X
    Categories: everYThey Both Die at the Endทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน They Both Die at the End บทที่ 1 – บทที่ 2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

PART ONE

เดธแคสต์

 

น้อยนักที่คนเราจะใช้ชีวิต

คนส่วนใหญ่แค่มีตัวตนอยู่เท่านั้นเอง

ออสการ์ ไวลด์

 

5 กันยายน 2017

มาเทโอ ทอร์เรส

0:22 .

เดธแคสต์โทรหาผมพร้อมคำเตือนแห่งชีวิต…วันนี้ผมจะตาย ช่างเถอะ ใช้คำว่า ‘คำเตือน’ ก็ดูจะเกินไปหน่อย เพราะคำเตือนสื่อว่าเราสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้เหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นได้ เหมือนเวลารถบีบแตรใส่คนที่กำลังข้ามถนนทั้งๆ ที่สัญญาณไฟยังไม่เปลี่ยน คนคนนั้นจะได้ถอยทัน แต่อันนี้ดูเป็นการแจ้งให้ทราบล่วงหน้ามากกว่า เสียงก๊องๆ เป็นเอกลักษณ์และไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนเสียงระฆังโบสถ์ที่อยู่ห่างไปหนึ่งช่วงตึกดังกระหึ่มจากมือถือผมที่วางอยู่อีกฟากของห้อง ผมสติแตกไปแล้ว ความคิดสารพัดนับร้อยอย่างกลืนทุกสิ่งรอบตัวผมไป ผมมั่นใจเลยว่าคนที่ดิ่งพสุธาเป็นครั้งแรกต้องรู้สึกว้าวุ่นแบบนี้เหมือนกันแน่ๆ ตอนปล่อยตัวลงจากเครื่องบิน นักเปียโนที่ต้องขึ้นแสดงเป็นครั้งแรกก็เหมือนกัน…ไม่ใช่ว่าผมรู้จริงๆ หรอกว่าพวกเขารู้สึกยังไง

บ้าเนอะ เมื่อนาทีที่แล้วผมกำลังอ่านบล็อกที่อัพเมื่อวานในเว็บไซต์เคาต์ดาวน์เนอร์สอยู่เลย มันคือเว็บที่ให้เหล่าเดกเกอร์โพสต์ช่วงเวลาสุดท้ายของตัวเองด้วยการอัพสถานะหรือลงรูปให้ดูแบบเรียลไทม์ ผมกำลังดูโพสต์ของเด็กมหา’ลัยปีสามคนหนึ่งที่พยายามหาบ้านให้หมาโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ของเขา และตอนนี้ผมกำลังจะตาย

ผมกำลังจะ…ไม่…ใช่สิ ใช่แล้ว

อกผมบีบรัด วันนี้ผมจะตาย

ผมกลัวตายมาตลอด ไม่รู้ทำไมผมถึงคิดว่าการกลัวความตายจะเป็นเคล็ดช่วยให้ผมไม่ตาย ไม่ใช่ว่าผมจะอยู่ไปตลอดนะ แหงล่ะ แต่แค่นานพอให้ผมได้โตเป็นผู้ใหญ่ พ่อพูดฝังหัวผมมาตลอดว่าผมควรทำเหมือนตัวเองเป็นตัวละครหลักในเรื่องที่ไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นกับเขาเลย โดยเฉพาะความตาย เพราะฮีโร่ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อคอยช่วยเหลือผู้คน แต่ตอนนี้เสียงในหัวผมกลับเงียบลง แถมยังมีผู้แจ้งข่าวจากเดธแคสต์รออยู่ในสายเพื่อแจ้งว่าผมจะตายวันนี้ในวัยสิบแปดปี

ว้าว นี่ผมกำลังจะ…

ผมไม่อยากรับสายเลย อยากวิ่งเข้าไปในห้องนอนพ่อแล้วสบถใส่หมอนมากกว่าเพราะพ่อเลือกเวลาเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู. ผิดไปหน่อย หรือไม่ก็ชกผนังเพราะผมถูกกำหนดให้ตายก่อนวัยอันควรตั้งแต่ตอนที่แม่เสียเพราะคลอดผมแล้ว มือถือผมน่าจะดังเป็นครั้งที่สิบสามแล้วล่ะ และผมคงเลี่ยงมันไม่ได้อีกอย่างที่ผมไม่อาจเลี่ยงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของวันนี้ไปได้

ผมดันแล็ปท็อปออกจากตักแล้วลุกขึ้น เซไปด้านข้างเล็กน้อย รู้สึกเหมือนจะเป็นลมจริงๆ ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะอย่างกับซอมบี้ เชื่องช้า เหมือนศพเดินได้

ชื่อผู้โทรขึ้นว่าเดธแคสต์ แหงล่ะ

ตัวผมสั่น แต่ก็กดรับสายจนได้ ผมไม่พูดอะไร ไม่แน่ใจน่ะว่าควรพูดอะไรออกไป เลยแค่หายใจเพราะผมจะหายใจได้อีกไม่ถึงสองหมื่นแปดพันครั้ง มันคือค่าเฉลี่ยการหายใจต่อวันของคนที่ยังไม่ตายน่ะ และผมควรใช้มันให้หมดในตอนที่ผมยังทำได้อยู่

“สวัสดีค่ะ ดิฉันโทรมาจากเดธแคสต์ ชื่อแอนเดรียนะคะ ฟังอยู่ใช่ไหมคะ คุณทิโมธี”

ทิโมธี

ผมไม่ได้ชื่อทิโมธี

“คุณโทรผิดแล้วครับ” ผมบอกแอนเดรีย ใจสงบลง แต่ผมเสียใจกับคนที่ชื่อทิโมธีนะ ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ “ผมชื่อมาเทโอ” ผมได้ชื่อนี้มาจากพ่อของผม และพ่อก็อยากให้ผมส่งต่อชื่อนี้ตอนผมมีลูกด้วย ตอนนี้ผมทำได้แล้ว ถ้าการมีลูกเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับผมน่ะนะ

เสียงเคาะแป้นพิมพ์ดังขึ้นจากปลายสาย เธอน่าจะกำลังแก้ไขบันทึกหรืออะไรสักอย่างในฐานข้อมูล “โอ้ ขอโทษด้วยนะคะ คุณทิโมธีคือบุรุษท่านหนึ่งที่ดิฉันเพิ่งวางสายไป เขารับข่าวได้ไม่ดีเท่าไหร่ น่าสงสารจริงๆ คุณคือมาเทโอ ทอร์เรสใช่ไหมคะ”

เท่านั้นแหละ ความหวังสุดท้ายของผมก็พังทลายลง

“คุณมาเทโอคะ กรุณายืนยันตัวตนของคุณด้วยค่ะ เกรงว่าคืนนี้ดิฉันยังมีอีกหลายสายที่ต้องติดต่อไป”

ผมจินตนาการมาตลอดว่าผู้แจ้งข่าว (เป็นชื่อเรียกทางการของพวกเขานะ ไม่ใช่ผมตั้งให้) ของผมจะดูเห็นอกเห็นใจและค่อยๆ บอกข่าวนี้กับผมอย่างปลอบประโลม หรืออาจจะบ่นว่ามันช่างน่าเศร้าเหลือเกินเพราะผมยังเด็กอยู่เลย เอาจริงๆ นะ ผมโอเคถ้าเธอจะมาแบบสดใส บอกให้ผมไปทำอะไรสนุกๆ และใช้เวลาของวันนี้ให้เต็มที่เพราะอย่างน้อยผมก็รู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะได้ไม่ต้องติดแหง็กอยู่ในบ้านแล้วเริ่มต่อจิ๊กซอว์หนึ่งพันชิ้นที่ไม่มีทางต่อเสร็จหรือไม่ก็ช่วยตัวเองเพราะผมกลัวการมีเซ็กซ์กับคนตัวเป็นๆ แต่ผู้แจ้งข่าวคนนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าผมควรหยุดทำเธอเสียเวลาได้แล้ว เพราะเธอมีเวลาเหลืออีกเยอะไง ไม่เหมือนผม

“โอเคครับ มาเทโอคือผมเอง ผมชื่อมาเทโอ”

“คุณมาเทโอ ดิฉันเสียใจที่ต้องแจ้งให้คุณทราบว่าภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อจากนี้ คุณจะเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร และถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถทำอะไรเพื่อหยุดมันได้ คุณก็ยังมีโอกาสที่จะใช้ชีวิตอยู่” ผู้แจ้งข่าวพูดต่อเรื่องที่ว่าชีวิตมันไม่ยุติธรรมเสมอไปหรอก แล้วก็ไล่ให้ผมฟังว่าวันนี้มีอีเวนต์อะไรบ้างที่ผมไปเข้าร่วมได้ ผมไม่ควรโกรธอะไรเธอนะ แต่เห็นได้ชัดเลยว่าเธอเบื่อที่ต้องมานั่งท่องคำที่เธอจำได้ขึ้นใจจากการพูดให้คนเป็นร้อยๆ หรืออาจจะเป็นพันๆ คนฟังว่าพวกเขากำลังจะตาย เธอไม่มีความเห็นอกเห็นใจให้ผมหรอก คงกำลังเติมเล็บหรือไม่ก็เล่นเกมเอ็กซ์โอแข่งกับตัวเองระหว่างที่คุยกับผมอยู่

ในเคาต์ดาวน์เนอร์ส เหล่าเดกเกอร์โพสต์ทุกอย่างตั้งแต่ตอนได้รับสายจากเดธแคสต์ไปจนถึงการใช้เวลาวันสุดท้ายของพวกเขา อารมณ์เหมือนทวิตเตอร์สำหรับเดกเกอร์นั่นแหละ ผมเคยอ่านฟีดที่เหล่าเดกเกอร์ยอมรับว่าตัวเองถามผู้แจ้งข่าวว่าพวกเขาจะตายยังไงเพียบเลย แต่ก็รู้ๆ กันอยู่แล้วว่าเดธแคสต์ไม่ให้ข้อมูลพวกนั้นหรอก ไม่แม้แต่อดีตประธานาธิบดีเรย์โนลด์สที่พยายามหนีความตายโดยการซ่อนตัวอยู่ในหลุมหลบภัยใต้ดินเมื่อสี่ปีก่อน เขาถูกลอบสังหารโดยหนึ่งในหน่วยอารักขาของเขาเอง เดธแคสต์บอกได้แค่วันที่เราจะตาย แต่บอกเวลาที่มันจะเกิดขึ้นเป๊ะๆ หรือว่ามันจะเกิดขึ้นยังไงไม่ได้

“…คุณเข้าใจทุกอย่างแล้วใช่ไหมคะ”

“ครับ”

“ล็อกอินเข้าไปที่ death-cast.com แล้วกรอกข้อเรียกร้องพิเศษสำหรับงานศพของคุณรวมถึงคำจารึกที่อยากให้สลักลงบนป้ายหลุมศพด้วยนะคะ หรือถ้าคุณอยากทำพิธีฌาปนกิจ ในกรณีนี้…”

ผมเคยไปงานศพแค่ครั้งเดียว ยายผมเสียตอนผมเจ็ดขวบและผมสติแตกในงานเพราะยายไม่ยอมตื่น ถัดมาอีกห้าปี เดธแคสต์กำเนิดขึ้นมาและทำให้ทุกคนตื่นในงานศพของตัวเองได้เฉย การมีโอกาสได้บอกลาทุกคนก่อนตายถือเป็นโอกาสที่เยี่ยมมากก็จริง แต่คุณเอาเวลานั้นไปใช้ชีวิตจริงๆ ไม่ดีกว่าเหรอ ผมอาจรู้สึกต่างไปก็ได้ถ้าผมมั่นใจว่าจะมีคนมาร่วมงานศพจริงๆ หรือถ้าผมมีเพื่อนมากกว่าจำนวนนิ้วมือของผมน่ะนะ

“แล้วก็นะคะ คุณทิโมธี ดิฉันขอกล่าวแทนทุกคนในเดธแคสต์ว่าพวกเราเสียใจที่คุณต้องจากไป ใช้ชีวิตวันนี้ให้เต็มที่นะคะ ตกลงไหม”

“ผมชื่อมาเทโอ”

“ขอโทษด้วยค่ะ คุณมาเทโอ น่าอายจริงๆ วันนี้เป็นวันที่หนักมากแถมสายพวกนี้ก็ทำเอาเครียดเลย และ…”

ผมวางสาย ทำแบบนี้ไม่มีมารยาทเลย ผมรู้ๆ แต่ผมจะไม่ฟังใครบ่นว่าวันนี้มันหนักหนาสาหัสมากแค่ไหนสำหรับพวกเขาในขณะที่ผมอาจจะตายในอีกชั่วโมงข้างหน้าหรือไม่ก็ในอีกสิบนาทีหรอก ผมอาจสำลักยาอมแก้เจ็บคอตาย ผมอาจจะออกจากอพาร์ตเมนต์ไปหาอะไรทำคนเดียวแล้วพลาดตกบันไดคอหักตายก่อนจะได้ออกไปซะอีก หรืออาจจะมีใครบุกเข้ามาฆ่าผมก็ได้ อย่างเดียวที่ตัดออกไปได้ชัวร์ๆ เลยคือแก่ตาย

ผมทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น ทุกอย่างจะจบลงในวันนี้และผมทำอะไรเพื่อเปลี่ยนมันไม่ได้เลย ผมไม่สามารถเดินทางฝ่าดินแดนที่เต็มไปด้วยมังกรเพื่อนำคทาหยุดความตายกลับคืนมา ผมไม่สามารถกระโดดขึ้นพรมวิเศษไปตามหาจีนี่เพื่อขอพรให้ผมได้มีชีวิตที่สมบูรณ์ธรรมดา ผมอาจจะตามหานักวิทยาศาสตร์จิตวิปริตสักคนให้แช่แข็งผม แต่ผมคงตายระหว่างการทดลองพิลึกพิลั่นนั่นซะก่อน ความตายเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้และวันนี้มันจะเกิดขึ้นกับผมแน่นอน

ลิสต์รายชื่อคนที่ผมจะคิดถึงมันสั้นมากจนไม่น่าจะเรียกว่าเป็นลิสต์ได้ ถ้าคนตายสามารถคิดถึงได้ล่ะก็นะ ลิสต์ของผมมีพ่อ เพราะพ่อพยายามเต็มที่มาตลอด แล้วก็มีลิเดีย เพื่อนสนิทของผม เพราะนอกจากเธอจะไม่เมินผมในโถงทางเดินแล้ว เธอยังนั่งตรงข้ามผมช่วงพักกินข้าวกลางวัน จับคู่กับผมในวิชาธรณีศาสตร์ และคุยกับผมเรื่องที่เธออยากเป็นนักสิ่งแวดล้อมที่จะช่วยโลกเอาไว้และผมตอบแทนเธอได้ด้วยการอาศัยอยู่ในโลกใบนั้น หมดแล้ว

ถ้ามีใครสนใจอยากรู้ลิสต์รายชื่อคนที่ผมจะไม่คิดถึงล่ะก็ ผมไม่มีให้หรอก ไม่เคยมีใครทำตัวแย่ใส่ผม ผมเข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมบางคนถึงไม่พยายามคุยกับผม จริงๆ นะ ก็ผมน่ะเป็นพวกหวาดระแวงสุดๆ มีอยู่ไม่กี่ครั้งที่เพื่อนร่วมชั้นชวนผมไปทำอะไรสนุกๆ ด้วยกัน อย่างไปเล่นสเก็ตในสวนสาธารณะหรือขับรถเล่นกันกลางดึก แต่ผมถอนตัวทุกครั้งเพราะกลัวว่าเราอาจพาตัวเองไปตาย บางทีน่ะนะ ผมว่าสิ่งที่ผมจะคิดถึงที่สุดคงเป็นโอกาสทั้งหลายในการใช้ชีวิตที่ผมพลาดไปกับความสามารถในการหาเพื่อนดีๆ จากเพื่อนร่วมชั้นที่ผมเสียไป ผมจะคิดถึงการที่พวกเราไม่มีโอกาสได้ผูกสัมพันธ์กันผ่านการไปนอนค้างบ้านเพื่อน ซึ่งพวกเราจะไม่หลับไม่นอนและเล่นเอ็กซ์บ็อกซ์อินฟินิตี้กับเกมกระดานกันทั้งคืน ทั้งหมดเพียงเพราะผมขี้กลัวเกินไปเท่านั้นเอง

คนที่ผมจะคิดถึงมากสุดเป็นอันดับหนึ่งเลยคือมาเทโอในอนาคต คนที่น่าจะรู้จักผ่อนคลายมากขึ้นและออกไปใช้ชีวิต ผมคิดภาพเขาชัดๆ ไม่ค่อยออก แต่ผมจินตนาการว่ามาเทโอในอนาคตจะได้ลองทำอะไรใหม่ๆ อย่างสูบกัญชา สอบใบขับขี่ และนั่งเครื่องบินไปเปอร์โตริโกเพื่อเรียนรู้รากเหง้าของตัวเอง เขาอาจจะคบใครสักคนและชอบที่มีคนคนนั้นอยู่ข้างๆ ก็ได้ เขาคงจะเล่นเปียโนให้เพื่อนๆ ฟัง ร้องเพลงต่อหน้าพวกเขา และงานศพเขาต้องคนแน่นแน่นอน จะเป็นงานที่จัดยาวไปตลอดช่วงสุดสัปดาห์หลังจากเขาเสีย ในห้องจะเต็มไปด้วยผู้คนใหม่ๆ ที่ไม่มีโอกาสได้กอดลาเขาเป็นครั้งสุดท้าย

มาเทโอในอนาคตจะมีลิสต์รายชื่อคนที่เขาจะคิดถึงยาวกว่านี้

แต่ผมจะไม่มีวันได้เติบโตขึ้นเป็นมาเทโอในอนาคต จะไม่มีใครได้เมากัญชากับผม จะไม่มีคนฟังผมเล่นเปียโน จะไม่มีใครนั่งบนเบาะข้างคนขับในรถของพ่อผมหลังผมสอบใบขับขี่ผ่าน ผมจะไม่ได้ทะเลาะกับเพื่อนเรื่องรองเท้าโบว์ลิ่งของใครเจ๋งกว่ากันหรือใครจะได้เป็นวูล์ฟเวอรีนตอนเล่นวิดีโอเกม

ผมหงายหลังลงไปกับพื้น ครุ่นคิดว่าตอนนี้ต้องเลือกแล้วว่าจะทำหรือจะตาย ไม่ได้สิ

ทำก่อน แล้วค่อยตาย

 

0:42 .

พ่อมักจะอาบน้ำร้อนให้ใจเย็นลงเวลาโกรธหรือผิดหวังในตัวเอง ผมทำตามพ่อตอนอายุประมาณสิบสามเพราะตอนนั้นความคิดสับสนแบบมาเทโอดันผุดขึ้นมาและผมต้องการเวลาแบบมาเทโอในการจัดการกับมัน ตอนนี้ผมกำลังอาบน้ำอยู่เพราะรู้สึกผิดที่หวังว่าโลกใบนี้ หรือสักเสี้ยวใดเสี้ยวหนึ่งของมันนอกเหนือไปจากลิเดียกับพ่อจะรู้สึกเศร้าที่ต้องเสียผมไป เพราะผมปฏิเสธที่จะใช้ชีวิตอย่างไร้เทียมทานในบรรดาวันที่ผมไม่ได้รับการแจ้งเตือน ผมเสียเมื่อวานทั้งหมดไปและไม่เหลือวันพรุ่งนี้อีกแล้ว

ผมจะไม่บอกใครหรอก ยกเว้นพ่อ แต่พ่อยังไม่ได้สติ เลยถือว่าไม่นับอยู่ดี ผมไม่อยากใช้เวลาวันสุดท้ายของตัวเองไปกับการสงสัยว่าคนเขาจริงใจกันรึเปล่าตอนที่พ่นคำพูดเศร้าโศกเสียใจออกมาให้ผม ไม่ควรมีใครใช้เวลาวันสุดท้ายของตัวเองไปกับการคาดเดาการกระทำของคนอื่น

แต่ผมต้องออกไปเผชิญโลกภายนอก ต้องหลอกตัวเองว่านี่ก็แค่วันอีกวันหนึ่ง ผมต้องไปหาพ่อที่โรงพยาบาลและจับมือพ่อเป็นครั้งแรกนับจากตอนที่ผมยังเด็กและเป็นครั้งสุด…ว้าว ครั้งสุดท้ายจริงๆ

ผมคงจากไปก่อนจะปรับตัวกับการตายของตัวเองได้ซะอีก

ผมต้องไปเจอลิเดียกับเพนนี ลูกน้อยหนึ่งขวบของเธอด้วย ลิเดียให้ผมเป็นพ่อทูนหัวของเพนนีตอนที่เธอเกิด และมันแย่มากเลยเพราะผมควรจะเป็นคนที่ดูแลเพนนีถ้าหากลิเดียเป็นอะไรไป เพราะคริสเตียน แฟนหนุ่มของเธอตายไปประมาณปีกว่าแล้ว แหงล่ะ เด็กอายุสิบแปดปีที่ไม่มีรายได้จะดูแลเด็กทารกได้ยังไง ตอบสั้นๆ เลยว่าทำไม่ได้หรอก แต่ผมควรจะโตเป็นผู้ใหญ่และเล่าให้เพนนีฟังเกี่ยวกับแม่ผู้ช่วยโลกนี้เอาไว้กับพ่อสุดชิลของเธอและต้อนรับเธอสู่บ้านของผมในตอนที่ผมมีความมั่นคงทางการเงินและสภาพจิตใจพร้อม แต่ตอนนี้ผมกลับถูกตัดออกจากชีวิตของเธอก่อนที่ผมจะสามารถเป็นได้มากกว่าแค่ผู้ชายคนหนึ่งในอัลบั้มรูปที่ลิเดียจะเล่าเรื่องราวของเขาให้เธอฟัง ในระหว่างนั้นเพนนีก็จะพยักหน้า เธออาจล้อว่าแว่นผมตลก ก่อนจะพลิกไปดูรูปคนในครอบครัวที่เธอรู้จักและแคร์จริงๆ เธอจะไม่มีแม้แต่ความทรงจำเลือนรางเกี่ยวกับตัวผม แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ผมจะไม่ไปแกล้งจั๊กจี้เธออีกสักครั้งหรือเช็ดสควอชกับถั่วลันเตาออกจากหน้าเธอ หรือให้เวลาลิเดียได้พักบ้าง เธอจะได้โฟกัสกับการเตรียมสอบ GED หรือแปรงฟัน หวีผม ไม่ก็หลับสักงีบ

หลังจากนั้นผมจะหาทางปลีกตัวออกจากเพื่อนสนิทของผมและลูกสาวของเธอ แล้วออกไปใช้ชีวิต

ผมหมุนปิดก๊อกแล้วน้ำก็หยุดพรมลงมาบนตัวผม วันนี้ไม่ใช่วันที่เหมาะกับการอาบน้ำเป็นชั่วโมง ผมหยิบแว่นตาบนซิงก์ขึ้นมาใส่ ก่อนจะก้าวออกจากอ่างแล้วลื่นบนแอ่งน้ำ ตอนหงายหลังผมคิดว่าจะได้รู้ว่าทฤษฎีการเห็นชีวิตที่ผ่านมาของเราก่อนตายเป็นความจริงไหม แต่ผมคว้าชั้นวางผ้าเช็ดตัวไว้ทันพอดี ผมสูดหายใจเข้าออก เข้า ออก เพราะการตายแบบนี้เป็นอะไรที่โคตรซวยเลย จะมีคนเอาผมไปลงฟีด ‘เดี้ยงคาห้องน้ำ’ ในบล็อกตายแบบโง่ๆ ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่คนเข้าไปดูเยอะมากและทำให้ผมรู้สึกขยะแขยงจนไม่รู้จะพูดยังไง

ผมต้องออกจากที่นี่เพื่อไปใช้ชีวิต แต่ผมต้องออกจากอพาร์ตเมนต์นี้ไปให้ได้แบบครบสามสิบสองก่อน

 

0:56 .

ผมเขียนโน้ตขอบคุณให้เพื่อนบ้านห้อง 4F กับห้อง 4A เพื่อบอกพวกเขาว่าวันนี้คือวันสุดท้ายของผม พอพ่อผมเข้าโรงพยาบาล คุณเอลเลียตห้อง 4F ก็คอยแวะมาดูผม เอาอาหารเย็นมาให้ โดยเฉพาะตั้งแต่ที่เตาบ้านผมเสียเมื่อสัปดาห์ที่แล้วหลังจากที่ผมพยายามทำเอมปานาดาส สูตรของพ่อ ส่วนคุณฌอนห้อง 4A จะแวะมาซ่อมเตาให้ผมเสาร์นี้ แต่ไม่จำเป็นแล้ว พ่อผมซ่อมเป็นและเขาอาจต้องการสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจตอนผมไม่อยู่แล้ว

ผมเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบเสื้อเชิ้ตผ้าสักหลาดลายสก็อตสีฟ้าสลับเทาที่ลิเดียให้ผมเป็นของขวัญวันเกิดอายุสิบแปดปีออกมา ก่อนจะสวมมันทับเสื้อยืดสีขาว ผมยังไม่เคยใส่มันออกไปข้างนอกเลย วันนี้ผมจะเก็บลิเดียไว้ใกล้ตัวด้วยการใส่เสื้อตัวนี้

ผมเช็กนาฬิกาข้อมือ มันเป็นเรือนเก่าของพ่อที่พ่อยกให้ผมหลังซื้อเรือนใหม่รุ่นดิจิตอลที่เรืองแสงได้เพราะพ่อตาไม่ค่อยดีแล้ว ตอนนี้กำลังจะตีหนึ่ง ในวันปกติทั่วไปผมคงกำลังนั่งเล่นวิดีโอเกมจนดึกดื่นถึงแม้ว่ามันจะทำให้ต้องไปโรงเรียนแบบหมดแรงก็ตาม อย่างน้อยผมก็หลับช่วงคาบอิสระได้ ผมไม่น่าปล่อยคาบอิสระพวกนั้นให้เสียเปล่าเลย น่าจะลงเรียนอะไรสักวิชา อย่างศิลปะ ถึงผมจะวาดรูปห่วยมากก็เถอะ (หรือทำอะไรก็ห่วยทั้งนั้น แหงล่ะ ผมอยากพูดว่ามันไม่สำคัญอะไร แต่ส่วนสำคัญก็มีแค่นั้นแหละ จริงไหม) บางทีผมน่าจะเข้าวงดนตรีหรือเล่นเปียโน สร้างชื่อให้ตัวเองสักหน่อยแล้วพัฒนาขึ้นจนได้ร้องประสานเสียง จากนั้นก็อาจต่อด้วยร้องคู่กับคนเจ๋งๆ ตามด้วยโชว์ร้องเดี่ยว โห แม้แต่วิชาการแสดงก็คงสนุกน่าดูถ้าผมได้รับบทบาทที่บีบให้ผมกล้าทำอะไรต่างไปจากเดิม แต่ไม่ล่ะ ผมเลือกให้มันเป็นคาบอิสระอีกคาบ จะได้ตัดขาดจากทุกอย่างและงีบหลับ

ตอนนี้เที่ยงคืนห้าสิบแปดนาทีแล้ว ผมจะบังคับตัวเองให้ออกจากอพาร์ตเมนต์ตอนตีหนึ่ง ที่นี่เป็นทั้งที่หลบภัยและคุกของผม คราวนี้ผมต้องออกไปดื่มด่ำกับอากาศข้างนอกแทนที่จะรุดจากจุด A ไปจุด B ทันที ผมต้องนับว่ามีต้นไม้กี่ต้น อาจจะร้องเพลงโปรดระหว่างจุ่มเท้าลงไปในแม่น้ำฮัดสันด้วย และแค่พยายามให้เต็มที่เพื่อจะได้รับการจดจำในฐานะเด็กหนุ่มผู้ตายก่อนวัยอันควร

ตีหนึ่งแล้ว

ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะไม่มีวันได้กลับมาที่ห้องของตัวเองอีก

ผมปลดล็อกประตู หมุนลูกบิด แล้วเปิดประตูออก

ผมปล่อยการ์ดที่จะเอาไปให้เพื่อนบ้านลงแล้วกระแทกประตูปิด

ผมจะไม่เดินออกไปสู่โลกที่จะฆ่าผมก่อนเวลาอันควรหรอก

รูฟัส เอเมเทริโอ

1:05 .

เดธแคสต์โทรมาตอนผมกำลังซ้อมแฟนใหม่ของแฟนเก่าผมแบบเอาให้ถึงตาย ผมยังอยู่บนตัวมันอยู่เลย ใช้เข่ากดไหล่มันไว้ เหตุผลเดียวที่ทำให้ผมยังไม่เหวี่ยงหมัดใส่ตามันอีกรอบคือเสียงริงโทนที่ดังออกมาจากกระเป๋ากางเกงของผม เสียงดังของริงโทนจากเดธแคสต์ที่ทุกคนรู้จักดีโคตรๆ ทั้งจากประสบการณ์ตรง ในข่าว หรือพวกโชว์ห่วยๆ ที่ใช้เสียงแจ้งเตือนมาทำเอฟเฟ็กต์ ดึน…ดึน…ดึน ทาโกกับมัลคอล์มเพื่อนผมหยุดร้องเชียร์แล้ว พวกเขาเงียบกริบ ส่วนผมรอให้มือถือของไอ้เวรเพ็คดังขึ้นบ้าง แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีแค่มือถือผมคนเดียว บางทีสายที่โทรมาบอกว่าผมกำลังจะตายเพิ่งช่วยชีวิตหมอนี่เอาไว้

“นายต้องรับสายนะ รูฟ” ทาโกบอก เมื่อกี้เขากำลังถ่ายคลิปตอนผมอัดเพ็คเพราะเขาเป็นพวกชอบดูคลิปต่อสู้ในเน็ต แต่ตอนนี้เขากลับจ้องมือถือตัวเองเหมือนกลัวว่าจะมีสายถึงเขาเหมือนกัน

“เรื่องไรวะ” ผมพูด ใจเต้นกระหน่ำ มันเต้นเร็วกว่าตอนที่ผมเริ่มเข้าไปหาเพ็คอีก และเร็วกว่าตอนที่ผมต่อยมันหมัดแรกและซัดมันลงไปกองกับพื้น ตาซ้ายของเพ็คบวมปูดแล้ว ส่วนตาขวาของเขาไม่มีอะไรนอกจากความหวาดผวาล้วนๆ สายของเดธแคสต์จะดังถึงตีสาม เพ็คเลยไม่แน่ใจว่าผมจะเอาเขาไปกับผมด้วยไหม

ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

มือถือผมหยุดดังแล้ว

“อาจจะโทรผิดก็ได้นะ” มัลคอล์มพูด

มือถือผมดังขึ้นอีกครั้ง

มัลคอล์มไม่พูดอะไรอีก

ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ายังมีหวังหรอก ผมไม่รู้พวกสถิติหรืออะไรแบบนั้นเลย แต่การที่เดธแคสต์โทรผิดไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นทั่วไป แถมบ้านเอเมเทริโอก็ไม่เคยมีโชคเรื่องการมีชีวิตเลยด้วย แต่ถ้าเป็นเรื่องกลับไปหาพระเจ้าก่อนเวลาอันควรล่ะก็ นั่นแหละพวกเราล่ะ

ตัวผมสั่น ความตื่นตระหนกทำเอาหัวผมปวดตึ้บๆ เหมือนมีคนต่อยผมไม่หยุด เพราะผมไม่รู้ว่าตัวเองจะตายยังไง รู้แค่ว่าผมตายแน่ แถมชีวิตที่ผ่านมาของผมก็ไม่ได้ฉายขึ้นมาตรงหน้า แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเกิดขึ้นตอนผมอยู่ในเงื้อมมือของความตายจริงๆ หรอก

เพ็คบิดตัวไปมาใต้ร่างผม ผมเลยง้างหมัดเพื่อให้แม่งอยู่เฉยๆ

“มันอาจจะมีอาวุธก็ได้นะ” มัลคอล์มพูด เขาเป็นหนุ่มตัวใหญ่ประจำกลุ่มของเรา เป็นคนที่คงมีประโยชน์ถ้าเขาอยู่ด้วยตอนที่พี่สาวผมปลดเข็มขัดนิรภัยไม่ออกขณะที่รถของเราพลิกตกลงไปในแม่น้ำฮัดสัน

ก่อนเดธแคสต์โทรมา ผมกล้าพนันเลยว่าเพ็คไม่มีอาวุธติดตัวหรอก เพราะเราเป็นฝ่ายดักซ้อมตอนเขาเลิกงาน แต่ผมจะไม่เอาชีวิตตัวเองมาเดิมพัน ไม่ใช่แบบนี้ ผมปล่อยมือถือให้ตกลงกับพื้น ก่อนจะตบไปตามตัวเพ็คแล้วพลิกตัวเขา เช็กตรงสายรัดเอวว่ามีมีดพกรึเปล่า ผมลุกขึ้นยืน ส่วนเขายังคงนอนอยู่อย่างนั้น

มัลคอล์มดึงเป้ของเพ็คออกจากใต้ท้องรถสีฟ้าคันหนึ่ง ทาโกโยนมันเข้าไปใต้รถคันนั้นก่อนหน้านี้ เขารูดซิปเปิดแล้วคว่ำเป้ลง หนังสือการ์ตูนเรื่องแบล็ก แพนเธอร์กับฮอว์กอายร่วงลงบนพื้น “ไม่มี”

ทาโกพุ่งมาหาเพ็คและผมมั่นใจว่าเขากำลังจะเตะเพ็คเหมือนหัวมันเป็นลูกฟุตบอล แต่ทาโกหยิบมือถือผมขึ้นมาจากพื้นแล้วรับสาย “จะคุยกับใคร” ไม่มีใครแปลกใจตอนคอเขากระตุก “แป๊บนึงๆ ผมไม่ใช่เขา แป๊บนึง รอเดี๋ยว” เขายื่นมือถือให้ผม “ให้ฉันวางสายไหม รูฟ”

ไม่รู้สิ ผมยังต้องจัดการเพ็คที่ตอนนี้เลือดอาบหน้าและน่วมไปหมดในลานจอดรถของโรงเรียนประถมแห่งนี้ และก็ไม่ใช่ว่าผมจำเป็นต้องรับสายเพื่อดูให้แน่ใจว่าเดธแคสต์ไม่ได้โทรมาบอกว่าผมถูกลอตเตอรี่ ผมคว้ามือถือจากทาโก ทั้งโมโหทั้งสับสน ผมอาจอ้วกด้วยก็ได้ แต่พ่อแม่กับน้องสาวผมไม่ได้อ้วก เพราะงั้นผมก็น่าจะไม่เหมือนกัน

“ดูเขาไว้” ผมบอกทาโกกับมัลคอล์ม พวกเขาพยักหน้า ไม่รู้ว่าผมกลายเป็นหมาจ่าฝูงได้ยังไง ผมมาลงเอยที่บ้านอุปถัมภ์หลังพวกเขาตั้งหลายปี

ผมเดินห่างออกมาหน่อย อย่างกับความเป็นส่วนตัวมันสำคัญมากงั้นแหละ ผมดูให้แน่ใจว่าตัวเองยืนอยู่ห่างจากแสงที่ส่องมาจากป้ายทางออก ไม่อยากให้ใครเห็นข้อนิ้วเปื้อนเลือดของผมกลางดึกน่ะ “ว่าไงครับ”

“สวัสดีครับ ผมชื่อวิคเตอร์ โทรจากเดธแคสต์ ขอสายรูฟัส เอมมี-เทริโอครับ”

เขาอ่านนามสกุลผมผิด แต่แก้ไปก็เท่านั้นแหละ ไม่เหลือใครให้ใช้นามสกุลนี้อยู่แล้ว “ครับ ผมเอง”

“คุณรูฟัส ผมเสียใจที่ต้องแจ้งให้คุณทราบว่าภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อจากนี้…”

“ยี่สิบสามชั่วโมง” ผมขัด และเดินไปมาจากรถคันหนึ่งไปอีกคันหนึ่ง “คุณโทรมาหลังตีหนึ่ง” บ้าบอฉิบ เดกเกอร์คนอื่นได้รับสายตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว บางทีถ้าเดธแคสต์โทรหาผมตั้งแต่ชั่วโมงก่อน ผมคงไม่มาดักรอเด็กปีหนึ่งที่ดร็อปเรียนอย่างไอ้เพ็คนอกร้านอาหารที่มันทำงานอยู่เพื่อไล่กวดมันมาที่ลานจอดรถนี่หรอก

“ครับ คุณพูดถูกแล้ว ขอโทษด้วยครับ” วิคเตอร์พูด

ผมพยายามเงียบปากไว้เพราะไม่อยากเอาปัญหาตัวเองไปพาลใส่ผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังทำหน้าที่ของเขา ถึงผมจะไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราแม่งอยากจะไปสมัครตำแหน่งนี้กันตั้งแต่แรกก็เถอะ ลองแกล้งทำเหมือนว่าผมยังมีอนาคตอยู่สักวินาทีสิ ให้ผมได้คลายเครียดหน่อย คือไม่มีทางที่ผมจะตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่งแล้วพูดว่า ‘ฉันว่าจะทำงานกะเที่ยงคืนถึงตีสามที่ไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากบอกผู้คนว่าชีวิตของพวกเขาจบแล้ว’ แต่วิคเตอร์กับคนอื่นๆ เลือกที่จะทำงานนี้ ผมไม่อยากได้ยินใครมาบอกว่าอย่าโมโหผู้ส่งสารด้วย โดยเฉพาะตอนที่ผู้ส่งสารคนนั้นโทรมาบอกว่าผมจะตายก่อนหมดวัน

“คุณรูฟัส ผมเสียใจที่ต้องแจ้งให้คุณทราบว่าภายในยี่สิบสามชั่วโมงต่อจากนี้ คุณจะเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร และถึงแม้ว่าผมจะไม่สามารถทำอะไรเพื่อหยุดมันได้ ผมอยากจะแจ้งให้ทราบว่าคุณมีตัวเลือกอะไรบ้าง ก่อนอื่นเลยนะครับ คุณเป็นยังไงบ้าง คุณใช้เวลาพอสมควรเลยกว่าจะรับสาย ทุกอย่างโอเคไหมครับ”

เขาอยากรู้ว่าผมเป็นยังไงบ้างแฮะ แหงสินะ ฟังจากน้ำเสียงไร้อารมณ์ของเขาก็รู้แล้วว่าเขาไม่ได้แคร์ผมไปมากกว่าเดกเกอร์คนอื่นๆ ที่เขาต้องโทรหาคืนนี้หรอก สายพวกนี้คงมีการเฝ้าสังเกตอยู่ เขาเลยไม่อยากตกงานเพราะเร่งคุยให้มันจบๆ ไป

“ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ตัวเองเป็นไงบ้าง” ผมกำมือถือแน่น จะได้ไม่เขวี้ยงมันใส่กำแพงที่ทาสีเป็นรูปเด็กผิวขาวกับเด็กผิวสีจับมือกันใต้สายรุ้ง ผมมองข้ามไหล่แล้วเห็นว่าเพ็คยังนอนคว่ำหน้าลงกับพื้นในขณะที่มัลคอล์มกับทาโกจ้องผม พวกเขาควรดูให้แน่ใจว่าเพ็คจะไม่หนีไปก่อนเราจะคิดออกว่าจะทำยังไงกับมันดี “แค่บอกมาเถอะว่าผมมีตัวเลือกอะไรบ้าง” แบบนี้น่าจะโอเค

วิคเตอร์บอกผมเกี่ยวกับพยากรณ์อากาศวันนี้ (ฝนจะตกหลังเที่ยงและหลังจากนั้นไปเรื่อยๆ ถ้าผมยังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนั้น) เทศกาลพิเศษที่ผมไม่สนใจจะเข้าร่วมเลยสักนิดเดียว (โดยเฉพาะคลาสโยคะที่ไฮไลน์ ไม่ว่าฝนจะตกหรือไม่ก็เถอะ) การจัดพิธีศพอย่างเป็นทางการ ร้านอาหารที่เดกเกอร์จะได้รับส่วนลดที่ดีที่สุดถ้าผมใช้โค้ดของวันนี้ อย่างอื่นผ่านหูผมไปหมดเพราะผมมัวแต่กังวลว่าช่วงที่เหลืออยู่ของวันสุดท้ายของผมจะออกมาเป็นยังไง

“คุณรู้ได้ยังไงน่ะ” ผมขัด บางทีผู้ชายคนนี้อาจสงสารผมและผมจะได้บอกทาโกกับมัลคอล์มเกี่ยวกับปริศนาอันยิ่งใหญ่นี้สักที “วันสุดท้ายของพวกเราน่ะ คุณรู้ได้ยังไง มีลิสต์บอกเหรอ หรือใช้ลูกแก้วคริสตัล หรือปฏิทินในอนาคต” ทุกคนต่างพากันคาดเดาว่าเดธแคสต์รับรู้ข้อมูลที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตไปตลอดกาลแบบนี้ได้ยังไง ทาโกเคยเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับทฤษฎีประหลาดๆ ที่เขาอ่านเจอในเน็ต อย่างเดธแคสต์ไปปรึกษาคนทรงเทพๆ หรือทฤษฎีบ้าๆ บอๆ อย่างรัฐบาลล่ามเอเลี่ยนไว้ในอ่างน้ำและบังคับให้มันคอยรายงานวันสุดท้ายของทุกคน ทฤษฎีนั้นมีอะไรผิดเพี้ยนเต็มไปหมด แต่ตอนนี้ผมไม่มีเวลามานั่งให้ความเห็นเรื่องนี้หรอก

“เกรงว่าผู้แจ้งข่าวก็ไม่สามารถรู้ข้อมูลนั้นได้ครับ” วิคเตอร์บอก “พวกเราเองก็อยากรู้เหมือนกัน แต่มันไม่ใช่ข้อมูลที่เราจำเป็นต้องมีเพื่อทำหน้าที่ของเราน่ะครับ” เป็นคำตอบเรียบๆ อีกอัน ให้ผมพนันด้วยอะไรก็ได้ว่าเขารู้แต่บอกไม่ได้ถ้ายังไม่อยากตกงาน

ช่างหมอนี่เถอะ “เฮ้ วิคเตอร์ ช่วยทำตัวเหมือนมนุษย์ปกติสักนาทีได้ไหม ไม่รู้ว่าคุณรู้รึเปล่านะ แต่ผมอายุสิบเจ็ด อีกสามสัปดาห์จะถึงวันเกิดปีที่สิบแปดของผม คุณไม่ฉุนหน่อยเหรอที่ผมจะไม่มีวันได้เข้ามหา’ลัย หรือแต่งงาน หรือมีลูก หรือได้ท่องเที่ยว คงไม่สินะ คุณแค่กำลังนั่งชิลบนบัลลังก์น้อยๆ ในออฟฟิศน้อยๆ ของคุณเพราะคุณรู้ว่าตัวเองยังมีเวลาอีกเป็นสิบๆ ปีรออยู่ใช่ไหมล่ะ”

วิคเตอร์กระแอม “อยากให้ผมทำตัวเหมือนมนุษย์ปกติเหรอครับ คุณรูฟัส อยากให้ผมลุกออกจากบัลลังก์ของผมและพูดความจริงกับคุณใช่ไหม ได้ครับ เมื่อชั่วโมงที่แล้วผมเพิ่งวางสายจากผู้หญิงคนหนึ่งที่ร้องไห้ฟูมฟายเพราะเธอจะไม่มีวันได้เป็นแม่อีกหลังจากที่ลูกสาวของเธอต้องตายวันนี้ เธออ้อนวอนให้ผมบอกวิธีช่วยชีวิตลูกสาวของเธอ แต่ไม่มีใครมีอำนาจนั้นหรอก ทีนี้ผมเลยต้องส่งคำร้องไปที่สำนักงานเยาวชนให้ส่งตำรวจไปเพราะแม่ของเด็กสาวคนนั้นอาจเป็นคนทำให้เธอตายก็ได้ ซึ่งเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่าขยะแขยงที่สุดที่ผมเคยทำมาตั้งแต่ทำงานนี้ คุณรูฟัส ผมเสียใจกับคุณนะ ผมพูดจริงๆ แต่การตายของคุณไม่ใช่ความผิดของผม และแย่หน่อยที่คืนนี้ผมยังต้องโทรไปอีกหลายสาย คุณช่วยให้ความร่วมมือกับผมหน่อยได้ไหม”

เชี่ย

ผมให้ความร่วมมือกับเขาตลอดสาย ถึงเขาจะไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องของคนอื่นให้ผมฟังก็เถอะ แต่ตอนนี้ผมเอาแต่คิดเรื่องของแม่คนนั้นกับลูกสาวของเธอที่จะไม่มีวันได้เข้าโรงเรียนที่ตั้งอยู่ข้างหลังผม ก่อนวางสาย วิคเตอร์พูดประโยคที่ผมได้ยินจนชินจากพวกรายการทีวีกับหนังใหม่ๆ ที่เดธแคสต์มีบทบาทในชีวิตประจำวันของตัวละคร “ขอกล่าวแทนทุกคนในเดธแคสต์ว่าพวกเราเสียใจที่คุณต้องจากไป ใช้ชีวิตวันนี้ให้เต็มที่นะครับ”

ผมบอกไม่ได้ว่าใครวางสายก่อน แต่ไม่สำคัญหรอก ความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว…ไม่สิ กำลังจะเกิดขึ้นต่างหาก วันนี้เป็นวันสุดท้ายของผม เป็นรูฟัส อาร์มาเก็ดดอน เพียวๆ เลย ผมไม่รู้ว่ามันจะจบลงยังไง ก็ได้แต่ภาวนาว่าผมจะไม่จมน้ำเหมือนพ่อแม่กับพี่สาวผมละกัน เพ็คเป็นคนเดียวที่ผมเล่นงาน จริงๆ นะ เพราะงั้นผมไม่น่าจะถูกยิง แต่ใครจะไปรู้ล่ะ บางทีปืนมันก็ด้าน จะตายยังไงมันไม่สำคัญเท่าสิ่งที่ผมทำก่อนมันจะเกิดขึ้นหรอก แต่การไม่รู้อะไรเลยแม่งก็ทำผมกลัวอยู่ดี เราตายได้แค่ครั้งเดียวนี่

บางทีเพ็คอาจเป็นคนทำให้ผมตายก็ได้

ผมเดินกลับไปหาสามคนนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะดึงหลังคอเสื้อเพ็คให้เขาลุกขึ้นและกระแทกเขาใส่กำแพงอิฐ เลือดไหลออกมาจากแผลที่ปริบนหน้าผากของเขา ไม่อยากเชื่อเลยว่าหมอนี่จะทำผมโมโหจนสติหลุดได้แบบนี้ เขาไม่น่าปากมากพล่ามกับคนอื่นว่าทำไมเอมี่ถึงไม่ต้องการผมอีกแล้ว ถ้าเรื่องมันไม่มาถึงหูผม มือผมคงไม่กำรอบคอเขาอยู่แบบนี้เพื่อทำให้เขากลัวยิ่งกว่าที่ผมรู้สึกอยู่หรอก

“แกไม่ได้ ‘ชนะ’ ฉัน เข้าใจไหม เอมี่ไม่ได้เลิกกับฉันเพราะแก เพราะงั้นเลิกคิดแบบนั้นได้แล้ว ตอนนั้นเธอรักฉันแล้วเรื่องมันก็ซับซ้อน แต่เดี๋ยวเธอก็กลับมาคบกับฉันอยู่ดี” ผมรู้ว่าผมคิดถูก มัลคอล์มกับทาโกก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ผมเอนตัวเข้าหาเพ็ค จ้องลึกเข้าไปในตาข้างที่ยังดีอยู่ของเขา “อย่าให้ฉันได้เห็นหน้าแกอีกไปตลอดชีวิตนะ” เออๆ มีชีวิตเหลืออยู่ไม่มากหรอก แต่หมอนี่แม่งประสาทและอาจทำอะไรแผลงๆ ก็ได้ “เข้าใจไหม”

เพ็คพยักหน้า

ผมปล่อยมือจากคอของเขาแล้วล้วงเอามือถือจากกระเป๋ากางเกงของเขาออกมา ก่อนจะเหวี่ยงมันใส่กำแพง หน้าจอพังยับ มัลคอล์มกระทืบซ้ำจนเครื่องเละ

“ไสหัวไป”

มัลคอล์มจับบ่าผม “อย่าปล่อยมันไปเลย มันมีพรรคพวกอยู่นะ”

เพ็คไถตัวไปตามกำแพง ท่าทางหวั่นๆ เหมือนเขากำลังไต่ผ่านหน้าต่างบนตึกสูงในเมือง

ผมสะบัดมือมัลคอล์มออกจากบ่า “ฉันบอกว่าไสหัวไป

เพ็คพุ่งหนีไป เขาวิ่งซิกแซ็กน่ามึนหัว และไม่หันกลับมามองแม้แต่ครั้งเดียวว่าพวกเราตามไปรึเปล่าหรือหยุดเพื่อเก็บหนังสือการ์ตูนกับเป้ของตัวเองก่อน

“ไหนนายบอกว่าเขามีเพื่อนอยู่ในแก๊งไง” มัลคอล์มว่า “ถ้าพวกนั้นมาจัดการนายล่ะ”

“พวกนั้นไม่ใช่แก๊งจริงๆ หรอก แถมหมอนี่ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าแก๊งด้วย ฉันไม่มีเหตุผลต้องกลัวแก๊งที่รับเพ็คเข้าอยู่แล้ว เขาโทรหาพวกนั้นหรือเอมี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ เราจัดการแล้วนี่” ผมไม่อยากให้เขาติดต่อเอมี่ได้ก่อนผม ผมต้องอธิบายตัวเองกับเธอก่อน ไม่รู้สิ เธออาจไม่อยากเจอผมอีกถ้าเธอรู้ว่าผมทำอะไรลงไป ไม่ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของผมหรือไม่ก็ตาม

“เดธแคสต์ก็โทรหาเขาไม่ได้แล้วเหมือนกัน” ทาโกพูด คอกระตุกสองที

“ฉันไม่ได้จะฆ่าเขาสักหน่อย”

มัลคอล์มกับทาโกเงียบไป พวกเขาเห็นว่าผมซัดเพ็คหนักขนาดไหน เหมือนผมไม่มีปุ่มปิดเลย

ตัวผมสั่นไม่หยุด

ผมอาจฆ่าเขาก็ได้ ต่อให้ไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ ผมไม่รู้ว่าจะทนอยู่กับตัวเองได้ไหมถ้าผมเผลอฆ่าเขาจริงๆ เหอะ โกหกชัดๆ และผมรู้ดี ผมแค่พยายามทำเป็นเข้มแข็ง แต่ผมไม่ได้เข้มแข็งเลย ผมแทบทนอยู่กับตัวเองไม่ได้ที่ตัวเองรอดจากสิ่งที่เอาชีวิตครอบครัวของผมไป…มันไม่ใช่ความผิดของผมด้วยซ้ำ เพราะงั้นไม่มีทางแน่ที่ผมจะสบายใจถ้าไปซ้อมใครเข้าจนตาย

ผมเดินกระแทกเท้าไปที่จักรยานของพวกเรา แฮนด์จักรยานของผมเกี่ยวอยู่กับล้อจักรยานของทาโกตอนที่เราไล่ตามเพ็คมาถึงที่นี่แล้วกระโดดลงจากจักรยานไปเล่นงานเขา “พวกนายจะตามฉันมาไม่ได้” ผมพูดแล้วตั้งจักรยานขึ้น “เข้าใจใช่ไหม”

“ไม่ล่ะ เราจะอยู่กับนาย แค่…”

“ไม่ได้” ผมขัด “ฉันคือระเบิดเวลา และถึงพวกนายจะไม่โดนบึ้มไปด้วยตอนฉันระเบิด พวกนายก็อาจโดนไฟไหม้…อาจเป็นตามนั้นจริงๆ เลยก็ได้นะ”

“นายจะเฉดหัวเราทิ้งไม่ได้” มัลคอล์มพูด “นายไปไหน เราไปด้วย”

ทาโกพยักหน้า แต่หัวเขากระตุกไปทางขวาเหมือนร่างกายของเขาทรยศสัญชาตญาณในการตามติดผมไปทุกที่ เขาพยักหน้าอีกรอบ คราวนี้ไม่กระตุกแล้ว

“พวกนายนี่มันเงาตามตัวชัดๆ” ผมบอก

“เพราะเราเป็นคนผิวสีเหรอ” มัลคอล์มถาม

“เพราะพวกนายเอาแต่ตามฉันตลอดต่างหาก” ผมพูด “ซื่อสัตย์จนวันตาย”

วันตาย

คำนั้นทำพวกเขาเงียบกริบ พวกเราขึ้นจักรยานแล้วขี่ออกไปบนขอบทางเท้า ล้อกระแทกบนถนนขรุขระ นี่ไม่ใช่วันที่ผมควรลืมเอาหมวกกันน็อกมาด้วย

ทาโกกับมัลคอล์มจะอยู่กับผมทั้งวันไม่ได้ ผมรู้ แต่เราคือชาวพลูโต พี่น้องจากบ้านอุปถัมภ์หลังเดียวกัน และเราไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

“กลับบ้านกันเถอะ” ผมพูด

เราปั่นจักรยานออกไป

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: