X
    Categories: ทดลองอ่านนวลหยกงามมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นวลหยกงาม เล่ม 10 บทที่ 7

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 7

“พูด เกิดเรื่องใดขึ้น”

“ทูลท่านอ๋อง…” ผิงถงก้มศีรษะประสานนิ้วมือทั้งสิบไว้ตรงหน้าท้อง นางทิ้งตัวลงคุกเข่าท่ามกลางความแคลงใจของหลี่ไท่ “หม่อมฉันสมควรตาย ไม่ได้ดูแลคุณหนูให้ดี ท่านอ๋องโปรดทรงลงทัณฑ์ด้วยเพคะ”

เขาใจกระตุกวูบ สายตาที่จับจ้องตัวสาวใช้เริ่มเปล่งประกายเหี้ยมเกรียมอย่างสุดระงับ ข่มขวัญนางจนต้องก้มตัวลงต่ำอีกหลายส่วน

“หือ?”

ได้ยินเขาทำเสียงขึ้นจมูกเบาๆ ผิงถงก็บังเกิดความพรั่นพรึงจนหมอบตัวลงกับพื้น นางนึกถึงวิธีการของผู้เป็นนายเก่าคนนี้แล้วเพียงรู้สึกขนอ่อนตรงท้ายทอยตั้งชัน แต่เมื่อภาพอี๋อวี้ลมหายใจรวยรินตอนถูกพาตัวไปในคืนก่อนผุดขึ้นในห้วงสมอง ก็ไม่รู้ว่านางไปเอาความกล้ามาจากที่ใด กล่าวตอบเสียงแข็ง

“หม่อมฉันมิบังอาจปกปิด ยามบ่ายวันที่สิบสามคุณหนูกลับมาจากเมืองหลวง ถือป้ายไม้สลักอย่างดีอกดีใจ พูดคุยและกินอาหารเย็นกับฮูหยิน ตกดึกยังเขียนหนังสืออยู่เป็นนาน แต่พอหัวถึงหมอนก็หลับไป ตอนกลางดึกนางตกใจตื่นจากฝันครั้งหนึ่ง หม่อมฉันยังไม่รับรู้ถึงความผิดปกติ ทว่าเช้าวันถัดมานางก็เริ่มจับไข้พูดเพ้อไม่หยุด เรียกอย่างไรก็ไม่ตอบ ฮูหยินรีบเร่งให้คนไปตามหมอในเมืองมาดูอาการแล้วต้มยาสมุนไพร ไหนเลยจะรู้ว่านางดื่มไปสองเทียบ พอตกบ่ายกลับตัวร้อนมากขึ้นอีก จวบจนหัวค่ำ นางไม่พูดเพ้อแล้ว ตะ..แต่ไข้สูงจนหมดสติ ท่านหมอบอกว่าเพราะคุณหนูตากฝน ประกอบกับธาตุไฟกำเริบ ถ้าไข้ไม่ลด…”

เสียงข้อนิ้วลั่นเปาะๆ ตัดบทเสียงพูดรำพันแกมสะอื้นของผิงถง นางเกร็งคอเงยหน้ามองแวบหนึ่ง เห็นใบหน้าเย็นชาเป็นนิจของหลี่ไท่ปรากฏแววอำมหิตโดยไม่ปิดบังสักนิด มือหนึ่งกำเป็นหมัดแน่นวางราบกับโต๊ะ เกร็งแรงราวกับกำลังข่มความโกรธอยู่ แค่ปราดเดียวนี้ก็ทำให้ความสะพรึงกลัวที่นางสะกดไว้เมื่อครู่นี้ย้อนกลับมาเกาะกุมกะทันหัน

“เกิดเรื่องพรรค์นี้กลับไม่รู้จักมาหาคนในเมืองหลวง พวกเจ้าเป็นคนตายใช่ไหม”

ถ้อยคำนี้ของเขาถามตรงจุดพอดี ผิงถงทำใจดีสู้เสืออ้าปากพูดตะกุกตะกัก พร้อมกับน้ำตาไหลพรากอย่างกลั้นไม่อยู่

“สะ…ส่งคนมาหาแล้วเพคะ บ่ายวันนั้นก็ส่งคนเข้าเมืองหลวงหาท่านอ๋อง ตั้งใจจะเชิญหมอหลวงไปดูอาการ แต่รอจนกลางดึกไม่เห็นคนกลับมา คุณหนูตัวร้อนเหมือนไฟเผา กระทั่งยาต้มก็ต้องงัดปากป้อน…ป้อนลงไปครู่เดียวก็อาเจียน นายท่านหานทนดูไม่ได้ เลยบอกฮูหยินไม่ให้รอคอยพระองค์อีก เอาผ้าห่มห่อตัวคุณหนู เตรียมรถม้าแล้วพานางไป บะ…บอกว่าจะไปหาใครบางคน นะ…นี่ผ่านไปสองวันแล้วมิได้ส่งข่าวกลับมา ไม่รู้ว่าคุณหนูปลอดภัยดีหรือไม่ มะ…หม่อมฉันสมควรตาย หลายวันก่อนก็สังเกตเห็นว่าอารมณ์ของคุณหนูไม่ปกติ ถ้าคืนนั้นดูออกแต่แรกว่านางผิดแปลกไป…”

ตอนท้ายเป็นเสียงพร่ำพรรณนาสะอึกสะอื้นของผิงถง เห็นชัดว่านางตกใจเสียขวัญไปแล้วจริงๆ นางกับผิงฮุ่ยสองพี่น้องเป็นเพราะอี๋อวี้ถึงไม่ต้องเป็นอย่างบริวารในคฤหาสน์ลับที่ลงท้ายต้องเอาชีวิตชดใช้บุญคุณในอดีตของหลี่ไท่ ก่อนพบกับอี๋อวี้ แม้นไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องการกินการอยู่ แต่วันทั้งวันต้องอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวน นับแต่หลี่ไท่ยกพวกนางให้อี๋อวี้ จึงหัวเราะร้องไห้ได้เฉกคนปกติที่มีเลือดเนื้อจิตใจ

อี๋อวี้ดีต่อพวกนางโดยมิได้เสแสร้งแกล้งทำ ไม่เคยฝืนใจพวกนาง ไม่เคยเห็นพวกนางเป็นที่ระบายอารมณ์ หรือจะพูดว่าเห็นพวกนางเป็นมนุษย์เหมือนตน ผิงถงมองอะไรๆ ได้ปรุโปร่งและประจักษ์ชัดแก่ใจ มีหรือจะไม่รู้ว่าเจ้านายอย่างนี้ถือโคมไฟส่องหาก็ไม่พบอีกแล้วในปฐพี นางจึงทุ่มเทจิตใจปรนนิบัติรับใช้ อีกทั้งรู้เรื่องที่อี๋อวี้เหลือตัวคนเดียวหลังพลัดพรากกับมารดาและพี่ชายตายจากไปอย่างกระจ่างแจ้ง นานวันเข้า นางก็ลอบนับอี๋อวี้เป็นคนในครอบครัวอีกคนหนึ่งบนโลกนี้นอกจากผิงฮุ่ยอยู่ลับหลังไปแล้ว

หลี่ไท่ได้ยินเสียงร่ำไห้ของผิงถง สีหน้ายิ่งเครียดขรึมลง นัยน์ตาชายหนุ่มไหวระริกอย่างสับสนว้าวุ่นใจ เขาเม้มปากไม่เอื้อนเอ่ยวาจา ถึงเพียรอดทนอดกลั้นไว้แล้วก็ไม่อาจฟังนางพูดจนจบ ลุกพรวดขึ้นยืนเปล่งเสียงตัดบทเป็นคำรบที่สอง

“พวกเขาไปไหน”

“…หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ”

หลี่ไท่โน้มตัวไปข้างหน้า สุ้มเสียงเย็นเยียบ “ไม่รู้หรือว่าไม่บอก”

“หม่อมฉันจะกล้าปิดบังได้อย่างไรเพคะ ราตรีนั้นพวกเขาจากไปอย่างเร่งร้อน นายท่านหานก็มิได้บอกอะไรฮูหยิน หม่อมฉันไม่ทราบจริงๆ” ผิงถงเงยหัวขึ้น นางร้องไห้จนน้ำตานองหน้า

หลี่ไท่รู้แก่ใจดีว่านางไม่กล้าปกปิดหลอกลวง กอปรกับหานลี่เป็นคนพาตัวหญิงสาวไปก็ล่วงรู้ว่าจะตามหาคนเป็นเรื่องยากเสียแล้ว ใบหน้าเขาฉายอารมณ์แปรปรวนระลอกหนึ่งก่อนทุบกำปั้นลงกับโต๊ะหนังสือดังปัง แท่นฝนหมึกกับที่วางพู่กันล้มระเนระนาดตามแรงสะเทือน น้ำหมึกกระเด็นโดนกองม้วนบันทึกมัดด้วยด้ายแดง ไม่รู้ว่าทำให้ของสำคัญอะไรเสียหายไปบ้าง

“กลับไปรอ ทันทีที่ได้ข่าวก็รีบมารายงาน หากเกิดข้อผิดพลาดอีก พวกเจ้าสองคนก็ตรงกลับไปลั่วหยางซะ” หลี่ไท่พูดกับผิงถงเสียงกระด้างแล้วไม่สนใจไยดีอีก ยกมือดันเก้าอี้ออกแล้วเดินฉับๆ ออกไปข้างนอก

ผิงถงมองดูเก้าอี้ไม้แดงตัวเตี้ยสลักลายที่โงนเงนไปมาแล้วล้มกระแทกพื้นดังตึง นางยกมือขึ้นปาดหยดเหงื่อกับน้ำตาปนเปกันบนใบหน้าออกพลางถอนหายใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่ง

 

ยังไม่เอ่ยต่อว่าทางวังเว่ยอ๋องเป็นอย่างไร ทางด้านอี๋อวี้ซึ่งสลบไสลอยู่ถูกหานลี่พาตัวไปจากสวนผูเจินในคืนวันที่สิบสี่เดือนสามแล้วผ่านไปอีกวันหนึ่ง นางถึงฟื้นสติขึ้นในเช้าวันที่สามวันเดียวกับที่หลี่ไท่เพิ่งได้ยินคำบอกเล่าจากปากผิงถง

รอบห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพรแปลกประหลาด อี๋อวี้พยายามยกหนังตาหลายทีถึงฝืนปรือตาขึ้นได้ ด้านนอกแสงแดดกำลังงาม แต่ถูกม่านโปร่งกั้นไว้จนภายในห้องมืดสลัวๆ มองเห็นไม่ชัดถนัดตา นอกจากรู้สึกว่าพื้นเตียงใต้ตัวอ่อนนุ่มเกินไป นางยังไม่รู้ว่าขณะนี้ตนเองไม่ได้อยู่ในสวนผูเจินแล้ว

พอรู้สึกตัวตื่นขึ้น อาการวิงเวียนอ่อนเปลี้ยตามเนื้อตัวก็กลับมา ห้วงความคิดสับสนยุ่งเหยิง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางหรี่ตาลงมองเพดานอย่างงุนงงเลื่อนลอยเป็นเวลานานเกือบหนึ่งถ้วยชาถึงขยับปากส่งเสียงเบาหวิวที่แม้แต่นางเองก็ไม่ได้ยิน

“ท่านแม่…”

สัญชาตญาณของคนเป็นเช่นนี้เอง ในเวลาที่ทุกข์ทรมานและจิตใจไม่มั่นคงที่สุด ถึงแม้ไม่รู้สถานการณ์ตรงหน้า คนที่เรียกหาจะเป็นผู้ที่ตนเชื่อใจมากที่สุดเท่านั้น ใต้หล้านี้เกรงว่าคงมีแต่มารดาที่ทนเห็นนางทนทุกข์ลำบากไม่ได้สักน้อยนิด และทุ่มเทกายใจทำเพื่อนางโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ

เมื่อไม่มีใครขานตอบ อี๋อวี้เรียก ‘ท่านแม่’ อีกที ได้ยินเสียงประตูถูกผลักเปิดดังเอี๊ยดอ๊าด แต่นางไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะหันหน้าไป ได้แต่ฟังเสียงฝีเท้าเดินมาใกล้ มีคนวางของบางอย่างลงด้านข้าง จากนั้นก้มตัวอยู่ข้างเตียง เงาดำบดบังสายตาของนาง ฝ่ามือนุ่มนิ่มแห้งสะอาดข้างหนึ่งอังบนหน้าผาก กลิ่นยาขมๆ ที่ไม่คุ้นเคยลอยมาปะทะใบหน้า

“ท่านแม่…” นี่เป็นครั้งที่สามก็สูบพลังที่เหลืออยู่ในตัวอี๋อวี้ไปจนหมด อึดใจต่อมานางได้ยินเสียงอุทานเบาๆ คล้ายตกใจคล้ายยินดีเสียงหนึ่ง ต่อจากนั้นเสียงฝีเท้าคนวิ่งตึงๆ ออกไปทันใด

“ฟื้นแล้วๆ ท่านพ่อ แม่นางหลูฟื้นแล้ว!”

ผ่านไปไม่นานนัก เสียงฝีเท้าเร่งรีบปะปนเสียงกระซิบก็ดังลอยมาจากข้างนอก อี๋อวี้ลองหันหน้าไปมองทว่าไม่สำเร็จ แต่เสียงเรียกเบาๆ คุ้นหูเสียงหนึ่งทำให้จิตใจนางสงบลง

“อวี้เอ๋อร์” หลูซื่อนั่งลงข้างเตียงอย่างตื่นเต้นน้อยๆ ก่อนจะโน้มตัวไปมองหน้าบุตรสาว แม้นไม่ได้ยินเสียงตอบ แต่เห็นเปลือกตาที่เปิดขึ้นเป็นช่องเล็กๆ นางก็ตาแดงด้วยความยินดีทันควัน รีบยื่นมือไปเขี่ยปอยผมข้างแก้มอี๋อวี้ออกเบาๆ พลางกล่าวเสียงเครือ

“ฟื้นแล้ว ฟื้นจนได้ ลูกรัก เจ้าทำเอาแม่ตกใจแทบแย่ เป็นอย่างไรบ้าง ยังไม่สบายตรงไหนหรือไม่”

อี๋อวี้เห็นประกายน้ำตาในดวงตามารดารางๆ ก็อ้าปากอยากพูดปลอบแต่เปล่งเสียงไม่ออก นางมุ่นหัวคิ้วอย่างร้อนใจ ด้านข้างก็มีคนเอ่ยขึ้นแทนนาง

“ฮ่าๆ ฮูหยินอย่าเพิ่งใจร้อน นางเพิ่งฟื้นสติ ไม่ได้กินน้ำกินข้าวหลายวัน กำลังอ่อนเปลี้ยเพลียแรงยังพูดคุยไม่รู้เรื่อง”

ได้ยินเสียงบุรุษแปลกหู อี๋อวี้อยากหันหน้าไปดูมากขึ้น แต่นางจะขยับนิ้วก็ยังไม่ไหวอย่างที่เขาบอกจริงๆ นับประสาอะไรกับดูว่าคนผู้นี้เป็นใคร

“ดีๆ” หลูซื่อขานรับ เบือนหน้าไปอีกทางปาดน้ำตาออกค่อยยื่นหน้าไปพูดกับอี๋อวี้พลางลูบผมหน้าม้าของนางให้เป็นระเบียบ “อวี้เอ๋อร์ เจ้านอนอยู่ตรงนี้นะ แม่จะไปต้มโจ๊กให้กิน ถ้าเจ้ารู้สึกไม่สบายก็หลับตานอน ไม่ต้องกลัวนะ เจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดก็มีแม่อยู่ทั้งคน”

หลูซื่อเหน็บชายผ้าห่มให้นางแล้วลุกขึ้นวิ่งเหยาะๆ ออกจากห้อง ในหัวอี๋อวี้เรียกความทรงจำกลับมาได้ทีละน้อย นางจำได้รางๆ ว่านางล้มป่วย ต่อมาก็ฝันร้ายตลอด แล้วหลังจากนั้นล่ะ นางเปิดเปลือกตาขึ้นมองเพดานเตียงที่ไร้ม่านคลุม ก็แน่ใจว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องไหนๆ ในเรือนตน นางจะคิดต่อก็มีใบหน้าคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตา หนวดหยิกๆ สีดำรุงรังรอบปากเกือบทำให้นางตกใจจนสลบไปอีกรอบ

“ฮ่าๆ เพิ่งฟื้นขึ้นมา อย่าเพิ่งคิดอะไรมาก เจ้าก็ปล่อยให้สมองผ่อนคลายสบายๆ บ้าง จะได้ไม่เกิดไฟสุมอกอีก ให้ข้าช่วยเจ้าอีกครั้ง ต้องเอาอีกคนหนึ่งมาแลกนะ”

เขาหันหลังให้แสงมองเห็นรูปโฉมไม่ชัด แต่อี๋อวี้รู้สึกว่าบุรุษผู้นี้คลับคล้ายคลับคลาเคยรู้จัก ดวงตาของนางทอแววฉงนก็ได้ยินเสียงหัวเราะร่วน

“ฮ่าๆ แม่นางน้อยเป็นคนใหญ่คนโตช่างลืมเสียแล้ว ดีชั่วพวกเราเคยเป็นเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงกันมาก่อน นี่จำข้าไม่ได้แล้วหรือ”

เพื่อนบ้าน?

“เอาล่ะ เจ้านอนต่ออีกสักครู่เถอะ”

ขวดยาใบหนึ่งถูกเปิดออกแล้วยื่นมาจ่อตรงหน้าอี๋อวี้ ขณะเดียวกับที่ได้กลิ่นหอมสดชื่นรวยรินระลอกหนึ่ง อาการไม่สบายตามเนื้อตัวค่อยๆ จางหายไป ก่อนสิ้นสติก็ฉุกคิดขึ้นได้ เพียงทันนึกถึงชื่อคนผู้หนึ่งผุดขึ้นในหัว

เหยาปู้จื้อ

 

การประชันศาสตร์ห้าสำนักกำลังดุเดือดเข้มข้น แค่ว่าภายหลังอี๋อวี้มิได้โผล่หน้ามาอีกเลย เป็นเหตุให้ผู้ไม่รู้เรื่องราวพากันเคลือบแคลง ในบรรดานั้นมีคนไม่น้อยตั้งใจไปสืบถามอย่างเช่นจิ้นลู่อัน สุดท้ายได้รับคำตอบว่าเว่ยอ๋องไม่พอใจที่ชายาซึ่งใกล้จะแต่งเข้าวังปรากฏตัวต่อหน้าธารกำนัลมากเกินไปก่อนแต่งงาน นี่กลับเป็นการลือกันไปผิดๆ

ไม่มีว่าที่ชายาอ๋องผู้นี้เป็นคู่แข่ง จ่างซุนซีย่อมกลายเป็นจุดสนใจเพียงหนึ่งเดียวในการประชันศาสตร์เช่นเคย ตอนนางชิงป้ายไม้สลักศาสตร์คำนวณมาได้เป็นป้ายที่สองและมีคนเจตนาแพร่ข่าวออกไป เสียงเล่าลือเรื่องจ่างซุนเสียนอับอายขายหน้าในพิธีปักปิ่นของอี๋อวี้พักก่อนถึงกับถูกกลบหายไป ยามผู้คนกล่าวถึงคุณหนูสกุลจ่างซุน จะพูดแต่ความดีงามของคุณหนูสามผู้นี้ น้อยคนนักจะกล่าวถึงเรื่องไม่ดีของคุณหนูใหญ่

ขณะที่ชื่อเสียงของจ่างซุนซีหยั่งรากมั่นคงและเพิ่มมากขึ้น สถานการณ์ของจ่างซุนเสียนกลับทำให้คนสะทกสะท้อนใจ มาตรว่าสองตระกูลสนิทแน่นแฟ้นกัน ทว่านางกระทำเรื่องสร้างความเสื่อมเสียให้วงศ์ตระกูลชั้นนั้นมีหรือจะไม่ได้รับบทเรียน ในเดือนสามนั่นเอง สกุลเการับอนุให้เกาจื่อเจี้ยนอีกสองคน จ่างซุนเสียนได้ข่าวก็กลับไปฟ้องทางสกุลเดิม แต่จ่างซุนอู๋จี้ผิดหวังในตัวบุตรสาวคนโตอย่างรุนแรง ทั้งพินิจจากเรื่องที่นางก่อไว้ เขาจะไปไล่เลียงกับสกุลเกาได้เช่นไร จึงตักเตือนนางยกหนึ่งแล้วให้คนพานางส่งกลับไป ถึงอย่างไรเป็นการรับแค่อนุสองคน มิได้ยกขึ้นเป็นภรรยาทัดเทียมกันก็ต้องนับว่าเห็นแก่หน้าสกุลจ่างซุนแล้ว

ในเวลาเดียวกัน ทางราชสำนักมีเหตุการณ์หนึ่งเปิดฉากขึ้น ปีรัชศกเจินกวนที่หก มีการมอบหมายหน้าที่ให้พวกเกาซื่อเหลียนและฝางเฉียวเริ่มต้นเรียบเรียง ‘บันทึกลำดับวงศ์สกุล’ ให้สำเร็จเสร็จสิ้นภายในปีรัชศกนี้ อันดับห้าแซ่เจ็ดตระกูลในอดีตต้องจัดเรียงลำดับกันใหม่ ก็ไม่รู้ว่าจะก่อคลื่นลมปั่นป่วนเพียงใด

ติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: