X
    Categories: 14 วัน 14 เรื่องทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน สาวใช้ประพันธ์รัก

หน้าที่แล้ว1 of 46

บทนำ

 ราวกับอยู่ในความฝัน

นางเดินเข้ามาในร้านหนังสือเฟิงอวิ๋นอย่างเงียบๆ สิ่งที่โชยมาแตะจมูกคือกลิ่นน้ำหมึกและกลิ่นหอมของกระดาษ อารมณ์ที่ประหม่าแต่เดิมของนางคลายลงเล็กน้อย ก่อนจะเบียดแทรกเข้าไปในกลุ่มคนพร้อมกับริมฝีปากที่อมยิ้มอยู่รางๆ

กลุ่มคนกำลังตื่นเต้นส่งเสียงเซ็งแซ่กับบางอย่างอยู่ นางไม่ได้ตั้งใจฟังอย่างละเอียด เพียงแต่เบียดตนเองไปถึงหน้าโต๊ะ สิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะคือนิยายและบทกวีที่เพิ่งออกใหม่สดๆ ร้อนๆ

“ค้นดูได้หรือไม่” นางเอ่ยปากถามด้วยเสียงแหบต่ำ

ลูกจ้างของร้านที่หลังโต๊ะฉีกยิ้มกว้าง “ย่อมได้แน่นอน แม่นางน้อยเชิญดูได้เลยขอรับ พวกเรามีหนังสือครบทุกประเภท ไม่มีทางไม่เจอประเภทที่ท่านชอบเด็ดขาด” แม้เขาจะประหลาดใจที่นางรู้หนังสือ แต่ก็มิได้พูดออกมา

“ขอบคุณพี่ชาย” นางค้นนิยายเล่มหนึ่งขึ้นมาโดยไม่ได้ช้อนตาขึ้นมองเขา อักษรตีพิมพ์ในรูปแบบราชวงศ์ซ่ง สีหมึกสม่ำเสมอ ยังไม่เห็นเนื้อหาก็รู้สึกแล้วว่าต้องอ่านได้ง่ายสบายตาแน่นอน ดูประณีตกว่านิยายที่ผงถ่านหลุดร่อนและกระดาษคุณภาพไม่ดีของร้านอื่นมาก

“ใครก็ได้! ส่งกระดาษเซวียเทา* ร้อยแผ่นไปที่หอจุ้ยเยวี่ยให้ข้า!” ยามนั้นเองก็มีคนแทรกตัวมาถึงข้างกายนางก่อนร้องตะโกนขึ้น กลิ่นเหล้าฟุ้งตลบ ไม่ต้องมองก็รู้ว่าเป็นบัณฑิตที่เพิ่งออกมาจากหอจุ้ยเยวี่ย

ลูกจ้างร้านขานรับ ก่อนจะจดเอาไว้แล้วรีบนับดูกระดาษเซวียเทาที่เหลืออยู่ ในอาณาจักรต้าหมิงมีบัณฑิตเสเพลหยำเปอยู่จำนวนมากที่ยึดการเที่ยวหอนางโลมเป็นอาชีพ แม้ลูกจ้างร้านจะยิ้มกว้าง แต่ก็ยังแค่นเสียงออกจมูกเบาๆ

ร้านหนังสือเฟิงอวิ๋นนับว่าเป็นร้านหนังสือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองหนานจิง มีสาขาอยู่ทั่วทั้งอาณาจักร จุดขายมิใช่ชื่อเสียง มิใช่บริการที่ดี แต่เป็นหนังสือที่คุณภาพประณีตยอดเยี่ยมและสีหมึกสม่ำเสมอ ทางร้านมีโรงกระดาษเป็นของตนเอง รวมถึงมีแบบตัวพิมพ์อักษรทองแดงมากกว่าหกแสนชิ้น การจะเหนือกว่าร้านหนังสืออื่นก็สมเหตุสมผล ทว่าดันต้องมาขายหนังสือให้บัณฑิตตาถั่วเหล่านี้เสียนี่

“อ้าว นี่มิใช่พี่เหวยหรอกหรือ” บุรุษอีกคนแทรกตัวเข้ามาพลางเอ่ยขึ้นยิ้มๆ “ครึ่งเดือนก่อนมิใช่เพิ่งเห็นท่านพนันกับคุณชายสกุลหวัง ดูว่าใครจะก้าวออกมาจากหอจุ้ยเยวี่ยก่อนกันหรือไร ไฉนเพิ่งผ่านมาไม่นานก็เห็นท่านเดินออกมาเสียแล้ว”

“เฮอะ! พนันพรรค์นั้นนับเป็นอะไร ข้ายอมเสียเงินพนันดีกว่าจะเสียหน้า!” เขาเรอออกมาทีหนึ่งก่อนพูดแกมยิ้มกับบุรุษผู้นั้นข้ามหน้านางด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย “ใครๆ ก็รู้ว่าวันนี้เป็นวันที่ร้านหนังสือเฟิงอวิ๋นออกนิยายใหม่ ถ้ามาดูช้ากว่าคนอื่น จะมิถูกคนหัวเราะเยาะตายหรือไร!”

“ท่านก็ยังอุตส่าห์จำได้” เขาหันหน้าไปร้องบอกลูกจ้างร้าน “เอาหนังสือทั้งหมดที่ออกวันนี้ส่งไปให้ข้าที่คฤหาสน์สกุลเจียงตรงตรอกตะวันออกชุดหนึ่ง”

“ขอรับๆ จะส่งไปให้เดี๋ยวนี้เลยขอรับ” ลูกจ้างร้านความจำดีเลิศ แต่ยังคงจดไว้บนกระดาษ หางตากลับเหล่มองสตรีที่ดูหนังสืออยู่ นางถูกขนาบอยู่ระหว่างขี้เมาสองคนนี้ แต่กลับมิมีปฏิกิริยาใดๆ แม้แต่น้อย เพียงแต่เปิดอ่านนิยายอย่างเงียบๆ ประหนึ่งว่าไม่ได้ถูกรบกวนโดยสิ้นเชิง

หูหนวกไปแล้วหรือ

วันนี้เป็นวันที่ร้านหนังสือเฟิงอวิ๋นออกหนังสือใหม่ มีนิยาย บทละครร้อง และยังมีตำราคัมภีร์ต่างๆ ที่นำมาตีพิมพ์ใหม่ ด้วยเหตุนี้ฝูงชนจึงหลั่งไหลกันมามากกว่าปกติหลายเท่าตัว แต่แน่นอนว่าเหตุผลหาใช่เพียงเท่านี้ไม่

สาเหตุหลักที่มีเสียงดังเอะอะอึกทึกไปทั่วทั้งร้านเป็นเพราะเถ้าแก่เนี่ยมาเยือนแล้ว

ยากนักที่จะเห็นเถ้าแก่มาเยือนร้านหนังสือสักครา ส่วนใหญ่เขาจะคอยขับเคลื่อนอยู่หลังม่าน โดยทั่วไปล้วนมอบหมายให้หลิ่วหมินเป็นผู้ดูแล

“ไฉนตรงนั้นจึงครึกครื้นนัก” บุรุษแซ่เหวยมองกลุ่มคนที่ส่งเสียงเซ็งแซ่อยู่อีกด้านด้วยดวงตาที่พร่าเลือนเพราะความเมา ตัวเขาโซเซน้อยๆ จนชนเข้ากับแขนนาง เขาก้มหน้าลง กะพริบตาพร้อมกล่าว “เป็น…สตรี?”

ที่แห่งนี้ก็มีสตรีด้วย? ข้ากลับถึงหอจุ้ยเยวี่ยแล้ว? หรือว่า…

เขาฉีกยิ้ม ก่อนจะคว้าจับแขนของนางไว้ “เจ้ารอไม่ไหวแล้ว? ข้าก็รับปากว่าจะมาซื้อกระดาษเขียนกลอนให้เจ้าแล้ว เจ้ายังจะมาเองอีก ไม่อยากอยู่ห่างข้าสักเสี้ยวเวลาเลยกระมัง…” บุรุษแซ่เหวยเรอออกมาอีกที เห็นนางเงยหน้าขึ้นมาก็อึ้งงันไป “หน้าเจ้าเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ตั้งแต่เมื่อไร”

นางจมจ่อมอยู่ในหนังสือ ยังไม่ได้สติกลับมา เพียงแต่ถลึงตาจ้องบุรุษที่จับแขนนาง “คุณชายโปรดระวังกิริยาวาจาด้วย” กลิ่นเหล้าจากตัวเขาแรงจนแทบจะกลบกลิ่นหอมของกระดาษที่มีแต่เดิมไปแล้ว นางเพิ่งมารู้สึกตัวว่าข้างกายมีคนเมาเพิ่มมาสองคนเอาตอนนี้ จึงขมวดคิ้ว คิดจะดึงมือกลับอย่างเงียบๆ ทว่ากลับถูกจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

“เฮอะๆ พี่เหวย นางต้องอัปลักษณ์แน่อยู่แล้ว เหมือนที่กล่าวกันว่าหนึ่งวันมิพบพาน หน้าตาก็น่าชังอย่างไรเล่า” บุรุษแซ่เจียงแตะเอวนาง ทำให้นางร้องอุทานเบาๆ ออกมา “เอวคอดกิ่วเชียว ซ้ำยังหอมยิ่งนัก ข้าเดาว่าเป็นกลิ่นดอกบัว พี่เหวย ท่านลองมาดมดูว่าบนตัวนางเป็นกลิ่นอะไร”

นางสะดุ้ง ดูมึนงง มิได้ตื่นตระหนก เพียงแต่ประหลาดใจเล็กน้อย ครั้นคนเมาที่ด้านข้างโน้มศีรษะลงมาทำท่าจะหอมนาง นางก็เบิกตาโตและรีบหดคอ

“นี่กำลังทำอะไร เกี้ยวพาสตรีมีชาติตระกูลกลางร้านหนังสือของข้าอย่างนั้นหรือ” เสียงบุรุษทุ้มต่ำดังขึ้นด้านหลังนาง นางตกใจ หรี่ตามองเห็นลูกจ้างร้านกำลังถือไม้จะมาช่วยนาง แต่กลับหยุดค้างกลางอากาศ ปากเขาอ้ากว้าง สายตามองเลยนางไป ก่อนจะหลุดปากเรียกออกมา

“เถ้าแก่!”

เถ้าแก่? เป็น…เนี่ยเฟิงอวิ๋น? เถ้าแก่ของร้านหนังสือเฟิงอวิ๋น?

หัวใจนางเต้นสะดุดไปหนึ่งจังหวะ รีบหันหน้ากลับไปด้วยความกระวนกระวาย ก่อนจะมองเห็นมือใหญ่ยื่นมาขวางหน้าบวมๆ ของคนเมานั่นไว้ได้ทันเวลา ครั้นมองเลยไปด้านหลังอีกหน่อยก็เห็นเป็นบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่ง บนตัวสวมชุดตัวยาวสีฟ้า เรียกไม่ได้ว่าหล่อเหลางามล้ำ แต่สุภาพเรียบร้อยองอาจผึ่งผาย สีหน้าแววตามีแต่ความหยิ่งยโสโอหัง

นางอึ้งงันไปเล็กน้อยก่อนมองดูรอบๆ ตัวเขา มิมีบุรุษอื่นให้ความสนใจทางด้านนี้…เช่นนั้น เขาก็คือเนี่ยเฟิงอวิ๋นแล้ว?

ยังหนุ่มเพียงนี้เชียว?

นางคิดว่า…เนี่ยเฟิงอวิ๋นควรเป็นชายชราจึงจะถูก

“เจ้า เจ้า…” บุรุษแซ่เหวยปัดมือเขาออก ก่อนจะร้องขึ้นด้วยโทสะ “เจ้าบังอาจนัก! คุณชายอย่างข้ากำลังคุยกับหญิงสาว เจ้ากลับยื่นเท้ามาสอด…” เขาถลึงมองผู้มาขัดด้วยความโมโห ก่อนจะอุทานออกมาทันที “เจ้า…ดูคุ้นตายิ่ง…”

“ลืมแล้วหรือ คุณชายเหวย ข้าคือเนี่ยเฟิงอวิ๋น เคยดื่มกับท่านในหอจุ้ยเยวี่ย”

“จริง…จริงด้วย” ยามนี้บุรุษแซ่เหวยดวงตาสว่างวาบ ความเมามายสร่างไปเจ็ดแปดส่วนแล้ว “พี่เนี่ย ไม่ได้พบกันนาน” เขาคลี่ยิ้ม

“ไม่ได้พบกันนานจริงๆ” เนี่ยเฟิงอวิ๋นยิ้มกล่าวพลางรุนนางไปทางโต๊ะให้พ้นเงื้อมมือมารของคนแซ่เจียงและแซ่เหวยอย่างไม่กระโตกกระตาก “ข้าได้ยินว่าท่านพนันกับคุณชายสกุลหวัง ใช่ชนะแล้วหรือไม่”

“แน่นอนว่าแพ้แล้ว เพื่อมาอุดหนุนร้านหนังสือนี้ของท่าน เงินสีขาวจั๊วะของข้าเลยต้องเสียให้เจ้าคนแซ่หวังนั่นทั้งหมด” เขาเค้นเสียงพูด คิดว่าคงรู้สึกไม่ยินยอมอยู่เล็กน้อย

“นั่นก็พูดยาก” เนี่ยเฟิงอวิ๋นกวักมือเรียกลูกจ้าง “ในร้านข้านี้นอกจากสตรีก็มีทุกอย่าง พวกท่านต้องการกระดาษ หมึก หรือว่าหนังสือก็บอกลูกจ้างได้เลย ไม่ต้องจ่ายเงิน” มุมปากเขามีรอยยิ้มบางๆ ทำให้อ่านสีหน้าของเขาไม่ออก

“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” บุรุษแซ่เจียงและแซ่เหวยมีสีหน้ายินดีปรีดา ถึงจะเคยบังเอิญเจอเนี่ยเฟิงอวิ๋นไม่กี่ครั้งในหอนางโลมและเคยเข้าไปตีสนิทด้วย แต่ด้วยภูมิหลังของสกุลเนี่ยและความเย่อหยิ่งของเนี่ยเฟิงอวิ๋น อีกฝ่ายจึงไม่ใคร่แยแสบัณฑิตอย่างพวกเขา ช่างหาได้ยากนัก เขาเหลือบมองสตรีนางนั้นแวบหนึ่งแล้วก็ต้องตกใจ สร่างเมาแล้วถึงได้มองเห็นหน้าตานางชัดเจน นี่เขาเริ่มกินไม่เลือกตั้งแต่เมื่อไรกัน

“คุณชายเหวย เมื่อครู่ข้ายังเห็นคุณชายสกุลหวังมาที่ร้านด้วย ข้ายังไม่ได้ไปทักทาย ท่านว่าเดิมพันนี้ใครแพ้ใครชนะกันแน่เล่า” เนี่ยเฟิงอวิ๋นเอ่ยเตือนอีกฝ่ายเบาๆ

“เอ๊ะ?! เขามาแล้ว?” ก็ถูก วันออกหนังสือของร้านหนังสือเฟิงอวิ๋นเป็นดั่งวันสำคัญของเหล่าบัณฑิต ใครไม่มาเดินดูหนังสือออกใหม่สักรอบก็เตรียมตัวถูกคนหัวเราะเยาะได้เลย เขามาเพราะรักหน้าตา คนแซ่หวังนั่นก็ย่อมต้องมาแน่นอนเช่นกัน “ไม่ได้การ ข้าต้องไปแล้ว ไม่แน่ว่าถ้าข้ารีบกลับหอจุ้ยเยวี่ยอาจจะยังไม่ถูกจับได้” เขาโบกมือและกล่าวลาโดยไม่คิด ก่อนกุลีกุจอเบียดตัวแทรกกลุ่มคนออกไป

เนี่ยเฟิงอวิ๋นไม่แม้แต่จะมองพวกเขา ขณะกำลังคิดจะจากไปกลับเหลือบเห็นนางจ้องตนอยู่อย่างตาไม่กะพริบ

“แม่นางน้อยถูกทำให้ตกใจเข้าแล้วใช่หรือไม่” ริมฝีปากเขาอมยิ้มบางๆ แตกต่างจากรอยยิ้มขอไปทีที่มีให้สองคนก่อนหน้านี้

“ไม่…” นางกล่าวเสียงค่อย “ขอบคุณคุณชายมากที่ช่วยเหลือทันเวลา”

เขาโบกมือด้วยท่าทางคล้ายไม่ได้ใส่ใจ “ในร้านหนังสือของข้าไม่ต้อนรับชายขี้เมาที่เที่ยวเกี้ยวพาสตรีมีชาติตระกูล ถ้าเจ้าไม่เป็นอะไรก็รีบกลับไปเถิด อย่าเที่ยวอยู่ข้างนอกส่งเดช”

“เถ้าแก่ นางมาดูหนังสือขอรับ” ลูกจ้างร้านพูดขึ้น อยากจะเอาไม้ฟาดขี้เมาสองคนนั้นให้ตายเสียจริงๆ แม้ว่าปัจจุบันบัณฑิตจะนิยมฆ่าเวลาอยู่ในหอนางโลม เถ้าแก่เองก็หลีกเลี่ยงเรื่องนี้ไม่ได้ แต่เขาก็ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายทำรุ่มร่ามกับสตรีที่ข้างนอกมาก่อน

“อ้อ?” เนี่ยเฟิงอวิ๋นเลิกคิ้ว กวาดตามองนางปราดหนึ่ง “มาซื้อหนังสือให้เจ้านายหรือ” ไม่เหมือน แม้รูปโฉมนางจะอยู่ระดับปานกลาง ดึงดูดความสนใจผู้ใดไม่ขึ้น แต่เมื่อมองดีๆ กลับดูมีกลิ่นอายของปัญญาชนอยู่หลายส่วน เขาขมวดคิ้ว เอนตัวเล็กน้อยไปดมดูอย่างแทบไม่สังเกตเห็น บนตัวนางหาได้มีกลิ่นดอกบัวไม่ แต่เป็น…กลิ่นหอมจางๆ ของกระดาษ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเป็นกลิ่นภายในร้าน แต่วันนี้มีคนจำนวนมาก กลิ่นกระดาษผสมปนเปกับกลิ่นเหงื่อ กลิ่นเหล้า กลิ่นเครื่องประทินโฉมจนเพี้ยนไปอยู่สักหน่อยแล้ว ทว่าพอเข้าใกล้นางกลับได้กลิ่นหอมเรียบๆ ของกระดาษชัดเจน

“ข้า…ข้าแค่มาดูๆ เท่านั้น”

“ดู? เช่นนั้นก็แปลว่าเจ้าสนใจเอง? แม่นางน้อยชอบอ่านประเภทใด” เขายังคงถามโดยไม่คิดอะไรเช่นเดิม ก่อนจะหยิบ ‘หรูอี้จวินจ้วน’* ขึ้นมาเปิดดูตามสบาย

“ข้า…อ่านทุกประเภท”

“อย่างนั้นก็ยอดเยี่ยม” เขาพูดยิ้มๆ เหมือนว่ากำลังหยอกล้อ “เจ้าอายุยังน้อยก็อ่านหนังสือตำราทุกประเภท อนาคตไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นบัณฑิตหญิงก็ได้” เขาแสดงชัดว่าไม่เชื่อ ถึงแม้เขาจะอบอุ่นมีมารยาท แต่เวลาเผลอก็มักหลุดแสดงความยโสออกมาเสมอ

“บัณฑิตหญิง? ข้าไม่ได้อยากเป็น ปัจจุบันบัณฑิตชอบร้องรำทำเพลงเที่ยวนางโลม แต่กลับเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา” นางมองหรูอี้จวินจ้วนที่เขาถืออยู่ปราดหนึ่ง “เถ้าแก่เนี่ยคิดว่าบัณฑิตหญิงจะสามารถเลี้ยงชายสวาทเป็นโขยงได้อย่างเปิดเผยโดยไม่จำเป็นต้องใส่ใจสายตาผู้อื่นเหมือนกับอู่เจ๋อเทียนหรือ”

นางกล่าวด้วยความใจกล้าเล็กๆ นัยน์ตาดำตรึงอยู่ที่ใบหน้าด้านข้างของเขา เดิมนึกว่าเนี่ยเฟิงอวิ๋นเป็นชายชราอายุเกินห้าสิบ ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะอายุน้อยเพียงนี้…วันนี้มาร้านหนังสือ นอกจากสามารถได้เปิดหูเปิดตากับร้านหนังสือเฟิงอวิ๋นแล้ว ยังสามารถได้เห็นโฉมหน้าของเนี่ยเฟิงอวิ๋นและยังได้สนทนากับเขาอีกหลายคำ ถือเป็นความทรงจำที่ควรค่าให้หวนรำลึกถึงที่สุดในชีวิตนางแล้ว

มองพอแล้ว ควรต้องรู้จักพอแล้ว…

เนี่ยเฟิงอวิ๋นเดิมไม่ได้กำลังมองนาง ที่หยุดอยู่ตรงนี้ก็เพียงแต่ฆ่าเวลาที่ต้องรอหลิ่วหมิน ทว่าบัดนี้สายตาเขาได้ย้ายจากหรูอี้จวินจ้วนกลับมาอยู่บนหน้านาง

นางดูประหม่าอยู่เล็กน้อย และก็ดูตื่นเต้นอยู่เล็กๆ ใบหน้าไม่โดดเด่นมีลูกตาดำทอแววอบอุ่นเร่าร้อนประดับอยู่ มันมีประกายเจิดจ้าแพรวพราวน้อยๆ แต่ยังคงไม่ดึงดูดความสนใจ

“คำพูดเจ้าเหมือนว่ากำลังคัดค้าน…” เขาเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงขบคิด “เจ้าเคยอ่านนิยายเล่มนี้?”

นางยังไม่ทันตอบก็พลันมีคนมาชนด้านหลัง เนี่ยเฟิงอวิ๋นหันกลับไปจับไหล่ผู้มาได้ทันเวลา

“หลิ่วหมิน?” สองคิ้วเขามุ่นน้อยๆ มองเห็นใบหน้าผู้มาชัดแล้ว ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงออกว่าไม่พอใจนัก “เจ้าไปไหนมา ข้ารอเจ้ามาครึ่งค่อนวันแล้ว”

“เถ้า…เถ้าแก่!” บุรุษร่างสูงผอมท่าทางสุภาพเรียบร้อยเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าเปี่ยมด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ท่านยังไม่ไป!” ริมฝีปากเขากำลังสั่นเบาๆ แขนขาก็กำลังสั่น

รอยย่นตรงหัวคิ้วของเนี่ยเฟิงอวิ๋นกดลึกขึ้น หลิ่วหมินเป็นหนึ่งในลูกน้องกำลังหลักของเขา สาเหตุที่เข้าตาเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่เหมือนบัณฑิตเสเพลหยำเปทั่วไป ถึงแม้จะคร่ำครึไปสักหน่อย แต่ก็ซื่อตรงจนน่าชื่นชม ยากนักที่จะเห็นเขามีท่าทางตระหนกตกใจทำอะไรไม่ถูก

“ข้ายังไม่ไป ถ้าผิดนัดกับใต้เท้ากวน ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้า” เขาต่อว่า

“เถ้าแก่…ท่านดูสิขอรับ ข้าเจอของดีเข้าแล้ว!” หลิ่วหมินร้องบอกด้วยความตื่นเต้นดีใจ ไม่ฟังคำพูดเขาโดยสิ้นเชิง

เนี่ยเฟิงอวิ๋นมองของในอ้อมแขนเขาแวบหนึ่ง “เป็นต้นฉบับของมือใหม่?”

“ใช่แล้วขอรับ” สมกับเป็นเถ้าแก่ มองปราดเดียวก็เห็นทะลุปรุโปร่ง

“แค่นี้ก็มีค่าถึงขนาดทำให้เจ้าตื่นตูมเป็นการใหญ่เชียวหรือ” เขาโบกมือ หันหน้ากลับมาคิดจะคุยกับสตรีนางนั้นต่อ แต่นางกลับหายตัวไปแล้ว

“เถ้าแก่ รอท่านได้อ่านนิยายนี้ก็จะเข้าใจขอรับ!” หลิ่วหมินพูดอย่างตื่นเต้น “ท่าน…ท่านไม่ทราบหรอกว่านิยายเรื่องนี้จะก่อให้เกิดความปั่นป่วนเช่นไร…ควรพูดว่าอย่างไรดีเล่า ไม่ทราบจริงๆ ว่าควรเริ่มพูดจากที่ใด…” ผลลัพธ์ของการตื่นเต้นเกินไปคือพูดติดอ่าง

“อ้อ? เช่นนั้นเจ้าก็วางมันไว้ ข้ากลับมาค่อยอ่านแล้วกัน”

“หา? แต่ว่า…แต่ว่า…”

“ทำไม เจ้าจะไปตามนัดแทนข้าหรือไร” เนี่ยเฟิงอวิ๋นกล่าวจบก็เดินออกจากร้านหนังสือ พลิกตัวกระโดดขึ้นหลังม้าที่เตรียมไว้ สตรีนางนั้นก็เป็นเหมือนกับน้ำพุสายหนึ่ง เคยไหลผ่านในใจ แต่หลังนางจากไป เขาก็ลืมหน้าตาของนาง อารมณ์สนใจจะพูดคุยก็หายไปเกือบสิ้นเช่นกัน

“เถ้าแก่ ท่านต้องรีบกลับมาอ่านนะขอรับ!”

เนี่ยเฟิงอวิ๋นได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มบางๆ พลางพยักหน้า ก่อนกระตุกสายบังเหียนบังคับม้าให้วิ่งเหยาะๆ จากไป

“เถ้าแก่!” หลิ่วหมินไล่ตามออกไปร้องบอกเสียงดัง “ไม่ว่านานเพียงไร ข้าก็จะรอท่านกลับมา!”

“ไม่ต้องมองส่งแล้ว” ลูกจ้างร้านเดินออกมา หาได้ยากจริงๆ ที่จะเห็นหลิ่วหมินอารมณ์พลุ่งพล่านจนมีท่าทางเหมือนเพิ่งแต่งภรรยาแล้วภรรยาสิ้นใจตายไป “ถ้าท่านยังมองต่อไป ผู้อื่นคงได้คิดว่าท่านเป็นต่งเสียน* กลับมาเกิดใหม่” ลูกจ้างร้านมองต้นฉบับที่เขากอดไว้แน่นในอ้อมแขนแวบหนึ่งด้วยท่าทางตามสบาย “นั่นมีชื่อเรื่องว่าอะไร เหตุใดจึงมีค่าถึงขนาดทำให้ท่านตื่นตูมเสียยกใหญ่”

“คันฉ่องส่องบาป” หลิ่วหมินหันหน้ากลับมา สองตาเป็นประกายเรืองรองจนเทียบเคียงได้กับไข่มุกราตรีที่สามารถส่องสว่างในยามค่ำคืน ก่อนจะพูดต่ออย่างออกจะภาคภูมิใจ “มันชื่อว่าคันฉ่องส่องบาป คันฉ่องที่ส่องเห็นการกระทำอันน่าเกลียดน่าชังของสรรพสัตว์ ตอนนี้ข้าตื่นตูมเพราะมัน แต่รอมันตีพิมพ์ออกมาแล้ว ผู้ที่ตื่นตูมจะเป็นชาวบ้านทั่วหล้า”

บทที่ 1

สามปีต่อมา…

“พี่เสวียนจี! พี่เสวียนจี!”

เสียงเรียกเบาๆ ดังปนกับเสียงไก่ขันทำให้เสวียนจีสะดุ้งตื่นขึ้นทันควัน นางลืมดวงตาอันง่วงงุนขึ้น จ้องมองเพดานอันไม่คุ้นเคยด้วยสายตาพร่าเลือนอยู่เป็นครู่ใหญ่ ใบหน้าเล็กกลมดิกของหรูหมิ่นถึงค่อยฉายเข้าในสายตาของนาง

“ลุกได้แล้ว” หรูหมิ่นพูดเสียงเบา เสียงสวบสาบแสดงถึงว่าเหล่าสาวใช้ร่วมห้องล้วนลุกขึ้นมาล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ใบหน้าขาวผ่องของนางจึงยิ่งซีดกว่าเดิม

“สว่างอีกแล้วหรือ” เสวียนจีเอ่ยอย่างยอมรับชะตากรรม แต่กลับแฝงด้วยความโศกเศร้าและแค้นใจตนเองอยู่หลายส่วน

หรูหมิ่นหัวเราะพรืดออกมาเบาๆ “ฟ้าสว่างแล้ว ทุกคนตื่นกันหมดแล้ว อีกเดี๋ยวถ้าพ่อบ้านหยวนมาเห็นท่านยังนอนอยู่ ต้องได้ด่าคนแน่ๆ”

เสวียนจียันตัวขึ้นมาด้วยความเมื่อยขบ หัวยังมึนงง นางเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวเก่าเงียบๆ รู้สึกเหมือนว่าหัวเพิ่งถึงหมอน ฟ้าก็สว่างแล้ว ไม่เคยรู้เลยว่ากลางคืนสั้นขนาดนี้ ความที่นอนไม่พอบวกกับความเฉื่อยแฉะทำให้ตัวนางส่ายโงนเงนจะล้ม

“นี่ท่านจะหลับอีกแล้วหรือ พี่เสวียนจี” หรูหมิ่นปัดมือนางเบาๆ จัดแจงสวมเสื้อกั๊กตัวยาวให้นางอย่างคล่องแคล่ว

“ข้าใส่เองก็ได้…” เสวียนจีพูดงึมงำ ดวงตาปิดปรือ

“ท่านใส่กลับด้านแล้ว กว่าท่านจะใส่เรียบร้อยก็คงฟ้ามืด” หรูหมิ่นพูดยิ้มๆ

“ข้า…” นางสะบัดศีรษะหมายจะเรียกสติ รู้สึกหงุดหงิดในใจอยู่บ้าง “พวกเรามีฐานะเป็นสาวใช้เหมือนกัน กลับทำให้เจ้าต้องคอยช่วยข้าอยู่เรื่อย…”

“ท่านคือพี่เสวียนจีนี่นา” ใบหน้ากลมๆ ของหรูหมิ่นกำลังยิ้ม ก่อนจะค่อยๆ จูงมืออีกฝ่ายเดินตามสาวใช้ที่ตื่นสายจำนวนหนึ่งออกไปข้างนอกเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายชนกำแพงเข้า พี่เสวียนจีน่าสนใจยิ่ง ปกติเงียบขรึมไม่ค่อยพูด เวลาที่น่ารักที่สุดกลับเป็นตอนเพิ่งตื่นนอน

“อย่าทำเช่นนี้กับข้า ผู้อื่นเห็นเข้าจะเอาไปนินทา”

“ผู้อื่นอยากนินทาก็นินทาไปเถิด ถึงอย่างไรปากก็อยู่บนหน้าพวกนาง จะพูดอะไรล้วนเป็นพวกนางตัดสินใจเอง แค่พวกเรามีความสุขก็พอแล้ว”

หรูหมิ่นมีความสุข แต่นางไม่มี เสวียนจีลอบถอนหายใจเงียบๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายจูงเดินออกไป

หนึ่งเดือนก่อนฉินเสวียนจีถูกซื้อเข้ามาเป็นสาวใช้ของสกุลเนี่ยชุดเดียวกับหรูหมิ่น เดิมคิดว่าตนเองรูปโฉมและบุคลิกท่าทางมิมีจุดใดพิเศษ ไม่ดึงดูดความสนใจผู้ใดแล้ว แต่ก็ดันถูกหรูหมิ่นมาคอยตามป้วนเปี้ยน

หรูหมิ่นเป็นสาวน้อยจากชนบทที่ขี้อายนางหนึ่ง เป็นพี่คนโตในบ้าน จึงขายตัวมาเป็นสาวใช้ถาวรในสกุลเนี่ยเพื่อเลี้ยงน้องสาวน้องชายอีกเจ็ดแปดคน เด็กสาวเช่นนี้ทนความเหนื่อยยากความลำบากได้ดียิ่ง แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าจะมาสนิทสนมกับนาง นางไม่มีจุดใดชวนสะดุดตา พอถูกป้วนเปี้ยนตามติด นางก็รู้สึกยุ่งยากใจแล้ว…

“พวกท่านเกือบสายอีกแล้ว” ชุ่ยอวี้ที่กำลังตักน้ำล้างหน้าเงยหน้าขึ้นมากล่าว “ตื่นสายทุกวัน ถ้าถูกรู้เข้าคงไม่ดีแน่”

เสวียนจีคลี่ยิ้มเงียบๆ นั่งยองลงวักน้ำราดโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

“น้ำเย็นยิ่งนัก!” หรูหมิ่นนั่งลงล้างหน้าตาม ก่อนจะตัวสั่นยะเยือกขึ้นมาทันที “อากาศก็หนาวเช่นกัน อยากซุกผ้าห่มนอนมันถึงสายๆ จริงๆ”

“นั่นสิ ใครไม่อยากซุกตัวบนเตียงรอคนยกน้ำยกข้าวมาให้บ้าง แต่พวกเราดันมีชะตาต้องรับใช้ผู้อื่นนี่สิ” เหอจูที่เริ่มตักน้ำตามที่ด้านข้างเสวียนจีทำหน้ามุ่ย “หลินอันค่อยโชคดีหน่อย เพิ่งมาวันแรกก็ถูกพ่อบ้านหยวนเรียกตัวไปรับใช้นายน้อยสามแล้ว ไม่ต้องคอยทำงานงกๆ อยู่ในคฤหาสน์เหมือนพวกเรา”

“ก็นั่นน่ะสิ แม้แต่ที่นอนก็ไม่ต้องมาเบียดกับพวกเรา” เสี่ยวหงตวัดสายตามองรอบข้างก่อนลดเสียงลงพูดว่า “พวกเจ้าลองเดากันดูซิว่าหลินอันมีโอกาสเข้าตานายน้อยสามหรือไม่”

สาวน้อยกำลังอยู่ในวัยเริ่มคิดเรื่องความรัก ขณะอยู่บ้านเกิดย่อมเคยได้ยินเรื่องเล่าประเภทว่าไปเข้าตานายน้อยจากตระกูลร่ำรวยจนได้เป็นอนุมาบ้าง ในใจจึงมีความเพ้อฝันอยู่เล็กๆ ว่าสักวันหนึ่งจะสามารถได้ดิบได้ดีเหมือนคนในเรื่องเล่า

“หลินอันทั้งงามทั้งร่าเริง ไม่ว่าใครได้คุยกับนางแค่ไม่กี่คำก็ล้วนนึกชอบนางทั้งนั้น” แม้จะไม่อยากยอมรับนัก แต่เรื่องจริงก็คือเรื่องจริง ในบรรดาสาวใช้ที่เข้ามาชุดเดียวกันก็มีหลินอันที่ชวนให้คนสนใจเป็นพิเศษ มองไม่ออกว่าเป็นบุตรสาวจากครอบครัวชาวไร่ชาวนา มือไม้หยาบกร้านอยู่สักหน่อย แต่มิได้ทำลายความงามอันปราศจากการแต่งเติมของนาง ชุ่ยอวี้ถอนหายใจกล่าวว่า “ถ้านายน้อยสามเนี่ยถูกตาต้องใจในตัวนางเข้าแล้วก็มิใช่เรื่องแปลกเลย” นางมองเสวียนจีแวบหนึ่งก่อนเอ่ยถามพร้อมยิ้มปะเหลาะ “พี่เสวียนจีเล่าคิดว่าอย่างไร”

เสวียนจีเงยหน้าขึ้นมาตอบยิ้มๆ อย่างจืดชืด “นี่เป็นเรื่องแน่นอน”

ชุ่ยอวี้กะพริบตา มองดูนัยน์ตาดำขลับของเสวียนจี จิตใจเคลิบเคลิ้มไปเล็กน้อย ก่อนจะหลุดปากออกมาว่า “พี่เสวียนจี อันที่จริงถ้าท่านไม่ได้มีนิสัยสงบเสงี่ยมเงียบขรึมปานนี้ ไม่แน่อาจจะมีชะตาเหมือนกับหลินอัน ได้ไปรับใช้นายน้อยสามก็เป็นได้” ที่ผ่านมาไม่เคยตั้งใจดูอย่างละเอียด บัดนี้พลันค้นพบว่าดวงตาของเสวียนจีเหมือนเป็นท้องทะเลอันไร้ขอบเขต ดูลึกล้ำจนทำให้คนละสายตาไม่ลง

เสวียนจีประหลาดใจเล็กน้อย ครั้นแล้วก็ยิ้มออกมา “โชคดีที่ข้าไม่ค่อยพูดและก็ไม่ได้มีนิสัยร่าเริง เลยไม่ต้องไปรับใช้นายน้อยสาม ข้าชอบทำงานที่นี่ มีคนมาก คึกคักดี”

ชุ่ยอวี้อ้าปากจะพูด กลับเห็นพ่อบ้านหยวนเดินมาแต่ไกล จึงหุบปากลงอย่างมีไหวพริบ

สาวใช้ส่วนใหญ่ที่พักในห้องใหญ่ห้องนี้ล้วนเข้ามาพร้อมกัน ตอนแรกชุ่ยอวี้แทบไม่สังเกตเห็นว่าในบรรดาสาวใช้ทั้งยี่สิบกว่าคนมีบุคคลอย่างเสวียนจีอยู่ด้วย อีกฝ่ายมักจะอยู่เงียบๆ ปกติไม่ปริปากพูดสักคำ มอบหมายงานอะไรให้นางก็ล้วนทำ พูดกับนาง นางก็ตอบ มิได้ชวนให้คนชัง แต่ก็พูดไม่ได้ว่าชวนให้คนชอบ ธรรมดาจนให้ความรู้สึกเหมือนว่ามองเสร็จก็ลืมนางได้ทันที

ทว่าหลังจากหรูหมิ่นคอยตามติดฉินเสวียนจีก็กลับเริ่มสังเกตเห็นอีกฝ่ายอย่างห้ามตนเองไม่ได้ พอสังเกตเห็นก็ค้นพบว่าท่าทางสุภาพเรียบร้อยเงียบขรึมของเสวียนจีนั้นแตกต่างจากเด็กสาวอย่างพวกตน และพอได้ลองใกล้ชิดนางแล้วก็มักตัดใจออกห่างนางไม่ได้ รอบกายเสวียนจีเหมือนเป็นบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความมั่นคงและความสบาย คุยกับนางก็รู้สึกอบอุ่นสบายใจ

“พ่อบ้านหยวนมาแล้ว พี่เสวียนจี” หรูหมิ่นรีบฉุดนางลุกขึ้น

พ่อบ้านหยวนปฏิบัติต่อพวกนางไม่เลวมาโดยตลอด ติดแค่ขี้บ่นไปสักหน่อยจนเหมือนเป็นคนแก่ ขัดกับรูปลักษณ์สุภาพเรียบร้อยอ่อนวัยของเขาโดยสิ้นเชิง

“เด็กๆ ทั้งหลาย ตื่นกันหรือยัง” หยวนซีเซิงตะโกนถามพลางมองสาวใช้ที่รีบเดินออกมาจากในห้องนอน เขาพยักหน้าด้วยความพอใจ สาวใช้ที่เพิ่งมาใหม่ได้หนึ่งเดือนชุดนี้ล้วนไม่เคยก่อเรื่องวุ่นวาย เฉลียวฉลาดน่ารักทั้งยังสงบเสงี่ยม ทำให้เขารู้สึกปลื้มใจอย่างยิ่ง

“หลังงานทำความสะอาดใหญ่ในวันนี้เสร็จสิ้น ข้าจะจัดพวกเจ้าไปฝ่ายงานที่เหมาะกับแต่ละคน ตามข้ามาเถอะ” เขาพูดเสียงดัง

หนึ่งเดือนมานี้ผู้คนทั้งคฤหาสน์สกุลเนี่ยล้วนกำลังทำความสะอาดคฤหาสน์ครั้งใหญ่ และก็ใช้โอกาสนี้สังเกตดูสาวใช้แต่ละคนไปด้วยว่าเหมาะกับงานประเภทใด การทำความสะอาดเช่นนี้เดิมมิใช่เรื่องยุ่งยากแม้แต่น้อย เขายินดีจะทำด้วยซ้ำ ทว่าก็มีเรื่องหนึ่งที่ไม่ดี…

ตลอดสามปีมานี้ ทุกครั้งที่ถึงเวลาทำความสะอาดใหญ่ของคฤหาสน์สกุลเนี่ย เขาเป็นต้องหงุดหงิดในเรื่องนี้

ยุ่งยาก ช่างยุ่งยากจริงๆ…

เขาถอนหายใจ สองมือไพล่หลัง เดินออกไปข้างนอกและเริ่มงาน

 

มองจากไกลๆ ดูเหมือนเป็นแม่เป็ดตัวหนึ่งนำพาเหล่าลูกเป็ดเดินกลับไปกลับมาในคฤหาสน์สกุลเนี่ย หยุดเป็นครั้งคราวเพื่อทิ้งสาวใช้ไม่กี่คนไว้ทำความสะอาดจุดที่กำหนด ดวงอาทิตย์ร้อนแรงค่อยๆ เคลื่อนขึ้นฟ้า ความร้อนเริ่มปรากฏในอากาศ

หรูหมิ่นสูดหายใจเฮือกเล็กๆ ก่อนกระซิบถาม “ร้อนยิ่งนัก พี่เสวียนจี ท่านร้อนหรือไม่”

“ยังพอไหว” เสวียนจีตอบยิ้มๆ

“จริงหรือ แต่ข้าเห็นท่านเหงื่อออกเต็มหน้าแล้ว” หรูหมิ่นล้อนางพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าเนื้อหยาบส่งให้

“ขอบใจ” หน้านางเรื่อแดงอยู่เล็กน้อย ถึงจะอยากกลมกลืนเข้ากับสาวใช้กลุ่มนี้ ไม่ให้เป็นที่สะดุดตา แต่ก็ต้องล้มเหลวเพราะปัญหาด้านร่างกายที่มากเกินไปของตนเอง

“ร่างกายของพี่เสวียนจีดูเหมือนจะไม่ดีนักกระมัง” ไม่รู้ว่าชุ่ยอวี้ลดความเร็วฝีเท้าลงแล้วเดินมาประกบอยู่อีกข้างของเสวียนจีอย่างเงียบๆ ตั้งแต่เมื่อไร นางสูดหายใจลึก เดินเคียงข้างเสวียนจีพลันรู้สึกเย็นสบายขึ้นมาจริงๆ

“ข้า…เป็นอย่างนั้นหรือ” เสวียนจียังคงยิ้ม

“คงเป็นเพราะพี่เสวียนจีเป็นบุตรสาวของอาจารย์สอนหนังสือ ดังนั้นจึงแตกต่างจากพวกเรา ไม่เคยลงนา ร่างกายจึงดูผอมบางอ่อนแอ” หรูหมิ่นชิงตอบแทน

“อาจารย์สอนหนังสือ? นั่นช่างดีเหลือเกิน” ชุ่ยอวี้ถอนหายใจ “ไม่เหมือนพ่อข้าที่เป็นชาวนา ต้องเจอภัยแล้งน้ำท่วม พอไม่มีข้าวกินก็ต้องขายลูกสาว จำเป็นต้องขาย มิเช่นนั้นน้องสาวน้องชายของข้าคงได้อดตาย”

เสวียนจีมองชุ่ยอวี้แวบหนึ่ง เอ่ยปลอบใจว่า “แต่ละคนมีชะตาชีวิตของตัวเอง พ่อเจ้าขายลูกสาว เขาเองต้องทำใจได้ยากยิ่งอย่างแน่นอน”

ชุ่ยอวี้ได้ยินดังนี้ ดวงตาก็เรื่อแดง “ท่านพูดถูกต้อง ก่อนข้าจากมาท่านพ่อยังร้องไห้ บอกว่ารอข้าครบกำหนดสามปีก็จะได้พบหน้ากันอีก”

เสวียนจีแย้มยิ้มเงียบๆ โดยตลอด มิได้พูดอะไรต่ออีก เรื่องในอนาคตใครก็บอกได้ยาก บางทีอีกสามปีชุ่ยอวี้อาจได้แต่งงาน บางทีอีกสามปีนางอาจถูกขายอีกครั้งเพราะเกิดภัยธรรมชาติขึ้นอีก ทว่าปล่อยให้นางมีความหวังอย่างไรก็ดีกว่าเศร้าเสียใจมาก

สาวใช้สิบกว่าคนที่เหลือพลันหยุดเดิน เนื่องจากพ่อบ้านหยวนที่หัวขบวนรีบร้อนก้าวไปหาบุรุษผู้หนึ่งที่เพิ่งเดินมา

เสวียนจีมองบุรุษผู้นั้น…เขาสวมชุดตัวยาวสีขาว หล่อเหลามีสง่า ด้านหลังเขามีชายอีกคนถือร่มเดินตาม

นางอุทานออกมาเบาๆ

“เป็นอะไรไป พี่เสวียนจี”

“เปล่า…ไม่ได้เป็นอะไร” นางตอบเสียงค่อย

เข้าคฤหาสน์สกุลเนี่ยมาได้เดือนกว่ายังไม่เคยเห็นเหล่าเจ้านายสกุลเนี่ยเลย ก่อนเข้ามาที่นี่ก็เคยได้ยินว่าทั้งสกุลเนี่ยมีพี่น้องเป็นชายทั้งหมดสิบสองคน ข้างกายแต่ละคนจะมีชายฉกรรจ์ผู้จงรักภักดีปรนนิบัติรับใช้โดยเฉพาะหนึ่งคน ท่านสาม ท่านสี่ ท่านเจ็ด และท่านสิบสองล้วนอาศัยในคฤหาสน์ บุรุษผู้นั้นดูจากที่เขาแต่งกายเรียบร้อยดูดี สวมชุดปักลายตัวยาวสีขาว ด้านหลังมีบ่าวคอยกางร่ม จึงน่าจะเป็นหนึ่งในเจ้านายของคฤหาสน์สกุลเนี่ย และเมื่อคาดคะเนจากอายุ ก็น่าจะเป็นท่านสี่เนี่ยมี่หยาง

นางเหลือบมองเขาอีกแวบหนึ่ง เสียงดังเปี่ยมความกระตือรือร้นของพ่อบ้านหยวนดังแว่วขึ้นริมโสต เหมือนว่ากำลังรายงานการงานของวันนี้ บุรุษชุดขาวผู้นั้นกางพัดออกด้วยท่าทางตามสบาย สายตากวาดมองมาทางนี้อย่างไม่ใส่ใจ ยามนั้นนางถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างเงียบๆ หลบหลังชุ่ยอวี้ได้ถูกจังหวะพอดี

แม้จะรู้ดีว่ารูปโฉมของตนเองมิมีจุดใดพิเศษ แต่เพื่อความไม่ประมาท นางยังคงไม่อยากให้ใครสังเกตเห็นนาง ชีวิตในตอนนี้ลำบากไปสักหน่อย การใช้แรงงานทำให้สิบนิ้วเรียวยาวขาวสะอาดของนางหยาบกร้าน หากแต่นางพอใจกับชีวิตเช่นนี้…ที่ไม่มีความโกรธแค้นหรือการแก่งแย่งชิงดีใดๆ ทั้งสิ้น

หางตานางชำเลืองไปก็เห็นบุรุษผู้นั้นขยับหนีไปสองสามก้าว พ่อบ้านหยวนก็ตามไปพล่ามต่อ บุรุษผู้นั้นยิ้มอย่างค่อนข้างมีน้ำอดน้ำทน ทั้งยังมองมาทางนี้อีกสองสามอึดใจ ก่อนจะมองเห็นนางได้พอดิบพอดี…

เสวียนจีถอยหลังไปอีกก้าวอย่างเงียบเชียบแนบเนียน

“อ๊ะ คนรูปงามผู้นั้นเดินมาแล้ว ข้าเดาว่าเขาต้องเป็นหนึ่งในเจ้านายของพวกเรา ใช่หรือไม่” ชุ่ยอวี้พูดกระซิบด้วยใบหน้าร้อนผ่าวดั่งถูกไฟเผา

“นายน้อยสี่ นายน้อยสี่ขอรับ!” หยวนซีเซิงรีบไล่ตามไป ปากก็พร่ำบ่น “ท่านเองก็ต้องคิดเผื่อเหล่าสาวใช้ เด็กสาวหลินอันนางนั้นรับใช้นายน้อยสาม แต่ต้องคอยหลบไปร้องไห้แทบไม่เว้นแต่ละวัน จะดีจะชั่วท่านก็ช่วยพูดหน่อยเถิดขอรับ อีกเรื่องหนึ่ง อากาศร้อนจัด หากท่านจะออกไปข้างนอก มิใช่ว่าบ่าวห้าม แต่ร่างกายท่านเดิมก็ไม่สู้ดี ถ้าเกิดไปหมดสติกลางทาง…”

“หรือเจ้าจะออกไปเจรจาการค้าแทนข้า” เนี่ยมี่หยางตัดบทเขาได้พอเหมาะแก่เวลา

“ไม่ขอรับ! บ่าวไม่ได้มีสมองขนาดนั้น และก็ไม่ได้มีความกล้าขนาดนั้นเช่นกัน…” หยวนซีเซิงรีบร้อนเดินตามเขา

เนี่ยมี่หยางคลี่ยิ้มน้อยๆ เดินช้าๆ มาหาเหล่าสาวใช้ ดวงตาอบอุ่นปรายผ่านสาวใช้แต่ละคนที่ก้มหน้าอยู่ ก่อนกล่าวออกมาโดยไม่คิด “เช่นนั้นเจ้าไปเกลี้ยกล่อมให้นายน้อยสามรับร้านหนังสือของเขากลับไป เช่นนี้ข้าก็ไม่ต้องออกไปข้างนอกในวันอากาศร้อนจัดแล้ว ถูกหรือไม่”

“อา…” นายน้อยสี่อยากแกล้งเขาหรือ ปัจจุบันมีใครกล้าไปพูดเรื่องนี้กับนายน้อยสามบ้าง อันที่จริงไม่ใช่เพียงเรื่องนี้ สามปีก่อนเขาชมชอบนายน้อยสาม เคารพนายน้อยสาม ตอนนี้ความเคารพชมชอบยังคงเดิม แต่แค่ไม่กล้าเข้าใกล้…เขายังไม่อยากถูกด่าจนต้องหลบไปร้องห่มร้องไห้ในมุมห้อง

หยวนซีเซิงยังคิดจะโน้มน้าวอะไรต่อ ทว่าเนี่ยมี่หยางที่ด้านหน้ากลับพลันหยุดเดิน ทำให้เขาที่มีเรี่ยวแรงมากโดยกำเนิดศีรษะเกือบจะพุ่งชนอีกฝ่าย โชคดีที่ชายฉกรรจ์ถือร่มข้างกายเนี่ยมี่หยางยันศีรษะหยวนซีเซิงไว้ได้ทันเวลา ก่อนจะประคองเขาให้กลับมายืนตัวตรง

“นายน้อยสี่?!” ตกใจแทบตาย! ถ้าชนนายน้อยสี่กระเด็นออกนอกระเบียงไป เขาก็ไม่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว ผูกคอตายไปพบพญายมให้จบเรื่องเสียเลยเถอะ

“เจ้าเงยหน้าขึ้นมา” เนี่ยมี่หยางหยุดลงใกล้ๆ สตรีชุดขาวเรียบนางหนึ่งด้วยท่าทางเกียจคร้าน ก่อนจะเดินวนช้าๆ พินิจดูนาง

หยวนซีเซิงอึ้งไปเล็กน้อย “เอ๊ะ?” ตั้งแต่เมื่อใดกันที่สาวใช้หน้าตาท่าทางไม่โดดเด่นเช่นนี้ก็ดึงดูดความสนใจของนายน้อยสี่ขึ้นมาได้ แต่จะว่าไปแล้ว ในบรรดาสาวใช้ที่ซื้อตัวมาวันนั้นมีคนเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ ไฉนเขาถึงลืมไปได้

เสวียนจีกลัดกลุ้มขึ้นมาน้อยๆ แต่ยังคงเงยใบหน้าขาวผ่องขึ้นอย่างเชื่อฟัง หลุบตายืนตัวตรง

“อืม…” เนี่ยมี่หยางพินิจดูอย่างละเอียดอยู่ชั่วครู่ หน้าตาปานกลาง อยู่ท่ามกลางคนจำนวนมากสมควรจะดึงดูดความสนใจใครไม่ได้ แต่เขากลับมองเห็นนางท่ามกลางสตรีมากมาย

เห็นนางก้มหน้าคล้ายว่าประหม่าอยู่บ้าง เขาก็ยิ้มพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เจ้าชื่อว่าอะไร”

“บ่าวฉินเสวียนจีเจ้าค่ะ” น้ำเสียงไม่สูงไม่ต่ำ ไม่ได้นุ่มนวลเป็นพิเศษ และก็ไม่ได้สั่นเครือ เป็นเสียงที่เหมือนฟังแล้วก็ลืมได้ทันที

“อ้อ? ฉินเสวียนจี? หายากที่หญิงสาวจะมีนามเช่นนี้ บิดามารดาเจ้ารู้หนังสือหรือ”

“บิดาที่ล่วงลับไปรู้หนังสืออยู่บ้างเจ้าค่ะ” น้ำเสียงยังคงไม่สูงไม่ต่ำ อ่อนน้อมเหมือนบ่าวไพร่ทุกคนในคฤหาสน์สกุลเนี่ย มองแล้วไม่เห็นว่าจะจำหน้าได้ ฟังแล้วไม่เห็นว่าจะจำเสียงได้

เนี่ยมี่หยางคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนก้มตัวน้อยๆ ดมกลิ่นรอบกายนาง ใบหน้ายังคงแย้มยิ้ม แต่ค่อนข้างมีความหมายแฝง ก่อนที่เขาจะเอ่ยเรียกอย่างเกียจคร้าน “ซีเซิง?”

“บ่าวอยู่นี่ขอรับ!”

“สาวใช้เหล่านี้ซื้อเข้ามาเมื่อใด”

“หนึ่งเดือนก่อนขอรับ”

“อ้อ…เป็นพวกมาใหม่นี่เอง” มิน่าเขาถึงไม่เคยเห็น “เจ้ายื่นมือทั้งสองออกมา”

เสวียนจีลังเลเล็กน้อยก่อนยื่นเรียวนิ้วทั้งสิบออกไป

“สิบนิ้วของเจ้าเรียวขาวและเพิ่งมีรอยด้าน ผิวก็ขาว กายก็หอม ตามหลักแม่นางสมควรจะเป็นคุณหนูให้คนคอยรับใช้ ไฉนจึงลำบากมาเป็นสาวใช้ในคฤหาสน์สกุลเนี่ยเล่า” เขาเอียงศีรษะมองนางอย่างละเอียดอีกแวบหนึ่ง “อีกอย่าง เจ้าเลยวัยปักปิ่น* มานานแล้วกระมัง”

“บ่าวปีนี้อายุยี่สิบสองเจ้าค่ะ”

“ยี่สิบสอง?” เขาประหลาดใจอยู่เล็กๆ ที่เดาได้ว่านางเลยวัยปักปิ่นแล้ว เป็นเพราะแม้นางจะอยู่ท่ามกลางสาวใช้กลุ่มนี้ แต่นางดูแตกต่างออกไปพอสมควร ยืนนิ่งเงียบทั้งยังสงวนท่าที ไม่มีท่าทางกระสับกระส่ายอ่อนประสบการณ์เฉกเช่นสาวน้อยแรกเข้าคฤหาสน์หลังใหญ่สักกระผีก “ข้านึกว่าในวัยเท่านี้เจ้าควรต้องเลี้ยงลูกดูแลสามีอยู่กับบ้านเสียอีก แม้จะเข้าคฤหาสน์มาก็ควรมาเป็นแม่นม” มาเป็นสาวใช้ออกจะอายุมากไปบ้างจริงๆ

“บ่าวยังมิได้แต่งงาน”

“อ้อ…” อายุยี่สิบสองยังไม่แต่งงานย่อมต้องมีสาเหตุซ่อนเร้น ซักถามลงลึกกว่านี้เกรงว่าจะเกี่ยวถึงความลับส่วนตัวของนางแล้ว โดยทั่วไปขอเพียงอายุไม่มากจนเกินไป เขาย่อมจะไม่ก้าวก่ายเรื่องการว่าจ้างบ่าวไพร่ ซีเซิงใช้งานนางได้ก็หมายความว่าประวัตินางขาวสะอาด

ทว่าบนตัวนางมีกลิ่นกระดาษจางๆ อยู่ สมควรจะเคยเป็นผู้ที่ใกล้ชิดหนังสือ

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง หุบพัดลงแล้วก้าวผละออกไปสองสามก้าว เสวียนจีเพิ่งจะผ่อนลมหายใจโล่งอก เขากลับพลันหันหน้ามาถามอีกครั้ง “เช่นนั้นเจ้าเองก็น่าจะรู้หนังสือเช่นกัน?”

เสวียนจียอบตัว “บ่าวเคยได้รับการสอนจากบิดาที่ล่วงลับ จึงพอรู้หนังสือบ้าง แต่ก็ไม่กี่ตัวเจ้าค่ะ” เห็นเขาได้ยินคำตอบเสร็จและเดินออกจากระเบียงทางเดินไปแล้ว นางถึงระบายลมหายใจออกมาอีกครั้ง

นางมีอะไรชวนให้คนสะดุดตาเพียงนี้เชียวหรือ หน้าตาท่าทางออกจะธรรมดาชัดๆ ขณะเพิ่งเข้าคฤหาสน์มา พ่อบ้านหยวนก็มักลืมการมีอยู่ของนางเป็นประจำ เหล่าสาวใช้บางครั้งยังนึกชื่อนางไม่ออกด้วยซ้ำ ในกลุ่มคน ผู้ที่ควรเป็นที่สะดุดตาคือเด็กสาวผู้กระตือรือร้นอย่างหลินอัน มิใช่คนอย่างนาง

หรือว่าสายตาแหลมคมของนายน้อยสี่จะมองอะไรออก? หว่างคิ้วนางยับย่น หวังเพียงว่าหลังเหตุการณ์คราวนี้แล้วจะไม่ดึงดูดสายตาใครอีก

 

“ซีเซิง สาวใช้ชื่อฉินเสวียนจีนางนั้นเจ้าไปซื้อตัวมาจากที่ใด” หลังเดินออกจากระเบียงมาแล้ว เนี่ยมี่หยางก็ทำเป็นเอ่ยถามผ่านๆ

“ฉินเสวียนจี? นาง…นางน่ะหรือขอรับ” หยวนซีเซิงเกาศีรษะ ทำหน้ายับยุ่งพลางย้อนนึก “นาง…นางชื่อว่าฉินเสวียนจี พ่อของนางดูเหมือนจะเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ในชนบทหลายปี ปีนี้เพิ่งจากโลกไป นางต้องการเงินฝังศพ บ่าวจึงฝืนใจให้นางเข้ามาทำงานให้คฤหาสน์ เรื่องน่าจะเป็นเช่นนี้ขอรับ” คิดไม่ถึงเลยว่านายน้อยจะสังเกตเห็นสาวใช้นางนั้น ถ้ามิใช่ก่อนหน้านี้เขาหูไว ได้ยินคำกระซิบกระซาบของหรูหมิ่นกับชุ่ยอวี้ ทำให้ความทรงจำของเขาถูกดึงขึ้นมา เขาคงได้ลืมจริงๆ ว่ามีสาวใช้นางนี้อยู่ด้วย

เนี่ยมี่หยางยิ้มหวาน “น่าจะ? เรื่องเช่นนี้เห็นได้น้อยนัก หายากที่จะมีเรื่องที่เจ้าจำไม่ได้”

หยวนซีเซิงหน้าเห่อแดง ความจำเป็นสิ่งที่เขาภาคภูมิใจที่สุดตลอดมา ตั้งแต่บรรพบุรุษแปดรุ่นของคฤหาสน์สกุลเนี่ยลงมาถึงแม่ครัวและสาวใช้มาใหม่ โดยปกติขอเพียงได้คุยด้วยครั้งเดียว สมองย่อมจะมีร่องรอยความทรงจำประทับอยู่ ชั่วชีวิตก็ไม่ลืมเลือน คำพูดของนายน้อยสี่เวลานี้จึงไม่ต่างจากการฉีกหน้าเขา

“นายน้อย เรื่องนี้จะโทษบ่าวไม่ได้นะขอรับ” เขาอุทธรณ์ตัดพ้ออย่างรู้สึกไม่เป็นธรรม “เดิมนางก็ไม่มีจุดเด่นอะไร คนแบบฉินเสวียนจีหาได้เกลื่อนกลาดตามท้องถนน สตรีที่ธรรมดาเช่นนี้จะทำให้คนสนใจได้อย่างไรขอรับ” พูดตามตรง ที่นายน้อยสี่ชี้ตัวนางออกมาได้ปุบปับกะทันหัน เขายังลอบคิดเลยว่านายน้อยสี่ดวงตามีปัญหา

เนี่ยมี่หยางเห็นอีกฝ่ายตัดพ้อต่อว่าก็กระแอมไอเบาๆ ก่อนกล่าวยิ้มๆ “ซีเซิง ข้าไม่ได้จะก้าวก่ายงานเจ้า เพียงแต่ถามดูเท่านั้นเอง เจ้าอยากจัดสรรอย่างไรก็ตามใจเจ้า ถ้าทำได้ดี เจ้าก็ให้รางวัลไปตามผลงานก็พอ” เขาโบกมือและเดินจากไปพร้อมกับชายฉกรรจ์ข้างกาย

หยวนซีเซิงลูบจมูก เดินกลับไปที่ระเบียงทางเดิน “ไปกันเถอะๆ ผู้ที่พวกเจ้าเห็นเมื่อครู่คือนายน้อยสี่ วันหน้าถ้าได้พบอีกต้องขานคารวะ” กล่าวจบหางตาของเขาก็ตวัดมองฉินเสวียนจีอย่างห้ามตนเองไม่อยู่ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่านางมีจุดใดชวนให้คนสนใจ

อา… สองตาของเขาพลันสว่างวาบ

“เจ้า…เจ้า เจ้านั่นแหละ! มิผิด เมื่อครู่เจ้าพูดอะไรกับนายน้อยสี่นะ”

เสวียนจีช้อนตาขึ้นมอง ดูงุนงงแปลกใจอยู่บ้าง “ข้า…”

เมื่อครู่เขามิได้ฟังอยู่ข้างๆ ทั้งหมดหรือไร

“เจ้าว่าเจ้ารู้หนังสือ?” เขาถึงขนาดหน้าตาแจ่มใส ยิ้มจนหุบปากไม่ลงแล้ว

นางลังเลเล็กน้อยก่อนยอบตัว “เจ้าค่ะ บ่าวรู้หนังสือ” ดูเหมือน…ไม่ค่อยชอบมาพากลนัก แทบจะคาดการณ์ได้ล่วงหน้าเลยว่าสองเท้าของตนก้าวลงปลักโคลนแล้ว ไม่เอานะ นางเพียงอยากจะใช้ชีวิตสงบเงียบอยู่ท่ามกลางผู้คนโดยไม่มีอะไรมาทำให้เปลี่ยนแปลง

“โธ่เอ๊ย! ข้าควรโดนตี ควรโดนตีจริงๆ!” หยวนซีเซิงมีรอยยิ้มเกลื่อนหน้า ถ้ามิใช่นายน้อยสี่ออกมาก่อกวน เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าสาวใช้ที่ปกติถูกเขาลืมเลือนไปนางนี้รู้หนังสือ ปัญหายุ่งยากและยิ่งใหญ่เพียงหนึ่งเดียวในงานทำความสะอาดก่อนหน้านี้นับว่ามีทางแก้ในที่สุด

“พ่อบ้านหยวนยิ้มได้พิกลนัก น่ากลัวยิ่ง” หรูหมิ่นพูดขึ้นเสียงค่อย

“เจ้า…เจ้าชื่อฉินเสวียนจีกระมัง”

“เจ้าค่ะ”

“ดีๆ นับตั้งแต่นี้เจ้าไม่ต้องไปทำความสะอาดกับพวกนางแล้ว อีกเดี๋ยวให้ตามข้าไป” ในที่สุดก็หาคนได้ ให้นางไปทำดีที่สุด ต่อให้ถูกด่าก็มาไม่ถึงเขา หึๆ คนพบเรื่องน่ายินดีก็เบิกบานแช่มชื่นเช่นนี้ล่ะ ทว่านี่มิใช่เขาเจตนาผลักความรับผิดชอบให้นางนะ แต่เขาลำบากมาสามปีแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องลำบากต่อไปอีก

“พ่อบ้านหยวน…หาคนอื่นเถิดเจ้าค่ะ บ่าวยังคงทำงานกับพวกหรูหมิ่นจะดีกว่า” แย่หนักแล้ว มีสังหรณ์รางๆ ว่าพอแยกจากเหล่าสาวใช้อย่างพวกหรูหมิ่น วันเวลาอันทุกข์ยากของนางก็จะมาถึง วันเวลาทุกข์ยากยังไม่น่ากังวลเท่าไร ที่น่ากังวลคือนางไม่ชอบแตกต่างจากสาวใช้คนอื่นๆ การเป็นเช่นนั้นทำให้ในใจนางรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัยยิ่ง

“เอ๊ะ? เจ้าจะไม่รู้ดีรู้ชั่วไปหน่อยแล้ว เรื่องนี้เจ้ามีสิทธิ์พูดได้ด้วยหรือ” หยวนซีเซิงเหลือกตากล่าวตำหนิ “ให้เจ้าทำ เจ้าก็ทำ เจ้าขายตัวมาทำงานให้คฤหาสน์สกุลเนี่ยเราแล้ว ต่อให้บอกให้เจ้าลงหม้อน้ำมัน เจ้าก็ไม่อาจปริปากขัดขืนได้”

หลังพูดจบด้วยสีหน้าถ้อยคำรุนแรง เห็นว่าบรรลุจุดประสงค์จะขู่คนแล้วถึงค่อยพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “แน่นอนว่าไม่มีทางบอกให้เจ้าไปลงหม้อน้ำมันหรอก เพียงแต่ต้องการให้เจ้าทำงานง่ายๆ สบายๆ บางอย่างสักหน่อย มิได้มีอะไรหนักหนาสาหัส”

เสวียนจีเงยหน้าขึ้นมองหยวนซีเซิงตาไม่กะพริบ เห็นเขาน้ำลายกระเด็นเป็นฝอย เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่ามีอะไรไม่น่าไว้วางใจแอบแฝงอยู่ นางถอนหายใจ ยอมรับชะตากรรมแล้วพลางกล่าว “พ่อบ้านหยวนกล่าวถูกต้อง ต้องการให้บ่าวทำอะไร บ่าวก็จะไปทำเจ้าค่ะ”

“เช่นนี้จึงถูกต้อง” หยวนซีเซิงยิ้มพอใจ รู้สึกบาดหูอยู่สักหน่อย ไม่รู้เหตุใดจึงมักรู้สึกว่าคำว่า ‘บ่าว’ ที่นางพูดออกมาคล้ายจะบาดหูอยู่เล็กๆ

เหมือนว่า…เหมือนว่านางไม่เหมาะกับคำว่า ‘บ่าว’ นี้…เฮ้อ เขาเพิ่งจะอายุยี่สิบหกก็เริ่มรู้จักคิดฟุ้งซ่านแล้วหรือ จริงๆ เลย ภาวนาขอพรต่อพระพุทธองค์ให้สาวใช้นางนี้จะดีกว่า

ฉินเสวียนจีที่น่าสงสาร นายน้อยเฟิงอวิ๋น…ที่น่ากลัว…

หวังว่านางจะสามารถทำงานที่ข้ามอบหมายได้เสร็จก่อนนายน้อยเฟิงอวิ๋นจะพบนางแล้วกัน

“อันที่จริง งานนี้ไม่ยุ่งยากสักนิด…” หลังแบ่งงานให้สาวใช้นางอื่นเรียบร้อย เขาก็พาเสวียนจีเดินไปทางด้านตะวันออกพลางเอ่ยอธิบาย “ขอเพียงเจ้ารู้หนังสือ เคยอ่านหนังสือมาบ้าง การจัดหนังสือขึ้นชั้นตามประเภทก็เป็นงานสบายยิ่ง” อาจเพราะต้องการชดเชยที่ผลักนางเข้ากองไฟ เขาจึงพูดด้วยถ้อยคำน้ำเสียงที่ดี

เสวียนจีมองเขาปราดหนึ่ง “พ่อบ้านหยวน ท่านกำลังเหงื่อไหลอยู่”

“เอ๊ะ?” นางสายตาดีเพียงนี้เชียว? “ข้า…อย่างนั้นหรือ ฮะๆ อากาศร้อน ร่างกายก็อ่อนแอ” เขาปาดเหงื่อบนหน้าก่อนเดินเข้าสวนซั่งกู่

ขนาดของคฤหาสน์สกุลเนี่ยกว้างใหญ่ที่สุดในหนานจิง เสวียนจีเข้ามาในคฤหาสน์ได้เดือนกว่าแล้ว ทว่าเพิ่งได้มาสัมผัสสวนซั่งกู่เป็นครั้งแรก นางสังเกตเห็นว่าบริเวณนี้ไม่มีบ่าวไพร่เดินสักเท่าไร อากาศก็อบอวลไปด้วยกลิ่นอายวังเวงเปล่าเปลี่ยว

“ถ้าเจ้าทำได้ดี วันหน้างานที่ห้องหนังสือจี๋กู่ก็มอบให้เจ้า ข้าเองก็ไม่ต้องคอยเปลืองสมองมาจัดห้องหนังสือที่แสนใหญ่นั่นปีละครั้งแล้ว” หยวนซีเซิงคล้ายว่าพูดกับตนเอง

“ห้องหนังสือจี๋กู่?!” นางพลันอุทาน ทำเอาหยวนซีเซิงตกใจจนเท้าก้าวพลาด หวิดจะตกลงทะเลสาบคนขุด

“เจ้า…เจ้าร้องหาอะไร!” เขาเหลือกตา ตวาดว่า “อยากจะทำข้าตกใจตายหรือไร!” เขากลืนน้ำลายที่สำลักก่อนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ต่อ “ข้าเตือนเจ้าไว้เลยนะ ทำงานที่สวนซั่งกู่ไม่เหมือนกับทำงานที่อื่น เรื่องสำคัญอันดับหนึ่งคือต้องเงียบเข้าไว้ อย่าเอะอะก็แหกปากร้อง”

นางคล้ายว่าไม่ได้ยินคำเตือนด้วยความหวังดีของเขา เอ่ยถามเสียงแหบแห้งขึ้นว่า “ท่านหมายถึงห้องหนังสือจี๋กู่ที่มีหนังสือเก็บอยู่มากกว่าแปดหมื่นเล่มห้องนั้นหรือ”

หยวนซีเซิงอึ้งไปเล็กน้อย ประเมินมองนางปราดหนึ่ง “สาวใช้อย่างเจ้ากลับรู้อะไรต่อมิอะไรดีนัก อีกทั้งยังรู้อีกว่าห้องหนังสือจี๋กู่ของนายน้อยสามของพวกเรามีหนังสืออยู่เท่าไร เจ้าห่วงว่าจะจัดการไม่เสร็จหรือ ไม่ต้องกลัว ข้ามิได้จะให้เจ้าทำให้เสร็จในวันเดียว”

“ข้าจะไม่รู้จักห้องหนังสือจี๋กู่ได้อย่างไรกัน” เสวียนจีพึมพำ

มันเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในหมู่บัณฑิตเมืองหนานจิง เป็นสถานที่เก็บหนังสือของเนี่ยเฟิงอวิ๋น ตำราหนังสือแปดหมื่นเล่มได้ทะลุจำนวนเก็บรวบรวมของคนปกติไปแล้ว ขอเพียงบอกชื่อหนังสือออกมาได้ต้องสามารถหาพบในห้องหนังสือจี๋กู่แน่นอน ซ้ำข้างในยังมีหนังสือที่ตีพิมพ์ด้วยรูปแบบราชวงศ์ซ่งของร้านหนังสือเฟิงอวิ๋นและหนังสือสะสมที่มีเพียงฉบับเดียวอยู่ด้วย ที่สำคัญที่สุดคือยังมีนิยายที่เนี่ยเฟิงอวิ๋นเขียนบทส่งท้ายให้ครบชุด

หยวนซีเซิงประเมินมองนางด้วยความแปลกใจเล็กๆ จริงๆ เลย ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้สึกว่านางมีจุดใดพิเศษ ทว่าตอนนี้กลับคล้ายว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องแล้ว สาวใช้นางนี้ช่างมีสายตาแหลมคมรู้จักแยกแยะคนโดยแท้ ถึงกับเคยได้ยินเรื่องห้องหนังสือจี๋กู่ของนายน้อยสาม ทว่านางก็เป็นเพียงสาวใช้ สาวใช้เล็กๆ นางหนึ่งจะมีความรู้สักเท่าไรเชียว

จริงสิ บิดานางเป็นอาจารย์นี่นา ทำเอาเขาตื่นตูมเสียยกใหญ่ “เป็นบิดาเจ้าเคยได้ยินมาแล้วบอกเจ้ากระมัง!” หยวนซีเซิงหัวเราะฮ่าๆ พอใจในคำตอบของตนเอง กำลังจะเปิดประตูทองแดงของหอซั่งกู่อันเงียบสงบที่ตั้งอยู่ฟากตะวันออกนี้กลับพลันมีคนชิงเปิดแล้วพุ่งตัวออกมาจากด้านใน

“ย่ามันเถอะ! เป็นเจ้าโง่ตัวไหน…หลินอัน?!” หยวนซีเซิงขวางนางไว้ทันเวลา เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเข้มงวด “เช้าขนาดนี้ เจ้าไม่ติดตามข้างกายนายน้อยสาม คิดจะไปที่ใด”

“พ่อบ้านหยวน…” หลินอันเห็นเป็นคนรู้จักก็น้ำตาคลอเบ้าขึ้นมาทันที “ข้า…นายน้อยสามเขา…เขา…”

“อย่าอ้ำๆ อึ้งๆ ต้องเป็นเจ้าทำงานผิดพลาดอีกแล้วแน่นอน” เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ หางตาเหลือบมองเสวียนจีแวบหนึ่ง หวังว่าสาวใช้นางนี้จะไม่รู้สึกตงิดใจแล้วหนีหายไป เขาสั่งห้ามเหล่าบ่าวไพร่ไม่ให้ลอบวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของนายน้อยสามลับหลังเด็ดขาด ถ้าใครพูดก็ไสหัวกลับบ้านเก่าไปได้เลย ด้วยเหตุนี้บรรดาสาวใช้ที่มาใหม่จึงต่างไม่รู้ถึงปัญหายุ่งยากในสวนซั่งกู่

หลินอันเข้าตาเขาตั้งแต่แรกเห็น เชื่อโดยสัญชาตญาณว่านางชวนให้คนนึกชอบและไม่กลัวคนแปลกหน้า ทั้งยังเห็นนางพูดจาไพเราะอ่อนหวาน เป็นสาวใช้น้อยที่ใครเห็นใครก็รัก อายุน้อยไปสักหน่อย แต่น่าจะรับใช้นายน้อยสามได้เหมาะสม จึงจัดแจงย้ายนางมาคอยปรนนิบัติเนี่ยเฟิงอวิ๋นอยู่ที่นี่ทั้งเช้าเย็น กลับคิดไม่ถึงว่า…ละครเรื่องเดิมแสดงซ้ำทุกวัน…

เขาทอดถอนใจ ก่อนจะโบกมือให้เสวียนจีก่อนว่า “เจ้ารออยู่ตรงนี้ ข้าไปครู่เดียวเดี๋ยวกลับมา อย่าเที่ยวเดินส่งเดช…สวนมีขนาดใหญ่ ถ้าหลงทางก็ไม่มีใครว่างตามหาเจ้า” เขาจับมือหลินอันบังคับเดินเข้าหอซั่งกู่ไป

เสวียนจียืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง สายลมฤดูร้อนพัดระใบหน้า อุ่นนัก ให้ความรู้สึกสบายกว่าอุณหภูมิหนาวเย็นจนคนจะแข็งตายในตอนฟ้ายังไม่สางมาก นางริมฝีปากเปื้อนยิ้ม เดินเอื่อยเฉื่อยเลาะลานสวน

หลังจากนางเข้ามาในคฤหาสน์สกุลเนี่ยก็ไม่เคยมีสักเสี้ยวเวลาที่ได้อยู่ว่างๆ ต้องทำงานงกๆ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ วันแรกก็ต้องหอบผ้าห่มนวมไปตากแดดจนนางวิงเวียนตาลาย มือไม้อ่อนไปหมด แต่ก็ไม่กล้าโอดครวญด้วยกลัวจะเป็นที่สนใจ ทั้งตัวคนเหมือนเป็นลูกบ๊วยเหี่ยวย่น หัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย บัดนี้ผ่านมาเดือนกว่า ร่างกายยังคงปวดเมื่อยน้อยๆ แต่ดีกว่าเดิมมากอย่างเห็นได้ชัด ยามนี้ได้แอบอู้ก็รู้สึกสบายจนอยากหลับตาเข้าสู่ห้วงฝันอีกครั้ง…

“ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา!”

เสียงตะคอกทำให้เสวียนจีตกใจจนหายง่วง นางรีบลืมตา สิ่งที่มองเห็นคือบุรุษนั่งรถเข็นผู้หนึ่ง

หน้าตาเขามิได้น่ามองเท่าเนี่ยมี่หยาง มันบึ้งตึงแข็งกร้าว นัยน์ตาดำราวกับมีเพลิงโทสะปะทุขึ้น ริมฝีปากบางเม้มแน่น

เสวียนจีหน้าถอดสี วิงเวียนตาลายขึ้นมาทันที อากาศร้อนแล้วกระมัง ถึงได้รู้สึกว่าเรี่ยวแรงจะหายไปหมดตัวแล้วเช่นนี้

“ไม่เคยเห็นเจ้านายขาพิการหรือไร!” เพลิงโทสะลุกขึ้นมาอีกครั้ง วัตถุสีน้ำเงินปามาถูกนางที่อยู่ไม่ไกลด้วยกำลังแรง

นางเซถอยหลังเล็กน้อยก่อนจะล้มพับลงกับพื้น วัตถุสีน้ำเงินที่ตกอยู่บนพื้นคือนิยายเล่มหนึ่ง นางอึ้งไป ตาลายมองเห็นแต่หมอกขาว เป็นครู่ใหญ่ถึงปรับสายตาให้รวมศูนย์ได้

เขายังคงนั่งอยู่บนรถเข็น บนตัวสวมชุดสีเข้ม สองขามีผ้าขนสัตว์ผืนบางคลุมไว้ ด้านหลังเขามีพ่อบ้านหยวนติดตามอยู่…

ชุดท่อนบนของเขาหรูหรางดงาม เห็นได้ชัดว่าเป็นหนึ่งในเจ้านายของคฤหาสน์สกุลเนี่ย

ยามนั้นเองหน้าอกนางพลันปวดรัดขึ้นมา รู้สึก…ใจหายอยู่สักหน่อยอย่างอธิบายไม่ได้

“เจ้าเป็นใบ้ไปแล้วหรือ!”

“ข้า…” เสวียนจีได้สติกลับมาแล้วจึงรีบเก็บหนังสือลุกขึ้นยืน “บ่าวเสวียนจีเจ้าค่ะ” สองขายังอ่อนแรงอยู่เล็กน้อย ไม่อยากเชื่อ ไม่อยากเชื่อเลย!

“ใครอนุญาตให้เจ้าเสนอหน้าเข้ามา” เนี่ยเฟิงอวิ๋นถลึงตามองนาง แววตาเหมือนจะกินคน

“บ่าว…” เสวียนจีเหลือบมองพ่อบ้านหยวนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาอย่างรวดเร็ว ดวงตาอีกฝ่ายมองนางอย่างเย็นเยียบ เหมือนพลอยโมโหไปกับเนี่ยเฟิงอวิ๋นด้วย เดิมก็เป็นเขาบอกให้นางรออยู่ที่นี่มิใช่หรือไรกัน

“สวนซั่งกู่ไม่อนุญาตให้สตรีและคนแปลกหน้าเข้ามา เจ้าอาจหาญอะไรมาถึงได้กล้าเหยียบเข้ามาที่นี่” เขาหรี่ตาลงด้วยท่าทางดุร้าย มองดูนิยายปกน้ำเงินเล่มนั้นถูกนางถือไว้แนบอก อดจะเกิดโทสะขึ้นมาไม่ได้ “หนังสือของข้าให้สตรีมาทำสกปรกได้ที่ไหน เอาไปเผาแล้วไล่นางออกไปด้วย!”

เผาหนังสือ?!

นางตกใจ นี่เป็นพฤติกรรมของคนรักหนังสือเสียที่ไหน นางเห็นพ่อบ้านหยวนที่ด้านหลังเขาสาวเท้าเดินมาก็ก้าวถอยหลังโดยสัญชาตญาณ “พ่อบ้าน…” ดวงตาของพ่อบ้านหยวนเย็นชา ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก จ้องมองนางเหมือนมองคนแปลกหน้า

เขามีหน้าตาเหมือนพ่อบ้านหยวน ทว่า…นิสัยกลับมิได้เย็นนอกร้อนในอย่างพ่อบ้านหยวน

รู้ดีว่าอยู่ในคฤหาสน์ไม่มากความไม่มากคำจึงจะเป็นหนทางรักษาตัวรอด แต่ใครใช้ให้นางต้องมาเห็นหนังสือเล่มหนึ่งถูกเผาเป็นเถ้าต่อหน้าต่อตาเล่า…นั่นเหมือนเป็นการเฉือนหัวใจนางก็มิปาน

นางกอดหนังสือแน่นพลางหลบหลีกการเคลื่อนไหวจะแย่งหนังสือของพ่อบ้านหยวน ก่อนจะรีบร้อนคุกเข่าลง “หากนายน้อยไม่ต้องการหนังสือแล้วก็โปรดมอบให้เสวียนจีเถิดเจ้าค่ะ!”

“ให้เจ้า?” ดวงตาเขาเปี่ยมด้วยแววเหยียดหยาม “ต่อให้เป็นรองเท้าพังๆ ที่ข้าเคยใช้ เจ้าก็ยังไม่มีสิทธิ์ได้เก็บไปสะสม เผาหนังสือซะเจาเซิง!”

หยวนเจาเซิงจับปลายหนังสือไว้ นางร้อนใจ อยากจะปัดมือเขาออก แต่กลับเหมือนตบลงบนมีดดาบ ทั้งเจ็บทั้งแข็ง อยากจะต่อต้านกลับถูกเขาสะบัดดึง แขนขวาเหมือนใกล้จะเคลื่อนหลุดจากข้อต่อแล้ว เจ็บแทบตาย นางหอบหายใจ พยายามกอดหนังสือไว้สุดชีวิต เอาแข็งปะทะแข็งมีแต่จะทำให้ตนเองแย่กว่าเดิม ต่อให้นางใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดก็ไม่เห็นว่าจะเอาชนะแขนหนึ่งข้างของหยวนเจาเซิงได้

“เนี่ยเฟิงอวิ๋น…นี่คือเนี่ยเฟิงอวิ๋นที่เคยทำให้ร้านหนังสือเฟิงอวิ๋นมีชื่อเสียงดังสะท้านใต้หล้าอย่างนั้นหรือ คนที่เผาทำลายหนังสือได้ลงคอจะคู่ควรเป็นคนรักหนังสือได้อย่างไร!” นางร้องลั่นออกมา

เนี่ยเฟิงอวิ๋นได้ยินดังนี้ก็สะท้านเฮือก หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง “สาวใช้น่าตายอย่างเจ้ามาจากที่ไหน! ใครบอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้า!”

“ข้า…ข้า…” นางในสภาพทุลักทุเลสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของหยวนเจาเซิงชะงักลงก็หอบหายใจเบาๆ สองสามคำรบ “ข้า…เพียงแต่เดาเอา…”

“เดา?!” คำโกหกพรรค์นี้ไปพูดกับสุนัขเถอะ “เจ้าเดาเก่ง ทั้งยังเดาได้ตรงเผง ตอนนี้เจ้าลองเดาชื่อหนังสือนี้ดู ขอเพียงเจ้าบอกได้ หนังสือเล่มนี้จะเป็นของเจ้า เจ้านายอย่างข้าไม่นับว่าใจจืดใจดำกระมัง”

น้ำเสียงของเขาส่อเจตนาร้าย และยิ่งมีความยโสโอหังของผู้ที่อยู่เหนือกว่า เขาคิดว่าสาวใช้นางหนึ่งไม่น่าจะรู้หนังสืออย่างนั้นหรือ นี่ก็คือตัวตนแท้จริงของเขาหรือไร

เสวียนจีหลุบตาลงมองตัวอักษรสีดำที่เลื้อยตวัดอยู่บนปกหนังสือ ยี่สิบสองปีมานี้ชีวิตนางเต็มไปด้วยความผิดหวังและความสิ้นหวังที่ถาโถมมาไม่ขาดสาย จนกระทั่งตอนท้าย หลังจากนางมีโชคได้พบเนี่ยเฟิงอวิ๋น แม้แต่ความหวังเล็กๆ เพียงหนึ่งเดียวของนางก็สูญสลายไปเช่นกัน

เขาดีดนิ้ว “เจาเซิงเผาหนังสือซะ แล้วไปพาตัวซีเซิงมาด้วย ข้าต้องการให้เขาอธิบายเองว่าสาวใช้ของเขาเอาความกล้าจากไหนเหยียบย่างมาที่สวนซั่งกู่”

“นี่คือหรูอี้จวินจ้วนเจ้าค่ะ” เสวียนจีเงยหน้าขึ้นพูดออกมาทีละคำ ดวงตาดำขลับจ้องมองเขา “ตอนนี้ข้าขอมันได้แล้วหรือไม่เจ้าคะ”

ดวงตาเขาเบิกกว้างด้วยโทสะ เส้นเลือดดำปูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “เจ้ารู้หนังสือ?!”

“สตรีมิควรรู้หนังสือหรือเจ้าคะ” นางย้อนถาม แสดงอาการต่อต้านโดยไม่รู้ตัว

เขากำลังโมโห แขนกำลังสั่น นี่ถึงขีดจำกัดของเขาแล้วจริงๆ “สาวใช้น่าตายอย่างเจ้ากำลังหลอกข้าเล่นหรือ”

“เสวียนจีมิกล้า” นางถลึงมองเขากลับไป “ในเมื่ออยากได้หนังสือนี้ก็ย่อมต้องรู้จักอยู่บ้างเจ้าค่ะ เป็นนายน้อยเฟิงอวิ๋นละเลยจุดนี้ไป หรือว่าเป็นท่านคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงกันแน่?”

นาง…นี่นางกำลังเยาะเย้ยข้า?

ดวงตาเนี่ยเฟิงอวิ๋นแทบจะพ่นไฟออกมาแล้ว ถ้าเขาลุกขึ้นได้ ก้าวเดินได้ ไม่แน่คงได้ปราดไปบีบคอสาวใช้รนหาที่ตายนางนี้จนตายคามือนานแล้ว

“เสวียนจี…” นางยังไม่ทันพูดอะไรก็มีเสียงดังขึ้นจากไกลๆ

“นายน้อยสาม บ่าวหาท่านเจอเสียที!” หยวนซีเซิงลากหลินอันวิ่งมาอย่างทั้งร้อนใจทั้งดีใจ “ท่าน…ยังไม่ได้รับข้าวเช้า ไฉนจึงออกมาเสียแล้วเล่าขอรับ เอ๊ะ ฉินเสวียนจี เจ้าคุกเข่าอยู่ตรงนี้ทำไม เหตุใดมีสภาพเช่นนี้…เจ้า เจ้าเองก็ทำให้นายน้อยสามโมโหเช่นกันหรือ” ตายจริง! เขาปวดหัวยิ่งนัก ไม่ง่ายเลยกว่าจะจัดการกับหลินอันได้ สาวใช้แซ่ฉินนางนี้กลับหาเรื่องยุ่งยากมาให้เขาอีกคน สาวใช้สมควรตาย เขาสมควรตาย สวรรค์สมควรตาย ชั่วช้า! ทุกคนล้วนสมควรตาย มีเพียงนายน้อยสามที่ไม่สมควรตาย!

“นางเป็นคนที่เจ้าพามา?”

หยวนซีเซิงเหงื่อผุดเต็มศีรษะ ลอบโอดครวญเงียบๆ “เป็น…เป็นสาวใช้ที่บ่าวพามาขอรับ บ่าว…บ่าวคิดไม่ถึงว่านายน้อยสามจะออกมากะทันหัน…บ่าวเดิมคิดว่า…เดิมคิดว่า…หลายวันนี้ในคฤหาสน์มีงานทำความสะอาดครั้งใหญ่ บ่าวยุ่งจนไม่มีเวลา พอดีว่าสาวใช้นางนี้รู้หนังสือ บ่าวจึงคิดจะให้นางมาจัดห้องหนังสือจี๋กู่ บ่าวเดินผ่านที่นี่…เลยคิดจะเยี่ยมนายน้อยสามเสียหน่อย จึงได้ปล่อยนางไว้ตรงนี้ชั่วคราว…”

“เจ้าขวัญกล้าดีนี่ ถึงกับกล้าเอาหนังสือของข้าให้สาวใช้หน้าเหม็นนี่จัดการ?”

“บ่าว…บ่าว…”

“ถ้าหนังสือถูกลักถูกขโมยหรือถูกทำสกปรกเสียหาย เจ้า พ่อบ้านกระจอกๆ จะชดใช้ไหวหรือ”

“เรื่องนี้…เรื่องนี้…เสวียนจีทำงานดีทั้งยังซื่อสัตย์ บ่าวคิดว่าคงไม่มีปัญหา ใช่หรือไม่ ฉินเสวียนจี” เขาผลักนางที่คุกเข่าอยู่บนพื้นน้อยๆ เพื่อขอคำเห็นด้วย

“หนังสือของนายน้อยสามล้ำค่าราคาแพงเกินไป ถ้าเกิดปัญหาขึ้น เสวียนจีก็ชดใช้ไม่ไหว พ่อบ้านหยวนสู้ให้คนอื่นมาทำจะดีกว่า ข้าทำงานทำความสะอาดอย่างอื่นได้เจ้าค่ะ” หน้านางเบือนไปอีกทาง ท่าทีเย็นชา ในใจ…รู้สึกไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก

“เจ้า…เจ้า…” อะไรกัน ก่อนนี้นางพูดไม่มาก น่ารักว่าง่ายจนทำให้คนไม่รู้สึกถึงการดำรงอยู่ของนาง ให้นางไปซ้าย นางก็ไม่มีทางไปขวา ยามนี้ประเสริฐนัก จะโมโหใช้อารมณ์ก็ไม่ดูเวล่ำเวลา เจตนาปั่นหัวเขาที่เป็นพ่อบ้านใช่หรือไม่ เขาปั่นหัวได้ง่ายนักใช่หรือไม่ ถูกนายน้อยสามนายน้อยสี่ปั่นหัวทั้งวันยังไม่พอ แม้แต่นางที่เป็นแค่สาวใช้เล็กๆ ก็ยังมาผสมโรง เขาไปล่วงเกินใครเข้ากันแน่! ชั่วช้าจริง!

เนี่ยเฟิงอวิ๋นมองนาง ไม่โมโหแต่กลับยิ้ม “ใครบอกว่าหนังสือเหล่านั้นล้ำค่ากัน จะเผาสักตั้งก็ยังได้ ซีเซิง เจ้าพาสาวใช้นี่ไปจัดหนังสือ อย่าให้ข้าจับได้ล่ะว่านางแอบอู้ เจ้าก็รู้ว่าข้าเกลียดบ่าวไพร่ที่เกียจคร้านมาแต่ไหนแต่ไร เอาอย่างนี้ดีกว่า ถ้าครึ่งวันนางยังจัดหนังสือได้ไม่ถึงสองตู้ก็ไม่อนุญาตให้พักกินข้าว เจ้าว่าวิธีลงโทษนี้ของข้ายุติธรรมหรือไม่”

“นายน้อย…” หยวนซีเซิงกัดฟันอยากจะเสนอแนะอะไร แต่กลับถูกถลึงตาใส่ จึงได้แต่เออออตอบรับ “นายน้อยยุติธรรม ยุติธรรมแน่นอนขอรับ!” ที่นี่ยังมีเรื่องใดยุติธรรมไปกว่านายน้อยอีกหรือ ถือเสียว่าสาวใช้นางนี้โชคร้ายก็แล้วกัน อารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอยของนายน้อยสามนั้นเห็นกันจนชินแล้ว วันไหนไม่ระเบิดโทสะ วันนั้นคงได้มีฝนตกฟ้ารั่ว คงต้องจุดประทัดฉลองแล้วจริงๆ

เขาถอนหายใจ รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าเส้นผมดำได้บอกลาเขาไปอีกไม่น้อย เขากับเจาเซิงเป็นพี่น้องฝาแฝด ได้คฤหาสน์สกุลเนี่ยรับมาเลี้ยงพร้อมกันตั้งแต่เด็ก เจาเซิงถูกส่งไปทำงานข้างกายนายน้อยสาม ส่วนเขาก็ก้าวมาทำงานในตำแหน่งพ่อบ้าน เจาเซิงเป็นพี่ เขาเป็นน้อง แต่ไม่เห็นเจาเซิงจะช่วยพูดแทนเขาสักคำ

พี่ชายที่สมควรตาย

เขาหันมามองเสวียนจีปราดหนึ่งด้วยความคับแค้นเต็มอกก่อนกระซิบบอก “เจ้าไปรอข้าข้างนอกไป ข้ายังมีเรื่องต้องเรียนนายน้อยสามอีก เอ๊ะ หนังสือในมือเจ้าเป็นของนายน้อยสามนี่”

“เป็นของเสวียนจีเจ้าค่ะ” นางพูดชัดถ้อยชัดคำ ทำให้หยวนซีเซิงเบิกตาโต ส่วนเนี่ยเฟิงอวิ๋นก็เม้มปากไม่เอ่ยอะไรสักคำ ทว่าใบหน้าที่เครียดขมึงได้แสดงให้รู้ถึงความขุ่นเคืองของเขาแล้ว

นางลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงน ยอบตัวคารวะเนี่ยเฟิงอวิ๋นแล้วจะเดินจากไป ขณะเดินผ่านเขาก็เห็นใบหน้าด้านข้างของเขาดูเย็นเยียบมีเจตนาร้าย เหมือนเป็นตัวละครที่น่าชังที่สุดในหนังสือ

น่าชังหรือ นางชังใครก็ได้ทั้งนั้น ยกเว้นแต่เขาที่ชังไม่ลง หลังได้เห็นแวบแรกก็รู้สึกตกตะลึง ไม่อยากเชื่อ จากนั้นก็รู้สึกเห็นใจ เนี่ยเฟิงอวิ๋นที่เคยองอาจกระฉับกระเฉง นายน้อยสามแห่งสกุลเนี่ยที่เคยเก่งกล้าสามารถทั้งบุ๋นทั้งบู๊ทั้งการเจรจาการค้า กลายมามีสภาพเช่นนี้…หลังจากตกตะลึงและเศร้าใจแล้วก็มีเพียงความเห็นใจเท่านั้นจริงๆ

เห็นใจบุรุษที่นางเคยเลื่อมใสชื่นชมผู้นี้…ถ้ามิใช่ความเห็นใจจะยังมีคำใดสามารถอธิบายความรู้สึกเจ็บปวดทรมานปานมีดเฉือนหัวใจของนางได้อีก…

บทที่ 2

จุดจบของการออกหน้าลองดีเพื่อหนังสือเล่มหนึ่งคือต้องแลกมาด้วยท้องที่ว่างเปล่า

หน้าต่างของห้องหนังสือจี๋กู่เปิดแง้มไว้ครึ่งหนึ่ง สายลมเย็นยามบ่ายโชยเข้ามาเบาๆ พัดเปิดหน้าหนังสือบนโต๊ะไปสองสามหน้า นางนั่งอยู่กลางทะเลหนังสือ จัดขึ้นตู้หนังสือทีละเล่ม บางครั้งขณะแยกประเภทก็อ่านไปหลายบรรทัดจนเพลิน นั่งพลิกอ่านไปทีละหน้าอยู่ตรงนั้น ด้วยเหตุนี้งานจึงคืบหน้าไปไม่มาก ตลอดทั้งเช้าเพิ่งจัดเก็บหนังสือประเภทเดียวกันไปได้ราวสิบเล่ม ทำงานช้าเป็นเต่า แต่ริมฝีปากกลับมีรอยยิ้มพึงพอใจอย่างหาได้ยาก

นางม้วนแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นเรียวแขนขาวครึ่งหนึ่ง หลังวางหนังสือเข้าตู้ได้อีกเล่มก็หยุดงานลง “การแพทย์ การเกษตร พงศาวดาร นิยาย บทละคร…” นางยกมือขึ้นลูบไล้หนังสือที่วางอยู่รอบๆ อย่างห้ามตนเองไม่ได้

ขอเพียงได้จับได้คลำ ในใจก็เปี่ยมด้วยความรู้สึกตื้นตัน อารมณ์อันสงบราบเรียบในใจก็เริ่มหลุดการควบคุม เกิดคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก ยากนักที่จะมีสภาพอารมณ์เช่นนี้ รู้สึกเหมือนว่าได้เกิดใหม่อีกชาติเลยทีเดียว “บันทึกหอตะวันตก ตู้สือเหนียงโมโหโยนหีบสมบัติลงน้ำ บันทึกกระต่ายขาว…” นางหรี่ตายิ้มปริ่มพลางประคองหนังสือขึ้นมาเปิดดู จึงได้สังเกตเห็นว่าข้างใต้มีหนังสือที่งามประณีตหรูหราถูกทับอยู่ รอยยิ้มนางหายไปอย่างรวดเร็ว ชื่อหนังสือที่พิมพ์อยู่ด้านบนดูคุ้นเคยจนชวนหงุดหงิด นางเบนสายตาออก เก็บบันทึกกระต่ายขาวขึ้นตู้

“มีคนหรือ น่าแปลกนัก เจ้าเป็นใคร” เสียงใสกังวานดังลอยมาจากหน้าต่าง คนตรงหน้ารออยู่ครู่หนึ่งยังไม่ได้ยินเสียงตอบรับก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะแล่นมาหน้าประตูและใช้เท้าหนึ่งถีบเปิด

เสียงถีบประตูดังกังวานเรียกความสนใจของเสวียนจี นางเงยหน้าขึ้นมองเห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเดินอาดๆ เข้ามา

“ข้าถามเจ้าอยู่นะ เจ้าหูหนวกหรือเป็นใบ้ จึงไม่รู้จักแม้แต่จะขานรับสักเสียง” เด็กหนุ่มผู้นั้นพูดอย่างไม่พอใจ

“บ่าว…เสวียนจี…” นางไม่ใคร่พอใจอยู่บ้างที่มีคนรบกวนเวลาแสนสุขนี้ แต่ยังคงยืนขึ้นมายอบตัวคารวะ

“อ้าว! เจ้าก็ไม่ได้เป็นใบ้นี่” เพลิงโทสะของเด็กหนุ่มดับลงอย่างรวดเร็ว อารมณ์เขาเรียบง่ายไม่ซับซ้อนมาแต่ไหนแต่ไร เจอเรื่องน่าโมโหก็มักลืมได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป* เสมอ

เขาก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง ครั้นเตะถูกหนังสือเต็มพื้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอีก “หนังสือเหล่านี้ควรต้องจัดนานแล้ว พ่อบ้านหยวนมัวไปตายอยู่ที่ใด”

“พ่อบ้านหยวนสั่งให้บ่าวมาจัดหนังสือในห้องหนังสือเจ้าค่ะ”

“หืม?” ใบหน้าหล่อเหลาเกินเหตุของเขาแสดงความประหลาดใจเกินจริง “เขาบอกให้เจ้ามาทำหรือ เจ้ารู้จักหนังสือพวกนี้ด้วยหรือไร” เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนพลันเกิดความสงสัยขึ้นมา “บรรดาสาวใช้ทั่วทั้งคฤหาสน์ ข้าล้วนเคยเห็นมาหมดแล้ว แต่ไฉนจึงไม่เคยเห็นเจ้าเลย”

“บ่าวเป็นสาวใช้มาใหม่ นายน้อยย่อมมิเคยเห็นเป็นธรรมดาเจ้าค่ะ”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง…” ดวงตาเขามองขึ้นมองลง พลันแสยะยิ้มชั่วร้าย ก้าวข้ามไปข้ามมาในทะเลหนังสือ ยื่นมือผลักหนังสือลงจากโต๊ะก่อนกระโดดขึ้นไปนั่งตรงที่ว่าง “เจ้ามองออกได้อย่างไรว่าข้าเป็นนายน้อย”

เสวียนจีหลุบสายตาลง จ้องมองหนังสือที่ถูกเขาปัดหล่นเหล่านี้อย่างปวดใจอยู่บ้าง เมื่อครู่ที่ออกหน้าลองดีในสวนซั่งกู่ก็นึกเสียใจอยู่แล้ว ยามนี้จึงไม่กล้าออกหน้าทำอะไรเพื่อหนังสือเหล่านี้อีก

“นายน้อยมีลักษณะของคนตระกูลสูงศักดิ์มั่งคั่งโดยธรรมชาติ ไม่ว่าใครก็สามารถมองออกได้ว่าท่านเป็นนายน้อยของคฤหาสน์เจ้าค่ะ”

ในคฤหาสน์สกุลเนี่ยมีคนเพียงสองประเภท หนึ่งคือเจ้านาย อีกหนึ่งคือบ่าวรับใช้ แล้วเสื้อผ้าเขาก็ดูหรูหรางดงาม งานปักประณีตบรรจง วัสดุคุณภาพชั้นเลิศ ผู้ที่สวมใส่เช่นนี้ได้อีกทั้งยังกล้าปัดหนังสือลงพื้นในห้องหนังสือเกรงว่าจะมีเพียงเจ้านายในคฤหาสน์แล้ว

“เจ้าช่างรู้จักพูดนัก” เขายกมือคลำตรงเอวตนเอง กลับพบว่าขณะออกมาลืมพกพัดมาด้วย จึงหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาพัดเอาลม “เจ้าทายดูซิว่าข้าคือนายน้อยคนใด ทายถูกมีรางวัล”

นางช้อนตาขึ้นมองอย่างรวดเร็วก่อนยอบตัว “เช่นนั้นเสวียนจีต้องขอบคุณนายน้อยสิบสองแล้วเจ้าค่ะ”

เมื่อได้ยินดังนี้ หนังสือก็พลันตกจากมือของเนี่ยหยวนเฉี่ยวทันที ก่อนที่เขาจะถลึงมองนางด้วยสีหน้าตะลึงงัน “เจ้า…เจ้ารู้ได้อย่างไร เจ้าเคยเห็นข้า?”

นางส่ายหน้า “ไม่เคยเจ้าค่ะ แต่เคยได้ยินสาวใช้คนอื่นในคฤหาสน์พูดกันว่าเจ้านายของพวกเรามีทั้งหมดสิบสองท่าน ท่านที่อายุน้อยที่สุดเพิ่งจะสิบหกสิบเจ็ดปี และก็เป็นท่านที่หล่อเหลาร่าเริงที่สุดด้วย”

“เจ้าเคยเห็นพี่ชายคนอื่นของข้าแล้วหรือ” เขาถามด้วยความสงสัย

“เคยเห็นเพียงสองท่านเจ้าค่ะ”

“ฮึ เช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าคือคนที่รูปโฉมน่ามองที่สุด” เขากระโดดลงจากโต๊ะ เหยียบลงบนหนังสือที่ถูกเขาทำร่วงเล่มนั้น ปกหนังสืองามประณีตหรูหราดูคุ้นตายิ่ง เป็น ‘คันฉ่องส่องบาป’ ที่ก่อนหน้านี้ถูกทับอยู่ใต้บันทึกกระต่ายขาว

“ไฉนพ่อบ้านหยวนถึงส่งเจ้ามาจัดหนังสือได้ ช่างน่าสนใจนัก” ลูกตาเนี่ยหยวนเฉี่ยวกลอกไปมาเล็กน้อยก่อนกระโดดมาถึงข้างนาง อายุเขายังน้อย ส่วนสูงกลับเท่ากับนาง เขาประเมินมองนางขึ้นลงรอบหนึ่งถึงค่อยว่า “เท่าที่ข้ารู้ ในห้องหนังสือของพี่สามมีหนังสืออยู่อย่างน้อยเป็นเจ็ดแปดหมื่นเล่ม แค่มองก็ทำเจ้าเหนื่อยตายแล้ว กว่าจะจัดพวกมันเสร็จเกรงว่าคงต้องใช้เวลาหลายปี ว่าแต่เจ้าชื่อว่าเสวียนจี?”

“เจ้าค่ะ”

“ไพเราะยิ่งนัก” เขาโน้มตัวลงน้อยๆ มองดูใบหน้าแสนธรรมดาของนาง “เจ้าเงยหน้าขึ้นมามองข้าซิ”

นางเงยหน้าขึ้นตามคำสั่ง ดวงตาหลุบอยู่ครึ่งๆ ไม่อาจปะทะกับใบหน้าหล่อเหลาของเขาได้

เขาขยิบตาให้นางอย่างหยอกเย้า นางมองเขา ไม่รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร

“เจ้าไม่หน้าแดง?!” ในใจเขาให้ยินดีนัก ในคฤหาสน์เหล่าสาวใช้พอได้เห็นเขามักเอาแต่หน้าแดง ทำท่าบิดไปบิดมา พูดจาก็อิดๆ เอื้อนๆ ทำเอาเขารำคาญเหลือกำลัง แต่สาวใช้นางนี้ดูคล้ายจะแตกต่างออกไป

“ดี!” เขาพลันจับมือนาง ยิ้มพลางพูดอย่างคึกคัก “ข้าถูกใจเจ้าแล้ว ต่อไปเจ้ามาปรนนิบัติข้าคนเดียว ไม่ต้องยุ่งกับหนังสือเหล่านี้แล้ว เดี๋ยวข้าจะให้พ่อบ้านหยวนมาจัดการเอง”

คิ้วเรียวงามดุจใบหลิวของเสวียนจีเริ่มขมวดมุ่น ที่เขาจับอยู่คือข้อมือขวาที่ครู่ก่อนหยวนเจาเซิงออกแรงสะบัด นางเจ็บยิ่งและก็ไม่ชอบใจยิ่ง ทว่าก็ฝืนใจอดทน ดึงดันชักมือของตนกลับมา “นายน้อยสิบสอง เสวียนจีทำงานตามคำสั่งของพ่อบ้านหยวน หากท่านต้องการให้บ่าวไปรับใช้ก็ต้องผ่านความเห็นชอบจากพ่อบ้านหยวนก่อนเจ้าค่ะ”

“เอ๊ะ? ตั้งแต่เมื่อไรที่ในคฤหาสน์สกุลเนี่ยกลายเป็นเขาใหญ่ที่สุด” เนี่ยหยวนเฉี่ยวหรี่ดวงตางาม โตมาจนป่านนี้เพิ่งเคยได้เจอสตรีที่ไม่ใจเต้นหน้าแดงเพราะเขาเป็นครั้งแรก ชักดึงดูดความสนใจของเขาขึ้นมาแล้ว แต่ก็ทำศักดิ์ศรีของเขาเสียหายอยู่เล็กๆ เช่นกัน

“สาวใช้เสวียนจี ถ้าเจ้าตามข้ากลับไปแล้วปรนนิบัติรับใช้จนข้าพอใจได้ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะรับเจ้าเป็นอนุ เจ้าว่าข้อแลกเปลี่ยนนี้ดียิ่งใช่หรือไม่” เขากล่าวถ้อยคำใหญ่โตอย่างปราศจากข้อกริ่งเกรง ไม่เชื่อหรอกว่าสาวใช้นางนี้จะไม่หวั่นไหว

นางกลัดกลุ้มหงุดหงิดจนออกมาทางสีหน้า กำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธก็พลันมีเสียงที่คุ้นหูทั้งยังชวนให้ปวดใจดังมาจากนอกประตู

“คิดจะรับอนุ สู้สร้างเนื้อสร้างตัวก่อนจะดีกว่ากระมัง เจ้าบอกมาซิว่าเมื่อไรเจ้าถึงจะทำงานทำการให้ข้าดู” เสียงทุ้มต่ำที่เปลี่ยนจากมีโทสะคุกรุ่นกลายเป็นเย็นเยียบดังมาจากหน้าประตู ไม่ต้องหันกลับไปมอง หนังศีรษะเนี่ยหยวนเฉี่ยวก็ชาขึ้นมาเองแล้ว

แย่แล้ว!

เขาหมุนตัวไปด้วยท่าทางไม่เป็นธรรมชาติ “พี่สาม…”

“เจ้ายังอุตส่าห์จำได้อีกหรือว่าเจ้ามีพี่สามอยู่ด้วย ข้านึกว่าเจ้าสนใจแต่จะเกี้ยวพาสตรีจนแม้แต่ข้าเป็นใครเจ้าก็ลืมไปแล้ว”

เนี่ยหยวนเฉี่ยวหัวเราะแห้งๆ สองทีก่อนรีบชี้แจง “พี่สาม ข้ามิได้เกี้ยวพานาง เพียงแต่เห็นว่าในห้องหนังสือของพี่สามมีคนจึงได้เข้ามาดู” ถ้ารู้ก่อนว่าวันนี้พี่สามมาห้องหนังสือ ตีให้ตายเขาก็ไม่มาเด็ดขาด

“เจ้าไม่เคยชอบเข้าห้องหนังสือ เช่นนั้นเป็นลมอะไรหอบเด็กอย่างเจ้าเข้ามาล่ะ”

เนี่ยหยวนเฉี่ยวกระแอมไอ “ข้า…ข้ามายืมหนังสือ”

“ยืมหนังสือ? สื่อจี้ หลุนอวี่ ต้าเสวีย จงยง เจ้าจะยืมเล่มไหน”

“ข้า…” เขากระแอมไออีกครั้งก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าอยากยืมเล่มที่ชื่อว่า…คันฉ่องบาปอะไรสักอย่าง…”

“คันฉ่องส่องบาป? แม้แต่สื่อจี้เจ้ายังอ่านไม่จบ กลับคิดจะอ่านนิยายพรรค์นี้? เป็นพวกกเฬวรากเหล่านั้นใช้ให้เจ้าอ่านอีกแล้วหรือไร” เขาพูดด้วยโทสะ พอเห็นท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของน้องชายเมื่อเขาพูดเรื่องจริงแล้ว สีหน้าก็พลันเข้มขึ้นกว่าเดิม

“พี่…พี่สาม นั่นมิใช่หนังสือนอกลู่นอกทางอะไร ตอนนี้ตามตรอกตามถนนขอเพียงเป็นคนรู้หนังสือล้วนเคยอ่านคันฉ่องอะไรนั่นทั้งนั้น สกุลเนี่ยของเราก็เป็นพ่อค้าหนังสือ มีเหตุผลอะไรที่คนอื่นอ่านแล้ว แต่คนในบ้านกลับไม่เคยแม้แต่จะได้เห็นสักแวบ ถูกต้องหรือไม่”

“เจ้าก็รู้นี่ว่าสกุลเนี่ยเป็นพ่อค้าหนังสือ หลุนอวี่ สื้อจี้ก็มีตีพิมพ์ อีกเดี๋ยวข้าจะให้เจาเซิงส่งทั้งสองเล่มไปให้”

เนี่ยหยวนเฉี่ยวได้ยินดังนั้น แม้อยากจะชักสีหน้าก็ยังไม่กล้า คิดอยากจะแอบหนีออกจากห้องหนังสือ แต่หน้าประตูก็ดันมีพี่สามขวางอยู่ วันนี้นับว่าพ่ายแพ้อยู่ในเงื้อมมือพี่สามจริงๆ เขาฟ้าไม่กลัวดินไม่กลัวมาแต่ไหนแต่ไร จะกลัวก็แต่พี่สามที่ขาพิการในไม่กี่ปีมานี้ อีกฝ่ายอารมณ์ฉุนเฉียวซ้ำวาจายังใจจืดใจดำ น้อยคนนักที่สามารถทนรับการปฏิบัติอย่างโหดร้ายจากพี่สามได้

เนี่ยเฟิงอวิ๋นแค่นเสียงเบาๆ ในครรลองสายตานอกจากหยวนเฉี่ยวที่หวาดกลัวตัวสั่นแล้วยังมีสาวใช้นางนั้นอีกคน

นางดูเหมือนอ่อนน้อมเชื่อฟัง ถ้ามิได้เห็นการแข็งข้อต่อต้านขณะอยู่ในสวนซั่งกู่ก่อนหน้านี้ เขาคงได้ถูกลักษณะภายนอกที่ไม่สะดุดตาของนางหลอกเข้าแล้วจริงๆ

“เจ้ามีอะไรอยากพูดหรือไม่”

“ข้า…ข้าไม่มี…” เนี่ยหยวนเฉี่ยวรีบโบกมือ

“ใครถามเจ้า สาวใช้น่าตายนี่ ข้าเห็นเจ้าทำท่าจะพูดก็ไม่พูด เจ้ามีอะไรอยากพูดเกี่ยวกับคันฉ่องส่องบาปหรือไร”

ทำท่าจะพูดก็ไม่พูดหรือ นี่เขามาหาเรื่องกันชัดๆ! เขาไม่ใช่เนี่ยเฟิงอวิ๋นในความคิดนางอีกแล้ว บุรุษเช่นนี้ชวนให้คนหน่ายนัก นางมีอะไรดึงดูดความสนใจของเขาได้กันนะ

“นั่นเป็นแค่หนังสือลามกเท่านั้น” นางพูดเสียงเบาแต่ชัดเจน

เนี่ยหยวนเฉี่ยวยังไม่ทันแม้แต่จะสูดหายใจก็ได้ยินเนี่ยเฟิงอวิ๋นกรรโชกถามด้วยน้ำเสียงปานพายุพัด “เจ้าพูดอีกครั้ง!”

“นั่นเป็นแค่…”

“เสวียนจี!” เนี่ยหยวนเฉี่ยวตวาดห้ามนางพูดต่อ สาวใช้ปัญญาอ่อนนางนี้ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไร “เจ้านี่ชอบพูดอะไรไม่รู้กาลเทศะจริงๆ ไปไป๊! อย่ามาเกะกะพี่สามอ่านหนังสืออยู่ในนี้!”

“เจ้ากลับไปคนเดียว” คิ้วดาบพาดเฉียงของเนี่ยเฟิงอวิ๋นยกโค้ง เป็นลางบอกว่าพายุกำลังจะมา

“หา? นาง…นางเป็นแค่สาวใช้ตัวเล็กๆ เท่านั้น…พี่สาม สาวใช้อย่างนางจะรู้อะไรเท่าไรเชียว นางมิได้เจตนาด่าหนังสือเล่มนั้น…”

“เจ้าคิดจะอยู่อ่านหนังสือต่อที่นี่ใช่หรือไม่”

“ไม่ๆๆๆ” เนี่ยหยวนเฉี่ยวพูดอย่างลำบากใจ “พี่สามต้องการให้นางอยู่ เช่นนั้น…นางก็อยู่แล้วกัน ข้าไปล่ะ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้…” เสวียนจีที่น่าสงสาร มิใช่ว่านายน้อยสิบสองไม่ช่วยเจ้า แต่เขาเองก็ยังแทบเอาตัวไม่รอด

เนี่ยหยวนเฉี่ยวก้มหน้าเดินดุ่มๆ ผ่านไป ไม่กล้ามองเนี่ยเฟิงอวิ๋นด้วยกลัวจะถูกจับกลับมาในเสี้ยวเวลาสุดท้าย

“เจ้าเก็บหนังสือเสร็จเรียบร้อยหรือยัง” เนี่ยเฟิงอวิ๋นยิ้ม เป็นยิ้มที่ชวนให้คนโมโห เห็นอยู่ตำตาว่ายังเก็บได้ไม่เต็มหนึ่งตู้ นี่เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบชัดๆ แต่ก็เพราะว่าเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เขาถึงได้ถามออกมา

กล่าวอีกอย่างคือเขามาหาเรื่อง เสวียนจีถอนหายใจ ความสุขที่ได้อ่านหนังสือก่อนหน้านี้ถูกบุรุษผู้นี้ทำให้หายไปในชั่วพริบตา

เสวียนจีเคยนึกคิดว่าเมื่อได้พบเนี่ยเฟิงอวิ๋นที่ทำให้นางชื่นชมเลื่อมใสมาหลายปี ในใจนางจะรู้สึกอย่างไร จะดีใจหรือเสียใจ จะประหม่าหรือทำอะไรไม่ถูก เคยคาดการณ์ความรู้สึกสารพัดสารเพมาแล้ว แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่านางจะโมโห

ทั้งโมโห…ทั้งผิดหวัง!

บุรุษเช่นนี้ควรค่าให้นางชื่นชมเลื่อมใสได้อย่างไรกัน

“ดูสิว่าข้าเห็นอะไร หนังสือวางกระจัดกระจายเต็มห้อง” น้ำเสียงเขานุ่มนวลแผ่วเบาเกินคาด แม้จะอมยิ้ม แต่กลับทำให้คนรู้สึกถึงความเยียบเย็นอึมครึมอันน่าขนลุกขนพอง “แลกเปลี่ยนคำหวานกับนายน้อยสิบสองสนุกมากอย่างนั้นหรือ”

นางกัดฟัน ในใจบิดเป็นเกลียว “เสวียนจีมิกล้า”

“มิกล้า? เจ้ากำลังปากว่าตาขยิบ มือเจ้ากำหมัด โมโหจนตัวสั่นแล้ว ข้ามองไม่ออกจริงๆ ว่าเจ้ามีอะไรไม่กล้า” เขากำลังยั่วยุ และนางก็หลงกลแล้ว

เสวียนจีเห็นหมัดของตนกำแน่นอยู่จริงๆ ในใจก็มีความเดือดดาลโถมขึ้นมา นางควรอดทน ควรใช้ชีวิตให้ผ่านสามปีของสัญญาขายตัวอย่างสงบเงียบเหมือนสาวใช้ที่เจียมตัวผู้หนึ่ง ที่แล้วมานางมิใช่ทำตัวเช่นนี้หรือ เห็นอะไรก็ทำเป็นไม่เห็น ได้ยินก็ทำเป็นไม่ได้ยิน ทำสมองหัวใจตนเองให้ด้านชา ขอเพียงก้มหน้าก้มตาอยู่ในกองหนังสือก็สามารถหาความสุขจากในหนังสือได้ แต่ตอนนี้…

เสียงตะคอกด้วยโทสะรุนแรงพลันเรียกสตินางกลับมา นางมองตามสายตาเนี่ยเฟิงอวิ๋นไปก็เห็นคันฉ่องส่องบาปที่ก่อนหน้านี้ถูกเนี่ยหยวนเฉี่ยวเหยียบจนสกปรก

“เจ้าทำงานได้ดีนัก!” เขาแผดเสียงคำราม แทบจะทำหลังคาสะเทือนจนราวกับกำลังจะถล่มลงมา

“นั่นมิใช่ข้าทำเจ้าค่ะ” หูนางยังคงชา

“มิใช่เจ้า? ในห้องนี้ยังมีใครอีก!” เขาตวาด รับหนังสือคันฉ่องส่องบาปที่เย็บสันด้วยด้ายเล่มนั้นมาจากมือหยวนเจาเซิง หัวใจเขากำลังปวด หนังสือแต่ละเล่มในห้องหนังสือจี๋กู่เขาล้วนรู้สึกผูกพันอย่างลึกซึ้งทั้งสิ้น นับประสาอะไรกับคันฉ่องส่องบาปฉบับสะสมเล่มนี้ สาวใช้ที่สมควรตายนี่!

“นายน้อยสามควรทราบว่าเมื่อครู่ภายในห้องนี้หาได้มีข้าเพียงคนเดียวไม่” นางเองก็เดือดก็โมโหแล้วเช่นกัน

“เจ้าคิดจะโยนความผิดให้หยวนเฉี่ยว? ช่างขวัญกล้ายิ่งนัก!”

“นายน้อยสิบสองมิใช่คนรักหนังสือเจ้าค่ะ” นางพูดโพล่งออกมา

“หมายความว่าเจ้ารักหนังสือ?” เนี่ยเฟิงอวิ๋นยังทำหน้านิ่วเช่นเดิม แต่ร่างที่เดิมโมโหจนสั่นเทิ้มได้ค่อยๆ สงบลงแล้ว คำพูดนางแทงทะลุความคิดที่หลงทางไปเพราะอารมณ์โกรธ ทำให้เขามองเห็นเรื่องจริงที่อยู่ตรงหน้า

นางพูดมิผิด หยวนเฉี่ยวเห็นหนังสือเป็นดั่งมูลดินไร้ค่า หากว่าจากพฤติกรรมของเขาแล้วก็เป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องทำนองนี้จริงๆ

นางถอนหายใจ “หากนายน้อยสามไม่เชื่อก็นำรอยเท้าบนหนังสือมาเทียบดูได้เจ้าค่ะ เช่นนี้ก็สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเสวียนจีได้แล้ว”

เนี่ยเฟิงอวิ๋นหรี่ตา “เจ้าฉลาดนักนะ” ไม่ตกใจไม่ลนลานไม่หวาดกลัว ไม่มีท่าทีท้อถอย มีเพียงสมองที่แจ่มชัด แต่นางกลับเป็นสตรี

สตรีนางหนึ่งมีสิ่งเหล่านี้ก็เกินพอแล้ว และยังจะถูกคนริษยาเอาด้วย

เขาหลุบขนตาหนาลง ลูบไล้หนังสือคันฉ่องส่องบาปที่เขาตีพิมพ์เบาๆ กระดาษห่อปกเป็นกระดาษเซวียนเต๋อ* ที่เรียบหรูราคาแพง ชื่อหนังสือเขาเป็นคนเขียน ทั่วทั้งใต้หล้านี้มีเพียงชื่อของหนังสือเล่มนี้ที่เขาจรดพู่กันเขียนด้วยตนเอง

ไม่ต้องเปิดดูก็รู้ว่าในหนังสือสอดกระดาษบันทึกข้อความที่ทำด้วยกระดาษเกาลี่** ไว้แผ่นหนึ่ง บนนั้นเขียนไว้ว่าผู้แต่งคือผู้ใด เป็นนามพู่กัน และก็เป็นกระดาษแผ่นเดียวที่แนบมาในต้นฉบับที่หลิ่วหมินนำมาให้ในตอนแรก

กระดาษที่ร้านหนังสือเฟิงอวิ๋นทำออกจำหน่ายโดยเพิ่มความประณีตเข้าไปมีกระดาษเซวียเทาและกระดาษเซวียนเต๋อที่มีกลิ่นหอม ร้านหนังสือเฟิงอวิ๋นผลิตกระดาษที่งามหรูหราและมีกลิ่นหอมออกมาหลากหลายแบบ แต่มิมีแบบใดที่เหมือนกระดาษนี้ จึงยากที่จะอาศัยกระดาษตามหาผู้แต่งเรื่องคันฉ่องส่องบาป…

“เจ้าเคยอ่านหนังสือเรื่องนี้?” เนี่ยเฟิงอวิ๋นพลันเปลี่ยนเรื่องพูด

“เสวียนจีเคยอ่านรอบหนึ่ง จำเนื้อหาไม่ค่อยได้แล้วเจ้าค่ะ” นางตอบคลุมเครือ

“เจ้าว่ามันเป็นหนังสือลามกหรือ”

นางมองเขาแวบหนึ่ง ดูท่าทางเขาไม่ได้ดุร้ายเช่นเมื่อครู่แล้ว จึงพึมพำลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนกล่าวอย่างระมัดระวัง “อันที่จริงบอกว่าเป็นหนังสือลามกก็มิมีอันใดไม่เหมาะสมเจ้าค่ะ ในสายตาข้า ข้อคิดเพียงหนึ่งเดียวของมันก็แค่ใช้เรื่องกงเกวียนกำเกวียนมาเตือนสติผู้คนว่าอย่ากระทำความชั่ว”

“อ้อ?” เขาตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ “ข้านึกว่าในยุคนี้ขอเพียงเป็นผู้รู้หนังสือก็ล้วนเห็นว่าเรื่องคันฉ่องส่องบาปเป็นนิยายที่ดีที่สุดเสียอีก ในเมื่อเจ้ามีข้อติเตียนต่อมัน ข้าก็อยากฟังดูว่าหนังสือที่ดีในความคิดเห็นของเจ้าเป็นหนังสือเช่นไร”

กลิ่นอายดุร้ายเหี้ยมเกรียมของเขาหายไปแล้ว แม้ใบหน้าจะยังเย็นชาแข็งขึงอยู่บ้าง แต่ก็คล้ายว่ากลับมามีท่าทางเหมือนตอนที่นางเคยได้เห็นตัวจริงของเขาเมื่อนานมาแล้ว

นางแย้มยิ้มออกมา “ข้าชอบอ่านนิยายแนวความรักบริสุทธิ์เช่นเรื่องบุพเพอลวนสองคนงามและเรื่องตำนานคู่สร้างคู่สม นิยายคาวโลกีย์ข้าอ่านน้อยนักเจ้าค่ะ”

“ความชมชอบของเจ้ากลับแตกต่างจากคนอื่นๆ” ดูเหมือนนางเคยอ่านหนังสือมาไม่น้อยทีเดียว ในคฤหาสน์สกุลเนี่ยหาคนที่สามารถคุยเรื่องหนังสือด้วยได้น้อยมากแล้ว เจาเซิงซื่อสัตย์ภักดี แต่เป็นคนพูดน้อย ในหมู่พี่น้องไม่กี่คนที่ยังอยู่ในคฤหาสน์ก็มีเพียงมี่หยางที่มีความรู้ค่อนข้างมาก ทว่านับตั้งแต่อีกฝ่ายรับหน้าที่ดูแลร้านหนังสือเฟิงอวิ๋นแทนตน แม้จะพอมีโอกาสได้พูดคุย แต่ส่วนใหญ่ล้วนคุยกันเรื่องดูแลจัดการร้านหนังสือ

สาวใช้นางนี้…

เขาหรี่ตา “เจ้าชื่อว่าอะไรนะ”

“ฉินเสวียนจีเจ้าค่ะ”

“ฉินเสวียนจี?” ชื่อนี้ไม่เหมือนชื่อที่ครอบครัวชนบททั่วไปจะตั้งได้

“เจ้าค่ะ ชื่อของเสวียนจีมาจากภาพกลอนเสวียนจีที่กวีหญิงซูฮุ่ยแห่งแคว้นเฉียนฉินในสมัยจิ้นตะวันออกปักขึ้น”

ในภาพกลอนเสวียนจีมีอักษรทั้งหมดแปดร้อยสี่สิบเอ็ดตัว สามารถอ่านเป็นกลอนได้ทั้งแนวตั้ง แนวนอน แนวทแยง และแม้แต่กลับหัวกลับหาง ‘กลับไปกลับมาย่อมเป็นถ้อยความ มิใช่ผู้รู้ใจมิมีใครสามารถเข้าใจ’ ซูฮุ่ยเคยยิ้มพลางกล่าวไว้เช่นนี้

ตัวของฉินเสวียนจีเองก็เหมือนเป็นปริศนาเช่นเดียวกับภาพกลอนเสวียนจี รู้หนังสือรู้อักษร ทั้งยังไม่กลัวคน ครู่ก่อนยังมีท่าทางห่อเหี่ยว ครู่ถัดมากลับใจกล้าด่าว่าเรื่องคันฉ่องส่องบาปเป็นหนังสือลามกแล้ว เช่นนั้นอาการกลับไปกลับมาเอาแน่เอานอนไม่ได้ของนางก็คือปริศนาข้อหนึ่ง

“ชื่อของเจ้าใครเป็นคนตั้งให้”

“บิดาที่ล่วงลับไปเจ้าค่ะ เขาเคยเป็นอาจารย์ในชนบท เคยสอนหนังสืออยู่หลายปี”

เสวียนจีถูกมองจนอกสั่นขวัญผวาอยู่บ้าง นางจึงหลุบตาลงจ้องหนังสือที่ระเกะระกะอยู่บนพื้น นี่นางพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ พอเห็นเขามีสีหน้าอ่อนโยนก็มักอดใจคุยเรื่องหนังสือขึ้นมาไม่ได้ จริงๆ ปลอมๆ ปลอมๆ จริงๆ ตั้งแต่เล็กก็เรียนรู้การผสมเรื่องจริงเข้าในคำโกหกแล้ว มีเพียงคำโกหกเช่นนี้ที่ฟังเหมือนเรื่องจริง นี่เขา…มองออกแล้วหรือ

แขนเสื้อนางม้วนพับถึงข้อศอก ลำแขนที่เผยออกมามีรอยช้ำจางๆ เกิดจากที่เจาเซิงจับนางเมื่อเช้า มือนางไม่เหมือนเคยทำงานหนัก ร่างกายนางผอมบางอ่อนแอทั้งยังอรชรอ้อนแอ้น เขาเม้มปาก พลันเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ข้าพูดว่าอะไร จัดหนังสือไม่ครบสองตู้ไม่อนุญาตให้กินข้าวใช่หรือไม่”

“นายน้อยกล่าวไว้ตามนี้เจ้าค่ะ”

“มาขอร้องข้าสิ ขอร้องแค่คำเดียวข้าจะอนุญาตให้เจ้าไม่ต้องจัดหนังสือต่ออีก จะกินข้าวก็กิน จะนอนก็นอน” เขาจ้องนาง แต่กลับเจอนางตวัดมองมาด้วยสายตาแปลกๆ

“จะได้กินหรือไม่ก็ไม่เป็นไร หากสามารถอยู่ที่ห้องหนังสือได้ตลอดไป สำหรับเสวียนจีถือเป็นบุญวาสนาแล้วเจ้าค่ะ” นางพูดอย่างไม่อินังขังขอบนัก

เนี่ยเฟิงอวิ๋นแค่นเสียงเบาๆ นางช่างหยิ่งเสียจริง “ถ้าเจ้าอยากหิวตายก็ไม่มีใครจะมาแยแสเจ้าอีก เจาเซิง ไปกันเถอะ” รถเข็นถูกหยวนเจาเซิงหมุนเปลี่ยนทิศทาง ก่อนจะเข็นออกไปข้างนอก

เสวียนจีมองส่ง ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ สองขาอ่อนยวบ นั่งคุกเข่าลงกลางทะเลหนังสืออย่างห้ามตนเองไม่ได้ เมื่อครู่ราวกับผ่านพายุมา สติที่เครียดขมึงยังคงไม่คลายลง ในอกนางยังเหลือความโกรธเคืองจากการฟาดฟันกับเขาอยู่…วุ่นวายไปหมดแล้ว…นางมาคฤหาสน์สกุลเนี่ยมิใช่เพื่อจะดึงดูดความสนใจใครเสียหน่อย…

“น่าชังนัก” นางพึมพำ เป็นเพราะเนี่ยเฟิงอวิ๋นคนเดียว ถ้าไม่มีเขา นางก็สามารถใช้ชีวิตผ่านไปได้อย่างสงบสุข ถ้าไม่มีเขา ความชื่นชมเลื่อมใสของนางก็จะคงอยู่ตลอดไป

แต่ตอนนี้ความชื่นชมเลื่อมใสของนางสลายหายไปสิ้นแล้วจริงๆ…

บัดนี้ในสายตานางเขาเป็นแค่เพียงเจ้านายที่น่าชิงน่าชังผู้หนึ่งเท่านั้น

 

“แปลก…แปลกยิ่งนัก…” เนี่ยหยวนเฉี่ยวหลบอยู่หลังพงหญ้าไกลออกไป

“มีเรื่องน่าแปลกอะไร ไหนเล่าให้ข้าฟังแก้เบื่อที” เงาร่างสีขาวพลันนั่งยองลงข้างเขา

“เจ้ามองไม่เห็นหรือไร หน้าของพี่สามดูแปลกยิ่งนัก”

“อ้อ?” มองจากในพงหญ้าไปสามารถเห็นสีหน้าของเนี่ยเฟิงอวิ๋นได้ชัดเจน “เป็นอย่างนั้นหรือ ก็มีสองตา หนึ่งจมูก หนึ่งปากเหมือนกันนี่”

“เจ้าโง่! เจ้ายังมองไม่ออกอีกหรือ สีหน้าพี่สามดูดีอย่างหาได้ยากเชียว ปกติข้าเห็นเขาทำหน้าดุร้ายเหมือนกับสิงโตกินคนอย่างไรอย่างนั้น ยังดีที่เขาเคลื่อนไหวไม่สะดวก มิเช่นนั้นก็ยากจะรับรองว่าข้าจะไม่ถูกเขาตีตาย”

“นั่นเป็นเพราะเจ้าใช้ชีวิตเที่ยวเตร่เสเพล ไม่รู้จักทำตัวดีๆ หลุนอวี่หนึ่งเล่มยังใช้เวลาอ่านเป็นเดือน”

“ใครว่าข้าใช้ชีวิตเที่ยวเตร่เสเพล…” เนี่ยหยวนเฉี่ยวตกใจ หยุดพูดได้ทันเวลา

“เหตุใดไม่พูดต่อเล่า ข้าเห็นเจ้ากำลังพูดเพลินอยู่เลย”

ยามนี้เนี่ยหยวนเฉี่ยวพลันรู้สึกหนังศีรษะชาขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ หันหน้าไปทางด้านซ้ายอย่างเชื่องช้า มองใบหน้าที่มีรอยยิ้มนั้น “พี่…พี่สี่…”

เนี่ยมี่หยางกางพัดออกก่อนกล่าวยิ้มๆ “ทำไม ทำเรื่องไม่ดีอะไรมาอีกแล้ว พอเห็นข้าก็ทำอย่างกับเห็นพญายม”

เนี่ยหยวนเฉี่ยวยิ้มแห้ง “พี่สี่เหมือนพญายมเสียที่ไหน คนที่เหมือนพญายมน่ะพี่สามต่างหาก” พูดถึงพี่สามแล้วเขาก็หันเหสมาธิกลับไปอีกครั้ง รีบจับมือเนี่ยมี่หยางพลางชี้เนี่ยเฟิงอวิ๋นที่อยู่ไกลออกไป “มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นแล้ว ท่านดู เมื่อครู่ขณะอยู่ในห้องหนังสือเขาทั้งตะคอกทั้งตวาด ข้าแทบคิดว่าเขาจะกระโดดขึ้นมาตีข้าตายแล้ว แต่พอข้าออกมา สีหน้ากลับดูเหมือนจะดีกว่าก่อนหน้านี้มาก”

เนี่ยมี่หยางยิ้มพลางมองไป แล้วก็ให้ประหลาดใจน้อยๆ เช่นกัน “อ้อ? เมื่อครู่ในห้องหนังสือนอกจากเจ้าแล้วยังมีใครอื่นอีกหรือไม่”

“มี นอกจากข้าก็ยังมีสาวใช้อีกนางหนึ่ง ชื่อ…เสวียนจีกระมัง ข้ารักชีวิต แต่นางไม่ ถึงกับกล้าพูดว่าเรื่องคันฉ่องส่องบาปเป็นหนังสือลามก ทำเอาพี่สามโมโหจนผมแทบหงอกในทันที” นึกแล้วก็ให้ผวานัก

“เสวียนจี?” เนี่ยมี่หยางนึกเพียงชั่วครู่ก็นึกถึงสาวใช้ที่เจอเมื่อเช้าขึ้นได้ เป็นนาง? ฟังจากที่หยวนเฉี่ยวบรรยายก็นึกภาพออกได้ว่าสภาพการณ์ภายในห้องหนังสือก่อนหน้านี้ดุเดือดรุนแรงมากเพียงไร การด่าจนสาวใช้นางหนึ่งร้องไห้เป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเฟิงอวิ๋น ถึงขนาดว่าเขาเคยทำให้สาวใช้ที่เคยปรนนิบัติเขาฝันร้ายไปเดือนกว่าเต็มๆ ยามนี้เกรงว่าเสวียนจีผู้นั้นคงร้ายมากกว่าดีแล้ว

“พี่สี่ ท่านต้องช่วยขอร้องแทนข้านะ! ถือโอกาสที่พี่สามอารมณ์ดีบอกให้เขาเลิกบังคับให้ข้าอ่านหลุนอวี่จนจบได้แล้ว แล้วข้าจะทำตัวดีๆ แน่นอน” ในคฤหาสน์สกุลเนี่ยมีเพียงพี่สี่ที่พูดด้วยง่ายที่สุด ตั้งแต่เล็กก็สนิทกับพี่สี่ที่สุด ฮือ ทำได้เพียงพึ่งเขาแล้ว

เนี่ยมี่หยางขยี้ผมน้องชายอย่างไม่สนใจไยดี ก่อนยื่นเงื่อนไข “จะไม่แอบเรียกมิตรสหายไปหอนางโลม?”

“ใส่ร้าย! พี่สี่ ข้าไปหอนางโลมตั้งแต่เมื่อไรกันเล่า” เนี่ยหยวนเฉี่ยวร้องหาความยุติธรรมทั้งผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง “พี่สี่ไม่ให้ข้าไป ข้าก็ไม่กล้าไปหรอก” น่าชังนัก! เห็นข้าเป็นเด็กอยู่ได้

เนี่ยมี่หยางพยักหน้าก่อนรับปาก เขาพลันเห็นหยวนเจาเซิงปล่อยเนี่ยเฟิงอวิ๋นทิ้งไว้คนเดียวแล้วเดินมาทางนี้เพียงลำพัง

เขาคิดใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็ยิ้มออกมา ตบแขนเสื้อเบาๆ ก่อนลุกขึ้นยืน

“นายน้อยสี่” หยวนเจาเซิงเห็นเขาโผล่ออกมาจากกลางพงหญ้า ถึงยามนี้จะตกตะลึงมากเพียงไรก็ไม่กล้าแสดงออกมาทางสีหน้า

“นายน้อยสามให้เจ้าไปหาคน?” เนี่ยมี่หยางเดาส่ง

“ขอรับ”

“หาซีเซิง?”

“ขอรับ”

“เพราะเสวียนจี?”

“ขอรับ”

“โอ๊ย หยุดยืดยาดกันได้แล้ว ให้เจ้าพูดออกมาสักคำยังยากว่าอ่านหนังสือเสียอีก” เนี่ยหยวนเฉี่ยวกระโดดออกมาอย่างอดรนทนไม่ไหว แม้จะนับถือในความสามารถคาดการณ์ของพี่สี่ แต่ฟังพวกเขาถามคำตอบคำกันเช่นนี้ก็ทำเอาเขาร้อนใจอยากรู้อยากเห็นจนจะตายแล้ว “เจาเซิง ข้าขอสั่งให้เจ้าบอกมาเดี๋ยวนี้ บอกด้วยประโยคที่ยาวที่สุดว่าพี่สามให้หาซีเซิงด้วยต้องการจะจัดการอย่างไรกับเสวียนจีกันแน่ จะฆ่า จะแล่เนื้อ จะต้ม หรือจะไล่ออกจากคฤหาสน์ เจ้ารีบบอกมา”

หยวนเจาเซิงมองเนี่ยหยวนเฉี่ยวที่มีหญ้าติดเต็มศีรษะดูน่าขบขัน พลางเอ่ยถามอย่างหน้าไม่เปลี่ยนสี “นายน้อยต้องการให้นางเป็นสาวใช้คอยติดตามรับใช้ข้างกายขอรับ”

บทที่ 3

หมอกขาวเลือนรางดูเหมือนม่านมุ้งบาง พัดขึ้นพัดลง เสียงหอบหายใจจากการสังวาสของชายหญิงดังสลับกันอยู่ระหว่างฟ้าดิน

‘เจ้าเดาดูซิว่าตาเฒ่าจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าไร’ เสียงพูดฉอเลาะดังขึ้น

‘เขายังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเท่าไรเชียว อย่างมากอีกปีสองปีเขาต้องได้ไปพบพญายมแน่ ทำไม ท่านกลัวแล้วหรือ กลัวว่าจะถูกตาเฒ่าจับได้ว่าเจ้าคบชู้กับคนหนุ่มมากเรี่ยวแรงอย่างข้า?’

‘เชอะ ข้าหรือจะกลัว มีหนึ่งชีวิตเหมือนกัน เขายังจะทำอะไรข้าได้ เขาแย่งลูกเมียผู้อื่นได้ ข้าจะมีสัมพันธ์กับชายอื่นบ้างไม่ได้หรือ ถ้าจะพูดถึงสิ่งที่ข้ากลัว ข้าก็กลัวแต่คนที่ใช้ดวงตาเย็นเยียบมองคนผู้นั้น…’

ท้ายประโยคหายไป หมอกขาวกระจายตัวไปตามลม คนที่นอนอยู่บนเตียงคือเดรัจฉานที่คุ้นตาคู่นั้น

“พี่เสวียนจี”

เสวียนจีพลันได้ตื่นจากความฝัน ลืมตาขึ้นก็เห็นดวงตางามที่มีแววห่วงใยของหลินอัน

“ท่านฝันร้ายหรือ”

“อา…” เสวียนจีหอบหายใจเฮือกเล็กๆ มองสภาพแวดล้อมอันไม่คุ้นเคยอย่างอึ้งงัน

“เป็นอะไรไป ใช่ไม่สบายตรงไหนหรือไม่ หน้าท่านซีดจนน่าตกใจ”

อา นึกออกแล้ว ที่นี่คือห้องบ่าวรับใช้ใกล้กับหอซั่งกู่ในสวนซั่งกู่ มิน่าถึงไม่คุ้น นางเพิ่งย้ายออกจากห้องพักรวมห้องใหญ่มาอยู่ที่ห้องบ่าวรับใช้ห้องเล็กร่วมกับหลินอัน

เมื่อคืนหลังจุดตะเกียง พ่อบ้านหยวนได้รีบร้อนมาถึงห้องหนังสือ สีหน้าท่าทางเขาประหม่ากระสับกระส่าย ถามนางไม่หยุดว่าพูดอะไรกับเนี่ยเฟิงอวิ๋นกันแน่ อีกฝ่ายถึงได้ต้องการให้นางไปเป็นสาวใช้คอยปรนนิบัติ…

เขาบ้าไปแล้วหรือ การสัมผัสคลุกคลีเป็นเวลาสั้นๆ นั้นมิได้สร้างความรู้สึกที่ดีให้เขาเลยชัดๆ แต่จู่ๆ กลับต้องการนางไปเป็นสาวใช้ประจำตัว…

“ต้องเป็นเพราะเมื่อคืนท่านถูกนายน้อยสามทำให้หิวจนแย่แล้วใช่หรือไม่ เขาเป็นเจ้านายที่โหดร้ายทารุณไม่มีความเป็นคนแท้ๆ เชียว” สีหน้าหลินอันดูซีดเซียวไม่น้อย ในบรรดาสาวใช้ที่ถูกซื้อเข้ามาชุดเดียวกัน นางเป็นคนที่มีราศีสะดุดตาที่สุด แต่ตอนนี้กลับถูกเนี่ยเฟิงอวิ๋นกลั่นแกล้งจนเป็นเช่นนี้…

“อา?” หรือว่าที่จู่ๆ เขารั้งตัวนางไว้ข้างกายก็เพื่อจะทรมานนางเช่นกัน นางไม่ได้ตั้งใจเอาน้ำใจคนทรามไปวัดน้ำใจเขา เพียงแต่ด้วยนิสัยเลวร้ายเช่นนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะทำเรื่องพรรค์นี้จริงๆ

“พี่เสวียนจี?”

“ข้าได้กินแล้ว” นางคลี่ยิ้ม “เมื่อคืนหรูหมิ่นแอบเอาหมั่นโถวมาให้ข้า” ก่อนจากไปหรูหมิ่นยังร้องห่มร้องไห้ว่าไม่อยากแยกจากนาง แม้จะอยู่ร่วมขอบรั้ว แต่ต่างคนต่างมีหน้าที่ เกรงว่าคงได้พบหน้ากันแค่นานๆ ทีแล้ว เพียงแต่พอไม่มีหรูหมิ่น ทุกเรื่องก็ต้องลงมือจัดการเอง

เสวียนจียันตัวขึ้นมาด้วยความสะลึมสะลือ เปลี่ยนเสื้อผ้าลวกๆ เสร็จก็ประคองน้ำล้างหน้าเดินตามหลินอันไปทางสวนซั่งกู่ หลังอ้อมไปมาหลายรอบนางก็หรี่ตากลั้นหาว “หลินอัน เจ้าจะไปไหน สวนซั่งกู่ควรอยู่ทางขวามือ”

“ข้าเดินผิดทางอีกแล้วหรือ” หลินอันรีบเดินกลับมา หน้าแดงด้วยความเขินอาย “ข้านึกว่าเป็นทางซ้ายเสียอีก โชคดีที่ได้ท่านเตือน ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเศรษฐีเหล่านี้จะสร้างบ้านให้ใหญ่ขนาดนี้ทำไม แค่เดินยังหลงทาง…เอ๊ะ พี่เสวียนจี ท่านมิใช่เพิ่งมาครั้งแรกหรือ ไฉนจึงรู้ว่าต้องไปทางขวาเล่า”

“ข้า…พ่อข้าเคยสอนหนังสือที่บ้านเศรษฐีระยะหนึ่ง ข้าเคยไปเยี่ยมเขาหลายครั้ง บ้านเศรษฐีเหล่านี้เว้นแต่ว่าจะออกแบบเป็นพิเศษ นอกนั้นโครงสร้างก็คล้ายๆ กันหมด” นางยิ้มอย่างสุขุมมั่นคง ทำให้หลินอันอุ่นใจ ไม่รู้เพราะเหตุใดพออยู่ใกล้เสวียนจี ในใจก็ผ่อนคลายไม่น้อย อาจเป็นเพราะเสวียนจีอายุค่อนข้างมาก ดูแล้วก็เหมือนเป็นพี่สาว ต่อให้นายน้อยสามจะด่าคน…ก็ยังมีคนช่วยแบกรับ ช่างดีโดยแท้!

เมื่อเดินมาใกล้หอซั่งกู่แล้ว นางก็ร้องเรียกเบาๆ “พี่เสวียนจี ท่านเดาถูกด้วย” นางรีบร้อนผลักประตูเปิดด้วยความตื่นเต้นดีใจ เสวียนจียังไม่ทันเรียกนางไว้ก็ได้ยินนางส่งเสียงลั่น

“นายน้อยสาม บ่าวมาส่งน้ำล้างหน้าแล้วเจ้าค่ะ…ว้าย!” แย่แล้ว มาเห็นภาพหยวนเจาเซิงอุ้มเนี่ยเฟิงอวิ๋นขึ้นจากเตียงเข้าพอดี

“ใครให้เจ้าทะเล่อทะล่าเข้ามา” เขาหน้าเปลี่ยนสีทันควัน

“บ่าว…หลินอัน…หลินอันกลัวว่าถ้ามาช้า นายน้อยจะโมโห…มิได้ตั้งใจ…” สองขานางเริ่มอ่อนยวบแล้ว ท่าทางยามโมโหของนายน้อยสามแทบจะทำนางตกใจจนขวัญกระเจิง

หยวนเจาเซิงไม่ได้ช้อนตาขึ้นมอง จัดแจงวางเนี่ยเฟิงอวิ๋นลงบนรถเข็น

ทว่าเนี่ยเฟิงอวิ๋นโทสะพวยพุ่ง ตวาดก้อง “มิได้ตั้งใจ?! เจ้ามานานเพียงไรแล้ว แม้แต่เรื่องเล็กๆ แค่นี้ยังทำได้ไม่ดี เจ้ายังจะทำอะไรได้อีก นางเด็กสมควรตาย!” โทสะที่โถมซัดขึ้นมาที่อกเกิดจากความอับอาย เขาปัดกาน้ำชาบนโต๊ะตกพื้นอย่างแรง เห็นหลินอันอุทานออกมาด้วยความตกใจพร้อมกับถอยหลังหลบไปชนเข้ากับคนอีกผู้หนึ่ง

เขาหรี่ตา โทสะลุกโชนยิ่งกว่าเก่า สายตาเลื่อนมาอยู่บนตัวนาง “ฉินเสวียนจี?”

“เสวียนจี…อยู่นี่เจ้าค่ะ…” นางถูกหลินอันกระแทกล้มลงพื้น วิงเวียนตาลาย

“สาวใช้สมควรตายนี่!”

นางสมควรตาย…สติแจ่มชัดขึ้นหลายส่วน นางยันตัวลุกขึ้น มองเห็นหลินอันยืนตัวลีบอยู่ข้างๆ ประหนึ่งว่ากลัวเพลิงโทสะของเขาจะแผ่มาถึงตน

นางสมควรตายตรงไหนกัน นางไม่ได้ล่วงเกินอะไรเขาเสียหน่อย มิใช่หรือไร หลินอันผลักนางเช่นนี้ ความง่วงงุนที่เดิมยังหลงเหลืออยู่ก็หายไปนานแล้ว

“เจ้าเป็นใบ้ไปแล้วหรือ หลบอยู่ตรงนั้นคิดว่าข้าจะมองไม่เห็นเจ้าแล้ว?”

“มิได้…เสวียนจีมิได้มีเจตนาเช่นนั้นเจ้าค่ะ” เขาต้องการนางมาทรมานโดยแท้ นึกภาพได้เลยว่าวันเวลาข้างหน้าจะลำบากมากเพียงไร

เนี่ยเฟิงอวิ๋นถลึงมองนาง นางเองก็มองเห็นภาพเมื่อครู่แล้วเช่นกัน? บุรุษผู้หนึ่งจำเป็นต้องมีคนประคองถึงสามารถนั่งบนรถเข็นได้ นางมองเห็นหมดแล้ว…สมควรตายนัก! ในใจเขาทั้งอายทั้งโกรธ รุนแรงกว่าเมื่อครู่อีกสามส่วน คิดจะระบายโทสะกลับมองเห็นท่าทางตาปรือของนาง ก็เลย…ก็เลยอดกลั้นเอาไว้

“มาเช็ดหน้า” เขากัดฟันพูด

“เช็ดหน้า?” นางแปลกใจ “เสวียนจีเช็ดหน้าแล้ว…” หรือว่าอาการนอนไม่พอของนางมองออกง่ายขนาดนั้นเชียว

หน้าเขาดุร้ายขึ้นมาราวกับผีร้ายในนรก หลินอันที่ด้านข้างสูดหายใจเฮือก ถอยกรูดไปชิดผนัง หวังจะสามารถซ่อนตัวได้

“ข้าเรียกเจ้ามาเช็ดหน้าให้ข้า!”

สาวใช้โง่เง่านี่! เหมือนเป็นคนละคนกับฉินเสวียนจีที่วิจารณ์นิยายเมื่อวานเลยทีเดียว!

“อ้อ…” หลินอันที่น่าสงสาร ที่ผ่านมายังต้องเช็ดหน้าให้เจ้านายด้วยหรือนี่ ทว่าตอนนี้หน้าที่ความรับผิดชอบใหญ่ย้ายมาอยู่ที่นางแทนแล้ว เสวียนจีถอนหายใจพลางก้าวไปข้างหน้า

ยิ่งเข้าใกล้เขายิ่งรู้สึกว่าเขาจ้องมองนางตาไม่กะพริบเหมือนว่ากำลังรอให้นางทำขายหน้า

น้ำเย็นเฉียบทำให้นางต้องห่อไหล่น้อยๆ ขณะบิดผ้าเปียกเย็นให้หมาดแห้ง นางลังเลอยู่ชั่วประเดี๋ยวถึงค่อยจับผ้าคลุมหน้าเขาไว้

“เจ้าคิดจะปล่อยให้ข้าหายใจไม่ออกตายหรือไร” ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีเสียงดุร้ายดังอู้อี้มาจากใต้ผ้า

“มิได้เจ้าค่ะ…ข้ามิได้มีเจตนาเช่นนั้น” เสวียนจีรีบดึงผ้าขึ้น พับมันทบกันแล้วเริ่มเช็ดใบหน้าของเขา นางไม่เคยเช็ดหน้าให้ใคร รู้สึกเพียงว่าเขามีเค้าโครงหน้าหล่อเหลาคมสัน อย่างน้อยตัดเวลาที่เขาทำหน้าดุร้ายออกไป เขาก็เป็นคนที่มีใบหน้าน่ามองผู้หนึ่ง

เนี่ยเฟิงอวิ๋นทำหน้าเย็นชาแข็งขึง ปล่อยให้นางเช็ดไปเรื่อยๆ ดวงตามองตรงไปข้างหน้าก็เห็นเอวบางของนาง เมื่ออยู่ในระยะใกล้ก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ส่งมาจากกายนาง…เป็นกลิ่นหอมของกระดาษหนังสือ กลิ่นที่นุ่มนวลอ่อนโยนทั้งยังคุ้นเคยทำให้จิตใจเขาสงบลงเล็กน้อย

สวนซั่งกู่เงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง ปล่อยให้เสียงลมพัด เสียงนกร้อง เสียงหญ้าไหวดังอยู่ข้างนอก ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร จู่ๆ หยวนเจาเซิงก็พูดโพล่งออกมา

“ใช้ได้แล้ว”

เสวียนจีขานรับเบาๆ เสร็จถึงค่อยเก็บผ้าที่เริ่มแห้งแล้วกลับมา ไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าสายตาของเนี่ยเฟิงอวิ๋นตรึงอยู่ที่นาง

นางยกอ่างน้ำขึ้น ยอบตัวคารวะ “เสวียนจีออกไปก่อนนะเจ้าคะ”

เมื่อเดินมาถึงหลินอัน นางก็เห็นอีกฝ่ายเบิกตามองตนอยู่พร้อมกับเหงื่อกาฬที่ไหลย้อยไปทั้งหน้า…

ครั้นเดินออกมาพ้นสวนซั่งกู่แล้ว หลินอันก็ทรุดนั่งลงกับบันไดอย่างหมดแรง “ข้าไม่มีแรงแล้ว…พี่เสวียนจี ท่านจงใจกระมัง”

“จงใจ?” เสวียนจีหันหน้ากลับมามองนางด้วยความประหลาดใจ “เจ้าไฉนจึงร้องไห้เสียแล้ว”

ร้องไห้? ข้าต้องร้องไห้แน่ล่ะ! ก็ถูกท่านทำให้ตกใจนี่นา หลินอันหน้าแดง สูดจมูก ฉากเหตุการณ์ ‘เช็ดหน้า’ เมื่อครู่นี้แทบจะคิดแล้วว่าต้องรอจนแก่ถึงจะหยุดลงได้ “พี่เสวียนจี ท่านเห็นใบหน้าของนายน้อยสามเป็นอะไร นั่นเรียกว่าเช็ดหน้าได้หรือ หน้าของนายน้อยสามมิใช่เครื่องทองแดง ไม่ต้องเช็ดจนเงาวับ…ฮือๆ ข้านึกว่านายน้อยสามจะโมโหเสียแล้ว…ฮึก ข้าตกใจแทบตาย…” เห็นอีกฝ่ายออกแรงเช็ดจนแทบจะทำนายน้อยสามหนังหลุดออกมา เขาไม่โมโหก็เป็นปาฏิหาริย์แล้ว ทว่านี่ยังถึงกับทนต่อไปได้โดยหน้าไม่เปลี่ยนสีด้วย…

“เป็นเช่นนั้นหรือ” นางออกแรงหนักหรือนี่ นางเพียงแต่ตั้งใจทำงานมากเท่านั้น เสวียนจียิ้มเป็นความหมายว่าขอโทษ “ข้าเพิ่งทำเรื่องพรรค์นี้ครั้งแรก…”

“ข้าเองก็เพิ่งเคยเห็นนายน้อยสามต้องการให้พวกเราเช็ดหน้าให้เขาครั้งแรกเช่นกัน ที่แล้วมาแค่ข้าเข้าใกล้เขาก้าวเดียว เขาก็โมโหแล้ว” ยังดีที่เสวียนจีมาด้วย ความสนใจของนายน้อยสามเลยย้ายไปที่อีกฝ่าย มิเช่นนั้นที่แล้วมาในเวลาเช่นนี้ล้วนจะเป็นนางที่ถูกด่า

“โชคดีที่วันนี้อารมณ์เขาดูจะไม่เลว” เสวียนจีปลอบใจนาง “คราวหน้าข้าระวังสักหน่อยก็ได้แล้ว”

“ยังจะมีคราวหน้าอีกหรือ” หลินอันอ้าปากจะพูด กลับพบว่าอีกฝ่ายหรี่ตาโค้ง สัมผัสสายลมฤดูร้อนที่พัดมาระใบหน้าด้วยท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจ ช่างเป็นสตรีที่แปลกนัก พี่เสวียนจีไปเอาอารมณ์สบายๆ มาจากไหนกันแน่ นางเป็นกังวลและได้รับความหวาดกลัวทุกวัน กลัวว่านายน้อยเฟิงอวิ๋นอารมณ์เสียขึ้นมาก็จะด่านาง กลัวว่าจะทำงานไม่เสร็จ…กลัวสารพัดกลัว…ไม่เคยได้สังเกตเรื่องราวรอบตัวเลย สายลมเย็นในฤดูร้อน…นางลองหลับตาลง สัมผัสถึงมันตามอย่างเสวียนจี รู้สึกเพียงว่าสายลมอ่อนพัดมาเป็นระลอก นี่มีอะไรพิเศษกัน แค่รู้สึกว่ามันโชยพัดก็เท่านั้นเอง…

สายลมพัดเหล่าดอกไม้ไหว พัดผิวทะเลสาบในคฤหาสน์จนเกิดระลอกคลื่น พัดเข้าศาลารับลม พัดความง่วงงุนมาครอบงำเสวียนจี

หลินอันเบิกตาโต กลืนน้ำลาย ยามบ่ายที่เงียบสงบอย่างหาได้ยาก นายน้อยเฟิงอวิ๋นนึกครึ้มอยากออกมาอ่านหนังสือในศาลา นางกับเสวียนจีต้องคอยติดตามรับใช้อยู่ข้างหลัง เดิมที…เดิมทีคิดว่าวันนี้จะผ่านไปอย่างราบรื่นปลอดภัย ด้วยอย่างน้อยอารมณ์ของนายน้อยเฟิงอวิ๋นก็ดีเป็นประวัติการณ์…ทว่า…ทว่าพี่เสวียนจีถึงกับกำลังสัปหงก!

สวรรค์! ให้นางตายไปให้จบๆ เสียเดี๋ยวนี้ตอนนี้เลยเถิด!

ฉินเสวียนจีผู้นี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่ ต่อให้เป็นลูกหลานของอาจารย์สอนหนังสือในชนบทก็ไม่ควรไม่รู้จักขอบเขตของสาวใช้ถึงเพียงนี้กระมัง

“ชายเก่งหญิงงาม ฟ้าประทานมาเป็นคู่กัน เฮอะ” เนี่ยเฟิงอวิ๋นพูดรำพึงกับตนเอง ปิดหนังสือเรื่องวสันต์ในหอหยก พลันได้ยินเสียงอุทานดังแว่วๆ อยู่ข้างหลัง เขาขมวดคิ้ว “เจ้าร้องหาอะไร”

“นายน้อยมิใช่กำลังเรียกข้าหรือเจ้าคะ” เมื่อครู่ได้ยินเขาเปิดปากพูดทำให้สตินางถูกเรียกกลับมา เพิ่งจะมองเห็นสถานที่ที่อยู่ชัด มิใช่กำลังเรียกนางหรอกหรือ

เสียงพูดของอีกฝ่ายฟังไม่ชัดเหมือนว่าเพิ่งตื่นนอน คิ้วดาบของเนี่ยเฟิงอวิ๋นจึงยกขึ้นสูงทันที “เจ้ามายืนข้างหน้าข้า!” เขาสั่งอย่างไม่สบอารมณ์ ร่างนางเคลื่อนมาถึงเบื้องหน้าเขาอย่างเชื่องช้า

ทั้งๆ ที่นางมีขนาดตัวปานกลาง แต่เพราะผอมเกินไปทำให้เขามักรู้สึกว่าสาวใช้นางนี้เคลื่อนไหวอืดอาดเป็นลิงขี้เกียจ

“ทำไม คฤหาสน์สกุลเนี่ยปฏิบัติต่อเจ้าอย่างทารุณหรือไร ถึงได้เห็นเจ้าเอาแต่นอนมันทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ” น้ำเสียงของเขายังนับว่าไม่เลวร้าย เพียงแต่งุนงงว่าไฉนสาวใช้นางหนึ่งถึงสามารถหลับจนเป็นเช่นนี้ได้

“เสวียนจีไม่มีงานทำ…ย่อมจะอยากนอนเจ้าค่ะ” นางตอบตามจริง “ถ้านายน้อยอนุญาต บ่าวขอไปจัดหนังสือที่ห้องหนังสือจี๋กู่ได้หรือไม่เจ้าคะ”

พูดอีกอย่างคือนางยอมจัดหนังสือกองเท่าภูเขาดีกว่าจะแอบอู้อยู่ข้างกายเขา เนี่ยเฟิงอวิ๋นถลึงตาจ้องนาง คำว่า ‘บ่าว’ นั้นเขาฟังแล้วขัดหูทั้งชักเริ่มมีน้ำโห นางอาจจะยังไม่ค้นพบ แต่เขาสังเกตเห็นว่ามีเพียงเวลามีเรื่องขอร้องเขา นางถึงจะลดตัวลงเรียกแทนตนเองว่า ‘บ่าว’

“ไฉนข้าถึงมีความรู้สึกว่าเจ้ายินดีจะอยู่กับหนังสือดีกว่าจะตามรับใช้เจ้านายอย่างข้า”

นางกำลังจะพูด กลับมองเห็นหลินอันส่ายหน้าดิกอยู่ด้านหลังเขา ดวงตาโตฉ่ำน้ำวิงวอนขอนางว่าอย่ายั่วโทสะเนี่ยเฟิงอวิ๋นอีก

“บ่าว…มิกล้า” นางถอนหายใจและหลุบตาลง

“เอาอีกแล้วหรือ” สภาพห่อเหี่ยวหมดอาลัยตายอยากของนางเห็นแล้วก็ชวนให้คนนึกรำคาญ ท่าทางดื้อดึงต่อสู้เพื่อหนังสือเช่นเมื่อวานไปไหนเสียแล้ว เขาโยนหนังสือด้วยความเดือดดาล หนังสือตกลงบนพื้น

นางอึ้งงันไปเล็กน้อยก่อนก้มตัวหยิบขึ้นมา

“อย่าเอามือสกปรกของเจ้ามาแตะต้องมัน!” นางเห็นหนังสือสำคัญกว่าเจ้านาย ถ้าวันนี้เป็นเขาล้มอยู่ที่พื้น เกรงว่านางคงไม่แม้แต่จะเหลือบแลเลยกระมัง

“หากนายน้อยสามไม่ต้องการแล้วก็โปรดมอบให้บ่าวเถิดเจ้าค่ะ”

“เจ้าคิดว่าตัวเองมีอาชีพเก็บขยะหรือไร เจ้าจะขอมันทุกครั้งที่ข้าโยนหนังสือทิ้งเลยใช่หรือไม่!”

“ถ้าเป็นไปได้ก็…” นางพูดเสียงแผ่วเบา

ยามนี้ร่างกายของเขาเหมือนมีไฟลุกไหม้ขึ้นมาแล้ว แทบจะมองเห็นภาพเปลวไฟลุกอยู่รอบตัวเขาได้เลย

หลินอันที่ด้านหลังกลัวจนต้องหอบหายใจ

“เจ้าหอบอะไร ถ้าหอบอีกข้าจะให้เจ้าเห่าเหมือนหมา!” เขาเอ่ยถามโดยมิได้หันหน้ากลับไปมองนางด้วยซ้ำ

“ไม่ บ่าวมิกล้า…” น้ำตาไหลลงมาจากดวงตางามของหลินอันในทันใด

เสวียนจีขมวดคิ้ว “นายน้อยสาม มีอะไรไม่พอใจก็ลงกับเสวียนจีได้เลยเจ้าค่ะ ไม่มีความจำเป็นต้องพาลลงกับผู้อื่น” นางผิดหวังในตัวเขาจนหมดแล้วจริงๆ

“เจ้าก็รู้ด้วยว่าข้ากำลังพาล? เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ควรยั่วโมโหข้า!”

นางไปยั่วโมโหเขาตั้งแต่เมื่อไรกัน อารมณ์เขาไม่เพียงแค่เลวร้าย แต่ยังทำให้คนคาดคะเนไม่ถูกด้วย “หากนายน้อยรังเกียจก็ย้ายบ่าวกลับไปห้องหนังสือจี๋กู่เถิดเจ้าค่ะ บ่าวจะได้ไม่ต้องอยู่ขัดหูขัดตาที่นี่”

“เจ้าเลิกคิดว่าจะสมหวังไปได้เลย!” เขากัดฟันกล่าว

“ข้าเพิ่งจะเดินมาถึงประตูโค้งนี่ก็ได้ยินว่ามีคนจะขออะไรแล้ว เป็นใครจะขออะไรหรือ” เนี่ยมี่หยางพูดขึ้นเสียงดังฟังชัดพลางเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขามองเสวียนจีที่ถอยกลับไปอยู่หลังเนี่ยเฟิงอวิ๋นอย่างผ่านๆ ปราดหนึ่งเสร็จก็ก้าวขึ้นศาลามาอย่างช้าๆ

“พี่สามช่างมีอารมณ์อยู่ว่างๆ นัก หายากที่จะเห็นท่านออกมา…อ้าว กำลังอ่านวสันต์ในหอหยกอยู่หรือ เช่นนั้นก็ดีเลย ข้ามีของจะให้ท่านดูพอดี” เขานั่งลงอย่างสง่าผ่าเผย ยักคิ้วไปทางโต๊ะศิลาที่ว่างเปล่า “ไม่มีสุรา นี่ช่างผิดต่ออารมณ์ดีๆ ของพี่สามนัก เจาเซิง ไปเอาสุรามา” เขาพูดยิ้มๆ

“เจ้าดูเหมือนว่างมาก” เนี่ยเฟิงอวิ๋นพูดอย่างเย็นชา

“ข้าอุตส่าห์มีเวลาว่างได้ช่วงสั้นๆ พี่สามไม่รู้หรอกว่าข้ายุ่งจนร่างกายอมโรคนี้ของข้าจะพังอยู่แล้ว” เนี่ยมี่หยางถอนหายใจหนักๆ ขยับกระดูกที่ปวดเมื่อยเล็กน้อย เห็นเนี่ยเฟิงอวิ๋นไม่มีทีท่าจะต่อคำพูดก็ไม่ได้ใส่ใจ ร้องสั่งขึ้น “ต้าอู่ เอาต้นฉบับมาวาง”

“เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าไม่อ่านต้นฉบับแล้ว”

“ถึงท่านไม่อ่านแล้ว แต่เรื่องนี้ท่านจำเป็นต้องอ่าน” ต้นฉบับปึกหนาวางราบอยู่บนโต๊ะศิลา เนี่ยมี่หยางยังคงยิ้ม แต่เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่แฝงด้วยเจตนาอื่น

ร้านหนังสือเฟิงอวิ๋นนอกจากจะขายกระดาษรวมถึงสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับกระดาษแล้ว ยังรับตีพิมพ์ให้สำนักศึกษาอีกหลายแห่งด้วย นอกเหนือจากนี้ ในอาณาจักรต้าหมิงบัณฑิตทั่วไปนอกจากเรื่องเที่ยวเสเพลหยำเปแล้วก็ยึดถือว่าการพิมพ์หนังสือเป็นเรื่องมีเกียรติ มักจะตีพิมพ์บทกวีหรือสาแหรกบรรพบุรุษออกมาให้เป็นที่โจษจันสรรเสริญในหมู่บัณฑิตเป็นประจำ ทว่าบัณฑิตที่วันๆ เอาแต่เมามายตีพิมพ์หนังสือไม่เป็นก็มีอยู่จำนวนไม่น้อย ในการพิมพ์นั้นคุณภาพกระดาษน้ำหมึกครองความสำคัญไปกว่าค่อน ด้วยเหตุนี้จึงมักมีคนขอให้ร้านหนังสือเฟิงอวิ๋นช่วยตีพิมพ์เป็นการส่วนตัวพร้อมกับปิดเรื่องนี้เป็นความลับ

หากแต่เหล่านี้มิใช่สาเหตุที่ร้านหนังสือเฟิงอวิ๋นครองความเป็นหนึ่งแต่เพียงผู้เดียวในเมืองหนานจิง ทางร้านยังดำเนินการเรียบเรียงและตีพิมพ์นิยายออกมาเองจำนวนมากด้วย กล่าวอีกอย่างคือพี่สามของเขาเคยเลี้ยงนักเขียนไว้จำนวนหนึ่ง

ทว่าก็แค่เคย นับตั้งแต่ขาทั้งสองของพี่สามได้รับบาดเจ็บ งานของร้านหนังสือได้มอบให้เขาทั้งหมด ส่วนเนี่ยเฟิงอวิ๋นก็ไม่อ่านต้นฉบับและไม่วิจารณ์หนังสือใดๆ อีก

หลังเขาได้รับบาดเจ็บที่ขา ต้นฉบับที่เคยผ่านมือเขาก็มีเพียงเรื่องเดียว และหลังจากต้นฉบับเรื่องนั้นตีพิมพ์ออกมาก็กลายเป็นนิยายที่โด่งดังอย่างมากในปัจจุบัน

“ท่านต้องอ่าน” พอเห็นเนี่ยเฟิงอวิ๋นไม่มีท่าทีสนใจ เขาก็ยิ้มอย่างบริสุทธิ์ไร้ความผิดพลางกางพัดออก “เป็นต้นฉบับที่หลิ่วหมินนำมาให้ข้า ข้าอ่านแล้วรอบหนึ่ง เกรงว่าหลังได้ตีพิมพ์คงได้รับเสียงตอบรับไม่มาก ถ้าท่านไม่อ่านก็ตีมันกลับไปแล้วกัน”

“หลิ่วหมิน?”

ความสนใจคืนกลับมาแล้วกระมัง

“ใช่แล้ว หลิ่วหมินเป็นลูกน้องกำลังหลักที่ท่านเพาะเลี้ยงออกมา ตอนข้าเพิ่งรับช่วงดูแลร้านหนังสือก็ต้องขอบคุณเขาจริงๆ ที่คอยช่วยเหลืออยู่ข้าง…”

“เจ้ากลับมาพูดประเด็นหลักได้แล้ว” เนี่ยเฟิงอวิ๋นกัดฟันพูด “เสวียนจี เลื่อนต้นฉบับมาให้ข้า”

เสวียนจีก้าวมาดันปึกต้นฉบับไปตรงหน้าเขาอย่างเงียบเชียบ

หน้าแรกของมันเขียนตัวอักษรบรรจงเป็นระเบียบเรียบร้อย ลักษณะอักษรที่คุ้นตาทำให้เนี่ยเฟิงอวิ๋นตกใจเล็กๆ ก่อนจะพลิกเปิดอีกหลายหน้าอย่างรวดเร็ว

“เป็นเขา?”

“ข้าถึงได้ว่าพี่สามสายตาดีอย่างไรเล่า” เนี่ยมี่หยางขยับโบกพัดพลางหัวเราะเบาๆ “นี่ก็คือต้นฉบับที่ท่านเฝ้ารอมานาน”

“แล้วหลิ่วหมินเล่า” เขาเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยแววตาเจิดจ้าเป็นประกาย

“เขาไม่กล้ามา กลัวจะถูกท่านทรมานเฆี่ยนตีอีก ข้าเลยให้เขาไปร้านหนังสือที่เป่ยจิง มีปัญหาอะไรหรือ” เนี่ยมี่หยางยังคงกล่าวเพิ่มเชื้อไฟต่อไป “ในเมื่อบัณฑิตเย้ยโลกผู้แต่งเรื่องคันฉ่องส่องบาปใช้ชื่อปลอมก็หมายความว่าเขาไม่อยากเปิดเผยตัวจริงต่อผู้อื่น หลิ่วหมินเป็นคนซื่อและเถรตรง แม้เขาจะเป็นลูกน้องกำลังหลักของท่าน แต่เมื่อได้สัญญากับบัณฑิตเย้ยโลกแล้วก็ไม่อาจบอกออกมาได้ว่าเขาคือใคร เช่นนั้นชั่วชีวิตพวกเราก็เลิกคิดจะขุดจากปากหลิ่วหมินได้เลย”

เนี่ยเฟิงอวิ๋นสีหน้าเยียบเย็นยับยุ่งจนแทบจะอ่านตัวอักษรใดๆ ไม่ออก

“ต้นฉบับเรื่องนี้เป็นเรื่องราวความรักบริสุทธิ์ของชายเก่งหญิงงาม เรียกได้ว่าแตกต่างราวฟ้ากับดินจากเรื่องคันฉ่องส่องบาปเมื่อก่อนหน้านี้ของบัณฑิตเย้ยโลก บัดนี้ผู้คนกำลังนิยมอ่านงานคาวโลกีย์เหมือนเรื่องคันฉ่องส่องบาป เรื่องราวความรักบริสุทธิ์นี้…เกรงว่าคงขายได้จำกัด” เนี่ยมี่หยางปากพูดไป แต่ความคิดกลับข้ามเนี่ยเฟิงอวิ๋นไปอยู่ที่เสวียนจี

หายาก หายากยิ่ง หาได้ยากจริงๆ

สามปีมานี้ข้างกายเฟิงอวิ๋นนอกจากเจาเซิงแล้วก็ไม่เคยเต็มใจอยากได้บ่าวคนไหนมารับใช้ที่สวนซั่งกู่มาก่อน เสวียนจีคือคนแรก เดิมนึกว่าเขาต้องการทรมานบีบคั้นสาวใช้นางนี้ กลับคิดไม่ถึงว่าจะเห็นนางยังแข็งแรงดี มิได้ตกใจหวาดกลัวน้ำตาไหล

สีหน้านาง…ดูไม่เลวเลย

สายตาของนางหลุบลงอย่างสงบเสงี่ยมเชื่อฟัง เป็นท่าทีที่สาวใช้พึงมี เมื่อครู่ขณะเข้ามาใกล้เขาเพื่อหยิบต้นฉบับก็ยังคงได้กลิ่นกระดาษจางๆ จากตัวนางเช่นเดิม น่าจะเพราะอยู่ในกองหนังสือตลอดปีถึงได้ติดกลิ่นเช่นนี้มา สาวใช้เช่นนี้ไม่ว่ามองอย่างไรก็ออกจะซับซ้อนกว่าสาวใช้นางอื่นอยู่สักหน่อยจริงๆ

“ตาเจ้ากำลังมองไปไหน” เนี่ยเฟิงอวิ๋นพลันโพล่งถาม

เนี่ยมี่หยางกะพริบตาตอบยิ้มๆ “ข้ากำลังมองสาวใช้ของท่าน” เขาเอ่ยอย่างเปิดเผยยิ่งยวด

“มีอะไรน่ามอง อยากให้ข้ายกให้เจ้าหรือไร”

“ความคิดไม่เลว พี่สาม ท่านอยู่ที่สวนซั่งกู่ตลอดทั้งปี น้อยนักที่จะก้าวออกประตู คฤหาสน์สกุลเนี่ยมีบ่าวไพร่นับร้อย ท่านต้องการใคร ข้าก็จะหามาให้ท่าน แต่สาวใช้ที่รู้หนังสืออย่างเสวียนจี ให้ติดตามข้างกายข้าก็สะดวกดี อีกอย่างอายุนางก็ไม่น้อยแล้ว อยู่ที่สวนซั่งกู่นี้จะมีบ่าวชายที่ไหนมาแต่งนาง หรือว่าท่านต้องการให้เจาเซิง…”

“เจ้าหุบปากได้แล้ว!” ความปีติยินดียามได้เห็นผลงานของบัณฑิตเย้ยโลกถูกขัดเข้าแล้ว เนี่ยเฟิงอวิ๋นสีหน้าเข้มขึ้น “เจ้าไปทำงานของเจ้าไป ทิ้งต้นฉบับไว้กับข้า วันพรุ่งค่อยให้คำตอบกับเจ้า”

“คำตอบเรื่องเสวียนจี?” เนี่ยมี่หยางถามอย่างรนหาที่ตาย

“เจ้าไสหัวไปได้แล้ว!”

เนี่ยมี่หยางยักไหล่พลางลุกขึ้น ยังคงยิ้มโดยตลอด “พี่สามค่อยๆ สำราญไป จะอย่างไรเสวียนจีก็เป็นสาวใช้ของคฤหาสน์สกุลเนี่ยเรา ท่าน ‘ทำตามความต้องการ’ ได้อยู่แล้ว” กล่าวจบก็เห็นเนี่ยเฟิงอวิ๋นมีอาการตะลึงใจสั่นเล็กน้อย สีหน้าเดี๋ยวซีดเดี๋ยวแดง เห็นได้ชัดว่าเข้าใจความหมายในคำพูดเขา เสวียนจีที่อยู่ด้านหลังอีกฝ่ายเองก็มีสีหน้าต่อว่าต่อขาน เหมือนกำลังต่อว่าที่เขาส่งเสริมให้เฟิงอวิ๋นทรมานนาง

ฮ่าๆ คำพูดเดียวกันกลับมีคนเข้าใจไปคนละทาง บุรุษที่ให้ความสำคัญกับความรู้ความสามารถมากกว่าหน้าตามีอยู่น้อยนัก พี่สามก็คือหนึ่งในจำนวนนั้น เมื่อรูปโฉมและความรู้ความสามารถของสตรีไม่อาจให้ความสำคัญเท่ากันได้ เขาก็ยอมจะเลือกอย่างหลัง

‘อย่างน้อยก็จะไม่พูดจาไร้สาระ’ ในอดีตเนี่ยเฟิงอวิ๋นเคยกล่าวไว้เช่นนี้

แล้วตอนนี้เล่า ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่บางทีอาจจะมีหวังอยู่เล็กๆ ผู้ที่สามารถลากเนี่ยเฟิงอวิ๋นออกจากการขังตนเองที่สวนซั่งกู่ได้มิใช่พี่น้องของเขา แต่เป็นสาวใช้ที่รูปโฉมปานกลางและความเป็นมามีปัญหานางหนึ่ง…

ทว่า…แล้วอย่างไรเล่า

 

นางมีใบหน้าเป็นวงรี นัยน์ตาดำขลับทั้งสองโดยปกติจะหลุบลงไร้ชีวิตชีวา ริมฝีปากบางสีชาดเม้มเป็นเส้นตรง ใหญ่ไปสักหน่อย แต่มิได้เด่นเกินไป รูปร่างนางก็กลางๆ แม้เขาจะนั่งรถเข็น แต่แค่เงยหน้าเพียงเล็กน้อยก็มองเห็นใบหน้านางได้แล้ว ตัวผอมไปบ้าง การเคลื่อนไหวอืดอาดไปหน่อย การตอบสนองก็ช้ากว่าผู้อื่นครึ่งจังหวะ ทุกเรื่องที่สาวใช้ควรมีและจำเป็นต้องเข้าใจ นางล้วนกำลังเริ่มศึกษา สาวใช้เช่นนี้มีความพิเศษอะไรดึงดูดความสนใจคนได้ ปีนี้นางอายุยี่สิบสอง อายุเลยช่วงแต่งงานมานานแล้ว ทำสัญญาสามปีกับคฤหาสน์สกุลเนี่ย กว่าจะได้ออกไปก็อายุยี่สิบห้า สำหรับสตรีถือเป็นสินค้าขายไม่ออกแล้ว

กล่าวอีกอย่างคือภายในสามปีนี้นางจำเป็นต้องหาบ่าวชายที่คู่ควรกับนางให้ได้ในคฤหาสน์สกุลเนี่ย และสิ่งที่ผู้เป็นเจ้านายควรทำก็คือช่วยหาคนที่เหมาะสมให้นาง

แล้วใครเหมาะสม สามปีมานี้เขาอาศัยอยู่แต่ที่สวนซั่งกู่ คฤหาสน์สกุลเนี่ยมีบ่าวไพร่ไปๆ มาๆ ไม่รู้ตั้งเท่าไร ผู้ที่เขารู้จักก็มีเพียงเจาเซิงสองพี่น้อง

ดูอายุก็เหมาะสมยิ่ง…

เนี่ยเฟิงอวิ๋นแค่นเสียงเบาๆ

“อ๊ะ นายน้อยจะสั่งอะไรเจ้าคะ” นางสะดุ้งเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว

“เปล่า อย่ามารบกวนข้าครุ่นคิด” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก ก่อนจะเห็นนางกลับไปจดจ่อกับหนังสืออีกครั้ง

นับว่าเขาใจดีกระมัง กลับถึงสวนซั่งกู่ก็ใกล้เวลามื้อเย็นแล้ว หลังกินเสร็จเขากำลังจะเปิดอ่านต้นฉบับของบัณฑิตเย้ยโลก กลับพลันเห็นนางมายืนอยู่ข้างๆ

นางเป็นคนรักหนังสือ ดูจากเรื่องห้องหนังสือจี๋กู่และเรื่องที่นางขอหนังสือเรื่อง ‘หรูอี้จวินจ้วน’ ก็รู้แล้ว อาจเพราะเพิ่งได้ต้นฉบับที่เฝ้าคอยมานานมา อารมณ์ของเขาจึงค่อนข้างดี พอเห็นว่านางเป็นคนรักหนังสือเช่นเดียวกันจึงอนุญาตให้นางหยิบหนังสือไปยืนอ่านอยู่ข้างๆ ส่วนสาวใช้ที่ชื่อหลินอันนางนั้นออกไปแล้ว เจาเซิงเฝ้าอยู่ข้างนอกอย่างเงียบๆ ในห้องจึงเหลือเพียงเขากับนาง

ใบหน้านางยังคงเป็นวงรีมิเปลี่ยน แต่เมื่ออยู่ภายใต้แสงเทียน นัยน์ตาสีดำกลับมีชีวิตชีวา ในดวงตาที่กำลังมองหนังสือมีประกายเจิดจ้าแพรวพราว ริมฝีปากบางดูนุ่มนวลขึ้นแล้ว…นางมิใช่คนช่างยิ้ม แต่ก็มิได้ดูเย็นชา ภายนอกก็ดูเป็นสตรีที่ค่อนข้างธรรมดานางหนึ่ง แทบจะพบเห็นได้ทั่วไปในอาณาจักรต้าหมิง

สาวใช้เช่นนี้…มี่หยางกลับคิดว่าข้าอยากเกลือกกลั้วด้วย?

อย่านึกว่าเขาฟังความหมายชั้นลึกในคำของมี่หยางไม่ออก อีกฝ่ายคิดว่าเขาอยากเกลือกกลั้วกับสาวใช้ที่น่าตายนางนี้ถึงได้ย้ายนางมาที่สวนซั่งกู่ เขาไม่เข้าใกล้อิสตรีมาสามปี แต่มิได้หมายความว่าเขาจะหิวจนกินไม่เลือก

สตรีที่ธรรมดาสามัญขนาดนี้…

ยามนั้นกลีบปากนางพลันยกขึ้นเบาๆ ขับประกายสดใสเปล่งปลั่งในหน้าให้แสดงออกมา สลัดคราบไร้ชีวิตชีวาออกไป เวลานางอ่านนางวิจารณ์หนังสือ สีหน้าแววตากลับแตกต่างจากยามปกติไปโดยสิ้นเชิง อย่างน้อยนางในสภาพนี้ก็ดีกว่าตอนที่ยั่วโมโหเขาก่อนหน้านี้มากเหลือเกิน

“มีอะไรตลกหรือไร” เขาถาม ในอกรู้สึกอึดอัด รอยยิ้มนางราวกับเป็นสายลมเย็นชื่น ทำให้เขาเห็นแล้ว…เห็นแล้วในใจรู้สึกไม่สบาย

“ชายเก่งหญิงงามได้ลงเอยครองคู่กัน เสวียนจีก็ต้องยิ้มสิเจ้าคะ” นางปิดหนังสืออย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบ

“ชายเก่งหญิงงามเป็นแค่เรื่องเพ้อฝันบนหน้ากระดาษ นอกกระดาษนั้นมีแต่ชายโฉดหญิงชั่ว” เขาพูดเสียงเย็นเยียบ

เสวียนจีมองเขาแวบหนึ่ง พอคุยถึงหนังสือก็อดจะงัดกับเขาไม่ได้ “แม้จะกล่าวว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันบนหน้ากระดาษ แต่ก็เพราะว่าไม่ได้มาในชีวิตจริงถึงได้ยินดีจะจมอยู่ในทะเลฝัน”

เขาแค่นเสียง “ก็แค่ความเห็นของสตรี”

“ที่นายน้อยอ่านเมื่อครู่ก็มิใช่เรื่องความรักบริสุทธิ์ของชายเก่งหญิงงามเช่นกันหรือเจ้าคะ” นางชี้ต้นฉบับบนโต๊ะ

เนี่ยเฟิงอวิ๋นมุ่นคิ้วน้อยๆ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอ่านอะไร” ต่อให้รู้หนังสือก็มองเห็นเพียงหน้าแรก นางมองออกได้ด้วยหรือว่านี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร

“เมื่อบ่ายนายน้อยสี่ก็บอกอยู่นี่เจ้าคะว่านี่เป็นเรื่องความรักบริสุทธิ์ของชายเก่งหญิงงาม” เสวียนจีจ้องเขาตรงๆ

นอกจากเรื่องที่นางรู้หนังสือและดูเหมือนอ่านหนังสือมาไม่น้อยจะทำให้เขาประหลาดใจแล้ว ความใจกล้าของนางก็ทำให้เขา…ชื่นชมอยู่พอดูเช่นกัน ในคฤหาสน์สกุลเนี่ยมีใครกล้าพูดจากับเขาเช่นนี้บ้าง

“นิยายรักบริสุทธิ์ทั่วไปไหนเลยจะเทียบกับของบัณฑิตเย้ยโลกได้”

นางมองเขาแวบหนึ่งด้วยความแปลกใจ ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงหนึ่งแล้วรีบเม้มปากทันเวลา

เนี่ยเฟิงอวิ๋นหรี่ตา “เจ้าจะหัวเราะก็ไม่หัวเราะ เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นด้วยกับคำข้า”

“มิได้ถึงกับไม่เห็นด้วยเจ้าค่ะ เพียงแต่บ่าวกลัวนายน้อยโมโหจึงไม่กล้าพูด”

คำว่า ‘บ่าว’ อีกแล้ว! เวลานางแทนตัวว่าบ่าว เขามักรู้สึกว่าไม่เข้ากับนาง ฟังแล้วขัดหูยิ่ง

“เจ้ามีอะไรไม่กล้าพูดบ้าง” เขาประชด “หรือว่ายังอยากให้ข้าประทานป้ายทองละเว้นโทษตายให้เจ้าด้วย?”

“หากว่ามี เช่นนั้นก็ดีที่สุดเลยเจ้าค่ะ เสวียนจีไม่อยากถูกบังคับให้พูดความในใจออกมาเสร็จแล้วก็ถูกด่าหรอกนะเจ้าคะ”

ยามนี้ตาของเขาหรี่ลงจนแทบมองไม่เห็น คำก่นด่ากำลังจะหลุดออกมา แต่สุดท้ายก็กลั้นเอาไว้ เขาเคยระงับอารมณ์ตนเองขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร

“ก็ได้ ข้าไม่ด่า เจ้าพูดมา” เสียงฟันเสียดสีกันดังมาจากปากเขา ดูทั้งแค้นทั้งคัน

นางพึมพำลังเลอยู่ชั่วครู่ “เจ้าค่ะ ข้าจะพูด ข้ารู้สึกว่านายน้อยยกย่องบัณฑิตเย้ยโลกเกินไป” แม้จะจงใจอำพรางไว้แล้วก็ยังพอรู้สึกได้ถึงความไม่เห็นด้วยของนาง

“เจ้ากำลังปฏิเสธงานประพันธ์ของเขา?” เขาถลึงมองนาง อยากจะ…กัดนางสักที ทางที่ดีขย้ำกินไม่ให้เหลือซากจะได้ไม่ต้องเห็นใบหน้าชวนโมโหของนางอยู่ทุกเวลาเช่นนี้ คนที่ทำเขาโมโหมีอยู่ไม่น้อย แต่คนที่เป็นฝ่ายยั่วยุเอง นางคือคนแรก

นางลังเลเล็กน้อยก่อนก้มหน้าลง “บ่าวมิกล้า”

“มิกล้า! มิกล้า! มิกล้า! เจ้ามีอะไรไม่กล้าบ้าง!” เขาพูดด้วยความโกรธ เกลียดที่เห็นท่าทางเชื่อฟังว่าง่ายของนาง เขายกมือจะปัดเชิงเทียนบนโต๊ะ แต่กลับฝืนยั้งมือไว้ทันเวลา ถ้าปัดไปทางขวาก็จะไปถูกนางเข้า สาวใช้สมควรตาย!

เขาโมโหจนตัวสั่นอยู่บ้าง เส้นเลือดดำผุดบนใบหน้า โมโหที่สาวใช้นางนี้ไม่รู้จักกาลเทศะ เวลานางเถียงอย่างใจกล้า เขาโมโห เวลานางรักษาขอบเขตสาวใช้ไม่พูดอะไรสักคำ เขาก็โมโห แม้แต่แค่มองเห็นนางเขาก็ยังโมโหจนควันออกหู!

“เจ้า…” หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง หมัดเขากำจนซีดขาวแล้ว ต้องปรับลมหายใจเล็กน้อยถึงสามารถพูดได้ “เจ้า…เรียกเจาเซิงเข้ามา”

เสวียนจีประหลาดใจเล็กๆ เดิมคิดว่าเขาจะด่าแล้ว นางเปิดประตูห้องตามคำสั่ง สายลมเย็นหอบหนึ่งพัดกรูมาจากด้านนอก ความมืดยามราตรีน่าพึงใจ ดูท่าเนี่ยเฟิงอวิ๋นคงอยากนอนแล้ว อีกเดี๋ยวถือตะเกียงเดินกลับห้องพักจะต้องผ่านห้องหนังสือจี๋กู่…

หนังสือเป็นหมื่นๆ เล่ม…ตอนกลางคืนที่ห้องหนังสือไม่มีคน… นางพลันหยีตายิ้ม

นางเรียกหยวนเจาเซิงเข้ามาแล้วทำท่าจะถอยออกไป

“ใครบอกให้เจ้าไป” เนี่ยเฟิงอวิ๋นพูดเสียงเย็นเยียบ

“อา…บ่าว…” เขามิใช่จะพักผ่อนแล้วหรือไร

“มาพยุงข้าขึ้นเตียง” เขาฝืนระงับเพลิงโทสะให้สงบลงพลางว่า ทำให้ถูกหยวนเจาเซิงมองมาด้วยสายตาพิกล

เสวียนจีอึ้งไป ก้าวมาช่วยรับน้ำหนักเขาคนละข้างกับหยวนเจาเซิงอย่างยอมรับชะตากรรมทันที ควรจะรู้นานแล้วว่าเขาไม่ทรมานนางสักรอบก่อนก็ไม่มีทางปล่อยนางกลับไปเด็ดขาด

นางลอบถอนหายใจเงียบๆ เขาหนักยิ่ง โชคดีที่มีหยวนเจาเซิงช่วยรับน้ำหนักกว่าค่อนของเขาอยู่อีกด้าน กลิ่นของบุรุษเพศส่งมาจากกายเขา นี่เป็นครั้งแรกที่นางเข้าใกล้บุรุษถึงเพียงนี้ นางมิได้รังเกียจ เพียงแต่น้ำหนักที่มากทำให้รับไม่ไหว ฝืนเดินไปได้ถึงขอบเตียง ขณะ ‘วาง’ เขาลง นางเกิดซวนเซ สะดุดเตียงพุ่งล้มไปข้างหน้า

“โอ๊ย!” นางร้องออกมาเบาๆ ฟุบอยู่ตรงเอวเขาด้วยสภาพอเนจอนาถไม่น่ามอง

สะ…สวรรค์! นางขยับดิ้นรนอย่างกระอักกระอ่วน คราวนี้ต้องถูกด่าเปิงอีกแล้ว ถูกด่านั้นนางไม่ใส่ใจนัก เพียงแต่…แนบชิดขนาดนี้ ตัวเขาคล้ายว่าสะท้านน้อยๆ หน้านางร้อนซู่ โชคดีที่ได้หยวนเจาเซิงฉุดตัวนางขึ้นมา

“บ่าว…” เสียงของนางแหบพร่า รีบก้มหน้าต่ำและถอยไปหลายก้าว ถึงนางจะไม่รู้สึกว่าเขาคือบุรุษที่นางเคยชื่นชมเลื่อมใสแล้ว แต่ในเสี้ยวเวลานั้นในห้องหัวใจที่เคยมีเนี่ยเฟิงอวิ๋นสลักอยู่ก็ราวกับมีเพลิงลุกไหม้เผาหัวใจนาง

“มิได้ตั้งใจหรือ” เขาเอ่ยปาก จ้องมองใบหูแดงเถือกของนาง “ถ้าตั้งใจ กระดูกเอวข้ามีหรือจะไม่ถูกเจ้ากระแทกหักจริงๆ”

“ข้า…” นางเงยหน้าขึ้น จะเอ่ยแย้งโดยสัญชาตญาณกลับมองเห็นดวงตาดำทั้งสองกำลังจ้องมองนางเงียบๆ อย่างลึกซึ้ง ใจนางพลันเต้นสะดุดไปจังหวะหนึ่ง

“เจ้าออกไปเถอะ” เขาโบกมือ

เสวียนจีก้มศีรษะยอบตัวคารวะ ก่อนออกจากสวนซั่งกู่ไปอย่างมีมารยาท

เนี่ยเฟิงอวิ๋นครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่

“นายน้อย…” จู่ๆ หยวนเจาเซิงที่นิ่งเงียบมาตลอดก็เปิดปากพูด แต่กลับถูกเขาตัดบท

“เจ้าไม่ต้องพูดอะไร” เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนพูดโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี “ข้างนอกมืดแล้ว เจ้าไปดูให้แน่ใจว่านางกลับไปแล้วค่อยกลับมา”

“ขอรับ” หยวนเจาเซิงเดินออกไปเงียบๆ

จากนั้นสวนซั่งกู่ก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด เนี่ยเฟิงอวิ๋นนั่งอยู่บนเตียง เมื่อครู่เกือบจะถูกนางล้มใส่ทั้งตัว แรงนางมีไม่พอ เห็นได้ชัดว่าขาดการออกกำลังกาย ตัวนางอ่อนนุ่มอ้อนแอ้น เมื่ออยู่แนบชิดนางความคิดก็หยุดชะงัก มือที่ถูกนางคว้าจับ…เขาแบมือขวา ความรู้สึกสัมผัสอ่อนระทวยยังคงอยู่ ก่อนจะยกขึ้นจ่อจมูกกลับมิมีกลิ่นใดๆ ริมฝีปากเขาเหยียดยิ้มหยันออกมา

เขากำลังทำอะไร นางเป็นแค่สาวใช้เท่านั้น

เนี่ยเฟิงอวิ๋นแค่นเสียงออกจมูกเบาๆ อย่างดูแคลนตนเอง

บทที่ 4

 “พวกเจ้ามัวทำอะไรอยู่ตรงนี้ ว่างก็ไม่ไปปรนนิบัตินายน้อยสาม มาแอบอู้รับลมสบายใจอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร” เสียงตำหนิของบุรุษดังขึ้น เสวียนจีกับหลินอันที่เดินเล่นอยู่ในสวนซั่งกู่เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน

หลินอันอ้าปากพะงาบ กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไร

เสวียนจียอบตัวคารวะ “พ่อบ้านหยวน”

“พ่อ…พ่อบ้านหยวน!” หลินอันรีบขานทักตาม เหลือบมองเสวียนจีแวบหนึ่งด้วยความแปลกใจ เมื่อครู่นางพูดไม่ออกเป็นเพราะแยกไม่ออกว่าบุรุษหนุ่มตรงหน้าคือหยวนซีเซิงหรือหยวนเจาเซิงกันแน่ แล้วเสวียนจีมองออกได้อย่างไรกัน “พ่อบ้านหยวน มิใช่พวกข้าแอบอู้ เป็นนายน้อยสี่จู่ๆ ก็มาตั้งแต่เช้า ดูเหมือนกำลังสนทนาเรื่องสำคัญที่เป็นความลับอะไรอยู่กับนายน้อยสาม แม้แต่พวกข้ายังถูกไล่ออกมาเจ้าค่ะ” นางรีบร้อนชี้แจง

“เป็นเช่นนี้เองหรือ” เขาคิดพิจารณาเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นลูบคาง มองดูท้องฟ้าอีกนานกว่าจะเที่ยง มีฐานะเป็นพ่อบ้านของคฤหาสน์สกุลเนี่ย เขามีหน้าที่ทำให้บ่าวทุกคนทุ่มเททำงานโดยไม่แอบอู้

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นายน้อยสี่มาหานายน้อยสามจะต้องเพราะมีเรื่องสำคัญมากแน่นอน คงยังไม่ออกมาในเร็วๆ นี้…หลินอัน เจ้ารอรับใช้อยู่ที่นี่แล้วกัน จะได้ไม่ทำให้นายน้อยสามจะหาคนแล้วหาไม่เจอ เสวียนจี เจ้ารู้หนังสือก็ตามข้าไปขนของสักหน่อย” บุรุษล้วนแต่ชอบสตรีที่ชวนรื่นตารื่นใจทั้งสิ้น ทิ้งหลินอันไว้อาจจะสบใจนายน้อยสามมากกว่า

เมื่อตัดสินใจแล้วก็พาเสวียนจีเดินออกจากสวนซั่งกู่ต่อหน้าต่อตาหลินอันที่มีสีหน้าเหมือนกินยาขม

“พ่อบ้านหยวน พวกเราจะไปขนของอะไรเจ้าคะ”

“ไม่นับว่าขนหรอก ที่โรงกระดาษมีของมีตำหนิอยู่จำนวนหนึ่ง นายน้อยสี่เห็นว่าเอาไปใช้ไม่ได้แล้วก็เลยให้เหล่าคนงานขนมาที่คฤหาสน์ ให้ข้าคัดเอาที่เหมาะๆ มาติดผนังห้องบ่าวไพร่ ข้าคิดว่าเจ้าเคยคลุกคลีกับพู่กันน้ำหมึกมาบ้าง เรียกเจ้ามาช่วยย่อมจะดีที่สุด”

ทั้งสองเดินตามระเบียงทางเดินผ่านสะพานเล็กที่มีธารน้ำไหลผ่านด้านล่าง ขณะก้าวเข้าไปยังระเบียงชั้นล่างก็เห็นบนผนังมีหลุนอวี่เขียนอยู่เต็มไปหมด

หยวนซีเซิงเห็นนางลดความเร็วฝีเท้าลงแล้วอ่านประโยคบนผนังออกมาเบาๆ เขาก็อธิบายด้วยความภาคภูมิลำพองใจ “นายน้อยสิบสองไม่ชอบอ่านหนังสือ นายน้อยสี่จึงเขียนสี่ตำราห้าคัมภีร์ไว้เต็มผนังระเบียงทางเดินในคฤหาสน์ ทำให้เวลานายน้อยสิบสองออกมาเดินเล่นก็สามารถอ่านหนังสือได้”

“นายน้อยสี่เป็นพี่ชายที่ดีโดยแท้” นิ้วมือนางลูบตัวอักษรหวัดแกมบรรจงที่ด้านบนเบาๆ พลางอมยิ้ม

“ใช่แล้ว ระเบียงด้านนี้เป็นนายน้อยสี่เขียน อีกด้านเป็นนายน้อยสามเขียน เฮ้อ…” หยวนซีเซิงถอนหายใจหนักๆ “เมื่อก่อนนายน้อยสามเป็นอย่างตอนนี้เสียที่ไหน เขาหล่อเหลามีสง่า แม้จะดูสุภาพเรียบร้อยน้อยกว่านายน้อยสี่ไปนิดหนึ่ง แต่ก็เก่งกล้าสามารถทั้งบุ๋นทั้งบู๊ ทั้งการเจรจาการค้า เป็นคนดังในเมืองหนานจิง แต่ดูตอนนี้สิ…”

พอกล่าวถึงเนี่ยเฟิงอวิ๋น ความคิดก็ถูกดูดออกจากหลุนอวี่บนผนังอย่างยากจะห้ามตนเองได้ นางรีบก้าวตามไป เอ่ยถามอย่างจริงจัง “พ่อบ้านหยวนทราบสาเหตุที่เกิดเรื่องกับนายน้อยสามในตอนนั้นหรือไม่เจ้าคะ”

“หืม? เจ้าสนใจหรือ ได้ ข้าจะบอกเจ้า ต่อไปอยู่ต่อหน้านายน้อยสามเจ้าจะได้ระมัดระวังคำพูดบ้าง” อุตส่าห์มีโอกาสได้บ่นว่าทั้งที หยวนซีเซิงลูบๆ คาง ก่อนจะเอ่ยเล่าเรื่องในตอนนั้นออกมา “ปีนั้นน่าจะเป็นวันที่สามเดือนหกกระมัง นายน้อยสามถูกดักทำร้ายระหว่างทางไปพบใต้เท้ากวนตามนัด ดูเหมือนจะเป็นพ่อค้าหนังสือขี้แพ้จ้างชาวยุทธ์มาเล่นงานนายน้อยสาม ถึงตอนนี้ก็ยังหาตัวการไม่เจอ เฮอะ รู้ว่าเอาชนะนายน้อยสามไม่ได้ก็ถึงกับใช้อุบายลอบกัด! เคราะห์ดีที่นายน้อยสามมีวรยุทธ์ ขณะตกหน้าผาชะลอความเร็วลงได้ ถึงได้แค่บาดเจ็บที่ขาทั้งสองข้าง…”

พ่อบ้านหยวนส่ายศีรษะ ก่อนจะพล่ามต่อว่า “ที่จำได้ว่าวันนั้นคือวันที่สามเดือนหกเป็นเพราะหลิ่วหมินได้ต้นฉบับเรื่องคันฉ่องส่องบาปมาในวันนั้นพอดี ในเมื่อเจ้ารู้หนังสือก็น่าจะรู้จักเรื่องนี้กระมัง หนังสือเรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่นายน้อยสามอ่านต้นฉบับหลังได้รับบาดเจ็บ และก็เป็นเรื่องเดียวในสามปีมานี้ที่เขาเขียนบทส่งท้ายให้…”

จากนั้นเขายิ่งพูดยิ่งออกนอกประเด็น จากเรื่องคันฉ่องส่องบาปมาถึงเรื่องการแพร่กระจายของการค้าหนังสือในปัจจุบัน สุดท้ายก็เริ่มพูดถึงความลำบากในการเป็นพ่อบ้าน…

เสวียนจีตอบรับเออออไปกับเขาอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ที่แท้ก็ได้รับบาดเจ็บเมื่อวันนั้น…สาเหตุที่นางชื่นชมเลื่อมใสในตัวเนี่ยเฟิงอวิ๋นหาใช่เพราะร้านหนังสือที่เขาดูแลจัดการได้กระจายตัวไปทั่วอาณาจักรไม่ แต่เป็นเพราะเขาคือบุคคลที่เหล่าบัณฑิตนักประพันธ์ชื่นชมสรรเสริญก็เท่านั้น นอกจากเรื่องทำการค้าแล้ว เขายังเขียนบทส่งท้ายในนิยายที่เขาให้ผ่านด้วย ไม่ว่าเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ นิยายอิงตำนาน หรือว่านิยายรัก เขาล้วนเขียนแนะนำผู้แต่งหรือผู้เรียบเรียงของหนังสือนั้นๆ ไว้ในหนังสือ ระบุว่าที่ผ่านมาเคยออกหนังสือแบบใดสู่ท้องตลาดบ้าง และฉบับที่เขาตีพิมพ์ให้นี้มีจุดเด่นอะไร ยิ่งถ้าเป็นนิยายที่ได้รับความโปรดปรานให้ความสำคัญจากเขา เขาจะใช้ทัศนะของเขาเขียนเป็นบทนำร่องการอ่านสั้นๆ ไว้ข้างในด้วย บางครั้งบทนำร่องของเขายังมีถ้อยคำสำนวนชวนเพลิดเพลินยิ่งกว่าเนื้อหาข้างในเสียอีก

ทว่านิยายที่ผ่านมือเขาเช่นนี้มีอยู่ไม่มาก มักจะออกขายจำนวนจำกัด จึงยิ่งดูล้ำค่ามากขึ้นไปอีก เคยมีพ่อค้าหนังสือมาไกลจากอวิ๋นหนานเพียงเพื่อให้ได้มาสักเล่ม และก็มีชนชั้นสูงเจาะจงดั้นด้นมาจากเป่ยจิงเพราะเลื่อมใสในชื่อเสียงของเขาเช่นกัน

เขาไม่เขียนบทความใดๆ ที่เป็นหนังสือได้ อย่างน้อยก็ไม่เคยประกาศสู่สาธารณะมาก่อน ตามข่าวลือ เขาเคยพูดว่าเขาเป็นเพียงสะพานเชื่อมระหว่างนักอ่านกับผู้ประพันธ์เท่านั้น รักษารูปแบบบทความดั้งเดิมของผู้ประพันธ์ไว้ แต่ยังอยู่ภายในขอบเขตที่นักอ่านเข้าใจได้เพื่อความสมดุล

และยังเคยมีพ่อค้าหนังสือลองเดินตามรอยเขา เขียนบทส่งท้ายเลียนอย่าง แต่ก็ไม่เคยกระชับตรงประเด็นได้อย่างเนี่ยเฟิงอวิ๋น

นี่คือข่าวที่นางรวบรวมมา ทว่ามีเพียงครั้งเดียวที่ได้ประสบพบหน้าเขาจริงๆ และการสนทนาสั้นๆ ในครั้งนั้นทำให้นางยากจะลืมเลือนชั่วชีวิต…

เดินมาได้พักหนึ่งก็มาถึงห้องนอนรวมขนาดใหญ่ที่คุ้นเคย เครื่องเรือนเรียบง่ายที่ด้านในถูกย้ายมาไว้ในลานเรือนชั่วคราว ชายฉกรรจ์แข็งแรงบึกบึนสองสามคนขนกระดาษเข้ามาเป็นตั้งๆ

“พี่เสวียนจี!” หรูหมิ่นที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องนอนรวมหิ้วถังน้ำมาด้วย ครั้นมองเห็นเสวียนจีก็ทั้งตกใจทั้งดีใจ รีบเอ่ยทักอีกฝ่าย “ท่านมาได้อย่างไร ท่านมิใช่ไปปรนนิบัตินายน้อยสามแล้วหรือ สบายดีอยู่หรือไม่ ถูกรังแกอะไรหรือไม่”

“นางมาเพื่อช่วยงาน” หยวนซีเซิงเหลือกตาพูดสอด “ทำความสะอาดภายในห้องจนสะอาดแล้วหรือไร”

“เจ้าค่ะ รับรองว่าพ่อบ้านหยวนจะไม่เจอฝุ่นแม้แต่นิดเดียว” หรูหมิ่นตอบพร้อมยิ้มหวาน ก่อนจะวิ่งมาหยุดข้างเสวียนจี “พี่เสวียนจี ท่านชินกับงานหรือไม่ ข้าได้ยินบ่าวคนอื่นพูดว่านายน้อยสามโมโหร้ายจนเหมือนพญายมอย่างไรอย่างนั้น ใครทำให้เขาไม่พอใจชีวิตก็ต้องลำบาก”

หยวนซีเซิงถลึงตา นางเด็กนี่! กำลังจะบ่นสักหลายคำกลับพลันได้ยินเสวียนจีเปิดปากพูด

“หรูหมิ่น เจ้าเคยเห็นพญายมหรือ”

หรูหมิ่นอึ้งงันไป “ไม่เคย ถ้าข้าเห็น พี่เสวียนจีก็ไปเผากระดาษเงินกระดาษทองที่หลุมศพข้าได้แล้วสิ”

เสวียนจียิ้มบางๆ พลางว่า “ในเมื่อไม่เคยเห็นแล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพญายมโมโหร้าย”

“ฮ่าๆ ก็คนอื่นๆ ล้วนพูดเช่นนี้นี่นา”

“ไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องเห็นด้วยตาก่อนจะตัดสิน ถูกหรือไม่”

หรูหมิ่นตอบรับ มักรู้สึกเสมอว่าในคำพูดของพี่เสวียนจีแฝงความหมายลึกซึ้ง นางไม่เคยเรียนหนังสือ ย่อมจะเข้าใจหลักเหตุผลจำนวนหนึ่งได้ไม่เท่าพี่เสวียนจี แต่ทว่า…นางใช้สมองคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามเสียงอ่อย “ความหมายของพี่เสวียนจีคือ…ข้าไม่เคยเห็นนายน้อยสาม ดังนั้นจึงไม่อาจตัดสินว่าเขาโมโหร้ายได้?”

เสวียนจีพยักหน้า สะกิดจมูกนางก่อนพูดยิ้มๆ “หรูหมิ่นช่างเป็นเด็กที่เรียนรู้เก่งนัก”

“นั่น…นั่นหมายความว่าอย่างไร”

“หมายถึงว่าเจ้าฉลาดยิ่ง” คำชมของนางทำให้หรูหมิ่นหน้าแดง

หยวนซีเซิงออกแรงกระแอมจนเกือบเลือดออกในคอ! นางเห็นที่นี่เป็นอะไร ห้องเรียนอย่างนั้นหรือ ทั้งยังมาสั่งสอนสาวใช้ตรงนี้อีก ถ้ามิใช่เห็นนางพูดแทนนายน้อยสาม เขาคงลงมือห้ามไปนานแล้ว

“พวกเจ้าอย่าเอาแต่คุยเล่นอยู่ตรงนี้ หรูหมิ่น รีบไปเรียกสาวใช้ในห้องออกมา แล้วก็ดูกันเองว่าจะเลือกกระดาษชนิดใด” เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ เห็นหรูหมิ่นรีบวิ่งเข้าห้องไปแล้วถึงกล่าวขึ้นอีกว่า “ข้าจะบอกให้นะ เสวียนจี สาวใช้ในคฤหาสน์สกุลเนี่ยพูดน้อยทำมากมาแต่ไหนแต่ไร แม้เจ้าจะเคยเรียนหนังสือ แต่ก็อย่ากรอกความคิดประหลาดอะไรให้พวกสาวใช้เด็กๆ จะดีกว่า…เอ๊ะ เจ้ากำลังทำอะไร”

เสวียนจีที่ก้มหน้าก้มตาอยู่ในกองกระดาษเอ่ยถามโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า “พ่อบ้านหยวน กระดาษเหล่านี้เอาไปใช้ไม่ได้แล้วหรือเจ้าคะ”

“ใช่แล้ว ข้าเห็นว่าในคฤหาสน์ปัดกวาดจนสะอาดแล้วถึงได้คิดจะทำความสะอาดห้องนอนรวมนี้ไปด้วย ประจวบเหมาะว่ามีของมีตำหนิให้ทำเป็นกระดาษติดผนังพอดี จึงจะเปลี่ยนใหม่ให้เหมือนกันทั้งหมดเสียเลย…”

“เช่นนั้นกระดาษที่เกินมาก็ต้องทิ้งหรือเจ้าคะ” นางตัดบทเขา

“ไม่ทิ้งแล้วจะให้เอามานอนต่างเตียงหรือไร”

“เช่นนั้นข้าขอไปสักหลายแผ่นได้หรือไม่”

“ได้…ได้สิ ขอเพียงเจ้ามีที่วาง เจ้าอยากเอาไปเท่าไรก็เอาไปได้เลย” หยวนซีเซิงพูดอย่างใจกว้าง มองดูนางรื้อดูของมีตำหนิเหล่านั้นด้วยท่าทางคล้ายว่าเพลิดเพลินยิ่ง ช่างเป็นสาวใช้ที่ประหลาดนัก ในคฤหาสน์สกุลเนี่ยเขาสามารถคาดเดาความคิดความอ่านของสาวใช้ได้ทุกคน ยกเว้นก็แต่ฉินเสวียนจีผู้นี้…

อันตราย อันตรายทีเดียว!

สัญชาตญาณของเขากำลังร้องเตือน แต่เขากลับไม่รู้ว่าอันตรายที่ตรงใด นางเป็นภัยต่อเขาแน่นอน แต่เป็นภัยที่ตรงใดก็ไม่รู้ แม้นางจะมีฐานะเป็นทายาทของอาจารย์สอนหนังสือ แต่ยามมองดูนางกลับมักรู้สึกเหมือนมองบุปผากลางหมอก ไม่รู้ว่าเป็นดอกอะไร มีพิษหรือไม่…

วันที่เกิดเรื่องกับนายน้อยสาม ในอกเขาก็รู้สึกไม่ใคร่สบายและเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาเช่นกัน ทว่าตอนนี้ความรู้สึกไม่ดียิ่งรุนแรงกว่าเดิม จะเกิดเรื่องกับใครโดยมีสาเหตุจากนางกันแน่

จะเป็นใครกันนะ…

“ยืมหมึกกับพู่กันมาแล้ว!” ชุ่ยอวี้วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้น

ผ่านมาครึ่งค่อนวัน บนผนังห้องนอนรวมมีกระดาษที่ผ่านการตกแต่งเพิ่มติดอยู่เต็มแล้ว สาวใช้ที่หยวนซีเซิงทิ้งไว้ที่นี่มีเพียงสี่ห้าคน เลยเที่ยงถึงได้ติดเรียบร้อยเป็นส่วนใหญ่

เหอจูฝนหมึกพลางถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “เช่นนี้ก็ดีอยู่แล้ว สะอาดสะอ้านดี จะเอาหมึกเอาพู่กันมาทำอะไร”

“นั่นสิ พี่เสวียนจี บ้านข้ายังไม่สวยเท่าห้องนอนรวมห้องนี้เลย ซ้ำพวกเราก็ไม่รู้หนังสือ ยืมหมึกยืมพู่กันมาจะมีประโยชน์อะไร”

เสวียนจียิ้มออกมา “พวกเราไม่จำเป็นต้องรู้หนังสือ” นางจับพู่กันที่คุณภาพหยาบไปสักหน่อยขึ้นมา ก่อนจะถอดรองเท้าปีนขึ้นเตียง “นี่คือเตียงของหรูหมิ่นกระมัง”

“ใช่แล้ว เดิมทีพี่เสวียนจีก็นอนอยู่ข้างข้า แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเหอจูแล้ว…อ๊ะ พี่เสวียนจี ท่านกำลังทำอะไร”

เหล่าสาวใช้ในห้องเบิกตาโต เห็นนางจรดพู่กันลงบนกระดาษติดผนัง ไม่เหมือนกำลังเขียนอักษร กลับเหมือนกำลัง…วาดภาพ

“เจ้าลองทายดูว่าข้ากำลังวาดอะไร” นางหันหน้ากลับมามองหรูหมิ่นแวบหนึ่ง ก่อนมุ่งสมาธิกับภาพอีกครั้ง ลีลาลายเส้นดูเป็นธรรมชาติตามอารมณ์ วาดหน้าเสร็จ หรูหมิ่นก็พลันร้องออกมาเบาๆ

“อ๊ะ?! นั่นคือข้า!”

“จริง! จริงด้วย! ดูเหมือนหรูหมิ่นยิ่งนัก!” ชุ่ยอวี้ร้องอุทาน แม้จะยังไม่ถึงขั้นวิเศษยอดเยี่ยมที่สุด แต่ก็สามารถมองออกได้ว่านั่นคือหรูหมิ่น “พี่เสวียนจี ท่านก็วาดภาพเป็นด้วย?!”

“วาดได้เพียงผิวเผินเท่านั้น ลงลึกกว่านี้ก็ไม่ไหวแล้ว” ที่ผ่านมาก็เคยลองศึกษาเรื่องภาพพิมพ์มาเล็กน้อย ทว่าความเป็นจริงได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสองมือนางมิได้ชำนาญ ภาพที่พิมพ์ออกมาทั้งหยาบทั้งตลก นางจึงยอมแพ้ไป

หวนนึกถึงเมื่อก่อน ใช่ว่าความทรงจำทั้งหมดจะล้วนไม่ดี เพียงแต่พอเข้าคฤหาสน์สกุลเนี่ยมาก็ย้อนคิดถึงอดีตน้อยยิ่ง อยู่ในคฤหาสน์สกุลเนี่ยนางต้องง่วนกับการรับมือทุกเรื่องที่สาวใช้พึงทำ รับมือกับเนี่ยเฟิงอวิ๋นที่เจ้าอารมณ์ผู้นั้น ทำไปทำมาก็กลายเป็นคิดน้อยครั้งลง…ยามนี้ก็พลันมุ่นหัวคิ้วเข้าด้วยกัน

ไม่รู้ว่าตอนเที่ยงเขาได้กินข้าวแล้วหรือยัง

แม้จะเพิ่งปรนนิบัติรับใช้เขามาได้เพียงวันสองวันเท่านั้น แต่ก็สังเกตเห็นว่าเขากินไม่มาก เวลาส่วนใหญ่ล้วนเอาแต่อารมณ์เสีย

“วาดเสร็จแล้วหรือ ดู…ดูเหมือนข้ายิ่งนัก!” หรูหมิ่นร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ แต่ก็ลังเลขึ้นมาอีกเล็กน้อย “แต่ว่า…แต่ว่าข้าไม่ได้ถือดอกเหมยเสียหน่อย” สาวน้อยน่ารักในภาพถือดอกเหมยอยู่กิ่งหนึ่ง

“ในสายตาข้า พวกเจ้าอายุยังน้อยกลับต้องขายตัวมาทำงานในคฤหาสน์สกุลเนี่ยเพื่อพี่น้องในบ้าน เหมือนกับดอกเหมยดอกเล็กๆ เป็นที่สุด ดูเหมือนไม่สะดุดตา แต่กลับสามารถรักษาตัวผ่านฤดูหนาวที่หนาวเหน็บเสียดกระดูก ส่งกลิ่นหอมของตัวเองออกมาได้” เสวียนจียิ้มเขินอย่างหาได้ยากพลางกล่าวต่อ “นี่คือเหตุผลข้อหนึ่ง ส่วนเหตุผลอีกข้อคือข้าวาดเป็นแต่ดอกเหมย ดอกไม้อื่นข้าวาดได้ไม่งาม”

หรูหมิ่นมองนางอย่างไม่แม้แต่จะกะพริบตา “พี่เสวียนจี…”

“อืม?” นางเดินไปถึงตำแหน่งเตียงของชุ่ยอวี้ ชุ่ยอวี้ก้าวขึ้นเตียงมานั่งตัวตรงเป็นแบบให้นางวาดตามทันที นางหัวเราะเบาๆ เอาพู่กันแตะน้ำหมึกแล้วเริ่มวาดลงบนกระดาษติดผนัง

“ข้า…ข้ารู้สึกว่า…” รู้สึกว่าท่าน…ท่านงามยิ่งนัก แม้จะเป็นเพียงใบหน้าด้านข้าง แต่รอยยิ้มอายหน้าแดงนั้นทำให้ข้าใจลอยแล้ว

พี่เสวียนจีไม่งามจริงๆ อย่างน้อยในแวบแรกที่เห็นก็เป็นเช่นนี้ พวกนางเป็นสาวใช้ที่เข้าคฤหาสน์สกุลเนี่ยมาชุดเดียวกัน ทุกคนต่างอัดอยู่ด้วยกันบนรถม้า เวลานั้นเพียงรู้สึกว่าหลินอันงามจนน่าอิจฉา จนทำให้คนรู้สึกอายในความอัปลักษณ์ของตน ส่วนพี่เสวียนจีก็นั่งอยู่ในมุมอย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไรมาก ทว่าเห็นแล้วก็รู้สึกสบายตา พอเข้าใกล้ยิ่งรู้สึกว่านางมีกลิ่นอายบางอย่างที่ทำให้คนสบายใจ แต่บัดนี้เห็นพี่เสวียนจีวาดภาพอย่างตั้งอกตั้งใจก็ทำให้นางละสายตาไปไม่ได้…

“เป็นอะไรไป” เสวียนจีไม่ได้ยินหรูหมิ่นพูดต่อก็ผินหน้ามามองนาง

“ไม่…ไม่มีอะไร” หรูหมิ่นหน้าแดง ถ้าบอกออกไปว่าแค่นางมองหน้าพี่เสวียนจีก็ใจเต้นตึกตักแล้ว ไหนเลยจะไม่ถูกคนหัวเราะเอา “ข้า…ข้าหมายถึง พี่เสวียนจีก็เหมือนกับพวกเรา มิใช่ขายตัวมาทำงานในคฤหาสน์สกุลเนี่ยเช่นกันหรือไร พวกข้าทำเพื่อปากท้องคนในบ้าน ท่านทำเพื่อหาเงินฝังศพบิดา พวกเราล้วนลำบากเหมือนกัน ไฉนท่านถึงเอาแต่บอกว่าพวกข้าเหมือนดอกเหมย แต่กลับลืมตัวท่านเองไปเล่า”

พู่กันในมือเสวียนจีหยุดชะงัก ขนตาเรียวยาวบดบังข้อความในดวงตา

ผ่านไปครู่หนึ่งเสวียนจีถึงได้พูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “ข้าอายุปูนนี้แล้ว ต่อให้เป็นดอกเหมยก็คงเป็นดอกที่ใกล้โรยแล้ว”

ท่านพูดเสียตัวเองดูแก่นัก หรูหมิ่นหวิดจะหลุดปากพูดออกมาเช่นนี้ แต่ยั้งไว้ได้ทันเวลา ถึงนางจะไม่รู้หนังสือ ไม่เข้าใจการวาดภาพ ทว่าก็พอจะเข้าใจว่าประเด็นนี้ไม่ควรพูดต่อไปอีก ส่วนว่าเพราะอะไรนั้นก็บอกไม่ถูกแล้ว แม้สีหน้าของพี่เสวียนจีจะไม่เปลี่ยน แต่ความสดใสเปล่งปลั่งชวนลุ่มหลงเช่นขณะวาดภาพเมื่อครู่ก่อนกลับหายไปแล้ว

เป็นเพราะอะไรกันแน่ เพราะนางอายุยี่สิบสอง เลยวัยเหมาะสมที่จะแต่งงานแล้วอย่างนั้นหรือ ปีนี้ตนอายุสิบหก ย่อมไม่อาจเข้าใจสภาพจิตใจของพี่เสวียนจีได้ แต่ก็ไม่อาจนึกภาพว่าจะไม่มีคนต้องการพี่เสวียนจีได้อีกเช่นกัน นางอาจจะไม่มีรูปโฉมเช่นหลินอัน แต่ก็ชวนให้คนอยากอยู่ใกล้ อายุนางอาจจะมากไปสักหน่อย แต่ก็เพราะนางอายุยี่สิบสองถึงได้มีสติปัญญาและท่าทีที่ชวนให้คนรู้สึกอบอุ่นสบายใจเช่นนี้มิใช่หรือ

บุรุษชอบสตรีอ่อนวัย กลับลืมเลือนไปว่าสติปัญญานั้นเพิ่มขึ้นตามอายุ พี่เสวียนจีในตอนนี้ดียิ่งนัก…หรูหมิ่นเริ่มเค้นสมองคัดสรรบ่าวชายในคฤหาสน์สกุลเนี่ยที่คู่ควรกับอีกฝ่าย แม้นางจะเพิ่งมาได้เพียงเดือนกว่า แต่ก็พอจะรู้จักบ่าวชายอยู่จำนวนหนึ่ง

ต้องเป็นคนเช่นไรถึงจะเหมาะสมกับพี่เสวียนจีกันนะ

 

ตกบ่าย หน้าต่างถูกเปิดออก ลมพัดผ่านเข้ามา วาดภาพเหล่าสาวใช้ที่นอนร่วมเตียงยาวแถวหนึ่งเสร็จแล้ว เสวียนจีก็เริ่มให้พวกนางฉีกกระดาษอวิ๋นหมู่* สีถั่วเขียวเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนนำมาติดลงไปอย่างไม่มีแบบแผน

มองจากไกลๆ บรรดาเด็กสาวในภาพก็ดูเหมือนอยู่กลางคลื่นน้ำ

นางอาศัยจังหวะที่พวกชุ่ยอวี้ช่วยกันติดเศษกระดาษพลางหัวเราะคิกคัก ค้นกระดาษเกาลี่หลายแผ่นออกมาจากในตั้งกระดาษ

“พี่เสวียนจี ท่านกำลังทำอะไรอีก เท่านี้ก็ดีพอแล้ว ดูเหมือนเป็นนางฟ้าจำนวนมากกำลังแหวกว่ายในน้ำเลย” หรูหมิ่นผละจากสาวใช้กลุ่มนั้นเดินมาใกล้นาง เอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ พี่เสวียนจีเหมือนเป็นแม่เหล็กก้อนใหญ่ ตนมักอดจะอยากอยู่ใกล้นางไม่ได้

“ข้ากำลังทำกระดาษบันทึก พ่อบ้านหยวนบอกว่ากระดาษเหล่านี้จะถูกทิ้ง ในเมื่อจะทิ้งแล้ว ข้าก็ขอสักหลายแผ่น” เสวียนจีตัดกระดาษ

“มีประโยชน์อะไรหรือ” ดวงตาหรูหมิ่นเบิกโต มองดูนางตัดกระดาษเกาลี่จนมีขนาดใหญ่กว่ากระดาษอวิ๋นหมู่สีถั่วเขียวพอประมาณ จากนั้นก็แตะหมึกวาดดอกเหมยกิ่งหนึ่งไว้ทางขวาบน

“ไม่มีประโยชน์อะไร เจ้าแค่สามารถเขียนกลอนเขียนคำลงบนมันได้ อยากเขียนอะไรก็เขียน” นางพลันจับพู่กันเขียนอักษรไม่กี่ตัว วาดดอกเหมยขาวกิ่งหนึ่งไว้ด้านบนเสร็จก็ยื่นให้หรูหมิ่น

“ให้…ให้ข้าหรือ” สีสันเรียบๆ ประกอบกับดอกเหมยกิ่งนั้นงามเรียบและยังน่ารัก เหมือนกับความรู้สึกที่พี่เสวียนจีให้นาง “แต่ว่า…ข้าไม่รู้หนังสือนะ”

“นี่คือ ‘หรูหมิ่น’ หรูจากคำว่างามปานบุปผา หมิ่นจากคำว่าอ่อนไหว เมื่อรวมกันก็คือหรูหมิ่นที่น่ารักน่าชัง” นางอธิบายพร้อมรอยยิ้ม

หรูหมิ่นหน้าแดงก่ำ ก้มหน้ามองดูชื่อของตนเอง ที่แท้นี่ก็คือชื่อที่บิดามารดาเรียกนางมาตั้งแต่เล็ก…พี่เสวียนจีจะอย่างไรก็เป็นทายาทของอาจารย์สอนหนังสือ จะมากจะน้อยย่อมต้องเคยร่ำเรียนเขียนอ่านมาบ้าง ไม่เหมือนบัณฑิตในบ้านเกิดนางที่เอะอะก็ท่องกลอนออกมาเป็นชุดโดยไม่สนใจว่านางจะฟังเข้าใจหรือไม่ พี่เสวียนจีกลับใช้คำที่นางเข้าใจมาอธิบายให้นางฟัง…

“เป็นอะไรไป ไม่ชอบหรือ”

“ไม่ๆ ชอบสิ! นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้รู้จักหน้าตาของชื่อตัวเอง” หรูหมิ่นพูดอย่างตื่นเต้นดีใจ “พี่เสวียนจี นี่เรียกว่ากระดาษอะไรหรือ”

เสวียนจียิ้มพลางส่ายหน้า “เป็นกระดาษที่ข้าทำขึ้นเล่นๆ ไม่ได้ตั้งชื่อหรอก ถ้าเจ้าอยากเรียกอะไรก็เรียกเถิด”

“ให้ข้าตั้งชื่อหรือ ได้…ข้าจะคิดให้ดี ชื่อ…ชื่อ…ชื่อกระดาษเสวียนจี ดีหรือไม่”

“ดี เอาตามเจ้าว่านี่ล่ะ” เสวียนจียิ้ม ตอนแรกที่ทำกระดาษบันทึกก็เพียงแต่ทำไปตามอารมณ์ มิได้ตั้งใจ เวลาเบื่อๆ ก็ซื้อกระดาษมาทำ สิ่งที่เขียนก็มิใช่กลอนเสียทั้งหมด เพียงแต่อยากเขียนอะไรก็เขียนลงไป ไม่เคยคิดว่าจะเรียกชื่อว่าอะไร

เสวียนจีอย่างนั้นหรือ ดี

เสวียนจีก้มหน้าวาดดอกเหมยลงบนกระดาษ หรูหมิ่นถือโอกาสขณะพ่อบ้านหยวนยังไม่มาตรวจดูห้องนอนรวมช่วยฝนหมึกอย่างเบิกบานใจ ครั้นพลันเห็นถังน้ำที่เคยใช้ยังวางอยู่ข้างๆ นางก็พูดขึ้นยิ้มๆ “พี่เสวียนจี ข้าจะยกถังน้ำออกไปก่อน เดี๋ยวข้ากลับมาฝนต่อ” ตัวนางค่อนข้างเล็กเป็นทุนเดิม ขณะกระโดดข้ามธรณีประตูได้เกิดสะดุด ร้องออกมาเสียงหนึ่งด้วยความเจ็บ ก่อนจะล้มคะมำไปข้างหน้า

“อ๊า!” ชนเข้ากับกำแพงเนื้อ น้ำตาเกือบร่วง “ขอบ…คุณ…อ๊า พ่อ…พ่อบ้านหยวน!” เงยหน้าขึ้นมองแล้วก็ต้องตกใจกลัว “มาตรวจเร็วขนาดนี้เชียวหรือ”

เขามองนางปราดหนึ่งอย่างเย็นเยียบ ดันนางที่ตัวยังแนบอยู่กับอกเขาไปข้างๆ ก่อนเดินเข้าห้องนอนรวม

เสวียนจีเงยหน้าขึ้น คิ้วเรียวมุ่นเข้าด้วยกันอย่างห้ามตนเองไม่ได้ “ผู้อารักขาหยวน นายน้อยสามมีเรื่องเรียกใช้หรือ”

ก้นดวงตาหยวนเจาเซิงมีแววตกตะลึงวิ่งผ่าน แต่ก็ถูกเก็บลงในเวลาเพียงไม่นาน “เจ้าไม่ควรหนีไปไหนส่งเดช”

“ข้าไม่ได้หนี เพียงแต่รับงานมาทำเพิ่ม เรื่องนี้ท่านถามพ่อบ้านหยวนดูก็ทราบแล้ว” นางวางพู่กันลง ก่อนจะเก็บกระดาษเสวียนจีที่เพิ่งทำเสร็จขึ้น

“พี่เสวียนจี…เขา…เขาไม่ใช่พ่อบ้านหยวนหรอกหรือ” หรูหมิ่นเดินมา เหลือบมองเขาอย่างระมัดระวังยิ่ง

เหมือนมาก…เหมือนจริงๆ

“เขาคือพี่ชายฝาแฝดของพ่อบ้านหยวน หน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียด นิสัยกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง เขาคือผู้อารักขาหยวนผู้คุ้มครองประจำตัวนายน้อยสาม”

“อ้อ…” หรูหมิ่นหน้าแดง ดวงตาหลุบลงเงียบๆ

เสวียนจีหยิบกระดาษแผ่นค่อนข้างใหญ่มาห่อกระดาษบันทึกเอาไว้ “ข้าต้องไปแล้ว มิเช่นนั้นข้าต้องถูกตีแน่”

“ตีหรือ!” หรูหมิ่นอุทาน

“นายน้อยสามไม่เคยตีสตรี” หยวนเจาเซิงพลันโพล่งออกมาพลางมองนางแวบหนึ่งด้วยสายตาไม่เห็นด้วย เหมือนกำลังตำหนิว่านางทำลายชื่อเสียงของเนี่ยเฟิงอวิ๋น

นางถอนใจก่อนพูดยิ้มๆ “ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น มิได้คิดเป็นจริงเป็นจัง” เพิ่งจะพูดจบก็พลันใจสั่นเล็กน้อย ที่แท้นางก็ยังรู้จักพูดเล่นอยู่ พอเงยหน้าเห็นสองคนที่ด้านข้างดูมิได้มีท่าทางคล้อยตามอารมณ์ขันของนาง แม้ยามนี้อยากหัวเราะแต่ก็กลั้นไว้ได้ทัน ดูท่าอารมณ์ขันของนางยังต้องได้รับการฝึกฝนอีกมากกระมัง

“ข้าเรียบร้อยแล้ว ไปกันเถิด”

นางก้าวเท้าออกเดิน หยวนเจาเซิงตามติดอยู่ด้านหลัง หรูหมิ่นตะลีตะลานก้าวตามไป

“พี่เสวียนจี ถ้าท่านมีเวลาว่างก็มาเยี่ยมหรูหมิ่นด้วย” นางรีบร้องบอก ก่อนต้องร้องโอดโอยออกมาทันที จุดจบของการเดินเร็วเกินไปคือชนเข้ากับแผ่นหลังของบุรุษผู้นั้น

นางหน้าแดง รีบกระโดดผละออกมา เขากลับเดินตามเสวียนจีต่อไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมามอง

หรูหมิ่นตามไม่ทัน ได้แต่ใช้สายตามองส่ง หากแต่พี่ชายฝาแฝดของพ่อบ้านหยวนผู้นั้นตามอยู่ด้านหลังเสวียนจี บังร่างผ่ายผอมอ่อนแอของเสวียนจีเสียมิด นางจึงได้แต่มองส่งเงาหลังของคนแซ่หยวนนั่นเป็นเวลานานแทน

“เจ้าแยกออกหรือ” ระหว่างเดินไปสวนซั่งกู่ จู่ๆ หยวนเจาเซิงก็โพล่งคำถามประโยคนี้ออกมา

เขาพูดจากระชับได้ใจความมาแต่ไหนแต่ไร ประหยัดคำได้ก็ประหยัด เหมือนว่าพอเกิดมาก็มอบพรสวรรค์ด้านการพูดให้หยวนซีเซิงน้องชายฝาแฝดทั้งหมด

เสวียนจีพยักหน้าด้วยรู้ว่าเขาถามถึงเรื่องใด “แม้ผู้อารักขาหยวนกับพ่อบ้านหยวนจะเกิดมามีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน แต่จะอย่างไรก็มีความแตกต่างอยู่เล็กๆ”

เดินเข้าสวนซั่งกู่มาแล้วก็มองเห็นแต่สีเขียว เงียบสงัด แทบไม่มีร่องรอยผู้คน ผู้ที่ปกติเข้ามาสวนซั่งกู่ได้มีเพียงเหล่าเจ้านายของคฤหาสน์สกุลเนี่ยและพ่อบ้านหยวนกับสาวใช้อีกไม่กี่คน…อันที่จริงขอเพียงปรนนิบัติเนี่ยเฟิงอวิ๋นได้ดี การอยู่ที่สวนซั่งกู่อันเงียบสงบก็ดีกว่าไปทำงานงกๆ ในส่วนอื่นของคฤหาสน์

หยวนเจาเซิงมองเสวียนจีแวบหนึ่งด้วยแววตาเย็นเยียบ “ความสามารถในการสังเกตของเจ้าช่างละเอียดนัก” มีสตรีน้อยคนที่ทำได้เช่นนี้ ถึงเป็นเหล่าสาวใช้ที่ทำงานในคฤหาสน์มานาน แต่พอเห็นเขาก็ยังมีบางครั้งที่แยกไม่ออก ทว่านางกลับแยกแยะได้

“ขอบคุณผู้อารักขาหยวนที่ชม” เสวียนจีกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ

“ห่อนั้นคือของอะไร”

“เป็นของส่วนตัว พ่อบ้านหยวนอนุญาตแล้ว”

“ถามว่าคืออะไร” เขายังยืนกรานถาม

เห็นได้ชัดว่าเขาจงรักภักดีทุ่มเทต่องานถึงขั้นไร้สติ ไม่เคยคิดเลยว่านายน้อยที่โมโหฉุนเฉียวง่ายอย่างเนี่ยเฟิงอวิ๋นก็ทำให้บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งมีใจจงรักภักดีถึงเพียงนี้ได้เช่นกัน

นางถอนหายใจ “กระดาษ เป็นของมีตำหนิที่พ่อบ้านหยวนไม่ต้องการแล้ว ข้าเห็นว่าทิ้งไปก็สิ้นเปลืองจึงเลือกเก็บไว้หลายแผ่น”

เขาไม่พูดอะไรอีก กลับมานิ่งเงียบเช่นปกติ ธรรมดาไม่เห็นเขาจะปริปากพูดสักกี่คำ ถึงตอบคำถามก็เพียงตอบทื่อๆ สั้นกระชับไม่กี่คำ มีเพียงเนี่ยเฟิงอวิ๋นที่ดึงอารมณ์ความรู้สึกของเขาออกมาได้ ความผูกพันระหว่างนายบ่าวเช่นนี้ทำให้นาง…ประหลาดใจยิ่ง และก็อิจฉายิ่งเช่นกัน นางไม่เคยมีสหายสนิทรู้ใจ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้เขายอมทำงานถวายชีวิตเพื่อเนี่ยเฟิงอวิ๋นผู้นั้น

เมื่อเข้าใกล้หอซั่งกู่ก็เห็นว่าหน้าต่างเปิดอยู่ เงาร่างขรึมเคร่งเย็นชาปรากฏตรงหน้าต่าง ในดวงตาคล้ายมีเปลวไฟลุกโชน จับจ้องตรึงอยู่ที่ใบหน้านาง

“ข้าไปกระตุกต่อมโมโหเขาอีกแล้วหรือ” เสวียนจีพึมพำพลางเดินเข้าหอซั่งกู่ ก่อนจะค่อยๆ ยอบตัวคารวะ “นายน้อย”

เขานั่งอยู่บนรถเข็นที่ข้างหน้าต่าง แค่นเสียงเย็นและเบือนหน้าหนี

บรรยากาศอันเยียบเย็นแข็งทื่อทำให้หลินอันที่เฝ้าอยู่ข้างๆ อกสั่นขวัญผวา เหงื่อนางไหลพรากมาตั้งแต่หนึ่งก้านธูปก่อนจนน้ำจะหมดตัวแล้ว “พี่เสวียนจี…พ่อบ้านหยวนพาท่านไปไหนกันแน่” นางกลืนน้ำลายพลางเอ่ยถามแทนเจ้านาย “นายน้อยหาตัวท่านตั้งแต่ออกมาแล้ว…”

“ใครหาตัวนางกัน ที่นี่ให้เจ้าพูดจาเหลวไหลได้หรือ” เขาพลันเอ่ยขึ้นด้วยถ้อยคำเปี่ยมความดุร้าย ก่อนจะหันหน้ามาจนเห็นชัดว่าหว่างคิ้วขมวดมุ่น ริมฝีปากเม้มแน่น สายตาเลื่อนไปมาระหว่างหยวนเจาเซิงกับนาง “เจ้าคงคิดว่าจะหลุดพ้นจากข้าแล้วกระมัง”

“เสวียนจีมิกล้า”

“มิกล้าอีกแล้ว? เกิดมาปากเจ้าก็พูดเป็นแต่คำนี้หรือไร ข้ากลับเห็นว่าเมื่อครู่เจ้ายังคุยสนุกสนานกับเจาเซิงอยู่เลย เหตุใดพอเห็นข้าก็ทำตัวเหมือนสาวใช้ที่ทนทรมานสารพัดขึ้นมาแล้ว”

ถูกต้อง ท่านพูดไม่ผิดสักนิด! นางเกือบจะหลุดปากพูดออกไปแล้ว อยู่ดีๆ โทสะอันอธิบายไม่ได้ของเขาก็ทุ่มลงมาใส่ตัวนางเช่นนี้ นางไปกระตุกต่อมโมโหตรงไหนของเขากันแน่ หรือว่านางไปขัดอะไรเขา?

ถึงเขาจะเคยเป็นเนี่ยเฟิงอวิ๋นที่นางชื่นชมเลื่อมใส นางก็มีวันที่สุดทนเช่นกัน ที่ในอดีตนางอยู่ที่บ้านยังสามารถอดทนได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เคยมีเวลาที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมา เป็นเพราะว่าคนในครอบครัวไร้หัวใจต่อนาง นางเห็นคนเหล่านั้นเป็นอากาศธาตุ ส่วนตอนนี้เพราะว่าในอกยังหลงเหลือความชื่นชมเลื่อมใสต่อเขาอยู่ นางถึงได้กัดฟันกำหมัดที่ข้างตัวแน่น

ดวงตาเขาหรี่ลง “เจ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้วหรือ”

“เสวียนจี…เสวียนจีเดิมก็เป็นบ่าวของนายน้อย ไม่กล้าขัดขืนนายน้อยคือสิ่งที่ข้าควรทำ ท่านจะด่าจะตี หรือต่อให้จะฆ่าแกงกัน เสวียนจีก็ไม่กล้าพูดอะไร”

“ดูที่เจ้าพูดเถอะ ฟังดูเหมือนยอมจำนนไม่ขัดขืน แต่ข้ากลับเห็นเจ้าขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แสดงชัดว่าต่อต้านข้า”

หน้านางค่อยๆ มีเลือดฝาดจากความโมโห นางไม่เคยแสดงอารมณ์ความรู้สึกอะไรออกทางสีหน้าตลอดมา จะมีก็แค่ความเฉยเมย พริบตาเดียวก็หายไป ความโมโหที่เกิดเพราะหนังสือเองก็เป็นเพียงครู่สั้นๆ…เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโบกมือ

“เจ้าอยู่ก่อน คนอื่นออกไป”

หยวนเจาเซิงถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ หลินอันเองก็โล่งอก รีบร้อนจากไปประหนึ่งว่าขอแค่ภัยมาไม่ถึงตน จะเกิดอะไรก็ช่าง

ในหอซั่งกู่เหลือเพียงคนทั้งสอง เขาจ้องจับสังเกตนาง นางเองก็มองเขาเขม็งกลับไป ฉับพลันนั้นอาหารบนโต๊ะกลมก็ดึงดูดความสนใจของนาง

“นายน้อยยังมิได้กินข้าว?” สังหรณ์ก่อนหน้านี้เป็นความจริง

นี่มันยามอะไรแล้ว เขายังไม่กินข้าวอีก?

“ถูกสาวใช้ทำให้โมโหจนอิ่มแล้ว ไหนเลยจะยังกินลง” น้ำเสียงเขาอ่อนลงเล็กน้อย มือลูบต้นขาไปมา

“นายน้อยโมโหเสวียนจีเรื่องอะไรกันแน่เจ้าคะ” เขาเห็นนางขัดหูขัดตาขนาดนี้จริงๆ หรือ ถึงจะบอกตนเองว่าเขาขัดหูขัดตาหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง แต่ในใจยังยากจะระงับความผิดหวังอยู่ดี

เห็นนางขัดตาตรงใด รูปโฉมนางหรือ ตั้งแต่นางเริ่มรู้ความล้วนไม่เคยรู้สึกผิดหวังหรืออับอายด้วยเรื่องที่ตนเองมีรูปโฉมไม่โดดเด่น ในยุคสมัยนี้ความงามเป็นดั่งเคราะห์ภัย เมื่อมีรูปโฉมงดงามก็แสดงว่าจะมีความยุ่งยากมาหาไม่จบไม่สิ้น ถึงขนาด…บ้านแตกสาแหรกขาดได้เลย นางดีใจยิ่งที่รูปโฉมของตนนั้นธรรมดา ทำให้นางทำเรื่องใดๆ ก็ไม่ดึงดูดสายตาใคร แต่ตอนนี้กลับชักจะเสียใจอยู่สักหน่อยแล้ว

“สีหน้าท่าทางเจ้าเหมือนบอกว่าข้าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างโหดร้ายทารุณ” เขาเม้มปาก

นางก้มหน้ายืนตัวตรง ร่างที่แข็งทื่อดูเหมือนผีดิบในนิยายชาวบ้านอย่างไรอย่างนั้น

“เจ้ามาใกล้ๆ หน่อย”

นางเดินไปสองสามก้าวตามคำสั่งของเขา

“ข้าน่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ มาใกล้อีกหน่อย!” เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ รอจนนางเดินเข้ามาใกล้เขาไม่เกินหนึ่งก้าวถึงได้บอกให้นางหยุด

ตัวนางยังคงมีกลิ่นกระดาษ แต่ดูคล้ายกลิ่นจะแรงขึ้นกว่าเดิม พอนางเข้ามาใกล้ก็ทำให้อารมณ์เขาสงบลงเล็กน้อยเหมือนขณะเช็ดหน้าในวันนั้น

เขาหลับตาลง ที่แท้วันนั้นมิใช่เขานึกหลอนไปเองจริงๆ รอบตัวนางมีกลิ่นอายที่ทำให้คนรู้สึกสบาย ที่แท้มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับกลิ่นกระดาษอย่างนั้นหรือ แม้แต่สองขาของเขายามนี้ก็คล้ายว่าไม่เจ็บเท่าเมื่อครู่แล้ว

“พ่อบ้านหยวนเรียกเจ้าไปไหนมา…” เขาเพิ่งจะเอ่ยปากถาม บนขาก็พลันรู้สึกถึงสัมผัสแตะต้อง เขาลืมตาขึ้นทันที มองเห็นนางนั่งกึ่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น บีบนวดขาทั้งสองของเขาอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา

“นี่เจ้ากำลังทำอะไร” เขาพูดด้วยโทสะ ยื่นมือจะโบกออกไปกลับหยุดอยู่ตรงหน้าผากนาง นางไม่แม้แต่จะหลบ เป็นนางตอบสนองช้าเกินไป หรือเป็นเพราะไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง “ตัวบัดซบสมควรตาย! ใครบอกให้เจ้าแตะต้องข้า!” เขาเก็บมือก่อนถามอย่างดุร้าย

หัวคิ้วนางกดลึก “ขาท่านเจ็บมิใช่หรือเจ้าคะ”

เขาได้บอกหรือว่าขาเขากำลังเจ็บ เนี่ยเฟิงอวิ๋นหรี่ตา กลั้นอารมณ์อยากผลักนางออกไปเอาไว้ นางตัวไม่เล็ก แต่มักให้ความรู้สึกบอบบางอ่อนแอแก่ผู้อื่น ถ้าถูกเขาผลักเข้า ใครจะไปรู้ว่าจะล้มหัวร้างข้างแตกหรือไม่

สาวใช้สมควรตาย

หน้าอกเขากระเพื่อมขึ้นลง กลับพบว่าโทสะมิได้ลุกโชนเช่นที่ผ่านมา พอนางเข้าใกล้ กลิ่นที่อวลอยู่รอบๆ ก็เหมือนเป็นน้ำเย็นแอ่งหนึ่งราดดับความเจ็บปวดและโทสะของเขา

“ข้าพูดตั้งแต่เมื่อไรว่าขาข้ากำลังเจ็บ”

“สีหน้าท่าทางของท่านบอกเช่นนั้นเจ้าค่ะ” นางบีบนวดขาทั้งสองของเขา แต่กิริยาอาการของนางดูไม่เต็มใจเอาเสียเลย ยอมให้ความสามารถในการสังเกตของตนย่ำแย่ดีกว่าจะมองออกถึงความเจ็บปวดที่เขาเผลอแสดงออกมา นั่นทำให้นาง…อยากช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้เขาอย่างห้ามตนเองไม่ได้

นางถอนหายใจ จะโทษก็ต้องโทษที่ความชื่นชมเลื่อมใสต่อเขาในตอนแรกได้หยั่งลึกอยู่ในก้นบึ้งหัวใจแล้ว อยากจะถอนทิ้งให้หมดมิใช่เรื่องที่ทำได้ในวันสองวัน…

“ข้าไม่ชอบให้ผู้ใดแตะต้องขาข้า”

“ข้าก็ไม่อยากแตะหรอก” นางพึมพำกับตนเอง มือยังคงนวดต่อไปอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด

คำพูดนางขัดกับการกระทำ ฝีมือนางยังต้องพัฒนา แต่สีหน้านางกลับจริงจังและกลัดกลุ้มอยู่พอสมควร เขาโน้มตัวลงน้อยๆ พบว่าแม้แต่เส้นผมนางก็ยังมีกลิ่นกระดาษหอมอ่อนๆ

นับตั้งแต่เกิดเรื่อง นอกจากหยวนเจาเซิงที่นวดขาทั้งสองให้เขาทุกคืนแล้วก็ไม่เคยมีใครกล้าแตะต้องหรือเอ่ยถึงขาคู่นี้โดยมองไม่เห็นหัวเขามาก่อน ทว่าตอนนี้…สาวใช้ที่สมควรตายนางนี้ ดูเอาเถอะว่าแม้แต่เขาอยากจะด่าคนยังโมโหไม่ขึ้นเพราะนางอยู่ใกล้ๆ

“ตอนนี้ดีขึ้นบ้างหรือยัง…” นางเงยหน้าขึ้นมาถาม คาดไม่ถึงชั่วขณะว่าเขาจะโน้มตัวลงมา จึงชนเข้ากับแก้มเขา

แก้มเขาสากร้อน…สวรรค์ สัมผัสกันเพียงชั่วพริบตาสั้นๆ แต่ริมฝีปากนางกลับอ่อนปวกเปียก ใบหน้าร้อนซู่ ต้องแดงเถือกแน่แล้ว นางหลุบตาลง ใจเต้นสะดุดไปหลายจังหวะ สายตาตกลงบนสองมือที่กำลังสั่นน้อยๆ พูดตามตรง นางตกใจ ตกใจอย่างมาก ไม่รู้สึกขยะแขยงหรือรู้สึกว่าถูกล่วงเกิน ก้นบึ้งหัวใจเพียงรู้สึกสั่นรัวและทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง คุ้นเคยแต่ก็ไม่คุ้นเคย…

นางบังคับตนเองให้ยืนขึ้นด้วยความสุขุม ถอยหลังไปสองสามก้าว มองเห็นอาหารบนโต๊ะกลมก็พูดงึมงำกับตนเอง

“อาหารเย็นแล้ว เสวียนจีจะนำไปอุ่นให้เจ้าค่ะ” หัวใจเหมือนจะพุ่งออกมานอกอก แต่สติสัมปชัญญะของนางก็ฝ่าทะลวงอารมณ์สับสนงงงวย เตือนเรื่องที่เขายังไม่กินข้าวขึ้นมา…

ช่างน่าขันนัก ความชื่นชมเลื่อมใสต่อเขาที่ยังหลงเหลืออยู่ของนางถึงกับรุนแรงปานนี้ แม้แต่เรื่องที่เขายังไม่กินข้าวยังจำได้ขึ้นใจ เรื่องนี้ทำให้นางรับมือไม่ทันอยู่บ้าง นี่เป็นครั้งแรกที่นางใส่ใจ ‘คน’ ขนาดนี้

“มิใช่บอกไปแล้วหรือว่าข้าโมโหจนอิ่มแล้ว ไหนเลยจะยังกินลง” เสียงเขาฟังดูไม่มีโทสะ แต่กลับมีความรู้สึกใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่หลายส่วน “พ่อบ้านหยวนใช้เจ้าไปไหนมา ถึงได้ใช้เวลานานเพียงนั้น”

มิใช่เป็นห่วง เพียงแต่เพื่อให้รู้การเคลื่อนไหวทุกฝีก้าวของนาง นางคิด นี่เหมือนเป็นการแสดงปาหี่ที่เขาเล่นซ้ำไปซ้ำมาจริงๆ หากแต่นางยังคงตอบตามจริง “พ่อบ้านหยวนให้ข้ากลับไปช่วยติดกระดาษบนผนังที่ห้องนอนรวมเจ้าค่ะ”

“อ้อ?” เขากวาดตามองเรือนร่างที่ดูอ่อนแอจนต้านลมไม่อยู่ของนาง ก่อนเหลือบมองห่อกระดาษที่วางอยู่อีกข้าง “นั่นคืออะไร”

“กระดาษที่ร้านหนังสือไม่ต้องการแล้วเจ้าค่ะ ล้วนเป็นของมีตำหนิ”

พูดถึงร้านหนังสือก็นึกถึงจุดประสงค์ที่เนี่ยมี่หยางมาหาเขาตอนเช้าขึ้นได้ เขาพึมพำลังเลอยู่ชั่วครู่ “วันพรุ่งเจ้าต้องติดตามอยู่ข้างกายข้า อย่าให้มีเรื่องเช่นวันนี้เกิดขึ้นอีก…ไม่สิ นับตั้งแต่วันนี้ไปถ้าไม่มีคำสั่งของข้าก็ไม่อนุญาตให้ออกจากสวนซั่งกู่ พ่อบ้านหยวนต้องการให้เจ้าไปไหนก็ต้องผ่านการเห็นชอบจากข้าก่อน”

“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางยอบตัวคารวะ แววประชดประชันเล็กๆ แทบฟังไม่ออกระคนอยู่ในน้ำเสียง

เขาเผยอริมฝีปาก “พรุ่งนี้อย่าลืมมาตั้งแต่เช้า” เขาชะงักไปเล็กน้อย… “เหตุใดข้าถึงเห็นตัวเจ้าผอมจนจะปลิวอยู่ตลอด พ่อบ้านหยวนไม่ให้ข้าวเจ้ากินหรือไร”

น้ำเสียงไม่เหมือนตำหนิ กลับเหมือนว่าอารมณ์เขากำลังไม่เลวอย่างยิ่ง เสวียนจีช้อนตามองเขาเงียบๆ แล้วก็ต้องตกใจ

เขากำลังยิ้ม?! สวรรค์ เขากำลังยิ้มอยู่จริงๆ นี่คือเนี่ยเฟิงอวิ๋นแน่หรือ

ริมฝีปากที่ปกติเอาแต่พูดเหน็บแนมยกขึ้นน้อยๆ แม้จะเป็นรอยยิ้มบางๆ แต่ก็เพียงพอจะทำให้นางตกใจเหลือประมาณแล้ว

ก่อนหน้านี้เขามิใช่ยังโมโหโกรธาอยู่หรือไร ใจบุรุษช่างยากแท้หยั่งถึง หากแต่ไม่อาจพูดออกไปได้ว่ารอยยิ้มของเขาทำให้นางนึกถึงภาพเหตุการณ์ยามได้พบเขาที่ร้านหนังสือเมื่อสามปีก่อน นั่นเป็นความหลังที่ล้ำค่าที่สุดในใจนางมาโดยตลอด ถ้าถามว่าบนโลกนี้มีความหลังเกี่ยวกับคนอะไรที่ควรค่าให้นางหวงแหน คำตอบก็มีเพียงเขา…

“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่ หูหนวกไปแล้วหรือ” ยามนี้น้ำเสียงของเขามีแววไม่ชอบใจจางๆ

“บ่าวลืมไป…”

“ลืมกินหรือว่าลืมว่าข้ากำลังพูดอะไร? เจ้ามันทึ่มทื่อนัก” ผอมจนเหมือนพอก้าวออกประตูไปก็จะถูกลมหอบขึ้นฟ้าจริงๆ ที่ซีเซิงให้นางไปติดกระดาษนี่เจตนาแกล้งนางอย่างนั้นหรือ

เขาอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ แต่กลับโมโหไม่ออก มองนางพลางเอ่ยออกมาว่า “เจ้าไปอุ่นกับข้าวเถอะ”

“เจ้าค่ะ”

“แล้วก็ไปยกข้าวของเจ้าเองมาด้วย ข้ายังไม่อยากให้วันดีคืนดีในหอซั่งกู่มีสาวใช้หิวตาย”

“เจ้าค่ะ…” เสวียนจีก้มหน้า ถอยออกไปด้วยความประหลาดใจ นี่คือความห่วงใยอีกรูปแบบหนึ่งอย่างนั้นหรือ เขาอยากดูนางกินข้าว? เรื่องนี้มีผลดีอะไรต่อเขากัน

นางตื่นตระหนกอยู่บ้าง สงสัยอยู่บ้าง แต่ยังคงไปห้องครัวเช่นเดิม มิใช่เพื่ออย่างอื่น แค่เพื่อให้เขายอมกินข้าว นางก็ยินดีจะกินเป็นเพื่อนเขา

อารมณ์เขาคล้ายจะดีอยู่พอสมควร แต่ต้องมิใช่เพราะนางแน่ เช่นนั้นเป็นเพราะเมื่อเช้านายน้อยสี่นำข่าวดีมาให้? ข่าวดีอะไรถึงทำให้เขาออกมาก็หาตัวนาง ซ้ำยังทำให้อารมณ์เขาเปลี่ยนจากโมโหเป็นยิ้มแย้มได้อีก

นั่นจะต้องเป็นข่าวดีใหญ่หลวงแน่นอน

หอซั่งกู่เงียบสงัด หน้าต่างยังคงเปิดอยู่ บุรุษที่ด้านในกำลังครุ่นคิดตรึกตรอง นิ้วมือไล้ริมฝีปากไปมาเบาๆ

นางคิดว่านางชนถูกแก้มเขา…ความจริงมิใช่เช่นนั้น

ริมฝีปากนางทั้งเย็นทั้งอ่อนนุ่ม ยังคงมีกลิ่นเฉพาะตัวนางเช่นเดิม เพียงแต่คราวนี้มีกลิ่นของเขาผสมเพิ่มเข้าไป เป็นกลิ่นรสที่ไม่เลวเลย

บทที่ 5

ข่าวดีใหญ่หลวงฟาดลงบนตัวนางอย่างแรงปานฟ้าผ่า ยากจะขยับเขยื้อนได้

นางถลึงตามองบุรุษร่างผอมสูงผู้นั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เคยคิดเลยสักนิดว่าจะเป็นข่าวดีพรรค์นี้

เขาอายุราวสามสิบต้นๆ หน้าตาหล่อเหลาหมดจด เสื้อผ้าเก่าเล็กน้อย มองออกได้ว่าเขาเคยมีชีวิตลำเค็ญ

มิน่าถึงเห็นเนี่ยเฟิงอวิ๋นอารมณ์ดีมาถึงเช้า น้อยนักที่จะเห็นเขาอารมณ์ดีข้ามคืน แม้แต่เมื่อวานขณะกินข้าวเป็นเพื่อนเขา เขาก็ยังอารมณ์ดีจนถึงขั้นวิจารณ์นิยายเป็นครั้งคราว

ความรู้สึกเช่นนั้นทำให้นาง…สำราญยิ่ง แทบจะหวังให้เนี่ยเฟิงอวิ๋นเป็นเช่นนี้ตลอดกาล เขาไม่รู้หรอกว่าเวลาเขาวิจารณ์หนังสือนั้นสีหน้าของเขาดึงดูดใจคนมากเพียงไร ความรู้อันเต็มเปี่ยมของเขานั้นทำให้นางเลื่อมใสมากเพียงไร นางพูดต่อคำเขาบ้างอย่างหาได้ยาก มีทั้งโต้แย้งมีทั้งเห็นด้วย เขาล้วนไม่ถือสา

นั่นทำให้นาง…ใจเต้นระรัวไม่หยุด คล้ายว่าต้นอ่อนแห่งความชื่นชมเลื่อมใสในวันวานได้รับน้ำหล่อเลี้ยงจนเติบโตแข็งแรงขึ้นอีกครั้ง

แต่ทว่า คาดอย่างไรก็คาดคิดไม่ถึงว่าข่าวดีสำหรับเขาจะเหมือนเป็นภูตผีโผล่มาหลอกหลอนสำหรับนาง ที่เขาต้องการให้นางตามติดเขาทุกฝีเท้าก็เพื่อให้นางร่วมแบ่งปันความสุขจากข่าวดีพรรค์นี้ไปกับเขา?

“ท่านก็คือบัณฑิตเย้ยโลก?” เสียงของเนี่ยเฟิงอวิ๋นดังขึ้น สายตากวาดมองบุรุษในห้องโถงรวมถึงเนี่ยมี่หยางที่นั่งอยู่บนเก้าอี้

ในห้องโถงมีคนเพียงไม่กี่คน น่าจะเป็นความต้องการของบุรุษที่อ้างว่าตนคือบัณฑิตเย้ยโลกผู้นี้ นอกจากเนี่ยมี่หยางแล้วก็มีแค่หยวนเจาเซิงกับเสวียนจีที่ด้านหลังเขา

นางน่าจะดีใจที่ได้รับเกียรติให้สามารถมาเห็นผู้แต่งคันฉ่องส่องบาปกับตาตนเองได้ ถึงจะไม่ได้บอกอย่างชัดเจน แต่ก็มองออกได้จากอากัปกิริยาของนางว่านางรักหนังสือถึงขั้นลุ่มหลง ดังนั้นเขาจึงพานางมาด้วย

ทว่ายามนั้นเองเขาหรี่ตา…สังเกตเห็นสายตาของเนี่ยมี่หยางทอดข้ามเขาไปมองเสวียนจีที่อยู่ด้านหลัง

“ใช่แล้ว ผู้น้อยก็คือผู้เขียนเรื่องคันฉ่องส่องบาป” บุรุษผู้นั้นรูปร่างผอมสูง ทั้งร่างคล้ายว่ามีความหยิ่งทะนงอยู่สูงลิบจนดูแข็งทื่อ

“อ้อ?” สายตาเขาเลื่อนกลับมา ทำนองของน้ำเสียงไม่หนักไม่ยืดยาน “โปรดอภัยที่ข้าไร้มารยาท ท่านมีหลักฐานพิสูจน์หรือไม่”

“หลักฐาน? คุณชายสี่น่าจะเคยเอ่ยกับคุณชายสามแล้ว ไม่กี่วันก่อนข้าเพิ่งมอบต้นฉบับตำนานพญาหงส์ให้หลิ่วหมินไป บนนั้นยังมีตราประทับของข้าอยู่ด้วย นั่นเป็นรอยจากตราประทับดินเผา” เขาสะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย ตราประทับอันประณีตงดงามก็ไหลออกมา

หยวนเจาเซิงรับตราประทับมายื่นให้เนี่ยเฟิงอวิ๋นเทียบดู

ถูกต้อง รอยสลักตรงกันกับตราที่อยู่บนเรื่องคันฉ่องส่องบาปและเรื่องตำนานพญาหงส์ ลายมือของเขาเองก็ผ่านการเทียบพิสูจน์จากเนี่ยมี่หยางก่อนหน้านี้แล้ว นอกจากที่ขาดพยานบุคคลมีน้ำหนักอย่างหลิ่วหมินที่เดินทางไปเป่ยจิงไปหนึ่งคน บุรุษผู้นี้พิสูจน์ตัวตนได้เกือบแน่ชัดแล้ว

“ได้ยินว่าต้นฉบับเพียงหนึ่งเดียวที่คุณชายสามอ่านหลังได้รับบาดเจ็บที่ขาก็คือเรื่องคันฉ่องส่องบาป ด้วยชื่อเสียงระดับคุณชายสาม ยอมเขียนบทส่งท้ายให้เรื่องคันฉ่องส่องบาปของผู้น้อย ผู้น้อยก็ซาบซึ้งใจอย่างหาที่สุดมิได้”

ท่าทางมีมารยาท ไม่ยโสโอหังเกินไป ตามหลักแล้วควรจะเป็นนิสัยที่เขาชื่นชม แต่เขากลับรู้สึกว่าท่าทางดูไม่เข้ากับบัณฑิตเย้ยโลกผู้นี้เลยแม้แต่น้อย

เป็นเพราะในใจยกบัณฑิตเย้ยโลกไว้สูงเกินไป ทำให้ไม่มีอารมณ์ตื่นเต้นแม้แต่กระผีกเดียวอย่างนั้นหรือ

“พูดได้ดีๆ” เนี่ยมี่หยางเห็นเขาคล้ายว่าไม่ได้ยินก็ชิงตอบแทน “เจาเซิง เจ้าไปทำความสะอาดห้องหนึ่งในสวนซั่งกู่ให้คุณชายเหวิน ให้นายน้อยสามสามารถไปสนทนากับเขาได้ทุกเวลา” เขาหันไปหาเหวินหรงหลางพลางกล่าวยิ้มๆ “คุณชายเหวิน ท่านอยู่พักที่นี่สักหลายวันเถิด”

“นี่นับว่าเป็นเกียรติของผู้น้อย” เหวินหรงหลางกล่าวอย่างเกรงอกเกรงใจก่อนเดินตามหยวนเจาเซิงจากไป

“ดูพวกท่านสองคนสิ คนหนึ่งทำท่าเหมือนมองเห็นปีศาจ อีกคนก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว” เนี่ยมี่หยางยิ้มบางๆ กางพัดออกและขยับยกเท้าขึ้นไขว่ห้าง “ข้าอุตส่าห์หาตัวบัณฑิตเย้ยโลกมาได้แล้ว พี่สามท่านสมควรดีใจจึงจะถูก เสวียนจีก็มิใช่ชอบอ่านหนังสือเหมือนกันหรือไร บัณฑิตเย้ยโลกเป็นบุคคลลึกลับปริศนาในไม่กี่ปีมานี้เชียวนะ สามารถได้เห็นโฉมหน้าเขาก็เป็นโชคดีของพวกเราแล้วมิใช่หรือ”

เนี่ยเฟิงอวิ๋นมองเขาแวบหนึ่งอย่างเย็นเยียบ “ถ้าข้าจำไม่ผิด ปกติเจ้าไม่พูดมาก”

เนี่ยมี่หยางยักไหล่ “ข้าจนใจนี่นา คิดดูว่าข้าต้องลากสังขารป่วยๆ ไปทำงานที่ร้านหนังสือทั้งวัน ยุ่งจนวิงเวียนตาลายไปหมด ซ้ำยังต้องไปหอโคมเขียวเที่ยวเชยชมหญิงงามเป็นเพื่อนบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถอีก จะสุขภาพร่างกายอ่อนแอก็มิใช่ไม่มีเหตุผล ถ้าไม่ถือโอกาสตอนนี้พูดอะไรสักหน่อย หรือต้องรอลงโลงก่อนค่อยพูด” สีผิวของเขาขาวผ่อง แม้จะหล่อเหลาสุภาพเรียบร้อย แต่เมื่ออยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ก็มักดูอิดโรยกะปลกกะเปลี้ยอยู่บ้าง

เขาขี้โรคมาตั้งแต่เกิด เป็นเด็กคนเดียวในบรรดาพี่น้องสิบสองคนที่ต้องได้รับการดูแลเป็นสองเท่ากว่าจะอยู่มาถึงอายุยี่สิบได้

เนี่ยเฟิงอวิ๋นเม้มปาก อารมณ์ดีหมดไปแล้ว ที่ฝากร้านหนังสือให้มี่หยางดูแลเป็นเรื่องสุดวิสัยจริงๆ สองขาของเขาไม่อาจก้าวเดิน หรือจะให้เขานั่งรถเข็นไปร้านให้ผู้อื่นชมดู

“นายน้อยสี่ ท่านทราบได้อย่างไรเจ้าคะว่าคุณชายเหวินคือบัณฑิตเย้ยโลก” ในที่สุดเสวียนจีก็เอ่ยถามเป็นประโยคแรกนับตั้งแต่เข้าห้องโถงมา

“เจ้าได้สติกลับมาแล้วหรือ” เนี่ยมี่หยางยิ้ม “ข้าเห็นเจ้ามีสีหน้าใจลอย ยังนึกว่าเจ้าถูกเหวินหรงหลางดูดวิญญาณไปแล้วเสียอีก”

ได้ยินคนแค่นเสียงออกจมูก รอยยิ้มของเนี่ยมี่หยางก็ยิ่งกว้าง เขาพูดต่ออีกว่า “เป็นเขามาหาข้าที่ร้านหนังสือเอง นับตั้งแต่เรื่องคันฉ่องส่องบาปโด่งดังไปทั้งใต้หล้าก็มีพวกหลอกลวงไม่น้อยสวมรอยเป็นบัณฑิตเย้ยโลกมุ่งมาที่ร้าน ตอนแรกข้าก็คิดว่าเป็นพวกสวมรอยอีกแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีหลักฐานยืนยันจำนวนมาก แม้แต่ต้นฉบับที่บัณฑิตเย้ยโลกเพิ่งให้มาใหม่ไม่กี่วันก่อน เขาก็ยังท่องออกมาได้คล่องปาก หากบอกว่าเป็นตัวปลอม…จะสามารถปลอมได้ขนาดนี้ก็ไม่ง่ายแล้ว”

นางประหลาดใจน้อยๆ ก่อนจะหลุดปากถามออกมาอีก “มีคนสวมรอยจำนวนมาก? บัณฑิตเย้ยโลก…มีชื่อเสียงมากหรือเจ้าคะ”

เนี่ยมี่หยางมองเห็นสีหน้าท่าทางของนางอยู่ในสายตาทั้งหมด “เจ้าไม่รู้หรือ ข้าก็หลงนึกว่าเจ้าชอบอ่านหนังสือและก็เลื่อมใสศรัทธาในตัวบัณฑิตเย้ยโลกผู้นี้ ดังนั้นพี่สามถึงได้พาเจ้ามาเป็นพิเศษ”

เนี่ยเฟิงอวิ๋นทำหน้าเข้ม กำลังจะเอ่ยปากด่าความปากมากของอีกฝ่าย เสียงของเสวียนจีที่ด้านหลังกลับดังขึ้น

“อันที่จริงข้าก็ชอบอ่านหนังสือเจ้าค่ะ เพียงแต่รู้สึกไม่เลวกับเรื่องคันฉ่องส่องบาป แต่ยังไม่ถึงขั้นชื่นชมเลื่อมใสในตัวผู้แต่ง ผู้ที่ข้าชื่นชมเลื่อมใสเป็นอีกคน…”

คำว่า ‘ชื่นชมเลื่อมใส’ ดังเข้าในโสตของเนี่ยเฟิงอวิ๋นแล้วกลับบาดหูไม่น่าฟังเป็นพิเศษ

“อ้อ?” เนี่ยมี่หยางดวงตาสว่างวาบ ในสายตาของเขาเห็นเสวียนจีที่ด้านหลังพี่สามแก้มเรื่อแดง ส่วนพี่สามที่อยู่ข้างหน้านางก็ตัวแข็งน้อยๆ

“ข้ารู้ได้หรือไม่ว่าเจ้าชื่นชมเลื่อมใสผู้ใด”

“เรื่องนี้…”

“เจ้าลำบากใจที่จะบอกหรือ ก็ถูก” เนี่ยมี่หยางพยักหน้า มุมปากคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าดี เรื่องนี้จะอย่างไรก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้า เจ้านายอย่างพวกข้าย่อมไม่อาจถามมากความได้เช่นกัน ใช่หรือไม่พี่สาม ทว่าบอกให้ข้ารู้ได้หรือไม่ว่าคนที่เจ้าชื่นชมเลื่อมใสยัง…มีหรือไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้”

“ได้เจ้าค่ะ เขายังมีชีวิตอยู่”

“อ้อ” ดวงตาเขาแทบจะมีแสงระยิบระยับออกมา “ผู้ที่หญิงสาวชื่นชมเลื่อมใสโดยมากล้วนเป็นชายหนุ่ม ผู้ที่เจ้าชื่นชมเลื่อมใสเป็น…บุรุษ?”

เสวียนจีหลุบตาลงด้วยใบหน้าเรื่อแดง

“เจ้าจะพูดมากเกินไปแล้วจริงๆ” เนี่ยเฟิงอวิ๋นแค่นเสียงเบาๆ “เสวียนจี เข็นข้าไปห้องหนังสือ”

“พี่สาม คุณชายเหวินเป็นผู้ที่ข้าเชื้อเชิญมาที่คฤหาสน์ ท่านจะเมินเฉยคนเขาไม่ได้นะ ข้าคิดจะตีพิมพ์เรื่องคันฉ่องส่องบาปใหม่เร็วๆ นี้ เพิ่มภาพเข้าไปอีกยี่สิบกว่าภาพ ไม่นานมานี้มีแม่ม่ายนางหนึ่งส่งภาพพิมพ์ของนางมาที่ร้านเพื่อหาเงินเลี้ยงตัว ข้าเห็นงานของนางงามละเอียดหรูหรายิ่งยวด เข้ากับเรื่องคันฉ่องส่องบาปได้อย่างเหมาะเจาะพอดี”

“ดี พิมพ์เสร็จแล้วเจ้าก็เอามาให้ข้าดูด้วย”

เนี่ยมี่หยางยิ้มพลางพยักหน้า สิ่งเดียวที่พี่สามเป็นห่วงในร้านหนังสือก็มีเพียงเรื่องคันฉ่องส่องบาป ที่มันได้ออกชิมลางในท้องตลาดตอนนั้น พี่สามนับว่าเป็นผู้ผลักดันอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าเป็นการจัดเรียงสีหมึกพิมพ์หรือการออกแบบห่อบรรจุล้วนแต่ได้พี่สามวางแผนทั้งสิ้น บัดนี้ได้พบเหวินหรงหลาง เขาไม่อาจไม่พูดว่าคล้ายจะผิดหวังอยู่เล็กๆ ซึ่งแม้แต่พี่สามก็เป็นเช่นกัน เช่นนั้นก็มิใช่เขาความรู้สึกไวเกินไปแล้ว

เหวินหรงหลางดียิ่ง กิริยาท่าทางเหมาะสม จุดที่ควรค่าแก่การชื่นชมที่สุดคือเขามิได้เสเพลหยำเปเหมือนบัณฑิตคนอื่นๆ แต่ก็คล้ายว่าขาดเงาของบัณฑิตเย้ยโลกที่พวกเขาคาดหวังไว้ในก้นบึ้งหัวใจไปเล็กน้อย

เขาพูดยิ้มๆ “ข้ายังวางแผนจะทำกล่องไม้ให้คนซื้อกลับไปสะสมได้ด้วย นี่นับว่าไม่เคยมีใครทำมาก่อน แต่ข้าคิดว่าบัณฑิตมีเงินน่าจะซื้อกัน นอกจากเพื่ออ่านแล้วอาจจะมีคนซื้อเพิ่มสองสามชุดกลับไปวางประดับ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็สลักชื่อคันฉ่องส่องบาปลงไปบนกล่องด้วย ทั้งสามารถช่วยรักษาหนังสือและยังสามารถเติมเต็มใจที่อยากโอ้อวดของพวกเขาได้”

เนี่ยเฟิงอวิ๋นจ้องเขา “นับวันเจ้ายิ่งมีกลิ่นอายของพ่อค้าขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”

“นี่ย่อมแน่นอน ข้าไม่ได้มีความสามารถด้านวรรณศิลป์มากเท่าพี่สาม จึงได้แต่หากลิ่นเงินมาพรมตัวแล้ว” เนี่ยมี่หยางชะงักไปเล็กน้อย สายตามองไปที่เสวียนจีอีกครั้ง คราวนี้ส่อแววร้ายกาจจนทำให้นางตื่นตัวระแวดระวัง “พูดถึงกลิ่นเงินข้าก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เสวียนจี ไม่กี่วันมานี้ล้วนค้างคืนอยู่ในห้องหนังสือหรือ”

“หา?!” ประเด็นเปลี่ยนกะทันหัน ทำให้นางนึกหาคำตอบไม่ทัน

“เจ้าว่าอะไรนะ ใครค้างคืนในห้องหนังสือ”

“ยังจะมีใคร ก็สาวใช้ที่ด้านหลังท่านอย่างไร สองวันก่อนข้าเดินผ่านสวนซั่งกู่ คิดจะเข้าไปดูว่าท่านหลับหรือยัง ขณะเดินผ่านห้องหนังสือจี๋กู่กลับพบว่าข้างในยังมีแสงเทียนอยู่ ท่านทายดูว่าผลคือข้าเห็นอะไร ข้าเห็นสาวใช้นางหนึ่งใช้ห้องหนังสือต่างเตียงนอน!”

“นายน้อยสี่…” จบกัน! คิดไม่ถึงว่าจะถูกเนี่ยมี่หยางจับได้ นางคิดว่าดึกดื่นแล้วคงจะไม่มีใครมาที่สวนซั่งกู่

“เจ้าหมายความว่าดึกดื่นเที่ยงคืนเจ้ายังเห็นสาวใช้ของข้าอยู่ในห้องหนังสือโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากข้า?”

“ถูกต้อง!” เขาโบกพัด แสร้งพูดเหมือนไม่เจตนา “กลางคืนอากาศเย็น ท่านก็ใช่จะไม่รู้ นางนอนอยู่ที่นั่น บนตัวก็ไม่ได้เอาอะไรคลุมรักษาความอบอุ่น ข้าล่ะกลัวจริงๆ ว่านางจะเป็นหวัดจนไม่อาจปรนนิบัติท่านได้”

เนี่ยมี่หยางจงใจราดน้ำมันบนกองไฟ เสวียนจีถลึงมองเขา ไม่เข้าใจว่าเขาแกล้งให้นางเดือดร้อนไปจะได้ประโยชน์อะไรกันแน่

“เสวียนจี เจ้าเดินมาหน้าข้า” เนี่ยเฟิงอวิ๋นพูดเสียงเข้ม ได้ยินแล้วชวนให้ขนลุกซู่

นึกว่าอารมณ์ของเขาจะยังดีต่อไปได้เสียอีก

นางถอนหายใจพลางก้าวเดินช้าๆ มาข้างหน้าเขา

“ใครอนุญาตให้เจ้าแล่นไปห้องหนังสือของข้ากลางดึกกลางดื่น” เขาถามอย่างไม่สบอารมณ์

“ข้า…” นางลังเลเล็กน้อย ห้องหนังสือจี๋กู่ที่มีหนังสือถึงเจ็ดแปดหมื่นเล่ม ที่นั่นเป็นความฝันของคนรักหนังสือทุกคน แต่นางจะบอกได้อย่างไรว่านับแต่ได้ยินเรื่องห้องหนังสือจี๋กู่เมื่อนมนานมาแล้ว นางก็คิดฝันว่าสักวันหนึ่งจะได้เข้าไปสำรวจ นับแต่ได้รู้จักบุคคลอย่างเนี่ยเฟิงอวิ๋นเมื่อนมนานมาแล้วก็ชื่นชมเลื่อมใสมาถึงตอนนี้

“นี่ก็คือสาเหตุที่ตอนกลางวันเจ้าเอาแต่ง่วง?” ไม่รู้ว่าควรโมโหหรือควรดีใจ สาวใช้นางนี้รักหนังสือถึงขั้นนี้จริงๆ หรือ แม้แต่ร่างกายตนเองก็ไม่สนใจเลยหรือไร มิน่าตัวนางถึงได้ผ่ายผอมอ่อนแอ แม้แต่นอนยังนอนไม่ดี แม้แต่ข้าวยังลืมกิน เพื่อให้ได้อ่านหนังสือที่อีกแปดร้อยปีก็ยังไม่มีปัญญาขยับตัวไปไหนไปเหล่านั้น

นี่…นางลุ่มหลงจนไร้สติแล้ว

ริมฝีปากเขาเม้มแน่น “เจ้าไปหาพ่อบ้านหยวน ข้าต้องการให้เขาปิดห้องหนังสือในคืนนี้แล้วนำลูกกุญแจมาให้ข้า จากนั้นก็ย้ายผ้าห่มของเจ้าไปไว้ในห้องข้า”

ตอนแรกนางมองเขาเขม็งด้วยความไม่พอใจ แต่ครั้นได้ยินประโยคสุดท้ายหน้าก็พลันซีดเผือด

“พี่สาม ท่านต้องการให้นางปรนนิบัติท่านตอนกลางคืนอย่างนั้นหรือ” เนี่ยมี่หยางพูดยิ้มๆ “ข้าเห็นว่าตัวหลินอันน่าจะกอดอุ่นกว่า…”

“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร! นางต้องนอนพื้น” เนี่ยเฟิงอวิ๋นพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ขึ้นเตียงกับเขา? ให้นางเห็นสองขาที่เดินไม่ได้ของเขาอย่างนั้นหรือ เขาจ้องมองการตอบสนองของนาง นางเหมือนว่าโล่งใจเงียบๆ นี่เขาน่ากลัวขนาดนั้นจริงๆ เลยหรือไร

“อ้อ อย่างนี้นี่เอง พี่สามต้องการจะเฝ้านางนอน นี่กลับหาได้ยากแล้ว หาได้ยากที่จะเห็นพี่สามเป็นห่วงเป็นใยบ่าวไพร่ผู้หนึ่งถึงเพียงนี้…”

“เจ้าหุบปาก!” โทสะของเนี่ยเฟิงอวิ๋นใกล้จะระเบิดออกมาเต็มที “เจ้าเข็นข้ากลับไปแล้วกัน ข้ายังต้องคุยเรื่องบัณฑิตเย้ยโลกกับเจ้าอีก” เขาหันหน้าไปเหลือบมองเสวียนจีที่มีท่าทางอึ้งตะลึงปราดหนึ่ง “ข้าต้องการเห็นพ่อบ้านหยวนก่อนเที่ยง เจ้ายังไม่รีบไปอีก?”

เสวียนจียอบตัวคารวะน้อยๆ แล้วรีบร้อนโซเซออกไป

“พี่สาม ได้ยินเจาเซิงบอกว่าแม้แต่ข้าวท่านยังเฝ้านางกิน ข้าไม่เคยเห็นท่านเป็นห่วงเป็นใยใครขนาดนี้มาก่อน โดยเฉพาะสตรี…”

“เจาเซิงเริ่มพูดมากเหมือนเจ้าตั้งแต่เมื่อไร” เนี่ยเฟิงอวิ๋นอธิบายความรู้สึกในใจออกมาไม่ถูก สามปีมานี้เขาคิดทุกวิถีทางเพื่อหาตัวผู้เขียนเรื่องคันฉ่องส่องบาป ทว่าหลังจากหาเจอแล้ว ในอกกลับไม่มีความตื่นเต้นพลุ่งพล่านใดๆ แต่ขณะที่ได้ยินว่าสาวใช้นางนั้นไม่รู้จักดูแลตนเองถึงเพียงนั้น เขากลับเดือดดาลขึ้นมา

สาวใช้โง่เง่านางนี้ถึงรักหนังสือก็มิควรรักจนหนักขนาดนั้น ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว แต่กลับไม่แยกแยะหนักเบา ไปอ่านหนังสือในห้องหนังสือกลางดึก…ช่างโง่งมจริงๆ!

“พี่สาม แค่สาวใช้นางหนึ่งเท่านั้น ถ้าท่านชอบ จะเลื่อนนางเป็นอนุก็ไม่มีปัญหา ไม่จำเป็นต้องกดดันบีบคั้นตัวเอง เอาอย่างนี้แล้วกัน ตอนกลางคืนข้าจะไม่ให้เจาเซิงไปเฝ้าหน้าห้องท่าน และจะไม่ให้ใครเข้าไปที่หอซั่งกู่ ท่านอยากทำอะไรก็ทำได้เลย เสวียนจีมือไม่มีแรงแม้แต่จะมัดไก่ ขอแค่ท่านหลอกนางขึ้นเตียง หรือแม้แต่แค่ขอบเตียง นางก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือท่านแล้ว ถึงอย่างไรพอเช้าก็เป็นคนของท่านเรียบร้อย จะนึกเสียใจก็ไม่ทันแล้ว”

เนี่ยเฟิงอวิ๋นเส้นเลือดดำเต้นตุบ หมัดกำแน่น “ถ้าข้าเดินได้ ข้าจะกระโดดขึ้นมาซัดเจ้าให้น่วม!”

เนี่ยมี่หยางยิ้มพลางพูดอย่างไม่แยแส “ข้าก็อยากโดนท่านต่อยสักยกเหมือนกัน”

ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันได้สัมผัสคลุกคลีประจันหน้ากับบัณฑิตเย้ยโลก

ไม่เคยคิดเลยจริงๆ และก็ไม่เคยรู้เลยว่าเรื่องคันฉ่องส่องบาปจะโด่งดังจนมีคนสวมรอย นางชอบอ่านหนังสือมาแต่ไหนแต่ไร นอกจากจับพู่กันขีดเขียนเรื่องราวเล่นเป็นบางครั้งบางคราวแล้วก็มิได้สนใจต่อผู้ประพันธ์หนังสือเสียเท่าไร สิ่งเดียวที่สนใจก็มีเพียงเนี่ยเฟิงอวิ๋น…

นางถอนหายใจ อยู่ข้างกายเขาทั้งอกสั่นขวัญแขวนทั้งแอบดีใจกับตนเอง แผนการเดิมของนางคือหมกตัวอยู่ในคฤหาสน์สกุลเนี่ยไม่ก้าวออกนอกประตูตลอดทั้งสามปี และก็เตรียมใจจะเป็นสาวใช้ขายแรงงานไว้ล่วงหน้าแล้ว คิดว่าหากโชคดีหน่อยไม่แน่อาจได้พบเนี่ยเฟิงอวิ๋น ทว่าบัดนี้ได้พบแล้วกลับบอกไม่ถูกว่าในใจยินดีหรือไม่ยินดี

“พี่เสวียนจี ท่านไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่” เสียงร้องของหรูหมิ่นพลันเรียกสตินาง สองแขนที่ยื่นมาจากด้านหลังกอดเอวนางไว้ทันเวลา

นางตกใจจนสะดุ้ง ซวนเซเล็กน้อย ก่อนจะล้มลงบนกองหญ้าพร้อมกับคนข้างหลัง

“พี่เสวียนจี ท่านยังดีอยู่หรือไม่” หรูหมิ่นรีบร้อนถาม นางตัวเล็กกว่าเสวียนจี แรงกลับไม่รู้ว่ามากกว่าเสวียนจีถึงกี่เท่า

“ดี…ข้ายังดียิ่ง…” เสวียนจีรู้สึกมึนงงเล็กน้อย นางสะบัดศีรษะพลางฝืนลุกขึ้นยืน เมื่อลืมตาขึ้นก็มองเห็นดวงตาห่วงกังวลของหรูหมิ่น

“พี่เสวียนจี ไฉนท่านถึงสติเลอะเลือนอยู่เรื่อย ถ้ามิใช่ข้ากอดท่านไว้ทัน ท่านต้องได้ตกทะเลสาบไปเฝ้าพญายมแน่แล้ว”

“ข้า…” เสวียนจีแค่คิดอะไรจนเพลิน นางมีปัญหามากเกินไป คิดจนเพลินเกินไป บางครั้งแม้แต่ตนอยู่ที่ใดก็ยังลืม ทว่าขนาดนางมีนิสัยเช่นนี้กลับยังสามารถอยู่ที่คฤหาสน์สกุลเนี่ยมาได้ตั้งนานเพียงนี้โดยไม่ถูกไล่ออกไป นี่นับว่าโชคดีมากแล้วจริงๆ

“ท่านมาอยู่นี่ได้อย่างไร ข้าได้ยินหลินอันบอกว่าเมื่อวานท่านถูกนายน้อยสามด่าเสียยับเยิน…”

“ไม่มีอะไร เจ้าดูสิว่าตอนนี้ข้ามิใช่ดียิ่งหรือไร” นางแย้มยิ้ม

หรูหมิ่นมองนางอย่างเป็นกังวล “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เมื่อครู่ข้ายังคิดจะไปสวนซั่งกู่เพื่อขอร้องนายน้อยสาม หลินอันพูดพลางร้องไห้พลางจนทำให้ข้ากลัว กลัวว่า…ท่านจะถูกนายน้อยสามตี พี่เสวียนจีที่อ่อนแอเพียงนี้ เกรงว่าแค่ถูกตีก็จะ…จะ…”

ผ่านไปครู่หนึ่งเสวียนจีถึงได้พบว่าหรูหมิ่นกำลังเป็นห่วงนาง เพื่อนางแล้ว หรูหมิ่นที่ขี้ขลาดถึงกับรวบรวมความกล้าจะไปหาเนี่ยเฟิงอวิ๋นเชียวหรือ

“ข้าไม่เป็นอะไร นายน้อยสามดีต่อข้ายิ่ง” พอพูดออกมานางถึงได้รู้สึกว่าเสียงตนเองกำลังสั่นน้อยๆ

“แต่…แต่ว่าพี่เสวียนจีท่านกำลังตัวสั่น นี่ท่านถูกนายน้อยสามตีจริงๆ ใช่หรือไม่” นายน้อยสามที่น่าชังทั้งยังทำเกินเหตุนั่น! แม้แต่หลินอันที่ร่างกายแข็งแรงยังทนรับวาจาร้ายกาจของเขาไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพี่เสวียนจีแล้ว

“เปล่า เขาไม่ได้ตีข้า” เสวียนจีชี้แจง รู้สึกว่าในลำคอร้อนอยู่บ้าง “ข้าเพียงแต่ประหลาดใจมาก…ที่เจ้าเป็นห่วงข้าขนาดนี้…” นางลองยื่นมือไปโอบไหล่หรูหมิ่นไว้เบาๆ

หรูหมิ่นที่ทั้งไร้เดียงสาทั้งไม่มีความคิดร้าย วันแรกที่เข้ามาในคฤหาสน์สกุลเนี่ยก็เป็นฝ่ายเข้าหาแสดงท่าทีผูกมิตรกับนาง ใครจะไปรู้ว่าที่ผ่านมานางไม่มีความสนใจต่อคนจริงๆ แม้จะเป็นคนในครอบครัวตนเอง…นับตั้งแต่จำความได้นางก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาอยู่ในกองหนังสือ ไม่ค่อยคุ้นเคยกับอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อคน มิใช่มีเจตนาตั้งป้อมป้องกันอะไร เพียงแต่คนในครอบครัวนางทำให้นางมีเส้นแบ่งอย่างเป็นเองตามธรรมชาติ

“พี่เสวียนจี?” หรูหมิ่นหน้าแดง นี่เป็นครั้งแรกที่พี่เสวียนจีเป็นฝ่ายเข้าใกล้นางเอง

“เจ้าเหมือนเป็นน้องสาวของข้าเลย หรูหมิ่น” เสวียนจีกล่าวเสียงนุ่มนวล

“ในบ้านพี่เสวียนจีก็มีน้องสาวเช่นกันหรือ”

ในบ้านข้ามีเด็กหญิงอยู่ถึงห้าหกคนเชียวล่ะ

“มี…แต่หรูหมิ่นเหมือนเป็นน้องสาวของข้ามากกว่าพวกนาง”

“เช่นนั้น…เช่นนั้นข้า…” หรูหมิ่นกระสับกระส่ายบิดไปบิดมาอยู่บ้าง “เช่นนั้นข้าเป็นน้องสาวของพี่เสวียนจีก็ได้” นางหลุดปากออกมาในที่สุด

นางกับเสวียนจีมีฐานะไม่ต่างกันนัก เรียกขานเป็นพี่เป็นน้องเป็นสิ่งที่นางอยากทำมานานแล้ว พี่สาวคือสิ่งที่ชั่วชีวิตนางไม่มีทางมีได้ พี่เสวียนจีทำให้นางรู้สึกอบอุ่นสบายใจยิ่ง

“ตายล่ะ” ใบไม้บนต้นร่วงลงมาหลายใบ เสียงของหนักตกลงพื้นพลันดังมา ทำเอาหรูหมิ่นตกใจจนหดตัวเข้าอ้อมแขนของเสวียนจี นางหน้าแดง สูดดมกลิ่นกระดาษบนตัวเสวียนจี

ช่าง…ดียิ่งนัก!

ที่แล้วมายามอยู่ที่บ้านอันยากจนข้นแค้น นางคือพี่คนโต ดังนั้นจึงต้องแบกรับภาระแทนคนในครอบครัว ตอนนี้มีพี่สาวให้พึ่งพาได้

ช่างดีโดยแท้…

“นายน้อยสิบสอง”

“ข้าเอง…เจ็บยิ่งนัก!” เนี่ยหยวนเฉี่ยวเด้งตัวขึ้นมา แสยะปากยิงฟันพลางประคองบั้นเอว “ข้ากำลังงีบอยู่ตรงนี้ก็มาเอะอะรบกวนข้า โอ๊ย…ยังไม่รีบมาช่วยนวดเอวให้ข้าอีก เจ็บจะตายอยู่แล้ว…” เขาลังเลเล็กน้อยก่อนว่า “ไม่ๆๆๆ ไม่ต้องนวดแล้ว พวกเจ้ามานี่ มานี่หน่อย” เขาซ่อนตัวกลางดงต้นไม้ หาถ้ำในภูเขาจำลองก่อนกวักมือเรียกพวกนาง

“พวกเจ้าเข้ามา เข้ามาสิ! ข้าไม่ได้จะกินพวกเจ้าเสียหน่อย จริงๆ” เขากระโดดขึ้นก้อนหิน เก็บมือเก็บเท้าไม่ให้ภายนอกมองเห็นตนเองได้

เสวียนจีขมวดคิ้ว “นายน้อยสิบสอง เวลานี้ท่านสมควรอ่านหนังสืออยู่ในห้องจึงจะถูก”

“เอ๊ะ? เจ้าเป็นร่างแยกของพี่สามตั้งแต่เมื่อไร ช่างยุ่งยากจริง” เขายื่นมือมาดึงเสวียนจีที่ตัวเบาเหมือนขนนกเข้าไปในถ้ำ หรูหมิ่นจึงรีบร้อนตามเข้ามา

“นายน้อยสิบสอง พวกเราไม่มีเวลาเล่นเป็นเพื่อนท่านนะเจ้าคะ ถ้าพี่เสวียนจีกลับไปช้าอาจจะถูกนายน้อยสามดุด่าหรือตีเอาอีก”

“ใครบอกว่าจะให้เล่นเป็นเพื่อน” เนี่ยหยวนเฉี่ยวพูดหยัน “ข้ากำลังหลับสบายอยู่บนต้นไม้ ใครเลยจะรู้ว่าพวกเจ้าสาวใช้เล็กๆ ทั้งสองจะมาคุยกันหงุงหงิง ซ้ำยังสัญญาเป็นพี่เป็นน้องกันอีก ดูอย่างข้าที่มีพี่ชายสิบกว่าคนสิ เหมือนพวงขนมจ้างอย่างไรอย่างนั้น พวงหนึ่งต่อด้วยอีกพวง น่ารำคาญจะตายไป” ยามที่เอ่ยพูดเขาชะโงกหน้ามองข้างนอกครั้งแล้วครั้งเล่า ใบหน้างามดูเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย

เสวียนจีสบตากับหรูหมิ่นก่อนถอนหายใจ “นายน้อยสิบสองต้องการให้พวกเราทำอะไรเจ้าคะ”

“ไม่ต้องทำอะไร แค่นั่งอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนข้า รอคุณหนูสกุลจางนั่นจากไปแล้ว ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปเอง”

“คุณหนูสกุลจางหรือ” หัวคิ้วเสวียนจีขมวดอีกครั้ง หัวใจเหมือนมีอะไรพุ่งชนอย่างไร้สาเหตุ ที่ผ่านมานางอยู่ในบ้านโดยตลอด ไม่รู้ว่าเมืองหนานจิงมีครอบครัวแซ่จางอยู่กี่มากน้อย แต่ที่สามารถเหยียบเข้าคฤหาสน์สกุลเนี่ยได้…น่าจะมีไม่มาก

“ใช่แล้ว ดูเถอะว่าข้าอายุเพิ่งเท่าไรเอง พี่สี่ถึงกับคิดจะคุยเรื่องแต่งงานให้ข้าแล้ว” เขาคอตกด้วยความกลัดกลุ้ม มือล้วงพัดออกมาจากตรงเอว “เสวียนจี เมื่อครู่เจ้าออกมาจากสวนซั่งกู่กระมัง เห็นพี่สี่แล้วหรือไม่ เขาช่างเหี้ยมนัก วันนี้เช้ามาก็ไปขุดข้าขึ้นมาจากหอสือโถว บอกว่าคุณหนูสกุลจางมาเยี่ยม พี่สี่คนชั่วช้าสารเลว นี่เป็นการดูตัวอีกรูปแบบหนึ่งชัดๆ เขาทิ้งข้าให้อยู่ตามลำพังกับคุณหนูสกุลจางในห้องโถง ส่วนตัวเขาก็ดีนัก หนีไปหาพี่สามไม่รู้ทำอะไรกัน!” พูดขึ้นมาก็ขุ่นเคืองใจยิ่งนัก เขาเพิ่งจะสิบเจ็ด จะแต่งงานก็ควรให้พี่สี่แต่งก่อนมิใช่หรือไร ช่างน่าชังนัก!

“สกุลจาง…มิใช่มีความแค้นกับสกุลเนี่ยหรือ” เสวียนจีพึมพำ เรียกให้สายตาแปลกใจของเขามองมา

“หืม? เสวียนจี เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน”

“เอ่อ…ข้า…ข้าก็แค่ได้ยินมาเจ้าค่ะ”

“อ้อ” เขาไม่สงสัยเป็นอื่น เพียงบ่นขึ้นว่า “ไม่นับว่าเป็นแค้น ก็แค่เคยขัดแย้งกันในเรื่องการค้าเท่านั้น คฤหาสน์สกุลเนี่ยเรามิได้มีแต่กิจการร้านหนังสือ งานขนส่ง สำนักศึกษา งานออกแบบสวน มีกิจการหรือส่วนเกี่ยวข้องอยู่แทบทุกสาขาอาชีพ แน่นอนว่าย่อมเป็นศัตรูคู่แข่งกับกิจการร้านค้าอื่นๆ ในเมืองหนานจิง ส่วนสกุลจางนั้น…ได้ยินว่าผู้เฒ่าจางเสียชีวิตเมื่อไม่นานมานี้ รุ่นเยาว์ในตระกูลมีใจอยากคลายปมขัดแย้งระหว่างกัน จึงเสนอเรื่องการแต่งงานนี้ออกมา ช่างน่าชังจริงๆ”

เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความกลัดกลุ้มหงุดหงิด ก่อนจะอุทานสงสัยออกมาเบาๆ “เสวียนจี ไฉนหน้าเจ้าถึงได้ดูขมขื่นยิ่งกว่าข้า หัวคิ้วก็มุ่นลึกยิ่งกว่าข้าด้วย” หรือว่าเป็นห่วงแทนข้า? ฮือ…ซึ้งใจยิ่งนัก!

“ข้าเป็นห่วงแทนนายน้อยสิบสองเจ้าค่ะ” เสวียนจีอธิบายโดยไม่คิด ทว่าความจริงในตอนนี้คือสมองนางกำลังหมุนติ้ว “เช่นนั้นก็แสดงว่าต่อไปคุณหนูสกุลจางจะมาที่คฤหาสน์เป็นประจำหรือเจ้าคะ”

“แน่นอนอยู่แล้ว” เขาตอบงึมงำ สกุลจางกระตือรือร้นต่อเรื่องการแต่งงานนี้อย่างมาก ตีให้ตายเขาก็ไม่มีทางไปสกุลจาง ส่วนคุณหนูสกุลจางนั่น สวรรค์…มิใช่จะบอกว่านางอัปลักษณ์หรืออะไร ก็แค่เขายังเที่ยวเล่นไม่พอ จู่ๆ จะให้เขาแบกรับภาระหลังแต่งงาน เขาคงได้เบื่อตายทั้งเป็น เขาต้องหนี ต้องหนีให้ได้

เขาพลันจับมือของเสวียนจีกับหรูหมิ่นพลางกล่าว “พวกเราแอบหนีออกไปเที่ยวกันดีหรือไม่ ไม่รู้ว่าข้าไม่ได้ก้าวออกนอกประตูคฤหาสน์มานานเท่าไรแล้ว ให้ข้าหมกตัวอยู่ในคฤหาสน์ทั้งวันเพื่อรอคุณหนูสกุลจางมาเยี่ยม ข้าต้องได้เป็นบ้าตายแน่…”

“ใครจะเป็นบ้า” แสงภายในถ้ำศิลาถูกเงามืดบดบัง เนี่ยมี่หยางก้มตัวลงมองมาด้านใน “หยวนเฉี่ยว ข้ารู้ว่าเจ้าหลบอยู่ข้างใน ออกมา!”

“ข้า…ข้าไม่ออก!”

ตั้งแต่เล็กๆ ทุกครั้งไม่ว่าเขาจะไปแอบที่ใด พี่สี่ล้วนหาเจอทุกครั้งไป เป็นผีชัดๆ!

เนี่ยมี่หยางถอนหายใจ “คุณหนูสกุลจางกลับไปแล้ว เจ้าจะอยู่ข้างในให้ราขึ้นหรือไร”

เนี่ยหยวนเฉี่ยวจ้องเขาด้วยความระแวง “แต่ไหนแต่ไรพี่สี่ก็ชอบพูดจาหลอกลวง ไม่เหมือนพี่เจ็ดที่บอกว่าหนึ่งก็คือหนึ่ง ใครจะไปรู้ว่าท่านหลอกข้าหรือไม่”

“เจ้าอยากอยู่ ข้าก็ไม่คัดค้าน ทว่าเสวียนจี เจ้าออกมา นายน้อยสามของเจ้ากำลังรอเจ้าอยู่”

“เจ้าค่ะ”

“นี่!” เนี่ยหยวนเฉี่ยวคว้ามือเสวียนจีไว้ได้ทัน มือนางอ่อนปวกเปียกไร้กระดูก จับแล้วทั้งลื่นทั้งนุ่ม เขาใจสั่น ขยิบหูขยิบตาให้เนี่ยมี่หยาง “ท่านบอกให้ไปก็ต้องไปหรือ เสวียนจีอยู่เป็นเพื่อนข้าดีกว่าอยู่กับสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างพี่สามมากนัก จริงหรือไม่เสวียนจี”

เนี่ยมี่หยางจ้องมองมือที่จับเสวียนจีไว้ของอีกฝ่าย ก่อนแย้มยิ้มชั่วร้าย “เจ้าอยากให้พี่สามมาด้วยตัวเองหรือ”

ถ้ามา เขาก็ได้ตายจริงๆ แล้ว แม้จะไม่ได้ไปสวนซั่งกู่บ่อยนัก แต่ก็มีช่องทางที่ข่าวลอดออกมา ผู้เป็นที่โปรดปรานของพี่สามในเวลานี้มิใช่หยวนเจาเซิงและก็มิใช่พี่สี่ แต่เป็นฉินเสวียนจีผู้นี้

มองไม่ออกจริงๆ ว่าสาวใช้นางนี้มีเสน่ห์พิเศษอะไร ทว่าขอแค่พี่สามพอใจก็พอแล้ว เขาบุ้ยปากและปล่อยมือนางออกในที่สุด

“เจ้าไปเถอะ” เขาขยิบตาให้นาง “ส่วนหรูหมิ่นก็ให้อยู่กับข้าที่นี่ อย่าลืมนัดของพวกเราในวันพรุ่งเล่า” เขาพูดยิ้มด้วยท่าทางชั่วร้าย

นัด? นัดอะไร

เมื่อครู่นอกจากเรื่องสกุลจางแล้วก็ได้ยินอย่างอื่นที่เขาพูดไม่ชัดโดยสิ้นเชิง เสวียนจีเดินออกจากถ้ำศิลา สายตาเหลือบมองไปรอบสี่ด้านอย่างห้ามตนเองไม่ได้

“เจ้ากำลังหาอะไร”

“บ่าวกำลังหา…ว่าคุณหนูสกุลจางไปแล้วจริงๆ หรือไม่เจ้าค่ะ”

เนี่ยมี่หยางมองนางแวบหนึ่งก่อนกล่าวยิ้ม “ข้ามิใช่บอกว่าไปแล้วหรือไร ไฉนจึงไม่มีใครเชื่อข้าสักคน ดูเจ้าคล้ายเป็นห่วงหยวนเฉี่ยวนัก ไม่ต้องห่วงเขาหรอก เจ้าดูแลนายน้อยสามของเจ้าให้ดีก็พอ” เขาก้าวเท้าเดินกลับไปยังสวนซั่งกู่ ให้นางตามอยู่ข้างๆ ทำเป็นว่ากำลังเดินเล่น

“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ”

“บ่าว?” เขาพูดทวนยิ้มๆ ได้ยินแล้วขัดหูอยู่บ้างจริงๆ แม้พี่สามจะไม่สนใจถามไถ่เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนเอง แต่ระดับความเฉียบแหลมยังไม่ลดลงจากเมื่อก่อน พวกเขาคิดเห็นตรงกัน…นางไม่เหมือนเป็นสาวใช้ แม้จะอ้างว่าเป็นทายาทของอาจารย์สอนหนังสือ แต่ทั้งตัวนางไม่มีกลิ่นอายชนบท นางอ่อนน้อมอ่อนหวาน แต่ก็มีความดื้อรั้น

“นายน้อยสี่…”

“อืม?”

“ได้ยินนายน้อยสิบสองบอกว่าสกุลจางอยากดองกับสกุลเนี่ยหรือเจ้าคะ” เสวียนจีเอ่ยถามขึ้น

“พวกเขาตั้งใจเช่นนี้” เนี่ยมี่หยางตอบโดยไม่คิด แต่ฝีเท้าก้าวช้าลงกว่าเดิม ดวงตาเขาจับสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย “นายท่านจางสิ้นใจเมื่อเดือนก่อน รุ่นเยาว์ในตระกูลไม่มีใครมีความสามารถ แม้จะเป็นวงศ์ตระกูลใหญ่แต่ก็ต้องพึ่งพาการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ คุณหนูจางปีนี้อายุสิบเจ็ด โตกว่าหยวนเฉี่ยวไม่กี่เดือน แต่ข้ากลับรู้สึกว่าพวกเขาเหมาะสมกันยิ่ง”

“อ่อ” เสวียนจีส่งเสียงตอบรับเบาๆ

เขามองนาง ใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็เก็บความสงสัยไว้ในใจชั่วคราว ฉินเสวียนจีเงียบขรึม ไม่ชอบเป็นที่สนใจของใครมาแต่ไหนแต่ไร นี่เป็นข้อสรุปจากปากสาวใช้คนอื่นๆ และหลังจากเคยได้สัมผัสคลุกคลีกับนาง คำถามที่สตรีเช่นนี้จะเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามเองมีไม่มาก และนางก็ดูคล้ายจะสนใจสกุลจางอยู่หลายส่วน…

ทว่าจุดสำคัญมิใช่เรื่องนี้ เขาขมวดคิ้ว ปรับสีหน้า ก่อนจะถอนหายใจยาว

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าสกุลเนี่ยมีพี่ชายน้องชายสิบสองคน นอกจากหยวนเฉี่ยวกับข้าแล้ว พี่น้องแต่ละคนพออายุได้ราวสิบปีก็แทบจะตั้งปณิธานให้ตัวเองกันทุกคน” เขาเริ่มเล่าอย่างไม่นึกรำคาญ “เป็นต้นว่านายน้อยห้าของเจ้า ตั้งแต่เล็กก็ขึ้นเรือแล้ว นายน้อยเจ็ดของเจ้าสนใจศึกษาค้นคว้าหลักคำสอนของพุทธศาสนา ตั้งปณิธานจะออกบวช นายน้อยสามชมชอบหนังสือ ส่วนนายน้อยหกก็ออกท่องยุทธภพ…”

“ประวัติวงศ์ตระกูลหรือเจ้าคะ นั่นน่าสนใจนัก”

นางคล้ายว่าฟังอย่างหลงใหลเพลิดเพลินยิ่ง คนก่อนที่ฟังเขาเล่าประวัติวงศ์ตระกูลฟังได้ไม่ถึงครึ่งทางก็สลบไสลไม่ตื่นแล้ว สาวใช้นางนี้กลับเหมือนว่าสนใจจริงๆ

เขาแย้มยิ้ม “ในบ้านเจ้าไม่มีพี่น้องหรือ”

นางลังเลเล็กน้อยก่อนตอบ “มีเจ้าค่ะ แต่มิได้สนิทกันเท่านายน้อยสี่กับเหล่าพี่น้อง”

อย่างนี้นี่เอง

“เจ้าชอบฟังประวัติวงศ์ตระกูล วันหลังก็ให้นายน้อยสามเล่าให้เจ้าฟัง มันทั้งเหม็นโฉ่ทั้งยืดยาว เล่าสามวันสามคืนก็ยังเล่าไม่จบ คนที่ข้าจะพูดถึงคือนายน้อยหกของเจ้า เขาจะกลับมาคฤหาสน์ในไม่กี่วันนี้แล้ว”

“เอ่อ…” แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับข้า

“เขาศึกษาค้นคว้าด้านการแพทย์ สามปีก่อนหาหมอไม่ได้ความ ไม่เพียงรักษาสองขาของนายน้อยสามของเจ้าให้หายไม่ได้ แต่ยังเพิ่มความยุ่งยากให้อีก นายน้อยหกออกเสาะหายาไปทั่วสารทิศ ไม่กี่วันก่อนฝากข่าวกลับมาว่าได้ตัวยาครบแล้ว รอเพียงพี่สามตอบตกลง”

“ขาของเขามีโอกาสรักษาหายหรือเจ้าคะ” นางหลุดปากถามด้วยความประหลาดใจ

“แน่นอน! ในคฤหาสน์สกุลเนี่ยมีเพียงเรื่องที่ไม่ยอมทำ ไม่มีเรื่องที่ทำไม่ได้” เขาถอนหายใจอีกคำรบ “ติดก็แต่พี่สามไม่ยอมตอบตกลง”

“เขาไม่ยอมหรือ…” ทำไมกัน เดินเหินได้มิใช่เรื่องดีหรือไร

“เจ้าฉลาดพอ เสวียนจี” เนี่ยมี่หยางกางพัด แย้มยิ้มออกมาอีกครั้ง “เพราะฉะนั้นข้าจะบอกเพียงเท่านี้ ข้อสงสัยที่เหลือต้องรอเจ้าขุดค้นด้วยตัวเองแล้ว”

นางหรี่ตา นี่หมายความว่าปลาอย่างนางติดเบ็ดแล้วหรือ เขาต้องการให้นางไปเกลี้ยกล่อมเนี่ยเฟิงอวิ๋น? อาศัยนาง? เนี่ยเฟิงอวิ๋นมีหรือจะเห็นนางอยู่ในสายตา ถ้าจะว่ากันเรื่องเกลี้ยกล่อมก็ควรให้บัณฑิตเย้ยโลกมาช่วยพูด แม้เขาจะเพิ่งพบบัณฑิตเย้ยโลกเป็นหนแรก และเขาก็มิได้มีความตื่นเต้นใดๆ แต่ดูเหมือนเขาจะชอบหนังสือเรื่องคันฉ่องส่องบาปอยู่มาก จนพลอยชมชอบไปถึงผู้ประพันธ์ อยากพบหน้าค่าตาอย่างมากไปด้วย

ถ้าสองขาเขาสามารถเดินเหินได้…ถ้าสามารถเดินเหินได้

นางกำหมัดแน่น นางชื่นชมเลื่อมใสในตัวเขาจากใจจริง ถ้าสกุลจางต้องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์จริงๆ เช่นนั้นนางก็ต้องจากไปอย่างเงียบๆ ก่อนถึงเวลานั้น ถ้าสามารถกล่อมให้เขายอมรักษาขาทั้งสองของเขาได้…

“รีบเดินเถอะเสวียนจี” เขากล่าวยิ้มๆ อย่างอบอุ่น เห็นชัดว่ามองการตัดสินใจของนางออกแล้ว

“ท่านฉลาดนักนะเจ้าคะ นายน้อยสี่” นางพูดพึมพำขึ้นมา

“ส่วนเจ้าก็สร้างความประทับใจให้ข้าอย่างมากเสวียนจี” มากจนอยากจะตรวจสอบประวัตินาง มิใช่เพราะนางเป็นภัย แต่เพราะปริศนาบนตัวนางทำให้เขานึกสงสัย

คุณหนูสกุลจางอย่างนั้นหรือ พอพูดถึงนาง เสวียนจีดูคล้ายจะสนใจเป็นพิเศษ เช่นนั้นก็เริ่มตรวจสอบจากสกุลจางแล้วกัน…

บทที่ 6

ราตรีเย็นดุจธารา แสงจันทราหลบเร้น สายลมพัดโชยเย็น เส้นทางยากให้เดิน…

‘หายไปแล้ว? นางหายไปได้อย่างไร นางเด็กสมควรตาย!’ ยามนี้ในคฤหาสน์กำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ที่ด้านนอกมีเพียงแสงตะเกียงสว่างไสวอยู่บางจุดเท่านั้น ในดงไม้จึงยิ่งมืดสลัว

นางหอบหายใจเฮือกเล็กๆ หลบหลังลำต้นมืดๆ ราตรีราวกับมีเวทมนตร์ ช่วยบดบังเงาร่างบอบบางของนาง และก็ช่วยปิดบังเรื่องที่อัปลักษณ์ชั่วร้ายที่สุดในโลก

‘นางรู้ตัวว่าถึงทางตันแล้วกระมัง’ เสียงชายฉกรรจ์แทบจะดังอยู่ข้างนาง ใจนางเต้นแรงจนพอจะทำป่าไผ่ทั้งผืนสั่นสะเทือนได้ ‘ถ้าทำได้ก็อยากจะเรียกรวมพลมาค้นป่าไผ่จริงๆ’ เขาพูดอย่างหงุดหงิด

‘เรียกรวมพลหรือ เจ้าอยากเรียกใคร อยากให้เรื่องคบชู้ของพวกเราแดงขึ้นมาหรือไร’ เสียงหัวเราะแห้งๆ ของสตรีดังมาจากรอบทิศทาง ฟังดูเหมือนกำลังเบิกตากว้างมองซ้ายแลขวา กลัวจะตกหล่นจุดใดไป ‘ข้ารำคาญนางในเรื่องที่ไม่ชอบพูดชอบจา ชอบแต่ใช้ตาคู่นั้นมองคนนี่แหละ มองจนข้าขนลุกในใจ…’

‘ท่านยังกลัวอะไรอีก’ ชายฉกรรจ์บีบสะโพกของสตรี เสียงหัวเราะหื่นกามอยู่บ้าง ‘รอข้าจัดการนางแล้ว จะเงินหรือจะคน อยากได้อะไรก็ได้ทั้งนั้น ท่านจะสุขสำราญใจยังแทบไม่ทัน มีหรือจะยังขนลุกอีก’

รอแค่จัดการนาง…

“ฉินเสวียนจี! สาวใช้สมควรตาย!” เสียงคำรามด้วยความโมโหจัดติดตามมาด้วยเสียงของหนักหล่นลงพื้น ทำให้นางผวาตื่น

นางลืมตาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะร้องโอดโอยเบาๆ อากาศในปอดแทบจะถูกสูบออกไปจนหมด

“พยุงข้าลุกขึ้น!”

“ว้าย…” หลังจากปรับสายตาที่พร่าเลือน แสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างก็ทำให้นางมองเห็นเนี่ยเฟิงอวิ๋นฟุบคว่ำอยู่บนตัวนางในสภาพทุลักทุเลได้รางๆ “ท่าน…ท่านคิดจะทำอะไร”

“ข้าคิดจะทำอะไร เจ้าคิดว่าข้าหิวจนหน้ามืดคิดจะล่วงเกินเจ้าหรือไร” เขาพูดด้วยความโกรธกรุ่น สองมือยันตัวขึ้น

“ข้า…” ร่างเขาพาดหน้าอกนาง ดูจากท่าทางของเขาแล้วเหมือนจะล่วงเกินนางจริงๆ แต่สมองที่อยู่กับความจริงบอกนางว่าความสนใจที่เขามีต่อนางนั้นน้อยกว่าที่มีต่อมดเสียอีก

“เจ้าอะไร พยุงข้าลุกขึ้น!”

“เจ้าค่ะ” นางผละจากตัวเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น “ข้าให้ผู้อารักขาหยวนเข้ามาพยุงท่านจะดีกว่า”

“ถ้าเขาอยู่ข้างนอก ข้ายังจำเป็นต้องใช้เจ้าอีกหรือ!” เสียงคำรามของเขาแทบจะดังก้องฟ้าแล้ว

นี่ช่างหาได้ยากนัก หาได้ยากที่จะเห็นหยวนเจาเซิงไม่ได้เฝ้าอยู่นอกประตู

ความคิดนี้วาบผ่านในสมอง แต่นางก็ยังคงประคองแขนเขาไว้ หมายจะดึงตัวเขาลุกขึ้น

“เตียงตั้งใหญ่ ไฉนจึงตกลงมาได้” นางพึมพำ

“เจ้าคิดว่าสาเหตุที่ข้าตกลงมาคืออะไรเล่า ฉินเสวียนจี” เรี่ยวแรงนางมีน้อยนิดเหมือนกระต่าย สาวใช้สมควรตายนางนี้ลองอยู่หลายครั้งก็ยังพยุงเขาลุกขึ้นไม่ได้

เรือนผมยาวของนางสยายอยู่ตรงอก มีสองสามช่อลื่นตกลงบนแขนเขาอย่างไม่เชื่อฟัง มองผ่านแสงจันทร์ นางดูบอบบางอ่อนแอเป็นพิเศษ แขนเขามักสัมผัสถูกหน้าอกกลมกลึงของนางโดยไม่ตั้งใจ…ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือโมโหดีที่นางถึงกับซื่อบื้อจนถูกเอาเปรียบแล้วก็ยังไม่รู้ตัวเช่นนี้

ไม่ง่ายเลยกว่าจะพยุงเขาขึ้นมาได้ ซ้ำส่วนใหญ่ยังต้องอาศัยเขาจับขอบเตียงไว้ถึงยันตัวขึ้นมาได้ นางดันเขาขึ้นเตียงด้วยอาการหอบแฮก มือเขาคว้าจับแขนเสื้อนางไว้ ทำให้นางพลอยล้มลงเตียงไปด้วย

“สวรรค์!” นางคล้ายว่าชอบถูกชนถูกกระแทกจนวิงเวียนหัวหมุนเป็นประจำ

“คนที่ควรร้องหาสวรรค์คือข้า สาวใช้สมควรตาย!”

“ถ้านายน้อยสามยอมตอบตกลง สองขาย่อมจะมีโอกาสรักษาหาย ไม่ต้องมาอาศัยเสวียนจีคอยพยุงแล้ว” นางพูดกระซิบ เสียงไม่ดัง แต่เพียงพอที่เขาจะได้ยิน

เขาไม่ต้องเสียเวลาคิดก็รู้ว่าใครเป็นคนบอกเรื่องนี้แก่นาง “สาวใช้สมควรตายอย่างเจ้าชอบยุ่งเรื่องคนอื่นนักหรือไร”

ราตรีเย็นดุจสายน้ำ กลิ่นหอมโชยมาอบอวลเป็นพิเศษ กลิ่นหอมของกระดาษบนตัวนางคล้ายว่ากลายเป็นกลิ่นกายนางไปแล้ว เขาถูกกลิ่นนี้รบกวนทั้งคืนถึงได้พลิกไปพลิกมานอนไม่หลับ

เขาคิดว่ากลิ่นหอมของกระดาษนี้สามารถทำให้อารมณ์เขาสงบลง ถึงตอนนี้กลับค้นพบว่ามันปลุกอารมณ์ปรารถนาของเขาขึ้นมาแล้ว

นางปูที่นอนบนพื้น แม้จะสวมใส่เรียบร้อยมิดชิดเหมือนเวลากลางวัน แต่เรือนผมยาวที่ปล่อยสยายกับใบหน้ายามหลับที่สงบนิ่งก็ดึงดูดใจอยู่บ้าง…

สมควรตาย! ไม่ได้ใกล้ชิดสตรีมาสามปีแล้ว เขาต้องการสตรี ทว่าไม่ถูกใจหลินอันที่ซีเซิงจัดมาอยู่ข้างกายเขาเป็นพิเศษ แต่กลับต้องการสตรีที่มีรูปโฉมปานกลางนางนี้แทน

“นี่ข้ามิได้ยุ่งเรื่องคนอื่น” ริมฝีปากนางเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบ หยาดเหงื่อดูราวเป็นแก้วผลึก โปร่งใสแวววาวยิ่ง

“มิได้ยุ่งเรื่องคนอื่น? เช่นนั้นเจ้าเป็นอะไรกับข้า” เขาพ่นหัวเราะออกจมูก

“ข้ามิได้เป็นอะไรกับนายน้อยสาม แต่…แต่…” นางพูดอ้ำอึ้งเป็นครั้งแรก

พอมองผ่านแสงจันทร์ถึงกับมองเห็นบนแก้มขาวผ่องของนางมีสีแดงเรื่อขึ้นมา…บางทีเขาอาจจะมองผิดไปกระมัง

ความขวยเขินเล็กๆ ของนางได้เปลี่ยนแปลงใบหน้าที่เย็นชามาโดยตลอด ทำให้ดูตราตรึงใจและ…ชวนหลงใหลอยู่บ้าง หน้าอกเขามีหินก้อนใหญ่กดทับ ความคิดความปรารถนายิ่งรุนแรงขึ้น

เป็นเพราะทัศนะความงามของเขาเกิดปัญหาหรือเพราะห่างสตรีมานานเกินไปกันแน่ ถึงได้ทำให้เขาเกิดภาพหลอน ถึงกับรู้สึกว่าบุคลิกของนางทำให้นางงดงามขึ้นมา

“เจ้าอ้ำๆ อึ้งๆ นี่กำลังจะพูดเรื่องสำคัญอะไรกันแน่” เขาเหน็บแนม

“สำหรับนายน้อยสามมิได้สำคัญอะไร แต่สำหรับข้ากลับเป็นเรื่องใหญ่ชั่วชีวิตเจ้าค่ะ” สีหน้าท่าทางนางเคร่งขรึมจริงจัง เหมือนกำลังครุ่นคิดพิจารณาว่าควรพูดหรือไม่

ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็จ้องเขาตรงๆ อย่างเหมือนว่าตัดสินใจได้แน่วแน่แล้ว

นัยน์ตาดำของนางดูลึกซึ้งทั้งยังชวนให้คนประทับใจอย่างมาก ทว่าคำพูดถัดมาของนางทำให้เขามองผ่านดวงตานางไป

“ข้าเคยบอกว่าข้ามีคนที่ชื่นชมเลื่อมใส และความชื่นชมเลื่อมใสนี้ก็ยืนยาวมาถึงเกือบสิบปี”

“เรื่องนี้เจ้าเก็บไว้พูดให้บุรุษที่เจ้าชื่นชมเลื่อมใสฟังก็ได้ ไม่ต้องมาพล่ามต่อหน้าข้า” เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์

“ตอนนี้เขาก็กำลังอยู่ตรงหน้าข้า ก็คือท่าน…เนี่ยเฟิงอวิ๋น”

“ข้า?” ดวงตาเขาหรี่ลงน้อยๆ

“ใช่แล้ว ข้าชื่นชมเลื่อมใสท่าน” นางกล่าวตามจริง ทุกประโยคที่พูดออกมา นางล้วนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนว่าเป็นผลิตผลจากการตรึกตรองอย่างตั้งใจแต่ก็ไม่เต็มใจในทุกทาง “บางทีข้าอาจจะยังชอบท่านอยู่สักหน่อยด้วย” นางพูดอย่างไม่มั่นใจนัก

“อ้อ นั่นช่างเป็นเรื่องเกินจะคาดฝันโดยแท้” เขาพูดกึ่งเหน็บแนม

ชอบ? ชอบเขาตรงใด ชื่นชมเลื่อมใสเขาในจุดใด แม้แต่ตัวนางเองยังมีสีหน้าไม่แน่ใจ แล้วจะกล่อมให้ผู้อื่นเชื่อได้อย่างไร

นางดูคล้ายไม่รู้สึกถึงเสน่ห์ดึงดูดของตนเองโดยสิ้นเชิง ขยับเข้าใกล้เขา เรือนผมยาวเลยสะโพกของนางป่ายปัดบนตัวเขาอีกครั้ง

เนี่ยเฟิงอวิ๋นยกมือคว้าเส้นไหมดำช่อเล็กไว้ สัมผัสนุ่มลื่นทำให้เขาต้องสูดหายใจเบาๆ

“ท่านไม่เชื่อ? ข้าชื่นชมเลื่อมใสท่าน เพราะว่าท่านคือเนี่ยเฟิงอวิ๋นที่เขียนบทส่งท้าย บางทีท่านคงลืมไปแล้ว แต่ข้ายังจำตอนที่ได้พบท่านในปีนั้นได้ สิ่งที่ถืออยู่ในมือท่านก็คือหรูอี้จวินจ้วน…”

“สวนซั่งกู่ตลอดปีไม่เคยพบเห็นคนนอก เจ้าเคยพบข้าปีไหนกัน” เสียงเขาแหบแห้ง กลิ่นหอมสะอาดสดชื่นบีบคั้นคน เหมือนดั่งกลิ่นกายสาวพรหมจารี…

ช่วงที่ผ่านมานี้ ถึงจะอยู่ในฐานะสาวใช้ แต่บุคลิกลักษณะพิเศษจำเพาะของนางก็ยังหลุดลอดออกมารางๆ กลิ่นของนางผสานกับอากัปกิริยาของนางออกมาเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจ ใช่เคยมีใครค้นพบด้านนี้ของนางหรือไม่ มองข้ามรูปโฉมของนางไป อาศัยเพียงประสาทสัมผัสของบุรุษเพศขุดค้นเสน่ห์แห่งความเป็นหญิงของนางออกมา

“สามปีก่อนในร้านหนังสือเฟิงอวิ๋น ข้าเคยมีโชคได้คุยกับท่านหลายคำ” ลมหายใจที่พ่นรดใบหน้าเขาของนางดูเย็นเฉียบและอ่อนระรวย

แต่ทว่าถ้อยคำของนางได้ย้ำเตือนเขาว่าผู้ที่นางชื่นชมเลื่อมใสก็คือเนี่ยเฟิงอวิ๋นที่เคยมีมือเท้าสมบูรณ์ เขาในตอนนี้นับเป็นอะไร บุรุษที่เดินไม่ได้ผู้หนึ่ง! คนที่นางหลงใหลเป็นแค่ภาพลวงตา เนี่ยเฟิงอวิ๋นตัวจริงในตอนนี้เป็นบุรุษที่ไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องให้ผู้อื่นทำแทนผู้หนึ่ง

“นายน้อยสาม?” นางทำท่าจะยันตัวขึ้น พบว่าแขนของเขากักเอวนางไว้ นางเงยหน้าและแสดงสีหน้างุนงงออกมา

แม้เขาจะไม่อาจเดินเหิน แต่ยังคงมีเรี่ยวแรงดี นัยน์ตาดำของนางหรี่ลง

“เจ้าว่าเจ้าชื่นชมเลื่อมใสข้า?”

“ใช่แล้ว”

“เป็นหนึ่งไม่มีสอง?”

“ในใจข้ามีเพียงหนึ่งเดียว”

“เมื่อก่อนมีหญิงสาวมากมายเพียงไรชื่นชมเลื่อมใสเนี่ยเฟิงอวิ๋น คนที่เฝ้าอยู่นอกร้านหนังสือเพื่อแค่ให้ได้เห็นหน้าตาของข้าใช่ว่าไม่มี แต่ตอนนี้ไม่มีสตรีแม้แต่ผู้เดียวที่มองเห็นข้าแล้วจะหน้าแดงใจเต้น”

นางขมวดคิ้ว สิ่งที่นางชื่นชมเลื่อมใสหาใช่หน้าตาของเขา ตอนที่นางคิดว่าเนี่ยเฟิงอวิ๋นเป็นชายชราก็หลงรักในความสามารถด้านวรรณศิลป์ของเขาอย่างสุดหัวใจแล้ว นางอยากจะอธิบาย กลับรู้สึกว่าแขนที่โอบเอวนางอยู่รั้งตัวนางไปใกล้ นางเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง ตัวนางแนบติดกับร่างกายอุ่นร้อนและให้ความรู้สึกของบุรุษเพศของเขาโดยมีเพียงเสื้อผ้ากั้น

“เจ้าจะพิสูจน์อย่างไรให้เห็นว่าเจ้าชอบข้า ชื่นชมเลื่อมใสข้าจริงๆ”

“หา?” ราวกับได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัว นี่เป็นเสียงหัวใจของนางหรือว่าของเขากัน “นายน้อยสาม…ท่านต้องการให้ข้า…พลีกาย?” พูดออกไปแล้วถึงได้พบว่าเสียงของตนเองแหบแห้งยิ่ง

“เจ้าว่าอย่างไรเล่า” ใบหน้าเขาห่างจากนางเพียงหนึ่งชุ่น* ดวงตาเขาหลุบลงครึ่งๆ สิ่งที่เผยออกมาจากนัยน์ตาดำคือความปรารถนาที่คล้ายว่าเคยรู้จัก

นางเข้าใจ ขณะอยู่ในตระกูลนางก็เคยเห็นแววตาเช่นนี้ นางรังเกียจดวงตาเช่นนี้ เต็มเปี่ยมด้วยกามารมณ์และความลามก ทว่าดวงตาของเขามิได้ทำให้นางมีความรู้สึกสะอิดสะเอียน แต่กลับเป็นเหมือนถ้ำดำมืดอันลึกล้ำ ดึงดูดทุกผู้ที่มองเขาเข้าไป

นางจ้องเขาตาไม่กะพริบ “ท่าน…ต้องการข้า?”

“ข้าต้องการสตรี” เขาพูดเสียงทุ้มต่ำ สีหน้าซับซ้อนอ่านยาก สิ่งเดียวที่มองออกคือความปรารถนาของเขา

นั่นหมายความว่าขอแค่เป็นสตรี จะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้นหรือ คำพูดไร้หัวใจเช่นนี้ทำร้ายจิตใจนางอยู่บ้างจริงๆ นางหลุบตาลงตรึกตรอง กลิ่นของเขาผสมกับนาง ทั้งคุ้นและไม่คุ้นเคย แต่นางกลับชอบกลิ่นเช่นนี้เข้าแล้ว

ขณะนางช้อนตาขึ้นมาอีกครั้งก็ได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว “ถ้าหากว่า…ถ้าหากว่าท่านยอมรักษาขา เช่นนั้น…เช่นนั้น…ข้าก็…ก็…”

ตาเขาหรี่เล็ก คิ้วดาบชี้ชัน นางเคยชื่นชมเลื่อมใสเนี่ยเฟิงอวิ๋นผู้นั้น ชื่นชมเลื่อมใสจนถึงขั้นพลีกายเพื่อเขาได้เชียวหรือ นางหญิงสมควรตาย! นางเริ่มคิดว่าตนเองเป็นเหยื่อสังเวยแล้ว! ถ้าวันนี้ผู้ที่นางชื่นชมเลื่อมใสเป็นคนอื่น เช่นนั้นนางใช่จะยอมพลีกายให้บุรุษอีกคนหรือไม่!

“ร่างกายเจ้าราคาถูกเพียงนี้เชียวหรือ ช่างน่าคลื่นไส้!” เขาพูดด้วยความโมโหสุดขีด

นางถูกผลักกะทันหันไม่ทันตั้งตัว ยังไม่ทันได้ตอบสนองใดๆ ก็ตกจากเตียงแล้ว

“โอ๊ย…” เสวียนจีร้องครางเบาๆ ความเจ็บส่งมาจากท้ายทอย หยีตามองเห็นเขาดูคล้ายอยากจะยื่นมือมาคว้าตัวนางไว้ นางมองผิดไปแล้วกระมัง

อารมณ์เขาเอาแน่เอานอนไม่ได้ ทำให้คนทั้งแค้นทั้งไม่รู้จะทำอย่างไร นางหลงใหลในความสามารถทางวรรณศิลป์ของเขา แรกเห็นเขาใช้รถเข็นเป็นเครื่องมือช่วยเดินไม่อาจไม่พูดว่ารู้สึกแปลกใจและ…ปวดใจยิ่งยวด แต่นั่นก็มิได้ทำให้ความชื่นชมเลื่อมใสต่อเขาลดน้อยลง ถึงแม้สองขาของเขาจะขยับไม่สะดวก แต่ยังคงอ่านเขียนได้เช่นเดิม มีความรู้อันเต็มเปี่ยมและยังมีความสามารถเฉพาะทาง เท่านี้ก็เพียงพอจะเป็นปัจจัยให้นางหลงใหลได้แล้ว กล่าวตามตรง ขาของเขาจะรักษาหายได้หรือไม่ก็ไม่ส่งผลต่อความประทับใจที่นางมีให้เขา แต่ถ้าเขาสามารถหายดีและกลับมาเป็นเนี่ยเฟิงอวิ๋นที่องอาจกระฉับกระเฉงผู้นั้นได้ เช่นนั้นนางยินดีจะลองดู

หน้าตาเขายังคงกรุ่นโกรธ ยันตัวลุกขึ้นนั่งตัวตรง “เจ้ายืนขึ้นมา” น้ำเสียงเขาอ่อนลงแล้ว คล้ายว่าไม่เข้ากับใบหน้าบูดบึ้งนั่น

นางไม่ได้คิดนาน จับเก้าอี้ประคองตัวลุกขึ้นอย่างโงนเงน

ตอนที่ตกลงมาเมื่อครู่ศีรษะถูกกระแทกจนวิงเวียนหัวหมุน เนื้อตัวทั้งร่างเจ็บปวดอย่างยิ่ง

เมฆดำเคลื่อนบดบังแสงจันทร์ ใบหน้าเขาตกอยู่ในเงามืด กล่าวตามตรง สายตานางมิได้ดีนัก นางหยีตา ยังคงมองเห็นสีหน้าของเขาไม่ชัด

“เจ้ามานี่” เสียงของเขาดังขึ้นท่ามกลางความมืด ฟังดูทุ้มต่ำแต่มิมีโทสะ

เขาไม่อารมณ์เสียขึ้นมาปุบปับแล้วหรือ

นางเดินกะเผลกน้อยๆ ไปถึงริมเตียง พลันรู้สึกว่ามือคู่หนึ่งยื่นมาแตะประคองบั้นเอวนาง

“บาดเจ็บหรือไม่”

“ข้าสบายดี…”

“ไม่แทนตัวเองว่าบ่าวแล้ว?” ใบหน้าเขาคล้ายเงยขึ้นมา ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับอย่างลึกลับ “เจ้ามิใช่สาวใช้ที่มีอุปนิสัยเป็นข้าทาส ถ้าข้าสั่งให้เจ้าถอดเสื้อผ้าออกเล่า”

นางขมวดคิ้ว ย้อนถามเสียงเย็นใสดุจสายน้ำ “แล้วท่านจะให้คนรักษาขาของท่านหรือไม่เจ้าคะ”

“เจ้ากำลังยื่นเงื่อนไขหรือ เพื่อสองขาของข้า? การที่ข้าเดินเหินได้มีประโยชน์ใดต่อเจ้า เจ้าคิดว่าข้าร่วมอภิรมย์กับเจ้าแล้วก็จำเป็นต้องให้สถานะแก่เจ้าหรือไร”

“ข้าไม่เคยคิดจะแต่งให้ท่าน”

“โกหก” ตัวนางอยู่ระหว่างขาทั้งสองของเขา แทบจะสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มบอบบางของนาง เสน่ห์แห่งความเป็นหญิงกำจายออกมาเต็มที่ กลิ่นของนางเหมือนตาข่ายมารครอบคลุมฆานประสาทของเขาเอาไว้

“เป็นความจริง” นางตอบอย่างหนักแน่น

“เจ้าคิดว่าผ่านคืนนี้ไปแล้วจะมีบุรุษดีๆ คนใดยอมแต่งเจ้าหรือ” อย่างมากที่สุดก็จับคู่ให้นางกับบ่าวสักคนในคฤหาสน์สกุลเนี่ย มิใช่พ่อม่ายก็บ่าวที่มีข้อบกพร่องสักคน อายุนางไม่น้อย ใกล้จะเลือกสามีไม่ได้แล้ว ถ้ามาเสียตัวในยามนี้ ทั้งยังไม่มีภูมิหลังร่ำรวยมีเกียรติใดๆ บุรุษที่นางแต่งให้ได้ก็จะเหลือเพียงนับนิ้วได้

นางพึมพำลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนเอียงศีรษะน้อยๆ กล่าวว่า “ข้าไม่ได้คิดมากมายเพียงนั้น คนเรามักคิดมากเกินไปจนลืมเลือนว่าหลังตื่นนอนก็คือสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ บางทีวันพรุ่งข้าอาจจะมีอันเป็นไปแล้วก็ได้” นางลังเลเล็กน้อยก่อนคลายสายรัดเอว

“ที่ข้าชื่นชมเลื่อมใสท่านบางทีอาจเป็นเพราะข้าเป็นสตรีนางหนึ่ง มีเรื่องมากมายไม่อาจทำได้ แต่ท่านกลับสามารถทำได้ ท่านเปิดร้านหนังสือ สร้างยุครุ่งเรืองของหนังสือให้แก่อาณาจักรต้าหมิง ท่านนำการพิมพ์รูปแบบใหม่ล่าสุดเข้ามา ท่านเขียนบทส่งท้ายให้หนังสือโบราณนับหมื่นเล่ม รับผิดชอบงานแนะแนวการอ่านให้ปัญญาชนรุ่นเยาว์ ท่านไม่ต้องมีวรยุทธ์ มีเพียงพู่กันด้ามหนึ่งและความรู้ความสามารถเต็มท้องก็ทำให้ชื่อเสียงท่านคงอยู่ไปเป็นร้อยๆ ปีได้แล้ว เนี่ยเฟิงอวิ๋นที่เป็นเช่นนี้แม้ขาจะไม่ดี แต่ความสง่างามยังคงไม่ลดน้อยลง”

ชุดตัวนอกสีเหลืองอ่อนไหลร่วงลงพื้น ใจนางกำลังเต้นอย่างบ้าคลั่ง เขาได้ยินหรือไม่ เขาพูดว่าไม่มีสตรีจะหน้าแดงใจเต้นเพราะเขาอีก เขามองไม่เห็นความเขินอายและความชื่นชมเลื่อมใสของนางหรือไร

“มีความปรารถนาเล็กๆ ทีละอย่าง ขอเพียงยอมลองดู ความปรารถนาก็อาจจะเป็นจริง นี่คือคติที่ข้ายึดถือมาตลอดยี่สิบสองปี ข้าหวังว่าสองขาของท่านจะสามารถหายดี เป็นความเห็นแก่ตัวและก็เป็นความคาดหวังว่าเนี่ยเฟิงอวิ๋นในอดีตกับท่านในปัจจุบันจะสามารถหาจุดสมดุลออกมาได้ เท่านี้ข้าก็พอใจแล้ว” และจากนั้นนางก็จะจากไปก่อนจะถูกจับได้…

บางทีนางยังไม่ทันจากไปก็อาจจะถูกสกุลจางพบตัวจนชีวิตหาไม่ เรื่องในอนาคตใครจะไปรู้เล่า แต่นางก็ไม่เคยคิดเรื่องแต่งงานจริงๆ ความปรารถนาของนางหยุดไปตั้งแต่สามปีก่อนแล้ว จวบจนได้พบเขาอีกครั้ง อารมณ์แปรปรวนของเขามีสาเหตุจากความพิการ นางไม่ใส่ใจว่าเขาจะเดินได้หรือไม่ แต่ถ้าเขาจะสามารถเก็บความมั่นใจในตนเองและบุคลิกสง่างามในอดีตกลับมาได้อีกครั้งเพราะขาหายดี เช่นนั้น ‘การเสียสละ’ ของนางก็เล็กน้อยจนไม่มีค่าให้พูดถึง

นางหลุบตาลง บางทีนางอาจจะชอบเขามากกว่าที่คิดไว้ ถึงได้เห็นว่าการสัมผัสถึงเนื้อถึงตัวกับเขามิได้ชวนให้รังเกียจขนาดนั้น ฝ่ามือเขาวางแนบอยู่บนผิวนาง ผ่าวร้อนอยู่บ้าง อ่อนระทวยอยู่บ้าง

“ใครให้เจ้ามาเกลี้ยกล่อมข้า นายน้อยสี่?” เสียงของเขาฟังอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ไม่ออก “เจ้าแค่ขายตัวมาทำงานสามปีก็เชื่อฟังขนาดนี้เชียว?”

“เขาเคยพูด แต่ข้าเต็มใจเจ้าค่ะ” ร่างนางสั่นน้อยๆ น้ำเสียงก็สั่นเครืออยู่บ้าง ทว่าก็ยังจับมือเขามาแตะตรงหัวใจตนเอง “ข้ากำลังมองท่าน ข้าหน้าแดง ข้าใจเต้น ท่านสามารถรู้สึกได้ ต่อให้ท่านต้องนั่งรถเข็นไปชั่วชีวิต ความชื่นชมเลื่อมใสที่ข้ามีต่อท่านก็ไม่ลดน้อยลง แต่ถ้าท่านยอมให้ความรู้ความสามารถของท่านสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้เพราะสาเหตุจากสองขาของท่าน เช่นนั้นก็จะเป็นเรื่องที่โง่เขลาที่สุดที่ท่านเคยทำมา ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องทำให้ขาของท่านหายดี…” จิตใจนางไม่มั่นคงและใจลอยอยู่บ้าง

แม้จะอยู่ใกล้กันขนาดนี้ แม้นางจะพยายามมองให้ชัด แต่ยังคงมองไม่เห็นการตอบสนองของเขาอยู่ดี ท่ามกลางราตรีมืดมิดมีเพียงลมหายใจของกันและกัน สัมผัสแตะต้องของเขาส่งผลต่อความร้อนในร่างกายและการเต้นของหัวใจนาง นางเคยดูพวกภาพสังวาสมาบ้าง รู้ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น นางยากจะนึกถึงภาพการสัมผัสแนบชิดสนิทสนมเช่นนี้กับชายอื่นออกได้ มีเพียงเขาที่นางยังทนรับได้…

“ข้าเคยทำเรื่องที่โง่เขลาที่สุดมาแล้ว ก็คือรั้งตัวเจ้าไว้ข้างกาย” เขาทำลายความเงียบนี้ขึ้น หัวใจที่ใต้ฝ่ามือเต้นเร็วถึงเพียงนี้ เร็วจนเขาแทบคิดว่านางใกล้จะหมดสติแล้ว “ตอนนี้ข้าอยากจะดูซิว่าความชื่นชมเลื่อมใสของเจ้าจะคงอยู่ได้นานเท่าไร ข้าจะเก็บเจ้าไว้ข้างกาย ถ้าเจ้ายังรักษาความประทับใจที่คิดไปเองของเจ้าต่อไปได้ เช่นนั้นบางทีข้าอาจจะพิจารณาเรื่องให้คนรักษาขาข้า” มือของเขาเลื่อนมาหยุดที่สายเล็กๆ บนเอี๊ยมของนาง เสียงทุ้มต่ำเปี่ยมด้วยแววถากถาง “ที่น่าสนุกยิ่งกว่าคือบางทีหลังตื่นนอนเจ้าอาจจะพบว่าการขึ้นเตียงกับบุรุษที่สองขาไร้แรงนั้นน่ารำคาญมากเพียงไร ถึงเวลานั้นเจ้าจะนึกเสียใจต่อทุกสิ่งที่พูดในคืนนี้”

“พวกเรามาพนันกันดูได้”

นัยน์ตาดำของเขาจ้องมองนางในราตรีอันมืดมิด น้ำเสียงนางมั่นคง แต่แก้มที่เหมือนมีไฟเผาของนางได้เผยความอ่อนประสบการณ์และความกระวนกระวายของนางออกมา

เขาหรี่ตาลง “มีอะไรไม่ได้เล่า” ก่อนจะออกแรงฉุดตัวนางเข้ามา…

นางลืมตาขึ้น ภาพเบื้องหน้าเป็นภาพที่ไม่คุ้นเคยอีกแล้ว ทั้งยังปวดเมื่อยไปทั้งตัว รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปวันแรกๆ ที่มาคฤหาสน์สกุลเนี่ย มีแต่งานใช้แรง แทบจะไม่มีแม้แต่ระยะให้พักหายใจ

เสวียนจีปิดปากหาวและพลิกตัว ก่อนตาที่หยิบหยีจะมองเห็นบุรุษผู้หนึ่งกำลังมองนางอยู่…บุรุษที่คุ้นตายิ่ง เขานอนอยู่ข้างนาง ตามองตา…

“นี่ต้องกำลังฝันอยู่แน่ๆ…” นางพึมพำ ในดวงตามีรอยยิ้ม ยื่นมือไปแตะใบหน้าเขา

“ตอนนี้เจ้าลงจากเตียงได้แล้ว”

“อ๊ะ?!” มือที่ยื่นไปสัมผัสใบหน้าและเสียงพูดของเขากลับบอกว่านางไม่ได้ฝันไป นางรีบลุกขึ้นนั่ง ร่างเปลือยเปล่าอันบอบบางย้ำเตือนนางถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน หน้านางเห่อแดง ก่อนจะรีบคลานผ่านสองขาของเขาลงจากเตียง

นางหยิบชุดสีเหลืองอ่อนขึ้นมา หันหลังให้เขาก่อนสวมลงบนตัวด้วยท่าทางคล่องแคล่ว

“เจ้าลืมเอี๊ยม” เสียงของเขาดังขึ้นจากด้านหลังนาง

“อ้อ”

การออกเสียงพยางค์เดียวของนางทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว เขายันตัวขึ้นพิงเสาเตียง หรี่ตาจ้องมองร่างกายที่ถูกเสื้อคลุมไว้ของนาง

“เจ้าร้องจนข้านอนไม่ได้ทั้งคืน” น้ำเสียงเขาปราศจากแววโมโหขุ่นเคือง แต่กลับเหมือนหยั่งเชิงดู

“อืม”

ริมฝีปากเขาเหยียดออกด้านข้างและยกขึ้นอยู่บ้าง “เจ้าหันมานี่”

นางหันตัวไปเผชิญหน้ากับเขาอย่างว่าง่าย บนหน้าไม่มีแววเขินอายหน้าแดง เพียงแต่คลำหาสายผูกบนตัวด้วยตาที่ปิดปรือ

หลายครั้งที่นางยกอ่างล้างหน้ามาก็มีท่าทางเหมือนยังไม่ตื่นเช่นนี้ ระหว่างอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นนางคล้ายจะเชื่อฟังเป็นพิเศษ

“เมื่อคืนเจ้าฝันร้ายอีกแล้วหรือ” เขาถาม เพราะว่าตอนดึกขณะนางนอนหลับได้ส่งเสียงละเมอออกมาทำให้เขาตื่น

เสียงละเมอของนางไม่ได้ดัง แต่ในน้ำเสียงมีลักษณะเหมือนทุกข์ทรมานยิ่งยวด โดยเฉพาะ…หลังจากได้ตัวนางแล้ว ขณะนางหลับลึกก็ยังคงถูกฝันร้ายรบกวน

“ข้าฝันร้ายเป็นประจำ” นางตอบอย่างเชื่องเชื่อ ก่อนจะพยายามกลั้นหาวเอาไว้

“ฝันร้ายอะไร”

“กลิ่นเหม็นหึ่งไปทั่ว…ท่านแม่สิบแขวนคอตาย ท่านแม่ห้าลอบคบชู้ในห้อง ข้าเห็นเข้า นางจึงคิดจะกำจัด…กำจัด…” นางหยุดพูดลงอย่างเชื่องช้า คล้ายงุนงงว่าตนเองพูดอะไรออกไป ก่อนจะตบแก้มขาวผ่องเบาๆ แล้วยอบตัวคารวะเขาทันที “นายน้อยสามจะล้างหน้าหรือเจ้าคะ”

“เจ้ามานี่” การพลาดที่จะได้รู้ที่มาของฝันร้ายของนางทำให้เขาไม่ชอบใจ สามารถเรียก ‘ท่านแม่สิบ’ กับ ‘ท่านแม่ห้า’ ออกมาได้แสดงว่าต้องมีตัวตนอยู่จริงๆ แม่สิบต้องการกำจัดใคร นางหรือ

ตัวของฉินเสวียนจีก็เป็นปริศนาเช่นเดียวกับภาพกลอนเสวียนจี ถึงจะอ่านซ้ำไปซ้ำมาอย่างไรก็ยังคงอ่านความลับของนางได้ไม่หมด ภูมิหลังนางต้องมิใช่บุตรสาวอาจารย์สอนหนังสืออย่างที่นางบอกเด็ดขาด ปัญญาชนทั่วไปล้วนมีกลิ่นหนังสือติดที่ตัวบ้างมากบ้างน้อย ทว่าสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนกันทำให้บุคลิกลักษณะที่มีนั้นแตกต่างกันไปด้วย บุตรสาวอาจารย์สอนหนังสือในชนบทธรรมดาๆ นางหนึ่งไม่มีทางฝันร้ายกลางดึกว่ามีคนจะฆ่านางเด็ดขาด

เสวียนจีเดินมาหยุดเบื้องหน้าเขา ริมฝีปากมีรอยยิ้มอยู่บ้าง กลิ่นหอมของกระดาษยังคงอยู่ แต่จางลงไม่น้อย และบนตัวนางก็มีกลิ่นของเขาติดอยู่ด้วย

“เจ้ายิ้มอะไร”

“บ่าวกำลังยิ้มหรือเจ้าคะ” นางยกมือขึ้นแตะปากตนเอง

ริมฝีปากแดงนั้นเมื่อคืนทั้งขาดประสบการณ์ทั้งอ่อนนุ่ม…ดวงตาเขาหรี่ลง

“ใช่ เจ้ากำลังยิ้ม” ยามนี้นางแทนตนเองว่า ‘บ่าว’ แสดงว่านางตื่นเต็มตาแล้ว บางทีแม้แต่ตัวนางเองอาจจะไม่สังเกตเลยว่าเวลานางกลับมาเป็นสาวใช้ที่เรียบร้อยเฉลียวฉลาดว่าง่าย นางจะแทนตนเองว่า ‘บ่าว’

“เช่นนั้นก็คงเป็นเพราะสองขาของนายน้อยสามมีความหวังจะหายดีแล้วแน่นอนเจ้าค่ะ” นางโค้งตาพูดยิ้มๆ

เขาจ้องนางอย่างไม่กะพริบตา พลันยื่นมือมาคว้าเอวนาง

“นายน้อยสาม?”

“เอี๊ยมเจ้าโผล่ออกมาแล้ว” เขาพูด เป็นเขาคิดมากไปอย่างนั้นหรือ เมื่อครู่รอยยิ้มของนางทำให้นางดู…เลือนรางอยู่บ้าง เกือบจะคิดว่านางจะหายไป เป็นฝันร้ายของนางทำให้เขาเกิดภาพหลอนขึ้นมากระมัง เขาจ้องนางพลางขยับพลิกเสื้อไปมาอย่างหงุดหงิด ชุดตัวนอกลื่นตกลงจากไหล่ข้างหนึ่ง เผยผิวนุ่มเนียนขาวปานหิมะออกมา…

ประตูถูกผลักเปิดดังเอี๊ยดอ๊าด เป็นหยวนเจาเซิงเข้าห้องมาปรนนิบัติเขาตามปกติที่แล้วมา

เขาหรี่นัยน์ตาดำลงพลางตวาดว่า “ออกไป!” ก่อนจะดึงตัวนางให้ล้มเข้าอ้อมแขนอย่างกะทันหันพร้อมเสียงร้องอุทานของนาง…ตัวนางยังเปลือย…สมควรตาย นี่เขาถึงกับเริ่มแยแสแล้วว่าร่างกายนางจะถูกคนมองเห็นหรือไม่!

“นายน้อยสาม?”

“ใส่เสื้อผ้าให้ดีๆ!” เขารอนางเคลื่อนไหวจัดการอย่างเชื่องช้าจนเสร็จด้วยความมีน้ำอดน้ำทนอย่างไม่เคยมีมาก่อน จากนั้นจึงค่อยปล่อยตัวนางออก “ไปเรียกเจาเซิงเข้ามา เจ้าอุ้มข้าไม่ไหว…และวันนี้อย่าให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก! ออกไป!”

สีหน้าท่าทีของนางคล้ายว่าผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็เดินออกไปโดยไม่พูดอะไรให้มากความ

เขาเม้มปาก รอยเลือดบนที่นอนยืนยันว่านางเป็นสาวพรหมจารี นางที่ตื่นเต็มตาแล้วมิได้มีปฏิกิริยาเช่นที่เขาคาดไว้…เขาคือบุรุษที่ชิงความบริสุทธิ์ของนางไปนะ ซ้ำยังเป็นบุรุษที่สองขาพิการแล้วด้วย!

หยวนเจาเซิงถือเสื้อผ้าสะอาดมาให้อย่างเงียบๆ เดิมเขาก็มีนิสัยไม่พูดมาก ถึงจะมองเห็นรอยเลือดแห้งกรังบนที่นอนก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ

“นายน้อย…” เขาเอ่ยปากขึ้นขณะปรนนิบัติเนี่ยเฟิงอวิ๋นตอนเช้าอย่างหาได้ยาก “เมื่อคืนนายน้อยหกเข้าเมืองมาแล้วขอรับ”

 

รถม้าวิ่งตะบึงฝ่าสายฝนไปบนทางมุ่งสู่ร้านหนังสือเฟิงอวิ๋น

เนี่ยหยวนเฉี่ยวเลิกมุมม่านหน้าต่างขึ้น พูดยิ้มๆ “อุตส่าห์ได้ออกจากคฤหาสน์สักเที่ยว ฟ้าก็ส่งฝนห่าใหญ่มาแกล้งข้า นี่จะเกินไปหน่อยแล้วกระมัง! แต่ไม่ต้องกลัวๆ คนงามน้อย อีกเดี๋ยวเจ้าทำธุระเสร็จก็ทำตามแผนการที่วางไว้ ไปเดินเที่ยวบนถนนเป็นเพื่อนข้า เจ้าว่าดีหรือไม่” เขาขยับเข้าใกล้เสวียนจีอย่างสนิทสนมอบอุ่น กะพริบดวงตางามทั้งสองน้อยๆ

ตอนเช้าเสวียนจีเดินออกมาจากสวนซั่งกู่ได้บังเอิญเจอหยวนซีเซิง หลังรู้ว่านางถูกเนรเทศออกมาหนึ่งวัน ด้วยถือคติว่าใช้ของต้องใช้ให้คุ้มค่า สาวใช้ที่ซื้อมาไม่มีเหตุผลให้พักแม้แต่วันเดียว จึงพานางมาขึ้นรถม้า สั่งให้ไปร้านหนังสือเฟิงอวิ๋นเพื่อเอาตัวอย่างหนังสือเรื่องคันฉ่องส่องบาปเล่มที่ได้ข่าวว่าจะจัดจำหน่ายอีกครั้ง แต่คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะขึ้นรถม้าได้ นายน้อยสิบสองก็กระโดดขึ้นตามมาด้วย

“คุณหนูสกุลจางมาอีกแล้ว ทำอย่างไรได้ ซีเซิง ข้าเห็นแล้วไม่ถูกใจ แต่พี่สี่กลับดูเหมือนชอบนางยิ่ง ถ้าข้าไม่หนี หรือจะให้อยู่ที่นี่ให้นางมายุ่มย่ามด้วย”

คุณหนูสกุลจางนั่นน่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ เคยเห็นในคฤหาสน์ไม่กี่ครั้ง แต่รู้สึกว่าเป็นคุณหนูที่ดูไม่เลว ดูมีลักษณะของธิดาตระกูลใหญ่อย่างยิ่งมิใช่หรือไร พูดเช่นนี้ก็แสดงว่า…หยวนซีเซิงมองเสวียนจีที่นิ่งเงียบอยู่แวบหนึ่ง เช้าวันนี้นางก็ไม่ค่อยอยากออกนอกคฤหาสน์สกุลเนี่ย ซ้ำยังถามด้วยว่า ‘วันนี้คุณหนูจางมาหรือ’ หลังได้รับคำตอบยืนยันถึงได้ตามออกประตูมา

“คุณหนูสกุลจางน่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ” เขาพึมพำพูดความข้องใจของตนออกมา

“มิใช่ว่าน่ากลัว เพียงแต่ชวนให้คนเห็นแล้วรู้สึกอึดอัด” เนี่ยหยวนเฉี่ยวล้วงพัดออกมาพัดตามสายลมเย็น “เชื่อข้าเถอะ ซีเซิง ตั้งแต่เล็กจนโตสายตาข้าเคยมองพลาดด้วยหรือ” ถ้าให้เขาพูด บุคลิกของเสวียนจีดูเป็นคนจิตใจดีและยังลึกลับอยู่สักหน่อย นางไม่เป็นภัย แต่ภูมิหลังที่นางบอกน่าจะเป็นเรื่องแต่ง ทว่าไม่ต้องให้เขาพูด พี่สามกับพี่สี่ก็น่าจะมองออกนานแล้วเช่นกัน

รถม้าหยุดลง เขากระโดดลงตรงๆ ด้วยความดีใจ เพิ่งจะเปียกฝนได้นิดเดียวก็เห็นลูกจ้างหนุ่มของร้านหนังสือถือร่มกระดาษวิ่งออกมาแล้ว

“นายน้อยสิบสอง หาได้ยากที่จะเห็นท่านมาเยือน!” เขาเปล่งเสียงร้อง

“โฮ่ ข้าเพิ่งเคยมาหนเดียว เจ้ายังอุตส่าห์จำข้าได้!” เนี่ยหยวนเฉี่ยวพูดยิ้มๆ พลางรับร่มกระดาษมาบังไว้เหนือศีรษะเสวียนจี

“นายน้อยสิบสองรูปโฉมโดดเด่น จะลืมก็ยากนักขอรับ รวมกับว่าลูกจ้างอย่างข้านั้นแม้แต่คนที่เคยเห็นเมื่อแปดร้อยปีก่อนก็ยังไม่มีทางลืม…เอ๊ะ แม่นางท่านนี้…”

คุ้นตายิ่งนัก ขอข้าคิดหน่อยว่าเคยเห็นที่ไหน…

เสวียนจีลงรถม้า ช้อนตายิ้มอ่อนหวานพลางกล่าว “ข้าเป็นสาวใช้ในคฤหาสน์สกุลเนี่ย ท่านคงจะไม่เคยเห็น”

“ไม่จริงๆ ข้าเคยเห็น…ท่านเคยมาซื้อหนังสือ? ใช่แล้วๆ ข้านึกออกแล้ว! สามปีก่อนท่านเคยมาซื้อหนังสือ ใช่หรือไม่” ที่เขาจำได้เป็นเพราะว่าวันที่นางมาตรงกับวันที่เกิดเรื่องกับเถ้าแก่เนี่ยพอดี อยากลืมก็ลืมไม่ลง จำได้ว่าเถ้าแก่ยังช่วยไล่พวกหัวงูสองคนแทนนางด้วย

เรื่องเมื่อสามปีก่อนเขาก็ยังจำได้หรือนี่

รอยยิ้มของนางยังไม่เปลี่ยน แต่แววตากลับลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบว่า “ข้าจำไม่ได้แล้ว”

“เฮอะ เจ้าสะสมความจำไว้กินแทนข้าวหรือไร” เนี่ยหยวนเฉี่ยวโบกๆ มือคล้ายไล่อีกฝ่ายให้หยุดพูด “ซีเซิง เจ้าไปหยิบหนังสืออะไรนั่น ส่วนเสวียนจีก็ให้อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนข้าแก้เบื่อ รีบไปรีบกลับ…เจ้าทำหน้าเช่นนี้หมายความว่าอะไร รีบไปรีบกลับ มิเช่นนั้นอีกเดี๋ยวถ้าข้าหนีไป เจ้าหาคนไม่เจอจะกลับไปชี้แจงไม่ได้เอา”

“นายน้อยสิบสอง…” หยวนซีเซิงถอนหายใจ แบกใบหน้าคับแค้นใจเกินเหตุเดินเข้าไปเอาหนังสือในร้าน

“เจ้านี่เพิ่งจะอายุยี่สิบหก แต่เหมือนเป็นตาแก่อายุหกสิบสองอย่างไรอย่างนั้น น่ารำคาญสุดๆ ไปเลย” เนี่ยหยวนเฉี่ยวแค่นเสียง ปรายตามองเสวียนจี วันนี้นางดูสงบเสงี่ยมเกินไปหน่อยแล้ว “เสวียนจี พี่สามรังแกเจ้าใช่หรือไม่”

“ไม่ นายน้อยสามดีกับข้ายิ่งเจ้าค่ะ”

“อย่างนั้นหรือ คนอย่างเขาน่ะนะ ดุเป็นสิงโต บางครั้งแม้แต่ข้าก็ยังกลัวเขา”

เขาดุ แต่ภายใต้อารมณ์อันเลวร้ายมีหัวใจที่ไวต่อความรู้สึกอยู่ดวงหนึ่ง เพราะว่าสองขาเดินไม่ได้ ดังนั้นความมั่นใจในตนเองที่มีแต่เดิมจึงได้กลายเป็นหนามทิ่มแทงเขาทั้งตัว แต่เขาไม่รู้เชียวหรือว่าต่อให้เขาตาบอด หูหนวก ขาพิการ ความรู้ความสามารถของเขาก็ยังคงอยู่ มีอะไรน่าให้กลัวถึงเพียงนั้นกัน

“เมื่อก่อนพี่ใหญ่เคยจะหมั้นหมายสตรีนางหนึ่งให้เขา”

“หา?!” นางหลุดปากอุทาน ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองเนี่ยหยวนเฉี่ยว

“ฮ่าๆ ข้าดึงความสนใจของเจ้าขึ้นมาแล้วใช่หรือไม่” เนี่ยหยวนเฉี่ยวพูดอย่างคนขี้แกล้ง “ข้านึกว่าบนโลกนี้ไม่มีเรื่องใดทำให้เจ้าตกใจถึงขนาดนี้ได้เสียอีก เจ้าให้ความสนใจเรื่องของพี่สามเสียจริง แม้ข้าจะมองไม่ออกว่าพี่สามดีที่ตรงไหน ทว่า…ตรงนั้นมีขายเครื่องประดับหยก!” จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่องปุบปับ ผ่านไปครู่หนึ่งนางถึงได้ตระหนักในแผนร้ายของเขา

“ถ้าอยากรู้ก็ไปกับข้า แค่หัวถนนเท่านั้น พอซีเซิงออกมาก็มองเห็นพวกเรา” เขารีบเดินออกห่างร้านหนังสือ ฝนโปรยปราย เสวียนจีที่ถือร่มอยู่ได้แต่รีบซอยเท้าตามไป

ร้านหนังสืออยู่ใจกลางถนนใหญ่ ด้านหน้ามีแผงลอยตั้งประปรายรวมถึงร้านค้าเล็กๆ ขายของกินเล่น เนี่ยหยวนเฉี่ยวหยุดลงหน้าแผงขายเครื่องประดับหยก

“รีบมาสิเสวียนจี ข้าเปียกจนจะไม่สบายอยู่แล้ว”

เสวียนจีไม่เต็มใจอยู่เล็กน้อย ทว่าก็ยังคงก้มหน้าเดินไป นางไม่ค่อยอยากออกมาบนถนนเลยจริงๆ เพราะกลัวว่าจะทำให้เรื่องของนางถูกเปิดโปง แต่ในเมื่อคุณหนูสกุลจางไปคฤหาสน์สกุลเนี่ยก็สมควรจะไม่บังเอิญขนาดอยู่บนถนนก็ยังเจอคนสกุลจางด้วยกระมัง

“เจ้าก้มหน้าต่ำจนใกล้จะชนแผงของคนเขาอยู่แล้วนะเสวียนจี” เนี่ยหยวนเฉี่ยวยิ้มแฉ่ง ก่อนจะดึงผมนางเบาๆ ให้หน้านางเงยขึ้นมาเล็กน้อย “ดูสิ เช่นนี้จึงจะน่ามอง”

หน้าตาเขางดงามจนเหมือนเป็นคนในภาพวาด เพียงไม่นานก็ดึงดูดความสนใจของผู้อื่น หัวถนนมีผู้คนสัญจรไปมาไม่นับว่ามาก แต่ก็เพียงพอจะทำให้เกิดความปั่นป่วนเล็กๆ ได้

หน้าแผงขายน้ำเต้าหู้ บุรุษผู้หนึ่งเงยหน้าขึ้นมองตามเสียง ความประหลาดใจน้อยๆ แสดงออกมาบนใบหน้า ทั้งตัวเขาดูมอมแมมไปด้วยฝุ่น แขนเสื้อยังมีรอยปะหลายรอย เขาจ่ายเหรียญสำริด กำลังจะอมยิ้มเดินไปกลับพบว่าชายฉกรรจ์อายุสามสิบกว่าคนหนึ่งที่อยู่อีกโต๊ะหลังมีสีหน้าตกใจแล้ว ก้นบึ้งดวงตาก็มีความคิดสังหารวาบผ่าน “พ่อค้า แม่นางที่แต่งกายเป็นชายผู้นั้นคือใคร” เขาได้ยินชายฉกรรจ์ผู้นั้นลดเสียงลงสอบถาม

“หืม? ท่านถามถึงนายน้อยสิบสองแห่งคฤหาสน์สกุลเนี่ยหรือขอรับ เขาเป็นบุรุษทั้งแท่ง อย่าไปพูดเช่นนี้ต่อหน้าเขาเชียว มิเช่นนั้นจะถูกตีจนน่วม เอ๊ะ! ท่าน…ท่านยังไม่ได้จ่ายเงินเลย!”

มีดสั้นเลื่อนตกลงมาจากในแขนเสื้อ ชายฉกรรจ์กำด้ามไว้แล้วเดินไปที่แผงขายหยกอย่างรวดเร็ว

“เสวียนจี เจ้าชอบชิ้นไหน ข้าจะซื้อให้เจ้าเป็นรางวัลที่เจ้าออกมาเที่ยวเป็นเพื่อนข้าวันนี้” เนี่ยหยวนเฉี่ยวถือจี้หยกที่รูปแบบดูพิเศษสองสามชิ้นไว้ในมือ มากกว่าครึ่งล้วนเป็นของปลอม ไม่ว่าพ่อค้าจะบรรยายเสียน่าฟังอย่างไร ของปลอมก็ไม่อาจกลายเป็นของจริงได้ เรื่องนี้ต้องขอบคุณในคำสั่งสอนตั้งแต่เล็กของพี่สี่ที่บ่มเพาะเขาจนมีสายตาแหลมคมประดุจเหยี่ยวจนมองออก

“ขอบคุณนายน้อยสิบสองเจ้าค่ะ แต่เสวียนจีมิได้ขาดอะไร”

“ดูเจ้าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คงมิใช่กำลังคิดถึงพี่สามของข้ากระมัง…ระวัง!” ยามนั้นเองตาเขามองไปด้านหลังเสวียนจี พลันคว้ามือนางไว้แล้วดึงตัวนางเข้าหา

มีดแทงเจอเพียงอากาศ!

“เจ้าเป็นใครมาจากไหน!” เนี่ยหยวนเฉี่ยวตวาด เขาไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน โดยทั่วไปตั้งแต่เล็กจนโตพี่สี่ล้วนปกป้องเขาจนเหมือนไข่ในหิน ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ให้เขาได้ลับฝีมือ ทว่าเขายังถามไม่ทันจบ ชายฉกรรจ์ก็ยกมีดแทงมาอีกแล้ว

นัยน์ตาดำงดงามของเขาหรี่ลง พบว่ามีดของอีกฝ่ายแทงเข้าหาเสวียนจีก็ดึงตัวนางไปอยู่ด้านหลัง ก่อนจะใช้เท้าหนึ่งเตะมีดสั้นในมืออีกฝ่ายกระเด็นไป

“ยังไม่ไปเรียกเจ้าหน้าที่มาอีก?!” เนี่ยหยวนเฉี่ยวตะโกนใส่ผู้คนรอบๆ ด้วยโทสะ “อยากเห็นคนตายอยู่ตรงนี้หรือไร!”

ชายฉกรรจ์กระโจนมาประมือกับเขาอีกหลายกระบวนท่าอย่างไม่ถอดใจ เขาได้ประลองฝีมือในสถานการณ์จริงเช่นนี้เป็นครั้งแรก รู้สึกเพียงว่าอีกฝ่ายวิ่งเข้าชนแรงมากราวกับวัว ส่วนเขาอาศัยความว่องไว แต่จะเอาชนะได้หรือไม่ก็บอกได้ยาก

“กลับร้านหนังสือไป เสวียนจี!” เขาร้องบอกก่อนผลักตัวนาง

เสวียนจีตกตะลึงและใจสั่นก่อนจะค่อยๆ ได้สติกลับมา สองมือนางไร้แม้แรงจะมัดไก่ อยู่ตรงนี้ต่อมีแต่จะพาให้ยุ่งยากยิ่งขึ้น “เจ้าค่ะ ข้าจะไปหาคนมาช่วยเดี๋ยวนี้!” นางตอบพลางหมุนตัวจะวิ่งไปทางร้านหนังสือ

ชายฉกรรจ์เห็นดังนั้นก็คว้าไม้คานบนแผงลอยขึ้นมา ทำท่าเหมือนจะฟาดใส่เนี่ยหยวนเฉี่ยว แต่กลับเปลี่ยนทิศทางไปหานางในตอนท้าย

“จางไหวอัน ข้าต้องการให้เจ้าตาย!”

ทำนองเสียงของชายฉกรรจ์ติดสำเนียงท้องถิ่นอย่างหนัก จึงทำให้ฟังไม่ชัดเจนอยู่บ้าง เนี่ยหยวนเฉี่ยวไม่มีเวลาให้สนใจว่าเขาพูดอะไร กระโจนเอาตัวมาขวางท่อนไม้ยาวที่มาด้วยกำลังแรง กอดเสวียนจีเอาไว้

ทว่า…ท่อนไม้ไม่ได้ฟาดลงมา

รออยู่ครู่ใหญ่ยังไม่รู้สึกเจ็บเช่นที่คาดไว้ เนี่ยหยวนเฉี่ยวก็ลืมตา หันตัวกลับมาก็มองเห็นเงาหลังซอมซ่อที่สูงใหญ่กำยำเงาหนึ่งบังอยู่ด้านหน้าเขา รับท่อนไม้นั้นเอาไว้

“เจ้า…” ชายฉกรรจ์ผู้นั้นออกแรงดึงหลายครั้งยังดึงท่อนไม้กลับไปไม่ได้ก็ถลึงมองเสวียนจีตาแทบถลน ถ่มน้ำลายออกมาอย่างแรงแล้วค่อยอาศัยจังหวะที่เจ้าหน้าที่ทางการยังมาไม่ถึงหลบหนีเข้ากลางฝูงชน

“เกือบไปแล้ว!” เนี่ยหยวนเฉี่ยวตบหน้าอกเบาๆ ก่อนจะจับมือเสวียนจีขึ้นมา “เจ้าถูกทำให้ตกใจแล้วใช่หรือไม่ ไม่ต้องกลัวๆ เดี๋ยวกลับถึงคฤหาสน์ข้าจะให้ห้องครัวตุ๋นน้ำแกงไก่ แล้วจะแอบส่งไปให้เจ้า เจ้าว่าดีหรือไม่” เขาตบฝุ่นบนตัวพร้อมกับยิ้มตาหยี

เสวียนจีใช่แค่ถูกทำให้ตกใจเสียที่ไหน หัวใจนางยังเต้นระรัวไม่หยุดเลย ในที่สุดก็ถูกจับได้แล้ว! แต่ไฉนเขาถึงได้มีสภาพทุลักทุเลเช่นนี้ เขามิใช่ควรอยู่กับท่านแม่ห้าหรือไร ต้องไปแล้ว นางต้องไปแล้วจริงๆ แต่นางจะหนีไปที่ใดได้เล่า

“ดูเจ้าตกใจสิ ไม่ต้องขอบคุณข้า แค่จำไว้ว่าคราวหน้าเวลาข้าไม่อ่านหนังสือแล้วถูกพี่สามจับตัวไว้ เจ้าต้องช่วยพูดขอร้องแทนข้า ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณ เข้าใจหรือไม่”

“เจ้ายังคงไม่ชอบอ่านหนังสืออยู่หรือ เจ้าเด็กแสบ”

“เอ๊ะ?!” เนี่ยหยวนเฉี่ยวตกใจ มองไปตามเสียง เมื่อครู่เอาแต่ห่วงจะดูว่าเสวียนจีได้รับบาดเจ็บหรือไม่ จึงไม่ได้ค้นพบว่าผู้มีพระคุณช่วยชีวิตผู้นี้…ดูคุ้นตายิ่งนัก!

ใบหน้าหยาบกร้านมีแววยิ้มแย้ม สวมชุดปะชุน หิ้วห่อผ้าเรียบง่ายไว้ด้านหลัง “ท่านคือ…” คุ้นตาๆ คุ้นตาเกินไปแล้ว หน้าเขาดูแปลกหน้า แต่รอยยิ้มเป็นรอยยิ้มของพี่น้องสกุลเนี่ย…

ชุดปะชุน ซอมซ่อ…

“อ๊า…ท่านคือพี่หก!” เนี่ยหยวนเฉี่ยวหลุดปากร้องออกมา

เป็นท่านหกแห่งสกุลเนี่ยหรือ!

เสวียนจีสองตาสว่างวาบ ลืมอันตรายของตนเองไปชั่วคราว นางคิดไม่ถึงว่าท่านหกสกุลเนี่ยจะกลับมาเร็วเพียงนี้ เช่นนั้นก็แสดงว่าสองขาของเนี่ยเฟิงอวิ๋นใกล้จะได้รักษาหายแล้วกระมัง

“ถ้ามิใช่จำหยกประดับของมี่หยางได้ ข้าก็มองไม่ออกจริงๆ ว่าเจ้าคือหยวนเฉี่ยว” สายตาเฉียบคมของท่านหกสกุลเนี่ยมองหยกประดับตรงหน้าอกเนี่ยหยวนเฉี่ยว นั่นเป็นหยกประดับคู่กายเนี่ยมี่หยางมาตั้งแต่เล็ก ทว่าเขากลับยกให้หยวนเฉี่ยวใส่ เห็นได้ชัดว่ามี่หยางผู้นั้นรักหยวนเฉี่ยวเข้ากระดูกถึงขั้นไร้สติเพียงใด

“พี่หก ข้าไม่ได้พบท่านนานเท่าไรแล้ว สามปีได้แล้วกระมัง”

“ใช่ จนเจ้าโตจนแต่งภรรยาได้แล้ว” ท่านหกสกุลเนี่ยพินิจมองเสวียนจีปราดหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนประเด็นพูด ประกายเฉียบคมซ่อนอยู่ก้นดวงตา “นางคือใคร มีค่าขนาดให้เจ้าเอาชีวิตเข้าปกป้องเช่นนี้เชียวหรือ”

“นางคือสาวใช้ประจำตัวพี่สาม ชื่อเสวียนจี” เนี่ยหยวนเฉี่ยวยิ้มแย้มแจ่มใส “นางทำงานให้คฤหาสน์สกุลเนี่ย ไม่ว่าด้วยเหตุผลหรือน้ำใจข้าก็สมควรปกป้องนาง”

“อ้อ สาวใช้หรือ” ไม่เหมือนๆ บนตัวนางมีกลิ่นกระดาษน้ำหมึก ดุจเดียวกับเขาที่มีกลิ่นสมุนไพรติดตัวตลอดปี

แค่ยืนอยู่ตรงนั้นก็รู้สึกได้แล้วว่านางไม่เหมือนสาวใช้ธรรมดาทั่วไป บวกกับที่เมื่อครู่เขาได้ยิน…

นางน่าจะชื่อจางไหวอัน มิใช่เสวียนจี…

“นายน้อยหกจะกลับคฤหาสน์แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ” เสวียนจีถามอย่างกระตือรือร้น

การที่เขากลับมาควรค่าให้นางดีใจเพียงนี้เชียวหรือ ท่านหกสกุลเนี่ยส่ายหน้าอย่างสุขุม ตอบโดยปราศจากรอยยิ้มบนใบหน้า

“ไม่ ข้าไม่กลับคฤหาสน์สกุลเนี่ย”

 

(ติดตามต่อในเล่ม)

หน้าที่แล้ว1 of 46

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: