

“ข้าเองก็ไม่ได้มาเล่น” จั้นชิงตีสีหน้าเย็นชาตอบกลับ

เซียวจิ้งที่กลับไปนั่งข้างกายฉินเซี่ยวเทียนแล้วพลันยิ้มแย้มเอ่ยแทรกขึ้นมา

“ในเมื่อทุกคนล้วนต่างมาเพื่อทำการค้า เช่นนั้นก็นับได้ว่ามีความคิดเห็นตรงกัน หากว่าเป็นเรื่องมีผลประโยชน์ เชื่อได้ว่าเถ้าแก่ทุกท่านย่อมไม่พลาดโอกาสทำเงินครั้งนี้ สุภาษิตกล่าวไว้ได้ดีว่ามีการค้าทุกคนแบ่งกันทำกำไร เหตุใดเถ้าแก่ทุกท่านจึงไม่ลองฟังคุณหนูจั้นกล่าวให้จบก่อนค่อยตัดสินใจอีกทีเล่า”

ทุกคนได้ยินว่ามีโอกาสทำเงิน หนนี้จึงต่างพากันเลิกคิดที่จะจากไป คนที่เพิ่งลุกขึ้นมาก็กลับลงไปนั่ง ที่ถึงประตูทางออกแล้วก็กลับมานั่งอยู่ที่เดิมกันทั้งหมด

จั้นชิงมองไปที่บัณฑิตผู้นั้นคราหนึ่ง เดิมทีนางเองก็คิดจะพูดจาให้กระจ่าง เป็นคนพวกนั้นที่ไม่คิดจะฟังแต่แรกเอง แต่ในยามนี้สถานการณ์จึงนับได้ว่าสงบลงแล้ว อย่างน้อยก็ยังไม่มีใครก้าวออกจากประตูใหญ่ไป ทั้งเหตุผลยังเป็นเพราะบุรุษผู้นี้อ้าปากเอ่ยอย่างเรียบง่ายเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น เอาใจความสำคัญยัดเข้าไปในหัวของพวกเต่าเหล่านี้

ง่ายดายเพียงแค่นั้นเขาก็สามารถทำในสิ่งที่นางคิดอยากทำให้สำเร็จได้แล้ว ช่างชวนให้น่าโมโหเสียจริงๆ

จั้นชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย กวาดสายตามองเหล่าพ่อค้าคหบดีตรงหน้า นางสูดลมหายใจเข้า รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาใช้อารมณ์จัดการ นางเชื่อว่าขอเพียงนางพูดแผนการนั้นออกมา คนที่มีสมองเสียหน่อยย่อมเห็นด้วย

“เชื่อว่าทุกท่านต่างรู้ดี สองปีมานี้ฤดูหนาวหนาวเหน็บฤดูร้อนแห้งแล้ง ยังมีภัยจากตั๊กแตน ทุกๆ ที่ล้วนเก็บเกี่ยวได้ไม่ดี ราคาข้าวสารถูกพ่อค้าหน้าเลือดบางคนโก่งราคาขึ้น…” นางพูดพร้อมกับเจตนามองไปยังบางคน ปฏิกิริยาของพวกเขาล้วนแค่นเสียงออกมาเบาๆ เห็นได้ชัดว่าไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดของนาง จั้นชิงไม่ได้สนใจ ยังพูดต่อไป “ทุกคนต่างพากันขึ้นราคา ท่ามกลางวัฏจักรเลวร้ายมีแต่จะทำให้ราคาพุ่งสูงจนลงไม่ได้ ครอบครัวธรรมดาทั่วไปไม่อาจซื้อข้าวสารได้ไหว”

“ซื้อไม่ไหวก็ไม่ต้องกินสิ” หนึ่งในพ่อค้ากล่าวด้วยสีหน้าไม่ยี่หระ “หรือว่าจะต้องให้พวกเราเปิดยุ้งแจกข้าวสารอีก พวกเราล้วนกำลังทำการค้า ไม่ใช่กำลังทำตัวเป็นพระโพธิสัตว์เสียหน่อย”

จั้นชิงพยายามกดข่มความรู้สึกรังเกียจอย่างเต็มที่ เอ่ยด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

“ข้าไม่ได้ต้องการให้ทุกท่านทำตัวเป็นพระโพธิสัตว์ ขอให้ฟังข้าพูดให้จบก่อน”

พ่อค้าผู้นั้นแค่นเสียงไม่สบอารมณ์คราหนึ่ง หากพอเห็นนางเอาแต่จ้องเขม็งมาที่ตนเองอย่างเย็นชา จึงได้ผงกศีรษะเป็นเชิงรับปากว่าจะไม่พูดขึ้นมาอีก

จั้นชิงเห็นดังนั้นจึงได้กล่าวต่อ

“ครอบครัวธรรมดาซื้อข้าวสารไม่ไหว มีแต่จะทำให้สินค้าในยุ้งข้าวของทุกท่านขายไม่ออก ข้าวสารใหม่ปล่อยทิ้งไว้หนึ่งปีก็จะกลายเป็นข้าวเก่า ต่อให้เป็นข้าวสารที่ดีแค่ไหนก็จะเกิดมอดขึ้นมา ไม่มีใครสามารถรับรองได้ว่าปีหน้าปีถัดไปจะยังคงเกิดภัยหนาวภัยแล้งติดต่อกัน หากสภาพอากาศดีขึ้น ทางตอนใต้อย่างพวกเราย่อมสามารถเก็บเกี่ยวได้ดี อยากเสี่ยงดูว่าข้าวสารเก่าที่ทุกท่านกักตุนจะสามารถแลกกับข้าวสารใหม่ได้หรือไม่อย่างนั้นหรือ บางทีตอนนี้อาจจะมีคนสามารถขายได้ในราคาหนึ่งพันตำลึงต่อหนึ่งโต่วจริงๆ แต่ถึงเวลานั้นสินค้าของพวกท่านมีแต่จะต้องวางขายในราคาต่ำ ถึงขั้นโยนทิ้งลงแม่น้ำไป”

“ความหมายของเจ้าคือต้องการให้พวกเราลดราคาข้าวสาร?” เถ้าแก่หวังยิ้มเยาะ “ฮ่าๆ เพื่อปีหน้าที่ไม่แน่นอน ละทิ้งเงินทองของปีนี้ พวกเรายิ่งไม่ได้โง่เสียหน่อย”

คนอื่นๆ ก็ต่างพากันหัวเราะความไร้เดียงสาเกินไปของคุณหนูใหญ่สกุลจั้นผู้นี้

จั้นชิงไม่ได้ยี่หระต่อเสียงหัวเราะเยาะของทุกคน เพียงแค่อาศัยเสียงที่กังวานกว่ากลบ เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

“ข้าต้องการให้ทุกท่านลดราคาข้าวสารลงจริงๆ แต่ยังคงสามารถทำกำไรได้เท่าเดิม กระทั่งมากกว่าเดิม!”

ประโยคนี้ดึงดูดความสนใจของฉินเซี่ยวเทียนขึ้นมา เขาที่รักษาความเงียบมาโดยตลอดพลันเปิดปากขึ้น

“วิธีใดกัน ลองพูดออกมาดูหน่อย”

ทันทีที่เขาเปิดปากก็ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยเก็บรอยยิ้มลงไป ลอบเหลือบมองคหบดีอันดับหนึ่งด้วยความสงสัย อย่าบอกนะว่าเขาเชื่อว่าคุณหนูผู้นี้จะมีแผนการทำเงินที่น่าสนใจจริงๆ

ความสนใจจากฉินเซี่ยวเทียนทำให้จั้นชิงได้รับกำลังใจไม่น้อย สองคิ้วเลิกขึ้นขณะเอ่ย

“ในตอนนี้ราคาข้าวสารของพวกเราแพงลิบลับ ครอบครัวธรรมดาไม่อาจซื้อได้แต่แรก หากผู้คนทางตอนเหนือยังคงสามารถซื้อได้อยู่ ข้าเชื่อว่าทุกท่านมีข้าวสารจำนวนไม่น้อยที่ถูกส่งไปขายทางตอนเหนือ แต่ว่าต่อให้สามารถส่งไปขายทางตอนเหนือได้ก็ต้องผ่านการขูดรีดสองถึงสามครั้ง หนึ่งในนั้นมีค่าขนส่งนับเป็นกว่าครึ่งของต้นทุน อีกทั้งจวบจนกระทั่งปัจจุบันไม่มีตระกูลขนส่งทางน้ำตระกูลใดสามารถขนส่งสินค้ารวดเดียวไปถึงเมืองฉางอันและลั่วหยางได้”

นางมองสำรวจทุกคน รู้สึกพึงพอใจที่เห็นว่าคนส่วนใหญ่ล้วนแสดงท่าทีสนใจขึ้นมา กลายเป็นสนใจฟังในสิ่งที่นางพูดมากกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวต่ออย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

“เหตุผลแรก เป็นเพราะว่ากิจการขนส่งทางน้ำที่มีอยู่ในตอนนี้ล้วนไม่ใหญ่พอ ทุกครั้งต่างสามารถขนส่งได้เพียงระยะทางสั้นๆ แล้วก็ต้องส่งต่อให้กับกิจการขนส่งทางน้ำตามท้องที่ถัดไป เหตุผลที่สอง เพราะว่าภัยพิบัติทำให้ผู้คนเร่ร่อนกลายเป็นโจรขโมย ทางบกมีโจรภูเขา ทางน้ำมีโจรสลัด ขนส่งสามครั้งจะต้องมีสักครั้งที่ถูกดักปล้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง”

กล่าวมาถึงตรงนี้ มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกเห็นด้วยพากันผงกศีรษะ แต่เถ้าแก่เฉินยังคงรู้สึกไม่พอใจ เอ่ยถามอย่างสงสัย

“เรื่องนี้มาเกี่ยวข้องกับการลดราคาข้าวสารของพวกเราอย่างไรกัน”

“แน่นอนว่าย่อมเกี่ยวข้อง” จั้นชิงคลี่ยิ้ม เอ่ยอย่างมั่นใจ “ปัญหาเกิดขึ้นที่การขนส่ง ขอเพียงมีตระกูลหนึ่งที่สามารถขนส่งสินค้าได้จนสุดทาง ทั้งยังสามารถรับมือกับโจรขโมยได้ปรากฏตัวขึ้นมา ต้นทุนในการขนส่งย่อมสามารถลดลงได้อย่างน้อยสามส่วนขึ้นไป”

“เจ้าไม่ได้พูดเองว่าในปัจจุบันนี้ยังไม่มีกิจการขนส่งทางน้ำตระกูลใดทำได้หรอกหรือ” เถ้าแก่หวังถามข้อสงสัยออกมา

“ก่อนหน้านี้ไม่มี แต่ตอนนี้มีแล้ว” นัยน์ตาดำขลับของนางทอประกาย สองมือเท้าเอว เต็มไปด้วยบรรยากาศมั่นใจยามเอ่ย “สำนักเดินเรือสี่สมุทรของมังกรสมุทรตระกูลจั้นของพวกเราสามารถทำได้ พวกเรามีเรือสำเภา มีทักษะ คนเรือต่างฝึกซ้อมกันเป็นอย่างดี คุ้นเคยกับสายน้ำ ขอเพียงแค่อยู่บนน้ำ ไม่มีทางมีใครสามารถเทียบเคียงได้ ยิ่งกว่านั้น หากขนส่งทางแม่น้ำไม่สำเร็จ การขนส่งทางทะเลสกุลจั้นยิ่งคุ้นมือเป็นอย่างดี”

“เจ้าคิดค่าขนส่งอย่างไร” ทว่าโจวอวี้เฉิงยิ่งมิโง่งม ไม่มีทางหลงคิดว่าคุณหนูใหญ่สกุลจั้นผู้นี้เสนอความช่วยเหลือด้านการขนส่งสินค้าด้วยความปรารถนาดี

“ข้ามีเพียงเงื่อนไขเดียว หวังว่าทุกท่านจะสามารถลดราคาข้าวสารลงได้ สกุลจั้นจะลดต้นทุนการขนส่งของพวกท่านลง พวกท่านก็จะสามารถขายออกไปได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็สามารถทำกำไรได้มากขึ้น และในส่วนต่างราคาที่ลดลงมานี้ นอกจากค่าขนส่งที่สกุลจั้นของพวกเราสมควรได้รับแล้ว ส่วนต่างราคาส่วนที่เหลือย่อมกลับไปอยู่ที่ราคาขาย!”

“เรื่องนี้มีประโยชน์ต่อเจ้าอย่างไร” ฉินเซี่ยวเทียนเลิกคิ้วถาม

รอยยิ้มของจั้นชิงยิ่งเบิกบานมากขึ้นกว่าเดิม

“ไม่เพียงแต่สกุลจั้นของเราจะได้ประโยชน์ นี่เป็นเรื่องที่มีผู้ได้รับผลประโยชน์สามฝ่าย ฝ่ายแรก สกุลจั้นเปิดเส้นทางเดินเรือเส้นทางนี้ เพิ่มรายรับที่แน่นอนสายหนึ่ง ฝ่ายที่สอง เป็นเพราะการเข้ามามีส่วนร่วมของพวกเรา ทำให้พ่อค้าชาวหยางโจวเพิ่มโอกาสทางการค้าที่มากขึ้น ทั้งยังสามารถลดความสูญเสียลงได้จนเหลือศูนย์ ฝ่ายที่สาม เป็นเพราะว่าราคาข้าวสารลดลง ราษฎรเองก็สามารถซื้อข้าวสารได้” นางหยุดไปชั่วครู่ หลังสูดลมหายใจเข้าแล้วจึงกล่าวต่อ “หากราษฎรสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข ย่อมไม่มีใครคิดอยากไปเป็นโจรขโมย ขอเพียงแค่ทุกคนสามารถประกอบการค้าได้อย่างสงบสุข ชีวิตความเป็นอยู่ย่อมดีขึ้นตามมา เมื่อชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นเรื่อยๆ โอกาสในการทำการค้าของทุกท่านก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น โอกาสในการทำการค้าของทุกท่านเพิ่ม กิจการขนส่งของเราก็จะยิ่งดีขึ้น นี่เป็นเรื่องวัฏจักรของการช่วยเหลือกัน แล้วเหตุใดจึงจะไม่ทำเล่า หากยังคงทำตามรูปแบบเดิมแก่งแย่งกันขึ้นราคา ไม่ต้องพูดไปถึงปีหน้า ปีนี้จะสามารถทำกำไรได้เท่าไรยังนับเป็นปัญหา ข้าวสารที่เกินมาเหล่านั้นในตอนท้ายที่สุดก็มีแต่จะเน่าเสียไปเท่านั้น หวังว่าทุกท่านจะสามารถคิดให้ดีได้”

คำพูดเหล่านี้พูดออกมาแล้วกลับสามารถทำให้เถ้าแก่ที่นั่งอยู่ที่นี่หลายคนขยี้ตามองคุณหนูใหญ่สกุลจั้นผู้นี้เสียใหม่ แผนการที่นางเอ่ยออกมาถือได้ว่าปฏิบัติได้จริง ยิ่งกว่าไม่ต้องขาดทุนยังสามารถสร้างชื่อเสียงดีงามได้ นับได้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะสามารถทำได้จริงๆ

ทุกคนต่างพากันไตร่ตรองอย่างเงียบขรึม ทั้งมีบางคนที่ลอบคำนวณถึงผลได้ผลเสีย กระซิบกระซาบปรึกษากัน ยังมีคนที่ตีสีหน้ายากจะคาดเดา ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

“เถ้าแก่ทุกท่านมีความเห็นกันว่าอย่างไร” นางเลิกคิ้วถาม สีหน้าหนักแน่น หากที่ฝ่ามือกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ

หลังสิ้นคำถาม สิ่งที่เกิดขึ้นคือความเงียบขนานใหญ่ ผ่านไปสักพักฉินเซี่ยวเทียนพลันลุกขึ้นยืน ทุกคนล้วนหลงคิดไปว่าเขาจะหมุนตัวเดินจากไป ในใจจั้นชิงตระหนก รู้ว่าหากคนผู้นี้เดินจากไป คนมากกว่าครึ่งก็ย่อมจากไปด้วย

อีกทั้งเขาก็เป็นหนึ่งในคนที่มีโอกาสจะไม่เห็นด้วยมากที่สุด เพราะว่าเขาเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่มีกองเรือสำเภาเป็นของตนเองและยังฝึกฝนเป็นอย่างดี ถึงแม้จะสู้สกุลจั้นมิได้ แต่ก็ยังคงเพียงพอจะใช้ขนส่งสินค้า ความจริงแล้วเขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าร่วมการค้านี้ เขามีกองเรือสำเภา ดังนั้นสำหรับเขาแล้วเรื่องนี้ไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรมาก

จั้นชิงมองฉินเซี่ยวเทียนอย่างตึงเครียด ที่นางกำลังพนันคือสำนึกด้านดีของเขา

เขามองสบตานางก่อนเปิดปากเอ่ย

“ข้าเอาด้วย”

คำสามคำทำให้จั้นชิงคลี่ยิ้มกว้าง แต่นางเองก็ไม่ได้ดีใจจนโง่งมด้วยเหตุนี้ เพียงแค่ผงกศีรษะเล็กน้อย

“ตัดสินใจได้ชาญฉลาดยิ่ง”

หลังการเข้าร่วมของฉินเซี่ยวเทียน พ่อค้าคนอื่นๆ ก็ต่างทยอยกันตามมา รวมถึงชวีพั่งจื่อที่ถูกคลายจุดแล้วก็ไม่ต่าง ถึงแม้เขาจะไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง แต่ไม่มีทางหน่ายหน้าหนีเงินทองอย่างแน่นอน

ในคืนนั้นภายในหอสี่สมุทรได้เกิดการเจรจาการค้าที่มีค่ามากที่สุดของปีขึ้น ชื่อเสียงมังกรสมุทรตระกูลจั้นยิ่งเล่าลือขจรขจายจากมหาสมุทรเข้ามาในตัวเมือง ผ่านการขนส่งทางแม่น้ำ!

ที่บังเอิญก็คือในค่ำคืนเดียวกันนั้น เมืองหยางโจวที่แห้งแล้งขาดฝนมานานพลันเกิดฝนตกติดต่อกันหลายวัน สร้างความชุ่มชื้นให้กับผืนดินอันแตกระแหง

เรื่องนี้ถูกคนเล่าลือไปทั่วจนกลายเป็นเรื่องอภินิหาร นับแต่นั้นคุณหนูใหญ่จั้นชิงผู้ฉลาดหลักแหลมแห่งสกุลจั้นจึงได้ถูกชาวหยางโจวเรียกขานด้วยความเคารพว่า…ธิดามังกรสมุทร

บทที่สอง

“เจ้าคิดว่าการค้าหนนี้เป็นอย่างไร”

ระหว่างที่เดินอยู่บนสะพานเล็กข้ามแม่น้ำในสวนอันวิจิตรงดงามของคฤหาสน์สกุลฉิน จันทราเต็มดวงบนฟากฟ้าสะท้อนกับสายน้ำเกิดเป็นเงาของจันทราอีกดวง ฉินเซี่ยวเทียนก็เปิดปากเอ่ยถามกะทันหัน

เซียวจิ้งเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้หินอ่อนในศาลารับลม บนโต๊ะมีกับแกล้มและสุราเตรียมเอาไว้เรียบร้อยนานแล้ว เขารินสุราให้ตนเองกับสหายสนิทคนละจอกแล้วยิ้มบางๆ

“อาศัยจั้นชิงที่เป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง กลับสามารถกลายมาเป็นประมุขของมังกรสมุทรตระกูลจั้น ทำให้ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งยอมฟังคำสั่งของนางได้ แสดงว่าจะต้องมีความสามารถโดดเด่นกว่าคนทั่วไปอย่างแน่นอน คุณหนูใหญ่สกุลจั้นผู้นี้มิอาจดูแคลนได้ เป็นคู่ค้าที่สามารถทำงานร่วมด้วยได้ การตัดสินใจของเจ้าไม่ผิด”

“แต่?” รู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องยังมีประโยคต่อไปตามมาอีกแน่ๆ ฉินเซี่ยวเทียนจึงเลิกคิ้วรอฟัง

“ขอบเขตการเคลื่อนไหวของมังกรสมุทรตระกูลจั้นที่ผ่านมาล้วนอยู่แค่ในทะเล ถึงอย่างไรระหว่างทะเลกับแม่น้ำก็มีข้อแตกต่างกันอยู่ เมื่ออยู่ในแม่น้ำพวกเขาจะสามารถปราศจากปัญหาเฉกเช่นในทะเลได้หรือไม่ก็นับเป็นปัญหาหนึ่ง ปัญหาที่สองก็คือแต่ไหนแต่ไรมาคนนอกไม่ค่อยรู้ข้อมูลเกี่ยวกับมังกรสมุทรตระกูลจั้นนัก ส่วนมากมักรู้แค่ว่าพวกเขาคือโจรสลัดที่ภายหลังกลายมาเป็นพ่อค้า บรรพบุรุษเมื่อสมัยราชวงศ์ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ทางการเกลี้ยกล่อมให้กลับตัวกลายเป็นพ่อค้าสุจริต ทั้งยังฉลาดหนีไปอยู่บนเกาะกลางทะเลในยามที่เกิดสงครามกลางเมือง จากนั้นอาศัยการเดินเรือที่ไปมาอย่างอิสระบนทะเล แล่นสำเภาค้าขายกับแคว้นต่างๆ ทำกำไรมาได้ไม่น้อย นอกเหนือจากนั้นแล้ว เกาะกลางทะเลที่ตั้งหลักของมังกรสมุทรตระกูลจั้นอยู่ที่ใด กองเรือสำเภาของพวกเขารวมแล้วมีทั้งหมดกี่ลำ คนเรือดีหรือไม่ มีคุณธรรมจริงหรือไม่ เคยลักลอบปล้นสะดมเรือสำเภาลำอื่นมาก่อนหรือไม่ เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่มีผู้ใดรับรู้”

เซียวจิ้งหยุดลงชั่วขณะ ดื่มสุราลงไปอึกหนึ่ง จากนั้นก็มองไปที่สหายสนิทแล้วเอ่ยสรุป

“ด้วยเหตุนี้การร่วมมือกับพวกเขาจึงมีความเสี่ยงที่แน่นอนอยู่ด้วย” เขายิ้ม “จะดีที่สุดหากสามารถรู้การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้ตลอดเวลา ป้องกันไว้เผื่อสกุลจั้นเกิดวางแผนร้ายอะไร คนที่ถูกปล้นยังหลงดีใจส่งสินค้าขึ้นเรือไปให้เขาด้วยตนเอง”

“ความหมายของเจ้าคือต้องการให้ข้าส่งเรือลำหนึ่งไปติดตาม?”

“หากสามารถทำเช่นนั้นได้ย่อมดี แต่ว่าถ้าสามารถสืบค้นข้อมูลของอีกฝ่ายอย่างละเอียดมาได้ตั้งแต่ก่อนเรือจะออกเดินทาง เช่นนั้นก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นไปอีก”

ฉินเซี่ยวเทียนดื่มสุราดับกระหายไปอึกหนึ่งแล้วเหลือบมองสหายสนิทหนึ่งหน ก่อนเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มอย่างหาได้ยาก

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าคิดว่าส่งใครไปจะเป็นการดีที่สุด”

เซียวจิ้งตอบกลับโดยสัญชาตญาณ

“แน่นอนว่าต้องหาคนที่ว่างที่สุด…” เขาเพิ่งพูดไปได้เพียงครึ่งเดียว รอยยิ้มบนใบหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นรอยขมขื่น ในคฤหาสน์สกุลฉินแห่งนี้ คนที่ว่างที่สุดย่อมเป็นเขาแขกที่มากินข้าวโดยเสียเปล่ามากว่าหนึ่งเดือนแล้ว

ฉินเซี่ยวเทียนตบบ่าเซียวจิ้ง เอ่ยกลั้วหัวเราะ

“เช่นนั้นก็ขอฝากเจ้าด้วยแล้ว เพื่อนยาก”

เซียวจิ้งยิ้มแห้งตอบกลับ

“ไม่ต้องเกรงใจ เป็นเรื่องที่ข้าสมควรกระทำอยู่แล้ว”

เหอะๆ ช่างหาเรื่องใส่ตัวโดยแท้ เขายิ้มขื่นส่ายศีรษะ ช่างเถิด มาเที่ยวเล่นที่เจียงหนานหนึ่งเดือน ก็สมควรจะออกกำลังยืดเส้นยืดสายเสียบ้างได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปสืบหาความจริงที่มังกรสมุทรตระกูลจั้นก็แล้วกัน

“รู้เขารู้เรา…” ฉินเซี่ยวเทียนยกจอกสุราขึ้น

“รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง!” เซียวจิ้งยกจอกสุราขึ้นมาคำนับกับฉินเซี่ยวเทียนอย่างปลงตก

ฉินเซี่ยวเทียนเห็นรอยยิ้มขมขื่นบนใบหน้าสหายสนิทก็อดเลิกคิ้วเอ่ยถามอย่างขบขันไม่ได้

“เจ้าไม่ได้คิดอยากจะเจอนางอีกครั้งหรือไร”

เซียวจิ้งตกใจ ชะงักไปชั่วขณะแล้วถึงได้ถามกลับ

“ใคร”

“คุณหนูใหญ่สกุลจั้น จั้นชิง”

เซียวจิ้งนิ่งอึ้ง เขาแสดงออกอย่างชัดเจนขนาดนั้นเชียวหรือ เขายังหลงคิดว่าไม่มีใครทันสังเกตเสียอีก

ฉินเซี่ยวเทียนไม่ได้รอคำตอบของเขา แต่กลับจี้ถามต่อ

“เจ้าคิดว่าคุณหนูใหญ่สกุลจั้นผู้นี้เป็นอย่างไร”

ในใจเซียวจิ้งรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง บนใบหน้ากลับไม่แสดงความผิดปกติ เพียงตอบอย่างเรียบง่าย

“ก็ไม่เลว”

“ไม่เลว?” ฉินเซี่ยวเทียนสนใจในคำวิจารณ์ของอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง “แค่รู้สึกว่าไม่เลวเท่านั้น?”

เซียวจิ้งเห็นสหายสนิทดูเหมือนจะไม่พอใจในคำตอบนี้ มุมปากจึงยกยิ้มบางๆ แล้วเติมไปอีกประโยค

“เก่งกล้าโดดเด่น”

“เจ้าคิดว่านางยังไม่งดงามมากพอ?” ในดวงตาของฉินเซี่ยวเทียนทอประกายขบขัน เอ่ยหยอกเย้าถามกลับ สหายของเขาผู้นี้ก็ช่างยิ่งพยายามปกปิดยิ่งเห็นได้ชัดเสียจริง เห็นๆ กันอยู่ว่าไม่ละสายตาไปจากผู้อื่นตลอดทั้งคืน ผลสรุปสุดท้ายกลับกลายเป็นคำว่า ‘ไม่เลว’ และ ‘เก่งกาจโดดเด่น’ อีกหนึ่งคำ? มีแต่ผีเท่านั้นแหละถึงจะเชื่อว่าเซียวจิ้งไม่ได้สนใจในตัวคุณหนูใหญ่สกุลจั้น!

“ไม่ใช่ นางแค่ฉลาดเฉลียวเกินไปแล้ว”

ฉินเซี่ยวเทียนไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแค่มองสหายด้วยรอยยิ้มขบขัน

ภายใต้สายตาสนใจอย่างเต็มเปี่ยมจากสหายสนิท เซียวจิ้งอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาอีก

“แล้วก็วาจาฉะฉานเกินไปหน่อย ไม่ค่อยอ่อนโยนเท่าไรนัก ไม่มีลักษณะแบบคุณหนูในห้องหอ…”

“แต่กลับมีกลิ่นอายเทียบเท่าบุรุษ” ฉินเซี่ยวเทียนช่วยต่อประโยคของอีกฝ่ายให้จบ เอ่ยอย่างมีความนัยลึกซึ้ง “หากเจ้าก็ยังคงรู้สึกแค่นางถือได้ว่า ‘ไม่เลว’?”

ดูท่าแล้ว หากเขาไม่พูดให้กระจ่าง ฉินเซี่ยวเทียนคงไม่ยอมเลิกราแน่

เซียวจิ้งยิ้ม “ก็ได้ ข้าสนใจนางมากไม่ผิด แต่ว่าไม่ใช่แบบที่เจ้าคิดแบบนั้น”

“หมายความว่าอย่างไร” ฉินเซี่ยวเทียนเลิกคิ้วอย่างสงสัย

“เป็นต่างหูที่หูของนาง” เขายกมือชี้ไปที่ติ่งหูของตนเอง “ที่หูข้างขวาของนางสวมต่างหูวงเล็กที่รูปร่างเป็นเอกลักษณ์ มีสีน้ำเงินปนขาว ลักษณะคล้ายเกลียวคลื่น ข้าแค่คิดอยากยืนยันว่านั่นใช่รูปแบบเดียวกับที่ข้าเคยเห็นมาก่อนหรือไม่”

“ก็แค่ต่างหูวงเดียว เหตุใดจึงทำให้เจ้าติดใจได้เช่นนี้” ฉินเซี่ยวเทียนเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

“คนที่สวมต่างหูรูปแบบเดียวกันนี้เมื่อหลายปีก่อนเคยช่วยชีวิตพี่ใหญ่ของข้าเอาไว้” เซียวจิ้งอธิบาย “ตอนนั้นข้ากลับไปไม่ทัน หากไม่ใช่คนผู้นั้นยื่นมือมาช่วยเหลือ เกรงว่าพี่ใหญ่คงตายไปแล้ว แต่หลังเขาช่วยชีวิตคนแล้วก็จากไปทันที ไม่ได้ทิ้งชื่อแซ่เอาไว้ พี่ใหญ่คิดอยากหาตัวเขามาขอบคุณต่อหน้ามาโดยตลอด เป็นเพราะรูปแบบต่างหูวงนั้นมีเอกลักษณ์เป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงจำได้ไม่ลืม เพราะอย่างนั้นในตอนที่ข้าเห็นว่าที่หูข้างขวาของคุณหนูจั้นเองก็สวมเอาไว้ ถึงได้ตั้งใจให้ความสนใจเป็นพิเศษ”

“เรื่องตั้งแต่เมื่อไรกัน ก่อนที่เจ้าจะไปซีอวี้?” ฉินเซี่ยวเทียนถาม

เซียวจิ้งผงกศีรษะ

“ผ่านมาห้าปีแล้ว เจ้ายังไม่คิดกลับไปยังคฤหาสน์สกุลเซียวอีกหรือ”

เซียวจิ้งมองจอกสุราในมือ เหยียดมุมปากแล้วเอ่ยตอบ

“กลับไปก็มีแต่จะหาเรื่องน่ารำคาญใส่ตัว ตั้งแต่แรกที่ตัดสินใจออกมาก็ไม่ได้วางแผนจะกลับไปอีก”

“เจ้าควรจะรู้ว่าเขาไม่ถือสา” ฉินเซี่ยวเทียนขมวดคิ้วเอ่ยเกลี้ยกล่อม

“แต่ว่าข้าถือ” ในดวงตาของเขาทอประกายซับซ้อน เอ่ยยืนยันซ้ำอีกครั้งอย่างหนักแน่น “ข้าถือ”

กับความยืนกรานของสหายสนิท ฉินเซี่ยวเทียนทำได้เพียงนิ่งเงียบ

สายลมกลางคืนพัดผ่านไป โบกสะบัดชายเสื้อของคนทั้งสอง ทันใดนั้นเซียวจิ้งก็พลันยิ้มขึ้นมาบางๆ ทำลายบรรยากาศหนักอึ้งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

“เลิกพูดเรื่องพวกนี้ได้แล้ว ดื่มสุราเถิด ถ้าไม่ดื่มก็เย็นหมดแล้ว” เขายกกาสุราขึ้น รินสุราลงไปในจอกของทั้งสอง

“มีเวลา…ก็กลับไปดูเสียบ้าง” ฉินเซี่ยวเทียนอดเกลี้ยกล่อมขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้

เซียวจิ้งยิ้มบางๆ ตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ

“ไว้ว่ากันทีหลังเถิด”

ฉินเซี่ยวเทียนได้ยินแล้วก็ไม่บีบบังคับสหายอีกต่อไป เพียงแค่รู้สึกไร้กำลังต่อสถานการณ์ของพี่น้องสกุลเซียวคู่นี้อยู่บ้าง ตระกูลอื่นเป็นเพราะแย่งชิงทรัพย์สมบัติกันถึงได้กลายมาเป็นศัตรู สองคนสกุลเซียวนี้กลับเป็นเพราะความที่รักเอ็นดูน้องชายเกินไป ทำให้เซียวเหวยยกน้องชายขึ้นเป็นผู้นำตระกูล และด้วยเหตุนี้เซียวจิ้งถึงได้หนีออกจากบ้านมา

ฉินเซี่ยวเทียนยกจอกลิ้มรสสุรา มองไปยังสหายสนิท ตั้งแต่เมื่อก่อนเขาก็คิดมาโดยตลอดว่าหากเซียวเหวยเห็นแก่ตัวกว่านี้ หรือเซียวจิ้งไม่ได้ฉลาดเฉลียวถึงเพียงนี้ บางทีสองพี่น้องคู่นี้ก็คงไม่มีวันมาถึงจุดนี้แล้ว

ยามอิ๋น เส้นขอบฟ้าทอแสงเรืองรอง

เรือสำเภาบนแม่น้ำเพียงลอยอยู่เหนือผืนน้ำ จั้นชิงยืนเท้าเปล่าอยู่บนดาดฟ้าหัวเรือ สัมผัสถึงความแข็งแรงของไม้ใต้ฝ่าเท้า นางเงยหน้ารับสายลมเย็นสบาย หลับตาสูดลมหายใจเข้าลึก ได้กลิ่นลม กลิ่นเรือ กลิ่นของน้ำ

เฮ้อ ถึงอย่างไรบนเรือก็ดีกว่าจริงๆ…

นางเพิ่งจะกำลังรู้สึกตื้นตันใจ ที่ด้านหลังก็ได้ยินเสียงหัวเราะของฉีซื่อเจินลอยมา

“ยายหนู กำลังฝันกลางวันอยู่อีกแล้วรึ!”

“อารอง” จั้นชิงหันกลับไปมองอย่างประหลาดใจ “ท่านยังไม่นอนอีกหรือ”

“นอนแล้ว ตื่นแล้ว” เขาส่ายศีรษะเอ่ย “คนแก่ก็แบบนี้ นอนไปได้พักเดียวก็ตื่นขึ้นมาเสมอ”

“อารอง เลิกพูดล้อเล่นได้แล้ว ท่านยังหนุ่มอยู่เลยน่า” นางเดินยิ้มแย้มเข้าไปหา

“ยายหนู ทำเป็นปากหวาน” ฉีซื่อเจินหัวเราะขึ้นมา พร้อมมองประเมินคุณหนูใหญ่สกุลจั้นที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็กจนโตตรงหน้าแล้วก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ดูเจ้าสิ ราวกับว่าเมื่อวานยังเป็นเงือกน้อยที่ชอบเล่นน้ำผู้นั้นอยู่เลย มาวันนี้แค่ไม่ทันสังเกตไปชั่วครู่ก็กลายเป็นคุณหนูที่สง่างามเสียแล้ว หากว่าพ่อเจ้ายังอยู่ จะต้อง…”

“จะต้องอย่างไร ภาคภูมิใจในตัวข้าหรือ” นางทำสีหน้าพิลึกพิลั่นเป็นการล้อเล่น เอ่ยกึ่งจริงกึ่งเท็จ “ท่านพ่อมีแต่คิดอยากจะรีบแต่งข้าออกไปเท่านั้น”

“เจ้าก็ควรจะแต่งงานออกไปนานแล้ว”

“ไม่เอาน่า อารองท่านเองก็ถูกคนบนฝั่งเหล่านั้นเล่นงานมาแล้วหรือ” นางจงใจทำสีหน้าตื่นตกใจเกินจริง แล้วขมวดคิ้วเอ่ยอย่างจริงจัง “ดูท่าข้าจะต้องพิจารณาแล้วว่าควรจะให้แผนการนี้ดำเนินต่อไปหรือไม่…”

“ก็ได้ๆ ข้าไม่พูดแล้วตกลงหรือไม่ อารองแค่อยากจะพูดขึ้นมาบ้าง ไม่ได้กดดันเจ้าแต่งงานเสียหน่อย ยายหนูเจ้านี่ก็จริงๆ เลย…” ฉีซื่อเจินทั้งโกรธทั้งขบขัน แล้วส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา “แต่ว่านะยายหนู เจ้าอายุยี่สิบปีแล้ว จะบอกว่าที่ผ่านมาไม่มีใครทำให้เจ้าใจเต้นได้เลยหรือ”

“อารองหมายถึงใครกัน ลองยกตัวอย่างขึ้นมาดูหน่อย” นางเอ่ยกลั้วหัวเราะตอบกลับ

“คุณชายใหญ่สกุลเฉินแห่งก่วงฝู่เล่า เขามีสมองทำการค้าที่ดียิ่ง”

“คุณชายสกุลเฉิน?” จั้นชิงเลิกคิ้วขวาขึ้น “ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเป็นเหมือนอะไรในสายตาเขา”

“อะไร”

นางแค่นเสียงออกมาคราหนึ่ง

“เรือสำเภาล้ำค่าทำจากทองคำบริสุทธิ์ เปล่งประกายสีทองระยิบระยับลำหนึ่ง ในสายตาคนผู้นั้นมีแต่เงินเท่านั้น”

“เช่นนั้นเถ้าแก่หวังแห่งเฉวียนโจวเล่า คราวก่อนที่พวกเราจอดพักที่นั่น เขาไม่ได้ให้คนส่งปิ่นปักผมหยกเขียวราคามิสามัญอันหนึ่งมาให้หรอกหรือ”

“เถ้าแก่หวังต้องการจะรวบกิจการกองเรือสกุลจั้น เพื่อให้อิทธิพลของเขาแผ่มาถึงการขนส่งทางทะเล”

“เรื่องนี้…” ฉีซื่อเจินใบ้กิน ทันใดนั้นก็คิดถึงอีกตัวเลือกหนึ่งขึ้นมาได้ “เช่นนั้นเถ้าแก่เจียงแห่งโยวโจวเล่า เขามีทั้งเงินทั้งอำนาจ แล้วก็ยังมีสมอง คราวนี้ไม่เหลืออะไรให้ตำหนิแล้วใช่หรือไม่”

จั้นชิงยิ้มเอ่ย “อารอง คนผู้นั้นเย่อหยิ่งยโส คุณหนูใหญ่สกุลจั้นอย่างข้าไม่เข้าตาเขาหรอกนะ”

“พูดเช่นนี้ได้อย่างไร ยายหนูเจ้าเองก็ไม่ได้แย่เสียหน่อย ดูสิ ใบหน้ารูปไข่เป็นรูปไข่ ทรวดทรงเป็นทรวดทรง ทั้งยังฉลาดเฉลียว วาจาฉะฉาน เป็นเจ้าเด็กนั่นที่ตาไร้แววเอง” ฉีซื่อเจินขมวดคิ้ว กลับกลายมาต่อว่าคนที่เขาเสนอขึ้นมาเอง

“ใช่ๆๆ แล้วข้าก็ดันเป็นคนที่ไม่มีลักษณะแบบคุณหนูเช่นนั้น สิบกว่าปีนี้ล้วนอาศัยอยู่กับชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่บนเรือสำเภา ทั้งยังเรียนวิธีการปีนขึ้นลงเชือกแบบบุรุษ คนธรรมดาทั่วไปไม่กล้าต้องการยายหนูสุดที่รักของท่านหรอกนะ” นางเอ่ยคล้ายล้อเล่น แต่ในใจกลับรู้สึกผิดหวังไม่น้อย ช่างเถอะ ทางเส้นนี้เดิมทีก็เป็นนางที่เลือกเอง มีได้ก็ย่อมมีเสีย นางคิดได้มานานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นบรรดาบุรุษโง่งมทั้งเห็นตัวเองเป็นใหญ่เหล่านั้นก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของนางเหมือนกัน

“ถ้าเป็นครอบครัวธรรมดาทั่วไป ข้าเองก็ตัดใจให้เจ้าแต่งออกไม่ลงเหมือนกัน” ฉีซื่อเจินเอ่ยไปก็พลันนึกถึงอีกตัวเลือกหนึ่งขึ้นมาได้ ทุบหมัดลงบนมือแล้วเอ่ยต่อ “ใช่แล้ว ที่เมืองหยางโจวแห่งนี้ยังมีฉินเซี่ยวเทียนอยู่อีกคนนี่! เมื่อวานเจ้าไม่ใช่เจอเขามาแล้วหรือ รู้สึกว่าคนผู้นี้เป็นอย่างไรบ้าง”

ฉินเซี่ยวเทียน? จั้นชิงได้ยินแล้ว ที่ปรากฏขึ้นมาในหัวกลับไม่ใช่ใบหน้าเคร่งขรึมจริงจังของฉินเซี่ยวเทียน หากเป็นบัณฑิตข้างกายฉินเซี่ยวเทียนที่นุ่มนวลสง่างามทั้งชอบยิ้มผู้นั้น เมื่อคืนในตอนที่เขาช่วยเสี่ยวเอ้อร์ของร้านเคยบอกว่าตนเองชื่อเซียวจิ้ง ไม่รู้ว่าเขามีความสัมพันธ์เช่นไรกับสกุลฉิน

“ยายหนู?”

จั้นชิงได้สติกลับมาโดยพลัน ยามมองใบหน้าที่ปรากฏริ้วรอยของฉีซื่อเจินแล้วจึงเพิ่งคิดถึงหัวข้อที่พวกนางกำลังสนทนากันอยู่ขึ้นมาได้ รีบยิ้มเอ่ยตอบ

“อารอง ฉินเซี่ยวเทียนแต่งภรรยาไปนานแล้ว”

“เอ๋? ใช่หรือ” ฉีซื่อเจินพึมพำเสียงทุ้มต่ำออกมาอีกคำ “น่าเสียดายนัก” เมื่อครู่เห็นยายหนูเหม่อไปตั้งนาน เขายังหลงคิดว่ามีหวังแล้ว

“อารอง ท่านอย่าได้เอ่ยชื่อขึ้นมาอีกเลย” จั้นชิงเดินไปที่ริมขอบเรือแล้วเอามือจับกราบเรือ มองไปยังเรือสำเภาบนแม่น้ำที่อยู่ในหมอกเบาบาง เอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “บุรุษที่จะมาเข้าใกล้ข้าได้ มีผู้ใดบ้างที่ไม่ได้ต้องการฮุบอำนาจทางน้ำของสกุลจั้น? ทั้งยังมีผู้ใดบ้างที่ไม่คิดอาศัยโอกาสแต่งคุณหนูใหญ่สกุลจั้นเพื่อประสบความสำเร็จ? เพียงแค่พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนไม่คาดคิดมาก่อนว่าตำแหน่งผู้นำตระกูลคนปัจจุบันในตอนนี้มิใช่บุรุษ หากเป็นคุณหนูใหญ่สกุลจั้นที่พวกเขาคิดอยากแต่งงานด้วย! ที่พวกเขายิ่งคิดไม่ถึงก็คือข้าไม่เพียงมิใช่คุณหนูสูงศักดิ์ที่สามารถอยู่แต่ในบ้านคอยเย็บปักถักร้อย เชื่อฟังว่าง่าย หากยังมีแต่ความสามารถในการนำพากองเรือของพวกเราทำการค้าไปทั่วสี่คาบมหาสมุทร”

นางหันกลับมามองฉีซื่อเจินแล้วยิ้มเย้ยหยันคราหนึ่ง “กับบรรดาบุรุษที่หลงคิดว่าแค่พูดคำหวานเล็กน้อยก็สามารถทำให้ข้าคลานอยู่ใต้ฝ่าเท้าได้อย่างง่ายดายเหล่านั้น จะทำให้ข้าใจเต้นได้อย่างไร บนร่างของคนพวกนั้น ข้าเห็นเพียงแต่ความหลงตนเอง ละโมบ และโง่เง่า”

“แย่ขนาดนั้นเชียว?” ฉีซื่อเจินขมวดคิ้วทั้งยังทอดถอนใจในใจ หรือว่าที่ข้าช่วยยายหนูนี่ตั้งแต่ทีแรกจะทำผิดเสียแล้ว?

หากว่านางไม่เคยขึ้นเรือมาตั้งแต่แรก ไม่ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นอำนาจผู้นำตระกูลในยามนี้ย่อมเป็นของเจ้าหนูจั้นปู้ฉวินอย่างแน่นอน ภาระบนบ่าของนางก็จะไม่หนักหนาถึงเพียงนี้ เช่นนั้น…สายตาของนางก็คงไม่สูงลิบขนาดนี้ แล้วก็คงแต่งให้กับบุรุษในดวงใจไปนานแล้วใช่หรือไม่

เห็นฉีซื่อเจินขมวดคิ้วมองมาที่ตนเองอย่างกังวล จั้นชิงรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่จึงยิ้มเอ่ย

“อารอง อย่าได้คิดมากเลย ไม่ว่าช้าหรือเร็วยังไงข้าก็ย่อมคิดหาวิธีขึ้นเรือให้ได้ ท่านควรจะรู้ว่าข้าไม่มีทางตัดใจโดยง่ายอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นท่านจะเป็นอย่างท่านพ่อเช่นนั้นหรือไร คิดว่าสตรีไม่มีความสามารถดูแลมังกรสมุทรตระกูลจั้นงั้นหรือ”

เขาได้ยินแล้วก็ทอดถอนใจ ยิ้มขมขื่นตอบกลับ

“ยายหนู หากข้าคิดเช่นนั้นก็ไม่มีทางช่วยเจ้าพูดแต่แรกแล้ว”

“เช่นนั้นท่านเสียใจภายหลังแล้วหรือไม่” นางถามด้วยดวงตาเป็นประกาย

ฉีซื่อเจินมองไปยังกองเรือสำเภาบนแม่น้ำรอบๆ ในเวลาไม่กี่ปีสั้นๆ ยายหนูได้ทำให้ทุกคนในสกุลจั้นยอมรับนับถือจากใจ ไม่เพียงแต่เอ็นดู ที่มากกว่านั้นคือความเคารพ นางพิสูจน์ความสามารถของนางแล้วจริงๆ กระทั่งนำพาทุกคนเปิดเส้นทางเรือสายใหม่ เสาะหาเส้นทางชีวิตที่สงบสุขมากขึ้นอีกเส้น

ในยามปกตินางเป็นพี่สาวน้องสาว บุตรสาวที่น่ารัก แต่เมื่อเกิดเรื่อง นางก็เปลี่ยนเป็นผู้นำตระกูลที่ฉลาดเฉลียวและใจเย็นทันใด จัดการปัญหาอย่างเด็ดขาดรวดเร็ว ปฏิบัติต่อลูกน้องอย่างยุติธรรมเข้มงวด กระทั่งตอนเผชิญคลื่นลมพายุในทะเล นางเองก็สามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับคนเรือคนอื่นๆ ได้ ถึงแม้พละกำลังของนางจะไม่มากเทียบเท่าคนอื่นจริงๆ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่านอกจากหัวหน้าแล้ว เขาก็เห็นว่ายายหนูเป็นคนเรือที่ดีที่สุดคนหนึ่ง กระทั่งน้องชายของนางจั้นปู้ฉวินยังไม่มีพรสวรรค์เทียบเท่านางแต่อย่างใด

นางกับหัวหน้าล้วนเป็นคนเรือโดยกำเนิด!

“เปล่า” ฉีซื่อเจินหันกลับมามองจั้นชิงที่กำลังยืนรอคำตอบอยู่ เอ่ยอย่างจริงจัง “กับเรื่องนี้ อารองอาจจะเคยนึกสงสัย แต่ไม่เคยนึกเสียใจภายหลังมาก่อนแน่นอน”

จั้นชิงคลี่ยิ้มกว้าง “ขอบคุณเจ้าค่ะอารอง”

“แต่ข้าก็ยังหวังให้สักวันเจ้าจะหาบุรุษในดวงใจพบและได้แต่งงานอยู่ดี”

จั้นชิงได้ยินแล้วอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ฉีซื่อเจินยกมือขึ้นปรามนางก่อนพร้อมเอ่ยต่อจนจบ

“ไม่ได้เป็นเพราะข้าสงสัยในความสามารถของเจ้า แต่เพราะข้าแก่แล้ว สักวันก็ต้องลงบาดาลเหลือง* ไปพบหัวหน้า ข้าหวังว่าหากมีสักวันที่ข้าไม่อยู่แล้ว อย่างน้อยก็วางใจว่ายังมีสักคนที่สามารถดูแลเจ้าได้ เป็นเช่นนี้ในยามที่ข้าตายไปถึงจะมีอะไรไปบอกพ่อเจ้าได้ เจ้าคงไม่ได้หวังว่าพวกเราคนแก่สองคนอยู่ที่โลกหลังความตายแล้วก็ยังคงเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานของเจ้าหรอกนะ”

นางเม้มปากพร้อมหลบสายตา หันไปมองดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นมาขจัดกลุ่มหมอกเบาบางบนแม่น้ำ ผ่านไปชั่วครู่ใหญ่จึงเอ่ย

“เรื่องแบบนี้บางทีก็ต้องอาศัย…วาสนา”

“เรื่องนี้ข้ารู้ อารองแค่เพียงหวังว่าหากวาสนามาถึงแล้วจริงๆ อย่าได้เอา ‘มังกรสมุทรตระกูลจั้น’ สี่คำนี้ขึ้นมาเป็นข้ออ้าง เข้าใจหรือไม่”

“อืม…เจ้าค่ะ” ถึงแม้นางจะผงกศีรษะตอบรับแล้ว ในใจก็ยังคงไม่คาดหวังถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘วาสนา’ นั้น

ในเมื่อความจริงแล้ว แม้ใต้หล้าจะกว้างใหญ่ แต่จะมีบุรุษใดสามารถยอมรับอีกทั้งไม่แทรกแซงการดูแลกองเรือเหล่านี้ของภรรยาได้ ผู้ใดจะมีหัวใจที่กว้างใหญ่ถึงเพียงนั้นกัน

รุ่งอรุณทอแสงอร่ามย้อมสีของแม่น้ำให้กลายเป็นสีทองคำ บนแม่น้ำสะท้อนภาพใบเรือจากที่ไกลๆ ธงอักษร ‘จั้น’ โบกสะบัดไปตามแรงลม นางมองไปยังภาพกองเรือสำเภาอันเพียบพร้อมของตระกูลตน ในใจเกิดทั้งความภาคภูมิและขมขื่น

นี่คือผลลัพธ์จากการทำงานหนักของนาง นางพยายามพิสูจน์ตนเองต่อหน้าบิดา ต่อหน้าผู้คนทั้งโลก ในยามนี้หลังจากพยายามมานานหลายปี นางไม่มีทางยอมละทิ้งทั้งหมดนี้เพื่อใครสักคนได้ คนที่คิดแต่งงานกับนางจะต้องสามารถยอมรับและประนีประนอมได้ แต่ใครจะสามารถทำได้กัน บนโลกใบนี้จะมีคนที่เข้าใจนาง ยอมรับนางได้จริงๆ หรือ

หากว่ามี…จะเป็นผู้ใดกันนะ

สตรีที่ยืนอยู่ตรงหัวเรือถอดเครื่องประดับหรูหราที่นางใส่เมื่อคืนนี้ออกแล้ว เรือนผมยาวที่ทอประกายสีทองอ่อนภายใต้แสงอาทิตย์เพียงใช้เชือกเส้นหนึ่งมัดรวบเอาไว้ ชุดสีเขียวที่ทำจากผ้าไหมเนื้อดีก็เปลี่ยนออก กลายเป็นเสื้อผ้าป่านซึ่งทนทานกว่า นางทำแม้กระทั่งม้วนแขนเสื้อขึ้น เปิดเผยท่อนแขนที่ตากแดดจนเป็นสีเข้มหากยังคงดูเนียนนุ่ม นอกจากต่างหูข้างขวาวงสีน้ำเงินขาวแล้ว บนร่างของนางไม่ปรากฏเครื่องประดับอื่นใดอีก มีเพียงใบหน้ากล้าหาญไร้การปรุงแต่งที่มองอย่างแน่วแน่ไปยังเบื้องหน้า ทว่าต่อให้แต่งตัวคล้ายเด็กหนุ่มบนเรือเพียงใด ตลอดทั้งร่างของนางก็ยังแผ่กลิ่นอายสตรีออกมาอย่างชัดเจนอยู่ดี

สตรีที่อาบอยู่ใต้แสงอรุณนั้นทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้าเช่นนี้เอง เซียวจิ้งอดตะลึงลานไปบ้างมิได้ เมื่อคืนที่หอสี่สมุทรคุณหนูใหญ่สกุลจั้นได้แสดงออกอย่างน่าตื่นตาตื่นใจถึงเพียงนั้น ทำให้เขาไม่อาจนำสตรีชุดเขียวที่แต่งกายด้วยเครื่องประดับงดงามหรูหรา วาจาฉะฉานเมื่อคืนคนนั้นมาซ้อนทับกับสตรีตรงหน้าที่แต่งกายสามัญ มองไปแล้วคล้ายเด็กหนุ่มผู้นี้ได้เลย จนกระทั่งนางหรี่ตาลง โน้มตัวไปข้างหน้ากะทันหัน จับไปที่กราบเรือแล้วตะโกนเสียงดังหาคนบนเรือสำเภาอีกลำหนึ่ง

“เสี่ยวอู่ เชือกเส้นนั้นไม่ได้มัดแน่น! อย่าดึง!”

สีหน้าของนางคล้ายมีชีวิตชีวาขึ้นมาในเสี้ยวเวลานั้น เสียงที่ดังกังวานทำให้เขานำภาพสตรีฉลาดเฉลียวคนเมื่อคืนมาซ้อนทับกับสตรีตรงหน้าในชั่วพริบตา

มองไปตามสายตาของนาง เซียวจิ้งพบว่าผ้าใบบนเรือสำเภาฝั่งตรงข้ามคล้ายจะเชือกขาดกะทันหัน ใบเรือผืนหนาหนักเกิดเสียงดังลั่นขณะหลุดออกจากเสากระโดงแล้วร่วงหล่นลงมา กำลังจะฟาดโดนร่างของเด็กหนุ่มที่ดึงเชือกผิดเส้นคนนั้นอยู่แล้ว

“เสี่ยวอู่! หลบไป!” ที่ด้านข้างมีคนตะโกนเสียงดัง แต่เด็กหนุ่มคนนั้นกลับตกใจจนนิ่งอึ้งไปแล้ว ทำได้เพียงตาโตอ้าปากค้างมองใบเรือที่กำลังจะหล่นลงมา

ไม่ทันแล้ว!

ในหัวของทุกคนต่างมีความคิดนี้วาบผ่าน แต่ก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นเงาร่างสองสายทะยานผ่านไป

“คุณหนูใหญ่!”

ยามมองออกว่าคนที่นำหน้าไปคือจั้นชิง ทุกคนก็ตะโกนพร้อมกันอย่างตกใจ เพียงเห็นนางตัดสินใจดีดตัวไปถึงเสากระโดงเรืออย่างไม่ลังเล มือยื่นออกไปจับเชือกพวนที่หลุดออกจากเสากระโดงเรือและกำลังจะถูกรอกหมุนเข้าไปได้ทัน แต่ยังไม่สามารถหยุดยั้งความเร็วในการหลุดของตัวเชือกได้ ร่างทั้งร่างถูกความหนักของใบเรือดึงรั้งไปอยู่กลางอากาศ

ในตอนที่ทุกคนกำลังส่งเสียงร้องอย่างตกตะลึงนั้นเอง ร่างของจั้นชิงพลันม้วนตัวกลางอากาศกะทันหัน จากนั้นก็ดีดตัวอย่างรุนแรงคราหนึ่ง กลับตัวกลางอากาศอย่างคล่องแคล่วโดยอาศัยแรงจากเชือกที่โบกสะบัด ทิ้งตัวลงบนเสากระโดงรองอย่างรวดเร็ว สองมือของนางจับที่เชือกพวน อาศัยน้ำหนักของตนเองหมุนเหวี่ยงบนเสากระโดงรองไปสองรอบ เชือกพวนถูกมัดเป็นเงื่อนตายในพริบตา เสากระโดงรองเป็นเพราะรับน้ำหนักที่มากไปของใบเรือหลักจึงส่งเสียงร้องน่าหวาดเสียวออกมา ในตอนที่ทุกคนหลงคิดว่ามันจะหักลงมาแล้วนั้น คานเสากระโดงรองขนาดใหญ่กลับเพียงโอนเอนไปมาสักพัก สุดท้ายก็ไม่ได้หักเป็นสองส่วน

เรื่องที่เกือบจะเป็นไปไม่ได้ แต่เพียงในชั่วพริบตาคุณหนูใหญ่สกุลจั้นก็สามารถหยุดยั้งการหล่นลงมาของใบเรือหลักขนาดใหญ่ได้!

ทันทีที่เสียงดังสนั่นของใบเรือที่ร่วงหล่นหยุดลง รอบด้านก็พลันตกอยู่ในความเงียบสงัด

สายตาของทุกคนเคลื่อนจากร่างของจั้นชิงที่ห้อยอยู่กลางอากาศมายังดาดฟ้าหัวเรือ ได้เห็นใบเรือที่ขาดอีกเพียงสองฉื่อ* เท่านั้นก็จะตกลงมาถึงพื้นทั้งใบ ตอนนี้กลับห้อยอยู่เพียงครึ่งอย่างไม่มั่นคงยิ่ง ในอากาศฟุ้งกระจายไปด้วยฝุ่นละอองที่กระเทือนหล่นลงมา

ช่างเป็นวิกฤตอันตรายอย่างใหญ่หลวงจริงๆ!

ลมหายใจที่ทุกคนกลั้นเอาไว้ถึงได้ถูกปล่อยออกมาในยามนี้

จั้นชิงปีนตามเชือกพวนไปยังเสากระโดงรอง มัดเชือกให้แน่นขึ้นชั่วคราว ก่อนกระโดดลงมาทันที คิดอยากตามหาเสี่ยวอู่ซึ่งตกตะลึงจนนิ่งอึ้งอยู่ใต้ผ้าใบ แต่เท้าของนางเพิ่งจะแตะดาดฟ้าหัวเรือ กลับเห็นเสี่ยวอู่ถูกคนช่วยออกมาอย่างปลอดภัยก่อนนานแล้ว ใบหน้าซีดเผือดยืนอ้าปากค้างอยู่ข้างใบเรือ เห็นได้ชัดว่ายังคงอยู่ในสภาพตกใจ

ในตอนที่นางเห็นชัดว่าใครเป็นคนช่วยเสี่ยวอู่ คิ้วก็ขมวดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

เป็นเขา? เขามาทำอะไรที่นี่กัน

“ฝีมือดียิ่ง” เซียวจิ้งปรบมือเบาๆ อย่างชื่นชม ผงกศีรษะให้นางพร้อมรอยยิ้ม

“ให้คุณชายเซียวได้เห็นเรื่องตลกเสียแล้ว” นางตอบกลับอย่างเกรงใจ ที่หว่างคิ้วกลับไม่ได้ปรากฏความยินดีที่ถูกชื่นชม เพียงแค่เดินไปหาเสี่ยวอู่ สำรวจว่าเขาได้รับบาดเจ็บหรือไม่

“เสี่ยวอู่ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

“คุณ…คุณ คุณหนูใหญ่ ขอ…ขอ…ขออภัย…” เสี่ยวอู่ใบหน้าไร้สีเลือด เอ่ยตะกุกตะกัก สองขายังสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่ได้

“ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ใบเรือเองก็ไม่ได้เสียหาย หนหน้าระวังให้มากกว่านี้ก็พอ” ดูท่าแล้วร่างกายของเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน เพียงแค่ได้รับความตกใจเท่านั้น จั้นชิงตบบ่าเสี่ยวอู่ ต้องการให้เขาสบายใจ

“ข้า…ข้าๆ…” เสี่ยวอู่คิดอยากจะพูดอะไร หากสติยังไม่กลับเข้าร่างดี

จั้นชิงยิ้มให้เขาบางๆ จากนั้นก็หันกลับไปเอ่ยกับคนเรือที่เร่งรีบมาหา

“พี่ใหญ่เฉิน รบกวนพาเขาลงไปดื่มน้ำสักแก้ว ระงับความตกใจ”

“ขอรับ” บุรุษสกุลเฉินผู้นั้นผงกศีรษะ จากนั้นก็พาเสี่ยวอู่ที่สองขาอ่อนแรงจากไป ส่วนคนอื่นๆ ปีนขึ้นไปบนเสากระโดง คิดหาวิธีนำเชือกพวนลงมาแล้วนำใบเรือดึงกลับไปอยู่ที่เดิมให้เรียบร้อย

จั้นชิงหันกลับมา ที่เผชิญหน้าด้วยยังคงเป็นเซียวจิ้งซึ่งยืนอยู่ข้างๆ นางเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย

“ขอบคุณคุณชายเซียวที่ยื่นมือช่วยเหลือ”

“เป็นเรื่องที่ข้าสมควรกระทำอยู่แล้ว” เขายิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ยขึ้นมากะทันหัน “คุณหนูจั้น ข้าขอเสียมารยาทถามเจ้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”

จั้นชิงเลิกคิ้วรอฟัง

“เหตุใดเจ้าจึงไปดึงผ้าใบก่อนค่อยช่วยเหลือคน” สุ้มเสียงของเซียวจิ้งราบเรียบ ฟังไม่ออกว่าแฝงไปด้วยการตำหนิหรือไม่ กระทั่งบนใบหน้าก็ยังคงมีรอยยิ้มบางๆ

ได้ยินแล้วจั้นชิงตัวเกร็งขึ้นมาทันที เอ่ยด้วยใบหน้าเย็นชาอย่างระมัดระวัง

“ขอเพียงหยุดใบเรือได้ ก็ไม่มีทางมีใครได้รับบาดเจ็บเช่นกัน”

เซียวจิ้งมองไปที่ใบเรือขนาดใหญ่ซึ่งห้อยอยู่ครึ่งใบตรงหน้า รู้ว่านางพูดไม่มีผิด หากว่าเขาไม่ได้ยื่นมือเข้าช่วย เด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่มีทางถูกผ้าใบฟาดโดน เมื่อครู่นางเพิ่งจะพิสูจน์ข้อนี้ให้เห็น เพียงแต่ว่า…เขาเงยหน้ามองไปยังเสากระโดงเรือขนาดยักษ์ ใบเรือ และเชือกพวน คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางเลือกทางนี้ วิธีนี้ค่อนข้างเปลืองแรง อีกทั้งยังแทบเป็นไปไม่ได้ไม่ใช่หรือ

“เจ้ามั่นใจในวิธีการของตัวเองมาก?” เขาเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้

เดิมจั้นชิงหลงคิดว่าเขาจะเทศนาเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับชีวิตคนสำคัญที่สุดสักรอบหนึ่ง แต่ในตอนที่นางสังเกตสีหน้าของเขา กลับต้องตกใจที่พบว่าเขาเพียงแค่อยากจะรู้คำตอบเท่านั้นจริงๆ ไม่ได้กำลังตำหนิวิธีการของนางอยู่

นางมองใบหน้าด้านข้างของเขาที่กำลังตั้งใจมองเสากระโดงเรืออย่างสงสัย ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยตอบอย่างมั่นใจ

“ข้าเติบโตมาบนเรือตั้งแต่เด็ก คุ้นเคยกับความยาวเชือกพวนทุกเส้น ความสูงของเสากระโดงทุกเสา กระทั่งความหนักของผ้าใบทุกผืนบนเรือ แน่นอนว่าข้าย่อมมั่นใจถึงได้ทำ” หลังกล่าวจบนางก็หมุนตัวจากไปช่วยคนอื่นๆ ดึงใบเรือกลับมาตำแหน่งเดิม

วิธีที่นางเลือกเป็นวิธีที่ทำให้ความเสียหายลดเหลือน้อยสุดจริงๆ

เขานึกประหลาดใจที่นางคำนวณทุกอย่างอย่างแม่นยำเอาไว้หมดแล้ว รวมถึงความมั่นใจอย่างอธิบายไม่ได้นั้นของนาง ในชั่วพริบตาความคิดที่เซียวจิ้งมีต่อจั้นชิงก็เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง ยามมองไปที่แผ่นหลังของนาง หนนี้เขาถึงได้พลันรู้สึกตัวว่านางไม่เพียงแต่แต่งกายช่วงบนเหมือนกับเด็กหนุ่ม กระทั่งช่วงล่างยังสวมกางเกงเหมือนกับชายฉกรรจ์คนอื่นๆ อีกทั้งยัง…

เท้าเปล่า!

ใบหน้าเขาตกตะลึง จ้องเขม็งไปที่ขากางเกงซึ่งม้วนไปถึงหัวเข่าของนาง มองไปยังน่องขาและเท้าเปล่าสีเปลือกข้าวที่งดงามคู่นั้น

“เจ้าเองก็รู้ เมื่อครู่ที่กลางอากาศหากนางช้าไปเพียงนิดเดียว หรือคำนวณความสูงผิด พลาดเสากระโดงอันนั้นไป นางก็จะถูกสะบัดไปกลางอากาศ ตกลงไปบนฝั่งร่างแหลกกระจุย”

เสียงที่ดังขึ้นข้างกายอย่างกะทันหันทำให้เซียวจิ้งสะดุ้งตกใจไปวูบหนึ่ง เขาหันกลับไปมองผู้อาวุโสที่ไม่รู้มายืนอยู่ข้างขวาของตนเองตั้งแต่เมื่อไร หากสติยังไม่ได้ดึงกลับมาจากขาเล็กๆ คู่นั้นของจั้นชิง จึงเอ่ยถามอย่างงุนงง

“อะไรนะขอรับ”

ผู้อาวุโสคนนั้นเหลือบมองเขาคราหนึ่ง เอ่ยกลั้วหัวเราะ

“ขาของยายหนูงดงามมากใช่หรือไม่เล่า แต่ส่วนที่นางปิดบังไว้ยิ่งงดงามมากกว่านี้อีกนะ”

หนนี้เขากลับได้ยินชัดเจนแล้ว เซียวจิ้งจ้องเขม็งไปยังผู้อาวุโสตรงหน้าด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

“ท่านเคยเห็นหรือขอรับ”

“แน่นอน” ผู้อาวุโสยิ้มกว้างจนเห็นฟัน สองมือไขว้กันไว้ที่ด้านหลัง โน้มหน้ามาเอ่ยอย่างโอ้อวด “เคยเห็นมาหมดทั้งตัวแล้ว” เพียงแต่ว่าตอนนั้นยายหนูยังเป็นทารกในห่อผ้า ทว่านั่นไม่มีความจำเป็นจะต้องบอกให้เจ้าเด็กนี่รู้

เขาคิดจะหลอกข้า!

เซียวจิ้งมองผู้อาวุโสไร้ยางอายตรงหน้า พลันเกิดความรู้สึกหุนหันคิดอยากลงมือกับอีกฝ่าย!

คิ้วของเขาขมวดขึ้นมา รู้สึกประหลาดใจกับอารมณ์หุนหันที่หาได้ยากของตน ถึงแม้จะรู้ว่าผู้อาวุโสมีโอกาสกำลังกล่าวล้อเล่นอยู่มาก แต่ในใจเขาก็ยังคงไม่สบอารมณ์ยิ่ง

“หึๆ เจ้าหนู แววตาของเจ้าไม่เลว รักษาไว้ต่อไปเล่า” ผู้อาวุโสเห็นดังนั้นสีหน้าพลันเปลี่ยนแปลง ยื่นมือออกไปตบบ่าเขาอย่างชื่นชม จากนั้นก็หยิบน้ำเต้าออกมาจากที่ใดไม่ทราบแล้วเปิดจุกออก กลิ่นสุราบริสุทธิ์ลอยมากระทบจมูก เขาดื่มกรอกปากอึกหนึ่งแล้วเอ่ยถาม “เจ้าหนู เอาสักอึกหรือไม่”

พฤติกรรมแปลกประหลาดของผู้อาวุโสท่านนี้ทำให้เขาเหงื่อตก เซียวจิ้งทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ ตอบกลับ

“ไม่เป็นไรขอรับ”

“เมื่อครู่พวกเราคุยกันถึงไหนแล้ว” เห็นเซียวจิ้งไม่ยอมดื่ม ผู้อาวุโสเองก็ไม่ได้บีบบังคับเขา สะกิดปลายเท้าทีหนึ่งก็กลับตัวขึ้นไปอยู่บนลังไม้ด้านหลังแล้ว มองไปที่จั้นชิงกับบรรดาคนเรือที่อยู่ตรงหน้า ปากขยับเอ่ยต่อ “จริงสิ พูดถึงยายหนู นางเป็นเด็กที่เกิดบนเรือ ตอนออกจากท้องแม่ อากาศที่หายใจเข้าไปคำแรกก็คือลมทะเล นางน่ะ เกิดมาเพื่อเป็นคนเรือ”

เซียวจิ้งเหลือบมองผู้อาวุโสที่นั่งบนลังไม้คราหนึ่ง สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายมีกำลังภายในลึกล้ำ การกลับตัวแบบนี้ กระทั่งเสียงแม้แต่นิดเดียวยังไม่มี แท้จริงแล้วเขาไม่เข้าใจว่าผู้อาวุโสท่านนี้พูดเรื่องเหล่านี้กับเขาทำไม แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางเช่นกัน ถึงอย่างไรเดิมทีเขาก็ตั้งใจขึ้นเรือมาลอบสืบข่าวเกี่ยวกับมังกรสมุทรตระกูลจั้นอยู่แล้ว มีคนเปิดปากบอกเขาด้วยตนเอง เขาย่อมยินดีเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้ง…เขายังมีความปรารถนาอยากจะรู้เรื่องของนางอย่างน่าประหลาด

สายตาของเขามองกลับไปยังขาอันงดงามคู่นั้นของจั้นชิงอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว ที่แปลกก็คือนางยืนเท้าเปล่าอยู่บนดาดฟ้าหัวเรือ ทว่ากลับทำให้คนรู้สึกสบายตาอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับว่าสองเท้างดงามคู่นั้นไม่ควรถูกรองเท้าผูกรัดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

“ข้าหลงคิดว่าบนเรือไม่ต้อนรับสตรีเสียอีก” เขาถามโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา สายตาจับจ้องไปยังเท้าเปลือยเปล่าที่ยิ่งมองยิ่งสบายตาคู่นั้นอย่างโจ่งแจ้ง

“ก็ไม่ต้อนรับ แต่แม่ของยายหนูแอบหนีขึ้นมาบนเรือตอนตั้งท้อง กว่าพวกเราจะรู้ตัวเรือก็ออกสู่ทะเลแล้ว ใครจะไปรู้ว่าเพิ่งหันเรือกลับได้ครึ่งทาง ยายหนูก็รีบคลอดออกมาจากท้องแม่เสียแล้ว เด็กจะคลอดใครก็ห้ามไม่ได้ จริงหรือไม่ ฮ่าๆ” ผู้อาวุโสเปิดปากหัวเราะก่อนเอ่ยต่อ “ตอนหลังนะ พอยายหนูโต นางก็อยากจะขึ้นเรือ ถึงได้คิดทำทุกวิถีทางจนสามารถขึ้นเรือมาได้สมปรารถนา ทำลายข้อห้ามลงได้” แน่นอนว่าความช่วยเหลือของเขาก็เป็นความดีความชอบที่ไม่อาจขาดไป แต่ว่าต่อให้ไม่มีความช่วยเหลือจากเขา ยายหนูเองก็ย่อมคิดหาวิธีขึ้นเรือขึ้นมาได้ เหมือนกับมารดาของนางเช่นนั้น

ถึงแม้ผู้อาวุโสท่านนี้จะพูดเพียงสองสามประโยคอย่างเรียบง่าย เซียวจิ้งกลับรู้ว่าสถานการณ์ที่แท้จริงจะต้องยากลำบากกว่านั้นยิ่ง เขารู้ว่าตั้งแต่โจรสลัดทั่วไปจนกระทั่งคนเรือธรรมดาปกติงมงายกันเพียงใด เห็นได้ชัดว่าคุณหนูใหญ่สกุลจั้นผู้นี้ไม่ได้เป็นเพราะบิดาเป็นผู้นำตระกูลจึงมีสิทธิพิเศษ นับตั้งแต่นางคิดอยากขึ้นเรือ จวบจนกระทั่งมาเป็นผู้นำตระกูลในปัจจุบัน เรื่องราวระหว่างนี้ย่อมลำบากลำบนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สิ่งนี้ไม่ได้เหมือนกับที่เขาคิดเอาไว้แต่แรก

คิ้วทั้งสองของเซียวจิ้งขมวดเข้าหากันน้อยๆ แรกเริ่มเขาหลงคิดมาตลอดว่านางเป็นเพียงแค่คุณหนูสูงศักดิ์คอยวางแผนอยู่บนฝั่ง อาจจะพอมีอำนาจบารมี ทั้งอาจจะฉลาดเฉลียวยิ่ง แต่ก็เพียงรับผิดชอบสวมเครื่องประดับหรูหรา แต่งกายงดงามคอยควบคุมทุกอย่างอยู่บนฝั่ง เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเมื่อมาถึงที่นี่จะได้เห็นนางแต่งกายเหมือนเด็กหนุ่ม ทั้งยังเดินเท้าเปล่าทำงานอยู่บนเรือ อิงจากท่าทีใจเย็นรอบคอบ บุคลิกหนักแน่นของนาง เห็นได้ชัดว่าเป็นนางเองที่คอยนำทางกองเรือสกุลจั้นทั้งหมด

“บรรดาคนเรือจะยอมรับสตรีผู้หนึ่งหรือขอรับ” ยากจะจินตนาการถึงภาพที่บรรดาชายฉกรรจ์เหล่านี้ยินดีเชื่อฟังคำสั่งจากสตรีตรงหน้า ถึงแม้จะเห็นกับตาตนเอง แต่เขาก็ยังคงเอ่ยความสงสัยในใจออกมา

ผู้อาวุโสกรอกสุราเข้าปากอีกอึก ดวงตาเป็นประกายวูบหนึ่ง มุมปากหยักยิ้มลึกลับก่อนจะเอ่ย

“หากว่านางเป็นธิดามังกรสมุทรกลับชาติมาเกิดย่อมยอมรับ”

“ธิดามังกรสมุทรกลับชาติมาเกิด?” เซียวจิ้งเลิกคิ้ว ละสายตาจากจั้นชิงกลับมามองผู้อาวุโส

“เจ้าไม่เชื่อ?” ผู้อาวุโสยิ้มถาม

“ทุกคนบนเรือล้วนเชื่อหรือขอรับ” เซียวจิ้งถามกลับ

“ขอเพียงได้อยู่ร่วมบนเรือกับยายหนูเพียงไม่กี่วัน ไม่คิดจะเชื่อยังทำได้ยาก” ผู้อาวุโสเหลือบมองเขา คลี่ยิ้มร้ายกาจ “ภายหลังเจ้าก็จะได้รู้เองแล้ว”

ภายหลัง? เซียวจิ้งสองคิ้วขมวดเป็นปม “ข้าไม่ได้วางแผน…”

“เจ้าไม่ได้มาสืบข่าวหรอกหรือ”

“หือ” เขามองผู้อาวุโสท่านนี้อย่างตกตะลึงอยู่บ้าง พบว่าอีกฝ่ายไม่เพียงแต่กำลังภายในสูง สติปัญญาก็หลักแหลมไม่ธรรมดาเช่นกัน

“คิดอยากทำความเข้าใจมังกรสมุทรตระกูลจั้น ก็มีแต่ต้องขึ้นเรือมาถึงสามารถเข้าใจทั้งหมดได้กระจ่างจริงๆ” ผู้อาวุโสเตือนด้วยรอยยิ้ม แล้วกรอกสุราเข้าปากอย่างสบายใจอีกครั้ง “เจ้าหนู ไม่เข้าถ้ำเสือ จะได้ลูกเสือได้อย่างไร ฮ่าๆๆ”

นับว่าผู้อาวุโสท่านนี้กล่าวไม่ผิด เมื่อมองไปยังใบเรือซึ่งกำลังกลับสู่ตำแหน่งเดิมตรงหน้า กับคนเรือที่ร่างกายสมบุกสมบันทุกคนแล้ว เซียวจิ้งก็อดเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่นไม่ได้

“คงเป็นถ้ำมังกรกระมังขอรับ”

“ใช่แล้ว” ผู้อาวุโสยิ้มกว้าง เจ้าหนูนี่นับได้ว่าฉลาด แต่ว่ามาถึงถ้ำมังกรแล้ว สิ่งที่ได้ก็คือธิดามังกรสมุทรต่างหากเล่า เมื่อครู่เขาเห็นบรรยากาศแปลกประหลาดระหว่างยายหนูกับอีกฝ่าย เจ้าหนูนี่ควรจะเป็นคนที่มีวาสนากับยายหนูกระมัง มีชีวิตอยู่มาจนอายุปูนนี้ สิ่งที่ควรจะมองออก เขาก็ยังคงมองออก สายตาแหลมคมเป็นอย่างยิ่ง

ผู้อาวุโสเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วยิ้มตาหยี พี่ใหญ่ ดูท่าว่าละครฉากสนุกๆ กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!

บทที่สาม

“คุณชายเซียวมาเยี่ยมเยียนตั้งแต่เช้าตรู่ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรหรือ”

หลังใบเรือกลับไปอยู่ที่เดิมแล้ว จั้นชิงหันกลับมาก็พบว่าเซียวจิ้งยังคงไม่จากไปไหน ในใจรู้ดีว่าเขาไม่ได้แค่บังเอิญเดินเล่นมาถึงริมแม่น้ำ หากตั้งใจมาหาถึงที่โดยเฉพาะ

“เจ้าหนูนี่ต้องการจะขอขึ้นเรือด้วย” ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านหลังเซียวจิ้งเอ่ยแทรก

“หมายความว่าอย่างไรกัน” จั้นชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย

“สหายฉินได้ฝากทุกท่านขนส่งสินค้าไปยังเมืองฉางอัน บังเอิญข้าเองก็กำลังต้องการไปเยี่ยมสหายที่เมืองฉางอัน สหายฉินจึงได้แนะนำให้ข้าร่วมทางขึ้นเหนือไปกับทุกท่าน” เซียวจิ้งรีบอ้าปากเอ่ยข้อแก้ตัวที่เพิ่งคิดขึ้นได้ออกมาก่อนที่จะถูกผู้อาวุโสแทรก หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกไล่ลงจากเรือตั้งแต่ก่อนเรือจะออกเดินทางเสียอีก

“ท่านเป็นสายสืบ” นางยกมุมปากขึ้น ในดวงตาแฝงแววเสียดสี เปิดโปงข้อแก้ตัวของเขาออกมาในทันที

เซียวจิ้งรู้สึกกระอักกระอ่วนไปชั่วขณะ แต่ก็กลับเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว เขายิ้มน้อยๆ ยอมรับแต่โดยดี

“จะพูดเช่นนั้นก็ได้”

จั้นชิงยกมือขึ้นเหน็บเส้นผมที่ปลิวมาด้านหน้าไปทัดหลังหู มองเขาแล้วเอ่ยขึ้น

“วางใจได้ ข้าไม่ได้แล้งน้ำใจถึงเพียงนั้น พ่อค้าชาวหยางโจวไม่เคยทำการค้ากับพวกเรามาก่อน จะไม่เชื่อถือพวกเรา ส่งคนมาติดตามไม่ถือเป็นเรื่องที่เกินเลย ท่านอยากขึ้นเรือแน่นอนว่าย่อมได้ เพียงแต่…” นางชะงักไป จากนั้นก็มองบุรุษสวมชุดคลุมยาว แต่งกายเยี่ยงบัณฑิตผู้นี้อย่างประเมินตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง

เหอะ บัณฑิตโดยแท้จริงผู้หนึ่ง! ร่างกายของคนสกุลเซียวผู้นี้บอบบางผิดปกติ เกรงว่าใต้ชุดคลุมยาวนั้นก็คงจะไม่มีกล้ามเนื้อเท่าไรนัก ต่อให้เป็นวรยุทธ์ แต่อยู่บนเรือไปไม่กี่วันก็คงจะรับไม่ไหวแล้ว มุมปากจั้นชิงปรากฏรอยยิ้มเยาะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ก่อนกล่าวต่อ

“ที่นี่เป็นเรือสินค้ามิใช่เรือสำราญ ไม่มีความสะดวกสบายอะไรให้ ถ้าระหว่างทางจะขลุกขลักเกินไป ขอคุณชายเซียวอย่าได้ถือสา”

นี่ยังนับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่มีสตรีมาประเมินเขาเช่นนี้ ทั้งสุดท้ายยังแสดงสายตาดูถูกออกมา ในใจลึกๆ ของเซียวจิ้งรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อยจริงๆ แต่ใครใช้ให้เขาเมื่อนำไปเปรียบกับบรรดาคนเรือเปลือยอกเปลือยหลังเหล่านี้แล้ว พอดูไปก็บอบบางทนลมไม่ได้จริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่ผู้อื่นจะแสดงท่าทีดูถูกดูแคลนเช่นนี้

ถึงแม้ศักดิ์ศรีลูกผู้ชายของเขาจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ก็คงไม่อาจให้เขาถอดเสื้อแสดงให้เห็นว่าตัวเขาเองก็มีหน้าอกที่ล่ำสันเพราะเหตุนี้จริงหรือไม่

เซียวจิ้งยิ้มบางๆ ตัดสินใจทำตัวเป็นบัณฑิตให้ถึงที่สุด ประสานมือค้อมตัวให้จั้นชิงอย่างนอบน้อม

“ลำบากคุณหนูจั้นแล้ว ข้าจะพยายามปรับตัวให้ได้อย่างแน่นอน”

จั้นชิงรู้สึกขัดตากับรอยยิ้มน้อมรับของเขานัก หัวคิ้วจึงขมวดแน่น

“พรุ่งนี้พวกเราออกเรือกันในยามเหม่า หวังว่าท่านจะไม่มาสาย”

“รับทราบ ขอบคุณคุณหนูจั้น” เขาประสานมือคารวะอีกครั้ง ยังคงค้อมกายให้นางด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเคย

หัวคิ้วจั้นชิงยิ่งขมวดลึกลงกว่าเก่า ทว่าไม่ได้เอ่ยอะไรกับเขาอีก หมุนตัวกระโดดกลับไปยังเรือสำเภาลำเดิมอย่างคล่องแคล่ว ผู้อาวุโสเห็นเช่นนั้นก็รีบร้องตะโกน

“ยายหนู! เจ้าจะให้เจ้าหนูนี่ไปอยู่บนเรือสำเภาลำใดกัน”

นางตะโกนตอบกลับโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ามามอง

“ตามใจ! แล้วแต่คุณชายเซียวสนใจอยากจะไปอยู่ที่ไหนก็อยู่ อารองตัดสินใจเอาเองเลยแล้วกัน!” กล่าวจบนางก็หายตัวเข้าไปในเรือทันที

ตัดสินใจเอาเอง?

ฉีซื่อเจินเลิกคิ้ว ถือน้ำเต้าหันหน้าไปมองเซียวจิ้ง ในแววตาทอประกายเจ้าเล่ห์…เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ

“เจ้าหนู เจ้าอยากไปอยู่เรือลำใด”

เซียวจิ้งคลี่ยิ้มไม่เอื้อนเอ่ย เพียงใช้นิ้วชี้ไปข้างหน้ายังเรือสำเภาลำที่จั้นชิงเพิ่งจะกระโดดไปซึ่งเป็นเรือสำเภาหลักของสกุลจั้น

หึ ข้ารู้อยู่แล้วเชียว! ริมฝีปากฉีซื่อเจินคลี่ยิ้มกว้างกว่าเก่า

“เช่นนั้นเจ้าก็ไปเก็บของ แล้วพรุ่งนี้เช้าขึ้นเรือมาจัดการตัวเองเอาเองแล้วกัน!”

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ทันทีที่ยามเหม่ามาถึง สินค้าทั้งหมดก็ล้วนขึ้นมาอยู่บนเรือเรียบร้อยแล้ว เรือสำเภาบรรทุกสินค้าของสกุลจั้นเก็บสมอออกเรือโดยไม่ช้าไปแม้สักเสี้ยวเวลา สินค้าหนนี้ถือเป็นตัวทดลอง ด้วยไม่มีพ่อค้าคนใดกล้าเสี่ยงทุ่มเงินลงทุน สินค้าส่วนใหญ่จึงล้วนไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรมาก แม้จะมีข้าวสาร แต่ก็ไม่ถือเป็นปริมาณมากนัก ความจริงแล้วจำนวนสินค้าทั้งหมดไม่นับว่าเยอะ เพียงบรรทุกเต็มเรือสำเภาสามลำ เรือลำอื่นของสกุลจั้นยังคงจอดทิ้งเอาไว้ริมฝั่งแม่น้ำที่นอกเมืองหยางโจว

แม่น้ำหยางจื่อมีคลื่นลมพัดผ่านกำลังดี คลื่นบนแม่น้ำม้วนตัวซัดสาด สะท้อนแสงสีทองยามรุ่งอรุณ ห่างไกลออกไปยังมีเรือใบเดี่ยวบางลำแล่นอยู่บนผืนน้ำ ที่บนฝั่งยังสามารถมองเห็นเกษตรกรหลายคนแบกหาบผักเดินไปยังทิศเมืองหยางโจว แน่นอนว่าต้องการจะเข้าตัวเมืองไปค้าขาย

ในช่วงเวลารุ่งอรุณอันสดใสเช่นนี้ เรือสำเภาสกุลจั้นเพียงกางเรือใบลอยตามลมไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เพียงไม่นานก็แล่นผ่านเขื่อนเข้ามาทางสายแม่น้ำขนส่ง เมื่อเห็นทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างราบรื่น จั้นชิงก็เดินเข้าห้องพักไปจัดการธุระส่วนตัว

นางเพิ่งจะเดินเข้าห้องไป เซียวจิ้งที่อยู่ห้องข้างๆ ก็เดินออกมาจากประตูแล้วขึ้นไปยังดาดฟ้าหัวเรือ

ต้นหลิวเขียวขจีบนฝั่งพลิ้วไสวไปตามแรงลม บางคราวมีนกเป็ดน้ำของชาวบ้านลอยเล่นอยู่บนแม่น้ำ แม่นกเป็ดน้ำตัวหนึ่งนำพาฝูงลูกเป็ดว่ายลอดผ่านเงาของต้นหลิว สลับกับจุ่มหัวลงน้ำหาพืชตะไคร่กิน ทุ่งเขียวที่อยู่ห่างออกไปบนฝั่งสามารถมองเห็นฝูงแพะเดินเล่นอยู่บนนั้น วัวก้มหน้าค่อยๆ เล็มหญ้า ในยามที่เห็นเรือสำเภาแล่นผ่านก็เพียงใช้ดวงตาคู่โตสีดำกระจ่างเหลือบมองเล็กน้อย ก่อนจะตั้งใจกินอาหารต่อไป

เซียวจิ้งยืนค้ำแขนอยู่บนกราบเรือ ทอดสายตามองไปยังทิวทัศน์อันผ่อนคลายตรงหน้าแล้วคลี่ยิ้มออกมาจางๆ หลายปีมานี้เขาเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วเจียงหนาน ในยามนี้ก็ยังคงรู้สึกว่าเจียงหนานนี้ดีนัก ที่นี่ไม่มีทะเลทราย แสงแดดไม่แผดเผาเหมือนในซีอวี้ แล้วก็ไม่มีอากาศหนาวเหน็บ ไม่มีศึกสงครามเหมือนในดินแดนทางตอนเหนือ แม้กระทั่งคนจรจัดยังน้อยกว่าทางตอนเหนือมากมายนัก

ยามมองไปยังภาพที่สุขสงบตรงหน้าก็ทำให้ยากจะจินตนาการถึงภัยพิบัติติดต่อกันหลายปี ผู้คนอดอยากซึ่งมีอยู่ทุกที่ในดินแดนอื่นๆ ยามที่เขาคิดไปถึงภาพของกลุ่มคนเร่ร่อนกลุ่มใหญ่ หัวขโมยที่ได้พบมาตลอดเส้นทางจากซีอวี้จนมาถึงเมืองฉางอันเมื่อครึ่งปีก่อนหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าก็หุบลง พร้อมถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้

เฮ้อ ไม่รู้จริงๆ ว่าเมื่อใดการต่อสู้ระหว่างมนุษย์ด้วยกันจึงจะสามารถยุติลงได้

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าคลองสายนี้มีชื่อว่าอะไร”

เซียวจิ้งได้ยินแล้วหันหน้ากลับไป ก็ได้เห็น ‘อารอง’ ผู้เป็นดั่งมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหาง* คนนั้น เขาผงกศีรษะให้เล็กน้อย ก่อนยิ้มบางเอ่ยตอบ

“หากผู้น้อยจำไม่ผิด ควรจะมีชื่อว่าคลองซานหยางขอรับ”

“ไม่ผิด” ฉีซื่อเจินผงกศีรษะอย่างชื่นชม “ความจริงแล้วคลองซานหยางก็คือคลองหานโกว เดิมทีฟูไชเจ้าผู้ครองแคว้นอู๋ในสมัยชุนชิวจั้นกั๋ว** เป็นผู้สั่งขุด ภายหลังราชวงศ์ก่อนหน้าในช่วงรัชศกต้าเยี่ยปีที่สามได้สั่งให้มีการขยายเพิ่ม เชื่อมต่อระหว่างแม่น้ำหยางจื่อกับแม่น้ำไหวเหอ พวกเราในตอนนี้ก็กำลังมุ่งขึ้นเหนือไปตามแม่น้ำไหวเหอ จากนั้นต่อจากแม่น้ำไหวเหอไปที่คลองทงจี้ แล้วมุ่งไปทางเหนือตามคลองทงจี้ถึงเมืองลั่วหยาง ขนถ่ายสินค้าของเถ้าแก่บางส่วนลงที่เมืองลั่วหยาง จากนั้นถึงเปลี่ยนไปยังแม่น้ำหวงเหอที่เมืองลั่วสุ่ยไปตามทิศตะวันตกจนถึงคลองกว่างทงแล้วเข้าเมืองฉางอัน เจ้าต้องการจะลงเรือที่เมืองฉางอันใช่หรือไม่”

“ใช่ขอรับ ท่านผู้อาวุโส” เซียวจิ้งผงกศีรษะตอบกลับอย่างมีมารยาท

ฉีซื่อเจินยกน้ำเต้ากรอกสุราลงไปอึกหนึ่ง ก่อนเหลือบมองเซียวจิ้งแล้วเอ่ยขึ้น

“ไม่ต้องเรียกข้าว่าผู้อาวุโส เรียกผู้อาวุโสๆ ทั้งวัน ฟังมากเข้าข้าจะท่องได้เอา ข้าแซ่ฉี พวกเด็กบนเรือล้วนเรียกข้าว่าท่านรอง เจ้าเรียกตามพวกเขาก็พอ”

“ขอรับ ท่านรอง” เซียวจิ้งยิ้มน้อยๆ เงียบไปสักพักจึงเอ่ยปากถามถึงสิ่งที่อยากรู้ “ฟังจากน้ำเสียงของท่านรอง คล้ายกับว่าจะคุ้นเคยกับแม่น้ำเหล่านี้เป็นอย่างดี”

ฉีซื่อเจินแค่นเสียงหัวเราะออกมาคราหนึ่ง “หาใช่แค่คุ้น ข้าเคยอยู่ที่ลำคลองเหล่านี้มาหลายสิบปีเสียด้วยซ้ำ ในปีนั้นจักรพรรดิสุนัขออกราชโองการ พวกเราราษฎรตัวน้อยๆ ล้วนถูกจับมาขุดคลองสายนี้ ขุดหนนี้ขุดไปทีเดียวหลายสิบปี ทุกวันตื่นขึ้นมาก็ต้องขุดดินขนหิน เวลาพักกินข้าวทุกคนล้วนหิวกันจนแข้งขาอ่อนแรง ที่ได้กินกลับมีเพียงข้าวต้มเปล่า! ข้าถูกจับมาทำงานตอนอายุสิบสอง จนปาไปอายุยี่สิบห้าแล้วแต่ร่างกายยังแคระแกร็นไม่ต่างจากเด็กคนหนึ่ง หากภายหลังไม่ได้มาพบกับท่านอาจารย์ ข้าก็คงตายที่ใต้คลองไปก่อนหน้านี้เป็นสิบปีแล้ว”

ที่แท้ยังมีเหตุผลนี้อยู่ด้วย ดูท่าว่าสกุลจั้นมิได้ไม่คุ้นชินกับแม่น้ำ มีท่านรองฉีผู้นี้อยู่ แม่น้ำไม่กี่สายในที่นี้สำหรับพวกเขาแล้วไม่อาจนับเป็นปัญหาได้

เซียวจิ้งมองไปยังบรรดาคนเรือบนดาดฟ้าหัวเรือที่กำลังจัดการเชือก ปรับระดับให้ใบเรือบนเสากระโดงสามารถกินลมเดินทางไปทิศเหนือได้อย่างสบายๆ ก็อดจะรู้สึกนับถือทักษะในการเดินเรืออันคุ้นเคยของบรรดาคนเรือสกุลจั้นขึ้นมาไม่ได้

ฉีซื่อเจินเหลือบมองเซียวจิ้งทีหนึ่งก่อนเอ่ยต่อ

“สมัยพวกเจ้านี่นับได้ว่าโชคดี คลอดมาตอนสงครามกำลังจะยุติ ถึงแม้จะพูดว่าหลายปีมานี้มีภัยธรรมชาติไม่หมดไม่สิ้น แต่จะอย่างไรภัยธรรมชาติก็น่ากลัวสู้ภัยจากมนุษย์ไม่ได้ อย่างน้อยจักรพรรดิองค์ปัจจุบันก็นับได้ว่าไม่เลว ไม่เพียงแต่มองการณ์ไกล ยิ่งเข้าใจว่าหลักการน้ำสามารถหนุนเรือ ก็สามารถจมเรือได้ พระองค์ทรงกระตือรือร้นที่จะผลักดันความคิดลดการเก็บภาษี ให้ราษฎรได้ฟื้นฟูสู่สภาพปกติ เชื่อได้ว่าผ่านไปอีกไม่นาน สถานการณ์คนจรจัดโจรขโมยที่ปรากฏไม่หยุดหย่อนในแต่ละพื้นที่ก็จะสามารถค่อยๆ ดีขึ้นได้”

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นขอรับ” เซียวจิ้งยิ้มแย้มตอบกลับ มองไปยังภาพอันสุขสงบตรงหน้า คาดหวังจากใจจริงว่าเรื่องราวจะสามารถเป็นดั่งที่ท่านรองฉีผู้นี้คาดการณ์ไว้ได้

ตั้งแต่เช้าเซียวจิ้งได้ลองสำรวจเรือสำเภาลำที่ตนเองอยู่นี้ออกมาคร่าวๆ ทั้งหมดแล้ว

เรือลำนี้ยาวประมาณห้าจั้ง กว้างประมาณเก้าฉื่อ ชั้นล่างสุดของเรือมีไว้บรรทุกสินค้า ขึ้นมาอีกชั้นเป็นห้องโดยสารมีไว้ให้คนเรือพักผ่อน จากนั้นจึงเป็นดาดฟ้าหัวเรือ ห้องพักที่เขากับจั้นชิงอยู่ก็คือห้องที่อยู่ใกล้กับทางหัวเรือ โดยส่วนที่ใกล้กับท้ายเรือยังมีแม้กระทั่งห้องครัว ที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือเขาพบไช่เตาอยู่ที่นั่น คนผู้นั้นที่มีชื่อเสียงขจรไกลแห่งหอสี่สมุทร ทำอาหารสำรับละพันตำลึงอย่างไช่เตาผู้นั้น!

ยามนี้เขาถึงเพิ่งได้รู้ว่าที่แท้หอสี่สมุทรเป็นกิจการของมังกรสมุทรตระกูลจั้น ไช่เตาเองก็เป็นคนของสกุลจั้น

เห็นไช่เตากำลังถือมีดหั่นผักทำอาหาร เซียวจิ้งก็ยิ้มอย่างมีความสุขยิ่ง ดูท่าแล้ววันเวลาที่เขาอยู่บนเรือนี้ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะไม่มีอะไรกินอีกแล้ว

เรือสำเภาหนึ่งลำมีสมาชิกทั้งหมดสิบห้าคน เรือลำนี้ของพวกเขามีเขาเกินมาอีกหนึ่ง รวมทั้งหมดสิบหกคน เพราะว่าตลอดทั้งเช้าล้วนทำเพียงลอยไปตามลม ไม่จำเป็นต้องอาศัยแรงคนพายไปข้างหน้า ดังนั้นจึงมีคนเรือเพียงห้าคนทำงานอยู่บนดาดฟ้าหัวเรือ สองคนกำลังจัดการใบเรือหลัก อีกสองคนจัดการใบเรือรอง และยังมีอีกหนึ่งคนอยู่ท้ายเรือคอยควบคุมหางเสือ คนอื่นๆ นอกจากอีกหนึ่งคนที่คอยช่วยเหลือไช่เตาแล้ว ที่เหลือล้วนไม่ใช่กำลังพักผ่อนอยู่ในเรือก็หยิบเบ็ดตกปลาไปนั่งตกปลาอยู่ตรงกราบเรือ

เรือสำเภาลำนี้ของพวกเขาอยู่ตรงกลางระหว่างเรือสองลำ เซียวจิ้งมองไปยังเรือสำเภาอีกสองลำหน้าหลัง พบว่าสถานการณ์ก็ไม่ต่างกันมากนัก

ลมพัดโชยอ่อนๆ เรือสำเภาบรรทุกสินค้าเคลื่อนที่ไปข้างหน้าไม่เร็วนัก เขารู้สึกว่างไม่มีอะไรทำ จึงขอคนบนเรือยืมเบ็ดตกปลามาคันหนึ่ง ทั้งขอให้บรรดาคนเรือช่วยสอนวิชาให้อย่างนอบน้อม และถึงแม้จะผ่านไปสองชั่วยาม โดยแม้แต่หางปลาตัวน้อยยังไม่ได้เห็น หากก็นับได้ว่าผ่อนคลายจนชวนให้ทอดถอนใจ

บรรดาคนเรือสกุลจั้นแม้จะยังมีท่าทีระแวดระวังต่อเซียวจิ้ง แต่ก็ไม่ได้ผลักไสเขา รวมเข้ากับที่เมื่อวานเขาเคยยื่นมือเข้าช่วยเสี่ยวอู่ ทั้งบนใบหน้ายังมีรอยยิ้มอยู่เสมอ ดังนั้นท่าทีที่ทุกคนปฏิบัติต่อเขาจึงนับได้ว่าไม่เลวนัก เพียงแต่ทุกคนต่างพูดกันค่อนข้างน้อยเท่านั้น

ตลอดทั้งเช้าก็ผ่านไปเช่นนี้เอง จนกระทั่งได้เวลากินข้าวเที่ยง จั้นชิงถึงได้พบว่าเซียวจิ้งอยู่บนเรือสำเภาลำนี้ของนาง หัวคิ้วก็อดขมวดขึ้นมาไม่ได้

“ท่านมาทำอะไรอยู่ที่นี่”

“กินข้าว” เซียวจิ้งมีท่าทางสบายๆ ถือชามข้าวยิ้มแย้มตอบกลับ ไม่ได้รู้สึกอะไรต่อสีหน้าไม่สบอารมณ์ของนางแม้แต่น้อย

คำพูดนี้ทันทีที่พูดออกไป เหล่าชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านข้างก็พากันหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ แต่เห็นคุณหนูใหญ่มีสีหน้าไม่น่ามอง จึงได้แต่พากันข่มกลั้นไว้ ก้มหน้ายัดข้าวเข้าปากอย่างยากลำบาก

“นั่งสิ อาหารอร่อยนัก กินสักหน่อยเถิด” เขายิ้มแย้มอ่อนโยน เปลี่ยนจากแขกเป็นเจ้าบ้านใช้ตะเกียบชี้ไปยังที่นั่งที่ว่างอยู่ เรียกให้นางนั่งลง

หัวคิ้วของนางขมวดเข้าหากันแน่นกว่าเดิมด้วยเหตุนี้ กวาดมองไปรอบโต๊ะคราหนึ่งก็ไม่เห็นเงาของฉีซื่อเจิน

“เสี่ยวหวัง อารองเล่า” นางเอ่ยถามคนโชคร้ายที่อยู่ใกล้ตนที่สุด

“เอ่อ…” เสี่ยวหวังเงยหน้ามองคุณหนูใหญ่อย่างลังเล “ท่านรอง…อยู่ที่ท้ายเรือขอรับ”

จั้นชิงไม่พูดอะไรก็จะไปตามหาคน หากเพิ่งจะหันตัวไปก็ได้เห็นฉีซื่อเจินถือสุราไหหนึ่งเดินมา

“ยายหนู มาๆๆ พอดีเลย มาดื่มเป็นเพื่อนอารองสักหน่อย”

“อารอง” นางขมวดคิ้วแน่น ชี้ไปที่เซียวจิ้งอย่างไม่สบอารมณ์แล้วเอ่ยถาม “เหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่”

ฉีซื่อเจินนั่งลงบนพื้นไม้ข้างโต๊ะเตี้ย เอ่ยอย่างใจเย็น

“เจ้าไม่ได้บอกว่าให้เขาอยากอยู่ที่ไหนก็ให้อยู่หรอกหรือ”

“นั่นมัน…” จั้นชิงพูดไม่ออก ได้แต่เขม็งมองเซียวจิ้งกับอารองอย่างไม่พอใจ

นางเคยพูดประโยคนี้ออกมาไม่ผิด แต่เดิมนางคิดว่าคนผู้นี้จะเลือกไปยังเรืออีกสองลำที่เหลือ ในเมื่อถึงอย่างไรนางที่เป็นผู้นำตระกูลก็นั่งคุมด้วยตนเองอยู่ที่นี่ หากเขาอยากสืบหาข่าว ย่อมไม่มีใครกล้าหลุดปากออกไป ถ้าฉลาดเสียหน่อยก็ควรจะกระจ่างดีว่าที่เรืออีกสองลำที่เหลือจึงจะสามารถสืบข่าวได้มากกว่า

ใครจะไปรู้ว่าคนผู้นี้กลับขอขึ้นเรือสำเภาหลักลำนี้มาเสียได้! หากว่าเขาไม่ได้โง่งมจนเกินไป ก็ต้องมีความมั่นใจเกินไป จากที่นางดูแล้วความเป็นไปได้อย่างแรกน่าจะสูงกว่าหน่อย

จั้นชิงลอบสบถด่าอยู่ในใจ จริงๆ เลย นางไม่คิดอยากเห็นหน้าตาลูกน้องที่แสนอ่อนแอคนนี้ตั้งแต่เช้ายันเย็น ดีไม่ดีรอคลื่นลมใหญ่โตกว่านี้อีกหน่อย เขาก็อาจจะอาเจียนเละเทะไปทั่วแล้วก็เป็นได้

“เอาน่ายายหนู นั่งลงกินข้าวได้แล้ว อย่ามัวแต่พิรี้พิไรอยู่” ฉีซื่อเจินหัวเราะพร้อมเปิดผนึกไหสุราออก ต้องการให้จั้นชิงกินข้าวดื่มสุราเป็นเพื่อนเขา

จั้นชิงถลึงตามองเซียวจิ้งอย่างรังเกียจอีกทีหนึ่งแล้วถึงนั่งลงอย่างไม่พอใจ

เซียวจิ้งไม่ได้ถือสา บนใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มจางๆ แต่รอยยิ้มอบอุ่นนั้นในสายตาของจั้นชิงแล้ว ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดถึงได้ดูขัดตาเป็นพิเศษ

เจ้าบัณฑิตไร้ประโยชน์ผู้นี้ เหอะ!

นางแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ชอบพวกบัณฑิตที่เอาแต่พูดจาเกินจริงเหล่านั้น คิดไปว่าพวกเขาก็ได้แค่พูด ทำไม่เป็น มือไม่มีแม้แต่แรงจะมัดไก่ ตลอดทั้งร่างไม่มีกล้ามเนื้อที่ใช้ประโยชน์ได้เลย เอาแต่อาศัยเพียงปาก แค่เอ่ยวาจาก็ทำให้ใต้หล้าวุ่นวาย โดยเฉพาะคนประเภทเขาที่ปากหวานซ่อนดาบ รอยยิ้มซ่อนมีด

ในตอนที่จั้นชิงกำลังบ่นอยู่ในใจนั้นเอง เซียวจิ้งพลันเงยหน้ามองมาที่นาง ยามที่หลบไม่ทันจึงต้องมองสบดวงตาใสกระจ่างดุจตาน้ำคู่นั้นของเขา ความคิดของนางก็อดสะดุดไปครู่หนึ่งไม่ได้

จ้องตาเขาอยู่ครู่ใหญ่ รับรู้ถึงมุมปากของเขาที่ยกขึ้นเป็นมุมโค้ง นางถึงได้ตีหน้าเย็นชา ละสายตาออกอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ทว่าในใจกลับลอบรับรู้ คนที่มีดวงตาใสกระจ่างเช่นนั้นไม่มีทางเป็นคนประเภทดีแต่พูดอย่างที่นางกำลังคิดอยู่ในใจ

แต่ว่าการรับรู้นี้ก็ทำให้ในก้นบึ้งหัวใจของนางอดหวั่นไหวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางไม่ชอบความรู้สึกไม่คุ้นเคยที่เกิดขึ้นเพราะเขาเช่นนี้ จิตใต้สำนึกสัมผัสได้ว่าอันตราย…

อันตรายตรงไหนกันเล่า

นางไม่รู้ นี่เป็นเพียงสัญชาตญาณของนางเท่านั้น แต่ที่ผ่านมานางล้วนเชื่อสัญชาตญาณของตนเองมาโดยตลอด

ดังนั้นหลังกินอาหารมื้อนี้เสร็จเรียบร้อยจั้นชิงจึงตัดสินใจ…

นางจะต้องพยายามหลีกเลี่ยงเขาให้ถึงที่สุด

 

หลายวันผ่านไป ทุกอย่างล้วนเงียบสงบ

หลังเรือสำเภาบรรทุกสินค้าสามลำของสกุลจั้นไปถึงเมืองซานหยางและพักผ่อนเล็กน้อยแล้วก็เคลื่อนผ่านเขื่อนเข้าไปยังแม่น้ำไหวเหอ น้ำในแม่น้ำไหวเหอเป็นดินโคลนมากกว่าน้ำในคลอง และมีคลื่นใหญ่กว่าเล็กน้อย แต่เซียวจิ้งยังคงไม่ได้อาเจียนเละเทะเหมือนดั่งที่จั้นชิงคาดการณ์ไว้ เขาสามารถยืนอยู่บนเรือได้อย่างมั่นคง ทั้งยังค่อนข้างมีความสุขกับการโคลงเคลงเหล่านั้น

ฝีมือในการตกปลาของเขายังคงไม่ก้าวหน้า แต่เขาไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด ทุกวันยังคงถือเบ็ดตกปลานั่งตกปลาอยู่บนดาดฟ้าหัวเรืออย่างผ่อนคลาย

ส่วนจั้นชิงก็นั่งศึกษาแผนที่มหาสมุทรและแม่น้ำอยู่ในห้องทั้งวัน การเปิดเส้นทางเดินเรือเส้นใหม่นี้ไม่ได้หมายความว่านางจะละทิ้งเส้นทางทางทะเล

โดยพื้นฐานแล้ว อิงจากทักษะการเดินเรือของสกุลจั้นในทะเลมานานปี ความจริงแล้วการเดินเรือทางทะเลนั้นเร็วกว่าทางแม่น้ำ เพราะว่าแม่น้ำใหญ่ยาวพันลี้* เส้นนี้ถึงแม้จะเชื่อมต่อระหว่างแม่น้ำหวงเหอถึงแม่น้ำฉางเจียง ทว่าระดับความลึกของแม่น้ำทุกสายไม่เท่ากัน ดังนั้นในทุกๆ พื้นที่ของระดับน้ำที่แตกต่างกันจึงมีประตูน้ำ ทำนบ หรืออาจจะต้องถมดินเพิ่มเส้นตัดบางส่วน ในยามที่ต้องผ่านพื้นที่แบบนี้พวกเขาจำเป็นต้องยกทั้งเรือขึ้น หรือวางลง หรือดึงรั้ง ขยับเคลื่อนสินค้า เทียบกับทะเลแล้วยุ่งยากกว่ามาก ดังนั้นการเดินเรือครั้งนี้สำหรับสกุลจั้นแล้วก็นับได้ว่าเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง ตลอดเส้นทางนางจำเป็นต้องจดสถานการณ์ของทุกๆ พื้นที่อย่างละเอียด ดูว่าตรงไหนจำเป็นต้องตั้งจุดขนถ่าย ตรงไหนจำเป็นต้องส่งต่อเรือบรรทุก จากนั้นศึกษาหาเส้นทางที่ประหยัดเงิน ประหยัดเวลา และประหยัดกำลังมากที่สุด

วันนี้จั้นชิงกำลังถือพู่กันจดบันทึกสถานการณ์ที่เมืองซานหยางอยู่ในห้อง พลันได้ยินเสียงทอดสมอดังมาจากท้ายเรือ ความเร็วในการเคลื่อนไปข้างหน้าของเรือสำเภาทั้งลำชะงักงัน เพียงขยับไปข้างหน้าอีกไม่กี่ฉื่อก็หยุดลง

จั้นชิงจับน้ำหมึกที่เกือบจะหกจากแท่นหมึกเอาไว้ได้ ก่อนเดินออกไปสังเกตการณ์ที่ข้างนอก

“เกิดอะไรขึ้น” ทันทีที่ออกมา นางก็ได้เห็นว่าเรือสำเภาลำด้านหน้าเองก็หยุดลง และเรือสำเภาลำด้านหลังกำลังทอดสมอลงเช่นกันเพื่อไม่ให้มาชนกับลำด้านหน้า

“เรียนคุณหนูใหญ่ ดูเหมือนว่าลำข้างหน้าจะชนเรือตั๊กแตนลำหนึ่งคว่ำขอรับ” เสี่ยวหวังที่อยู่ตรงหัวเรือรีบเอ่ยตอบ

“ตั๊กแตน?”

เสียงที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังทำให้จั้นชิงสะดุ้งไปทีหนึ่ง เมื่อหันไปมองก็ได้เห็นเซียวจิ้งไม่รู้มาอยู่ข้างหลังนางตั้งแต่เมื่อไร ที่มือขวายังคงถือเบ็ดตกปลา

“บนแม่น้ำมีตั๊กแตนมาจากไหนกัน” เซียวจิ้งถามด้วยใบหน้างุนงง ความจริงแล้วที่เขายิ่งไม่เข้าใจก็คือแค่ชนตั๊กแตนตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งจำเป็นจะต้องหยุดเรือเลยหรือ

“ไม่ใช่ตั๊กแตนที่เป็นแมลงสีเขียวตัวเล็กๆ แบบนั้น ตั๊กแตนคือเรือลำเล็กแบบหนึ่ง” นางถลึงตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ทีหนึ่ง จากนั้นจึงตะโกนกำชับ “เสี่ยวหวัง! สมอท้ายเรือหนักไม่พอ เอาสมอเรือหลักลงด้วย ทำให้ลำเรือมั่นคง! อารอง ข้าต้องการจะไปดูที่ด้านหน้า ท่านอยู่ที่นี่คอยดูแลด้วย”

“รับทราบขอรับ” เสี่ยวหวังตอบรับ เดินไปยังกลางเรือนำสมอหลักที่หนักหลายร้อยชั่ง มาทอดลง

“ยายหนู ระวังด้วย” ฉีซื่อเจินเตือน “จากฝีมือของพวกเด็กๆ แล้วไม่มีเหตุผลที่จะชนเรือลำอื่นได้”

“ข้ารู้” จั้นชิงผงกศีรษะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นเพียงสะกิดปลายเท้าขึ้นลงสองสามครั้งก็โดดไปถึงเรือสำเภาบรรทุกสินค้าลำข้างหน้าแล้ว

ทันทีที่ลงถึงพื้น นางก็เห็นหนึ่งเด็กหนึ่งคนแก่ถูกลูกน้องตนเองช่วยขึ้นมาจากน้ำ ผู้อาวุโสดูเหมือนจะยังสลบไม่ได้สติ ที่อายุน้อยกว่าคนนั้นก็กำลังมือกุมหน้าอกไอออกมาอย่างรุนแรง บรรดาคนเรือพากันล้อมวงอยู่ด้านข้างสองคนนั้น เสี่ยวโจวกำลังยื่นมือออกไปจับชีพจรที่ข้อมือของผู้อาวุโส

เห็นจั้นชิงเดินใกล้เข้ามา ทุกคนก็หลีกเป็นทางสายหนึ่งให้ทันที ผงกศีรษะเอ่ยเรียกอย่างเคารพ

“คุณหนูใหญ่”

ชาวประมงอ่อนวัยผู้นั้นเห็นมีสตรีอยู่บนเรือก็มองจั้นชิงด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง” นางคุกเข่าลงข้างเสี่ยวโจวแล้วซักถาม

เพิ่งจะกล่าวจบ เด็กหนุ่มชาวประมงที่เดิมยังไออย่างรุนแรงอยู่ก็ดีดตัวขึ้นมากะทันหัน ดึงมีดแล่ปลาเล่มเล็กออกมาจากเอว จับตัวจั้นชิงเอาไว้อย่างรวดเร็วแล้วเอามีดพาดไว้บนคอของนาง ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ผู้อาวุโสที่เดิมสลบไสลไม่ได้สติก็ควบคุมตัวเสี่ยวโจวไว้ได้ในชั่วพริบตา

“ห้ามขยับ!” เด็กหนุ่มชาวประมงคนนั้นตะโกนเสียงดัง เสียงนี้ทั้งตะโกนให้จั้นชิงฟัง ให้บรรดาคนเรือบนเรือฟัง แล้วก็ตะโกนให้พวกเดียวกันที่อยู่ในน้ำได้ยินด้วย

เขาตะโกนครั้งนี้ ที่ด้านข้างเรือสำเภาบรรทุกสินค้าก็ปรากฏคนชุดดำนับสิบกระโดดขึ้นมาบนกราบเรือทันที แต่เท้าของพวกเขายังไม่ทันได้แตะดาดฟ้าหัวเรือก็ถูกคนถีบตกลงไปแล้วทั้งหมด!

คนที่ถีบก็คือบรรดาคนเรือที่ไม่มีท่าทีตกใจแม้แต่น้อย ถึงแม้จะเห็นจั้นชิงกับเสี่ยวโจวถูกจับเป็นตัวประกัน บนใบหน้าของทุกคนกลับไร้วี่แววกังวล เพียงแค่ดวงตาเป็นประกายจ้องมองไปที่พวกเขา

เด็กหนุ่มชาวประมงตกตะลึง มีดเล่มเล็กที่พาดคอจั้นชิงขยับแนบชิดยิ่งขึ้นโดยไม่รู้ตัว เกือบจะกดคอของนางให้ปรากฏรอยเลือดสายหนึ่ง ในแววตาของเขาปรากฏประกายอำมหิต ดึงแขนจั้นชิงแล้วตะโกนขึ้น

“ห้ามขยับ! ถ้าขยับอีกข้าจะ…”

เขาเพิ่งพูดไปได้เพียงครึ่งเดียวกลับพบว่าโลกทั้งใบพลิกคว่ำในเสี้ยวเวลานั้น เขามองเห็นท้องฟ้าสีคราม เชือกพวน และใบเรือ จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนตกกระแทกพื้นดังขึ้น ตามมาด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่แล่นมาจากกระดูกสันหลัง ฉับพลันนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกระดูกหัก ครั้นรู้สึกว่ากระดูกข้อมือตนถูกหัก ถึงได้รู้ว่าที่แท้เสียงดังกระแทกพื้นนั้นมาจาก…ตัวเขาเอง!

ใบหน้าหนึ่งบดบังท้องฟ้าไว้ครึ่งผืน เป็นเพราะกระดูกข้อมือหักทำให้ใบหน้าเด็กหนุ่มเกือบจะบิดเบี้ยว แต่ดวงตาที่เปิดกว้างยังคงนึกออกว่าใบหน้านั้นเป็นของสตรีที่เมื่อครู่เขาเพิ่งจะจับเป็นตัวประกัน อีกทั้งมีดเล่มเล็กที่เขาถืออยู่ในมือก็ไม่รู้ว่าไปตกอยู่ในมือของนางตั้งแต่เมื่อไร

ท่ามกลางความเจ็บปวดรุนแรงเขาเอนศีรษะหันไปมองทางพวกพ้อง เดิมคาดหวังว่าผู้อาวุโสที่กำลังภายในสูงแกร่งจะสามารถพลิกสถานการณ์มาช่วยเขาได้ แต่กลับไม่คาดคิดแม้แต่น้อยว่าผู้อาวุโสเองก็ถูกชายฉกรรจ์ที่รูปลักษณ์ธรรมดาผู้นั้นควบคุมตัวเอาไว้แล้ว

จั้นชิงตะโกนเสียงดังด้วยใบหน้าเย็นชา

“เอาตัวพวกโจรที่อยู่ในน้ำเหล่านั้นขึ้นมาให้ข้าให้หมด!”

“ขอรับ!” ที่ตามมาหลังการตะโกนตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกันคือเสียงกระโจนลงน้ำที่ดังขึ้น

จังหวะนั้นเด็กหนุ่มชาวประมงเห็นคนบนเรือหายไปกว่าครึ่งก็หลงคิดว่ามีโอกาสฟ้าประทานให้หลบหนี จึงทนต่อความเจ็บดีดตัวลอดไปทางกราบเรือ หารู้ไม่ว่าจั้นชิงมองความคิดเขาทะลุปรุโปร่งมานานแล้ว ฟาดขากลับหลังง่ายๆ ไปทีหนึ่ง บังคับให้เขากลับไปนอนอยู่ที่เดิม ลูกเตะนั้นสกัดจุดชาของเขาด้วยในเวลาเดียวกัน ทำให้เขาขยับไม่ได้อีกต่อไป

เพียงไม่นานก็ได้เห็นคนที่กระโดดลงน้ำพากันทยอยกลับขึ้นมา ในมือทุกคนล้วนหิ้วคนชุดดำที่เมื่อครู่คิดอยากแย่งขึ้นเรือมาคนละหนึ่งถึงสองคน ในยามนี้เด็กหนุ่มที่ถูกสกัดจุดนอนอยู่บนพื้นจึงเพิ่งรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา พวกเขาผิดไปแล้ว พวกเขากำลังอยู่ระหว่างบรรทุกสินค้ากลับรัง ในตอนที่ผ่านเมืองซานหยางพักผ่อน เห็นเรือสำเภาสามลำนี้กินน้ำลงไปลึกมาก ชัดเจนว่าจะต้องบรรทุกของมาไม่น้อย เดิมหลงคิดว่าเป็นแพะอ้วนสามตัว ใครจะไปรู้ว่าคนบนเรือไม่ใช่คนเรือธรรมดา กระทั่งสตรีผู้หนึ่งยังมีวรยุทธ์ชั้นเลิศ!

พลาดแล้วจริงๆ! หากรู้มาก่อนจะไม่ละโมบมาปล้นทรัพย์สินส่วนเกินพวกนี้ ถ้าหากพวกเขาไม่โลภ ป่านนี้ก็คงกลับไปถึงรังแล้ว ยามนี้ได้แต่หวังว่าบรรดาของที่ได้มาอย่างยากลำบากเหล่านั้นจะไม่ถูกคนพวกนี้พบเจอ

เด็กหนุ่มเพิ่งจะคิดเช่นนั้นก็มีคนทำลายความหวังของเขาขึ้นมาทันที

“คุณหนูใหญ่ คนพวกนี้มีเรือสำเภาจอดเอาไว้ที่ริมฝั่งขอรับ” เหล่าอู๋ที่ขึ้นมาเป็นคนสุดท้ายได้ตามหนึ่งในบรรดาโจรสลัดกลับไปถึงเรือโจรจึงจะจับตัวมาได้ เขาปีนขึ้นมาบนเรือ มือหนึ่งหิ้วตัวโจรสลัด อีกมือชี้ไปที่เรือเล็กตรงริมฝั่งทางด้านขวา เอ่ยรายงานด้วยเสียงหอบ “บนนั้นมีคนถูกขังเอาไว้ใต้ท้องเรือ เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง”

เด็กสาว? จั้นชิงขมวดคิ้ว รู้ว่าตัวเองเป็นคนไปจะสะดวกกว่า จึงโบกมือเอ่ย

“ปล่อยแพไม้ลงน้ำ เสี่ยวโจว เจ้าไปกับข้า!”

ทันทีที่แพไม้ลงน้ำ จั้นชิงก็กระโดดขึ้นไปทันควัน เสี่ยวโจวตามติดไป เขาเพิ่งจะยกไม้พายขึ้น อีกหนึ่งคนก็กระโดดลงมาบนแพเบาๆ ราวกับขนนกที่ไร้น้ำหนัก

เสี่ยวโจวมองเซียวจิ้งอย่างประหลาดใจ เขาเพียงยิ้มบางๆ ไม่ได้ส่งเสียง ดังนั้นจั้นชิงที่ยืนอยู่ด้านหน้าจึงไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย เสี่ยวโจวเห็นดังนั้นก็ไม่พูดอะไรมาก ทันทีที่ขยับไม้พาย แพไม้ก็แล่นฉิวดุจใบไม้ไปบนผิวน้ำยังทิศริมฝั่ง

ยังไม่ทันไปถึงริมขอบ จั้นชิงก็กระโดดขึ้นเรือโจรสลัดไปอย่างอดรนทนไม่ไหว เพียงระยะเวลาสั้นๆ ก็ไปถึงห้องชั้นใต้ดินที่อับชื้นและพบกับเด็กสาวที่ถูกขังเอาไว้ที่นั่น

ยามเห็นเด็กสาวคนนั้น ถึงแม้จั้นชิงจะพบเจออะไรมามากก็ยังคงนิ่งอึ้งไป เป็นเพราะท่ามกลางความมืดดวงตาของเด็กสาวคู่นั้นที่สะท้อนแสงของคบเพลิงในมือนางราวกับดวงตาของสัตว์ป่า

ในตอนที่จั้นชิงเดินเข้าไปใกล้ถึงได้รับรู้ว่าเพราะเหตุใดเหล่าอู๋จึงไม่ได้พาตัวเด็กสาวกลับไปเลยแต่แรก เด็กคนนั้น…ไม่อาจเรียกได้แม้กระทั่งเป็นเด็กสาว นางเป็นเพียงแค่เด็กอายุประมาณสิบขวบเท่านั้น แต่บรรดาโจรสลัดกลับล่ามโซ่หนักหลายชั่งที่ทั้งแขนและขานาง ทั้งยังขังนางอยู่ในกรงไม้ราวกับสัตว์อย่างไรอย่างนั้น!

บนพื้นข้างนอกกรงไม้มีชามปากบิ่นใบหนึ่งบรรจุน้ำสกปรกวางอยู่ ที่ด้านข้างบนอ่างล้างหน้าซึ่งมีรอยร้าววางขนมเปี๊ยะชิ้นใหญ่ไว้หนึ่งชิ้น บนนั้นมีราเขียวปรากฏขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าถูกวางเอาไว้นานแล้ว

จั้นชิงเดินขึ้นไปด้านหน้า เด็กหญิงคนนั้นมองนางเข้าไปใกล้ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ทว่ากลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น และไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ออกมาด้วยเช่นกัน มีเพียงดวงตาคล้ายสัตว์ป่าคู่นั้นที่ทอประกายหวาดระแวง

ในตอนที่จั้นชิงได้เห็นรอยช้ำและบาดแผลบนร่างของเด็กหญิงคนนั้น ความคิดที่ตามมาทันทีคือต้องการจะจัดการบรรดาโจรสลัดเหล่านั้นให้เจ็บปวดสักรอบ!

“ไม่ต้องกลัว ข้ามาช่วยเจ้า” นางคลี่ยิ้ม แสดงให้เห็นว่าตนไม่ได้มีเจตนาร้าย

เด็กหญิงนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ ยังคงจ้องมองนางอย่างระมัดระวังเช่นเดิม

จั้นชิงเองก็ไม่ถือสา หันกลับไปคิดอยากเรียกเสี่ยวโจวมาช่วยปลดโซ่ หารู้ไม่ว่ากลับกระแทกเข้ากับแผ่นอกของเซียวจิ้งที่เดินตามหลังนางมาติดๆ คบเพลิงจึงตกลงไปที่พื้นและดับลงด้วยเหตุนี้

“ให้ตายสิ เจ็บชะมัด!” นางไม่ทันระวัง ดั้งจมูกชนเข้าให้กับคางของเขาแบบเต็มๆ นางเจ็บจนเอามือกุมดั้ง ถลึงตามองเขาพร้อมเอ่ยถามอย่างโกรธจัด “ท่านมาทำอะไรที่นี่!”

“มาช่วย” คุณหนูจั้นผู้นี้ดูเหมือนตั้งมั่นว่าจะเกลียดเขาแน่นอนแล้ว เซียวจิ้งอดยิ้มขื่นไม่ได้ ในเรือยังมีแสงเลือนราง เขาจึงมองเห็นโทสะบนใบหน้าของนาง หรือต่อให้มองไม่เห็นก็ยังฟังออกถึงน้ำเสียงไม่สบอารมณ์

หลังอาศัยแสงเรืองรองหยิบคบเพลิงบนพื้นขึ้นมาส่งให้นางแล้ว เซียวจิ้งก็เดินเข้าไปหากรงไม้

“มาช่วยอะไรกัน ท่านเองก็ปลดโซ่ไม่เป็นเสียหน่อย!”

นางเพิ่งจะกล่าวจบก็ได้ยินเสียงโซ่ที่ขังกรงไม้นั้นตกลงพื้น จั้นชิงรีบจุดคบเพลิงขึ้นมา จึงได้เห็นเซียวจิ้งไม่รู้ว่าทำเช่นไร เพียงพริบตาเดียวก็ไขกุญแจตามข้อมือข้อเท้าเด็กหญิงคนนั้นออกมาได้หมดแล้ว

เขาอุ้มเด็กหญิงออกมา ในตอนที่เดินผ่านนางก็ยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยขึ้น

“ข้าคิดว่าข้าทำได้นะ”

นางเป็นใบ้ไปชั่วขณะ ทำได้เพียงถลึงตามองเขาอย่างกระอักกระอ่วน

“ขึ้นมาเถอะ สหายโจวกำลังรออยู่นะ” ในตอนที่เซียวจิ้งอุ้มเด็กหญิงคนนั้นขึ้นบันไดไม้ก็ยังไม่ลืมเรียกนางให้ตามมา

“ไม่ต้องให้ท่านบอกหรอก!” จั้นชิงรู้สึกคับข้องอยู่ในอก เดินตามหลังไปด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

บทที่สี่

“เจ้าเลือดออกแล้ว” เซียวจิ้งรอนางอยู่บนเรือ พอออกห่างจากทุกคนแล้วถึงได้เดินตามมาก่อนจะยื่นมือไปขวางนางเอาไว้เงียบๆ

ในตอนที่ทุกคนต่างให้ความสนใจกับบาดแผลของเด็กหญิงตัวน้อยและบรรดาโจรสลัดที่ถูกจับไว้เหล่านั้น มีเพียงเขาที่สังเกตเห็นรอยเลือดจางๆ ที่ด้านข้างลำคอของจั้นชิง ที่แท้เด็กหนุ่มชาวประมงคนเมื่อครู่ก็ทำให้นางได้รับบาดเจ็บจนได้ แต่เพราะบาดแผลนั้นอยู่ข้างลำคอ ถูกผมยาวที่ร่วงหล่นลงมาปิดบังเอาไว้จึงไม่มีใครสังเกตเห็น

“ให้ข้าดูหน่อย” เขาต้องการเชยคางของนางขึ้นเพื่อสังเกตบาดแผล ทว่ากลับถูกนางเอนศีรษะหลบ

“ข้าไม่เป็นอะไร” นางเบี่ยงข้างคิดอยากหลบเขาแล้วเดินต่อ “ท่านมองผิดไปแล้ว”

นางเห็นเขาตาบอดหรืออย่างไร

เซียวจิ้งมองสตรีที่ดื้อรั้นตรงหน้าด้วยสีหน้าขบขัน เพียงขยับเท้าสั้นๆ หนึ่งก้าวก็สามารถขัดขวางนางได้แล้ว แลกมากับการถลึงตามองที่เพิ่มความไม่พอใจมากขึ้นของจั้นชิง

“หลบไป!”

เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อแล้วยื่นส่งให้นางพลางเอ่ยอย่างอบอุ่น

“อย่างน้อยก็ห้ามเลือดก่อนเป็นอย่างไร”

ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง! คิ้วของจั้นชิงยิ่งขมวดแน่นกว่าเก่า บนใบหน้ามีความรังเกียจที่ปิดไม่มิด สวรรค์ บุรุษเช่นใดจึงจะพกผ้าเช็ดหน้าติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา ไม่ใช่บรรดาสตรีเสียหน่อย!

มองไปที่ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น แล้วมองไปยังรูปลักษณ์งามสง่าดุจพานอัน ของเซียวจิ้งอีกครั้งหนึ่ง สีหน้าของจั้นชิงยิ่งดูแปลกประหลาด น่ารังเกียจนัก ใบหน้านั้นของเขายิ่งมองยิ่งดูเหมือนสตรี ใบหน้าขาวๆ เช่นนี้ ดีไม่ดีหากเปลี่ยนไปสวมชุดสตรี แต่งหน้าแต่งตาเข้าหน่อยก็คงเหมือนสตรียิ่งกว่าข้าเสียอีก

เซียวจิ้งไม่อาจรู้ได้ว่าในใจนางกำลังคิดอะไรอยู่ เห็นนางไม่พูดอะไรก็ทำได้เพียงเปิดปากเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง

“เจ้าเองก็คงไม่อยากให้ทุกคนรู้ว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บหรอกใช่หรือไม่” กล่าวจบเขาก็นำผ้าเช็ดหน้าที่พับทบเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสผืนนั้นกดเบาๆ ลงบนรอยมีดที่ด้านข้างลำคอของนาง

จั้นชิงคิดอยากเบี่ยงหลบก็ไม่ทัน ผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนนั้นได้กดแนบลงมาแล้ว หากนางยังหลบอีกก็ดูเป็นการกระทำที่เสียเปล่า อีกทั้งที่เขาพูดก็ไม่ผิด นางไม่อยากให้คนรู้ว่านางได้รับบาดเจ็บเข้าแล้วจริงๆ

เดิมทีที่ถลึงตามองเขา พริบตาต่อมาก็ละสายตาออก นางยกมือขึ้นทำหน้าที่กดผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นต่อ ถอยหลังสั้นๆ ไปหนึ่งก้าว ไม่อยากให้ฝ่ามืออบอุ่นคู่นั้นทิ้งค้างอยู่ที่ข้างลำคอของนางอีกต่อไป จากนั้นถึงได้เอ่ย ‘ขอบคุณ’ เสียงเบาอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก ก่อนก้าวเดินเร็วๆ อ้อมเขาจากไปทันที

หนนี้เซียวจิ้งไม่ได้ขวางนางเอาไว้อีก เพียงแค่มองไปยังแผ่นหลังของนาง ยืนอยู่ที่เดิมแล้วครุ่นคิดขึ้นมา

หลายวันมานี้แม้เขาจะทำตัวว่างงานอยู่บนเรือ แต่เขาก็สังเกตการณ์ได้เรื่องราวมาไม่น้อย

อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยถามข้อมูลเบื้องลึกของสกุลจั้นขึ้นมาก่อน รวมเข้ากับรอยยิ้มไร้พิษภัยบนใบหน้า นานเข้าๆ คนบนเรือก็ค่อยๆ ปราศจากความระแวงต่อเขา ยามมีเวลาว่างก็จะมีคนพูดคุยเล่นกันอยู่ข้างๆ เขา แม้แต่ในยามตกปลาก็จะมีคนมาพูดด้วยหลายประโยค

เขาไม่เคยเป็นฝ่ายซักถามขึ้นมาก่อน เพียงแค่ในตอนที่คนอื่นมาชวนคุยเขาก็จะมีทักษะในการเบี่ยงหัวข้อสนทนาไปยังเรื่องที่เขาสนใจอยากรู้ หลายวันผ่านไปภายใต้ความอดทนพยายามของเขาก็นับว่าสามารถรวบรวมสถานการณ์ของสกุลจั้นโดยรวมออกมาได้แล้ว แล้วก็เป็นเพราะเหตุนี้จึงได้รู้สึกนับถือสตรีผู้นี้มากยิ่งขึ้น

จั้นเทียน ผู้นำตระกูลคนเก่าของมังกรสมุทรตระกูลจั้นมีบุตรชายกับบุตรสาวอย่างละหนึ่งคน หรือก็คือจั้นชิงยังมีน้องชายอีกคนชื่อจั้นปู้ฉวิน ในตอนที่รุ่นก่อนหน้าจากโลกนี้ไป ไม่ว่าจะพูดอย่างไรผู้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลก็ควรจะเป็นน้องชายของนาง หล่นมาไม่ถึงมือนางแน่ แต่ได้ยินคนบนเรือพูดกันว่าเมื่อหลายปีก่อนตอนที่จั้นเทียนป่วยหนักอยู่บนเตียง เคยทะเลาะกับบุตรชายใหญ่โตครั้งหนึ่ง วันต่อมาจั้นปู้ฉวินที่ควรเป็นคนรับตำแหน่งผู้นำตระกูลต่อก็จากไปและไม่เคยกลับมาอีก

เนื้อหาของการทะเลาะกันระหว่างสองบิดาบุตรคู่นั้นไม่มีใครรู้ แต่คนบนเรือล้วนเดากันได้คร่าวๆ เห็นได้ชัดว่าเหตุผลหลักคือเมื่อเทียบจั้นชิงกับน้องชายแล้ว นางถึงจะเป็นคนที่มีพรสวรรค์ผู้นั้น ที่น่าเสียดายก็คือนางดันเป็นสตรีผู้หนึ่ง!

ไม่ว่าเหตุผลที่จั้นปู้ฉวินหนีออกจากบ้านไปจะเป็นอะไร การจากไปของเขาล้วนแก้ไขปัญหานี้ จั้นเทียนเหลือเพียงบุตรสาวคนเดียวอยู่ข้างกาย ในตอนที่จะจากโลกนี้ไป ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่งมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลให้แก่บุตรสาวเพียงคนเดียว คนที่ถึงแม้จะมีพรสวรรค์ หากกลับเป็นสตรีอย่างคุณหนูใหญ่จั้นชิงผู้นั้น!

ถึงแม้บรรดาคนเรือเหล่านั้นจะไม่ได้บอก แต่เซียวจิ้งรู้ว่าการรับช่วงต่อของนางย่อมไม่ได้ราบรื่นเช่นนั้น ในตอนที่เขาได้ยินบรรดาคนเรือพูดคุยกันถึงอภินิหารที่นางแสดงให้เห็นในช่วงหลายปีมานี้ราวกับนับสมบัติของตระกูล อย่างแฝงไปด้วยความเคารพและภาคภูมิใจ เขาก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น อีกทั้งยังมีอารมณ์ประหลาดอย่างหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในใจอย่างไม่มีเหตุผล ราวกับ…ความเห็นอกเห็นใจ

ท่ามกลางพายุฝน นางผูกเชือกกับตัวกระโดดลงทะเลไปช่วยคนอย่างกล้าหาญ ในยามโจรสลัดบุก นางตอบโต้ให้ศัตรูล่าถอยอย่างชาญฉลาดและใจเย็น ในยามคลื่นยักษ์บดบังท้องฟ้าถาโถมเข้ามาก็ยังไม่เกรงไม่กลัว กระทั่งในยามที่น้ำดื่มและอาหารกำลังจะหมด เข็มทิศพังและบนฟ้ามีแต่เมฆครึ้ม ในสถานการณ์ที่คนไร้หนทางจะหาทิศทางเจอ นางล้วนสามารถฝืนร่างกายอันบอบบาง ไม่ยอมแพ้ ควบคุมดูแลเรืออย่างมั่นคง นำพาทุกคนที่พากันละทิ้งความหวังไปหมดแล้วสามารถหาเส้นทางกลับบ้าน กลับไปถึงฝั่งได้

ฟังอภินิหารหลากหลายแบบที่นางทำให้เกิดขึ้นมาแล้ว ไม่แปลกใจที่คนบนเรือล้วนเชื่อว่านางคือธิดามังกรสมุทรกลับชาติมาเกิด แต่เขาฟังไปฟังมากลับรู้สึกสับสน สิ่งที่ผุดขึ้นมาในอกไม่ใช่ความประหลาดใจ ทอดถอนใจ แต่เป็นปวดใจและทนไม่ได้ อภินิหารเหล่านั้น…อภินิหารครั้งแล้วครั้งเล่าเหล่านั้น สำหรับนางแล้วก็เป็นเพียงความทรมานยากเข็ญเท่านั้น!

เขาเข้าใจว่าเพราะเหตุใดนางจึงได้ทุ่มเทถึงเพียงนี้ เพราะว่านางเป็นสตรี เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง หากเกิดความเสียหายอะไรขึ้นมาบนเรือ ทุกคนล้วนจะนำความผิดหรือแม้กระทั่งความโชคร้ายต่างๆ โทษลงมาที่นาง ดังนั้นนางไม่อาจปล่อยให้เกิดความผิดพลาดใดๆ ได้ นางจึงไม่ยอมให้ใครรู้ว่านางได้รับบาดเจ็บ ถึงแม้ว่า…จะเป็นแค่รอยมีดบาดเล็กๆ เท่านั้นก็ตาม

เพราะนางรู้ว่าต่อให้รอยมีดจะเล็กกว่านี้ก็ล้วนแต่จะทำให้ผู้คนเกิดความสงสัยขึ้นมา หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความไม่สงบลงไป ทุกคนบนเรือล้วนมองนางเป็นเทพเจ้า ทำให้นางไม่อาจผิดพลาดแม้แต่เล็กน้อยได้ นางจึงไม่อยากและไม่อาจให้ผู้คนรู้ว่านางได้รับบาดเจ็บ เพียงเพราะว่า…นางคือธิดามังกรสมุทรจั้นชิง

ดวงตาของเซียวจิ้งหม่นแสงลง รู้สึกหดหู่กับน้ำหนักของภาระทั้งหมดที่นางแบกรับเอาไว้บนบ่า

 

หลังค้นอาภรณ์สตรีชุดหนึ่งออกมาจากหีบของตนเอง ทั้งยังเรียกให้ลูกน้องต้มน้ำร้อนให้ถังหนึ่ง จั้นชิงถึงได้กลับไปยังห้องที่จัดเอาไว้ให้เด็กหญิงผู้นั้น

“อารอง ถามอะไรออกมาได้บ้างหรือยัง” นางถามอย่างเป็นห่วง

ฉีซื่อเจินส่ายศีรษะ ชี้ไปยังเจ้าตัวเล็กซึ่งหดตัวอยู่ที่มุมเตียง

“นางไม่แม้แต่จะส่งเสียงร้องออกมา เอาแต่หดตัวอยู่ที่นั่นถลึงตามองทุกคน”

“แล้วโจรสลัดพวกนั้นเล่า”

“เสี่ยวโจวกำลังซักถามอยู่”

จั้นชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปที่เด็กหญิงคนนั้นอย่างครุ่นคิด แล้วจึงเอ่ยกับฉีซื่อเจิน

“หากถามอะไรออกมาไม่ได้ก็ช่างเถิด พวกเราจะไปแจ้งทางการที่จวนว่าการถัดไป คนพวกนี้น่าจะเป็นโจรสลัดท้องถิ่นของที่นี่ มือปราบน่าจะสามารถจัดการส่งนางกลับบ้านได้อย่างรวดเร็ว”

“แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน” ฉีซื่อเจินผงกศีรษะ “จริงสิ บาดแผลส่วนใหญ่บนร่างกายของเด็กคนนี้ล้วนเป็นบาดแผลภายนอก สภาพร่างกายค่อนข้างอ่อนเพลียอยู่บ้าง อีกสักพักหลังนางอาบน้ำเสร็จแล้ว เอายาพวกนี้ทาที่บาดแผลของนางก็พอ ข้าจะไปหาไช่เตาให้ทำข้าวต้มที่กินง่ายๆ มาให้ นางน่าจะไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว” พูดจบเขาก็ถอนหายใจพร้อมส่ายศีรษะก่อนเดินออกไป

ฉีซื่อเจินเพิ่งจะก้าวออกไป ชายฉกรรจ์สองคนก็ยกถังไม้ที่เต็มไปด้วยน้ำร้อนเข้าประตูมา

“คุณหนูใหญ่ น้ำมาแล้วขอรับ”

“วางเอาไว้ตรงนี้ก็พอแล้ว ออกไปเถอะ”

ทั้งสองคนได้ยินแล้วก็ผงกศีรษะ จากนั้นจึงถอยกลับออกไป

รอจนประตูห้องปิดลง จั้นชิงถึงได้เดินไปนั่งลงที่ข้างเตียง มองตรงไปยังดวงตาลึกโบ๋บนใบหน้าของเด็กหญิงแล้วเอ่ยอย่างอบอุ่น

“เสื้อผ้าของเจ้าขาดแล้ว พวกเรามาเปลี่ยนเสียหน่อยดีหรือไม่”

เด็กหญิงผู้นั้นจ้องมองนางโดยไม่พูดไม่จา ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น

จั้นชิงหยิบอาภรณ์ที่ตนนำมาด้วยขึ้นมา ใบหน้าประดับรอยยิ้มขณะเอ่ย

“อาบน้ำให้เสร็จแล้วทายา จากนั้นเปลี่ยนมาเป็นชุดที่สะอาด เจ้าก็จะรู้สึกสบายตัวขึ้นเยอะแล้ว รอจนพวกเราแต่งตัวเรียบร้อยก็จะออกไปกินข้าวกัน เจ้าว่าอย่างไร”

เด็กหญิงยังคงนิ่งเงียบ หากดวงตาที่เดิมจ้องมาที่นางโดยไม่แม้แต่จะกะพริบ ยามนี้กลับเหลือบมองไปยังอาภรณ์สีเขียวบนมือของนาง

จั้นชิงยิ้มน้อยๆ ยื่นมือออกไปหาอีกฝ่าย

“มาเถอะ เจ้าไม่อยากจะพูดก็ไม่เป็นไร เรามาเริ่มจากการทำให้เจ้าสะอาดกว่านี้เสียหน่อยก่อนแล้วกัน”

เด็กหญิงตัวน้อยจ้องไปยังมือที่ยื่นออกมาของจั้นชิง แต่กลับไม่ได้ให้ความสนใจมากกว่านั้น เพียงแค่ขยับจากมุมเตียงคลานมายังด้านข้างเตียง วางเท้าที่ปวดเมื่อยลงบนพื้นเงียบๆ แล้วยันปลายเตียงพยายามลุกขึ้นมา

ดื้อรั้นดียิ่งนัก จั้นชิงหยักยิ้มก่อนเก็บมือกลับ ทั้งไม่ได้ถือสาท่าทีของอีกฝ่าย เพียงแค่นิ่งมองเด็กหญิงที่ยืนโซเซอยู่ข้างเตียง จากนั้นก็พยายามเดินไปที่ด้านข้างถังไม้ใบใหญ่ แล้วพยายามถอดชุดที่ทั้งสกปรกทั้งขาดบนร่างตนเองออก

ด้วยรู้ว่านางยังคงถือสากับการมีอยู่ของตน ไม่ยอมร้องขอให้คนอื่นช่วยเหลือ จั้นชิงจึงทำเป็นไม่เห็นสองขาลีบเล็กที่แทบจะยืนไม่ตรงของเด็กหญิงผู้นั้น เพียงแค่วางอาภรณ์สีเขียวสะอาดลงบนโต๊ะ จากนั้นก็หยิบหวีบนโต๊ะมาซ่อนไว้ในแขนเสื้ออย่างแนบเนียน แล้วนำเก้าอี้เล็กๆ มาวางที่ด้านข้างถังไม้ ก่อนจะเอ่ยอย่างอบอุ่น

“น้ำค่อนข้างร้อน รออีกสักพักก็จะพอดีเอง จริงสิ ข้าจะออกไปเอาหวี อีกครู่หนึ่งถึงกลับมานะ”

รอจนจั้นชิงออกไปจากห้อง เด็กหญิงตัวน้อยถึงได้เหยียบขึ้นไปบนเก้าอี้ จากนั้นสองมือสองเท้าก็ช่วยกันปีนเข้าไปในถังไม้อย่างระมัดระวัง

ได้ยินเสียงคนลงไปในน้ำดังขึ้นจากด้านนอกประตูแล้ว จั้งชิงถึงได้ถอนหายใจออกมา

จั้นชิงกำหวีที่เมื่อครู่นางซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อ กระตุกมุมปากขึ้น เท้าแขนลงบนกราบเรือ สายตามองไปยังทิวทัศน์ริมฝั่งที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไป รอให้เด็กหญิงที่ดื้อรั้นผู้นั้นอาบน้ำจนเสร็จ

สายลมอ่อนๆ โชยมาพัดเรือนผมให้ปลิวสยาย นางรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดเล็กๆ จากบาดแผลที่คอ ก่อนจะคิดถึงสายสืบหน้าขาวผู้นั้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

จั้นชิงยกมือขึ้นมาลูบบาดแผลเบาๆ แล้วหลับตาลง ความคิดวกวนอยู่ที่ตัวเซียวจิ้ง

แม้ตลอดมาอิทธิพลของสกุลจั้นจะอยู่แต่ในทะเล หากเป็นเพราะเหตุทางการค้า ดังนั้นบนฝั่งจึงยังมีสายข่าว ทำให้พวกเขาคุ้นเคยกับรายชื่อผู้มีอิทธิพลบนฝั่ง คืนนั้นในยามที่พบกับเซียวจิ้งเป็นครั้งแรกที่หอสี่สมุทร นางก็รู้สึกไม่สบายใจ จึงสั่งให้คนไปสืบหาข่าวว่าคุณชายเซียวผู้นี้มีความเป็นมาอย่างไร

ข่าวที่สืบได้เพิ่งจะถูกส่งขึ้นเรือมาตอนอยู่ที่เมืองซานหยาง เมื่อคืนนางดูแล้วยังตกตะลึงไปพักใหญ่ คิดไม่ถึงว่าบัณฑิตอ่อนแอผู้นี้กลับเป็นถึงคุณชายรองแห่งสกุลเซียวของเมืองโยวโจว สกุลเซียวทำการค้ามารุ่นสู่รุ่น นับตั้งแต่รุ่นก่อนก็กลายเป็นคหบดีอันดับหนึ่งของเมือง ในยามเปลี่ยนมาถึงมือของเซียวเหวยรุ่นนี้ อิทธิพลของสกุลเซียวที่เมืองโยวโจวก็ยิ่งทำให้ผู้คนตกตะลึง กิจการของเมืองโยวโจวกว่าครึ่งล้วนถูกควบคุมอยู่ในมือของเซียวเหวย สกุลเซียวกลายเป็นผู้นำที่เป็นดุจตัวแปรสำคัญในโลกการค้าทางตอนเหนือ

เพียงแต่ตอนนางเห็นข้อมูลครึ่งหลังนั้น กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง หลังสังเกตดูอย่างละเอียดใหม่อีกครั้ง นางถึงได้พบว่าส่วนที่ผิดปกตินั้นอยู่ตรงไหน บุตรชายคนโตของสกุลเซียวเมื่อห้าปีก่อนได้เจรจาการค้าขนาดใหญ่สำเร็จจำนวนไม่น้อย ทั้งยังจัดระเบียบกิจการต่างๆ ที่ยามนั้นยังคงวุ่นวายในเมืองโยวโจว นำพวกกลุ่มความคิดเห็นที่แตกแยกจับรวมกันขึ้นมา ก่อตั้งกฎกติกา ไม่แย่งถิ่นของกันและกัน ทั้งยังร่วมมือกันพัฒนาออกไปสู่ภายนอก ด้วยเหตุนี้ตลอดห้าปีที่ผ่านมาการค้าในเมืองโยวโจวจึงพัฒนาอย่างรุ่งโรจน์ หากมีการจัดอันดับคหบดีทั้งแผ่นดิน หนึ่งในสามส่วนของร้อยอันดับแรกย่อมมาจากเมืองโยวโจวแห่งนี้

ที่แปลกก็คือหลังผ่านเรื่องใหญ่ที่สั่นสะเทือนโลกการค้าเรื่องนี้ไป ตลอดห้าปีที่ผ่านมาเซียวเหวยกลับไม่เคยกระตือรือร้นที่จะขยายกิจการออกไปข้างนอกอีก เพียงแค่ดูแลกิจการที่มีอยู่ โดยไม่มีการตัดสินใจทำสิ่งใดที่เสี่ยงอันตรายเกินไป ราวกับว่าความกระตือรือร้นในการรวมกิจการเมื่อห้าปีก่อน จิตวิญญาณในการเปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบขาดเป็นเพียงดอกถานบานให้เห็นเพียงชั่วครู่ อีกทั้งบางครั้งบางคราวยังเกิดการลงทุนผิดพลาด ถึงแม้ความเสียหายจะไม่มาก แต่ก็กลับทำให้ผู้คนอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่าเซียวเหวยผู้นี้เป็นผู้นำที่ชาญฉลาดเหนือใคร ต่อสู้เพื่อสกุลเซียวคนนั้นจริงๆ หรือ

เรื่องนี้จำเป็นจะต้องตรวจสอบให้กระจ่าง

นิ้วมือของจั้นชิงขยับลากเส้นคำนวณบนกราบเรือเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว หากว่าการขนส่งทางแม่น้ำเป็นไปได้ดี อนาคตยังสามารถขยายกิจการไปทางเหนือ การสานสัมพันธ์กับสกุลเซียวนับเป็นเรื่องที่ต้องกระทำ ตอนนี้สามารถสืบได้นิดได้หน่อยก็ยังดี หากนางสามารถเข้าใจได้ว่าเพราะเหตุใดตลอดห้าปีที่ผ่านมาเซียวเหวยจึงได้เปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้ ถึงเวลาเจรจาการค้ากับเขาก็จะสามารถมีเบี้ยเจรจาได้มากขึ้น

เกี่ยวกับคุณชายรองสกุลเซียวอย่างเซียวจิ้ง กลับมีน้อยคนนักที่พูดถึง เพียงรู้แค่ว่าเขาเป็นบัณฑิตอ่อนแอที่ได้รับการศึกษามาอย่างดีผู้หนึ่ง หลายปีก่อนยังเคยนอนป่วยซมอยู่บนเตียงมานานหลายปี

อ่อนแอ? ป่วยนอนเตียง?

จั้นชิงเลิกคิ้ว รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แม้ใบหน้าเขาจะซีดขาวไปหน่อย ร่างกายดูไปแล้วก็บอบบาง แต่ไม่เคยมีลักษณะอาการป่วย ทว่า…บางทีเขาอาจจะเคยป่วยหนักมาครั้งหนึ่งจริงๆ ด้วยเหตุนี้ถึงได้ไปเรียนวรยุทธ์เพิ่มความแข็งแรง

หากคิดเช่นนี้ ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะมีเหตุผล คุณชายรองในตระกูลคหบดีผู้ร่ำรวยทางตอนเหนือ เป็นเพราะป่วยนอนเตียงมาหลายปี ไม่มีอำนาจในตระกูล ดังนั้นในตอนที่สุขภาพกลับมาแข็งแรงดีจึงออกจากบ้านลงมาทางใต้เพื่อค้นหาเส้นทางของตนเอง

จากข้อมูลที่สายข่าวหามาได้เขียนเอาไว้ว่าสกุลฉินกับสกุลเซียวแม้ฝ่ายหนึ่งอยู่ทางใต้ อีกฝ่ายอยู่ทางเหนือ แต่ทั้งสองตระกูลล้วนเป็นตระกูลพ่อค้า ทำความรู้จักสนิทสนมกันมาตั้งแต่รุ่นก่อน ความสัมพันธ์ระหว่างสกุลฉินกับสกุลเซียวค่อนข้างดี บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่เซียวจิ้งปรากฏตัวที่คฤหาสน์สกุลฉินในเมืองหยางโจว…

“กำลังคิดอะไรอยู่”

“ฮะ?!” จั้นชิงสะดุ้งตกใจ หันกลับไปอย่างรวดเร็วก็ได้เห็นเซียวจิ้งไม่รู้ปรากฏตัวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร นางเอ่ยอย่างกรุ่นโกรธ “ท่านทำ…”

“ทำอะไรอยู่ที่นี่ ใช่หรือไม่” เซียวจิ้งเป็นฝ่ายต่อประโยคของนางด้วยตนเอง แล้วจึงคลี่ยิ้มเอ่ยอธิบาย “ข้าไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่เห็นเจ้าเหม่อลอยอย่างหาได้ยากเลยรู้สึกประหลาดใจ”

จั้นชิงพลันใบหน้าแดงขึ้นมา ตอบกลับอย่างกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง

“เกี่ยว…เกี่ยวอะไรกับท่านกัน!”

“ก็ไม่ได้เกี่ยวกับข้า” เซียวจิ้งลูบจมูกอย่างคนหาเรื่องใส่ตัว แต่กลับไม่ได้ถอยหลบ เพียงแค่ยิ้มแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นต่อ “เจ้ายังเจ็บแผลอยู่อีกหรือไม่”

นางยกมือขึ้นบังลำคอทันควัน ราวกับกลัวว่าเขาจะยื่นมือออกมาสัมผัสอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะเขม็งมองเขาอย่างระมัดระวัง

“ไม่แล้ว ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าไม่เป็นไร”

เซียวจิ้งเห็นดังนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“พูดกันตามตรง เจ้าไม่จำเป็นต้องทำตัวตึงเครียดทุกครั้งที่ข้าเข้าใกล้ ใช้ชีวิตเหมือนเม่นน้อยที่ถูกทำให้ตกใจเช่นนั้นหรอกนะ”

ได้ยินดังนั้นจั้นชิงก็ก้มมองดูเสื้อผ้าสีเทาบนร่างกายตนเองอย่างห้ามไม่ได้ หากหลังรู้สึกตัวว่าตนเองได้รับอิทธิพลจากคำพูดของเขา นางก็รีบเงยหน้าขึ้น เลิกคิ้วเอ่ยแก้ตัวอย่างไม่พอใจ

“ข้าไม่ได้เป็นแบบนั้นเสียหน่อย!”

หลังการประท้วงของนาง เซียวจิ้งไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่แสดงท่าทีอ่อนโยนให้เห็น

“หนนี้ที่ข้าขึ้นเรือ เพียงแค่อยากรู้ว่าสกุลจั้นมีความสามารถในการทำงานขนส่งสินค้าจริงหรือไม่เท่านั้น และเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าคิดว่าหลายวันที่ผ่านมา รวมถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ทุกอย่างล้วนแสดงให้เห็นถึงความสามารถของพวกเจ้าแล้ว ดังนั้นเจ้าสามารถเก็บหนามทั้งร่างของตนเองได้ ทำเหมือนข้าเป็นแขกธรรมดาคนหนึ่งเป็นอย่างไร”

นางยังคงแสดงสีหน้าเย็นชาผลักไสผู้คน

“นี่เป็นเรือสินค้า…”

“ไม่รับแขก! เรื่องนี้ข้ารู้ แต่ระหว่างวันเวลาเดินทางที่เหลือ หากว่าพวกเราสามารถอยู่ร่วมกันดีๆ ได้ การมีสหายเพิ่มขึ้นหนึ่งย่อมดีกว่ามีศัตรูเพิ่มอีกหนึ่งจริงหรือไม่”

พูดเช่นนี้ก็ไม่ผิด แต่จั้นชิงยังคงขมวดคิ้ว นางมองไปที่เซียวจิ้ง รู้ว่าตัวเองควรใจเย็นลงหน่อย ไม่อาจเป็นเพราะตนเองอคติกับเขาจึงได้ลากสกุลจั้นทั้งตระกูลลงมาเป็นศัตรูกับเขา

นอกจากนี้นางกับเขายิ่งไม่มีความแค้นยิ่งใหญ่อะไรระหว่างกัน เพียงแค่…เพียงแค่นางไม่ชอบใบหน้าเปื้อนยิ้มที่เหมือนมองทะลุปรุโปร่งทุกอย่างของเขาเท่านั้น ทว่านี่ก็ไม่อาจนับเป็นความผิดของเขาได้ ในเมื่อการมีใบหน้าที่งดงามเกินไปก็ไม่ใช่อะไรที่เขาจะสามารถควบคุมได้เอง

เมื่อตระหนักได้ว่าตลอดมาตนเองล้วนใช้อารมณ์เป็นใหญ่ในการโต้ตอบเขา จั้นชิงจึงตัดสินใจที่จะยุติธรรมต่อเขาหน่อย นางผ่อนคลายสีหน้าลง เบี่ยงหน้ากลับไปมองกระแสน้ำบนแม่น้ำแล้วเอ่ยเสียงเรียบ

“ข้าไม่ได้มองท่านเป็นศัตรู”

ทว่าก็ไม่ใช่สหายเช่นกัน นางลอบคิดในใจ

เขายิ้มออกมาบางๆ กระจ่างถึงคำพูดที่นางไม่ได้เอ่ย รู้ว่าตนเองไม่ได้รับการต้อนรับจากผู้อื่นจริงๆ หากอย่างน้อยท่าทีของนางก็ดีขึ้นมาบ้างแล้ว เซียวจิ้งอาศัยโอกาสนี้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา หวังให้นางสามารถผ่อนคลายลงได้ อย่าได้เอาแต่คอยระแวดระวังตัว

“จริงสิ เด็กหญิงคนนั้นเล่า นางดีขึ้นหรือยัง”

“นางกำลังอาบน้ำ” จั้นชิงตอบพร้อมชี้ไปยังห้องที่อยู่ด้านหลังตนเอง “ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว แต่น่าจะพอทนไหวอยู่”

“ถามออกมาได้หรือไม่ว่านางมาจากที่ใด”

“ไม่ได้ นางไม่ยอมพูด” จั้นชิงส่ายศีรษะ “อารองบอกว่านางไม่แม้แต่จะเปล่งเสียง”

“ไม่พูด?” เซียวจิ้งประหลาดใจเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่สักพักจึงมองไปยังจั้นชิงแล้วเอ่ย “เป็นไปได้หรือไม่ว่านางอาจจะพูดไม่ได้แต่แรกแล้ว”

นางชะงักไปเล็กน้อย “ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นมาก่อน”

“เจ้าวางแผนจะทำอย่างไรต่อกับเหล่าโจรสลัดและเด็กหญิงคนนั้น”

ในตอนนั้นเองเรือเล็กลำหนึ่งก็ได้เคลื่อนผ่านเรือสำเภาของพวกเขา บนเรือมีเด็กชายคนหนึ่งกำลังมองมาที่เรือบรรทุกสินค้าอย่างใคร่รู้ ในตอนที่มองเห็นจั้นชิงกับเซียวจิ้ง เขาก็ยิ้มกว้างออกมาทันควัน ทั้งยังโบกไม้โบกมือให้ทั้งสองคน

จั้นชิงถูกความกระตือรือร้นของเด็กชายทำเอายิ้มตามโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังยืดมือออกไปโบกตอบ ก่อนตอบคำถามของเซียวจิ้งไปด้วย

“สินค้าของพวกเรายังต้องส่งไปทางเหนือ ดังนั้นจึงจะไปแจ้งทางการที่จวนว่าการถัดไป ให้มือปราบเป็นคนจัดการ”

เรือใหญ่กับเรือเล็กเคลื่อนผ่านกันไป แต่เด็กชายยังคงโบกมือให้พวกเขาจนกระทั่งห่างไปไกล จั้นชิงยังคงยิ้มโดยไม่รู้ตัว อารมณ์ดีขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

เซียวจิ้งรู้สึกประหลาดใจที่นางมีปฏิกิริยาตอบรับกับเด็กชายคนนั้น อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา

“เจ้ารู้จักกับเขาหรือ”

“ไม่รู้จัก”

“เช่นนั้นทำไม…” เขารู้สึกงุนงงเล็กน้อย

“ไม่รู้จักก็ทักทายกันไม่ได้หรือ” นางมองเขาอย่างขบขันอยู่บ้าง ถามดั่งเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว

เซียวจิ้งได้ยินแล้วชะงักไป คำถามนี้ของจั้นชิงทำให้เขาพบว่าตนเองเปลี่ยนไปนึกถึงแต่เรื่องผลประโยชน์ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ถึงขั้นกลายเป็นคนเย็นชาขึ้นมา

ไม่รู้จักก็ทักทายไม่ได้หรือ

หากเป็นเมื่อก่อนเขาเองก็คงจะยิ้มและโบกมือทักทายเด็กน้อยเช่นนี้กระมัง ไม่รู้ตั้งแต่ยามใดที่เขากลับกลายเป็นคนที่สนใจแต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนเอง

หลายปีมานี้ที่เดินทางท่องเที่ยวในเจียงหนาน เขาอาจได้เห็นมาหลายสิ่ง แต่ก็คล้ายกับว่าหลงลืมความตื้นตันใจในตอนแรกไปหลายอย่างแล้วเช่นกัน…เมื่อมองไปที่ดวงตาแฝงรอยยิ้มของนาง เขาก็ส่ายศีรษะอย่างเย้ยหยันตนเอง ยิ้มน้อยๆ แล้วตอบกลับ

“แน่นอนว่าย่อมได้”

เขาเพิ่งกล่าวจบก็ได้ยินเสียงของหนักหล่นดังออกมาจากห้องทางด้านหลัง

ทั้งสองคนหมุนตัวไปพร้อมกัน จั้นชิงยื่นมือออกมาขวางไม่ให้เขาผลักประตู

“นางกำลังอาบน้ำอยู่”

ความหมายก็คือเด็กคนนั้นอาจจะยังแต่งกายไม่เรียบร้อย กระทั่งยังไม่สวมเสื้อผ้า เซียวจิ้งหดมือกลับ รู้ว่าตนเองไม่สะดวกจะเข้าไป

เห็นเขาหยุดชะงักทั้งหมุนตัวกลับ จั้นชิงถึงได้รีบผลักประตูเข้าไป ก่อนจะได้เห็นเด็กหญิงล้มนั่งอยู่บนพื้น อาภรณ์สีเขียวถูกนางสวมไปเพียงครึ่งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ายืนไม่มั่นคงจึงล้มลง

“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” จั้นชิงเข้าไปช่วยพยุงนางขึ้นแล้วคุกเข่าลงสำรวจว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บ ก่อนช่วยนางแต่งตัวไปด้วยพร้อมกัน

นางยังคงไม่พูดอะไร แต่คล้ายกับจะตระหนักแล้วว่าตัวเองมีแรงไม่พอจริงๆ จึงไม่ได้ปฏิเสธความช่วยเหลือของจั้นชิงอีก

หลังช่วยเด็กหญิงสวมอาภรณ์ที่ค่อนข้างหลวมไปหน่อยเรียบร้อยแล้ว จั้นชิงจึงหยิบผ้าแห้งที่ด้านข้างขึ้นมาเช็ดผมยาวที่เปียกชื้นของนางให้แห้ง

“อาภรณ์ชุดนี้ใหญ่ไปหน่อย รอพรุ่งนี้ขึ้นฝั่งแล้ว เราค่อยไปหาซื้อชุดที่พอดีกับตัวเจ้า ตอนนี้ก็สวมเท่าที่มีไปก่อนนะ”

ทันใดนั้นก็มีเสียงคนเคาะประตูดังมา ตามด้วยเสียงถามไถ่จากเซียวจิ้ง

“คุณหนูจั้น พวกเจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

จั้นชิงถึงเพิ่งนึกออกว่าเขายังรออยู่ที่ด้านนอก จึงตะโกนตอบกลับ

“ไม่เป็นอะไร ท่านเข้ามาได้แล้ว”

ทันทีที่เซียวจิ้งเดินเข้ามาก็ได้เห็นนางกำลังช่วยเด็กหญิงหวีผม ส่วนเด็กหญิงคนนั้นเมื่อเห็นว่ามีคนเดินเข้าประตูมาก็ตัวแข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หากหลังนึกออกว่าคือเซียวจิ้งที่ช่วยนางออกมาจากกรง จึงได้ผ่อนคลายลงอีกครั้ง

“เสียงเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น” เขาถาม

“ไม่มีอะไร นางแค่ไม่ทันระวังเลยล้ม” จั้นชิงถือหวีแบ่งเรือนผมสีดำของเด็กหญิงออกเป็นหลายช่อ แล้วถักอย่างคล่องแคล่ว

เซียวจิ้งหาที่นั่งให้ตนเอง สายตามองนิ้วมือของจั้นชิงที่กำลังถักผมยาวของเด็กหญิงอย่างคล่องแคล่ว เขามองสำรวจอย่างสนใจครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

“ข้ามักจะสงสัยเสมอว่าทรงผมกับเปียเหล่านั้นของสตรีทำออกมากันได้อย่างไร ดูไปแล้วก็ช่างไม่น่าเชื่อจริงๆ มือของสตรีอย่างพวกเจ้าช่างยอดเยี่ยมนัก”

จั้นชิงเหลือบมองเขาหนหนึ่งโดยไม่ได้หยุดมือ เอ่ยอย่างขบขัน

“นับเป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินคำพูดเช่นนี้”

“เชื่อข้า บุรุษที่สงสัยไม่ได้มีแค่ข้าเพียงคนเดียว” เขายกมุมปากเอ่ยตอบ

นางได้ยินแล้วหุบยิ้ม

“ท่านคงไม่ได้คิดอยากให้ข้าเชื่อว่าคนบนเรือของข้ามีความคิดเช่นเดียวกับท่านหรอกนะ”

เซียวจิ้งกะพริบตาปริบๆ เอ่ยอย่างหยอกเย้า

“ต่อให้ไม่ใช่ทั้งหมด ก็ต้องมีครึ่งหนึ่ง จริงด้วย เหตุใดทรงผมของเจ้าถึงไม่ได้ทำให้ซับซ้อนเช่นนั้น” เขาชี้ไปยังเรือนผมสีดำของนางที่อาศัยเพียงเชือกมัดรวบเอาไว้ลวกๆ เท่านั้น

จั้นชิงนำผมเปียที่ถักเรียบร้อยแล้วม้วนขึ้นมาบนหัวเด็กหญิง จากนั้นก็ใช้ปิ่นปักผมทำให้แน่น เสร็จแล้วถึงได้หันมองเซียวจิ้ง เอ่ยอย่างเรียบง่าย

“ข้าต้องปีนขึ้นปีนลงทั้งวัน หากทำซับซ้อนไปก็ไม่สะดวก”

ไม่สะดวก?

มองนางพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย ในอกเซียวจิ้งกลับปรากฏอารมณ์แปลกประหลาดผุดขึ้นมาอีกครั้ง

ทรงผมกับเครื่องประดับเหล่านั้นถึงแม้จะซับซ้อนทั้งไม่สะดวก แต่กลับสามารถทำให้สตรีเปลี่ยนไปงดงามขึ้นมิใช่หรือ

สตรีทุกคนล้วนรักความสวยความงามใช่หรือไม่ แต่เพื่อสกุลจั้น นางกลับยอมทิ้งเครื่องประดับงดงาม ยอมทิ้งการแต่งตัวแต่งหน้า ยอมทิ้งปิ่นทองจี้หยก ยอมทิ้งโอกาสที่สามารถทำให้นางงดงามได้ ดูที่อายุของนางเองก็ควรจะยี่สิบปีแล้ว หากกลับยังไม่เคยมีข่าวเรื่องงานแต่งงาน ดูท่าแล้วก็คงเป็นเพราะเหตุผลนี้

เพราะเหตุใดกัน เดิมทีนางสามารถทำตัวเป็นคุณหนูใหญ่อยู่บนฝั่งก็ดีอยู่แล้ว เหตุใดถึงได้ขึ้นเรือมาด้วยตนเอง ทรมานตนเองถึงเพียงนี้ สกุลจั้นไม่มีคนอื่นที่สามารถนำกองเรือได้อีกแล้วหรือไร หรือว่ายังมีเหตุผลอื่นอีก

เซียวจิ้งมองไปยังสองมือที่คล่องแคล่วของนางแล้วคิดอย่างเหม่อลอย มือของนางไม่นุ่มเนียนเหมือนกับคุณหนูสูงศักดิ์ทั่วไปเช่นนั้น บนหลังมือซ้ายยังมีแม้กระทั่งรอยแผลเล็กๆ แต่ถึงแม้สองมือนั้นจะไม่ใช่มือสตรีที่ไร้ตำหนิ ทว่ากลับทำให้เขาคิดอยากยื่นมือออกไปกอบกุม…

แม้จะอยากทำนัก แต่เขาก็ไม่ได้ยื่นมือออกไปจริงๆ แค่นึกประหลาดใจกับตนเองอยู่ในใจว่าเหตุใดถึงมักเกิดความรู้สึกประหลาดกับนางอยู่เสมอๆ เขามักจะอยากเข้าใกล้นาง พูดคุยกับนางโดยไม่รู้ตัว ถึงขั้นเมื่อเห็นนางได้รับบาดเจ็บก็จะรู้สึกไม่สบอารมณ์ ยามเห็นบาดแผลของนางก็อยากจะสัมผัสลูบไล้บาดแผลนั้นอย่างเสียไม่ได้

หัวคิ้วของเซียวจิ้งขมวดเข้าหากันเล็กน้อย รู้สึกไม่เข้าใจ เขานั่งมองนางอย่างนิ่งเงียบอยู่ที่ด้านข้าง พยายามจะทำให้เรื่องราวกระจ่าง ทว่ายิ่งคิดกลับยิ่งสับสน

“เรียบร้อยแล้ว” จั้นชิงสัมผัสบ่าของเด็กหญิง ให้นางหันมาเผชิญหน้ากับตนเอง “เจ้าสามารถบอกชื่อของเจ้ากับข้าได้หรือไม่”

หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดชุดใหม่ ทั้งยังหวีจัดการเรือนผมยาวเรียบร้อยแล้ว เด็กหญิงตรงหน้าก็ดูบริสุทธิ์งดงามขึ้นไม่น้อย เพียงแค่น่าเสียดายที่ภายในดวงตาดำขลับยังคงทอประกายหวาดระแวง ทั้งนางยังคงไม่ยอมพูดอะไร

ความเงียบของนางทำให้จั้นชิงอดสงสัยไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างที่เซียวจิ้งพูดว่าเดิมทีนางก็พูดไม่ได้แต่แรกแล้ว

ยามมองเด็กหญิงที่จ้องเขม็งมาที่ตนเอง ริมฝีปากเล็กดุจอิงเถา* ไม่มีเจตนาจะอ้าปากเอ่ยเลยสักนิด จั้นชิงก็ทำอะไรกับนางไม่ได้นอกจากเอ่ยขึ้นว่า

“เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน เจ้าจำเป็นต้องมีชื่อให้ทุกคนเรียก ในเมื่อเจ้าไม่พูด ข้าจะเรียกเจ้าว่าโม่เอ๋อร์เป็นการชั่วคราว ตกลงหรือไม่”

เด็กน้อยไม่มีปฏิกิริยาอะไรในทีแรก ผ่านไปสักพักจึงผงกศีรษะเบาๆ จั้นชิงเห็นดังนั้นก็ยิ้มน้อยๆ

“เช่นนั้นต่อจากนี้ข้าจะเรียกเจ้าว่าโม่เอ๋อร์” นางจูงมือโม่เอ๋อร์ “เอาล่ะ โม่เอ๋อร์ ตอนนี้พวกเราไปกินข้าวกันได้แล้ว บนเรือของพวกเรามีท่านลุงไช่เตา อาหารฝีมือเขานับเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าเชียวนะ”

เมื่อได้ยินว่ามีของกิน ดวงตาหม่นหมองของโม่เอ๋อร์ก็เปล่งประกายขึ้นมา ทั้งยังยอมให้จั้นชิงจูงเดินออกไปอย่างว่าง่าย

เซียวจิ้งได้ยินแล้วก็ดึงสติกลับมาเช่นกัน เขาลุกขึ้นยืน เดินตามหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ไปด้วยรอยยิ้มกว้าง

ไม่รู้ว่านางสังเกตหรือไม่ แต่ทุกครั้งที่นางอยู่กับเด็กหญิงก็จะแสดงด้านที่อ่อนโยนออกมาโดยไม่รู้ตัว ทำเอาเขารู้สึกอิจฉาเด็กหญิงคนนั้นอยู่บ้าง

เฮ้อ เขายังหวังจริงๆ ว่าจะมีสักวันที่นางจะช่วยเขาหวีผม…แน่นอนว่าไม่ได้ทำทรงผมถักเปียเหมือนดั่งสตรี เขายังไม่มีความชอบประหลาดแบบนั้น!

ทว่านางเองก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเขา เรื่องแบบนี้ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น หากอยากให้นางมาช่วยเขาหวีผม นอกจากแต่งงานกับนาง…

แต่งงานกับนาง?!

หลังตระหนักได้ว่าตนเองกำลังคิดอะไรอยู่ เซียวจิ้งก็นิ่งอึ้ง หยุดอยู่กับที่ทันควัน ดวงตาเบิกกว้างมองไปที่แผ่นหลังของจั้นชิง สีหน้าซีดขาวลงเล็กน้อย

ข้าคิดอยากจะแต่งงานกับนาง? เป็นไปไม่ได้หรอกน่า!

เซียวจิ้งมุมปากกระตุกด้วยใบหน้าซีดขาว หัวเราะแห้งๆ ออกมาโดยไร้เสียง

เป็นไปไม่ได้ ข้าจะคิดอยากแต่งงานกับนางได้อย่างไร ข้าไม่มีทางคิดอยากแต่งงานกับนาง! ข้ารักอิสระ ไม่ชอบการถูกผูกมัด ตลอดมาก็ออกร่อนเร่จนเป็นนิสัยแล้ว จะมีความคิดอยากมีครอบครัวได้อย่างไร

จะต้องเป็นเพราะอยู่บนเรือนานไปแล้วจึงเป็นเช่นนี้แน่ๆ สมองของข้าแค่สับสนไปชั่วขณะ…ใช่ เป็นเพราะบนเรือมีนางเป็นสตรีเพียงคนเดียว ข้าถึงได้มึนงงเกิดความคิดเช่นนั้นขึ้นมา!

เพราะเหตุนี้ เป็นเพราะเหตุนี้แน่ๆ เป็นเพราะเหตุนี้อย่างแน่นอน จะต้องเป็นเพราะเหตุนี้!

หลังขจัดความคิดอันตรายที่ผุดขึ้นมาในสมองทิ้งไป เซียวจิ้งก็พยายามฝืนยิ้มออกมา ต่อให้ตายก็ไม่ยอมสืบค้นลงลึกอีกต่อไป ตัดสินใจเชื่อว่าความคิดของตนเองนั้นไม่ผิด นี่ก็แค่เป็นเพราะอยู่บนเรือมานานเกินไปเท่านั้น ขอเพียงได้ลงจากเรือ เขาก็จะไม่มีความคิดเช่นนี้อยู่อีก!

ขอเพียงได้ลงจากเรือเท่านั้น…

บทที่ห้า

ในวันที่บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยก้อนเมฆหนาทึบ เรือขนส่งสกุลจั้นก็มาถึงอำเภอเมืองข้างๆ แล้วจอดทิ้งไว้ริมฝั่งแม่น้ำ

คนเรือหลายคนพากันคุมตัวเหล่าโจรสลัดมุ่งตรงไปยังจวนว่าการประจำเมือง จั้นชิงเปลี่ยนเป็นสวมอาภรณ์สตรีเดินจูงมือโม่เอ๋อร์อยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น

ส่วนเซียวจิ้งเป็นเพราะมีปมอยู่ในใจจึงอยากรีบลงจากเรือจนแทบทนไม่ไหว ต่อให้ทำได้เพียงเดินเล่นในเมืองก็ยังดี ในใจเขากำลังคิดว่าขอเพียงได้ขึ้นฝั่ง ได้เห็นสตรีคนอื่นๆ ความคิดอันตรายอันแปลกประหลาดนั้นก็ควรจะหายไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงติดตามทุกคนเข้าเมืองไปด้วยกัน

เมื่อมาถึงจวนว่าการ นักโทษก็ถูกจับเข้าห้องขัง แต่เด็กน้อยโม่เอ๋อร์คนนี้กลับกอดจั้นชิงแน่นไม่ยอมปล่อย ไม่ว่าทุกคนจะหว่านล้อมอย่างไร นางก็ไม่ยอมปล่อยมือ

“จะทำอย่างไร” เจ้าหน้าที่ผู้นั้นไม่สะดวกฝืนดึงตัวเด็กหญิงออกมา ได้แต่มือเท้าเก้ๆ กังๆ

จั้นชิงตบบ่าโม่เอ๋อร์เบาๆ ก้มหน้าเอ่ยอย่างอ่อนโยน

“โม่เอ๋อร์ เจ้าไม่อยากกลับบ้านหรือ ท่านลุงเหล่านี้สามารถพาเจ้ากลับบ้านได้นะ”

โม่เอ๋อร์ได้ยินแล้วเอาแต่กอดนางแน่น จากนั้นจึงส่ายศีรษะอย่างรุนแรง ไม่ปล่อยก็คือไม่ปล่อย

“คุณหนูจั้น ข้าคิดว่า…จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าครอบครัวของเด็กน้อยคนนี้ล้วนเสียชีวิตไปหมดแล้ว จึงไม่มีบ้านให้กลับ ท่านเองก็รู้ว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้ที่นี่ปรากฏคนจรจัดจำนวนไม่น้อย เป็นไปได้ว่านางอาจจะพลัดหลงกับบิดามารดากลางทาง หรือว่าพวกเขาล้วนเสียชีวิตกันหมดแล้ว นางถึงได้ถูกโจรสลัดพวกนั้นจับตัวไป คิดอยากนำไปขายแลกเงิน” เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งเห็นเด็กหญิงคนนั้นไม่ยอมพูดจาเอาแต่ส่ายศีรษะ ก็อดพูดความคิดที่อยู่ในใจออกมาไม่ได้

เมื่อเห็นท่าทางเด็กคนนี้เอาแต่กอดคุณหนูใหญ่แน่นราวกับกลัวถูกทอดทิ้งอย่างไรอย่างนั้น เสี่ยวโจวก็อดเอ่ยแทรกขึ้นมาไม่ได้

“คุณหนูใหญ่ ที่เจ้าหน้าที่พูดมาก็มีความเป็นไปได้นะขอรับ บางทีเด็กคนนี้อาจไม่มีบ้านให้กลับไปแล้ว ข้าคิดว่าไม่สู้พวกเราก็พานางไปด้วยเสียเลย คิดเสียว่าเป็นสาวใช้ที่ท่านรับมาใหม่ จะได้ช่วยเหลือธุระบางเรื่องให้ท่านได้ด้วยขอรับ”

อย่างนั้นหรือ คิ้วคู่งามของจั้นชิงขมวดเข้าหากันน้อยๆ หากเป็นเช่นนี้จริง ถ้าอย่างนั้นเหตุใดพวกโจรสลัดถึงต้องขังโม่เอ๋อร์เอาไว้ในกรง ทั้งยังล่ามโซ่ไว้กับแขนขานางด้วย

จั้นชิงไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยขึ้น

“ข้าคิดว่าโม่เอ๋อร์อาจจะเป็นบุตรสาวของตระกูลใหญ่โตสักตระกูลหนึ่ง ถึงได้ถูกโจรสลัดเหล่านั้นลักพาตัว คิดอยากจะเรียกค่าไถ่ หากเป็นเช่นนี้ การที่พวกเราพาตัวนางไปจะไม่กลายเป็นการอวดฉลาดจนเสียเรื่องพอดีหรอกหรือ”

“เรื่องนี้…” ทุกคนมองโม่เอ๋อร์ที่กอดจั้นชิงแน่นไม่ยอมปล่อย ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี

พลันเซียวจิ้งที่นิ่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยขึ้น

“สมมติว่าทิ้งโม่เอ๋อร์เอาไว้ที่นี่ แต่นางไม่ยอมพูด เหล่าเจ้าหน้าที่จะสามารถหาตัวบิดามารดานางพบหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่สุดจะรู้ ต่อให้หาพบก็ต้องอาศัยเวลาหลายเดือน นำนางที่เป็นเด็กหญิงคนหนึ่งมาทิ้งเอาไว้ในสถานที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้ นางจะต้องรู้สึกกลัวเป็นแน่” เขาหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนมองไปที่จั้นชิงแล้วยิ้มเอ่ยแนะนำขึ้นมา “อย่างนั้นเอาเช่นนี้ก็แล้วกัน หากคุณหนูจั้นมิสะดวก ถึงอย่างไรการเดินทางครั้งนี้ของพวกเราก็ไปยังเมืองฉางอัน ที่เมืองฉางอันข้ามีสหายที่กำลังต้องการสาวใช้อยู่ผู้หนึ่ง พวกเราพาโม่เอ๋อร์ไปถึงเมืองฉางอันแล้วให้นางพักอยู่ที่นั่นก่อน ส่วนที่นี่นั้นก็ให้เจ้าหน้าที่ทำการค้นหาต่อ หากว่าได้เรื่องอะไรขึ้นมาก็ค่อยให้คนส่งข่าวไปถึงเมืองฉางอันก็พอแล้ว”

“ข้าไม่ได้พูดว่าไม่สะดวก” สัมผัสได้ถึงมือเล็กๆ ที่กอดตนเองแน่นอยู่ออกแรงมากขึ้น จั้นชิงก็ถลึงตาใส่เซียวจิ้งไปทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยใบหน้าเย็นชา “โม่เอ๋อร์อยู่กับข้าก็ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องลำบากคุณชายเซียว”

“เป็นเช่นนี้ย่อมดีที่สุด” ราวกับรู้อยู่แต่แรกแล้วว่านางจะต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้ เขาจึงตอบรับได้อย่างรวดเร็ว

น่ารังเกียจ เจ้าคนที่คิดเองเออเองผู้นี้ เพิ่งจะเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเขาไม่ทันไร คนผู้นี้ก็แสดงวาจาแบบนั้นอีกแล้ว ทั้งยังจงใจเปลี่ยนความนัยในคำพูดของนาง ทำจนเหมือนนางเป็นสตรีร้ายกาจอย่างไรอย่างนั้น

จั้นชิงสบถด่าในใจไปทีหนึ่ง ถลึงตาใส่เขาด้วยความโกรธแล้วจึงหันตัวหนีไปไม่ยุ่งกับเขาอีก หันมาเอ่ยกำชับกับเสี่ยวโจว

“เจ้าอยู่ที่นี่คอยจัดการขั้นตอนที่เหลือกับเจ้าหน้าที่ด้วย ข้าจะพาโม่เอ๋อร์ไปซื้อชุดที่พอดีตัวก่อน”

เสี่ยวโจวผงกศีรษะรับคำ จากนั้นจึงเรียกลูกน้องสองคน

“เสี่ยวหลี่ เสี่ยวอู่ พวกเจ้าสองคนตามคุณหนูไป”

“ไม่ต้องหรอก” จั้นชิงห้ามเขา เอ่ยกับบรรดาลูกน้อง “ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว ไม่ต้องให้คนคอยตามตลอดเวลา นานๆ ทีทุกคนจะได้ลงจากเรือ ให้พักกันครึ่งวัน เดินเล่นขยับแข้งขยับขา จำไว้ว่าให้มารวมตัวที่เรือในยามอู่ ก็พอแล้ว”

เสี่ยวหลี่เสี่ยวอู่ทั้งสองคนได้ยินแล้วก็ดีใจ ส่วนคนอื่นๆ ก็มีสีหน้ายินดี มีเพียงเสี่ยวโจวที่ขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย ยังคิดอยากจะพูดอะไรอีก

“คุณหนูใหญ่…”

“แค่ไปซื้อชุดไม่กี่ชุดเท่านั้น” รู้ว่าเขาเป็นห่วง จั้นชิงจึงเปิดปากเอ่ยเพื่อให้เขาวางใจ

“นี่…” เห็นนางยืนกรานเช่นนี้ เสี่ยวโจวรู้ว่าตนไม่อาจเปลี่ยนใจนางได้ สุดท้ายก็ได้แต่เอ่ย “ตกลง เช่นนั้นท่านก็ระมัดระวังตัวด้วยนะขอรับ”

“ข้ารู้” นางยิ้มน้อยๆ

เซียวจิ้งที่อยู่ด้านข้างมองการโต้ตอบกันระหว่างสองคนนี้ อารมณ์พลันเปลี่ยนเป็นหงุดหงิดขึ้นมา เขาไม่เข้าใจว่าตนเองกำลังไม่พอใจเรื่องอะไร เพียงแค่จู่ๆ ก็รู้สึกขัดตาเสี่ยวโจวผู้อยู่เรือสำเภาลำแรกคนนี้ขึ้นมา อีกทั้งยิ่งมองก็ยิ่งไม่ชอบใจ

โดยไม่แม้แต่จะคิด เขาอ้าปากเอ่ยส่งเดชขึ้นมา

“สหายโจว เจ้าหน้าที่กำลังเรียกเจ้าอยู่”

“จริงหรือ” เหตุใดข้าถึงไม่ได้ยินกัน เสี่ยวโจวหันหน้ากลับไปมองด้วยความประหลาดใจ

เซียวจิ้งก็ไม่ได้ให้เขามีเวลาคิดเยอะ ยื่นมือออกไปชี้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ไกลๆ สักคน

“จริงสิ เมื่อครู่เจ้าหน้าที่คนนั้นเพิ่งจะกวักมือเรียกเจ้า”

เสี่ยวโจวไม่สงสัยอีกฝ่าย นึกว่ามีเจ้าหน้าที่กำลังเรียกหาเขาอยู่จริงๆ จึงได้เอ่ยกำชับอีกคำ ก่อนหันกลับไปหาเจ้าหน้าที่ผู้นั้น

จั้นชิงเห็นดังนั้นก็พาโม่เอ๋อร์เดินออกจากจวนว่าการ มุ่งไปยังถนนหลักของเมือง

นางกลับไม่รู้ว่าการสนทนาธรรมดาระหว่างนางกับเสี่ยวโจวเมื่อครู่นี้ ในสายตาของเซียวจิ้งแล้วกลับกลายเป็นว่าทั้งสองคนมีลับลมคมในกัน เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด นำเอาคำเตือนในหัวโยนทิ้งไปไกลลิบลับนานแล้ว หลังหลอกให้เสี่ยวโจวจากไปก็ติดตามไปที่ด้านหลังจั้นชิงทันทีโดยไม่พูดอะไร

หลังออกมาจากจวนว่าการ เพิ่งเดินไปไม่ไกลจั้นชิงก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง นางหันกลับไปมองเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“ท่านตามข้ามาทำไม”

“คุณหนูจั้น ข้าไม่ได้จงใจติดตาม เพียงแค่บังเอิญไปทางเดียวกันเท่านั้น” เขาคลี่ยิ้ม เอ่ยตอบอย่างสงบนิ่ง

จั้นชิงเม้มปาก บังเอิญไปทางเดียวกัน? ผีจึงจะเชื่อเขา!

ถึงแม้จะคิดเช่นนี้ แต่นางก็ไม่อาจห้ามเขาเดินถนนสายนี้ได้ จึงทำได้แค่หันกลับไปจูงโม่เอ๋อร์เดินต่อไปข้างหน้า

แม้ร้านค้าบนถนนจะมีไม่น้อย แต่พวกเขาต้องเดินมาถึงสองช่วงถนนถึงได้เจอร้านผ้าร้านหนึ่ง ทว่าร้านผ้าร้านนั้นก็ดันไม่ขายเสื้อผ้าตัดเย็บสำเร็จ นางจึงต้องพาโม่เอ๋อร์เดินออกมา ทว่ากลับได้เห็นเซียวจิ้งยืนอยู่ที่หน้าประตู

เห็นโม่เอ๋อร์ยังคงสวมอาภรณ์สีเขียวที่ไม่พอดีตัว เขาจึงสอดถามขึ้นมา

“ไม่ได้ซื้อชุดมาหรอกหรือ”

ถึงแม้ไม่อยากจะสนใจเขา แต่ด้วยมารยาทขั้นพื้นฐาน จั้นชิงจึงตอบกลับไปเรียบๆ

“พวกเขาไม่ขายเสื้อผ้าตัดเย็บสำเร็จ”

“ข้าคิดว่าคนที่นี่น่าจะชินกับการซื้อผ้ากลับไปตัดเย็บชุดเอง ร้านขายผ้าเลยไม่มีใครขายสินค้าตัดเย็บสำเร็จ” เซียวจิ้งมองไปรอบๆ ก่อนจะจับมือที่ว่างอยู่อีกข้างของจั้นชิงอย่างกะทันหันดึงนางไปยังตรอกทางด้านขวา “มา พวกเราเข้าไปดูข้างในกัน”

“นี่ ท่านกำลังทำอะไร” จั้นชิงที่เป็นคนติดตามเกือบจะสะดุดล้ม โชคดีที่ยังประคองตัวไว้ได้ทัน แต่เขายังคงจับนางไม่ยอมปล่อย นางทำได้เพียงพาโม่เอ๋อร์เดินตามเขาไป ทว่าก็บ่นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “ตรอกเล็กแห่งนี้มีอะไรให้ดูกัน จะมีเสื้อผ้าขายที่นี่หรืออย่างไร”

“เรื่องนั้นก็ไม่แน่” เขาเหยียดยิ้มมุมปาก เพิ่งจะพูดจบ เขาก็พบสิ่งที่ต้องการหาพอดี จึงหยุดเดินกะทันหันแล้วหันหน้ากลับมาชี้ลานเรือนของบ้านผู้อื่น “เจ้าดูนั่น!”

ทว่าเขาหยุดฝีเท้ากะทันหันไป ทำให้จั้นชิงเกือบจะชนกับร่างของเขาเข้าให้ โชคดีที่นางปฏิกิริยาตอบรับไว จึงหยุดเอาไว้ได้ทัน หากนางยังไม่ทันได้หอบหายใจ โม่เอ๋อร์ที่ด้านหลังหยุดเท้าไม่ทันก็ชนเข้าให้อย่างมึนงง ผลคือศีรษะของจั้นชิงกระแทกเข้าไปในอ้อมอกของเขา

แล้วก็ไม่รู้ว่าสวรรค์กำลังเล่นตลกอยู่หรือไร เซียวจิ้งเดิมทีสามารถยืนได้อย่างมั่นคง ใครจะรู้ว่าที่หลังเท้าของเขาบังเอิญปรากฏก้อนหินก้อนหนึ่ง เขาถูกนางชนจนถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว เหยียบหินก้อนเล็กก้อนนั้นเข้าพอดี เท้าจึงพลันลื่นล้มลง

เสียง ‘โครม’ ดังขึ้นหนึ่งที ฝุ่นละอองฟุ้งกระจายไปทั่ว เพียงเห็นผู้ใหญ่สองคนล้มกันเป็นกอง เซียวจิ้งถูกทับไว้ล่างสุดกลายเป็นเบาะเนื้ออย่างน่าสงสาร

ถนนในตรอกเล็กแห่งนี้ก็ไม่ได้ปูด้วยหินแผ่นเหมือนดั่งถนนใหญ่ ทุกที่ล้วนเป็นก้อนหินละเอียดเล็ก เขาล้มลงครั้งนี้ รวมเข้ากับน้ำหนักของจั้นชิง กระดูกสันหลังกระแทกพื้นเต็มๆ ทำให้เขาเจ็บจนเกือบจะหลั่งน้ำตาออกมา

“แค่กๆ…” จั้นชิงลุกขึ้นมาจากบนตัวเขา มือหนึ่งโบกพัดฝุ่นละอองพร้อมไอ ทว่าอีกมือกลับเป็นเพราะศูนย์ถ่วงไม่ดีจึงล้มทับลงบนบ่าของเซียวจิ้งที่เพิ่งลุกขึ้นนั่ง ทำให้เขาถูกกดกลับลงไปอีกครั้ง ถูกความแหลมคมของก้อนหินเล็กๆ ทิ่มแทงอีกหน

หลังกับบ่านี้เจ็บจนไม่ทันได้ร้อง ใครจะรู้ว่าที่เจ็บกว่านี้กำลังจะตามมา จั้นชิงคิดอยากลุกขึ้นยืน แต่เป็นเพราะรอบด้านล้วนคือฝุ่นละอองมองไม่ชัด จึงไม่ทันระวังเหยียบเข้าที่ต้นขาเขาแล้วลื่น ผลคือกล้ามเนื้อต้นขาของคนย่อมไม่อาจให้คนยืนได้อย่างมั่นคง โชคร้ายที่เท้าของนางก็…โชคร้ายจริงๆ ที่เท้าของนางลื่นลงไประหว่างต้นขาของเขา เท้าหนักๆ เหยียบลงตรง…นั้น! ของเซียวจิ้งอย่างแม่นยำ

ไม่ผิด มันก็คือตรงนั้น บนแก่นชีวิตที่เขามีไว้สืบทอดทายาท!

“อ๊าก…” ในชั่วพริบตานั้นเสียงตะโกนโหยหวนอันทุกข์ระทมก็ดังขึ้นทะลุไปถึงชั้นฟ้า และสะท้อนกลับไปกลับมาระหว่างกำแพงภายในตรอก

เสียงโหยหวนที่ดังขึ้นกะทันหันนี้ทำให้จั้นชิงสะดุ้งตกใจยกใหญ่ เกือบจะล้มกลับไปบนตัวของเซียวจิ้งอีกครั้ง แต่ต่อให้เขาเจ็บปวดยิ่งกว่านี้ก็รู้ว่าไม่อาจปล่อยให้นางล้มลงมาได้อีก เพื่อกันไม่ให้นางเหยียบผิดที่ซ้ำอีกครั้ง ดังนั้นปฏิกิริยาตอบสนองของสองมือจึงยื่นออกไปข้างหน้า คิดจับนางให้อยู่ ใครจะรู้ว่าสมควรตายยิ่ง สองมือคู่นี้…กลับสัมผัสโดนส่วนที่อ่อนนุ่มที่สุดบริเวณร่างกายครึ่งบนของสตรี

“ท่านทำอะไร!” เพียงได้ยินเสียงตวาดทีหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงฝ่ามือที่ดังกังวานหาใดเทียม พริบตาต่อมาแก้มซ้ายขวาทั้งสองของเขาก็มีรอยนิ้วมือห้านิ้วที่โดดเด่นสะดุดตาอย่างเห็นได้ชัดเพิ่มขึ้นมา

ขอร้องล่ะ เขาเจ็บปวดจนแทบจะกลิ้งไปมากับพื้นแล้ว ยังจะทำอะไรได้อีก

เซียวจิ้งกัดฟันกรอดกุมร่างกายส่วนล่างแล้วงอตัวลุกขึ้นนั่ง รู้สึกได้ถึงความแสบร้อนบนใบหน้า ตำแหน่งสำคัญยิ่งเจ็บปวดราวกับสูญเสียไปแล้วครึ่งชีวิต

มีชีวิตมาแล้วเกือบสามสิบปี ไม่เคยตกอยู่ในสภาพดูไม่ได้ถึงเพียงนี้มาก่อน ช่างชวนให้อยากร้องไห้โดยไม่มีน้ำตาเสียจริง…ว้ากกกกกกก…

 

แก้มทั้งสองข้างของจั้นชิงปรากฏสีแดงระเรื่ออย่างหาได้ยาก มองเซียวจิ้งที่ไม่ยอมลุกขึ้นมาเสียที เอาแต่นั่งห่อตัวอยู่บนพื้น หน้าผากมีเหงื่อเย็นหลั่ง สองมือกุม ‘ของรัก’ ของเขา ยามนี้นางย่อมรู้ตัวขึ้นมา รู้แล้วว่าเมื่อครู่ตนเองเหยียบโดนอะไรเข้าให้แล้ว

“ขอ…ขออภัย ข้าไม่ได้ตั้งใจ” นางหน้าแดงก่ำ คิดอยากช่วยเขาก็ไม่รู้จะช่วยตรงไหน มือเพิ่งจะยื่นออกไปก็หดกลับเข้ามา เดิมคิดอยากคุกเข่าลงประคองเขา แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปสำรวจบาดแผลของเขา ทำได้เพียงยืนมือเท้าเก้ๆ กังๆ อยู่ที่ด้านข้าง ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี

ส่วนโม่เอ๋อร์ก็กำลังยืนหลบอยู่ที่ด้านหลังจั้นชิง มือกำชายเสื้อของนางแน่น เผยเพียงครึ่งศีรษะออกมาแอบมองเซียวจิ้งที่ยังคงอยู่บนพื้น

“ท่านยังไหวหรือไม่ ต้องการให้ข้า…ไปตามคนมาช่วยไหม” เห็นเขายังคงมีท่าทีเจ็บปวดมหาศาล จั้นชิงเอ่ยแนะนำขึ้นมาอย่างสับสน กล่าวจบก็เตรียมไปตามหาคนทันที

เซียวจิ้งเพียงได้ยิน ใบหน้าก็ยิ่งเขียวคล้ำ

สวรรค์ นางยังโหดร้ายไม่พออีกหรือ ไปตามหาคนมาทำอะไร มาชื่นชมสภาพดูไม่ได้ของเขาหรือไร!

เหตุใดนางจึงไม่ตั้งโต๊ะเก็บเงินที่หน้าตรอกให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยเล่า

ในสายตามองเห็นจั้นชิงกำลังหมุนตัวจากไป เซียวจิ้งข่มกลั้นความเจ็บปวดกัดฟันตะโกน

“ไม่ต้องแล้ว!”

“แต่ว่าท่าน…” น้ำเสียงนางอ่อนแออย่างหาได้ยาก สีหน้ารู้สึกผิด

“รออีกสักพักก็ดีขึ้นแล้ว!” เขาตะโกนเสียงแหบอย่างห้ามไม่ได้ ท่าทางห่อตัวที่พื้นยังคงไม่ได้ดูดีขึ้น

เสียงตะโกนของเขาทำให้โม่เอ๋อร์สะดุ้งตกใจ นางหลุบศีรษะหายเข้าไปด้านหลังจั้นชิงอย่างหวาดกลัว ไม่กล้าแอบมองอีก ส่วนจั้นชิงเองก็มีใบหน้าซีดขาว นางมองเห็นเพลิงโทสะในดวงตาของเขา รับรู้ว่าเขาคัดค้านจริงๆ จึงได้แต่ทำตามที่เขาพูดยืนรออยู่ข้างๆ

เซียวจิ้งเห็นนางล้มเลิกความคิดตามหาคนแล้วถึงได้สบายใจขึ้นมา กัดฟันรอให้ความเจ็บปวดนั้นจางหายไป ผ่านไปครู่ใหญ่เมื่อความเจ็บปวดรุนแรงดีขึ้นมาไม่น้อยแล้ว เขาถึงได้ยันกำแพงลุกขึ้นมา

“ขออภัยเป็นอย่างยิ่ง…จริงๆ” เห็นเขาดีขึ้นมาไม่น้อยแล้ว จั้นชิงสีหน้าแข็งเกร็ง เอ่ยขอโทษเขาอีกครั้ง

เขายันกำแพง มองสตรีหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ที่ยืนเกร็งอยู่ตรงหน้า ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้ยิ้มขึ้นมา

“ช่างเถอะ เจ้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจ เป็นข้าผิดเองที่ไม่ควรหยุดอย่างกะทันหัน”

เห็นสีหน้าเขาไม่ได้ดูดุร้ายเหมือนเมื่อครู่อีก แต่บนใบหน้ายังคงแฝงด้วยความเจ็บปวด สายตาของจั้นชิงก็เหลือบไปมองส่วนที่ได้รับบาดเจ็บของเขาโดยไม่รู้ตัว บนใบหน้าปรากฏสีแดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง เอ่ยถามอย่างกระอักกระอ่วน

“เอ่อ…ท่านต้องการ…ไปหาหมอก่อนหรือไม่”

เซียวจิ้งมุมปากกระตุกอย่างจนปัญญา

“ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงของเจ้า แต่รอพวกเราซื้อชุดให้โม่เอ๋อร์ก่อนเถิดแล้วค่อยไว้ว่ากันอีกที”

“เอ๋?” พอได้ยินเขายกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด นางถึงพลันนึกขึ้นมาได้ว่าเขาบังคับลากนางมาถึงที่นี่เพราะอะไร แต่ตรอกแห่งนี้จะมีร้านผ้าได้อย่างไร

เห็นสีหน้านางงุนงง ยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เซียวจิ้งจึงยื่นมือชี้ไปทางประตูลานเรือนด้านขวาที่เปิดอยู่

“เจ้าดูนั่น”

“อ้อ” จั้นชิงมองตามที่เขาชี้ ถึงได้พบว่าในลานเรือนแห่งนั้นกลับมีอาภรณ์สตรีตากอยู่หลายชุด ทั้งมองไปแล้วยังดูใหม่ถึงแปดส่วน

ยามนี้ความเจ็บปวดที่ตำแหน่งสำคัญของเซียวจิ้งลดลงไปไม่น้อยแล้ว แต่กลับเริ่มรู้สึกถึงอาการบวมบนใบหน้าแทน เขายกมือขึ้นมาลูบแก้ม ถอนหายใจอย่างปลงตกในความโชคร้ายของตนเองแล้วเอ่ยขึ้น

“ข้าคิดว่าในตัวเมืองแห่งนี้น่าจะไม่มีอาภรณ์ตัดเย็บสำเร็จชุดใหม่ขาย หากมีเด็กสาวที่อายุใกล้เคียงกันอยู่ ขอเพียงพวกเราเข้าตรอกไปดูลานเรือนของชาวบ้านทั่วไป ก็จะสามารถหาชุดที่โม่เอ๋อร์สามารถสวมได้พบ ถึงแม้จะไม่ใหม่ แต่อย่างน้อยก็พอดีตัว สามารถใช้แทนกันได้ชั่วคราว รอจนกระทั่งไปถึงเมืองฉางอัน ย่อมต้องจอดพักขนสินค้าลงหลายวัน ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยไปซื้อเสื้อผ้าให้นางหลายๆ ชุดที่ร้านผ้าอีกทีก็พอแล้ว”

นึกไม่ถึงว่าความคิดอ่านของเขาจะรอบคอบถึงเพียงนี้ สามารถเสนอความเห็นเช่นนี้ขึ้นมาได้ ยิ่งเป็นเช่นนี้จั้นชิงก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อเขา โดยเฉพาะในยามที่เห็นเขากุมแก้มบวมแดงทั้งสองข้าง

นางรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง เอ่ยอย่างลังเล

“ใบหน้าของท่าน…ยังดีอยู่หรือไม่”

“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” เขายิ้มขื่น

“ขออภัย…” สีหน้านางกระอักกระอ่วน พึมพำเอ่ย

“ช่างเถิด ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าพาโม่เอ๋อร์ไปเจรจากับชาวบ้านก่อน หาอาภรณ์ที่เหมาะสมให้นางใส่ พวกเขาน่าจะยอมขายกัน”

“เช่นนั้นท่าน…” นางยังคงลังเล

เซียวจิ้งรู้ดีว่าในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ตนยังคงไม่อาจยืนขึ้นตรงๆ ได้ ท่าทางเช่นนี้ก็ไม่อาจให้คนอื่นพบเห็นได้จริงๆ จึงเอ่ยขึ้นว่า

“พวกเจ้าเข้าไปกันก็พอ ข้าจะรออยู่ที่นี่”

“อืม” เข้าใจว่าที่ระหว่างต้นขาของเขาน่าจะยังคงเจ็บ สองแก้มของจั้นชิงจึงแดงขึ้นมาอีกครั้งอย่างควบคุมไม่ได้ นางผงกศีรษะอย่างเกรงใจ แล้วรีบจูงโม่เอ๋อร์ไปเคาะประตูหลังของบ้าน ไม่กล้ามองเขาอีก

หลังได้ฟังเรื่องราวที่โม่เอ๋อร์ประสบพบ ชาวบ้านในบ้านหลังนั้นก็ตอบตกลงขายเสื้อผ้าให้จั้นชิงทันที พอได้เปลี่ยนเป็นชุดที่พอดีตัวแล้ว โม่เอ๋อร์ก็ดูสดใสขึ้นมาไม่น้อย

หลังเดินออกมาจากลานหลังบ้านของผู้อื่น ทันทีที่จั้นชิงเห็นเซียวจิ้ง ใบหน้าก็แดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขาดูไปก็คล้ายจะไม่เป็นอะไรแล้ว แต่สายตาของนางยังคงอดมองไปตรงที่ที่เขาได้รับบาดเจ็บเมื่อครู่ไม่ได้อยู่ดี

นางไม่ใช่คุณหนูสูงศักดิ์ธรรมดาทั่วไป ด้วยเติบโตมาบนเรือตั้งแต่เด็ก ย่อมเคยได้ยินบรรดาลุงๆ บนเรือสนทนากันเกี่ยวกับเรื่องตลกที่คลุมเครือเหล่านั้น แน่นอนว่าต่อหน้านางย่อมไม่มีใครกล้าพูดเรื่องพวกนี้ แต่นางก็สนใจใคร่รู้ ถึงได้คิดหาวิธีแอบฟัง ตอนแรกๆ ที่ฟังก็ไม่เข้าใจนัก แต่พอนานเข้า คิดอยากไม่เข้าใจยังค่อนข้างยากเย็น อีกทั้งเป็นเพราะว่านางแอบฟัง บรรดาบุรุษพวกนี้ไม่รู้ เรื่องตลกใต้สะดือที่พูดยิ่งดิบเถื่อนเป็นที่สุด บุรุษกลุ่มหนึ่งอยู่บนทะเลขาดแคลนมานาน ไม่ว่าจะเรื่องใต้สะดืออะไรล้วนมีคนพูด หลายปีมานี้นางได้ยินจนหูแทบเน่าแล้ว

ดังนั้นนางย่อมรู้ว่าตรงนั้นของบุรุษถูกกระแทกย่อมเจ็บมาก นับประสาอะไรกับที่นาง ‘เหยียบโดน!’

คิดมาถึงตรงนี้ สีแดงบนใบหน้าของนางก็ยิ่งเข้มขึ้น เมื่อก่อนเคยได้ยินว่ามีคนที่ ‘ตรงนั้น’ ได้รับบาดเจ็บ จึงไม่อาจ…ได้ตลอดไป

หากเป็นเพราะฝ่าเท้าเมื่อครู่นั้นของนางทำให้เขาไม่อาจมีทายาทสืบสกุลได้ต่อไป เช่นนั้น…

เช่นนั้น…

“ระวัง!” เซียวจิ้งเห็นสตรีผู้นี้เดินสติหลุดลอย ถึงกับมองไม่เห็นกำแพงหินที่อยู่ด้านหน้า เขารีบยื่นมือออกมารั้งนางเอาไว้ ป้องกันไม่ให้นางเดินชนจนตาลาย “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ เหตุใดถึงได้ไม่มองทาง”

คิดอะไรอยู่ คิดถึงเขา…

จั้นชิงมองใบหน้างามที่อยู่ใกล้ตรงหน้า ความร้อนผ่าวที่สองแก้มลามไปถึงใบหูและลำคอทันที ขาดแค่ยังไม่มีควันออกมาเท่านั้น

“ไม่…ไม่มีอะไร” นางตอบกลับอย่างตะกุกตะกัก รีบปัดมือของเขาที่จับแขนอยู่ออกอย่างรวดเร็ว เดินถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ เหตุใดถึงได้หน้าแดงเพียงนี้” สีหน้าเขาเป็นกังวล

“ข้าไม่เป็นอะไร” จั้นชิงเอ่ยประโยคนี้ด้วยใบหน้าแดงก่ำ จากนั้นจึงจูงโม่เอ๋อร์หมุนตัวเดินออกจากตรอกอย่างรวดเร็ว

ไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ

เซียวจิ้งขมวดคิ้วเล็กน้อย เดินตามมาที่ข้างหลังนาง ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดใบหน้าของนางจึงแดงจนกลายเป็นแบบนั้น

ทว่าใบหน้าของนางมีสีแดงระเรื่อเพิ่มเข้ามา ดูไปแล้วก็ให้ความน่าสนใจอีกแบบหนึ่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่ายามที่ลูบสีชมพูบนแก้มของนางจะให้ความรู้สึกนุ่มลื่นเหมือนยามที่มองดูเช่นนั้นหรือไม่

พอมาถึงถนนใหญ่ก็เห็นบุรุษจำนวนไม่น้อยมองมาที่แก้มแดงๆ ของนางโดยไม่ละสายตา ชั่วพริบตานั้นเขาพบว่าตนเองยอมให้นางกลับไปสวมชุดบุรุษดีกว่า อย่างน้อยแบบนั้นนางก็จะดูเหมือนเด็กหนุ่ม ต่อให้หน้าแดงก็ไม่มีทางดึงดูดประกายสายตาของบุรุษมากมายได้

เซียวจิ้งเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น รีบเดินเข้าไปติดด้านหลังคนทั้งสอง แสดงให้ผู้คนรอบๆ เห็นถึงสิทธิ์ของตนเอง ประกายตาที่เดิมมองประเมินนางอย่างไม่เกรงใจถึงได้ค่อยๆ เก็บกลับไปบางส่วน

จั้นชิงที่ก้าวเดินอย่างเร่งรีบเดิมตั้งใจว่าจะออกจากเมืองแล้วกลับขึ้นเรือทันที แต่ระหว่างทางได้เห็นร้านขายรองเท้าแห่งหนึ่ง พลันคิดถึงรองเท้าคู่นั้นของเสี่ยวโจวที่ผ่านการเย็บมาหลายหน ควรจะเปลี่ยนตั้งนานแล้ว นางจึงหยุดอยู่หน้าร้านรองเท้าร้านนั้น

“เถ้าแก่ ข้าอยากซื้อรองเท้าคู่หนึ่ง” เถ้าแก่คนนั้นเห็นลูกค้ามาเยือนก็ยิ้มแย้มออกมาต้อนรับ

“คุณหนู ท่านมาถูกที่แล้ว ที่นี่มีรองเท้าปักงดงามจำนวนมาก ท่านต้องการไหมน้ำเงินปักลายวิหค หรือต้องการไหมแดงปักคู่นกยวนยาง*

“ข้าต้องการซื้อรองเท้าบุรุษ” จั้นชิงเอ่ยความต้องการออกมา แล้วเหลือบไปมองโม่เอ๋อร์ที่ยืนเงียบๆ อยู่ข้างๆ อย่างเชื่อฟัง พลันนึกขึ้นมาได้ว่าโม่เอ๋อร์เองก็ยังไม่มีรองเท้า จึงชี้ไปยังโม่เอ๋อร์แล้วเพิ่มไปอีกประโยค “แล้วก็หยิบรองเท้าไหมน้ำเงินปักลายวิหคให้นางเพิ่มด้วยอีกคู่หนึ่ง”

เถ้าแก่ร้านเดิมทีไม่เข้าใจว่าคุณหนูผู้นี้เหตุใดจึงต้องการซื้อรองเท้าบุรุษ หากเมื่อได้เห็นเซียวจิ้งที่ยืนอยู่ด้านหลังก็เข้าใจผิดไปว่ารองเท้าคู่นั้นเป็นของเขา จึงมองไปยังจั้นชิงกับเซียวจิ้งพร้อมเอ่ยถามอย่างเกรงใจ

“เรียนถามคุณชายกับคุณหนูน้อยท่านนี้สวมรองเท้าขนาดใด”

“ไม่ใช่ให้เขาใส่” จั้นชิงขมวดคิ้วน้อยๆ

“เอ๋?” เถ้าแก่มองครอบครัวสามคนอย่างไม่เข้าใจเท่าไรนัก พวกเขาไม่ได้มาด้วยกันอย่างนั้นหรือ เขายิ้มให้จั้นชิงอย่างขออภัย “คุณหนูท่านนี้ เช่นนั้นบุรุษผู้นั้นของท่านสวมรองเท้าขนาดใดและแบบใด”

จั้นชิงบอกขนาดรองเท้าที่นางต้องการ ทั้งยังเอ่ยว่า

“รองเท้าผ้าสีดำธรรมดาก็พอแล้ว”

“ขอรับ ข้าจะไปเอามาเดี๋ยวนี้ กรุณารอสักครู่” เถ้าแก่พูดจบก็เดินไปหาสินค้าภายในตู้

เพียงไม่นานเถ้าแก่ร้านก็นำรองเท้าปักที่โม่เอ๋อร์ใส่ได้ออกมาส่งให้กับจั้นชิงก่อน จากนั้นจึงห่อรองเท้าบุรุษอีกคู่ให้

“เจ้าซื้อรองเท้าให้ผู้ใดกัน” เซียวจิ้งเอ่ยถามอย่างใคร่รู้

จั้นชิงคุกเข่าลงช่วยโม่เอ๋อร์เปลี่ยนไปสวมรองเท้าปักก่อนเอ่ยตอบ

“เสี่ยวโจวอย่างไรเล่า รองเท้าของเขาใกล้จะทะลุอยู่แล้ว”

เซียวจิ้งได้ยินแล้วก็รู้สึกอึดอัดใจ อดถามขึ้นมาอีกไม่ได้

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาสวมรองเท้าขนาดเท่าไร”

เห็นโม่เอ๋อร์สวมได้พอดี นางจึงลุกขึ้นยืนจ่ายเงิน พร้อมตอบกลับโดยไม่แม้แต่จะหันไปมอง

“ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว รองเท้าของเขา ข้าเป็นคนซื้อให้มาโดยตลอด”

 

รองเท้าของเขา ข้าเป็นคนซื้อให้มาโดยตลอด

กลับมาถึงเรือ เซียวจิ้งจ้องเขม็งไปที่ใบหน้ายิ้มแย้มขณะรับรองเท้าคู่ใหม่ของเสี่ยวโจวอย่างไม่สบอารมณ์อยู่เต็มอก ในใจก็ปรากฏคำพูดประโยคนั้นที่นางพูดในร้านอย่างเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้นมาอีกครั้ง ความจริงแล้วตั้งแต่เพิ่งออกจากร้านค้าจนกระทั่งกลับมาถึงบนเรือ ในสมองของเขาฝั่งหนึ่งก็ประโยค ‘รองเท้าของเขา ข้าเป็นคนซื้อให้มาโดยตลอด’ อีกฝั่งหนึ่งก็ประโยค ‘รองเท้าของเขา ข้าเป็นคนซื้อให้มาโดยตลอด’ เป็นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ซ้ำไปมา ทำเอาในใจเขาขมฝาดแทบเป็นแทบตาย

นางเป็นถึงคุณหนูใหญ่ เพราะเหตุใดจึงช่วยลูกน้องซื้อรองเท้า อีกทั้งฟังน้ำเสียงดั่งเป็นเรื่องสมเหตุสมผลเช่นนั้นของนางแล้ว ราวกับว่าที่นางช่วยเสี่ยวโจวซื้อรองเท้าเป็นเรื่องที่ปกติธรรมดายิ่ง หรือจะบอกว่าในใจนางสหายโจวผู้นี้กลับไม่ได้เป็นแค่องครักษ์ประจำตัวธรรมดา แต่ยังมีฐานะพิเศษอยู่อีกด้วย

คิดมาถึงตรงนี้เซียวจิ้งก็ยิ่งอัดอั้นตันใจ ในหัวใจราวกับมีหินก้อนใหญ่ถ่วงเอาไว้ แกว่งไกวอยู่ในอก

ทันใดนั้นในสมองของเขาก็มีเป้าหมายที่คิดเอาไว้เมื่อเช้าวันนี้แวบเข้ามา…

เกี่ยวกับเรื่องขึ้นฝั่ง เกี่ยวกับสตรีคนอื่น…เมื่อครู่ทั้งๆ ที่เดินสวนกับสตรีจำนวนนับไม่ถ้วนบนถนนหลัก แต่ในยามนี้เขากลับคิดถึงใบหน้าของสตรีภายในเมืองไม่ออกสักคนเดียว แม้กระทั่งความประทับใจเลือนรางยังไม่มี

จวบจนตอนนี้เขาถึงเพิ่งรู้ตัว ตั้งแต่ลงเรือ ขึ้นฝั่ง เข้าเมือง เข้าจวนว่าการ จนถึงกระทั่งเดินออกมา ถึงร้านขายผ้า ถึงตรอกแคบๆ ออกถนนหลัก จนกลับมาถึงบนเรือ สายตาของเขากลับไม่เคยละออกจากนางเลย

เขาพยายามอย่างยิ่งในการย้อนนึกกลับไป แต่ที่ผุดขึ้นมาทั้งหมดกลับเป็นท่าทางการเดินของนาง สีหน้ายามพูดของนาง โทสะของนาง ความกระอักกระอ่วนของนาง ยิ่งพยายามทุ่มเทแรงกายแรงใจคิดอย่างไร กลับยังคงจดจำได้เพียงเงาร่างสะโอดสะอง หน้าแดงเคอะเขินอย่างกรุ่นโกรธ หัวคิ้วปลายหางตา ริมฝีปากและฟันขาวของนาง กระทั่งที่ปลายจมูกยังรู้สึกเหมือนได้กลิ่นจางๆ ของท้องทะเลเช่นนั้นจากร่างของนาง…

แน่นอน เขายิ่งจดจำได้ว่าในตอนที่ล้ม ร่างของนางกดทับอยู่บนตัวเขา…แม้ไม่เหมือนดั่งสตรีทั่วไปที่อ่อนนุ่มราวไร้กระดูก ร่างกายของนางอาจแน่นหนาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้แข็งกล้าเหมือนดั่งบุรุษเช่นนั้น ถึงแม้ยามนั้นที่หลังจะปวดแทบเป็นแทบตาย ฝุ่นละอองฟุ้งกระจายเต็มท้องฟ้า ทว่าเขากลับมีปฏิกิริยากับนางขึ้นมาแทบจะในทันที แล้วก็เป็นเพราะเหตุนี้เมื่อนางลุกขึ้นมาแล้วเหยียบโดน เขาถึงได้เจ็บปวดถึงขั้นนั้น

คิดไปถึงความเจ็บปวดครั้งนั้น เซียวจิ้งก็ห่อตัวลงเล็กน้อย แล้วก็คิดถึงสองฝ่ามือที่ได้รับตามมาติดๆ เขาพลันยกมือขึ้นมาลูบแก้มตัวเอง ที่คิดในหัวกลับไม่ใช่ความเจ็บปวดของแก้ม แต่เป็นที่ที่สองมือสัมผัสโดนโดยไม่ตั้งใจ

มุมปากเขายกยิ้มร้ายกาจ พูดกันตามตรง สองฝ่ามือนั้นเรียกได้ว่าคุ้มค่านัก!

แต่รอยยิ้มนี้ก็ต้องแข็งค้างอยู่บนใบหน้าทันควัน เป็นเพราะเขาตกใจที่พบว่าตนเองนับตั้งแต่ลงเรือจนกระทั่งกลับขึ้นมา ไม่เพียงแต่ไม่เคยละสายตาจากนาง กระทั่งความคิดยังล้วนอยู่ที่นางทั้งหมด!

ความรู้สึกเช่นนี้นับว่าพิลึกเกินธรรมดาไปแล้วจริงๆ เขาไม่เคยให้ความสนใจสตรีสักคนถึงเพียงนี้มาก่อน ให้ความสนใจในร่างกายทุกสัดส่วน ผิวหนังตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าล้วนรับรู้การมีอยู่ของนาง ราวกับโดนครอบงำจิตใจอย่างไรอย่างนั้นไม่อาจควบคุมได้เลย ทั้งยังคงไม่กระจ่างว่าเหตุใดตนเองจึงเป็นเช่นนี้ ถึงขั้นไม่เข้าใจว่าตนเองเริ่มให้ความสนใจกับนางถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน

หลายวันก่อนยามขึ้นเรือที่เมืองหยางโจว เขายังเป็นปกติดีอยู่ชัดๆ เลยไม่ใช่หรือ

เซียวจิ้งยืนเหม่อลอยอยู่ที่หัวเรือ ในสมองสับสนวุ่นวาย เขาพยายามคิดหาเหตุผล เวลา สถานที่ที่ตัวเองโดนครอบงำจิตใจ แต่เพียงแค่คิดกลับไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายวันมานี้ ในหัวก็เต็มไปด้วยภาพของนาง จนกระทั่งในตอนกินข้าวเที่ยง เขาก็ยังหาไม่เจอแม้กระทั่งต้นเหตุ

มาถึงยามอู่ ทุกคนล้อมวงกันกินข้าว เซียวจิ้งกลับไม่ได้ให้ความสนใจอาหารเลิศรสของไช่เตาอย่างหาได้ยาก กินไม่รู้รส เอาแต่นิ่งเงียบเหม่อลอย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

เป็นเช่นนี้ตลอดจนเขากินข้าวเสร็จ ออกจากโต๊ะอาหาร ทุกคนก็เห็นเพียงเขาหยิบเบ็ดตกปลาไปนั่งอยู่ตรงที่ประจำของเขา กระทั่งเหยื่อยังไม่ทันใส่ก็โยนเบ็ดลงแม่น้ำไปอย่างโง่งม จากนั้นก็นั่งเหม่อ นั่งไปตลอดช่วงบ่ายทั้งอย่างนั้น

ทุกคนมองข้ามพฤติกรรมแปลกประหลาดของเขาเหมือนไม่เห็น หลังกินข้าวเสร็จก็เก็บกวาดทุกอย่าง จากนั้นก็ออกเดินทาง มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปยังเมืองลั่วหยางและเมืองฉางอันต่อไป

บทที่หก

“คลองสายนี้มีชื่อว่าคลองทงจี้ หรือที่คนเรียกกันว่าแม่น้ำอวี้เหอ กว้างประมาณสี่สิบก้าว เจ้าดูที่ริมฝั่งยังมีทางเดิน เอาไว้เพื่อในยามที่จักรพรรดิเสด็จ หากไม่มีลมช่วยก็ให้คนขี่ม้าดึงเรือไปข้างหน้า ยามนั้นเจ้าขุนนางสุนัขที่ควบคุมงานพูดว่าเพื่อทิวทัศน์อันงดงามอะไรสักอย่าง ยังต้องการให้พวกเราปลูกต้นหลิวไว้ตลอดริมสองฝั่ง ยามนี้ดูไปแล้วก็นับได้ว่าไม่เลวจริงๆ แต่ว่าตอนนั้นที่ปู่ขุดดินขนหิน กลับรู้สึกเกลียดบรรดาต้นหลิวทุกต้นเข้ากระดูก” ฉีซื่อเจินดื่มสุราอึกหนึ่ง เอ่ยกลั้วหัวเราะเล่าให้โม่เอ๋อร์ฟังเกี่ยวกับเรื่องราวหนหลังอยู่ที่หัวเรือ โม่เอ๋อร์นั่งฟังอยู่เงียบๆ ดวงตาดำขลับคู่โตแสดงให้เห็นว่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้

ภายในเรือ จั้นชิงยังคงกำลังจดบันทึกถึงสิ่งที่ได้พบเห็นตลอดเส้นการเดินทางในหลายวันมานี้ มีบางทีก็จะเงยหน้ามองผ่านหน้าต่าง มองดูหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ที่หัวเรือ หลายวันมานี้เป็นเพราะท่าทีเป็นมิตรของทุกคนบนเรือ ทำให้ความหวาดระแวงที่โม่เอ๋อร์มีต่อคนอื่นค่อยๆ หายไป ไม่เอาแต่ตัวติดกับนางอีกต่อไป ทั้งยังชอบอยู่กับอารองเป็นอย่างยิ่ง ฟังเขาเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวมหัศจรรย์ทั่วทั้งแว่นแคว้นดินแดนอันกว้างใหญ่

เพียงแต่ว่าโม่เอ๋อร์ก็ยังคงไม่เคยพูดแม้แต่ประโยคเดียว เกี่ยวกับเรื่องนี้จั้นชิงเองก็ไม่สืบค้นต่อ ใจคิดว่าหากโม่เอ๋อร์พูดได้ก็คงมีสักวันที่จะพูดเอง หากพูดไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่เป็นอะไร ถึงอย่างไรตัวนางก็เป็นคนพูดไม่เยอะอยู่แล้ว

ทว่าเกี่ยวกับเรื่องรับโม่เอ๋อร์เป็นสาวใช้ จั้นชิงเคยคิดให้ละเอียดถี่ถ้วน พิจารณาถึงว่าโม่เอ๋อร์อาจไม่สามารถปรับตัวกับชีวิตบนเรือ หรือหากบรรดาเจ้าหน้าที่เหล่านั้นยังกำลังค้นหาที่อยู่ของบิดามารดานาง ก็ไม่อาจพานางร่อนเร่ไปทั่วได้ ดังนั้นหลังจากปรึกษากับฉีซื่อเจินแล้ว จึงตัดสินใจว่าหลังการเดินทางครั้งนี้จบลง จะพาโม่เอ๋อร์กลับไปอยู่บนเกาะก่อน รอจนกระทั่งเจ้าหน้าที่ที่นั่นมีข่าวคราวส่งมา จึงค่อยพาโม่เอ๋อร์กลับไปส่งให้กับครอบครัว

หลังเขียนบันทึกเรื่องสุดท้ายเสร็จ จั้นชิงก็วางพู่กันแล้วอ่านตรวจทานทั้งหมดอีกรอบหนึ่ง ดูว่าไม่ได้ตกหล่นตรงไหนไป เมื่อนางมั่นใจแล้วว่าสิ่งที่ควรจดล้วนจดเอาไว้หมดแล้ว จึงนำอุปกรณ์เครื่องเขียนเก็บลงไป

นางเพิ่งจะเก็บอุปกรณ์เสร็จ เสี่ยวหลี่ก็เดินเข้ามารายงาน

“คุณหนูใหญ่ เมืองลั่วหยางอยู่ข้างหน้านี้แล้วขอรับ”

“อืม ข้ารู้แล้ว” นางหยิบรายการสินค้าขึ้นมาก่อนเอ่ยกำชับ “เจ้ากับเสี่ยวหวังนำสินค้าในรายการเหล่านี้ย้ายมาจัดเรียงบนดาดฟ้าหัวเรือก่อน พวกเราเตรียมตัวจอดเทียบริมฝั่ง”

“ขอรับ” เสี่ยวหลี่ผงกศีรษะ รับรายการสินค้ามาแล้วหมุนตัวเดินไปยังใต้ท้องเรือเพื่อขนสินค้าออกมา

เพียงไม่นานพวกเขาก็มาถึงยังเมืองลั่วหยาง หลังนำเรือสำเภาเข้าจอดเทียบท่าอย่างมั่นคงแล้วก็เริ่มทำงานขนย้ายสินค้าลงเรือ สินค้าครั้งนี้มีหนึ่งในสามส่วนที่ต้องขนลงที่เมืองลั่วหยาง ส่วนที่เหลือเป็นส่วนที่จะส่งไปยังเมืองฉางอัน

ลั่วหยางเมืองหลวงแห่งตะวันออกคือเมืองใหญ่ของทางเหนือ ที่ท่าเรือมีเรือสำเภาจำนวนหลายลำจอดเทียบท่าอยู่ มีทั้งที่กำลังรีบขนสินค้าลง ยกสินค้าขึ้นเรือ ทุกๆ แห่งหนล้วนเต็มไปด้วยผู้คน คนเรือกับพ่อค้าล้วนกำลังวิ่งกันวุ่นวายอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น มองดูแล้วเต็มไปด้วยพลังชีวิต เหมือนดั่งการค้าเองก็คึกคักเช่นนี้

“สถานที่คึกคัก” ฉีซื่อเจินเอ่ยกลั้วหัวเราะ

“จริงด้วยขอรับ” เซียวจิ้งยืนอยู่ข้างๆ เขา มองไปจากบนเรือ ทุกที่บนแม่น้ำล้วนคือเสากระโดงและใบเรือ

“พวกเราจะหยุดพักอยู่ที่นี่กันหนึ่งวัน ข้าจะพาโม่เอ๋อร์ไปเดินตลาด เจ้าเองก็อยากจะลงไปเดินเล่นด้วยกันหรือไม่” ปลายจมูกที่แดงด้วยฤทธิ์สุราของฉีซื่อเจินสะท้อนแสง มือจูงโม่เอ๋อร์ยิ้มแย้มเอ่ย

“ก็ดีเหมือนกัน…” ขณะที่พูด สายตาของเซียวจิ้งก็มองไปที่อื่นโดยไม่รู้ตัว หากกลับหาคนที่เขาคิดอยากหาไม่พบ “คุณหนูจั้นเล่าขอรับ เหตุใดถึงไม่เห็นนาง”

“ยายหนูหรือ เมื่อครู่นางเพิ่งลงเรือเข้าเมืองไปจัดการธุระก่อนแล้ว” ฉีซื่อเจินจูงมือโม่เอ๋อร์เดินลงเรือพร้อมเอ่ย

เซียวจิ้งเดินตามมาข้างหลังก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

“จัดการธุระ?”

“ใช่แล้ว พวกเราส่งคนมาก่อตั้งกิจการขนส่งสินค้าที่นี่ก่อนหน้านี้มานานแล้ว นางเลยไปดูสถานการณ์” เขาพูดไปพร้อมกับจูงโม่เอ๋อร์เดินผ่านลังปลาหลายลัง อ้อมผ่านสินค้าหลายหีบและกระสอบจำนวนมาก ในตอนที่เดินผ่านลังปลาลังหนึ่ง ปลาเงินตัวหนึ่งยังกระโดดขึ้นมา ทำเอาโม่เอ๋อร์สะดุ้งตกใจ

“นางไปคนเดียวหรือขอรับ” เซียวจิ้งขมวดคิ้วด้วยความกังวล ลั่วหยางไม่ใช่เมืองเล็กๆ ผู้คนโกลาหลวุ่นวายกว่าในเมืองที่บ้านนอกเหล่านั้นมากมายนัก ที่นี่ไม่ว่าจะเป็นคนจรจัดแบบไหนล้วนมี นางเป็นสตรีผู้หนึ่ง ถึงแม้จะเป็นวรยุทธ์ แต่ภูเขาหนึ่งลูกยังมีอีกลูกที่สูงกว่า* ถึงอย่างไรก็อาจจะเกิดเรื่องขึ้นได้ง่ายๆ

“แน่นอนว่าไม่ ยังมีเสี่ยวโจวตามไปด้วย”

เซียวจิ้งได้ยินแล้วจิตใจกลับไม่ได้ผ่อนคลายลงด้วยเหตุนี้ กลับกันในหัวใจยังเหมือนมีเนื้อร้ายงอกขึ้นมากะทันหัน ทำเอาเขายิ่งรู้สึกว้าวุ่น เขากระแอมในลำคออย่างไม่สบายใจก่อนจะเอ่ยถาม

“ท่านรองขอรับ กิจการขนส่งสินค้าของพวกท่านอยู่ตรงไหนของเมืองหรือ”

ฉีซื่อเจินหยุดเดินแล้วหันมามองเขาทีหนึ่ง ยิ้มเจ้าเล่ห์

“เจ้าถามไปทำไม”

“เอ่อ…” เขาชะงักไปเล็กน้อย ผ่านไปสักพักจึงฝืนยิ้มเอ่ยขึ้น “ไม่มีอะไรขอรับ เพียงแค่ประหลาดใจ คิดอยากไปดูเสียหน่อย”

ฉีซื่อเจินจงใจหัวเราะคิกคักขึ้นมาถึงค่อยเอ่ยตอบ

“อยู่ที่ถนนใหญ่ทางทิศตะวันออกของเมือง ตรงหน้าประตูมีธง ‘สำนักเดินเรือสี่สมุทร’ แขวนเอาไว้อยู่ ร้านนั้นแหละ”

“ขอบคุณขอรับท่านรอง” หลังเซียวจิ้งประสานมือคารวะอย่างกระอักกระอ่วนแล้ว ถึงได้รีบร้อนหมุนตัวไปยังทิศตะวันออกของเมือง

ภายในเมืองลั่วหยาง ผู้คนพากันเดินไปมาบนถนนใหญ่ มองดูครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อหลายปีก่อนหน้าเซียวจิ้งเคยมาที่นี่แล้วหลายครั้ง ดังนั้นจึงยังนับได้ว่าคุ้นเคยกับถนนหลายสายภายในเมือง เพียงไม่นานก็มาถึงยังทิศตะวันออกของเมือง สายตามองหากิจการขนส่งร้านนั้น

หารู้ไม่ว่าตัวเขาเพิ่งจะเดินเข้าประตูไปก็ต้องตกใจที่ได้เห็นคนสองคนที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดหลายปีนี้ เซียวจิ้งไม่แม้แต่จะคิดก็หมุนตัวจากไปทันที ทว่าน่าเสียดายที่เขายังคงช้าไปก้าวหนึ่ง หนึ่งในสองคนนั้นมองเห็นเขาเข้าให้แล้ว

“คุณชายรอง!” น้ำเสียงตกใจตะโกนดังลั่นมาจากทางด้านหลัง

เซียวจิ้งทำเป็นไม่ได้ยิน เดินมุ่งหน้าต่อไป ใครจะรู้ว่าคนคนนั้นกลับตามมาตะโกนเสียงดังบนถนนใหญ่

“คุณชายรองๆ! รอก่อน ท่านอย่าเพิ่งไป! ข้าคือเสี่ยวซานจื่อ ท่านลืมไปแล้วหรือ คุณชายรอง…”

เขาพยายามไม่สนใจสุดชีวิต ฝืนใจแข็งแสร้งทำเป็นว่าคนที่อีกฝ่ายเรียกไม่ใช่เขา ขณะเดียวกันก็เพิ่มความเร็วฝีเท้า หวังจะหนีไปให้ไกลจากสถานที่นี้โดยเร็วที่สุด

หารู้ไม่ว่าคนผู้นั้นกลับไม่ยอมแพ้ ทั้งยิ่งตะโกนกลับยิ่งเสียงดัง ทำเอาคนบนถนนทั้งเส้นพากันหันมามองทั้งหมด

เซียวจิ้งรู้แก่ใจว่าไม่ดีแล้ว ไม่อาจสนใจได้อีกว่าจะเป็นการกระทำที่ทำให้ทุกคนแตกตื่นเกินไปหรือไม่ เพียงคิดจะใช้กำลังภายในทะยานหนี น่าเสียดายเพียงแค่ว่าเสี่ยวซานจื่อได้ไล่ตามมาทันเสียแล้ว มือเอื้อมคว้าจับแขนของเขา น้ำตาไหลพราก ร้องไห้คร่ำครวญเอ่ย

“คุณชายรอง เป็นท่านจริงๆ เป็นท่านจริงๆ ด้วย! โฮ…เสี่ยวซานจื่อตามหาท่านอย่างลำบากยิ่งนัก คุณชาย…”

“หุบปาก!” เซียวจิ้งกัดฟันเอ่ยเสียงทุ้มห้ามเขา “เลิกเรียกได้แล้ว ข้าเองก็ไม่ได้หูหนวกเสียหน่อย”

“ใช่ๆๆ คุณชายรอง เสี่ยวซานจื่อจะหุบปาก ขอเพียงท่านอย่าจากไป เสี่ยวซานจื่อจะหุบปากทันที” ถึงเสี่ยวซานจื่อจะพูดเช่นนั้น แต่ก็ไม่มีความคิดจะหยุดลงแม้แต่น้อย มือจับชายแขนเสื้อเขาแน่นพร้อมสะอึกสะอื้นเอ่ย “คุณชายรอง ท่านไม่รู้หรอกว่าพวกเราตามหาท่านมานานแล้ว เสี่ยวซานจื่อคิดถึงท่านเหลือเกินขอรับ…”

เมื่อเสี่ยวซานจื่อเอ่ยประโยคนี้ออกมา ทั้งยังจับตัวเซียวจิ้งแน่นไม่ยอมปล่อย ร้องไห้ตัดพ้อต่อว่าเสียงหลง ในชั่วขณะนั้นได้ทำให้เขากับเซียวจิ้งกลายเป็นจุดรวมสายตาของทุกคนไปแล้ว

เมื่อเห็นผู้คนรอบตัวต่างแสดงสีหน้าแปลกใจ ตกใจ มีลับลมคมในออกมา เซียวจิ้งก็รู้ว่าพวกเขาสองคนถูกคนเข้าใจผิดว่ามีความนิยมตัดแขนเสื้อ อีกแล้ว ทำให้ยิ่งกระอักกระอ่วนจนอยากขุดหลุมมุดเข้าไป เขาตำหนิเสี่ยวซานจื่ออย่างหงุดหงิด

“ปล่อยมือ! เลิกร้องไห้ได้แล้ว!”

ให้ตายเถอะ! เขารู้อยู่แล้วเชียวว่าถ้าถูกเจ้าเด็กนี่เจอจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ถึงได้พยายามหลบเลี่ยง ใครจะรู้ว่าหลบมาได้นานขนาดนี้ สุดท้ายก็ยังโยนตัวเองเข้าตาข่าย

เสี่ยวซานจื่อพอถูกด่าก็รีบปล่อยมือข้างหนึ่ง ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดน้ำตา

“ขอรับๆๆ เสี่ยวซานจื่อไม่ร้องแล้ว ขอเพียงคุณชายรองตามเสี่ยวซานจื่อกลับบ้านก็พอ”

“ข้าไม่มีทางกลับไป” เซียวจิ้งสีหน้าขรึมลง ไม่สนใจว่าผู้คนบนถนนหลักล้วนมองการแสดงละครฉากนี้อยู่ ทั้งยังไม่สนใจเสี่ยวซานจื่อที่มือหนึ่งยังจับแขนตัวเองแน่น หมุนตัวคิดจากไป…

ใครจะรู้ว่าเพียงหมุนตัว กลับได้เห็นคนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุด

“อาจิ้ง!” คนผู้นั้นถึงแม้จะพยายามทำตัวหนักแน่น แต่ในดวงตากลับเปิดเผยอารมณ์อ่อนไหว น้ำเสียงเองก็แหบแห้งขึ้นมา “ไม่ได้เจอกันเสียนาน”

จบกัน ทำอะไรไม่ได้แล้ว!

ลมพัด ใบไม้โปรย ต้นไม้หลากสีสันพัดไหว

เซียวจิ้งมองบุรุษตรงหน้าด้วยสีหน้าสลับซับซ้อน เนิ่นนานจึงถอนหายใจออก ส่งเสียงหัวเราะขื่นๆ แล้วถึงเอ่ยเรียกอย่างปลงตก

“ไม่ได้พบกันเสียนานนะ พี่ใหญ่”

 

ยามสนธยา ณ สำนักเดินเรือสี่สมุทร

“คุณชายเซียวเป็นคุณชายรองสกุลเซียวแห่งเมืองโยวโจว ความจริงแล้วเขาถึงจะเป็นคนที่คุมอำนาจสกุลเซียวเมื่อห้าปีก่อนคนนั้นขอรับ” เสี่ยวโจวเล่าเรื่องที่เพิ่งได้ยินมาจากเสี่ยวซานจื่อเมื่อครู่

ที่แท้ก็เป็นเขา

ในใจจั้นชิงมีอารมณ์ที่อธิบายไม่ได้ถาโถม ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตอนที่รู้ว่าเซียวจิ้งจึงจะเป็นผู้ที่มีอำนาจตัวจริงของสกุลเซียว กลับไม่ได้ทำให้นางตกตะลึงสักเท่าไรนัก ซ้ำยังมีความรู้สึกแปลกประหลาด ไม่สบายใจเท่าที่ควรขึ้นมาแทน

นางไม่ชอบใจที่ได้รู้ข่าวนี้ ไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก

“คุณหนูใหญ่ ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ขอรับ”

“อะไรนะ” นางดึงสติกลับมา เมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของเสี่ยวโจวก็รีบเอ่ย “ข้าไม่เป็นอะไร แค่กำลังคิดบางอย่างอยู่ จริงสิ แล้วผู้นำสกุลเซียวมาอยู่ที่ร้านค้าของพวกเราได้อย่างไร”

“ท่านอาเจิ้งบอกว่าเขามาทำการค้ากับสกุลหวังแห่งเมืองลั่วหยาง บังเอิญท่านอาเจิ้งเองก็ไปเยี่ยมเถ้าแก่หวังพอดี เลยได้ทำความรู้จักกับเขา วันนี้สกุลเซียวถึงได้มาใช้บริการขนส่งสินค้าของเราขอรับ”

จั้นชิงได้ยินแล้วก็ถามต่อ “ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน”

“สกุลเซียวเองก็มีเรือนตากอากาศที่เมืองลั่วหยาง น่าจะกำลังพำนักอยู่ที่นั่นขอรับ”

“งั้นหรือ” นางมองออกไปยังนอกหน้าต่าง สีหน้ายากจะคาดเดา หากเป็นเช่นนี้ เซียวจิ้งก็ไม่น่าจะออกเดินทางไปยังเมืองฉางอันร่วมกันกับพวกนางแล้วกระมัง

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ในอกจั้นชิงพลันมีความรู้สึกประหลาดขึ้นมา คล้ายกับว่า…ผิดหวัง

ผิดหวัง?! นางขมวดคิ้ว พิลึกนัก เหตุใดถึงมีความคิดเช่นนี้ขึ้นมาได้ การที่คนผู้นั้นจะไม่ติดตามมาอีกแล้ว ข้าควรดีใจจึงจะถูก เหตุใดถึง

“คุณหนูใหญ่ พวกเราจะยังออกเรือพรุ่งนี้อีกหรือไม่ขอรับ” เสี่ยวโจวเปิดปากซักถามขัดความคิดของนาง

“แน่นอน ทำไมจะไม่เล่า” นางเหลือบมองเขาทีหนึ่ง เอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “พวกเรามีความจำเป็นที่จะไม่ออกเดินทางหรือ”

“เอ่อ…” นางถามมาเช่นนี้ทำเอาเสี่ยวโจวชะงัก คำพูดที่อยู่ที่ปากถูกกลืนกลับลงท้อง ยิ้มขื่นพึมพำเอ่ย “ไม่มีขอรับ”

 

เสียงลมพัดอู้ ใบไม้ส่ายไหว ภายในเรือนตากอากาศสกุลเซียวที่ลั่วหยาง สองพี่น้องซึ่งไม่ได้พบกันมานานต่างพากันพลิกตัวกระสับกระส่าย ไม่อาจข่มตาหลับได้ลง

เมื่อเนิ่นนานก็ไม่อาจหลับ เซียวเหวยจึงตัดสินใจลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมทับแล้วเดินออกไปกลางลาน

ยามดึกหนาวเย็นดุจสายน้ำ ดวงจันทราแขวนกลางนภา

ดวงดาราที่ทอประกายระยับท่ามกลางผืนฟ้าสีดำมองดูราวกับนัยน์ตาบริสุทธิ์ของอาจิ้ง…

เซียวเหวยเงยหน้ามองฟ้าพลางทอดถอนใจ ตั้งแต่เด็ก อาจิ้งก็เป็นเด็กฉลาดเกินคน หนึ่งขวบพูดได้ สองขวบคำนวณได้ สามขวบก็สามารถท่องบทกวี ตอนสี่ห้าขวบยิ่งมีวาทศิลป์ที่ดีเยี่ยม

น้องชายคนนี้ของเขาแสดงพรสวรรค์ออกมาตั้งแต่เด็ก คนมีตาล้วนรับรู้ เขาด้อยกว่าอาจิ้งมากนัก เขาเคยอิจฉาและริษยามาก่อน แต่ความอิจฉาริษยาไม่ได้ช่วยอะไร มิหนำซ้ำทุกครั้งที่เขาได้เห็นนัยน์ตาใสกระจ่างบริสุทธิ์กับใบหน้าฉลาดเฉลียวเกินวัยของอาจิ้ง ก็ยอมแพ้ให้ตั้งแต่ยังไม่สู้แล้ว

ในยามที่บิดาจากไป ตอนที่เขารับตำแหน่งผู้นำสกุลเซียวต่อเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ตลอดไป เขาเพียงแค่กำลังรอ รออาจิ้งโตเป็นผู้ใหญ่ เพราะว่าต่อให้เขาเป็นบุตรคนโต แต่กลับไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านการค้าเทียบเท่าน้องชาย ตำแหน่งผู้นำสกุลเซียวควรเป็นของอาจิ้ง น้องชายเขาถึงจะเป็นผู้นำที่สามารถนำพาสกุลเซียวได้จริงๆ

คิดไม่ถึงว่าอาจิ้งกลับคล้ายรู้ทันความคิดของเขา นับตั้งแต่อายุสิบห้าปีก็อาศัยข้ออ้างไม่สบายแล้วไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางการค้าอีก ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร อาจิ้งก็ไม่ยอมเหยียบเข้ามาในโลกของการค้าอีกแม้แต่ก้าวเดียว

เขารู้ว่าอาจิ้งกลัวว่าจะสร้างผลกระทบต่อเขาด้านอำนาจและตำแหน่งในใจของลูกน้อง แต่อาจิ้งกลับไม่เข้าใจ เขาไม่ถือสาให้น้องชายเป็นผู้นำ เขาเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างตนเองกับอาจิ้งดี ทั้งยังกระจ่างยิ่งว่ามีหลายเรื่องที่เขาทำไม่ได้ แต่อาจิ้งกลับทำได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นหลังคิดได้แล้ว เขาจึงยอมถอยอย่างเต็มใจ

แต่เห็นได้ชัดว่าอาจิ้งไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ พยายามไม่มีส่วนร่วมกับโลกภายนอกอย่างถึงที่สุด ทั้งวันเอาแต่ ‘พักรักษาตัว’ อยู่ในเรือนของตัวเอง ส่วนเขาเองก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เช่นกัน นอกจากจะพยายามเกลี้ยกล่อมอาจิ้งแล้ว ทุกวันยังสั่งให้คนนำบัญชีร้านค้าไปให้ที่ห้องหนังสือของอาจิ้ง เพราะเขารู้ว่าอาจิ้งจะต้องเปิดดูอย่างทนไม่ได้

ถึงจะเป็นเช่นนี้ อาจิ้งกลับไม่ยอมเปลี่ยนจุดยืนของตัวเอง ยังคงยืนกรานไม่แย่งชิงตำแหน่งของผู้อื่น

สภาพชักเย่อกันเช่นนี้ดำเนินไปอยู่หลายปี จนกระทั่งเกิดเรื่องกับกิจการเมื่อห้าปีก่อน อาจิ้งถึงได้สอดมือเข้ามาในมุมมืด แต่ยังคงอาศัยชื่อของพี่ใหญ่ผู้นี้ลงมือกระทำ

สถานการณ์เสี่ยงเมื่อห้าปีก่อนภายใต้การวางแผนของอาจิ้งได้กลายเป็นจุดพลิกผันทางการค้าของเมืองโยวโจว ในขณะเดียวกันก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถไม่ธรรมดาที่อาจิ้งมีในด้านการค้า แต่ในตอนที่เขาคิดอาศัยโอกาสนี้มอบตำแหน่งผู้นำให้กับน้องชายนั้น กลับแลกมาด้วยการจากไปโดยไม่ลาของอาจิ้ง ทั้งการจากไปครั้งเดียวนี้ยังยาวนานถึงห้าปี…

เป็นเขาที่บีบบังคับมากเกินไปหรือไม่

เขาไม่ควรมอบตำแหน่งผู้นำให้กับผู้ที่มีความสามารถหรอกหรือ

ห้าปีมานี้เซียวเหวยถามคำถามเช่นนี้กับตนเองไม่หยุดหย่อน อาจิ้งเคารพเขาที่เป็นพี่ใหญ่คนนี้อย่างยิ่ง เขารู้ว่านี่เป็นเหตุผลที่ตลอดมาอาจิ้งไม่ยอมรับตำแหน่งผู้นำตระกูลแทนเขา อาจิ้งใส่ใจกับการรักษาหน้าให้พี่ชายคนนี้มาก มากกระทั่งยอมจากบ้านไปนานหลายปี…

เฮ้อ เซียวเหวยเดินไปบนทางเดินหินแล้วถอนหายใจออกมาอีกคำรบหนึ่ง

ตลอดมาเขาคอยแบกรับความคาดหวังของทุกคนอยู่เสมอ หากคนนอกกลับไม่ได้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนฉลาดเฉลียวคนนั้นของสกุลเซียว แม้แต่ผู้อาวุโสของตระกูลยังหลงคิดว่าเรื่องเมื่อห้าปีก่อนเป็นความสำเร็จของเขา แต่ความจริงเป็นความสำเร็จของอาจิ้งที่สร้างชื่อเสียงให้กับสกุลเซียวรุ่นนี้ ไม่ใช่เขา เขาไม่มีความสามารถเช่นนั้นจริงๆ!

เพิ่งจะเดินผ่านภูเขาจำลองแห่งหนึ่ง กำลังมุ่งไปยังศาลารับลม คาดไม่ถึงว่าที่ฝั่งตรงข้ามกลับมีคนกำลังเดินมาที่ศาลารับลมเช่นกัน ทั้งสองคนมองกันและกันแล้วต่างพากันชะงักไป ที่แท้อีกคนหนึ่งก็คือคนที่ไม่อาจนอนหลับลงเช่นกันอย่างเซียวจิ้ง

“ยังไม่นอนหรือ” เซียวเหวยมองน้องชาย เอ่ยถามอย่างอ่อนโยน

“อืม” เซียวจิ้งผงกศีรษะเล็กน้อย เผยรอยยิ้มจางๆ “นอนไม่หลับ”

สองพี่น้องหนึ่งซ้ายหนึ่งขวา แยกกันนั่งบนเก้าอี้หิน เงยหน้ามองจันทราบนฟ้าเงียบๆ

ผ่านไปครู่ใหญ่เซียวเหวยจึงเปิดปากเอ่ย

“พวกเราสองพี่น้องไม่ได้ชมจันทร์ด้วยกันมานานแล้ว”

“ใช่แล้ว” เซียวจิ้งรู้สึกผิดอยู่บ้าง มุมปากเหยียดออกอย่างเย้ยหยันตนเอง

“หลายปีมานี้…” เซียวเหวยอดถามไม่ได้ “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

สายลมยามค่ำคืนพัดผ่าน ดวงดารากะพริบระยิบระยับ เซียวจิ้งเงยหน้ามองท้องฟ้า ยิ้มบางๆ เอ่ย

“ก็ยังพอไหวอยู่”

“ไปที่ใดมาบ้าง”

“เดิมวางแผนจะไปร่อนเร่ที่หนานหยาง แต่บังเอิญเจอขบวนพ่อค้าที่กำลังจะเดินทางไปฝั่งตะวันตกที่เมืองหลวงเลยเปลี่ยนใจ เดินทางไปยังซีอวี้ด้วยกันกับขบวนพ่อค้ากลุ่มนั้นแทน”

“ไปห้าปีเลยหรือ” เขารู้ว่าการเดินทางนั้นยากลำบาก แต่ก็ยังคงอดคิดไม่ได้ว่าน้องชายกำลังจงใจ ไม่ได้ไปหนานหยางกลับไปทางซีอวี้ คิดว่าคงอยากยิ่งไปให้ไกลยิ่งดีมากกว่า! เซียวเหวยดวงตาหม่นแสงลง ถอนหายใจในอกขึ้นมาอีกครั้ง

แม้สำเนียงถามไถ่ของเซียวเหวยจะยังคงอบอุ่น ทว่ากลับปิดการตำหนิติเตียนและความเจ็บปวดที่มีอยู่ไม่มิด ทำให้เซียวจิ้งต้องเปิดปากอธิบายอย่างช่วยไม่ได้

“เดิมทีไม่ได้วางแผนจะไปนานถึงเพียงนั้น แต่ที่ซีอวี้ได้พบดินแดนที่งดงามสงบสุขโดยไม่ตั้งใจ ทั้งยังได้สาบานเป็นพี่น้องกับหนึ่งในผู้นำเผ่า ดังนั้น…” เดิมเขาตั้งใจจะพูดต่อ แต่เห็นแววตาทั้งจนใจปนเข้าใจของเซียวเหวย คำพูดที่เหลือจึงกลืนหายไปในลำคอ

“พี่ใหญ่อาจไม่ฉลาดเท่าเจ้า แต่ถึงอย่างไรก็เคยฝึกฝนมาบ้าง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าแล้ว” เซียวเหวยส่ายศีรษะ เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ออกจากบ้านไปห้าปี อย่าบอกนะว่าความคิดของเจ้ายังคงไม่เปลี่ยนไปอีก? สมัยนั้นเหยาซุ่น เลือกผู้ฉลาดและมีความสามารถ แม้แต่ตำแหน่งจักรพรรดิยังยกให้ผู้อื่น ข้าก็เพียงแค่…”

“พี่ใหญ่!” เซียวจิ้งพลันขัดพี่ชายขึ้นมาด้วยสีหน้าขออภัย ทั้งยิ้มขมขื่นเอ่ย “คิดเสียว่า…ข้านั้นหัวแข็ง ขอพี่ใหญ่ได้โปรดให้อภัยด้วย”

สีหน้าลำบากใจของเซียวจิ้งทำให้เซียวเหวยจบประเด็นสนทนานี้ ไม่บีบบังคับอีกฝ่ายอีกต่อไป

“ตกลง ข้าจะไม่พูดไปมากกว่านี้แล้ว พวกเราสองพี่น้องไม่ได้พบกันมานาน ไม่ควรคุยกันเรื่องพวกนี้” เขามองไปที่เซียวจิ้งแล้วยิ้ม “วันข้างหน้าต่อไปเจ้าจะต้องอยู่พูดคุยกับพี่ดีๆ เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ช่วงหลายปีมานี้ อธิบายถึงทิวทัศน์ทะเลทรายให้ฟังเสียหน่อย พี่ใหญ่ทำการค้ามาหลายปี ยังไม่เคยออกจากด่านอวี้เหมินเลย”

ภายนอกเซียวเหวยเหมือนยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง ความจริงในใจกลับคิดว่าถึงอย่างไรธุระกับร้านขนส่งทางทะเลสี่คาบสมุทรก็คุยเสร็จแล้ว การค้าที่ควรทำเองก็จัดการเรียบร้อย พรุ่งนี้พวกเขาต้องการจะเดินทางกลับเมืองโยวโจวอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนจนเกินไป สร้างบรรยากาศให้อึดอัดขึ้นมา เรื่องนี้ยังสามารถรั้งรอเอาไว้ รอกลับถึงบ้านแล้วค่อยๆ โน้มน้าวน้องชายก็ยังไม่สาย

เซียวจิ้งเองก็รู้ว่าพี่ใหญ่เพียงแค่พักรบชั่วคราว ไม่ได้ตั้งใจจะยอมแพ้จริงๆ แต่ว่าเขาเองก็เพียงยกมุมปากขึ้นจางๆ จากนั้นก็เปิดปากเล่าประสบการณ์ในช่วงหลายปีนี้ให้ฟัง ในใจลึกๆ เขากำลังคิดอะไรอยู่ โดยประมาณแล้วก็มีแต่ตัวเขาเองที่รู้

ภายใต้แสงจันทร์ สองพี่น้องพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตของตนเองในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ และช่วงเวลาก็ได้เคลื่อนคล้อยไปเช่นนี้เอง

ภายใต้เสียงสนทนา บางคราวก็ได้ยินเสียงหัวเราะ ทอดถอนใจ สองพี่น้องไม่ได้พบกันมานานหลายปี การสนทนาครั้งนี้ได้พูดคุยกันจนดวงอาทิตย์ขึ้น ท้องฟ้าสว่างแล้วจึงได้แยกย้ายกันไป

 

“แย่แล้วๆ!”

เพิ่งจะยามอู่ก็ได้เห็นบ่าวรับใช้คนหนึ่งร้องตะโกนโหวกเหวกด้วยสีหน้ากระวนกระวาย รีบร้อนวิ่งผ่านสิ่งก่อสร้างสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ ทางเดินหิน เลยมาจนถึงห้องโถงหลัก

พ่อบ้านของสกุลเซียวแห่งลั่วหยางเพิ่งจะเดินเข้ามาในห้องโถงก็ได้เห็นบ่าวรับใช้ผู้นั้นวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ทำให้เขาอดขมวดคิ้วเอ่ยตำหนิติเตียนขึ้นมาไม่ได้

“เกิดเรื่องใหญ่อะไร ทำให้เจ้าต้องร้องตกอกตกใจขนาดนั้น มารยาทสักนิดก็ไม่มี!”

“พ่อบ้านฟาง คุณชายรอง…คุณชายรองหายไปแล้ว!”

พ่อบ้านฟางใบหน้าซีดขาว แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร เสียงตะโกนโวยวายก็ดังมาให้ได้ยินอีก

“แย่แล้วๆ!”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก” เขาตำหนิถามด้วยสีหน้าดูไม่ได้

“คุณชายใหญ่ คุณชายใหญ่เขา…เขา…” บ่าวรับใช้ผู้นั้นเหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง ลมหายใจหอบจนพูดไม่เป็นคำ

“เกิดอะไรขึ้นกับคุณชายใหญ่!” พ่อบ้านฟางเร่งถามอย่างกังวล ในใจกลับมีลางสังหรณ์ไม่ดีนัก คงไม่ใช่ว่า…

“คุณชายใหญ่หายไปแล้วขอรับ!” บ่าวรับใช้ผู้นั้นเอ่ยต่อจนจบ ยืนยันความกังวลของพ่อบ้านฟางออกมา

“อะไรนะ!” หนนี้สีหน้าของพ่อบ้านฟางได้เปลี่ยนจากขาวเป็นเขียวแล้ว “เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าบรรดาคุณชายพูดคุยกันตลอดทั้งคืนหรอกหรือ ยามนี้ควรจะกำลังพักผ่อนอยู่ในห้องทั้งคู่จึงจะถูกสิ!”

“ใช่แล้วขอรับ แต่เมื่อครู่บ่าว…บ่าวคิดจะไปเรียกคุณชายใหญ่ขึ้นมากินอาหาร ใครจะรู้ว่า…ใครจะรู้ว่าในห้องกลับไม่มีคน…” บ่าวรับใช้ผู้นั้นตอบกลับด้วยใบหน้าทุกข์ใจ

อีกคนหนึ่งก็พูดด้วยสีหน้าขมขื่น

“บ่าว…คุณชายรองก็เช่นกัน…”

“เสี่ยวซานจื่อเล่า เสี่ยวซานจื่อควรจะรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รีบไปเรียกเขามาเร็วเข้า!” พ่อบ้านฟางร้อนใจจนตะโกนสั่งเสียงดัง

เสี่ยวซานจื่อเป็นคนที่โตมาพร้อมกับคุณชายใหญ่และคุณชายรอง ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อก่อนเขาเองก็เป็นบ่าวรับใช้ประจำตัวคุณชายรอง ถามเขาก็น่าจะทำให้รู้เหตุผล ไม่อย่างนั้นหากคุณชายทั้งสองล้วนหนีไปหมดแล้ว กิจการอันยิ่งใหญ่เหล่านี้จะต้องทำอย่างไรดี สกุลเซียวยังคงมีการค้าอีกหลายอย่างที่รอให้ตัดสินใจ ยิ่งมีคนอีกจำนวนมากรอคุณชายทั้งสองให้ข้าวกิน!

ใครจะรู้ว่าเขาเพิ่งกล่าวจบกลับได้ยินเสียง…

“แย่แล้วๆ!”

สีหน้าของพ่อบ้านฟางเปลี่ยนจากเขียวเป็นม่วง เขามองไปที่บ่าวรับใช้ชายที่วิ่งตะบึงเข้ามาเป็นคนที่สาม แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหบกระด้าง

“คงไม่ใช่ว่า…เสี่ยวซานจื่อเองก็หายตัวไปแล้วหรอกนะ”

“หา? พ่อบ้านฟางท่านรู้ได้อย่างไรขอรับ!” บ่าวรับใช้คนนั้นเต็มไปด้วยสีหน้าประหลาดใจปนนับถือ

พ่อบ้านฟางสีหน้าดำคล้ำ ตาเหลือก คิดอยากสลบไปเลยให้รู้แล้วรู้รอด

“พ่อบ้านฟาง พวกเรา…ต้องไปแจ้งทางการหรือไม่ขอรับ” บ่าวชายผู้หนึ่งถามอย่างหวั่นเกรง

“แจ้งทางการอะไร คุณชายทั้งสองไม่ได้โดนใครลักพาตัวไป พวกเราจะอาศัยอะไรไปแจ้งทางการ!” พ่อบ้านฟางใกล้จะโมโหจนตายแล้วจริงๆ เขาสูดลมหายใจเข้า ดึงสติกลับมาอีกครั้งแล้วเริ่มโบกมือสั่งการ “พวกเขาจะต้องยังไปไม่ไกลแน่ รีบส่งคนไปที่ประตูเมืองสอบถามว่ามีคนเห็นคุณชายทั้งสองหรือไม่ บางส่วนไปดูตามตรอกซอกซอย อีกส่วนไปดูที่เส้นทางหลัก ส่วนคนที่เหลือไปหาตามหอสุราโรงน้ำชาทุกๆ ที่!” เขาโบกมือพร้อมตะโกนเสียงดัง “เร็วๆ เร็วเข้า! พวกเราจะต้องพาตัวคุณชายทั้งสองกลับมาให้ได้ สกุลเซียวไม่อาจขาดผู้นำได้แม้แต่วันเดียว อย่างน้อยก็ต้องเอากลับมาให้ข้าสักคน!”

มองบรรดาบ่าวรับใช้วิ่งออกนอกประตูไปตามคำสั่ง พ่อบ้านฟางถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง คิดในใจด้วยใบหน้าที่กำลังร้องไห้โดยไร้น้ำตา

สวรรค์ได้โปรดคุ้มครองด้วย จะต้องให้พวกเขาหาใครสักคนกลับมาให้ได้!

ทางฝั่งตะวันออกของเมืองลั่วหยาง ณ วัดไป๋หม่า

วัดไป๋หม่าสร้างขึ้นในรัชสมัยของจักรพรรดิฮั่นหมิงตี้แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออก เป็นวัดโบราณเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมาเป็นแห่งแรกในช่วงที่พุทธศาสนาเข้ามาในจงหยวน* จวบจนปัจจุบันได้มีประวัติศาสตร์มายาวนานกว่าหลายร้อยปีแล้ว สำหรับชาวลั่วหยางก็นับได้ว่าเป็นสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ที่มีชื่อเสียงและสำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นผู้ที่มาไหว้พระทำบุญจึงมีมาก เพิ่งจะยามเที่ยงตรงก็มีชาวบ้านจำนวนมากมาจุดธูปไหว้พระที่นี่แล้ว

เซียวจิ้งมาถึงวัดไป๋หม่ากลับไม่ได้มาไหว้พระ เพียงแค่เดินตรงจากประตูเล็กข้างหอพระมายังลานด้านหลัง เหตุผลก็เพื่อสลัดเสี่ยวซานจื่อที่ติดตามมาข้างหลังให้พ้น

เช้าวันนี้ทันทีที่กลับมาถึงห้อง เตียงไม่ทันนอนก็แอบหลบออกมาทางหน้าต่าง เพราะเขารู้ว่าพี่ใหญ่ไม่มีทางยอมรามือด้วยเหตุนี้ ใครจะไปรู้ว่าเพิ่งออกมาได้ไม่ไกลเท่าไรก็พบว่าเสี่ยวซานจื่อกำลังแอบติดตามมาที่ข้างหลัง เขากลัวว่าทันทีที่ตนออกวิ่งเสี่ยวซานจื่อก็จะตะโกนโวยวายเสียงดัง จึงทำได้เพียงเดินวนอ้อมเมืองลั่วหยางหนึ่งรอบอย่างไม่ให้มีพิรุธ คิดหาโอกาสสลัดหลุดจากเสี่ยวซานจื่อ หารู้ไม่ว่าเจ้าเด็กคนนี้ตามมาอย่างเหนียวแน่นนัก ทำให้เขาหาโอกาสไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ดังนั้นถึงคิดใช้จำนวนผู้คนที่มาไหว้พระในวัดไป๋หม่าเป็นตัวช่วย

เขาเพิ่งจะเดินเข้าไปในลานด้านหลัง กลับได้เห็นเงาร่างสะโอดสะองของจั้นชิง

คาดไม่ถึงว่าวันนี้นางจะสวมอาภรณ์สตรีอย่างหาได้ยาก ก้มศีรษะหลุบตา มองไปยังดอกโบตั๋นสีชมพูที่ยังไม่บานดอกนั้นที่เบื้องหน้าอย่างสงบ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่…

หากบอกว่าตนเองรู้สึกถึง ‘สามวันไม่พบหน้า มิอาจมองเหมือนเก่า’ กับท่าทีสงบเสงี่ยมอ่อนโยนของนาง ยังมิสู้บอกว่า ‘หนึ่งวันไม่พบหน้า ดั่งสามสารทผ่านไป’ น่าจะเหมาะสมกว่าบ้าง เพราะเขารู้ว่านางที่ดูอ่อนหวาน ภายในก็ยังคงเป็นคุณหนูใหญ่สกุลจั้นผู้เยือกเย็นทะนงตน องอาจกล้าหาญผู้นั้นเช่นเดิม

ความจริงแล้วนางมิได้งดงามดุจเทพเซียน แต่เมื่อเทียบกับคุณหนูตระกูลอื่นแล้ว กลับมีเสน่ห์อีกแบบหนึ่ง ทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปจากนางได้อยู่เสมอ บางทีอาจเป็นเพราะนางมักมีกลิ่นอายไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดแผ่ซ่านอย่างเต็มเปี่ยมจนชวนให้คนตาพร่า

“คุณชายรอง ท่านนี้คือคุณหนูตระกูลใดกันหรือขอรับ”

สุ้มเสียงถามไถ่ด้วยความประหลาดใจเรียกสติเขากลับมา เซียวจิ้งลอบถอนหายใจกับตนเองอย่างห้ามไม่ได้ สวรรค์หนอ เขากลับมัวแต่มองนางจนถึงขั้นลืมพยาธิตัวนี้ไปเสียแล้ว

เขาหันหน้ากลับไปอย่างปวดศีรษะ ก็ได้เห็นเสี่ยวซานจื่อที่ข้างกายเขากำลังชะโงกหน้ามองดูจั้นชิงที่อยู่ไกลออกไป

“เจ้า…” เซียวจิ้งเพิ่งจะเปิดปากคิดกล่าวไล่อีกฝ่ายอย่างทนไม่ไหว กลับได้ยินเสียงแหวกผ่านอากาศดังมาจากทางด้านหลังกะทันหัน

เขายื่นมือออกไปกดศีรษะเสี่ยวซานจื่อและรีบหันหน้ากลับไป พบว่าอาวุธลับที่แหวกผ่านอากาศมานั้นไม่ได้พุ่งเป้ามาทางพวกเขาทั้งสองคน แต่กลับมุ่งไปทางจั้นชิงแทน!

“ระวัง!” เขาเด็ดกิ่งไม้ที่ด้านหน้าโจมตีไปยังอาวุธลับที่พุ่งมาอย่างรวดเร็วนั้นในชั่วพริบตา

คาดไม่ถึงว่าเขากำจัดอาวุธลับที่บินมาจากทางด้านหลังได้ แต่อีกทางหนึ่งก็มีอาวุธมุ่งตรงไปหาจั้นชิงเช่นกัน และเสียงตะโกนนี้ของเขากลับทำให้จั้นชิงมุ่งความสนใจมาทางเขาจนถูกอาวุธลับที่พุ่งมาจากอีกทางโจมตี

อาวุธชิ้นนั้นโจมตีโดนอกข้างซ้ายของนาง จั้นชิงรู้สึกชาวาบที่บาดแผล จากนั้นทั้งร่างก็อ่อนยวบ ล้มลงไปด้านหลัง

เซียวจิ้งทะยานออกไปรับร่างที่ล้มลงของนาง โอบอุ้มนางหลบประกายสีเงินที่พุ่งมาอีกอันหนึ่ง

ตัวเขายังไม่ทันลงแตะพื้นก็ได้ยินเสียงดาบปะทะกันดังมาจากทางด้านหลัง เมื่อหันกลับไปมองก็ได้เห็นเซียวเหวยในมือถือดาบยาวกำลังพัวพันต่อสู้กับชายชุดดำสองคน

ใบหน้าเซียวจิ้งแสดงรอยยิ้มขมขื่น สมควรตายแท้ๆ แม้กระทั่งโดนพี่ใหญ่ตามอยู่ข้างหลังเขายังไม่รู้ตัว!

เท้าเพิ่งจะแตะพื้น อีกฝั่งหนึ่งก็มีเสียงต่อสู้ดังมา เขาไม่จำเป็นต้องหันหน้าไปมองก็รู้ว่าคนที่เร่งตามมาคือเสี่ยวโจว บางทีเมื่อครู่คงกำลังยืนเฝ้าอยู่ที่ด้านหน้า

“คุณหนูจั้น เจ้ายังไหวหรือไม่” ทันทีที่เขายืนได้อย่างมั่นคงแล้วก็รีบก้มศีรษะลงถามสตรีในอ้อมแขน ทว่ากลับได้เห็นนางสีหน้าเขียวคล้ำ หมดสติไปเรียบร้อยแล้ว

เซียวจิ้งรีบร้อนตรวจสอบบาดแผลบนอกข้างซ้ายของนาง เห็นอาวุธลับชิ้นนั้นทอประกายสีน้ำเงิน ทั้งยังมีกลิ่นคาวที่ฉุนจมูกลอยออกมา สีหน้าเขาพลันซีดขาว นึกออกทันทีว่าสิ่งที่ชุบอยู่บนอาวุธลับชิ้นนั้นก็คือพิษนกยูงครามอันร้ายกาจของชนเผ่าเหมียวเจียง*!

ไม่อาจมัวห่วงเรื่องบุรุษสตรีไม่สมควรใกล้ชิดกันได้อีก เซียวจิ้งรีบวางนางลงกับพื้นแล้วสกัดจุดชีพจรที่ข้างบาดแผลของนาง ดึงอาวุธลับชิ้นนั้นออก หยิบมีดเล่มเล็กที่สะอาดเอี่ยมกรีดเสื้อบริเวณบาดแผลของนางให้กว้างขึ้น ก่อนก้มตัวลงดูดเลือดพิษจากบาดแผลแล้วถุยลงบนพื้นดิน

จวบจนกระทั่งสีเลือดกลายเป็นสีแดงสด เขาถึงได้หยุดลง จากนั้นก็หยิบกระปุกยาออกมาจากในอกแล้วทาลงบนบาดแผลของนาง แต่เขารู้ว่ายามนี้ยังไม่อาจวางใจได้ เพราะสีหน้าของจั้นชิงไม่ได้ดูดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย อุณหภูมิร่างกายเย็นเฉียบจนน่าตกใจ

ความน่ากลัวของพิษชนิดนี้คือการแพร่ซึมได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังไม่มียาแก้!

สีหน้าเซียวจิ้งซีดขาวประดุจคนตายเช่นนั้น เขารู้ว่าศิษย์อาจารย์คู่นั้นที่เมืองฉางอันจะต้องมีวิธีจัดการ ขอเพียงเขาพานางเร่งไปถึงฉางอันให้ได้ภายในสามวัน!

เซียวจิ้งรีบอุ้มจั้นชิงเดินมาที่ด้านหน้าเสี่ยวซานจื่อ เอ่ยด้วยใบหน้าซีดเผือด

“คอกม้าของเมืองลั่วหยางอยู่ที่ใด”

“อยู่…อยู่ทางตะวันออกของเมืองขอรับ ห่างจากหน้าวัดไป๋หม่าไปเพียงครึ่งลี้เท่านั้น พวก…พวกเราเพิ่งจะผ่านมาขอรับ” เสี่ยวซานจื่อตกใจไปเฮือกใหญ่ รีบร้อนตอบคำถาม

เมื่อเห็นพี่ใหญ่และเสี่ยวโจวยังคงต่อสู้พัวพันกับศัตรู เซียวจิ้งจึงกล่าวทิ้งไว้หนึ่งประโยค

“นางถูกพิษเข้าแล้ว ข้าจะพานางไปหาหมอที่เมืองฉางอัน บอกให้พวกเขาตามมาที่สำนักเฟิงอวิ๋นแห่งฉางอัน…” ยังไม่ทันกล่าวจบ เขาก็อุ้มจั้นชิงจากไปไกลแล้ว ทิ้งเพียงเสียงขาดหายเอาไว้

สกุลเซียวแห่งโยวโจวที่ทำการค้ามารุ่นต่อรุ่นได้เลี้ยงม้าไว้เช่นกัน ทั้งม้าที่เลี้ยงยังเป็นม้าฝีเท้าดีชั้นหนึ่ง!

บรรดาม้าเหล่านี้ พวกเขาทั้งนำมาใช้ส่งสินค้าและยังขายออกเพื่อเป็นรายได้อีกทางด้วย บรรดาคนที่ซื้อล้วนเป็นกลุ่มคนชนชั้นสูง เพราะว่าม้าของสกุลเซียวที่โยวโจวผ่านการผสมสายพันธุ์จนสามารถวิ่งได้เร็ว รับน้ำหนักได้มาก นิสัยยังเชื่อฟัง ที่ผ่านมาเกือบร้อยปีล้วนมีชื่อเสียงอันดีงาม ท่ามกลางม้าจำนวนมากเช่นนี้แน่นอนว่าย่อมมีม้าฝีเท้าดีจากหนึ่งในหมื่นที่สามารถวิ่งได้พันลี้ต่อวัน และในยามนี้ม้าตัวที่เซียวจิ้งขี่อยู่ก็เป็นหนึ่งในนั้น

ชื่อว่ายอดอาชาพันลี้ แน่นอนว่าย่อมไม่ได้หมายความว่ามันสามารถวิ่งได้พันลี้จริงๆ แต่อย่างน้อยความเร็วของฝีเท้ายามวิ่งก็ไม่ใช่อะไรที่ม้าธรรมดาทั่วไปจะสามารถเทียบได้

บนม้ากระทบกระเทือนเป็นอย่างยิ่ง แต่จั้นชิงก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาเลยตลอดเส้นทาง เซียวจิ้งโอบกอดนาง รู้สึกเพียงว่าร่างกายของนางเย็นเยียบยิ่งนัก หากโชคดีที่ชีพจรยังนับว่าเต้นสม่ำเสมออยู่

หลังเร่งรีบห้อตะบึงม้ามาตั้งแต่ยามอู่จนถึงช่วงค่ำ เป็นเพราะมีก้อนเมฆบดบังแสงจันทร์ เขาถึงได้ให้ม้าชะลอความเร็วลง เพื่อรอให้ดวงจันทร์ค่อยๆ ปรากฏกลับมาอีกครั้ง แต่จู่ๆ จั้นชิงกลับได้สติขึ้นมากะทันหัน

เซียวจิ้งหยุดม้าลงทันที โอบกอดนางขณะถาม

“เจ้ายังไหวหรือไม่”

“ท่าน…” จั้นชิงลืมตาอย่างอ่อนล้า ในตอนที่เห็นเขาก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง นางพยายามจะออกจากอ้อมกอดของเขาขึ้นมานั่งตรงๆ แต่กลับพบว่าตนเองไร้เรี่ยวแรงไปทั้งร่าง ทำได้เพียงถามเขากลับในสภาพเช่นนี้ “ท่าน…มาทำอะไรอยู่ที่นี่”

ได้ยินคำถามนี้แล้ว เซียวจิ้งเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา สวรรค์ นางช่างชอบถามประโยคนี้กับเขาจริงๆ! แต่คำถามเชิงตำหนินี้ของนางนับว่าทำให้เขาสบายใจขึ้นไม่น้อย อย่างน้อยสตินางก็ยังคงอยู่ครบถ้วน

“เจ้าได้รับบาดเจ็บ บนอาวุธลับมีพิษ ข้ากำลังจะพาเจ้าไปหาหมอที่เมืองฉางอัน” เขาตอบอย่างอบอุ่น

“พิษอะไร” พิษประเภทใดกันที่ทำให้เขารั้งรอไม่ได้ ต้องพานางไปหาหมอยังที่ห่างไกลอย่างเมืองฉางอัน? จั้นชิงขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว รู้ว่าบาดแผลของตนดูท่าจะหนักหนาไม่น้อย

เดิมทีเซียวจิ้งไม่อยากจะตอบคำถาม แต่เมื่อเห็นดวงตาแน่วแน่ของนาง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงตอบ

“นกยูงคราม”

นกยูงคราม!

จั้นชิงเคยได้ยินชื่อพิษชนิดนี้มาก่อน และรู้ว่ายังไม่มียาแก้ นางหลับตาลงอย่างอ่อนล้า

“ข้าไม่รอดแล้ว”

นางไม่ได้กำลังพูดประโยคคำถาม แต่เป็นประโยคบอกเล่า ประโยคนี้ฟังเข้าหูเซียวจิ้งแล้ว ชั่วขณะก็ทำให้เขาปวดใจจนยากจะทานทน

“ไม่ เจ้าไม่มีทางตาย” เขาก้มตัวลงพูดประโยคนี้อย่างหนักแน่นที่ข้างหูของนาง “ที่เมืองฉางอันมีคนที่สามารถแก้พิษนี้ได้ พวกเขาติดหนี้บุญคุณข้า และตอนนี้ข้าก็ใช้กำลังภายในระงับพิษของเจ้าเอาไว้ชั่วคราวแล้ว ต่อจากนี้ขอเพียงไปให้ถึงภายในสามวันก็เพียงพอ”

“จริงหรือ” จั้นชิงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มองเขาอย่างคาดหวัง ในใจผุดความมุ่งหวังขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

ไม่อยากตายเลย นางยังมีเรื่องที่อยากทำอีกมากมาย ยังมีแผนการอีกมากมายที่ต้องดำเนินการ นางต้องผลักดันมังกรสมุทรตระกูลจั้น ไม่เพียงแต่ที่เส้นทางหลักในทะเล แต่ที่แม่น้ำก็ด้วย นางต้องการพิสูจน์ให้คนทั้งโลก พิสูจน์ให้บิดาเห็นว่านางจั้นชิงเป็นคนมีความสามารถ…

“วางใจเถิด” เซียวจิ้งมองสบความอ่อนแอในแววตาของนางซึ่งแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว แล้วกอดนางแน่นยิ่งขึ้น “ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าตาย”

เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมาจากนาง เขาจึงก้มหน้าลงมอง ถึงได้พบว่านางหมดสติไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว

หัวใจเซียวจิ้งบีบรัดแน่น กลัวว่านางจะทนไปถึงเมืองฉางอันไม่ไหว ถึงแม้จะรู้ว่าไม่ควร เขาก็ยังคงประทับจูบลงบนหน้าผากของนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“ทนต่อไป อย่าได้ยอมแพ้ในตอนนี้…”

เขาเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่ขจัดความมืดมิดออกไป อธิษฐานอยู่เงียบๆ

สวรรค์ หลังจากที่ข้าตามหาสตรีในดวงใจพบอย่างยากลำบาก ก็อย่าได้พานางจากไปอย่างโหดร้ายเลย…

เขาถอนหายใจแผ่วเบา มือหนึ่งกุมเชือก อีกมือโอบกอดนางแน่น จากนั้นจึงกระตุกบังเหียนเร่งฝีเท้าม้า ห้อตะบึงต่อไปยังเมืองฉางอันภายใต้แสงจันทร์

ณ เนินสองลี้

เมื่อมาถึงเนินสองลี้หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ ร่างกายของเขาก็เริ่มอ่อนล้าจากการนั่งอยู่บนหลังม้านานๆ อีกทั้งดวงจันทร์ยังถูกเมฆบดบังแสงสว่างไปอีกครั้ง ยามกลางคืนยากจะเดินทาง เซียวจิ้งรู้ว่าไม่ควรฝืนไปต่อ จึงพาจั้นชิงเข้าพักที่โรงเตี๊ยมในหมู่บ้าน พักผ่อนสั้นๆ ตั้งใจว่าทันทีที่ฟ้าสางค่อยเร่งรีบเดินทางต่อ

หลังเข้าพักในห้องเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวเอ้อร์ก็นำชาร้อนกับน้ำล้างหน้าขึ้นมาส่ง ทั้งยังจุดโคมให้ทั้งสองคนแล้วถึงล่าถอยออกไป

เซียวจิ้งคลายสาบเสื้อนางออกภายใต้แสงโคมสลัว หยิบผ้าสะอาดขึ้นมาเช็ดทำความสะอาดบนบาดแผลของนาง ทั้งยังช่วยทาแผลให้นางใหม่อีกครั้ง ผิวตั้งแต่ช่วงลำคอของนางขาวเนียนเป็นอย่างมาก ตัดกับผิวสีคล้ำที่เปิดเผยอยู่นอกเสื้ออย่างเห็นได้ชัด เขามองสีผิวอันแตกต่างกันของนางอย่างลุ่มหลง นิ้วมือลูบเบาๆ บริเวณที่สีผิวตัดกันตรงช่วงลำคอกับอกโดยไม่รู้ตัว

เพราะเดินอาบแดดอยู่ซีอวี้มานานหลายปี บนร่างของเขาเองก็ย่อมมีสีผิวที่แตกต่างกันเช่นนี้ แต่เขากลับไม่เคยคิดจะสัมผัสดู ยิ่งรวมเข้ากับที่ผิวหนังของบุรุษหยาบกระด้าง ไม่นุ่มลื่นเช่นนี้เหมือนดั่งผิวของนาง ผิวสีเปลือกข้าวกับสีน้ำนมบนร่างของนางมองดูแล้วก็ราวกับความเนียนของหยกสองสีเช่นนั้น หลอมรวมกันอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งยังมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง ทำเอาเขาตัดใจชักมือกลับไม่ลง แต่ว่าหากเขายังลูบไล้ต่อไปก็อาจจะอดใจไม่ไหวจนถอดอาภรณ์ของนาง อีกทั้งหากนางได้สติขึ้นมาแล้วเห็นเขากำลังเอาเปรียบอยู่เช่นนี้ ก็มีโอกาสแปดถึงเก้าในสิบส่วนเลยทีเดียวที่จะไปหยิบดาบมาฟันเขา

เซียวจิ้งหยักมุมปาก หัวเราะเย้ยหยันตนเองแล้วถึงได้ละออกจากผิวดุจหยกเย็นของนางอย่างอ้อยอิ่ง ทว่ากลับเห็นที่คอของนางห้อยเชือกแดงเอาไว้เส้นหนึ่ง เขาดึงเชือกแดงเส้นนั้นออกมาดูด้วยความประหลาดใจ ที่ปลายเชือกคือหยกกลมสีเขียวเข้มครึ่งซีกอันหนึ่ง บนนั้นแกะสลักลวดลายมังกรเขียวที่กำลังร่ายรำกางกงเล็บอย่างมีชีวิตชีวาอยู่ตัวหนึ่ง

เซียวจิ้งกำหยกก้อนนั้น สองคิ้วขมวดแน่น เพราะลักษณะเช่นนั้นราวกับถูกใครหักครึ่ง ดูๆ แล้วควรจะมีอีกครึ่งหนึ่งสิถึงจะถูก หยกแบบครึ่งวงกลมเรียกว่าหยกเสี้ยว หรือว่านี่จะไม่ใช่หยกเสี้ยว แต่เป็นครึ่งหนึ่งของหยกเต็มวง? เพราะเหตุใดนางถึงสวมแค่ครึ่งเดียว

หรือว่า…ในใจเซียวจิ้งผุดความไม่สบายใจขึ้นมา นับตั้งแต่โบราณผู้คนก็ชอบใช้หยกเป็นของแทนการหมั้นหมาย หรือนางอาจจะหมั้นหมายกับใครเอาไว้แล้ว

“ท่านทำอะไร” จั้นชิงได้สติขึ้นมากะทันหัน ทันทีที่ลืมตาแล้วเห็นว่าในมือของเขากำลังกุมหยกเขียวที่ตนสวมไว้ติดกายตั้งแต่เด็ก นางก็พยายามลุกขึ้น มือดึงหยกเขียวชิ้นนั้นแย่งกลับมาจากในมือเขา แต่เป็นเพราะร่างกายอ่อนแอเกินไป คนทั้งคนจึงเอนล้มไปข้างหลังอีกครั้ง

เซียวจิ้งประคองศีรษะด้านหลังของนางเอาไว้ได้ทัน ไม่ให้นางกระแทกโดนหัวเตียง แต่เมื่อเห็นนางหวงแหนหยกชิ้นนี้ถึงเพียงนี้ ความไม่สบายใจในอกของเขาก็ยิ่งรุนแรงขึ้น

จั้นชิงเพิ่งจะสงบสติลงก็พบว่าสาบเสื้อของตนถูกคลายออกกึ่งหนึ่ง ถึงแม้ส่วนที่ควรปกปิดยังคงปกปิด แต่ทรวงอกก็ถูกเปิดเผยออกมามากกว่าครึ่งแล้ว โดยเฉพาะตรงอกซ้ายที่ได้รับบาดเจ็บ ผ่านการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงเช่นนี้ สาบเสื้อที่ถูกคลายออกนั้นเกือบจะร่วงหล่นลงมาทั้งหมด นางคว้าสาบเสื้อเอาไว้ได้ทันท่วงทีอย่างเฉียดฉิว แต่กลับไม่มีแรงควบคุมร่างกายตนเอง ตัวคนทั้งคนร่วงหล่นสู่อ้อมกอดเซียวจิ้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ท่าน…” นางทั้งอายทั้งโกรธ มือหนึ่งกุมหยก อีกมือปิดบังสาบเสื้อ คิดอยากออกจากอ้อมอกเขาก็ไม่มีแรง ทำได้เพียงหอบหายใจเบาๆ ใบหน้าแดงระเรื่อ ถลึงตามองเขาอย่างกรุ่นโกรธ “เหตุใดท่านถึงได้ปลด…”

“คุณหนูจั้น ข้าไม่ได้มีเจตนาเอาเปรียบ แต่ว่าเจ้าถูกพิษ ข้าจำเป็นต้องช่วยเจ้าทายา” เขาก้มหน้าลงเอ่ยอธิบายกับคนในอ้อมกอด ปลายจมูกได้กลิ่นหอมบนร่างของนาง แทบทำให้เขาอยากโน้มลงไปจูบหน้าผากนางอย่างแผ่วเบา

จั้นชิงเข้าใจว่าเขาไม่ได้มีเจตนาร้าย นี่เป็นความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ แต่นางก็ยังคงรู้สึกสุดจะทน โทสะจุกอยู่ในอก พูดไม่ออกอยู่เนิ่นนาน ทำได้เพียงเบี่ยงศีรษะหลบออกไม่มองเขา

ในสมองของนางสะท้อนคำที่เขาเพิ่งพูดเมื่อครู่กลับไปกลับมา จู่ๆ ก็พลันตระหนักได้ว่าเขาเคยปลดสาบเสื้อนาง ทายาให้บนบาดแผลตรงอกซ้ายของนางมาก่อน ในช่วงเวลากะทันหันเช่นนั้น บาดแผลพลันร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างหาใดเปรียบ จากนั้นความร้อนนั้นก็ยังแผ่กระจายไปทั่วร่าง…

ประสาทสัมผัสบนร่างของนางว่องไวขึ้นเป็นพิเศษในฉับพลัน รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิอันอบอุ่นของมือที่หลังศีรษะนาง รู้สึกถึงมืออีกข้างของเขาที่สัมผัสเอวตนเองอยู่ รู้สึกได้ถึงแผ่นอกอันร้อนผ่าวและจังหวะหัวใจที่เต้นสม่ำเสมอของเขา รู้สึกได้ว่าทั้งร่างของนางแทบจะกำลังเอนนอนอยู่ในอ้อมกอดของเขา

ชั่วพริบตานั้นจั้นชิงเขินอายจนใบหน้าแดงก่ำ พยายามออกแรงทั้งหมดคิดอยากผละจากอ้อมกอดของเขา รักษาระยะห่างระหว่างกัน

เหตุใดจู่ๆ อุณหภูมิของนางถึงเพิ่มสูงขึ้นมาได้ พิษนกยูงครามควรจะทำให้อุณหภูมิของนางลดต่ำลงจึงจะถูกสิ! เซียวจิ้งเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

“เจ้ายังไหวอยู่ใช่หรือไม่”

หลังพบว่าตนเองอ่อนแอเกินไปจนไม่มีแรงจะขยับตัวแล้วจริงๆ จั้นชิงจึงพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเจือโทสะ

“ท่าน…ท่านปล่อยข้า…”

“เอ๋? ขออภัย” ยามนี้เซียวจิ้งถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองยังโอบผู้อื่นอยู่ ถึงแม้จะตัดใจจากร่างหอมกรุ่นในอกไม่ได้ แต่ยังคงรีบพยุงนางนอนลงไป ทั้งช่วยนางห่มผ้า มือใหญ่ยังไม่ลืมสัมผัสหน้าผากนาง วัดอุณหภูมิของนางเล็กน้อย

เมื่อพบว่าอุณหภูมิไม่ได้สูงอย่างที่คิดไว้ เขาถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมา

“เจ้าอยากกินอะไรหน่อยหรือไม่ ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อร์นำขึ้นมาให้”

“ไม่ต้อง…”

นางเกลียดความอ่อนแอเช่นนี้ของตนเองนัก แค่คิดจะนอนลงยังต้องให้เขาช่วยประคอง จั้นชิงรู้สึกหงุดหงิดกับสภาพร่างกายของตนเอง ในเบ้าตามีน้ำตาคลอขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้จะรู้ว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่นางก็ยังคงเอนศีรษะไปอีกทางหนึ่งเหมือนดั่งอารมณ์เสีย

“เช่นนั้นอยากดื่มชาร้อนหรือไม่” เขาถามอีกครั้งอย่างอ่อนโยน

“ไม่ต้อง” นางตอบสั้นห้วน น้ำเสียงกลับยากจะปกปิดอาการสะอื้น

นางกำลังร้องไห้หรือ เซียวจิ้งไม่ได้พลาดน้ำเสียงกลั้นสะอื้นเล็กน้อยนั้น จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี มือเท้าเขาเก้ๆ กังๆ ไม่รู้ว่าควรเปิดปากเอ่ยปลอบนาง หรือว่าควรทำเป็นไม่รู้เรื่องดี

การไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองของเขากลับทำให้จั้นชิงยิ่งรู้สึกช้ำใจ ทั้งเสียใจหนักขึ้นกว่าเดิมอย่างน่าประหลาด

ความจริงแล้วนางก็ไม่เข้าใจว่าที่แท้ตนเองต้องการให้เขาทำอย่างไรกันแน่ แต่แค่…แต่แค่มองไปที่เงาบนผนังที่ไม่ไหวติงของเขา น้ำตาก็ไหลออกมาราวกับธารน้ำอย่างไม่มีเหตุผล

ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ของนาง เซียวจิ้งยิ่งทำอะไรไม่ถูก เขายื่นมือออกไปครึ่งทางแล้วก็พลันชะงัก ครู่หนึ่งก็ดึงกลับมา มือข้างนั้นของเขายื่นออก หยุด ดึงเข้า ยื่นออก หยุด ดึงเข้า กลับไปกลับมาเช่นนี้หลายหน สุดท้ายถึงได้ถอนหายใจเบาๆ เรียกความกล้าจับใบหน้าของนางให้หันมาทางตนเอง

ประหลาดนัก ก็แค่การกระทำเรียบง่ายการกระทำหนึ่ง แต่เขาเองก็ถึงกับต้องเรียกความกล้าเชียวหรือ

เซียวจิ้งลอบงุนงงกับพฤติกรรมแปลกประหลาดของตนเองอยู่ในใจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเวลาเรื่องราวเกี่ยวข้องกับนางเมื่อไร เขาจะต้องทำตัวไม่ถูกทุกที

เขาช่วยเช็ดน้ำตาบนแก้มของนาง ก่อนเอ่ยปลอบเสียงทุ้มต่ำแฝงความปวดใจอยู่บ้าง

“อย่าร้อง…อย่าร้องเลย เจ้าไม่มีทางเป็นอะไรไป รอพวกเราไปถึงยังเมืองฉางอัน คนที่นั่นจะต้องช่วยรักษาเจ้าให้หายดีได้อย่างแน่นอน”

“ถ้าหาก…รักษาไม่หายเล่า” นางมองเขาด้วยปลายจมูกแดงก่ำ น้ำตานองหน้า บนใบหน้าแสดงความอ่อนแอและไร้กำลังอย่างหาได้ยาก

“ไม่มีทาง” เขาลูบใบหน้านางอย่างแผ่วเบา “พวกเขาจะต้องรักษาเจ้าให้หายดีได้อย่างแน่นอน”

“ข้า…” จั้นชิงมองใบหน้าอ่อนโยนของเขา ความหยิ่งทะนงที่จุกอยู่ในอกก้อนนั้นพลันสลายไป นางแนบใบหน้ากับฝ่ามืออบอุ่นของเขา ดวงตาหลุบลง กัดริมฝีปากเบาๆ เอ่ยความกลัวที่อยู่ในใจออกมา “ข้ากลัวนัก…”

“ไม่ต้องกลัว เจ้าจะไม่เป็นอะไร” เซียวจิ้งพยายามฝืนยิ้มออกมา อีกมือหนึ่งก็กุมมือนางแน่น ราวกับต้องการจะรับรองกับนางเช่นนั้น

น้ำตาซึมออกมาจากหางตาของนาง เปียกชุ่มไปที่ฝ่ามือของเขา จั้นชิงเอ่ยน้ำเสียงสั่นเครือ

“ท่านช่วยรับปากข้าเรื่องหนึ่ง…ได้หรือไม่”

“เรื่องใดกัน”

จั้นชิงลืมตาขึ้น หันไปมองเขาแล้วเอ่ย

“หากว่า…หากว่าข้าไม่รอด…”

“ไม่มีทาง…” เขาคิดอยากจะพูดอีกครั้งหากกลับถูกปรามเอาไว้

นางยื่นมือออกไปปิดปากเขา หอบเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่ออย่างโศกเศร้า

“ถ้าหาก…ข้าตายแล้ว ขอให้ท่านช่วยตามหาน้องชายของข้าให้ข้าด้วย”

“เด็กโง่ เลิกคิดไร้สาระได้แล้ว ข้าบอกแล้วว่าเจ้าไม่มีทางเป็นอะไรไป!” เขากุมมือของนางพร้อมกล่าวตำหนิเบาๆ อย่างอดไม่ได้

“ได้โปรด…” จั้นชิงอ้อนวอนเขาทั้งน้ำตา “เขาชื่อว่าปู้ฉวิน ที่หูขวาสวมต่างหูหยกมังกรสมุทรสีน้ำเงินขาวแบบเดียวกันกับข้าเช่นนี้ ได้โปรดช่วยตามหาเขาให้พบ”

“ข้าไม่สัญญาเรื่องน่าเบื่อเช่นนี้!” เซียวจิ้งปฏิเสธนางอย่างโมโหเล็กน้อย “ใต้หล้ากว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ หากต้องการจะตามหา รอเจ้าแก้พิษได้แล้วค่อยไปตามหาเอาเอง!”

“ท่าน…” จั้นชิงได้ยินดังนั้นก็มีโทสะขึ้นมาบ้างแล้ว นางไม่เคยขอร้องใครมาก่อน เขากลับปฏิเสธนางเช่นนี้! ทันใดนั้นความร้อนสายหนึ่งก็พวยพุ่งจากกลางอกขึ้นมาที่เบ้าตา นางรู้สึกว่าตนได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง ถึงแม้จะพยายามอดกลั้น แต่น้ำตาก็ยังคงคลอเบ้าแล้วไหลออกมา

สมควรตาย! เซียวจิ้งเห็นนางร้องไห้อีกแล้ว ในใจก็ลอบสบถด่าตนเองว่าเจ้าทึ่ม สตรีล้วนต้องการคนเอาอกเอาใจมิใช่หรือ เหตุใดเขาต้องมาหาเรื่องนางในเวลาเช่นนี้ด้วย ถึงอย่างไรเขาก็มั่นใจว่านางจะต้องไม่เป็นอะไร รับปากไปก่อนแล้วจะเป็นอะไรไป แต่ว่า…เห็นนางแสดงท่าทีสั่งเสียเช่นนั้น ในอกเขาก็กระวนกระวายขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ยิ่งรู้สึกโกรธที่นางไม่เชื่อในคำพูดของเขา จริงๆ เลย!

เซียวจิ้งโกรธความบุ่มบ่ามนี้ของตนเอง ทว่าก็ไม่อาจควบคุมความกังวลในใจได้ ยามนี้ได้เห็นนางถูกตนเองทำให้ร้องไห้ ในหัวใจนอกจากความรู้สึกผิด พะวักพะวน ทำอะไรไม่ถูกแล้ว ยังมีความปวดใจอยู่ด้วยหลายส่วน

“ขออภัย” เขารีบร้อนเช็ดน้ำตาให้นาง “เจ้าอย่าร้องไห้ ข้าตอบตกลงเจ้าก็ได้”

จั้นชิงปัดมือเขาออกด้วยความโกรธ สะอึกสะอื้นกล่าวด้วยน้ำตานองหน้า

“หลีก…หลีกไป ไม่…ไม่ต้องแกล้งทำเป็นคนดี รอ…รอข้าหายดีแล้ว ข้าจะไปตามหา…ด้วยตนเอง…”

“คุณหนูจั้น…” เซียวจิ้งถูกนางปัดมือทิ้ง เพียงรู้สึกทั้งไม่ดีและกระอักกระอ่วน

“ไม่ต้องเรียกข้า! ท่าน…ท่านหลีกไป! หลีกไป…” นางโวยวายราวกับเป็นเด็กๆ เช่นนั้น ในความอ่อนล้ายังผสมไปด้วยเสียงสะอื้นไห้ ท่าทีแบบสบถด่าคนสักนิดก็ไม่มี ทำเอาตัวนางได้ยินเองแล้วยิ่งรู้สึกเศร้าโศก น้ำตาไหลหนักกว่าเดิม

ชั่วขณะหนึ่งเซียวจิ้งไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ทำได้เพียงขืนตัวไว้ จะไปก็ไม่ใช่ ไม่ไปก็ไม่ใช่

จั้นชิงเห็นเขาไม่ขยับ ลำบากที่ตนเองก็ไม่มีแรงจะไล่คน ทั้งยังไม่อยากให้ท่าทางร้องไห้เละเทะของตนอยู่ในสายตาของเขา จึงทำได้เพียงหันหลังให้เขาแล้วสะอื้นไห้ รู้สึกว่าตนเองช่างไม่เอาไหนถึงที่สุดแล้วจริงๆ

“จั้น…” เขาคิดอยากจะเรียกนาง แต่เพียงคิดถึงประโยคเมื่อครู่ของนาง เสียงกลับหายเข้าไปในลำคอ แต่สุดท้ายเขาก็ทนให้นางร้องไห้ต่อไปไม่ได้ ทำได้เพียงเตรียมใจถูกนางปฏิเสธอีกครั้ง ก่อนจะอุ้มนางมานั่งบนตักของตัวเอง โอบนางไว้ในอ้อมกอดแล้วเอ่ยปลอบเสียงอ่อนโยน “ขออภัย เจ้าอย่าร้องไห้อีกเลย ร้องไห้เช่นนี้ไม่ดีต่อร่างกายนะ”

จั้นชิงไม่มีแรงต่อต้านเขา อีกทั้งถึงแม้ไม่อยากยอมรับ แต่เดิมแล้วนางก็ต้องการใครสักคนมาปลอบใจ ยิ่งไปกว่านั้นดีไม่ดีนางอาจจะใกล้ตายแล้ว จะยังมัวสนใจปัญหาเสียหน้าไม่เสียหน้าที่ไหนกัน จึงยอมอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างว่าง่าย ซุกใบหน้าลงกับอกเขาร้องไห้ต่อไป

“ชู่ว…เด็กดี ไม่ต้องร้องแล้ว…” เขาโอบกอดนาง ลูบผมอย่างอ่อนโยน กระซิบปลอบนางเบาๆ ที่ข้างหู “ข้าจะช่วยเจ้าตามหาน้องชาย เจ้าเองก็จะมีชีวิตอยู่จนได้พบเขา ดังนั้นไม่ต้องร้องไห้แล้ว ทุกอย่างจะต้องไม่มีปัญหา เชื่อข้า…”

ภายใต้แสงโคมสลัว เขาคอยปลอบโยนนางอยู่อย่างนี้ จนกระทั่งน้ำมันในตะเกียงเหือดแห้ง นางถึงได้สงบลงและหลับลึกอยู่ในอ้อมกอดของเขา เซียวจิ้งเกรงว่าการขยับตัวเล็กน้อยของตนอาจจะทำให้นางตื่น จึงไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย ให้นางได้นอนหลับสนิทไปทั้งแบบนั้น

หลังจากนั้นไม่นาน เป็นเพราะเมื่อคืนไม่ได้นอนมาตลอดทั้งคืน เขาเองก็ปิดดวงตาหลับลงพักผ่อนเช่นกัน

ดวงจันทร์ที่นอกหน้าต่างยังคงอยู่ เมฆครึ้มได้สลายไปแล้ว ดวงดาวทอประกายแสงอ่อนท่ามกลางความมืด บางคราวแว่วเสียงกบร้องดังมาจากที่ห่างไกล ลมกลางคืนฤดูร้อนพัดโชย แฝงไปด้วยความเย็นสบายสายหนึ่ง…

 

(ติดตามต่อในเล่ม)

หน้าที่แล้ว1 of 45

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: