X
    Categories: ทดลองอ่านนวลหยกงามมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นวลหยกงาม เล่ม 10 บทที่ 16

หน้าที่แล้ว1 of 4

          บทที่ 16

          “นี่ ข้าก็บอกตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าภาพวาดสองภาพนั้น ข้าไม่ได้เป็นคนเอาไปขายจริงๆ แต่เป็นเจ้าตัวเหม็นอีตี๋นั่นที่หลอกเอาไปจากข้า เจ้าสี่…ท่านสี่…พี่สี่…ปล่อยตัวข้าได้หรือไม่ ส่วนงานเสกสมรสของเจ้า ข้าไม่ไปร่วมวงแล้วตกลงหรือไม่เล่า”

ในรถม้าสภาพของเสิ่นเจี้ยนถังขณะนี้ไม่เหมือนถูกทรมานอะไรจริงๆ เมื่อเทียบกับเรื่องที่เขาก่อเอาไว้ ผมเผ้าหยักศกรุงรังดังเก่า ชุดสีขาวบนร่างไม่ใคร่สะอาดสะอ้านดังเก่า มีแต่สองมือที่ถูกมัดไว้ข้างหลังบ่งบอกให้รู้ว่าเขาไร้อิสรภาพ

หลี่ไท่ปล่อยให้เขาพูดพล่ามอยู่ด้านข้างตามสบาย เขาแหวกม่านประตูรถม้าเป็นช่องช่องหนึ่ง อาศัยแสงโคมกลางม่านราตรี มองดูหอที่คึกคักพลุกพล่านประหนึ่งตลาด เขาล้วงตลับแปดเหลี่ยมคล้ายเอาไว้ใช้ใส่ขี้ผึ้งหอมจากแขนเสื้อมาบิดเปิด หยิบยาลูกกลอนสีนมแพะเม็ดใหญ่ จากนั้นสบช่องเสิ่นเจี้ยนถังไม่ทันระวังตัว บีบคางเขาให้อ้าปากแล้วยัดมันเข้าไป

“แค่กๆๆ” ต้องกลืนยาเม็ดเขื่องโดยไม่มีน้ำ เสิ่นเจี้ยนถังสำลักจนหน้าตาเหยเก “เจ้า…เจ้าให้ข้ากินอะไร”

“ยาสลายพลัง ไม่กินยาแก้ในสามวัน เจ้าจะกลายเป็นคนพิการ” หลี่ไท่เอียงตลับแปดเหลี่ยมในมือให้เขาเห็นยาลูกกลอนสีดำสนิทอีกเม็ดหนึ่งเหลืออยู่ด้านในที่ใช้แผ่นไม้บางๆ กั้นตรงกลางเป็นสองช่องอย่างชัดเจน “ไม่ว่าเจ้าจะไปขโมยหรือฉกชิง ก็ต้องเอาของกลับมา”

“แหะๆ เจ้าหลอกใครกัน” เสิ่นเจี้ยนถังหัวเราะฝืดๆ ทางหนึ่งไม่เชื่อถือสักเท่าไรว่าหลี่ไท่จะทำกับตนเช่นนี้ ทางหนึ่งก็ลอบเดินพลังตรวจจุดตันเถียนเองอย่างใจคอไม่ดี ชั่วเค่อหนึ่งให้หลัง เขารับรู้ได้รางๆ ถึงบางอย่างเหือดหายไปอย่างผิดปกติ ใบหน้าเขาเปลี่ยนจากแดงเป็นเขียวทันใด เขายังไม่ทันตะคอกใส่หลี่ไท่ก็งอตัวลงอ้าปากกว้างๆ เริ่มโก่งคออาเจียนอย่างตื่นตระหนก พยายามคายเม็ดยาที่กลืนลงไปออกมา แต่เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าวิธีการนี้ไม่เป็นผลนัก เขาไม่ได้กินข้าวมาทั้งวัน กระทั่งน้ำย่อยในกระเพาะที่ชวนให้คลื่นเหียนได้ก็ยังไม่มี

หลี่ไท่เก็บตลับยากลับเข้าแขนเสื้อ จับสาบเสื้อให้เข้าที่แล้วแหวกม่านประตูออกเดินไปทางแสงโคมจุดนั้น

ภาพวาดสองภาพนั่น เขาจะจ่ายราคาสูงซื้อกลับมาในคืนนี้ก็ย่อมได้ ทว่าเขาปราศจากความคิดจะทำเช่นนั้น ข้อแรกสิ่งของเป็นของของเขาแต่เดิม และเขาไม่ใช่พวกยอมสิ้นเปลืองเงินทองอย่างเสียเปล่า ข้อสองเขาเห็นว่าเสิ่นเจี้ยนถังซึ่งอยู่อย่างสบายเกินไปจำเป็นต้องได้รับการเตือนความจำสักครั้ง จะได้จดจำว่าเขาเป็นคนแบบใด

 

ขณะอี๋อวี้ถือชามไก่ตุ๋นเห็ดหูหนูขาวบำรุงร่างกายที่ไม่ค่อยมันชามหนึ่งด้วยสองมือ การประมูลในค่ำคืนนี้ของหอขุยซิงก็เปิดฉากขึ้นอย่างตื่นตาตื่นใจ เพราะภาพคืนจันทราบุปผาธาราวสันต์สองภาพนั้น

คืนนี้เรียกได้ว่าผู้คนในหอขุยซิงคับคั่งล้นหลาม ทั้งกลางโถงใหญ่และใต้เฉลียงล้วนไม่เหลือที่นั่งว่าง แขกแทบจะทุกคนล้วนมาเพื่อสองภาพนี้ ต่อให้ซื้อไม่ได้ ขอแค่ได้เห็นเป็นบุญตาก็พอใจ ในบรรดานี้คนที่มาร่วมความครึกครื้นก็มีมากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว

เหล่าองค์ชายที่เข้าเมืองหลวงตอนเทศกาลท่องวสันต์เดือนสามต่างกลับสู่อาณาเขตของตน หาไม่แล้วงานในวันนี้ต้องคึกคักดุเดือดกว่านี้อีกหลายส่วน

ทันทีที่หลี่ไท่กับตู้รั่วจิ่นมาถึงก็กลายเป็นจุดดึงดูดสายตาของผู้คน และหนีไม่พ้นที่จะมีคนเข้าไปเลียบเคียงถามว่าสองภาพนั้นตกอยู่ในมือของหอขุยซิงได้เช่นใด แต่หลี่ไท่ปิดปากสนิท ด้านตู้รั่วจิ่นก็บ่ายเบี่ยงเฉไฉ ท้ายที่สุดไม่มีใครได้รู้เงื่อนงำใดๆ แม้แต่น้อย

เพราะเป็นปลายเดือน หอขุยซิงรับรองลูกค้าสตรีซึ่งมีอยู่ราวสามในสิบตามโต๊ะ บ้างนั่งอยู่ในโถงใหญ่กับสามีหรือพี่ชายน้องชาย บ้างนั่งอยู่ใต้เฉลียงติดม่านโปร่งบางล้อมรอบ จ่างซุนซีก็เป็นหนึ่งในนั้น

“คุณหนู ใต้เท้าตู้มาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้เลิกม่านขึ้น ร่างสูงเพรียวร่างหนึ่งก้าวเข้าไป แขกด้านนอกบางคนสบช่องแลลอดรอยแยกเข้าไป มาตรว่าแสงโคมใต้เฉลียงสลัวราง แต่เงาร่างสะคราญโฉมหลังม่านที่เห็นในชั่วพริบตานั่นยังคงทำให้ผู้คนตาค้างได้

บัดนี้จ่างซุนซีเจริญวัยเป็นหญิงงามทรงเสน่ห์ยิ่งขึ้น และมิได้ไปสำนักศึกษาหลวงบ่อยๆ แล้ว ดังเช่นคำกลอนชาวบ้านที่แพร่กระจายในหมู่ชาวเมืองหลวงที่ว่า ‘แม่นางซีงามแจ่มแจ้งหลบลี้หน้า’ คนนอกอยากยลโฉมคุณหนูสามสกุลจ่างซุนผู้นี้ คงได้แต่ฝันกลางวันโดยแท้

“พี่จิ่น ไม่พบกันนาน สุขภาพแข็งแรงดีหรือไม่เจ้าคะ” จ่างซุนซีลุกขึ้นยืนเข่า สองมือถือประคองกาเงินพลางคลี่ยิ้มหวานให้ผู้มาเยือน แววชื่นชมผุดขึ้นในดวงตานาง คืนนี้ตู้รั่วจิ่นสวมเสื้อผ่าหน้าสีน้ำเงินสด เกี้ยวครอบผมห้อยหยกใสฉลุลายดอกกระจับ รัดสายคาดเอวตะขอเงิน สุภาพนุ่มนวลเช่นปกติทว่าดูหล่อเหลากระจ่างตามากขึ้นหลายส่วน นางคิดเสมอว่าในเมืองหลวงนี้นอกจากหลี่ไท่ หากยังมีใครที่สวมชุดสีน้ำเงินได้ ก็ต้องยกให้คนตรงหน้าผู้นี้แล้ว

“ดีพอใช้ แค่ไอเวลาครึ้มฟ้าครึ้มฝน” ตู้รั่วจิ่นแหวกชายเสื้อไปด้านข้างแล้วนั่งลงฝั่งหนึ่งของนาง รับจอกสุราที่นางยื่นให้พร้อมเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะถามขึ้น “ไฉนเจ้ามาตามลำพัง ถ้าข้าไม่มา เจ้ามิต้องอยู่โดดเดี่ยวคนเดียวหรือไร”

“นี่ท่านก็มาแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ” จ่างซุนซีส่ายหน้าอย่างจนใจ “ยามนี้ชื่อเสียงของพี่ใหญ่ข้าเสื่อมเสียไม่เหลือชิ้นดีจนท่านลุงเกาออกปากแล้ว นางจำต้องเก็บตัวไม่ย่างเท้าออกจากเรือน แล้วยังจะมาพร้อมกับข้าได้หรือไร”

ตู้รั่วจิ่นย่อมรู้เรื่องที่จ่างซุนเสียนก่อกวนพิธีปักปิ่นของอี๋อวี้ เขาดื่มน้ำเมรัยไปครึ่งจอพลางเอ่ยด้วยสีหน้าเสียดาย “นางเป็นคนทิฐิแรงเกินไป ไม่เช่นนั้นคงไม่ถึงขั้นตกอยู่ในสภาพนี้”

จ่างซุนซีจับความนัยในถ้อยคำชายหนุ่มได้ว่า ‘นี่เป็นกรรมตามสนองจ่างซุนเสียนเองได้’ ทว่าไร้ท่าทีเข้าข้าง กลับครุ่นคิดถึงหนึ่งในสองภาพวาดที่จะประมูลขายในราตรีนี้แล้วมั่นใจการคาดเดาของตนยิ่งขึ้น นางยกการินสุราเติมในจอกเขาจนเต็ม กล่าวอย่างทอดถอนใจ

“พี่ใหญ่ข้าเป็นคนถือตัวและหยิ่งทะนงเกินไป ไม่คิดว่าคุณหนูหลูผู้นั้นมิใช่คนอ่อนแอตาขาว ทั้งมีพี่สี่หนุนหลังอยู่ มีหรือจะเกรงอกเกรงใจนาง กระนั้นคุณหนูหลูก็ใจร้ายเกินไปสักหน่อย ถึงอย่างไรเป็นพี่ชายนางเอาชีวิตพี่รองข้าก่อน…”

นางพูดไม่จบความ น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือจนต้องหยุดลง ก้มศีรษะนั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิม เสี้ยวหน้าด้านข้างคล้ายฉาบรอยเศร้าหมองแกมคับแค้น คล้ายอยากโกรธเกรี้ยวแต่อดกลั้นไว้ ไม่ว่าสีหน้าแบบใดล้วนอยู่ในท่วงท่างดงามอย่างที่ใครเห็นก็ต่างบังเกิดความสงสารเห็นใจทั้งสิ้น เปรียบได้ดั่งดอกไห่ถังหุบลู่ลง ทำให้คนอดใจไม่อยู่อยากยื่นมือไปช่วยมันคลี่กลีบออก แต่ก็กลัวจะทำลายศักดิ์ศรีของนาง

ตู้รั่วจิ่นมองนางแล้วเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง พอหลุดจากภวังค์ เขายกจอกสุราดื่มคำใหญ่จนหมดแล้วหยิบกาสุรามารินเองจอกแล้วจอกเล่า น้ำสุราซึมจากมุมปากเล็กน้อยไหลระเรื่อยลงมาตามลำคอขับเน้นให้มันดูเรียวยาวยิ่งขึ้น สาวใช้ข้างโต๊ะลอบชายตามองเขาแล้วเบือนหน้าไปอีกทางอย่างเอียงอาย

จ่างซุนซีปรับสีหน้าให้เป็นปกติ หันมาเห็นเขาโหมดื่มสุราก็หมายจะเข้าไปห้ามปราม แต่เขายกมือขวางไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “เจ้าไม่รู้ บางคนตายไปยังดีกว่าบางคนที่มีชีวิตอยู่ เจ้าไม่รู้…”

“ท่านพูดอะไรอยู่เจ้าคะ” จ่างซุนซีจับความไม่ถนัด เขากลับไม่ยอมพูดซ้ำอีกรอบ เพียงโบกไม้โบกมือ หันเหหัวข้อสนทนา

“ซีเอ๋อร์ มีคำพูดหนึ่งเดิมข้าไม่สมควรกล่าว แต่ข้าต้องการบอกเจ้าอยู่ดี…หมู่นี้เจ้าใกล้ชิดกับเว่ยอ๋องเกินไปใช่หรือไม่”

“เอ๊ะ?” จ่างซุนซีคาดไม่ถึงว่าเขาจะเปลี่ยนเรื่องพูดกะทันหัน นางเม้มปากยิ้มพร้อมเอ่ย “อันใดเรียกว่าใกล้ชิดเกินไปเจ้าคะ ข้ากับเขาเป็นเพื่อนเล่นกันแต่วัยเยาว์ เป็นมิตรภาพที่ต่างจากคนทั่วไป หรือว่าแค่เพราะเขาใกล้จะแต่งงาน แค่เพราะเขาจะรับคุณหนูสกุลหลูนั่นเป็นชายา ข้าก็ต้องตัดไมตรีกับเขาหรือไร ถ้าพูดอย่างนี้ วันหน้าพี่จิ่นตกแต่งภรรยา ข้าก็มิต้องแยแสท่านอีกหรือเจ้าคะ”

“เขาไม่เหมือนกับข้า” ตู้รั่วจิ่นมองนางอย่างจริงจัง เอ่ยพูดเตือนเสียงนุ่ม “จะวัยเยาว์หรือวัยแรกรุ่นล้วนล่วงเลยไปแล้ว ขณะนี้เขาเตรียมจะแต่งชายา ส่วนเจ้ายังไม่ออกเรือน ถ้าเกิดมีข่าวลือแพร่ออกไป จะเป็นเจ้าที่เสียเปรียบ ซีเอ๋อร์ ข้าถือได้ว่าเห็นเจ้ามาแต่เล็กจนโต ในใจเจ้าคิดอะไร ข้าพอจะรู้อยู่บ้าง ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พึงตัดต้องตัดจึงเป็นทางที่ดีที่สุด”

จ่างซุนซีตระหนกในใจ แต่ไม่แสดงสีหน้าใดๆ นางเบือนหน้ามองผู้ดำเนินการประมูลที่กำลังถือเครื่องหยกชิ้นหนึ่งพูดคุยหยอกล้ออยู่ตรงแท่นวางแสดงอาบไล้ด้วยแสงไฟสีแดง พลางกล่าวขึ้น “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ข้าเชิญท่านมาเพราะมีเรื่องหนึ่งสนใจใคร่รู้อยากถาม คืนนี้ที่นี่จะประมูลขายภาพวาดของท่าน เป็นของแท้หรือเปล่าเจ้าคะ”

ตู้รั่วจิ่นอาจตอบคนอื่นอย่างขอไปที แต่เขาไม่หลอกลวงนาง จึงพยักหน้ายอมรับ

“เป็นอย่างนี้จริงๆ” จ่างซุนซีเอ่ยอย่างกังขา “บนภาพมีคำกลอนของคุณหนูหลูหรือไม่ ข้าคิดทบทวนไปมา จำได้ว่าหลายปีก่อนในงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของเกาหยาง ท่านกับคุณหนูหลูเคยวาดภาพแต่งกลอนร่วมกันคราหนึ่ง ก็คือภาพนั้นหรือเจ้าคะ แต่มีคนบอกอีกว่านี่เป็นภาพที่ท่านชนะเลิศในงานเลี้ยงมหาบัณฑิต หรือภาพวาดนี้มีสองภาพ แล้วที่ประมูลขายในคืนนี้เป็นภาพใด”

ตู้รั่วจิ่นละล้าละลังก่อนกล่าวตอบ “น่าจะเป็นภาพในงานเลี้ยงมหาบัณฑิต”

ได้ยินวาจานี้ นัยน์ตาของจ่างซุนซีทอประกายคมกร้าววูบหนึ่ง นางพูดขึ้นอีกราวกับไม่เจตนา “เป็นข้าความรู้สึกช้าเอง หลายปีมานี้กลับไม่รู้เลยว่าคุณหนูหลูกับท่านมีสัมพันธ์อันดีต่อกันเมื่อใด ยังตั้งใจแต่งคำกลอนให้ภาพในงานเลี้ยงของท่าน”

ตู้รั่วจิ่นหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วนิดหนึ่ง “อย่าพูดส่งเดช ข้ากับคุณหนูหลูเพียงรู้จักกันผิวเผิน”

เรื่องหลูจื้ออาศัยตู้หรูฮุ่ยเข้าไปเล่าเรียนในสำนักศึกษาหลวงครานั้นมีคนล่วงรู้น้อยนิด เมื่อกาลเวลาผันผ่าน ทุกสิ่งแปรเปลี่ยนไป ก็ยิ่งไม่มีคนแจ่มแจ้งเรื่องนี้ ดังนั้นเขากับพี่น้องสกุลหลูเกี่ยวข้องกันอย่างไรจึงไม่มีคนล่วงรู้เช่นกัน

“ท่านตกใจอะไร ข้ามิได้พูดว่าท่านกับนางเป็นอะไรกันเสียหน่อย” จ่างซุนซียกจอกสุราขึ้นบังสีหน้าไว้ สุ้มเสียงพลันอ่อนนุ่มลง “เช่นนี้ดูไปแล้ว ภาพวาดนี้ของหอขุยซิงต้องไม่ได้หลุดรอดมาจากมือท่านเป็นแน่ แล้วท่านตั้งใจจะซื้อคืนหรือไม่”

“ไม่” ตู้รั่วจิ่นส่ายหน้าพลางกล่าว จ่างซุนซีทำสายตาประหลาดใจ “ตอนนั้นข้าได้มอบภาพนี้ให้ผู้อื่นไปแล้ว มันไม่ใช่สิ่งของของข้าอีกสืบไป” เขายิ้มเยาะตนเอง “ยิ่งกว่านั้นวันนี้ข้านำเงินติดตัวมาเพียงร้อยตำลึง เกรงว่าคงไม่พอกระทั่งเสี้ยวหนึ่งของภาพ”

ยกเงินทองเป็นคำอ้าง คงกลัวว่าซื้อคืนไปด้วยราคาสูงจะส่งผลให้หลูอี๋อวี้ถูกติฉินนินทากระมัง

จ่างซุนซีลอบค่อนขอด “ในเมื่อไม่ซื้อ ท่านก็นั่งชมความครึกครื้นเป็นเพื่อนข้าแล้วกันนะเจ้าคะ”

สิ้นเสียงนาง ได้ยินเสียงอึงคะนึงดังขึ้นในโถง นางชายตามองไป เห็นคนนำม้วนภาพวาดสองภาพขึ้นแขวนบนแท่นตั้งชมแล้วเหยียดมุมปากขึ้น พลางวางมือซ้ายบนหีบใบเล็กทำจากไม้ท้อข้างกาย

เมื่อภาพวาดทั้งสองถูกแขวนขึ้น มีลูกค้าลุกจากที่นั่งไปชมดู ผ่านไปหนึ่งเค่อเต็ม ผู้ดูแลของหอขุยซิงถึงขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบอย่างสุภาพ เขาไม่ได้กล่าวอารัมภบทนานนักก็ตรงเข้าเรื่องเลย โดยบอกราคาของภาพ ‘คืนจันทราบุปผาธาราวสันต์’ ของตู้รั่วจิ่นตั้งต้นที่หนึ่งพันตำลึงและเริ่มแข่งประมูล ตู้รั่วจิ่นนั้นเป็นยอดฝีมือในหมู่นักวาดภาพ แต่ในช่วงสองปีนี้มีผลงานออกมาแค่สามสี่ภาพ มูลค่าย่อมต้องสูงเป็นธรรมดา

“สามพันตำลึง!”

ทีเดียวก็สูงขึ้นสามเท่า ผู้ส่งเสียงเป็นสตรีสวมผ้าคลุมหน้านั่งอยู่กลางกลุ่มลูกค้าสตรีโต๊ะหนึ่ง ดูทีว่าจะเป็นผู้ชื่นชมเลื่อมใสต่อท่านไหลกั๋วกงหนุ่มแน่น

“สามพันสองร้อยตำลึง!”

“สามพันสี่ร้อยตำลึง!”

“สามพันห้าร้อย!”

เสียงร้องบอกดังขึ้นเป็นทอดๆ ในบรรดานั้นมีสตรีอย่างขาดเสียไม่ได้ ยังมีขุนน้ำขุนนางพุงพลุ้ย ตลอดจนผู้ฝึกยุทธ์เรือนกายล่ำสันบึกบึนปะปนกันไป เวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชาราคาก็พุ่งขึ้นเป็นสี่เท่า เงินสิบตำลึงที่พอให้ชาวบ้านทั่วไปใช้ได้ทั้งปี ในมุมหนึ่งอันฟุ้งเฟ้อสุรุ่ยสุร่ายของเมืองฉางอันนี้กลับเป็นเช่นเศษเงินหยิบมือเดียว กระนั้นมันยังไม่ยุติลงเท่านี้

“ห้าพันตำลึง!”

ที่นั่งใต้เฉลียงมุมหนึ่งม้วนม่านขึ้น ด้านในมีเด็กสาวสวมชุดต่างเผ่าสองคนคอยยกสุราหยิบผลไม้ และสตรีโฉมงามเฉิดฉายมุ่นมวยโบตั๋นนางหนึ่ง ผู้ที่วนเวียนอยู่ในเมืองหลวงเป็นประจำส่วนใหญ่ต้องรู้จักหญิงม่ายกิตติศัพท์ฉาวโฉ่และยากจะตอแยผู้นี้ พลันนั้นเสียงร้องบอกราคาเงียบหายไปกว่าครึ่ง แต่ยังมีคนส่งเสียงขึ้นอย่างสกัดไม่อยู่

“ห้าพันห้าร้อยตำลึง” นี่คือสตรีสวมผ้าคลุมหน้าคนเดิม

“หกพันตำลึง” หญิงม่ายโฉมงามเฉิดฉายปรายตามองดูถูกแล้วไม่ลดราวาศอกสักนิด

“หกพันห้าร้อยตำลึง” สตรีคลุมหน้าชูจอกสุราคารวะนางอย่างเสแสร้ง

“เจ็ดพันตำลึง” หญิงม่ายโฉมงามแทบจะร้องบอกจำนวนเงินนี้ลอดไรฟัน ทุกคนในที่นั้นมองออกว่าพวกนางกำลังเอาชนะคะคานกันอยู่ ทั้งได้ยินราคาสูงลิบลิ่วนี้ ชั่วขณะเดียวถึงกับไม่มีใครสอดแทรกอีก

“เจ็ดพันห้าร้อยตำลึง”

สตรีคลุมหน้าบอกเพิ่มอีกห้าร้อย ใบหน้าของหญิงม่ายโฉมงามฉายอารมณ์แปรปรวนระลอกหนึ่ง ก่อนชูจอกสุราคารวะตอบ นางแค่นเสียงกล่าว “แปดพันตำลึง แม่นางท่านนี้ให้เกียรติข้าสักหนเถอะ”

“คิกๆ” เสียงหัวเราะดังขึ้น สตรีคลุมหน้าก็ตอบรับเสียงกังวาน “ตกลง ให้เกียรติพี่สาวสักหนแล้วกัน”

ผู้ดำเนินการประมูลตรงแท่นวางแสดงของก็เจนจัดมากประสบการณ์ มองออกแล้วว่าสตรีคลุมหน้าจงใจปั่นราคา แต่เขารู้คติที่ว่ารามือแต่พอดี ไม่กระตุ้นยั่วยุแขกต่อ เขาตั้งท่าจะตีระฆังจบการประมูลของชิ้นนี้ ไหนเลยจะคาดคิดว่าเสียงสตรีนางหนึ่งจะดังขึ้นกลางโถงใหญ่ที่อึกทึกวุ่นวายแห่งนี้กะทันหัน

“หนึ่งหมื่นตำลึง ภาพนี้เป็นของข้า”

เหล่าลูกค้ามองไปตามต้นเสียง เห็นม่านคลุมโปร่งบางหน้าโต๊ะที่นั่งหนึ่งที่มีโคมสีเหลืองห้อยอยู่ถูกแหวกออกด้านข้าง เผยเงาร่างสองสายออกมา จนเมื่อเห็นรูปโฉมของทั้งคู่ชัดเจน ทุกคนในงานเงียบเสียงลง ได้ยินเสียงหัวเราะเสนาะหูของสตรีจากโต๊ะนั้น

“ทุกท่านโปรดเปิดทางให้ข้าด้วย ให้ภาพภาพนี้ได้หวนคืนสู่เจ้าของเถอะ” ว่าแล้วก็ผินหน้าไปเอ่ยกับบุรุษข้างกาย “มิให้ยามท่านดื่มเหล้าดับทุกข์ไม่มีแม้แต่สิ่งปลอบประโลมใจ”

นางเพิ่งกล่าวจบ แขกที่นั่งอยู่มีคนจับความนัยที่แฝงอยู่ออกแล้ว พอมองบุรุษใต้ม่านคลุมท่าทางเมาสุราสีหน้าทุกข์ระทมยากปิดบังซ้ำอีกที ก็พากันชำเลืองไปมองภาพคืนจันทราบุปผาธาราวสันต์ที่แขวนอยู่ นึกถึงเงาร่างหญิงงามเลือนรางในภาพ นึกถึงตัวอักษรบรรจงเล็กสละสลวย ต่างคนต่างได้คำอธิบายในใจแล้ว ทุกคนหมุนตัวขวับมองไปทางที่นั่งของหลี่ไท่ใต้เฉลียงอีกมุมหนึ่ง ทว่าม่านบังสายตาไว้ไม่อาจจับสีหน้าเขาได้ จึงตีความเรื่องนี้ไปกันเองทันใด ซ้ำมีบางคนยังหน้าแดงอย่างตื่นเต้นเพราะข่าวซุบซิบนี้

กระทั่งหญิงม่ายโฉมงามที่เปิดศึกชิงประมูลก่อนหน้าก็ไม่ส่งเสียงบอกราคาเพิ่มอีก นางมองไปทางที่นั่งหลายจุดสลับไปมาด้วยหน้าตาสนอกสนใจ ผู้ดำเนินการประมูลเห็นว่าจะพลาดโอกาสนี้ไม่ได้ หนึ่งหมื่นตำลึงถือเป็นราคาสูงมากแล้ว เขาจึงยกค้อนตีระฆังทองแดงบนที่แขวนเป็นสัญญาว่าจบการซื้อขาย

ตู้รั่วจิ่นได้แต่มองจ่างซุนซีที่ส่งยิ้มพริ้มพรายให้ตนตาปริบๆ ในใจเขาตะลึงพรึงเพริดไปหมด เพียงรู้สึกว่าคนตรงหน้าช่างแปลกหน้าเหลือแสน นางไม่ใช่เด็กสาวคนที่กอดแขนพี่สาวคนโตอย่างออดอ้อนในอดีตอีกต่อไป

จ่างซุนซีเห็นหน้าเขาแล้วความสงสารผุดขึ้นรางๆ แล้วก็หายไปในพริบตา นางหยิบหีบไม้ท้อใส่ตั๋วเงินปึกหนึ่งส่งให้สาวใช้ บอกให้ไปรับภาพวาดมา

“พี่จิ่น” พอรับกล่องภาพวาดที่สาวใช้ยื่นให้อย่างระมัดระวัง จ่างซุนซีส่งต่อให้ตู้รั่วจิ่นท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมองอยู่ของผู้คน นางรู้ว่าในสถานการณ์ที่ยิ่งแก้ยิ่งยุ่งอย่างนี้ ด้วยอุปนิสัยของเขาต้องไม่พูดอธิบายในเวลานี้เด็ดขาด นางกล่าวด้วยวาจานุ่มนวลโดยไม่กลัวถูกเปิดโปง

“ท่านรับไว้ก่อน ภาพนี้ไร้ความผิดนะเจ้าคะ”

ตู้รั่วจิ่นหนาวสะท้านในอก เขาเพ่งดูนางนิ่งๆ เหมือนต้องการมองคนคนนี้ให้ปรุโปร่ง จากนั้นยกมือแตะกล่องภาพวาด หลับตาลงถอนใจแผ่วๆ แล้วผลักมันออก “เจ้าเก็บไว้เองเถอะ”

กล่าวจบเขาไม่มองนางอีกสักแวบเดียว วางจอกสุราลงแล้วลุกออกไปข้างนอกโดยไม่แยแสสายตาผู้ใด ตอนก้าวเท้าผ่านโต๊ะของหลี่ไท่ เขาค้อมกายคำนับแล้วเดินจากไปไกล

 

ติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: