X
    Categories: ทดลองอ่านนวลหยกงามมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นวลหยกงาม เล่ม 10 บทที่ 19

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 19

บ่อน้ำร้อนในเรือนหลังเพิ่งเปลี่ยนน้ำใหม่ ไอร้อนกรุ่นๆ สีขาวลอยอบอวล มีน้ำผุดขึ้นจากตาน้ำเป็นพรายฟองปุดๆ ตอนอี๋อวี้ลงไปนั่งแรกๆ รู้สึกว่าน้ำร้อนลวกผิวจนสูดลมหายใจไม่หยุด แต่ผ่านไปครู่ใหญ่ปรับตัวได้แล้วก็เบาสบายไปทั้งเนื้อตัวตัว นางพิงหินเนื้ออ่อนตรงขอบบ่อ ดื่มน้ำชาเย็นๆ และให้ผิงฮุ่ยขัดหลังให้

ไม่ถึงครู่หนึ่ง ผิงถงหอบอาภรณ์สะอาดชุดใหม่ผลักประตูไม้ไผ่เข้ามา นางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขณะวางของบนเก้าอี้หวาย ก่อนจะหยิบชุดฤดูใบไม้ผลิที่ช่างเย็บอาภรณ์ทำเสร็จหมาดๆ มาคลี่กางให้อี๋อวี้ดู เป็นกระโปรงรัดเอวสีแดงทับทิม จับจีบซ้ายขวาข้างละสี่จีบ ฝีเข็มเรียบร้อย ผิงถงสะบัดออกเบาๆ ก็แผ่พลิ้วเป็นระลอกคลื่นสีแดง แม้อี๋อวี้เห็นว่าสีนี้สดใสฉูดฉาดเกินไป แต่ลายปักสะอาดตาบนพื้นกระโปรงเป็นที่ถูกอกถูกใจนางมากกว่า นางจึงหันตัวมาเกาะขอบบ่อ สนทนาถึงศาสตร์ความรู้ในการปักผ้ากับสาวใช้ทั้งสอง

จนกระทั่งหลูซื่อส่งคนมาตาม นางถึงขึ้นจากบ่ออย่างอาลัยอาวรณ์ ชะรอยจะไร้วาสนาในเรื่องนี้ บ่อน้ำร้อนสร้างมาสองปีแล้ว นางกลับเคยแช่น้ำร้อนนับรวมกันได้ไม่กี่หนเท่านั้น

พอเช็ดผมจนแห้งและแต่งกายเรียบร้อยก้าวออกนอกประตู ผิงถงก็เอาเสื้อคลุมผ้าต่วนห่อตัวให้อีกชั้น จะได้ไม่โดนลมจนจับไข้อีกหลังจากเพิ่งหายป่วย ร่างกายของอี๋อวี้ยังอ่อนแรงเล็กน้อย นั่งแช่น้ำร้อนนานๆ ทำให้เวียนหัวและฝีเท้าไม่มั่นคง นางเลยเกาะมือสองสาวใช้เดินไปกันมิให้ล้มลงเพราะทรงตัวไม่อยู่

ใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวัน ในลานโถงกว้างขวางสว่างไสว อี๋อวี้ย่างเท้าเข้าประตูก็เห็นสตรีก้มหน้ายืนเรียงกันสองแถวซ้ายขวา นางหรี่ตาลงนับอย่างละเอียด มีถึงสิบห้าคน ดูท่าทางส่วนใหญ่รุ่นราวคราวเดียวกับนาง คนที่เยาว์วัยก็แค่อายุสิบเอ็ดสิบสอง

“ท่านแม่”

ได้ยินเสียงเรียกเบาๆ เหล่าสตรีที่ยืนตรงกลางโถงครึ่งหนึ่งลอบหันหน้ามามอง เห็นหญิงสาววัยกำดัดผอมบางห่มเสื้อคลุมผ้าต่วนสีเหลืองอ่อนถูกคนพยุงเดินเข้ามาจากนอกประตู ใบหน้าลำคอที่โผล่พ้นอาภรณ์ขาวนวลเนียนเสียยิ่งกว่าเต้าหู้แบบโม่น้ำ รูปหน้าหมดจดพริ้มเพรา เรียวคิ้วนัยน์ตางามงอนเป็นพิเศษ เรือนผมมุ่นมวยหลวมๆ ตรึงด้วยปิ่นดอกไม้ไหวรูปผีเสื้อปีกคู่อันเดียว ปีกขยับไหวไปพร้อมกับกระโปรงสีแดงทับทิมใต้เสื้อคลุมตามจังหวะเยื้องย่างก้าวสั้นๆ นับเป็นคนงามบอบบางอ่อนแอน่าทะนุถนอมเหลือหลาย มีสตรีหลายคนต่างลอบคิดคำนึงในใจ

ว่ามิได้ที่คุณหนูเรือนนี้จะได้เป็นชายาอ๋อง…

อี๋อวี้นั้นไม่รู้ว่าตนแช่น้ำร้อนนานเกินไปแล้ววิงเวียนศีรษะ จะประทับภาพความอ่อนแอบอบบางเป็นภาพแรกไว้ในใจสาวใช้กลุ่มนี้ นางถูกพยุงเดินไปนั่งข้างหลูซื่อ ผิงถงยังเอาเบาะนุ่มหลายใบวางรองเอวให้ พอเห็นมารดามองมาอย่างเป็นห่วง นางก็สั่นศีรษะ กระซิบบอกว่าแค่แช่น้ำร้อนนานเกินไปถึงเป็นอย่างนี้ หลูซื่อจึงเรียกเฉินชวีที่อยู่ใกล้ๆ ไปเร่งทางเรือนครัวให้ยกสาลี่เชื่อมออกมา

“ก้าวออกมาบอกอายุ พื้นเพ แล้วก็ทักทายคุณหนูของพวกเจ้า” หลูซื่อนั่งตัวตรงเป็นสง่า สุ้มเสียงจริงจังไร้รอยยิ้มสักนิด

อี๋อวี้เบือนหน้ามองใบหน้าเคร่งขรึมของมารดา พลางลอบคิดว่ามีก็แต่ในเวลาแบบนี้จึงจะเห็นสง่าราศีของฮูหยินใหญ่สกุลฝางในอดีตจากตัวมารดาได้

“คารวะคุณหนูเจ้าค่ะ บ่าวนามว่าตงอวิ๋น ปีนี้อายุสิบสี่แล้ว เทือกเถาเหล่ากออยู่ที่ลู่โจว อ่านออกเขียนได้บ้าง…”

พวกนางสืบเท้าขึ้นหน้าประสานมือค้อมตัวคำนับทักทายทีละคนโดยไม่ยื้อแย่งกันและพูดจาอย่างระมัดระวัง อี๋อวี้ยกชามกระเบื้องเคลือบถือช้อนตักสาลี่เชื่อมกินคำเล็กๆ พลางนึกถึงบทสนทนาตามลำพังกับมารดาก่อนไปแช่บ่อน้ำร้อน…

‘รอเมื่อเข้าสู่วังอ๋องก็ไม่เหมือนอยู่ในเรือนตัวเอง เสื้อผ้าอาภรณ์ การกินการอยู่ล้วนต้องให้พวกสาวใช้ตระเตรียม ถึงเวลานั้นทางวังอ๋องต้องส่งคนมาให้เจ้า แต่อย่างไรก็คงไม่เอาใจใส่เท่าคนที่ติดตามเจ้าออกเรือนไป ได้ยินท่านยายเจ้าบอกว่าตระกูลสูงศักดิ์อย่างวังเว่ยอ๋องนี้ ตามธรรมเนียมแล้วในสองสามปีแรกจะไม่มอบสัญญาขายตัวของบ่าวไพร่ให้ชายาอ๋องเก็บไว้เด็ดขาด แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน จะบอกเจ้าโดยไม่ปิดบังว่าแม้ตอนออกเรือนไปที่สกุลฝางในครั้งนั้น พวกเขาอาจจะยำเกรงศักดิ์ฐานะของแม่ ทว่าท้ายที่สุดก็ไม่ได้กุมชะตากรรมพวกเขาในกำมือถึงได้เคยเสียเปรียบเช่นนี้ เจ้าคัดเลือกสี่คู่จากพวกสาวใช้กลุ่มนี้ และมอบหมายหน้าที่ประจำตัวแต่ละคน จากนั้นค่อยให้ผิงถงผิงฮุ่ยสองคนช่วยอบรมสั่งสองพวกนางแทน วันหน้าจะได้ไม่ต้องทนคับแค้นใจ’

อี๋อวี้เคยได้ยินเรื่องบ่าวเป็นใหญ่ข่มเหงนายมาก่อน วังเว่ยอ๋องมีผู้คนมากมายวุ่นวายซับซ้อน นางมองออกแล้วว่าเสนาธิการตู้ที่ส่งตัวชีตงเหมยมาก่อกวนที่สวนผูเจินไม่ชอบน้ำหน้านางสักเท่าไร จึงไม่ตัดความเป็นไปได้ข้อนี้ออก นางจดจำคำพูดของมารดาไว้ในใจ พิศดูสตรีเบื้องหน้ากลุ่มนี้ที่ภายภาคหน้าอาจจะได้เป็นคนใกล้ชิดของตนอย่างเอาจริงเอาจัง

“คะ…คารวะคุณหนูเจ้าค่ะ บ่าวนามว่าผิงสยา ปีนี้อายุสิบห้า เทือกเถาเหล่ากออยู่ที่ทงโจว แต่เดิมครอบครัวทำไร่ไถนา แต่ปีก่อนที่อำเภอโต้วเซี่ยนเกิดภัยแล้ง พ่อแม่พี่น้องข้าล้วนอดตายกันหมด บ่าวร่อนเร่พเนจรมาถึงด่านในก็ได้พ่อค้าทาสรับตัวไว้ บ่าวไม่เคยเล่าเรียน มะ…ไม่รู้หนังสือ แต่บ่าวเป็นหมัดมวยอยู่บ้าง ทั้งเรี่ยวแรงดี งานหนักอะไรล้วนทำได้เจ้าค่ะ”

สิ่งแรกที่ดึงดูดความสนใจของอี๋อวี้คือชื่อที่คล้ายคลึงกับผิงถงผิงฮุ่ย ต่อมาเห็นหญิงสาวในเสื้อผ้าสีขาวผู้นี้พูดจาซื่อๆ ตอนเอ่ยว่าพ่อแม่พี่น้องอดตายเพราะภัยแล้ง ใบหน้านางโศกเศร้าเสียใจอย่างปิดไม่มิด ถึงตอนท้ายยังบอกว่าตนไม่รู้หนังสือ จะขอทำงานหนักต่ำต้อย หญิงสาวหลายคนรอบข้างก็ลอบส่งเสียงหัวเราะขลุกขลัก นางกลับขยุ้มชายเสื้ออย่างกระวนกระวาย เงยหน้ามองอี๋อวี้แวบหนึ่งก็ก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว หากแวบเดียวนี้ทำให้เห็นแววจริงจังในดวงตานาง นี่เป็นคุณสมบัติหนึ่งที่อี๋อวี้ชมชอบมากที่สุด

“หมัดมวย?” สาวใช้ห้าคนแรกแนะนำตัวจบ อี๋อวี้เพียงฟังเงียบๆ ไม่ปริปาก ครานี้พอนางอ้าปากพูดก็ทำให้คนถัดไปพากันกระตือรือร้นทันใด “หัดกับใครหรือ”

“เมื่อก่อนบิดาของบ่าวเคยเป็นทหารประจำที่ว่าการ ภายหลังแขนขาดข้างหนึ่งก็เลยกลับบ้านเดิม ในชนบทมักแย่งกันทดน้ำเข้านาบ่อยๆ จึงต้องเฝ้าดูไว้ บ่าวเป็นบุตรสาวคนโตของครอบครัว จึงหัดหมัดมวยจากบิดามาสองชุดจะได้คุ้มครองน้องชายน้องสาวเจ้าค่ะ”

อี๋อวี้ฟังจบแล้วใจลอยไปชั่วครู่ นางหวนนึกถึงอดีตที่หลูจวิ้นต้องวิ่งเป็นระยะทางสิบลี้ไปทำงานเล็กๆ น้อยๆ ที่สำนักยุทธ์ในตัวตำบลทุกวัน บอกว่าเพื่อจะฝึกหมัดมวยไว้ปกป้องครอบครัว นางผินหน้าไปมองหลูซื่อเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าประทับใจดุจเดียวกัน จึงยื่นชามสาลี่ให้ผิงฮุ่ย เอื้อมมือไปกุมมือมารดาแล้วบีบกระชับ สองแม่ลูกรู้ใจกันโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย

อี๋อวี้ไม่ไต่ถามอีก เรียกคนต่อไปให้ก้าวออกมา จวบจนทั้งสิบห้าคนแนะนำตัวครบถ้วน นางยังซักถามอีกหลายคำ จากนั้นเลือกออกมาแปดคนโดยปราศจากความลังเล ซึ่งผิงสยาก็เป็นหนึ่งในนั้น

เจ็ดคนที่ไม่ได้รับเลือกย่อมต้องผิดหวัง ถึงอย่างไรนี่อาจเป็นโอกาสเดียวในชีวิตที่จะได้เป็นบ่าวไพร่ในวังอ๋อง

หลูซื่อไม่ปล่อยให้พวกนางคิดมาก โบกมือบอกให้ออกไป และเอ่ยกับแปดคนที่เหลืออยู่ในโถงด้วยน้ำเสียงเข้มงวด

“อะไรที่สมควรบอกล้วนบอกให้พวกเจ้ารับรู้เมื่อเช้าไปแล้ว แต่ข้าจะพูดซ้ำอีกทีก็ได้ พวกเจ้าติดตามคุณหนูไปอยู่วังอ๋อง จะต้องทุ่มเทจิตใจปรนนิบัติรับใช้นางและรู้จักหน้าที่ของตน คนใดบังอาจเกียจคร้านหลบเลี่ยงเกี่ยงงานหรือมีเล่ห์เพทุบาย คงไม่แคล้วต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวกันบ้าง หากเลวร้ายเกินเยียวยาล่ะก็ นี่ข้าไม่ได้พูดขู่ไว้ก่อน เกิดถูกขายเข้าหอนางโลมไปก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่ตักเตือนพวกเจ้าล่วงหน้า”

ภายในห้องโถงเงียบเชียบ อี๋อวี้เห็นทั้งแปดคนนั้นทยอยกันคุกเข่าลงต่อๆ กันแล้วหมอบตัวกับพื้น ปากก็ละล่ำละลักบอกว่า ‘ไม่กล้าๆ’ กระนั้นหลูซื่อไม่เรียกให้พวกนางลุกขึ้นทันที อี๋อวี้รู้ว่านี่เป็นขั้นตอนจำเป็นเลยไม่เปล่งเสียงพูด ผิงถงผิงฮุ่ยซึ่งยืนอยู่ข้างหลังนางมีสีหน้าดังเดิมด้วยพานพบการแสดงบารมีที่น่าพรั่นพรึงกว่านี้มาก่อน ด้านเสี่ยวหม่านเคยเห็นหลูซื่อสั่งสอนบ่าวไพร่ก็ไม่แปลกใจอันใด มีเพียงเฉินชวีที่หน้าเผือดลง นิ้วมือทั้งสิบกำเข้าหากัน

หลูซื่อปล่อยให้พวกนางคุกเข่านานหนึ่งถ้วยชาเต็มถึงจูงมืออี๋อวี้พร้อมกับส่งสายตาบอกอีกฝ่าย

“เอาล่ะ ลุกขึ้นให้หมดเถอะ” อี๋อวี้รับบทเป็นคนดี ใบหน้าประดับรอยยิ้มอ่อนโยนเป็นมิตร ทว่าคนบนพื้นกลับแหงนหน้ามองหลูซื่อ ไม่กล้าลุกขึ้น

หลูซื่อตบโต๊ะน้ำชาดังปัง พูดเสียงเข้ม “หูหนวกกันหมดแล้วหรือไร”

“ท่านแม่อย่ามีน้ำโหเจ้าค่ะ” อี๋อวี้บอกพวกนางซ้ำอีกหน “ลุกขึ้นสิ”

พวกนางพากันลนลานลุกขึ้น ดูท่าทางประจักษ์แจ้งแล้วว่าวันหลังต้องเชื่อฟังผู้ใด หลูซื่อไม่สร้างความลำบากใจให้พวกนางต่อ เรียกเสี่ยวหม่านให้พาทั้งแปดคนไปที่เรือนพำนักของโจวฮูหยิน แม้นเหลืออีกไม่กี่วัน แต่ได้รับการอบรมจากฮูหยินชราก็ต้องได้เรื่องได้ราวขึ้นไม่มากก็น้อย

“อวี้เอ๋อร์ ที่แม่พูดเมื่อครู่นี้ เจ้าต้องจำใส่ใจไว้เช่นกัน วันหลังพวกนางคนใดไม่เชื่อฟังก็ลงโทษให้หนัก หากยังไม่หลาบจำก็ขับไล่ไสส่งออกไป อย่าได้ใจอ่อน”

“ความหวังดีของท่านแม่ ลูกจะไม่รู้ได้อย่างไรเจ้าคะ” อี๋อวี้พิงตัวหลูซื่อโอบเอวนางพลางกล่าว “ท่านวางใจได้ สองปีที่ข้าไปอยู่ที่อื่นประสบพบเจอผู้คนเรื่องราวมาไม่น้อย แจ่มแจ้งแก่ใจดีเจ้าค่ะ”

หลูซื่อตบมือบุตรสาวเบาๆ อย่างอิ่มเอมใจแล้วหันไปมองเฉินชวีที่ยืนเหม่อลอยอยู่ด้านข้าง นางตรึกตรองครู่เดียวก่อนเอ่ยขึ้น “ตอนแรกข้าตั้งใจจะให้เจ้าติดตามไปรับใช้คุณหนูที่วังอ๋อง แต่บิดาเจ้าเป็นผู้ดูแลการงานในคฤหาสน์หลังนี้ ให้พวกเจ้าพ่อลูกแยกจากกันก็ไม่ดี เจ้ารั้งอยู่ที่นี่เถอะ วันหลังหาคู่ครองดีๆ ออกเรือน ดีกว่าเป็นหญิงทึนทึกในวังอ๋อง”

ดวงหน้าจิ้มลิ้มของเฉินชวีเปลี่ยนสีไปน้อยๆ นางกัดริมฝีปากด้านใน มองหลูซื่อก่อนค่อยมองอี๋อวี้ ยังเลื่อนสายตาไปที่ตัวผิงถงผิงฮุ่ยแล้วขบกรามแน่น ทิ้งตัวลงคุกเข่ากับพื้นดังตุบ สร้างความประหลาดใจให้หลูซื่ออย่างยิ่ง

“ฮูหยิน บ่าวยังอยากรับใช้คุณหนูต่อไปเจ้าค่ะ”

“นี่เจ้าทำอะไร มีอะไรลุกขึ้นมาพูด” อี๋อวี้กล่าว

“ฮูหยินโปรดอนุญาตตามคำขอของบ่าวด้วย บ่าวจะทุ่มเทกายใจปรนนิบัติดูแลคุณหนู บ่าวอยากติดตามคุณหนูเจ้าค่ะ”

เห็นเฉินชวีคุกเข่าบนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น หลูซื่อกับอี๋อวี้สบตากันแวบหนึ่ง หญิงสาวเป็นคนเอ่ยปากขึ้น

“เฉินชวี ถ้าตามข้าไปอยู่วังอ๋อง ไม่อิสระเท่าอยู่กับเรือนเด็ดขาด แม้แต่พูดคุยเล่นยังต้องระวังตัว พอถึงวัยเหมาะสมก็ออกเรือนมีคู่ครองไม่ได้ เจ้าคิดดีแล้วหรือ”

“บ่าวคิดดีแล้วเจ้าค่ะ บ่าวจะติดตามคุณหนู”

“ได้” อี๋อวี้พยักหน้ากล่าว “เจ้าลุกขึ้นเถอะ สองสามวันนี้ก็ไปฟังคำสอนของโจวฮูหยินด้วยกัน”

“บ่าว…บ่าวขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ”

เฉินชวีคำนับแล้วคำนับอีกถึงยกชายกระโปรงเดินไป

อี๋อวี้มองตามจนแผ่นหลังของนางห่างไปไกล ถึงได้ยินหลูซื่อกล่าวอย่างทอดถอนใจ

“เฮ้อ…เจ้าตอบตกลงได้อย่างไร เด็กคนนี้หัวแข็งเกินไป ไม่เหมาะจะไปอยู่กับเจ้าจริงๆ”

“อื้อ ข้าทราบเจ้าค่ะ” อี๋อวี้กุมมือมารดา “ลูกย่อมรู้ว่าควรทำเช่นไร”

พออี๋อวี้กลับมาจากวังอ๋อง ร่างกายก็เกือบจะหายเป็นปกติ หลูซื่อไม่เรียกให้นางช่วยเหลือการงานใด ทุกวันนางนอนหัวค่ำตื่นแต่เช้า นอกจากคัดลายมืออ่านหนังสือก็กินน้ำแกงบำรุงสุขภาพ แช่น้ำร้อนวันเว้นวัน ยังทายาขี้ผึ้งถนอมผิวที่ปรุงสกัดขึ้นเอง ยามว่างเดินเที่ยวในคฤหาสน์ วาดภาพดอกไม้ในศาลา หรือไม่ก็ไปที่ห้องเก็บของหยิบๆ จับๆ พวกเครื่องประดับศีรษะที่สั่งทำขึ้นบ้าง สวมอาภรณ์ชุดใหม่บ้าง วันมงคลใกล้เข้ามา นางถึงกระทำตัวสมเป็นเจ้าสาวรอออกเรือนในเวลานี้

แค่ว่าหลี่ไท่ไม่มาเยี่ยมนางอีกตามคำบอกกล่าววันนั้น ถึงขนาดไม่ส่งสารมาสักฉบับ อี๋อวี้เขียนสารไปหาเขาก็ไม่ตอบกลับ นางเลยได้แต่ทอดถอนใจ

หญิงสาวหาได้รู้ไม่ว่าตอนเช้าวันที่ตนกลับจากวังอ๋อง ในที่ประชุมขุนนาง พวกเกาซื่อเหลียน ฝางเฉียวและคนอื่นๆ นำ ‘บันทึกลำดับวงศ์สกุล’ ฉบับเรียบเรียงใหม่ขึ้นทูลถวายฮ่องเต้ เมื่อหลี่ซื่อหมินลงประทับตราลัญจกรอนุมัติก็เผยแพร่ไปทั่วทุกมณฑล เพื่อเป็นการสำแดงพระราชอำนาจ ได้ลดลำดับชั้นของห้าวงศ์ตระกูลชั้นเอกแห่งดินแดนบูรพาอันได้แก่ ชุย หลู เจิ้ง หลี่ และหวังลงเป็นชั้นสามัญทั้งหมด โดยจะนับราชสกุลหลี่แห่งต้าถังเป็นใหญ่ วงศ์วานว่านเครือเป็นรอง

ชั่วขณะเดียว ในเมืองหลวงบังเกิดเสียงฮือฮาครึกโครมไปทั่ว ธรรมเนียมดั้งเดิมแต่โบราณที่ถือการตบแต่งสตรีห้าสกุลนี้เป็นเกียรติยศก็จบสิ้นลง ชาวบ้านชาวเมืองล้วนมองได้ทะลุปรุโปร่ง ผู้ที่ได้รับผลร้ายเป็นคนแรกคือเว่ยอ๋องหลี่ไท่ซึ่งกำลังจะแต่งหลานสาวของไหวกั๋วกงหลูจงจื๋อผู้ล่วงลับไปแล้วเป็นชายา!

 

ติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: