X
    Categories: ทดลองอ่านนวลหยกงามมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นวลหยกงาม เล่ม 10 บทที่ 18

หน้าที่แล้ว1 of 4

          บทที่ 18

รุ่งเช้า บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเงียบเชียบอย่างมาก เสียงพูดคุยกันตามปกติขาดหายไป มีแต่เสียงจานชามกระทบกัน ผิงถงผิงฮุ่ยดูแลรับใช้อยู่ด้านข้างด้วยท่าทางเคร่งครัด ด้านหลี่ไท่ร่วมกินอาหารมังสวิรัติด้วยหน้าตาเป็นปกติ ส่วนอี๋อวี้อยากแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหลือเกิน แต่พอหางตาเหลือบเห็นแผลห้อเลือดเล็กๆ สะดุดตาบนริมฝีปากล่างเขา นางก็รู้สึกว่าแขนขาแข็งทื่อไปหมด

เมื่อคืนจู่ๆ ผิงฮุ่ยก็มาเคาะประตู เขายังทับนางไว้ไม่ยอมถอนปากออก นางแตกตื่นลนลานไปชั่วขณะก็เลยกัดปากเขาทีหนึ่งเต็มแรง คาดไม่ถึงว่าจะทิ้งหลักฐานไว้อย่างนี้ ใครเห็นเข้าจะคิดกันไปเช่นไรก็สุดรู้

“ท่านอ๋อง ร่างกายข้าไม่เป็นอะไรมากแล้ว ข้าคิดว่าข้ากลับไปพำนักที่เรือนดีกว่าเจ้าค่ะ” อี๋อวี้วางชามลงมองหลี่ไท่พลางเอ่ยขึ้น สองสาวใช้ได้ยินแล้วต่างเงยหน้าขึ้นมองนาง

หลี่ไท่ได้ยินคำนี้ก็วางตะเกียบงาช้างลง รับน้ำชาที่เด็กรับใช้ยกให้มาบ้วนปากก่อนกล่าว “ก็ดี”

อี๋อวี้ลอบระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง รับน้ำชาจากผิงถงมาถือไว้เช่นกันพร้อมพูด “เช่นนั้นข้าจะกลับไปตอนเช้านี้เลยนะเจ้าคะ ถึงอย่างไรก็ไม่มีของอะไรต้องเก็บ”

หลี่ไท่พยักหน้าแล้วหันไปสั่งเด็กรับใช้ไปเตรียมรถม้า ผิงฮุ่ยมองไปทางผิงถงอย่างตื่นตระหนก ถูกนางถลึงตาตอบกลับแล้วขยิบตาบอกซ้ำๆ อี๋อวี้สังเกตเห็นพวกนางลอบส่งสายตากันแล้วเพียงนึกขัน การที่นางออกปากขอกลับไปมิใช่เพราะเรื่องเมื่อคืนทั้งหมด ระยะนี้หลี่ไท่ดูจะมีงานรัดตัว แต่ยังต้องปลีกเวลามาอยู่กับนางทุกวัน บุรุษหนุ่มฉกรรจ์ผู้หนึ่งต้องกินอาหารมังสวิรัติสามมื้อคงยากจะทนได้ไหว และนางเองก็ไม่อยากเอ่ยปากปฏิเสธความเอาใจใส่นี้ของเขา ดังนั้นกลับเรือนไปพักฟื้นจะดีกว่า

หลังอาหารเช้า สาวใช้สองนางเข้าห้องไปเก็บของ หลี่ไท่ไม่รีบร้อนออกไปชวนอี๋อวี้ขึ้นไปชั้นบนสุด

ห้องโอสถผ่านการปัดกวาดเรียบร้อยแล้วตอนเช้าตรู่ ทุกซอกมุมสะอาดกระจ่างตา บนชั้นวางต้นไม้สามขายังเปลี่ยนเป็นกระถางใหม่ หน้าต่างที่หันออกไปทางทิศเหนือเปิดอ้ากว้างรับอากาศบริสุทธิ์ตลอดแนว หลี่ไท่ย่ำเท้าไปริมหน้าต่าง แสงตะวันด้านนอกฉายแสงอาบไล้ร่างซีกหนึ่งของชายหนุ่มแผ่ประกายสีทอง เขายืนหันข้างมองอี๋อวี้ที่ยังอยู่หน้าประตู

“มาสิ”

หอซูหลิวเป็นหอสูง อยู่ชั้นบนสุดก้มลงแทบจะเห็นอาณาบริเวณของวังอ๋องมากกว่าครึ่ง อี๋อวี้เดินไปถึงข้างตัวหลี่ไท่ มองออกไปนอกหน้าต่าง หลังกำแพงรั้วเป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ตัววังทางแนวขวาง แค่สวนแห่งนี้ก็กว้างใหญ่กว่าสวนผูเจินทั้งหมด มองออกไปไกลยิ่งขึ้น จะเป็นเรือนพำนักแยกโดดเดี่ยวอีกหลายหลัง เมื่อทอดสายตาข้ามเรือนพำนักเหล่านี้มองจุดที่ลึกเข้าไป จะเห็นผืนพรายน้ำระยิบระยับได้รำไร ฟากนั้นที่อยู่ใต้เงาแสง แลเห็นศาลาสีม่วงเรือนสีแดงได้เลือนราง ส่วนหมู่คนที่เดินขวักไขว่ไปมาในนั้น พอสะท้อนเข้าคลองจักษุก็หดเล็กลงเหลือตัวเท่ามด

เขากับนางยืนเงียบๆ มองออกไปที่ไกลๆ อยู่ข้างหน้าต่างเช่นนี้ สูดอากาศสดชื่นของอรุณรุ่ง ดื่มด่ำกับความสุขสงบที่พบไม่บ่อยนัก ครู่ใหญ่ต่อมา หลี่ไท่ถึงเปล่งเสียงพูด

“บางทีเหยาอีตี๋อาจไปหาเจ้าอีก ข้าจะเพิ่มกำลังคนไว้ข้างกายเจ้า แต่เจ้าเองก็ต้องระวังระไวไว้ด้วย”

ยามเช้าที่สดชื่นและสุขสงบอย่างหาได้ยากนี้ถูกทำลายลงเพราะนามคนผู้หนึ่ง อี๋อวี้ขมวดคิ้วหันไปมองหลี่ไท่ นางสองจิตสองใจชั่วครู่ก่อนเบือนหน้ากลับ

“คิดจะพูดอะไร”

“อืม…ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ”

“เจ้าแปลกใจว่าเพราะเหตุใดเขาถึงตามติดเจ้า”

พอเขาเดาใจนางถูก อี๋อวี้หันศีรษะมาอย่างหลากใจ พลางยกมือจับติ่งหูและเอ่ยเสียงค่อย “ข้าแปลกใจอย่างมาก เขาอุตส่าห์ดั้นด้นทางไกลนับพันลี้จากแดนสู่จงมาถึงฉางอัน เพื่อหาเรื่องข้าหรือเจ้าคะ ครั้งนั้นอยู่ที่เขาต้าหมั่ง แม้ว่าข้าเคยล่วงเกินเขา แต่เขาก็เป็นตัวการทำให้ข้าต้องลำบากไม่น้อยเหมือนกัน หาใช่ความแค้นลึกล้ำใหญ่หลวง เขาทำแบบนี้มุ่งหมายสิ่งใดกันแน่”

“เขาเป็นคนคุ้มดีคุ้มร้าย ทำอะไรผิดผู้ผิดคน เจ้าไม่ต้องสิ้นเปลืองความคิดไปหยั่งเดาจิตใจเขา ระแวดระวังเพิ่มขึ้นเท่านั้นเป็นพอ”

อี๋อวี้ฟังคำพูดของหลี่ไท่ซึ่งแสดงถึงความเข้าใจต่อเหยาอีตี๋ผู้นี้แล้ว นางนึกไปถึงความคิดเห็นของเหยาอีตี๋ต่อหลี่ไท่ตอนฝนตกวันนั้นซ้ำอีกคราแล้วอดนึกขันไม่ได้ ทีแรกนางไม่ใคร่ชมชอบการกระทำของเหยาอีตี๋ ทว่าคนผู้นี้เติบใหญ่มาพร้อมกับหลี่ไท่ในป้อมปราสาทแดงอย่างแท้จริง บางทีพวกเขาอาจไม่นับเป็นสหาย แต่กลับรู้นิสัยกันและกันดียิ่ง

เมื่อคิดไปเช่นนี้ อี๋อวี้ปล่อยวางเรื่องของเหยาอีตี๋ได้มาก นางพยักหน้าตอบรับ “ท่านวางใจได้ หากพบกับเขาอีก ข้าจะระวังตัวให้ดีเจ้าค่ะ”

ดวงหน้าของหลี่ไท่อ่อนละมุนลง คล้ายว่าพึงพอใจที่อี๋อวี้ว่านอนสอนง่าย เขาไพล่ไปเอ่ยถามอีกเรื่องหนึ่งฉับพลัน “ตราประทับที่ข้าให้เจ้าไว้เล่า”

อี๋อวี้เอามือวางทาบตรงเอวตามความเคยชิน พอพบแต่ความว่างเปล่า นางก้มมองอาภรณ์ลำลองบนตัวแล้วกล่าวอธิบายกับเขา “ใส่ไว้ในถุงผ้าปักเจ้าค่ะ เมื่อเช้าผลัดชุดแล้วลืมพกมาด้วย”

หลี่ไท่เห็นอากัปกิริยาของหญิงสาวแล้วรู้ว่านางเก็บตราหยกชิ้นนั้นติดตัว จึงไม่ย้ำเตือนนางอีกว่า ‘อย่าทำหาย’ เขากล่าวต่อว่า “ก่อนงานเสกสมรส ข้าไม่สะดวกจะไปเยี่ยมเจ้าอีก ถ้ามีเรื่องด่วนก็ส่งคนใกล้ตัวถือตราประทับมาหาข้า”

อี๋อวี้ใช้ความคิดเล็กน้อยก็รู้ว่าที่เขาตั้งใจพูดเตือนแบบนี้ ด้วยกลัวจะเกิดเรื่องซ้ำรอยเดิมกับคราวก่อนที่นางล้มป่วยแล้วหาเขาไม่พบ นางคิดคำนึงว่าอีกแค่หกเจ็ดวันเขากับนางจะเข้าพิธีมงคลกัน เขายังกำชับกำชาเป็นพิเศษแบบนี้ก็อิ่มอกอิ่มใจเป็นอันมาก

อี๋อวี้ผงกศีรษะรับด้วยรอยยิ้มละไมก่อน แต่ครั้นคิดกลับอีกทีว่าจะไม่ได้เจอหน้าเขาตั้งหลายวัน ในใจก็อดอาลัยอาวรณ์ไม่ได้ นิ้วมือของนางที่จับซี่หน้าต่างไว้ขยับไปมา ก่อนจะปล่อยมือข้างหนึ่งแล้วค่อยๆ คืบไปใกล้ชายแขนเสื้อเขาอย่างงุ่มง่ามเชื่องช้า หลังจากเกี่ยวนิ้วมือของชายหนุ่มได้แล้วกลับถูกเขาชิงตัดหน้าเป็นฝ่ายกุมกระชับมือที่เล็กกว่ามากของนางไว้แน่นๆ ก่อน นางเม้มปากยิ้มอย่างกลั้นไม่อยู่ ความเก้อกระดากที่ค้างคาจากเมื่อคืนสลายหายไปทันใด ก่อนจะฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้และกล่าวโพล่งขึ้น

“บางคราลองคิดดูแล้ว รู้สึกจริงๆ ว่าเรื่องราวบนโลกยากคาดเดานะเจ้าคะ”

“หือ?”

“ในครั้งนั้นได้รับความช่วยเหลือจากท่านที่สู่จง จะอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าวันหนึ่งข้ากับท่านจะได้…” อี๋อวี้ขัดเขินเกินกว่าจะกล่าวให้จบความ จึงกระแอมไอให้คอโล่งแล้วหันหน้าไปกะพริบตาปริบๆ กับเขา “ข้าคิดอยู่ว่าถ้าตอนนั้นท่านมิได้ช่วยพวกข้าไว้ที่ชายป่า ตอนนี้ข้ากับท่านอาจจะยังไม่รู้จักกัน”

“ข้อสมมติพรรค์นี้ไม่มีวันเกิดขึ้น” หลี่ไท่คัดค้านคำพูดของนางเสียงเรียบ “วันเกิดของเกาหยาง งานเลี้ยงฉลองวันจงชิวที่วังเว่ยอ๋อง งานประชันศาสตร์ห้าสำนัก…นอกจากครั้งนั้น เจ้าข้ามีโอกาสรู้จักกันมากมาย แค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น”

“เอ่อ…” อี๋อวี้ถูกเขาแย้งเช่นนี้แม้นอ้าปากจะเถียงก็เถียงไม่ออก นางคิดทบทวนช่วงเวลาที่เขากับนางได้พานพบรู้จักและแยกห่างจากกันสลับกันไป เรียกได้ว่าพัวพันซับซ้อนยุ่งเหยิงจนแยกไม่ออกตัดไม่ขาด จึงได้แต่เอ่ยอย่างจนวาจา “ดูเหมือนเป็นเช่นนั้นจริงๆ เจ้าค่ะ”

“กลับไปแล้วพักผ่อนให้มากๆ อย่าคิดฟุ้งซ่าน” หลี่ไท่เอียงคอมองเรือนร่างใต้เสื้อคลุมที่ดูผ่ายผอมเหลือเกิน พลางหวนประหวัดถึงความรู้สึกตอนกอดนางเมื่อคืน เขามุ่นหัวคิ้วกล่าวว่า “อีกสองวันเปลี่ยนตำรับยาแล้วอย่าเอาแต่กินอาหารมังสวิรัติ สมควรกินเนื้อสัตว์บ้าง เจ้าผอมบางเกินไป แบบนี้ไม่ดี”

อี๋อวี้ไม่ทันตั้งตัวว่าจะได้ยินเขาเอ่ยคำนี้ขึ้นมาจึงพาให้จิตใจห่อเหี่ยวลงกะทันหัน นางยังจดจำถ้อยคำหนึ่งเมื่อสองปีก่อนมาจนบัดนี้ พอเขาพูดซ้ำอีกที นางก็นึกว่าเขาชมชอบพวกสตรีอวบอิ่มและติติงว่าตนผอมไปดุจเดิม หญิงสาวลอบขบกรามแน่น ข่มใจไม่ถลึงตาใส่เขา กล่าวตอบเพียงว่า

“ข้าทราบแล้ว ท่านอ๋องเองก็ต้องระวังสุขภาพให้ดี ข้าเห็นในตำราเขียนไว้ว่าดื่มสุรามากเกินไป พอย่างเข้าวัยกลางคนจะหัวล้าน นอนดึกจนเป็นนิสัย นานวันเข้าจะมีรอยตีนกา กินแต่เนื้อไม่กินผัก ล่วงเข้าวัยชราฟันฟางหลุดร่วงต้องทนอดอยากปากแห้ง ถ้าอยากแข็งแรงอายุยืนยาว ได้รับผลดีในบั้นปลายชีวิต ต้องดื่มสุราน้อยลง นอนเร็วตื่นเช้า กินอาหารมังสวิรัติมากๆ เป็นการดี…ได้เวลาแล้ว ท่านสมควรออกจากที่นี่แล้ว ข้าดื่มยาเสร็จนอนพักครู่หนึ่งก็จะกลับตำบลหลงเฉวียน ตอนเที่ยงท่านอย่าลืมกินอาหารนะเจ้าคะ” ว่าแล้วนางก็แสดงคารวะอย่างขอไปที จากนั้นเดินนวยนาดไปถึงหน้าประตูแล้วเหลียวหลังมามองเขาซ้ำอีกที ถึงซุกมือเข้าแขนเสื้อย่ำเท้าก้าวสั้นๆ ลงบันไดไป

“ปากคมปากกล้าไม่เปลี่ยน” หลี่ไท่พ่นลมหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่งแล้วหมุนกายออกเดินไป เมื่อครู่โดนนางตำหนิทางอ้อม ไยเขาจะฟังไม่ออก มาตรว่าคำพูดคำจาของนางแฝงความห่วงใย แต่ยากจะปกปิดร่องรอยไม่พึงใจในนั้นได้ ชายหนุ่มหาได้รู้ไม่ว่าตนเป็นฝ่ายพูดผิดหูจี้ใจดำนางก่อน

อันที่จริงแล้ว เหตุที่หลี่ไท่เคี่ยวเข็ญให้นางกินเนื้อสัตว์ต้องย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อน เขารับตัวอี๋อวี้มาจากที่พำนักของเหยาฮ่วง วันแรกเห็นนางกระทั่งลุกจากเตียงก็ยังยาก อีกทั้งเหลืออีกไม่กี่วันก็จะถึงงานเสกสมรส หลังจากหมอหลวงหลี่จับชีพจรให้นาง ราตรีนั้นก็รายงานกับหลี่ไท่จบแล้วยังเอ่ยต่อคำหนึ่งด้วยความปรารถนาดีว่าสตรีที่ยังไม่ออกเรือนผอมบางเกินไปไม่ดี หลี่ไท่ไม่เข้าใจเหตุผล เห็นเขาอึกๆ อักๆ ก็ชักสีหน้า หมอหลวงหลี่เห็นดังนั้นจำต้องทำใจดีสู้เสือบอกกล่าวตามสัตย์จริงว่า สตรีร่างผอมเข้าหอคืนแรกมักเจ็บปวดยากทานทนกว่าคนทั่วไป ครั้นเห็นหลี่ไท่ไม่เพียงไม่โกรธา กลับฟังเขาพูดอย่างเอาจริงเอาจัง เขาก็เลยบอกกำชับสิ่งพึงระวังในการร่วมหอของสามีภรรยาต่างๆ นานาในคราเดียวจนหมด

หลี่ไท่ฟังแล้วย่อมต้องจดจำใส่ใจ แม้นเมื่อคืนเขาจะเมาสุราอยู่บ้าง แต่สติยังแจ่มชัดอยู่ จำได้ดีว่าตนเองกอดใครลูบส่วนใด จึงเกรงว่านางจะต้องทนทรมานในคืนเข้าหอจริงๆ ถึงได้กล่าวเตือนขึ้นก่อนนางกลับไป กลับเป็นเหตุให้นางเข้าใจผิดเสียแล้ว

ทางด้านอี๋อวี้กลับถึงสวนผูเจินตั้งแต่ยังไม่เที่ยงวัน หลูซื่ออยู่เรือนหลังตรวจตราสาวใช้ตัดเย็บเครื่องห้อยประดับจากผ้าไหมแดงอยู่ ได้ยินว่าบุตรสาวกลับมาก็ทิ้งกรรไกรกับสายวัดหนังในมือลง วิ่งลิ่วๆ ออกไปรับคน

อี๋อวี้พักในวังอ๋องสองวันนี้ ได้กินดีอยู่ดีและเห็นหน้าชายในดวงใจทุกวัน อาการทางใจดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจ เหลือแค่ร่างกายที่ยังไม่หายสนิท ทว่าดูมีเนื้อมีหนังเพิ่มขึ้นกว่าวันที่จากไป หลูซื่อเห็นแล้วดีใจเช่นกัน จูงมือนางไปพูดคุยกันในโถงได้ครู่หนึ่งก็กลัวนางเหน็ดเหนื่อยอีกจึงบอกให้กลับห้องนอนพัก แต่อี๋อวี้ไม่ยินยอม สอดมือคล้องแขนมารดาแล้วโยกไปโยกมาเอ่ยพูดเสียงอ่อนๆ

“ข้าใกล้จะหายดีแล้ว คุยกับท่านแม่เหนื่อยแล้วค่อยไปพักผ่อน จริงสิ ไฉนไม่เห็นหน้าท่านอาหาน แล้วสืออวี้ล่ะเจ้าคะ”

ตอนแรกนางตั้งใจจะเบี่ยงเบนความสนใจของมารดาถึงได้กล่าวอย่างนี้ ทว่าหลูซื่อกลับขมวดคิ้วมุ่น กุมมือนางกล่าวว่า “สืออวี้เด็กคนนั้น ตอนพวกเราไปพักที่อื่นหลายวันนั่น นางถึงกับเขียนสารทิ้งไว้แล้วไปฉางอัน ท่านอาหานของเจ้าไปตามหานางแล้ว”

อี๋อวี้ตกตะลึงไปก่อน หลังจากนั้นรีบเอ่ยถาม “สารอยู่ไหนเจ้าคะ นางบอกหรือไม่ว่าไปทำอะไร”

“เขียนบอกสั้นๆ ไม่กี่คำว่าไปเที่ยวที่ฉางอัน” หลูซื่อกล่าวอย่างโกรธเคือง “เจ้าว่าหญิงสาวอย่างนางไปเมืองหลวงคนเดียว ไม่มีคนรู้จัก ไม่คุ้นเคยที่ทาง หากพบเจอคนไม่ดีเข้า… นี่ตั้งกี่วันแล้วยังไม่กลับ จะไม่ให้คนร้อนใจเป็นห่วงนางได้หรือ”

อี๋อวี้ไม่รู้ว่าตนเองคิดมากไปใช่หรือไม่ นางรู้สึกไม่วายว่าหานสืออวี้ฉวยจังหวะหานลี่ไม่อยู่หนีไปฉางอัน น่าจะมีสาเหตุจากตู้รั่วจิ่นอย่างหนีไม่พ้น แต่นางจะบอกหลูซื่อตามตรงก็ไม่ถนัดปาก ได้แต่พูดปลอบใจ

“ท่านแม่อย่าวิตกมากเกินไป นางเป็นวรยุทธ์ ทั้งมิใช่คนโง่เขลา ถึงพบเจอคนไม่ดีเข้าจริงๆ คิดว่าคงไม่เป็นฝ่ายเสียเปรียบหรอกเจ้าค่ะ”

หลูซื่อบ่นกระปอดกระแปดอีกหลายคำ แต่กลัวตนพูดมากไปอี๋อวี้จะพลอยกังวลไปด้วย นางจึงยื่นมือไปปัดๆ เรือนผมบุตรสาว พลางเปลี่ยนเรื่องพูด

“ไม่เอ่ยเรื่องนี้แล้ว ในเมื่อเจ้าไม่เหนื่อย อย่างนั้นก็พอดีเลย พักก่อนแม่ไหว้วานท่านป้าอวิ๋นซื้อสาวใช้ที่พื้นเพขาวสะอาดให้หลายคน เมื่อคืนเพิ่งส่งตัวมาที่นี่ เจ้าไปเลือกดูสิ”

 

ติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: