บทที่ 15
หลูซื่อกลับถึงตำบลหลงเฉวียนแล้วพักผ่อนคืนหนึ่ง วันถัดมาก็เริ่มเร่งมือตระเตรียมสินเจ้าสาวให้อี๋อวี้ เครื่องประดับที่จับจองจากร้านอัญมณีแบ่งส่งของมาสามรอบ เพราะสั่งซื้อจำนวนมาก หลงจู๊ของร้านจึงกำนัลกล่องใส่เครื่องประดับชุดหนึ่งให้ด้วย
นางยังไปที่ว่าการเมืองหลวงขึ้นทะเบียนหนังสือโฉนดเรือนสองหลังที่ตกลงซื้อไว้ เมื่อรวมกับที่นาเขตด่านในหลายผืนก็ได้ครบถ้วนเพียงพอแล้ว ส่วนเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์จิปาถะได้ช่างตัดเย็บจากทางวังอ๋องรับหน้าที่ไปจัดการทั้งหมด จะมีก็แต่เสื้อคลุมเจ้าสาวของอี๋อวี้ที่ปักลายไปได้เกินครึ่ง แต่ดูท่าทางอีกฝ่ายคงทำเองจนเสร็จไม่ไหว คนเป็นมารดาอย่างหลูซื่อก็เลยจับเข็มกับด้ายปักต่อให้ แม้นชีวิตจะยุ่งวุ่นวายต้องนอนดึกตื่นเช้า แต่พอนึกถึงว่านี่เป็นงานสำคัญครั้งเดียวในชีวิตของบุตรสาว หลูซื่อก็ทำอย่างเพลิดเพลินเจริญใจยิ่ง
รายชื่อของสมทบสินเจ้าสาวจากเรือนต่างๆ ก็ทยอยส่งมาถึง สองครอบครัวสกุลหลูในเมืองหลวงล้วนมอบผ้าไหมสีแดงร้อยพับ เครื่องใช้เงินทองหยกสองชุด ที่นาหลายผืน เรือนนายท่านใหญ่ยังมอบรถม้าต่อใหม่อีกคันหนึ่ง กระนั้นรายชื่อของขวัญนี้ถือว่าน้อยไปจริงๆ ตอนหลูซื่อได้รับก็ไม่พูดอะไรมาก ด้วยเป็นนางผิดคำพูดที่เคยบอกว่าจะให้พี่ชายพี่สะใภ้ยืมเงินก่อนเอง
ข้างฝ่ายหลิวเซียงเซียง นอกจากมอบเครื่องประดับกับแพรพรรณสองชุดตามธรรมเนียมแล้ว นางเห็นหลูซื่อยุ่งจนหัวไม่วางหางไม่เว้น เลยย้ายมาพำนักในสวนผูเจินชั่วคราว นางเป็นมือฉมังด้านคำนวณบัญชี ช่วยเบาแรงหลูซื่อได้ไม่น้อย สองวันก่อนหวงเฮ่อสามีของนางได้รับเลือกเข้าสู่สำนักอักษรแล้ว แม่สามีรู้ดีว่านี่เป็นเพราะได้พึ่งบารมีของอี๋อวี้ จึงไม่ท้วงติงการกระทำของลูกสะใภ้ ซ้ำยังมาช่วยอีกแรงเป็นครั้งคราว
ด้านขบวนรถม้าส่งสินเจ้าสาวจากหยางโจว ส่งคนควบม้าเร็วมาแจ้งข่าวที่ตำบลหลงเฉวียนล่วงหน้าว่ามาถึงแม่น้ำเหยียนเหอแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงที่หมาย
นอกจากนี้เมื่อมีโจวฮูหยินคอยชี้แนะอยู่ด้านข้าง หลูซื่อถึงจัดเตรียมสินเจ้าสาวของอี๋อวี้ได้พร้อมสรรพและเป็นระเบียบเรียบร้อย พักก่อนอี๋อวี้ยังเอาตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงซึ่งได้จากหอขุยซิงให้มารดาไว้ หลังจากข้าวของเครื่องใช้ในพิธีมงคลเตรียมครบครันทุกสิ่งแล้วตรวจนับรอบหนึ่ง ยังเหลือเงินก้อนส่องประกายวิบวับหนึ่งหีบเต็มในห้องเก็บของ ก็เหลือแค่รอคอยคนที่มาจากหยางโจวแล้ว
อีกด้านหนึ่ง พออี๋อวี้พักรักษาตัวอยู่ในวังเว่ยอ๋อง ผิงถงผิงฮุ่ยถูกรับตัวไปปรนนิบัติดูแลและพักอยู่ในหอซูหลิวตามเก่า ช่วงสองวันที่ผู้เป็นนายไม่อยู่ สองสาวใช้ผ่ายผอมลงไม่น้อยอย่างเห็นได้ชัด วันนั้นอี๋อวี้จับไข้ทำให้พวกนางตกใจเสียขวัญ พอกลับมาเห็นหน้านางก็หลั่งน้ำตารินอย่างกลั้นไม่อยู่ทันที
อี๋อวี้เห็นพวกนางห่วงใยตนโดยไม่เสแสร้งเช่นนี้ก็รู้สึกอุ่นผ่าวๆ ในอก พูดปลอบใจยกหนึ่งแล้วบอกตำรับยาขนานหนึ่งให้ผิงถงไปจัดสมุนไพรที่ชั้นบน
ผิงถงเพิ่งคล้อยหลังไป หมอหลวงหลี่ก็ถูกพาเข้ามา เขาตรวจอาการของอี๋อวี้อย่างละเอียด และเขียนใบสั่งยาให้ นางรับมาดูแล้วเปรียบเทียบกับของตนเอง ก่อนจะคลายยิ้มให้ผิงฮุ่ยไปจัดสมุนไพรเช่นกัน
หลี่ไท่ส่งนางกลับถึงวังอ๋องก็ออกไปอย่างเร่งรีบ พวกสาวใช้ปรนนิบัติอี๋อวี้ชำระกายสางผมเสร็จ นางนอนหลับไปตื่นหนึ่ง ท้องฟ้าก็มืดสลัวลงทีละน้อย ยาสองเทียบต้มเสร็จแล้วส่งเข้ามาอยู่ตรงหน้า นางรับชามในมือผิงถงมาดื่ม ส่วนชามของผิงฮุ่ยถูกยกออกไป
กว่าชายหนุ่มจะกลับมาก็ย่ำค่ำแล้ว เขาเรียกตัวหมอหลวงหลี่มาไต่ถามอาการป่วยของอี๋อวี้ จากนั้นกินอาหารเย็นกับนางในห้องนอน บนโต๊ะตัวเล็กยาวสองฉื่อสำหรับตั้งกับเตียง นอกจากโจ๊กเหลว ยังมีอาหารมังสวิรัติหลายอย่าง อี๋อวี้ชิมดูแล้วรสชาติเหมือนกับที่วัดเทียนเฮ่อ นางเหลือบตาไปมองบนโต๊ะของหลี่ไท่ไกลออกไป เห็นว่าเป็นอาหารรสอ่อนแบบเดียวกัน ไม่เห็นของคาว พอคีบกับข้าวเข้าปากอีกครั้ง ไม่ว่ารสอะไรล้วนคล้ายหวานล้ำดุจน้ำผึ้ง เสียงหัวเราะก็เล็ดลอดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
หลี่ไท่ได้ยินแล้วเงยหน้าชายตามองนาง ตะเกียบในมือกำลังคีบถั่วงอกเส้นหนึ่งเข้าปาก นัยน์ตาแฝงรอยฉงน ไม่รู้ว่านางดีใจอะไรอีก
วันถัดมาเพิ่งฟ้าสาง อี๋อวี้ตื่นเช้ามา ผิงถงก็ประคองนางให้ลุกขึ้นดื่มยาต้มแล้วนอนหลับไปอีกครึ่งชั่วยาม ค่อยปรนนิบัตินางล้างหน้าบ้วนปาก หลังถามไถ่ว่าหลี่ไท่ไปไหน นางให้สองสาวใช้ช่วยผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ และไปเดินเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์สวนดอกไม้หน้าเรือน
พอตื่นนอนหนนี้ อี๋อวี้รับรู้ได้ว่าไม่เหมือนเดิม แม้ว่าแข้งขายังอ่อนแรง แต่ฝ่ามือมีกำลังจับพู่กันได้แล้ว อาการอ่อนเปลี้ยก่อนหน้านี้ดีขึ้นอย่างชัดเจน นางตริตรองทบทวนดู ไม่รู้ว่าสมควรโมโหหรือขบขันดี ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดวันยังค่ำ เหยาฮ่วงผสมบางอย่างในยา แต่นางจับพิรุธไม่ได้เลย ดูทีว่าเขาต้องการให้นางอยู่บนเขานั่นหลายๆ วัน
ตอนเช้าหมอหลวงหลี่มาตรวจอาการนางอีกรอบ เขาเขียนใบสั่งยาบำรุงขนานหนึ่ง อี๋อวี้ขอมาดูแล้วรอเขากลับไป ค่อยให้ผิงถงหยิบพู่กันกับหมึกมาขีดฆ่าออกสองสามอย่าง และเขียนเพิ่มอีกสองชนิด นางสั่งกำชับผิงถงให้เตรียมสมุนไพรไปห้องครัวต้มกับโจ๊กเป็นอาหารบำรุง
หากเป็นตามปกติ นางจะไม่กระทำเรื่อง ‘หน้าไหว้หลังหลอก’ อย่างไม่ให้ความเคารพต่อหมอหลวงเช่นนี้เป็นอันขาด แต่งานเสกสมรสใกล้เข้ามาแล้ว นางไม่อาจไม่คิดอ่านวางแผนให้ตนเอง พักรักษาตัวให้หายดีโดยเร็วที่สุด จะได้ไม่แต่งเข้าวังอ๋องในสภาพป่วยอ่อนแอ ต่อให้หลี่ไท่ไม่ถือสา นางก็ไม่อยากให้ช่วงเวลาสำคัญที่สุดในชีวิตสตรีเป็นไปอย่างสุกเอาเผากิน
คันฉ่องสำริดบานหนึ่งข้างหน้าต่างส่องสะท้านเงาตามจริงได้เพียงเจ็ดส่วน อี๋อวี้นั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งให้ผิงฮุ่ยสางผม เอาน้ำปรุงดอกไม้ของบรรณาการทางแดนใต้ทาหลังฝ่ามือ นางมองเงาร่างแบบบางในนั้นแล้วมุ่นคิ้วเอ่ยถาม
“ผิงฮุ่ย ข้าซูบลงมากใช่หรือไม่”
“แต่เดิมท่านก็ไม่เจ้าเนื้อ พอล้มป่วยไปเลยผอมลงไม่น้อยจริงๆ เจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ” ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดนางหวนประหวัดถึงครั้งนั้นหลี่ไท่เคยบอกว่าเขาชมชอบสตรีอวบอิ่ม อี๋อวี้ถลกแขนเสื้อขึ้นจับๆ แขน อาจพูดไม่ได้ว่าหนังหุ้มกระดูก แต่ไม่เข้าข่ายอวบอิ่มเด็ดขาด หญิงสาวอดห่อเหี่ยวใจไม่ได้ นางปล่อยแขนเสื้อลงดังเก่า นิ่งคิดแล้วกล่าว
“ไม่ได้กินของมันๆ มาหลายวัน เจ้าไปบอกให้คนตุ๋นไก่มาให้กินที”
ผิงถงปูเตียงอยู่ได้ยินเข้า ลอบหลากใจว่าไฉนคุณหนูเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นเองว่าอยากกินเนื้อสัตว์ นางจึงพูดสอดขึ้น “หมอหลวงหลี่บอกว่า ระยะนี้คุณหนูควรกินมังสวิรัติ ไม่พึงแตะของคาวนะเจ้าคะ”
“แค่ดื่มน้ำแกงไม่เป็นอะไรกระมัง”
นี่ยังมีเวลาอีกหลายวัน อ้วนขึ้นได้นิดหนึ่งก็นิดหนึ่ง…
ผิงถงกล่าวอย่างไม่เห็นพ้อง “น้ำแกงไก่ตุ๋นมันเกินไปเจ้าค่ะ”
อี๋อวี้คิดอยู่ว่าต้องเป็นอาหารมันๆ จึงจะดี แต่จะบอกผิงถงตรงๆ ก็ไม่ได้ นางจึงยื่นมือไปตบโต๊ะเครื่องแป้งทีหนึ่ง แสร้งทำเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าเป็นหมอเหมือนกัน มีหรือจะไม่รู้หนักรู้เบา รีบไป”
ผิงถงเห็นนางมีน้ำโหแล้ว ใคร่ครวญว่าทำให้นางบันดาลโทสะจะไม่เป็นการดี นางไม่กล้าขัดใจผู้เป็นนายอีก จึงถลึงตาใส่ผิงฮุ่ยที่ลอบแลบลิ้นให้ตนแวบหนึ่ง ก่อนพับผ้าห่มอย่างคล่องแคล่วแล้วออกไปสั่งการ อย่างมากตุ๋นไก่เสร็จแล้วลงแรงช้อนน้ำมันออกอีกทีก็สิ้นเรื่อง
ในหอซูหลิวไม่ค่อยมีคน แต่บ่าวไพร่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในวังอ๋องส่วนใหญ่รู้ว่าจะเข้าออกที่นี่ส่งเดชไม่ได้ มาตรว่าข้างนอกไม่มียามเฝ้าสักครึ่งคน เรื่องอี๋อวี้พำนักอยู่ที่นี่ตอนนี้ก็รู้กันอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ยามผิงถงอ้อมฉากกั้นตรงระเบียงยาวเข้าสู่โถงด้านหน้า เห็นหญิงชราผู้หนึ่งกำลังพานางกำนัลสองคนเดินผ่านประตูบานเฟี้ยมสี่ตอนที่เปิดอ้ากว้างเข้ามา นางนิ่งงันไปเล็กน้อยถึงสืบเท้าเข้าไปทักทาย
“ชีซั่งเหริน”
นี่คือนางข้าหลวงอาวุโสที่ตู้ฉู่เค่อส่งตัวไปสอนธรรมเนียมให้อี๋อวี้ที่สวนผูเจิน นางแซ่ชีนามตงเหมย ผิงถงรู้ว่านางเคยเป็นคนข้างกายฮองเฮาจึงไม่กล้าไม่ให้เกียรติ ยอบกายแสดงคำนับอย่างสุภาพเรียบร้อย ทว่าหญิงชรากวาดตามองแวบเดียว ไม่แม้แต่จะเรียกขานก็เอ่ยพูดขึ้นโดยไม่ชักแม่น้ำทั้งห้า
“พาข้าไปพบคุณหนูหลู”
ผิงถงมีไหวพริบดีกว่าผิงฮุ่ยอยู่มาก ได้ยินหญิงชราขอพบคนทันทีโดยไม่ไถ่ไม่ถาม ก็รู้ว่าอีกฝ่ายแน่ใจว่าอี๋อวี้อยู่ที่นี่ในเวลานี้ นางลอบตรึกตรองแล้วไม่ปิดบัง เงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างขอลุแก่โทษ
“คุณหนูยังนอนพักอยู่ ถ้าซั่งเหรินมีธุระ จะให้บ่าวนำความไปบอกแทนก็ได้เจ้าค่ะ”
“ซั่งเหรินบอกให้เจ้านำทางก็นำทางสิ พูดมากทำไม เจ้าคนไม่รู้ธรรมเนียม” นางกำนัลคิ้วเรียวตาโตซึ่งติดตามอยู่ข้างหลังชีตงเหมยพูดเอ็ดเสียงกระด้าง
อย่างไรผิงถงก็พบเจอผู้เป็นนายเช่นหลี่ไท่กับอี๋อวี้ทุกวี่วัน กระทั่งอาเซิงก็สุภาพใจเย็นกับนางเสมอ พอโดนนางกำนัลต่ำต้อยคนหนึ่งด่าทอ ถ้าบอกว่าไม่โกรธเคืองคงเป็นเรื่องเท็จ แต่นางเป็นคนรู้คิดและอดกลั้นเป็น ใบหน้าจึงไม่เผยอารมณ์ใด ก่อนจะก้มศีรษะลงกล่าวตอบได้อย่างไร้ช่องโหว่
“ซั่งเหรินอย่าถือโทษกันเลย เพราะท่านอ๋องทรงกำชับเอาไว้ บ่าวไม่กล้ารบกวนการพักผ่อนของคุณหนู หากท่านต้องพบให้ได้ อย่างนั้นก็รออยู่ตรงนี้เถอะเจ้าค่ะ”
“กำเริบเสิบสานยิ่งนัก! คนอย่างเจ้ายังกล้าบอกให้ซั่งเหรินรอ…”
“พอแล้ว” ชีตงเหมยโบกมือตัดบทนางกำนัล เพลานี้นางถึงมองผิงถงตรงๆ พร้อมกับย่างเท้าเดินไปนั่งบนเก้าอี้ประดับดอกไม้หยกตรงมุมตะวันตกของโถง และกวักมือเรียกนางไปถามความ
“ข้าพักอยู่ในวังอ๋องนานหนึ่งเดือนเต็ม เห็นเจ้าไม่คุ้นหน้า เจ้าเป็นคนรับใช้ของสกุลหลูหรือ”
“เรียนซั่งเหริน ใช่เจ้าค่ะ” หลี่ไท่ยกพวกนางสองพี่น้องให้อี๋อวี้ ย่อมนับเป็นคนของสกุลหลู
“รับใช้คุณหนูของเจ้ามากี่ปีแล้ว”
“เรื่องนี้…ขอบ่าวนับดูก่อน…” ผิงถงรู้เช่นกันว่าอีกฝ่ายตะล่อมถามอยู่ นางชูนิ้วมือขึ้นทำท่านับ แต่ไล่นิ้วกลับไปกลับมาอย่างไม่แน่ใจ ทำท่าทำทางเหมือนว่านับไม่ถูก
“เอาล่ะๆ ข้าอายุปูนนี้แล้ว ไม่ทำไขสือหลอกล้วงความใดจากผู้เยาว์เช่นเจ้าหรอก” ชีตงเหมยเป็นคนหน้าตาขรึมดุ เวลามองผู้ใดตรงๆ จะดูทรงอำนาจเฉกผู้อาศัยในวังหลวงมานาน
ผิงถงถูกนางจับจ้องจนอึดอัดจึงอดถอยหลังก้าวสั้นๆ ไม่ได้ พลันได้ยินหญิงชราเอ่ยวาจาแฝงนัยลึกล้ำ “วันนี้ข้าก็จะไม่พบคุณหนูของเจ้าแล้ว เพียงแต่มีคำพูดสองสามคำฝากเจ้าบอกต่อให้ด้วย”
“เจ้าค่ะ”
“ข้าติดตามอยู่ข้างพระวรกายฮองเฮามาสิบกว่าปี ที่ดีที่ร้ายเห็นมามากเกินไป ไม่ว่าก่อนออกเรือนนางเป็นคนสกุลใด ภายภาคหน้าผ่านเข้าประตูวังอ๋องนี้แล้ว ต้องจดจำไว้ว่านางคือคนของวังเว่ยอ๋องเท่านั้นเป็นพอ ต่อให้ยามนี้เป็นที่โปรดปรานของท่านอ๋องกี่ส่วน ก็อย่าได้ไม่รู้ขอบเขต ในเมื่อเป็นสะใภ้หลวงแล้วก็ต้องรู้หน้าที่ของตน”
นางกล่าวจบแล้วจับปิ่นขายาวทำจากกระดองเต่ากระบนมวยผมให้เข้าที่ ก่อนลุกขึ้นพาคนกลับไป
ผิงถงยืดตัวยืนตรง เอี้ยวคอจ้องมองหน้าประตูด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ นางใคร่ครวญอยู่ว่าจะนำคำกล่าวนี้บอกต่อคุณหนูหรือท่านอ๋องก่อนดี ก็ได้ยินเสียงพูดเบาๆ ทางข้างหลัง
“มิใช่เรียกเจ้าไปตุ๋นไก่หรือ ไฉนยังยืนอยู่ตรงนี้”
นางหันหน้าไปเห็นผิงฮุ่ยประคองอี๋อวี้ที่คลุมเสื้อตัวยาวสีน้ำเงินเข้มเดินทะลุทางเชื่อมโถง ดูท่าทางแล้วไม่ได้ยินถ้อยคำของหญิงชราผู้นั้น นางทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กล่าวตอบว่า “จะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
“รอก่อน” อี๋อวี้เรียกนางไว้อีก “อย่าพูดมากต่อหน้าท่านอ๋องนะ”
“คุณหนูท่าน…” ผิงถงมองอี๋อวี้อย่างประหลาดใจ เห็นนางตีหน้าไม่ยินดียินร้าย แม้ยอมรับไม่ได้ที่นางถูกบ่าวไพร่คนหนึ่งตักเตือน แต่ยังคงพยักหน้าแล้วเดินไป
หลี่ไท่กลับมาตอนอาหารกลางวัน เขากินพร้อมกับอี๋อวี้เช่นเคย ยังนั่งรับแสงแดดในลานด้านนอกเป็นเพื่อนหลังอาหาร นางเห็นพื้นโต๊ะหินวาดช่องกระดานหมากไว้แล้วนึกสนุกขึ้นมา เมื่อได้รับคำอนุญาตจากหลี่ไท่ ก็ให้ผิงฮุ่ยเข้าไปหยิบโถเม็ดหมากมาลับฝีมือเขา
หลังจากพ่ายสามกระดานติดๆ กัน พอกระดานต่อมาแข่งถึงกลางทาง เม็ดหมากอยู่กระจายไปทั่ว อี๋อวี้ก็เห็นแววแพ้ตามเคยจนความมั่นใจถูกบั่นทอน อีกทั้งเห็นหลี่ไท่รุกไล่ทุกฝีก้าว ปราศจากทีท่าออมมือให้แต่อย่างใด ขณะเขาจะรุกฆาตอีก นางเริ่มพาลเกเรทันใด เอื้อมมือคว้าข้อมือเขาไว้ไม่ยอมให้วางเม็ดหมาก
“หือ?”
หลี่ไท่คีบเม็ดหมากด้วยนิ้วสองนิ้วค้างอยู่กลางอากาศ ปล่อยให้นางยื้อยุดไว้โดยไม่ขัดขืน
“เดินหมากด้วยวิธีสามัญธรรมดาอย่างนี้ น่าเบื่อเหลือหลาย” อี๋อวี้ถูกเขาจ้องตาเขม็ง รู้สึกหน้าร้อนซู่โดยไร้สาเหตุ แต่นางยังแข็งใจพูดกลั้วเสียงหัวร่อฝืดๆ “ท่านดูสิกระดานนี้ยังเดินไม่จบ ผลแพ้ชนะก็ยังไม่แน่นอน พวกเรามิสู้ลองสลับข้างกันดูไหมเจ้าคะ”
หลี่ไท่ก้มลงมองสถานการณ์บนกระดานแล้วเงยหน้ามองดวงหน้าวาดหวังของนาง นับแต่รู้จักการเดินหมาก นี่เป็นคราครั้งแรกที่พบกับคำขอเฉโกปานนี้ กระนั้นมันกลับสร้างความรู้สึกแปลกใหม่ให้ชายหนุ่ม เขาบิดข้อมือใช้ศอกพลิกฝ่ามือนางหงายขึ้น และวางเม็ดหมากสีขาวกลมกลึงผิวเรียบเป็นมันตรงหว่างนิ้วลงบนนั้น
“สุดแล้วแต่เจ้า”
อี๋อวี้กำหมากขาวเม็ดนั้นแน่นๆ กลอกตาทีหนึ่งแล้วยกมืออีกข้างชูนิ้วชี้ขึ้น ทั้งที่ได้สมใจหมายแล้ว ยังพูดเป็นเชิงเอาดีเข้าตัวอีก “ท่านชนะอยู่ร่ำไปก็คงเบื่อหน่ายเช่นกัน พวกเรามาพนันกัน หากกระดานนี้ท่านแพ้ ก็ยอมทำตามข้าเรื่องหนึ่งเป็นเช่นไร”
“ได้”
อี๋อวี้เห็นหลี่ไท่ผงกศีรษะตกลงก็ยิ้มกริ่มวางเม็ดหมากขาวลงตรงตำแหน่งที่เขาเล็งไว้เมื่อครู่ ชั่วก้าวเดียวนางก็กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบทุกทาง อี๋อวี้คิดคำนึงว่าหมากตานี้จะปราชัยไม่ได้ จึงตั้งอกตั้งใจดวลฝีมือกับเขาสุดกำลัง ฝ่ายหลี่ไท่ก็ไม่ออมฝีมือเหมือนกัน
ผิงถงผิงฮุ่ยสองสาวใช้ยืนรินน้ำชาอยู่ด้านข้าง จดจ่อมองดูคนทั้งสองผลัดกันรุกผลัดกันรับ ทั้งตีกระหนาบ เบียดไล่ และสกัดล้อมครบทุกกระบวน ขับเคี่ยวกันอย่างสนุกสนานกว่าเมื่อครู่เป็นอันมาก ถึงช่วงปิดกระดาน ดูปราดแรกยากชี้ผลแพ้ชนะ ผิงถงเห็นทั้งคู่วางมือแล้วก้าวเข้าไปนับเม็ดหมาก
“เป็นอย่างไร” อี๋อวี้เห็นผิงถงอ้ำๆ อึ้งๆ กลัวล่วงเกินคนใดก็สุดรู้ รับน้ำชาดอกไม้จากมือผิงฮุ่ยมาดื่มสองคำแล้วมองนางยิ้มๆ พลางกล่าว “บอกมาเถอะไม่เป็นไร”
“หมากดำหนึ่งร้อยแปดสิบสามเม็ด เป็นท่านอ๋องชนะเจ้าค่ะ”
อี๋อวี้ได้ยินผลลัพธ์แล้วอดผิดหวังไม่ได้ กระดานนี้เรียกได้ว่านางแสดงฝีมือเหนือกว่าปกติ นางกำลังจะกระเซ้าหลี่ไท่สองคำเบี่ยงเบนความสนใจ กลับเห็นเขาหลุบตาลงตวัดมองกระดานหมากปราดหนึ่ง ก่อนหันไปเอ่ยกับผิงถง “ตัวหมากคืน”*
การแข่งหมากล้อมยุคนี้ยึดถือกติกาคืนเม็ดหมากให้ฝ่ายตรงข้ามหนึ่งเม็ดทุกๆ ครั้งที่ล้อมพื้นที่นำไปหนึ่งจุด แต่เพราะจำนวนเม็ดหมากที่ต้องคืนไม่มาก และตอนทั้งสองเดินหมากกันก่อนหน้านี้ หลี่ไท่มักเป็นฝ่ายชนะมากกว่า พอผิงถงนับแต้มก็เลยไม่ได้เอามารวมด้วย ครั้นได้ยินหลี่ไท่บอก นางนับใหม่อีกที หักลบกลบกันแล้วเอ่ยเสียงแกมหลากใจทันควัน
“เป็นคุณ…คุณหนูชนะเจ้าค่ะ”
อี๋อวี้ประหลาดใจแกมยินดีเช่นกัน วางถ้วยชาลงแล้วก้มหน้านับเองรอบหนึ่ง นางเฉือนชนะไปครึ่งแต้มจริงๆ ถึงจะเป็นชัยชนะจากการโกงก็ไม่อาจต้านทานความดีใจจนออกนอกหน้าของนางได้ อย่าลืมว่าตั้งแต่แรกเริ่มเดินหมากกับหลี่ไท่จนบัดนี้เป็นเวลาสองปีเศษ หญิงสาวยังไม่เคยกำชัยเลยสักหน
“ข้าชนะแล้วจริงๆ” นางไม่ลืมการเดิมพัน มือหนึ่งจับโต๊ะหินโน้มตัวไปหาเขาเล็กน้อย อีกมือหนึ่งชี้ไปที่ไกลๆ ยิ้มจนตาโค้ง “เมื่อเช้าข้ามองดูจากชั้นบนสุดของหอซูหลิว เห็นทางนั้นมีคนเข้าออกขวักไขว่คล้ายกำลังลงมือก่อสร้างอยู่ ท่านอ๋องพาข้าไปดูได้ไหมเจ้าคะ”
หลี่ไท่มองตามนิ้วมือนางไป ยามหันศีรษะกลับมา ดวงตาทั้งคู่ทอประกายพราวระยับใต้ร่มเงาไม้ “ไม่รีบ วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล”
อี๋อวี้เดาได้ว่าอาณาเขตเรือนพำนักสีแดงเจิดจ้ามองเห็นได้ไกลๆ ผืนนั้นต้องเป็นที่พำนักใหม่หลังแต่งงานแน่ ทั้งได้รับการยืนยันจากคำพูดเขาแล้ว เมื่อบรรลุเป้าหมาย นางก็ไม่ดึงดัน ยกมือเกาติ่งหูที่แดงเรื่อๆ มองเขาพร้อมกล่าว “ข้าไม่ได้รีบสักหน่อย ไม่พาข้าไปดูก็แล้วกันไปเถอะ”
นางแสร้งปิดปากหาว โบกมือไปมากับหลี่ไท่ “ตอนบ่ายท่านยังต้องออกไปข้างนอกมิใช่หรือ ข้าจะกลับห้องนอนกลางวัน ท่านรีบไปรีบกลับ ข้ารอท่านกินอาหารเย็นด้วยกันนะเจ้าคะ”
“ไม่ต้อง” หลี่ไท่ลุกขึ้นแล้วปัดชายเสื้อที่เป็นรอยยับ “คืนนี้มีธุระ คงกลับดึก”
ติดตามต่อในเล่ม
Comments
comments
No tags for this post.