บทที่ 20
หลังจากเรื่องจ่างซุนเสียนถูกโจวกั๋วฟูเหรินดุด่าสั่งสอนแพร่กระจายไป ชุมนุมกวีเอ่อร์หรงก็ติดร่างแหไปด้วย พวกจ่างซุนเสียนซึ่งเป็นคนสำคัญล้วนเก็บตัวอยู่กับเรือนไม่ย่างเท้าออกนอกประตู ส่งผลให้ผู้มาร่วมพบปะสังสรรค์ทุกครึ่งเดือนแต่เดิมลดน้อยลง ซ้ำร้ายลำนำเพลงดอกหญ้าตีค่าคนที่ชาวเมืองหลวงร้องกันติดปากยังป้ายรอยมลทินให้แก่มันอีก ด้วยเหตุนี้เหล่าคุณหนูฮูหยินรุ่นเยาว์ที่ในกาลก่อนเคยภาคภูมิใจกับการได้ชื่อว่าเป็นคนของชุมนุมกวีแห่งนี้ก็พากันหนีหน้าตีจากไปอย่างปราศจากสุ้มเสียงทีละน้อยทีละนิด ท้ายที่สุดงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชุมนุมกวีก็เริ่มหายไปอย่างเงียบๆ จะบอกว่าเหลืออยู่แต่ชื่อก็ไม่เป็นการกล่าวเกินไป
ทว่ากลุ่มสตรีในเมืองหลวงมิได้มีแค่ชุมนุมกวีเอ่อร์หรง ในขณะที่ทางฝั่งนี้เลิกราไปอย่างเงียบเหงาวังเวง อีกด้านหนึ่งงานชุมนุมพบปะของบรรดาฮูหยินรุ่นอาวุโสยังดำเนินต่อไปดังเก่า มีคนไม่น้อยสังเกตเห็นว่าพักนี้คุณหนูสามสกุลจ่างซุนที่เดิมทีปรากฏกายน้อยครั้งนักไปร่วมงานเลี้ยงต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง เพราะนางไม่วางท่าเย่อหยิ่งผิดแผกจากพี่สาวคนโต จึงได้รับการต้อนรับเข้าสู่กลุ่มต่างๆ ในเวลาอันสั้น
วันนี้สตรีซึ่งออกเรือนแล้วอยู่ว่างๆ ไม่มีการงานใดกลุ่มหนึ่งนัดหมายกันไปจุดธูปไหว้พระที่อารามเฉิงอวิ๋น จ่างซุนซีก็เป็นหนึ่งในผู้ได้รับคำเชิญ อารามแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมือง ศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องขอบุตรและเนื้อคู่มากพอดู จึงเป็นที่ชื่นชอบของทั้งหญิงสาวและสตรีที่มีเหย้ามีเรือนแล้ว
เมื่อจุดธูปไหว้พระและอ่านคำทำนายใบเซียมซีแล้ว สตรีกลุ่มหนึ่งก็ยกขบวนกันไปนั่งเล่นในสวนดอกไม้ของลานด้านหลังที่ปัดกวาดไว้ล่วงหน้า พวกนางสนทนากันไปเรื่อยๆ ก็พูดถึง ‘บันทึกลำดับวงศ์สกุล’ ซึ่งแก้ไขเรียบเรียงเสร็จไปแล้วเมื่อช่วงก่อน
“แต่ไรมาพวกห้าสกุลนั่นยกตนว่าสูงส่งเสียเต็มประดา แต่งบุตรสาวคนหนึ่งแทบจะเอาทรัพย์สมบัติของเรือนอื่นครึ่งหนึ่งไปเป็นสินสอดทองหมั้น เผอิญยังมีคนแห่กันประเคนไปให้ ครานี้ถูกลดลำดับเป็นชั้นสามัญ ดูทีว่าห้าสกุลนี้คงชูคออวดหยิ่งอย่างแต่ก่อนไม่ได้อีกแล้ว”
ถ้อยคำนี้กล่าวจบก็เรียกเสียงหัวเราะดังขรม ว่าไม่ได้ที่พวกนางจะสาแก่ใจในคราวเคราะห์ผู้อื่น ชาวสกุลทั้งห้านี้ถือตนเป็นผู้สูงศักดิ์เพราะลำดับวงศ์สกุลสูงกว่าคนอื่นขั้นหนึ่ง มักไม่ให้เกียรติตระกูลอื่น อีกทั้งอาศัยการแต่งงานกอบโกยทรัพย์สินอย่างไร้ขอบเขต ทำให้คนที่อยากผูกดองกับห้าสกุลนี้ต้องชะงักเท้ามองอยู่ห่างๆ บัดนี้โดนลดขั้นต่ำต้อยลงไปแบบนี้ เรียกได้ว่าดึงเสี้ยนตำใจของผู้อิจฉาตาร้อนออกชิ้นหนึ่ง
จ่างซุนซีคลี่ยิ้มดื่มชาคำหนึ่ง นางไม่สอดปากขึ้น นั่งมองพวกนางคุยกันต่อไป
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ตระกูลที่ตบแต่งสตรีห้าสกุลไปก่อนหน้าพวกนั้น คนที่ไม่ได้วางสินสอดทองหมั้นยังพอทำเนา แต่ถ้าทุ่มสินสอดไปก้อนใหญ่ กลับได้ภรรยาชั้นสามัญมาคนหนึ่ง เฮ้อ…นี่มิใช่ขาดทุนย่อยยับหรอกหรือ”
“เอ๊ะ? งานเสกสมรสของเว่ยอ๋องกำหนดไว้ต้นเดือนหน้ามิใช่หรือ สตรีคนที่พระองค์จะทรงแต่งเป็นชายา ไม่ใช่คุณหนูสกุลหลูหรอกหรือ”
“ข้าว่านะ เว่ยอ๋องทรงเคราะห์ร้ายน่าดู จากชั้นเอกอยู่ดีๆ กลายเป็นชั้นสามัญก็แล้วกันไปเถอะ ข้ายังได้ยินว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณหนูหลูผู้นี้กับใต้เท้าตู้ไม่ใคร่ธรรมดานะ”
“ใต้เท้าตู้…ใต้เท้าตู้คนใด”
พอเห็นคนอื่นๆ ทำสีหน้าสนใจใคร่รู้ จ่างซุนซีเพียงยิ้มไม่กล่าวคำใด พลันได้ยินอีกคนเล่าแจ้งแถลงไข “ก็คุณชายตู้ที่สืบทอดบรรดาศักดิ์ไหลกั๋วกงท่านนั้นอย่างไรเล่า พวกท่านไม่รู้หรอกรึ ว่ากันว่าภาพวาดที่ใต้เท้าตู้จะนำมามอบให้คุณหนูหลูในตอนนั้นตกอยู่ในมือหอขุยซิง พักก่อนเขาเพิ่งซื้อคืนไปในราคาสูงลิบลิ่ว บนภาพนั้นมีบทกลอนที่คุณหนูหลูแต่งไว้ แล้วในคำกลอนก็แฝงไว้ทั้งความคิดถึงทั้งความโศกเศร้า คิกๆ นี่หมายความว่าอะไรยังจำเป็นต้องเดาอีกหรือ”
สุ้มเสียงตกตะลึงดังระงมทั้งสี่ทิศฉับพลัน มีคนเบิ่งตาโตกล่าวขึ้น “นี่เป็นเรื่องจริงหรือ แล้วเว่ยอ๋องยังจะแต่งเป็นชายา?”
“แรกเริ่มอาจนึกว่าจะได้แต่งงานกับสตรีสกุลหลู แต่สินสอดก็วางไปแล้ว ทั้งเป็นฮ่องเต้พระราชทานสมรส อยากเปลี่ยนใจก็ไม่ได้ น่าเสียดายบุรุษผู้เพียบพร้อมเก่งกาจทั้งบุ๋นบู๊เช่นนี้นัก ลงท้ายต้องมาได้คู่ครองพรรค์นี้”
จ่างซุนซีได้ยินเหล่าสตรีรำพึงรำพันทอดถอนใจถึงเอ่ยปากขึ้นในตอนนี้อย่างรู้จังหวะ “จะกล่าวแบบนี้ไม่ได้เจ้าค่ะ มาตรว่าคุณหนูหลูถือกำเนิดในชนบท แต่ในเมื่อไหวกั๋วกงรับเข้าตระกูลก็คือลูกหลานของขุนนางผู้มีความชอบ นางยังเชี่ยวชาญในเชิงกลอนและอักษร เคยคว้าป้ายไม้สลักในการประชันศาสตร์ห้าสำนัก ตอนปักปิ่นก็มีฟูเหรินทั้งสามมาร่วมปักปิ่นเป็นที่เชิดหน้าชูตาปานนั้น ถือเป็นสตรีมากความสามารถหาตัวจับยากคนหนึ่ง สำหรับเรื่องนางกับใต้เท้าตู้น่าจะเล่าลือกันผิดๆ มากกว่าเจ้าค่ะ”
น้อยคนนักจะไม่ล่วงรู้บุญคุณความแค้นระหว่างสกุลจ่างซุนกับสกุลหลูของไหวกั๋วกง ครั้นได้ยินจ่างซุนซีกลับเป็นฝ่ายออกปากปกป้องด้วยน้ำใสใจจริงเช่นนี้ก็ยิ่งนับถือนางเพิ่มขึ้นหลายส่วน และเริ่มมีอคติต่อคุณหนูหลูซึ่งมิเคยพบหน้าค่าตาโดยไม่รู้ตัว
เพลานี้เองก็มีคนเปล่งเสียงกล่าวขันๆ ขึ้น “ไม่สำคัญว่าจริงหรือเท็จ งานเลี้ยงพิธีเสกสมรสที่วังเว่ยอ๋องตอนต้นเดือน พวกเราต้องไปแน่นอน เมื่อนั้นก็ลองดูกันว่าสตรีสกุลหลูนี้จะวางท่าใหญ่โตเพียงไหน ดังคำกล่าวว่าอูฐผอมแห้งก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า* เห็นทีว่าคงไม่น้อยหน้าไปกว่าเชื้อพระวงศ์สักเท่าใด”
สิ้นเสียงกล่าวพลันมีคนแค่นหัวร่อออกมา เป็นคนที่ขยายความว่า ‘ใต้เท้าตู้’ เป็นใครนั่นเอง เมื่อเห็นทุกคนมองตนอย่างงุนงง นางจึงยกมือข้างหนึ่งป้องปากกล่าวว่า “กลัวแต่ถึงเวลาพวกท่านไปแล้วต้องผิดหวังน่ะสิ คุณหนูหลูผู้นี้เดิมทีก็มิใช่สตรีสายเลือดสกุลหลูที่แท้จริง สกุลหลูในฉางอันวันนี้มิสู้วันวาน ข้าจะบอกพวกท่านโดยไม่ปิดบัง โรงเครื่องไม้แห่งหนึ่งในตงตูฮุ่ยนี้เป็นของสกุลอาหญิงข้าเอง ได้ยินว่าเมื่อไม่นานมานี้ครอบครัวคุณหนูหลูผู้นั้นสั่งจองเครื่องเรือนสองชุดกับที่นั่นจะใช้เป็นสินเจ้าสาว”
ทุกคนตื่นตะลึงไปตามๆ กัน ทันใดนั้นมีคนสูดหายใจเฮือกแล้วกล่าวเสียงหลง “ไม่จริงกระมัง อัตคัดขัดสนถึงเพียงนี้”
เสียงนี้บอกความคิดในใจของทุกคนออกมาดังๆ เพราะว่าขอแค่เป็นตระกูลใหญ่มียศถาบรรดาศักดิ์ ล้วนใช้ไม้ชั้นดีทำเครื่องเรือนเตรียมให้บุตรสาวที่รอออกเรือนแต่เนิ่นๆ ทั้งสิ้น ไม่มีใครคาดคิดว่าคุณหนูผู้ใช้แซ่หลูนำหน้าชื่อคนนั้น จะสั่งจองเครื่องเรือนจากภายนอกเป็นสินเจ้าสาว ไม่เรียกว่าอัตคัดขัดสนแล้วจะเรียกว่าอะไรเล่า
สตรีหลายคนเริ่มคุยกันเสียงดังจ้อกแจ้กอย่างออกรสออกชาติ ส่วนใหญ่มีทีท่าเฝ้ารอชมละครฉากสนุกๆ จ่างซุนซีฟังอยู่ด้านข้าง รอยยิ้มบนหน้าลบเลือนไป นางพลันรู้สึกตั้งตารอคอยพิธีเสกสมรสต้นเดือนหน้าอยู่สักหน่อย
ความเคลื่อนไหวในเมืองหลวงเป็นเช่นไรก็สุดรู้ เมื่อทางสวนผูเจินได้รับข่าวคราวที่หานลี่ส่งคนมาบอกจากเมืองฉางอันว่าพบตัวหานสืออวี้แล้ว สองพ่อลูกมีธุระต้องพำนักในเมืองหลวงสองวันค่อยกลับไป หลูซื่อก็คลายใจลงได้
วันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนสาม นางตื่นแต่เช้าตรู่ ด้วยเมื่อคืนมีม้าเร็วมาแจ้งข่าวล่วงหน้าว่าขบวนส่งสินเจ้าสาวจากหยางโจวมาถึงซีกวนแล้ว เช้าวันนี้จะมาถึงที่หมายเป็นอย่างช้า
อี๋อวี้ตื่นเช้าเช่นกัน นางไปที่ห้องหนังสือเอากระดาษหนังลูกวัวห่อคัมภีร์คุณธรรมที่ตนคัดลอกไว้ก่อนหน้านี้อย่างดี และส่งอวี๋ทงนำไปมอบให้หลี่ไท่ที่วังเว่ยอ๋อง แล้วจึงกินอาหารเช้ากับมารดา ก่อนจะกลับห้องไปบรรจงแต่งกายอย่างเรียบร้อย จากนั้นถือตำราหมากล้อมไปนั่งรอคนกับหลูซื่อในโถงหน้า
เมื่อดวงตะวันเคลื่อนลอยสูงขึ้นอย่างเนิบนาบ แสงแดดที่ส่องลอดผ่านประตูห้องโถงทอดเงายาวบนพื้นก็หดสั้นลง พรมปูพื้น ประตู และผนังล้วนปัดกวาดอย่างสะอาดหมดจด แจกันดอกไม้หลายใบก็ผ่านการขัดถูจนเป็นประกาย แม้แต่เจ้าชะมดที่เล่นซุกซนหัวหกก้นขวิดตัวนั้นก็ถูกพวกสาวใช้จับตัวไปอาบน้ำรอบหนึ่ง ลำตัวปกคลุมด้วยขนสีดำมันขลับนอนขดซุกอยู่ข้างกรอบประตูผึ่งแดด
หลูซื่อวางเข็มกับด้ายในมือลงแล้วย่ำเท้าวนไปวนมา สลับกับชะเง้อมองไปด้านนอกเป็นระยะ แต่ไม่เห็นวี่แววใครบนทางเดินยาวๆ หน้าโถงเชื่อมต่อถึงประตูใหญ่สักที
“คุณหนู น้ำแกงต้มเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” เฉินชวีเดินประคองถาดเข้ามาวางลงข้างโต๊ะ ผิงถงเปิดฝาโถกระเบื้องสีขาวออก แบ่งเทใส่ชามส่วนหนึ่ง น้ำแกงสีน้ำตาลอมดำส่งควันขาวลอยกรุ่นๆ นางหยิบช้อนคนครู่หนึ่งถึงเอาผ้าเช็ดหน้ารองก้นชามส่งให้อี๋อวี้
อี๋อวี้วางตำราหมากล้อมลงแล้วมองมารดาที่เดินไปเดินมาตรงหน้า นางกล่าวยิ้มๆ “ท่านแม่ พักเท้าสักครู่ ดื่มน้ำแกงก่อนนะเจ้าคะ”
ตำรับน้ำโสมตังกุยมีอยู่มากมายกลาดเกลื่อน ถึงแม้ขนานนี้มิได้ใช้สมุนไพรล้ำค่าอันใด แต่ผสมผสานตัวยาซับซ้อน เช่น กระดองตะพาบน้ำ โหราเดือยไก่ และโป่งรากสนขาว เป็นต้น มีสรรพคุณรักษาอาการเลือดลมพร่องและอาการสะบัดร้อนสะบัดหนาว แขนขาอ่อนแรง บำรุงปราณ ปรับสมดุลหยาง
หลูซื่อดื่มกับอี๋อวี้ติดต่อกันมาหลายวัน รับรู้ได้ว่าสดชื่นกระปรี้กระเปร่า สีหน้าเปล่งปลั่งขึ้นมาก พอได้ยินบุตรสาวพูดกระเซ้า นางจึงสะกดความร้อนรุ่มใจไว้ รับชามมาแล้วนั่งลงข้างๆ
“นี่จวนเที่ยงตรงแล้ว ไฉนยังไม่มา คงมิใช่ว่าระหว่างทางเกิดเรื่องใดขึ้นเลยเสียเวลานะ”
“ไม่น่าจะใช่เจ้าค่ะ รออีกสักครู่เถอะ” อี๋อวี้กล่าวปลอบหลูซื่อสองคำ นางไม่กังวลใจเท่ามารดา ต่อให้คนจากทางใต้รุดมาถึงไม่ทันเวลา พวกนางก็ไม่เป็นห่วงว่าจะหาสินเจ้าสาวมาไม่ได้ แค่ต่างกันที่มากหรือน้อยเท่านั้นเอง
“มาแล้วๆ!”
หลูซื่อดื่มน้ำแกงได้ครึ่งเดียวก็ได้ยินเสียงตะโกนบอกแต่ไกล พร้อมร่างสองร่างวิ่งมาอย่างเร่งร้อน ยังไม่ทันมาถึงใกล้ๆ ก็ตะเบ็งเสียงพูดขึ้นอีก
“ฮูหยิน คุณหนู พวกเขามาถึงตัวตำบลแล้ว กำลังมุ่งหน้ามาที่คฤหาสน์นี้แล้ว”
หลูซื่อยินดียกใหญ่ แทบจะโยนชามทิ้งลงบนโต๊ะ นางยกชายกระโปรงสาวเท้าเร็วรี่ออกไปข้างนอก พอเดินถึงหน้าประตูก็ฉุกคิดขึ้นได้ หันหลังกลับมาเอ่ยเร่งบุตรสาว “ไปกันๆ ไปต้อนรับท่านป้าของเจ้ากับแม่”
อี๋อวี้ขานรับขันๆ ก่อนก้าวเข้าไปคล้องแขนกับมารดา สองแม่ลูกก็ออกเดินไปทางหน้าประตูด้วยกัน
ประตูใหญ่เปิดอ้ากว้าง ตรงบันไดด้านหน้าวางแผ่นไม้พาดไว้ให้รถม้าแล่นผ่านได้สะดวก บ่าวชายในเรือนที่ชำระกายผลัดชุดอย่างสะอาดสะอ้านหลายคนได้รับคำสั่งกำชับจากผู้ดูแลแต่แรก ม้วนแขนเสื้อขึ้นยืนอยู่นอกประตูเตรียมรอแบกของในอีกประเดี๋ยวข้างหน้า
หลูซื่อยังให้เสี่ยวหม่านไปดูทางเรือนหลังอย่างไม่วางใจว่าเรือนพำนักที่ตระเตรียมไว้แล้วดูแลความเรียบร้อยหรือยัง แล้วค่อยไปเร่งทางเรือนครัวให้รีบทำอาหาร เพื่ออีกสักครู่จะได้จัดโต๊ะเลี้ยงต้อนรับพี่สาวของนาง
ผ่านไปหนึ่งถ้วยชา เห็นรถม้าปรากฏขึ้นอยู่รำไรทางนอกไร่ซานจาหน้าคฤหาสน์ไม่ขาดสาย เสียงกงล้อหมุนบดผ่านพื้นครืดคราดดังใกล้เข้ามาทุกที ตั้งแต่รถม้าคันแรกสะท้อนเข้าคลองจักษุของอี๋อวี้ แขนของนางก็ถูกหลูซื่อกอดไว้แน่น จวบจนขบวนรถม้ายาวเหยียดไม่เห็นหัวเห็นท้ายทอดตัวตามทางคดเคี้ยวเคลื่อนตัวขึ้นเนินเขาหน้าคฤหาสน์ ถึงมองเห็นหีบใบเขื่องวางตั้งซ้อนๆ กันบนแคร่บรรทุกของรถม้าคันแล้วคันเล่าได้ชัดถนัดตา บางส่วนยังคลุมด้วยผ้ากันฝน อี๋อวี้คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็นขบวนใหญ่โตปานนี้ นางได้ยินพวกคนรับใช้ข้างหลังเริ่มคุยกระซิบกระซาบกัน
รถม้านำหน้าขบวนสองสามคันหยุดจอดหน้าคฤหาสน์ หลูซื่อจูงมืออี๋อวี้สืบเท้าขึ้นหน้าหลายก้าว กำลังมองหาว่าหลูจิ่งซานนั่งอยู่บนรถม้าคันไหน เห็นม่านประตูรถม้าคันหนึ่งแหวกออก มีสตรีออกเรือนแล้วสวมเสื้อเขียวกระโปรงเหลืองนางหนึ่งกระโดดลงมา ก้าวเท้าปราดๆ ตรงมาหาพวกนาง
“หลันเหนียง”
“พี่จิ่งซาน”
อี๋อวี้ปล่อยแขนมารดา มองดูสองพี่น้องซึ่งแสดงความดีอกดีใจล้นเหลือที่ได้กลับมาพบกันแล้วรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก นางตวัดหางตาไปเห็นบุรุษวัยกลางคนในชุดเขียวสวมเสื้อคลุมขาวทับชั้นนอกกระโดดลงจากรถม้าคันเดียวกัน วัยราวสี่สิบเศษลักษณะท่าทางฉลาดหลักแหลมพอดู เขาไว้หนวดเรียวสองเส้นเหนือริมฝีปาก เรือนกายสันทัด รูปร่างออกท้วม ใบหน้าแฝงรอยเหนื่อยล้าจากการเร่งเดินทางตลอดราตรี นางคาดเดาในใจว่านี่คือฟางหัง ท่านลุงเขยที่ไม่พบกันมาก่อน
ครั้นเห็นทั้งสองกุมมือกันพูดจาไปไม่กี่คำก็ตั้งท่าจะร้องไห้ นางถึงก้าวเข้าไปขัดจังหวะ
“อวี้เอ๋อร์คารวะท่านป้าเจ้าค่ะ”
“ดีจริง เจริญวัยเป็นสาวขนาดนี้แล้วหรือนี่” หลูจิ่งซานผละจากหลูซื่อ รีบประคองอี๋อวี้ที่ยอบกายคำนับตนให้ลุกขึ้น จับไม้จับมือนางมองสำรวจขึ้นๆ ลงๆ รอบหนึ่งก่อนดึงตัวมากอดกับอกแน่นๆ แล้วตบไหล่นางเบาๆ กล่าวน้ำตาคลอ “เด็กดี ท่านป้าได้ยินได้ฟังเรื่องราวในครอบครัวเราหมดแล้ว สองปีนี้ปล่อยให้เจ้าต้องลำบากแล้ว”
อี๋อวี้นึกเพียงว่าอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องที่หลูจื้อถูกให้ร้าย ไม่รู้ว่าหลูจิ่งซานจะหมายถึงหลังจากเกิดเรื่องขึ้น หลูหรงหย่วนกับหลูหรงเหอสองพี่น้อง ‘ขับไล่’ นางออกจากตระกูล หญิงสาวจึงวาดมือโอบอีกฝ่ายพลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ นี่ข้าก็ยังอยู่ดีมิใช่หรือ”
“เกิดเรื่องใหญ่ปานนั้น เจ้าคนเดียว…”
“จิ่งซาน…” ฟางหังเปล่งเสียงตัดบทภรรยาอย่างถูกจังหวะ เขายกมือหันนิ้วชี้เข้าหาตนเองพร้อมกับขยิบตาเป็นเชิงบอกว่าอย่าลืมว่าเขามาด้วย
อี๋อวี้เหลียวไปเห็นก็รู้สึกว่าท่านลุงเขยที่หันเหไปทำการค้าผู้นี้เป็นคนชวนหัว ความเศร้าหมองที่บังเกิดขึ้นเมื่อครู่ก็หายวับไป
“ดูข้าสิ มาๆ อวี้เอ๋อร์ นี่คือท่านลุงเขยของเจ้า” หลูจิ่งซานโอบไหล่อี๋อวี้หันกายไป ดวงตาแดงเรื่อถลึงมองสามียิ้มๆ พลางเอ่ย “นี่หลานสาวข้าเอง ในตระกูลมีนางผู้เดียวเป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ท่านอย่าใจแคบหน่อยเลย”
หากให้คนนอกได้ยินเข้า ต้องบอกว่านางพูดผิดเป็นแน่ ถ้าไม่นับหลูซูฉิง ก็ยังมีเด็กน้อยหลูเจ๋อบุตรชายของนายท่านรองอีกคน แต่เห็นชัดว่าฟางหังรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของสกุลหลูดี เขามีสีหน้าเป็นปกติขณะล้วงแขนเสื้อแล้วดึงมือที่ว่างเปล่าออกมาตบหน้าผาก พลางกล่าว
“แย่แล้ว สงสัยข้าจะลืมทิ้งไว้ในโรงเตี๊ยม”
แม้นไม่พบกันหลายปี แต่หลูซื่อรู้จักฟางหังดี นางเอ่ยกับหลูจิ่งซานทันที “ระหว่างพวกเรายังต้องเกรงใจอะไรกันอีก พวกท่านลงเรือนั่งรถม้ามาเหนื่อยๆ รีบเข้าไปพักด้านในเถอะ”
หลูจิ่งซานกลับไม่คล้อยตาม นางพูดดุใส่ฟางหังพร้อมรอยยิ้ม “ท่านจะโกหกใครกัน ยังไม่รีบหยิบออกมา หรืออยากลิ้มรสหมัดกับเท้าข้า”
อี๋อวี้มองคนคู่นี้พูดจาเล่นหัวกันตามสบาย ผิดแผกจากสามีภรรยาตามกรอบประเพณีคู่อื่น พาให้รู้สึกใกล้ชิดเป็นกันเอง
ฟางหังหัวเราะชอบใจ สอดมือเข้าอกเสื้อหยิบกล่องเล็กๆ เลี่ยมทองใบหนึ่งส่งให้นาง
“ขอบคุณท่านลุงเขยเจ้าค่ะ” อี๋อวี้เรียกขานทักทายเขาอย่างเปิดเผย ก่อนจะเปิดกล่องออกดู เห็นไข่มุกสีดำขลับขนาดใหญ่เท่าผลหลี่เม็ดหนึ่งนอนสงบนิ่งอยู่ในนั้น เมื่อเห็นของล้ำค่าปานนี้ นางไม่รู้ว่าสมควรรับไว้หรือปฏิเสธดี
“รับไว้เถอะ” ฟางหังเห็นหลานสาวลังเลใจจึงพูดขึ้นขันๆ “ท่านป้าของเจ้าเป็นพวกไม่รู้จักของดี ไม่สวมใส่ไข่มุก มิสู้เอาให้เจ้าเล่นยังดีกว่า”
หลูจิ่งซานจุปากอย่างไม่พึงใจใส่สามีก่อนกล่าว “คนมัวเมาในทรัพย์เช่นท่านต่างหากเป็นพวกตื้นเขินอย่างแท้จริง”
“รับไว้เถอะ” หลูซื่อเอ่ยขึ้น
สตรีวัยนี้น้อยคนนักจะไม่ชมชอบเพชรนิลจินดา เห็นมารดาออกปากแล้ว อี๋อวี้ไม่กระมิดกระเมี้ยนอีก รับของไว้อย่างปีติยินดี เวลานี้เองนางสังเกตเห็นว่ามีคนอีกกลุ่มหนึ่งลงจากรถม้ามา
“คารวะฮูหยิน คารวะคุณหนู”
อี๋อวี้ยังจำได้ว่าบุรุษอายุราวสี่สิบผู้นี้นามว่าหลูตง เป็นผู้ดูแลทรัพย์สินที่หยางโจวของนายท่านผู้เฒ่าหลู ต่อมาตอนแยกเรือน สมบัติก้อนนี้ถูกยกให้นางเป็นสินเจ้าสาวตามคำสั่งเสีย หลูตงจึงกลายเป็นคนของนาง
“หลูตง” หลูจิ่งซานสั่งการ “พวกเจ้าเฝ้าอยู่ตรงนี้ ประเดี๋ยวขนของลงเสร็จ ตรวจนับให้ถี่ถ้วนแล้วเอารายชื่อมอบให้คุณหนูของพวกเจ้า”
อี๋อวี้เห็นผู้ดูแลคนนี้ไม่ส่งเสียงตอบกลับหันหน้ามามองตนนิ่งๆ นางเลยพยักหน้ากับเขาโดยไม่ทันหยุดคิด เขาถึงโค้งกายขานรับว่า “ขอรับ” จากนั้นเรียกพวกบ่าวผู้ชายในสวนผูเจินไปช่วยงานทางด้านหลัง
หลูซื่อกำลังจะพาพวกเขาเดินเข้าข้างใน ได้ยินหลูจิ่งซานโพล่งบอกเรื่องหนึ่งซึ่งสร้างความตื่นตะลึงให้
“หลันเหนียง พวกข้าโยกย้ายมาจากหยางโจวแล้วจะขออาศัยอยู่กับเจ้าที่นี่ชั่วคราว เจ้าอย่าได้รังเกียจรังงอนนะ”
“อะไรนะ” หลูซื่อลิ้นพันกัน “ละ…แล้วท่านแม่ล่ะ”
“พวกเราเข้าเรือนแล้วค่อยคุยกัน”
หลูจิ่งซานสอดมือคล้องแขนหลูซื่อกับอี๋อวี้ถือวิสาสะเดินเข้าสู่คฤหาสน์อย่างสนิทสนม อี๋อวี้เอี้ยวคอมองฟางหัง เห็นเขาสนทนาอยู่กับสตรีสองคนที่สาวใช้ประคองลงจากรถม้าข้างหลัง ดูเครื่องแต่งกายแบบสตรีออกเรือนแล้วบนตัวพวกนาง ก็คาดเดาได้รางๆ ว่าเป็นอนุสองคนของฟางหัง
หลูซื่อเคยบอกนางมานานแล้วว่าหลูจิ่งซานไร้บุตรธิดา ทั้งรักใคร่กลมเกลียวกับสามี นางเป็นฝ่ายช่วยรับอนุให้แก่ฟางหังเอง หมายใจว่าจะมีทายาทสืบสกุลให้สกุลฟาง ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด ผ่านมาหลายปีก็ไม่อาจให้กำเนิดบุตรสักคน เสาะหาหมอมามากมาย ล้วนบอกสาเหตุไม่ได้
อนุสองคนนี้แต่งกายสุภาพเรียบร้อย เพียงแต่อ่อนเยาว์กว่าหลูจิ่งซานมาก ทั้งคู่ล้วนมีอายุยี่สิบเศษ รูปโฉมไม่สามัญ ท่วงทีกิริยาอ่อนหวานนิ่มนวลเฉกสตรีแดนเจียงหนาน ยามฟางหังพูดกับพวกนาง ใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนโยนมาก อี๋อวี้เห็นแล้วลอบตะขิดตะขวงใจอยู่สักหน่อย นางเดินถึงโถงหน้าแล้วยังคิดอย่างใจลอยว่า หากเรื่องนี้เปลี่ยนเป็นนางกับหลี่ไท่ นางจะช่วยรับอนุให้เขาอย่างใจกว้างปานนี้หรือไม่
คำตอบคือไม่อย่างแน่นอน จริงๆ แล้วคนอย่างนางเห็นแก่ตัวเป็นอันมาก
หลูซื่อจัดโต๊ะสุราเลี้ยงต้อนรับพี่สาว หลังพูดคุยกันยืดยาวบนโต๊ะอาหาร จึงได้ความว่าที่แท้หลูจิ่งซานกับสามีย้ายมาจากหยางโจวเป็นความคิดของฮูหยินผู้เฒ่าหลู นางบอกว่าพออี๋อวี้ออกเรือนไป หลูซื่อก็เหลือตัวคนเดียว มิสู้ให้พวกนางสองพี่น้องอยู่เป็นเพื่อนกันก็ดี
ฟางหังเป็นบุตรชายโทนของตระกูล แต่เดิมบิดาเขาเป็นขุนนางในราชสำนัก สืบเชื้อสายจากผู้สูงศักดิ์ในกวนจง เมื่อครั้งหลูจงจื๋อนำพาคนในครอบครัวไปเจียงหนานระดมไพร่พลให้หลี่ซื่อหมิน บิดาเขาสั่งให้เขาติดตามไปด้วย หลังเหตุการณ์ก่อกบฏประตูเสวียนอู่ สกุลฟางถูกสงสัยว่าพัวพันใกล้ชิดกับอันอ๋อง เป็นเหตุให้ถูกบีบคั้นบังคับต่างๆ นานา หลังฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ บิดาเขาล้มป่วยจากไป ฟางหังก็ไม่กลับเมืองหลวงอีก เขาลงหลักปักฐานในหยางโจวกับสกุลหลู กลายเป็นพ่อค้าที่มาจากชนชั้นสูงอย่างผิดยุคสมัย นับได้ว่าเป็นผู้มีความคิดของตนเองอย่างมาก
หลูจิ่งซานนั้นเดิมก็ตั้งใจจะพาฮูหยินผู้เฒ่าหลูมาพร้อมกันทว่าได้รับคำปฏิเสธ ด้วยระยะทางแสนห่างไกล คนชราทนการเดินทางตรากตรำไม่ไหว อีกทั้งทางหยางโจวก็มีคนเก่าแก่ที่ติดตามสกุลหลูมาสิบกว่าปีคอยดูแลรับใช้ นางจึงไม่ฝืนใจมารดา
สำหรับหลูหรงหย่วนกับหลูหรงเหอสองพี่น้อง ฮูหยินผู้เฒ่าหลูไม่เอ่ยถึงแม้สักคำ ถึงขั้นที่ไม่แม้แต่จะฝากถามสารทุกข์สุกดิบ ตามคำกล่าวของหลูจิ่งซานคือฮูหยินผู้เฒ่าหลูโกรธเคืองบุตรชายสองคนที่ไม่ดูแลหลูซื่อกับลูกให้ดี จึงไม่อยากสนใจไยดีพวกเขา
เปรียบกับท่าทางเป็นเดือดเป็นแค้นแทนของพี่สาว หลูซื่อสงบนิ่งกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด นางไม่ตำหนิโทษพี่ชายทั้งสอง ถึงอย่างไรถ้าจะบอกว่าใครติดค้างใคร เรื่องที่พวกเขาตามหาพวกนางแม่ลูกสิบกว่าปีอย่างลำบากลำบน ก็เป็นหนี้บุญคุณที่ไม่อาจแยกแยะกันได้ชัดโดยแท้
หลูจิ่งซานกลัวว่าเอ่ยถึงหลูจื้อหลูจวิ้นแล้วจะเสียน้ำตาอีก นางอดกลั้นไม่พูดต่อ เมื่อกินอาหารเสร็จ อี๋อวี้พาผู้อาวุโสสองคนไปพักผ่อนที่เรือนรับรอง ส่วนหลูซื่อเมื่อรู้ว่าพวกเขาจะพำนักที่นี่เป็นเวลานาน ก็ให้คนไปเก็บกวาดเรือนหลังหนึ่งเตรียมที่ทางให้ก่อนแล้ว
ยามบ่ายหลิวเซียงเซียงมาจากเรือนสามี หลูจิ่งซานได้ยินน้องสาวเคยพูดถึงบุตรสาวบุญธรรมคนนี้มาหลายครั้งหลายหน แต่เพิ่งได้เห็นนางตอนอาหารเย็นวันนี้ ทุกคนล้วนมิใช่สตรีขลาดอาย หลังร่วมโต๊ะมื้อหนึ่งก็เริ่มคุ้นเคยกัน พร่ำบอกให้หลิวเซียงเซียงเรียกขานตนว่า ‘ท่านป้า’ ตามอย่างอี๋อวี้ไม่ขาดปาก
เมื่อกินอาหารแล้ว พวกสตรีเปลี่ยนที่ไปนั่งรับลมพูดคุยกันในสวนดอกไม้ ผิงถงพาหลูตงมาพบอี๋อวี้ เขาใช้เวลานานครึ่งค่อนวันกว่าจะตรวจนับสินเจ้าสาวที่ส่งมาจากหยางโจวเสร็จสิ้นแล้วยื่นแผ่นรายชื่อส่งให้ นางถืออ่านในมือรอบหนึ่ง ถึงแม้จะเห็นขบวนรถม้ายาวเฟื้อยไม่เห็นหัวท้ายนั่นก็เตรียมอกเตรียมใจไว้แล้ว ยังอดสะดุ้งโหยงไม่ได้ นางไม่สนใจมารดาที่ส่งสายตาถามและหลูจิ่งซานที่ปิดปากลอบหัวเราะ เบิ่งตาโตเอ่ยถามหลูตง
“นี่ล้วนเป็นท่านปู่ยกให้ข้าหรือ”
หลูตงนิ่งคิดแล้วตอบเสียงนอบน้อม “เรียนคุณหนู เพราะต้องทิ้งกำลังคนส่วนหนึ่งไว้ปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่าที่หยางโจว ร้านค้าไร่นาบางส่วนจึงไม่เหมาะจะขายทอดออกไป เมื่อหักเศษเล็กเศษน้อยออก โดยรวมๆ แล้วก็คือทั้งหมดนี้ขอรับ”
หลูจิ่งซานเห็นท่าทางตกอกตกใจของอี๋อวี้ก็หลุดหัวเราะพรืดอย่างกลั้นไม่อยู่ นางคิดไปถึงถ้อยความถากถางเย้ยหยันในสารที่ได้รับเมื่อพักก่อนพวกนั้นว่าหลานสาวคนนี้ของตนไม่คู่ควรกับเว่ยอ๋องแล้วโมโหโกรธาขึ้นฉับพลัน ตบโต๊ะหินคราหนึ่ง เลิกคิ้วเรียวยาวขึ้นพร้อมพูดเสียงกระด้าง
“สกุลหลูเราเป็นตระกูลเก่าแก่ดั้งเดิม จะแต่งบุตรสาวทั้งที มีหรือที่คนโฉดเขลาในตระกูลสายรองที่รีดนาทาเร้นชาวบ้านพวกนั้นจะทาบเทียบได้ นายท่านผู้เฒ่ามีเจ้าเป็นหลานสาวคนเดียว รายชื่อสินเจ้าสาวแผ่นนี้เริ่มร่างขึ้นตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว คนสามัญธรรมดาจะคาดคิดได้หรือไร ต่อให้ประชันกับองค์หญิงในราชสำนัก ก็ต้องให้พวกนางอับอายขายหน้า!”
ติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.