X
    Categories: Business Proposal นัดบอดวุ่น ลุ้นรักท่านประธานWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Business Proposal นัดบอดวุ่น ลุ้นรักท่านประธาน บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 7

prologue 1st

อารัมภบท ครั้งแรก

ใจเย็นไว้ก่อน

“เมื่อกี้คุณบอกว่าอะไรนะคะ”

“แต่งงานกันเถอะครับ”

ไม่ได้ฟังผิดไป แต่ก็ต้องใจเย็นไว้ก่อน

“ค่ะ คือว่า…”

คือว่า คือว่า

“คะ? คุณพูดว่าอะไรนะคะ”

“ผมบอกว่าเราแต่งงานกันเถอะครับ”

“คะ? แต่ง แต่ง…”

เอื๊อก ฮารีกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ

“คือว่า…คุณพูดว่าอะไรนะคะ”

ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ มือฮารีที่กำลังถือโทรศัพท์เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

“นี่ผม…ต้องพูด…อีกกี่ครั้งกันครับ”

เขาถามออกมาช้าๆ โดยแบ่งวรรคประโยคสามครั้ง ราวกับกำลังอดกลั้นอะไรบางอย่างเอาไว้อย่างถึงที่สุด

“อ้าว ก็มันเป็นเรื่องน่าตกใจมากเลยนี่คะ เรื่องแต่งงานนั่นน่ะ ฮ่าๆ”

เธอพยายามหัวเราะออกมาอย่างเป็นกันเองเพื่อทำให้บรรยากาศคลี่คลาย ทว่าปลายสายกลับมีเพียงความเงียบงันเท่านั้น แต่กลับรู้สึกเหมือนเขากำลังจ้องมองและสั่งว่าอย่าหัวเราะ เธอจำต้องหยุดหัวเราะและพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ฉันตกใจที่จู่ๆ ก็ถูกขอแต่งงานทางโทรศัพท์น่ะค่ะ ฉันไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ควรจะคุยกันทางโทรศัพท์แบบนี้ มันเป็นการขอแต่งงานนะคะ เพราะฉะนั้น ฉัน…”

“งั้นเรามาเจอกันแล้วค่อยคุยกันนะครับ”

“ค่ะ แบบนั้นก็ดี…คะ? เจอกันเหรอคะ ไม่ค่ะ ไม่! ไม่เป็นไรค่ะ ฉันคิดว่าคุยทางโทรศัพท์ได้สบายมากเลย ฉันขอปฏิเสธคำขอแต่งงานนั้นนะคะ เพราะฉันไม่คิดจะแต่งงานค่ะ”

ขณะกำลังเม้มริมฝีปากพร้อมกับคิดว่าตัวเองพูดแรงไปหรือเปล่า ก็ได้ยินเสียงของเขาดังขึ้นมา ดูเหมือนว่าในเสียงนั้นไม่มีความวุ่นวายใจจากการถูกปฏิเสธแทรกอยู่เลย

“ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงมานัดบอดล่ะครับ”

“คะ? เอ่อ เรื่องนั้น…”

จะเล่าสถานการณ์อันซับซ้อนทั้งหมดให้ฟังได้อย่างไรกัน ฮารีอยากใช้นิ้วจิ้มตาทั้งสองข้างของยองซอเพื่อนรักที่ส่งสายตาวิงวอนมาให้ในตอนนั้นเหลือเกิน

“แค่ไปเฉยๆ น่ะค่ะ”

“ไป…เฉยๆ?”

ในถ้อยคำนั้นมีน้ำเสียงที่บอกว่า ‘นี่คุณกำลังล้อผมเล่นเหรอ’ ซ่อนอยู่ จะว่าไปดูเหมือนตอนนี้เธอพังเละเทะยิ่งกว่าวันนั้นที่ไปนัดบอดเสียอีก แค่คิดถึงสภาพในวันนั้นก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเหมือน ‘ยายบ้า’ เลย แต่ตอนนี้มันน่าอายยิ่งกว่า ถ้าถอยตอนนี้ล่ะก็ คงต้องเจอเรื่องยุ่งแน่ๆ เธอจึงหลับตาลงแน่น

“ก็…ก็คิดอย่างนั้นกันได้นี่คะ การไปนัดบอดไม่ได้หมายความว่าอยากแต่งงานเสมอไป…”

เมื่อคิดว่าข้อแก้ตัวฟังดูงี่เง่าเกินไป เธอจึงพูดเสียงแผ่วลงในช่วงท้ายและปิดปากสนิท เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง แต่ดูเหมือนหูของเธอกำลังได้ยินเสียงของเขาพูดขึ้นว่าถ้าไม่ได้ไปนัดบอดเพราะอยากแต่งงาน แล้วจะไปทำไมล่ะ ยายซื่อบื้อ

ฮารีรู้สึกทรมานใจ จึงเอ่ยปากพูดอีกครั้ง

“เอ่อ ทำไมคุณถึงอยากแต่งงานกับฉัน…คุณไม่ได้ตกหลุมรักฉันตั้งแต่แรกพบไม่ใช่เหรอคะ…ทั้งที่…ทั้งที่ฉันเอาแต่พูดพล่าม…”

พูดจาเหลวไหลเพ้อเจ้อถึงขนาดนั้น ส่วนคุณก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เอาแต่นั่งมองราวกับเบื่อหน่ายอย่างนั้น แล้วทำไม!

“แล้วถ้าผมตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบล่ะ”

อะไรนะคะ มันจะเป็นไปได้ยังไง! แต่ว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ฉันก็รู้สึกเป็นเกียรติมากค่ะ!

ฮารีหน้าแดงขึ้นมา แต่เมื่อเห็นสภาพความเป็นจริงของตัวเองในกระจกที่สวมกางเกงโคแจงงี* ของแม่อยู่ เธอก็รีบส่ายหน้าทันที

“ยะ…อย่าพูดเล่นแบบนั้นสิคะ”

“มาเจอกันแล้วค่อยคุยกันดีกว่าครับ วันนี้หนึ่งทุ่มเจอกันที่ที่เรานัดเจอกันเมื่อวาน…”

“ไม่ค่ะ ไม่! ฉันคงไปเจอคุณวันนี้ไม่ได้หรอกค่ะ”

“ถ้าเป็นวันธรรมดาผมไม่สะดวก งั้นเป็นช่วงสุดสัปดาห์…”

“ไม่ค่ะ คุณคงจะงานยุ่งน่าดู ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นหรอกค่ะ ฉันจะไม่แต่งงานค่ะ! ฉันแต่งไม่ได้! ที่จริงแล้วฉันชอบผู้หญิงค่ะ ฉันเกลียดผู้ชายที่สุด พูดจริงนะคะ ฉันรักผู้หญิงค่ะ งั้นแค่นี้นะคะ!”

ฮารีวางสายอย่างไร้ความปรานี

ไม่ชอบผู้ชายเนี่ยนะ เธอบ้าไปแล้วเหรอ เธอออกจะบ้าผู้ชายขนาดนั้น

“แถมในวันนัดบอดยังพูดปาวๆ ว่าเป็นเสือผู้ชายอีก”

เมื่อนึกถึงคำพูดที่ตัวเองพูดในตอนนั้น เธอก็อยากเตะผ้าห่มแล้วลุกพรวดขึ้นมาทั้งที่ยังนอนอยู่เลยทีเดียว

“เฮ้อ เขาต้องคิดว่าฉันบ้าจริงๆ แน่เลย ฉันไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย ไม่สิ ยังไงมันก็ไม่สำคัญอยู่แล้ว เพราะคุณคนนี้เขาก็ดูไม่ปกติเหมือนกัน!”

นัดบอดไม่ถึงชั่วโมง แล้วนี่ก็เพิ่งผ่านมาแค่วันเดียว แต่กลับมาบอกว่าตกหลุมรักและอยากแต่งงานด้วยเนี่ยนะ

นี่มันจิตป่วยสุดติ่งชัดๆ! แต่งงาน แต่งงานเนี่ยนะ

จู่ๆ ฮารีก็ลูบไล้จัดผมเผ้าให้เรียบร้อย ทั้งที่สวมกางเกงโคแจงงีอยู่แท้ๆ แต่เธอก็หมุนตัวดูตัวเองในกระจกทางโน้นทีทางนี้ทีพลางยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจอยู่ครู่หนึ่ง

“เฮ้อ คังแทมู นายช่างตาถึงซะจริงเชียว”

ฮารีที่เคยยิ้มอย่างภูมิอกภูมิใจกลับกำผมของตัวเองเอาไว้แน่นราวกับเพิ่งเข้าใจความเป็นจริง เธอหอบออกมาและตะโกนเหมือนตัวเองถึงขีดจำกัดแล้ว

“กรี๊ด! ฉันจะทำไงดีล่ะเนี่ย”

ฉันไปนัดบอดกับประธานบริษัทของตัวเองได้ยังไง!

 

* โคแจงงี คือกางเกงตัวในของกระโปรงฮันบก หรือกางเกงรัดข้อเท้า

chapter 01

ชายหนุ่มแห่งพรหมลิขิต

ว่ากันว่าเรื่องร้ายมักถาโถมเข้ามาในชีวิตพร้อมกันเสมอ ดูเหมือนวันนั้นก็เป็นแบบนั้น นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่เรื่องร้ายได้ถาโถมเข้ามา

“รู้จักกันไว้สิ นี่แฟนฉันเอง จางฮเยจี ส่วนนี่เพื่อนฉัน ชินฮารี”

แฟนกับเพื่อน ขณะที่กำลังประเมินว่าสองคำนี้มันห่างไกลกันมากแค่ไหนนั้น ฮเยจีที่กำลังจับมือมินอูอยู่ก็เอ่ยปากทักทาย

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อจางฮเยจี ได้ยินเรื่องของคุณจากพี่มินอูเยอะเลยค่ะ”

ได้ยินเรื่องอะไรบ้างนะ

เนื่องจากมัวแต่นึกสงสัย ฮารีจึงทักทายช้าไปเล็กน้อย

“อ้อ สวัสดีค่ะ ฉันชื่อชินฮารีค่ะ”

ฮารีทักทายกลับไปและยืนประหม่าอยู่อย่างนั้น เมื่อได้ยินว่าเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานจะเลี้ยงอาหารเที่ยง ตอนนั้นเธอรู้สึกใจสั่นไปหมด แต่ก็พยายามสงบจิตสงบใจเอาไว้ อุตส่าห์ลุกขึ้นมาแต่งหน้าทั้งที่ไม่ค่อยได้แต่ง และหยิบเดรสมาใส่ทั้งที่ไม่ค่อยได้ใส่เลยแท้ๆ แต่เพื่อนกลับพาแฟนมาแนะนำให้รู้จักเสียนี่

“หิวแล้วใช่ไหม กินข้าวกันเถอะ สั่งอะไรดี”

มินอูถามด้วยสายตาอ่อนโยน ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ได้ถามฮารี แต่ถามฮเยจีแฟนเขา

“พี่อยากกินอะไรคะ ฉันอยากกินพาสต้ากับพิซซ่า”

“เหรอ งั้นเราสั่งตามนั้นเลยนะ”

“สั่งทั้งหมดเลยก็ได้เหรอคะ”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ เราแบ่งกันกินสองคนก็ได้นี่นา”

ทั้งสองมองหน้าและส่งสายตาอบอุ่นให้กันราวกับลืมไปว่ามีฮารีอยู่ตรงนี้ด้วย แต่แล้วมินอูก็หันมามองเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

“ฮารี แล้วเธอล่ะ”

เมื่อสบตากัน ฮารีก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในใจ หากต้องนั่งเผชิญหน้ากับแฟนของเพื่อนที่ตัวเองแอบชอบและกินอาหารด้วยกันแบบไม่รู้สึกอะไร ควรแสดงสีหน้าแบบไหนดีนะ ฮารีไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำเรื่องโง่เง่าอย่างการนั่งกินอาหารพร้อมกับยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สาแบบนั้นได้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่อาจเปิดเผยความรู้สึกให้ตัวเองดูโง่ไปมากกว่านี้ได้

ถ้านี่เป็นความฝันก็คงจะดี ขณะที่กำลังภาวนาขอให้เรื่องทั้งหมดนี้เป็นแค่ความฝันและกำลังนั่งลงด้วยความลังเลอยู่นั้นเอง เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ฮารีสบโอกาสจึงรีบรับสายและลุกพรวดขึ้นจากที่นั่งทันที

“ฮัลโหล ค่ะ หัวหน้า! โทรมาวันหยุดแบบนี้มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ อะไรนะคะ อ้าว ถ้างั้นฉันคงต้องรีบไปหาข้อมูลตอนนี้เลยใช่ไหมคะ รับทราบค่ะ!”

เมื่อหันไปสบตากับมินอูที่มองมาด้วยความสงสัย ฮารีก็ยิ้มเหมือนมีเรื่องลำบากใจ

“ทำไงดีล่ะ หัวหน้าแผนกที่บริษัทโทรมา ดูเหมือนมีเรื่องให้ฉันรีบตรวจสอบให้น่ะ”

“วันนี้วันเสาร์นะ”

“คนทำงานบริษัทมีวันหยุดกับเขาที่ไหนล่ะ”

“แต่กินข้าวก่อนแล้วค่อยไปก็ได้นี่”

เสียงเรียกเข้าดังขึ้นอีกครั้ง แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าฟ้าดินเป็นใจ ฮารียิ้มให้ฮเยจีอย่างสบายอกสบายใจ

“ฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะ เพิ่งได้เจอกันแท้ๆ แต่ฉันต้องไปก่อนแบบนี้ ไว้เจอกันคราวหน้านะคะ ฮัลโหล”

ฮารีแสร้งทำเป็นรับสายและออกมาข้างนอกทั้งที่ยังไม่ได้ฟังคำบอกลาจากฮเยจี

คงไม่ได้ดูแปลกๆ หรอกใช่ไหม อย่างเช่นดูเหมือนเจ็บปวดเพราะอกหักจากรักข้างเดียว หรือลนลานทำอะไรไม่ถูกจนดูซื่อบื้อ

ฮารียืนพิงผนังอาคารพลางหลับตาลง เธอรู้สึกร้อนรุ่มในหัวใจจนน้ำตาพานจะรินไหลออกมา

“ฮัลโหล ฮัลโหล พี่พูดเรื่องอะไรเนี่ย หัวหน้าอะไร แล้วทำไมจู่ๆ ถึงวางสายไปล่ะ”

ได้ยินเสียงฮามินน้องชายดังมาจากปลายสาย เธอจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู

“อ้อ ว่าไงฮามิน โทรมาทำไมเหรอ”

แม้จะรู้สึกขอบคุณมากที่น้องชายโทรมาในเวลานี้พอดี แต่เธอกลับมีลางสังหรณ์ว่าการที่น้องชายโทรมาหาคงไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีสักเท่าไร

“พี่เห็นข่าวหรือยัง”

“ข่าวอะไร”

“ไข้หวัดนก”

ไข้หวัดนกงั้นเหรอ

ฮารีหลับตาลงอีกครั้ง ฟ้าดินเป็นใจกับผีน่ะสิ เหมือนโทรมาบอกว่าให้ไปตายเสียมากกว่า

“ยอดขายตกมากไหม”

“อย่าให้พูดเลย ไม่มีคนโทรมาสั่งเลยสักคน”

“แล้วพ่อแม่ทำยังไงกันล่ะ”

“พ่อเอาแต่สูบบุหรี่ ส่วนแม่ก็เอาแต่นั่งร้องไห้อยู่น่ะสิ”

ฮารีได้แต่ถอนหายใจ เพราะนั่นเป็นร้านขายไก่ทอดที่จูยงผู้เป็นพ่อถูกเพื่อนโกงเงินเกษียณไปจนต้องใช้เงินกู้จากบริษัทของฮารีมาช่วยสมทบจึงทำให้เปิดร้านขึ้นมาได้ ตอนนี้เริ่มมีคนพูดถึงไก่ชุบแป้งทอดกันปากต่อปากจนคิดว่าธุรกิจกำลังจะไปได้ดีอยู่แล้วแท้ๆ แต่กลับมีเรื่องไข้หวัดนกระบาดขึ้นมา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้จูยงคงจะกำลังโทษตัวเองว่าทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องไปเสียทุกอย่าง

“ปลอบไปว่าเวลาทำธุรกิจก็มีทั้งช่วงที่ไปได้ดีและไปได้ไม่ดีเหมือนกัน”

“รู้แล้ว ผมกำลังปลอบอยู่ แต่พี่…”

เธอพอจะรู้ว่าคำพูดหลังจากนั้นคืออะไร

“พ่อย้ำว่าไม่ให้บอกพี่นะ…แต่ตอนนี้ใกล้ถึงกำหนดวันจ่ายค่าเช่าร้านแล้วน่ะสิ”

เมื่อเห็นว่าน้องชายถึงกับต้องพูดเรื่องที่ไม่เคยเอ่ยปากพูดเลยสักครั้งแบบนี้ เธอก็รู้สึกได้ว่าครั้งนี้คงจะหนักหนาสาหัสมากจริงๆ

“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก เดี๋ยวฉันจะเตรียมให้เอง”

ฮารีพูดให้ฮามินน้องชายที่ช่วยงานพ่อแม่คลายความกังวล จากนั้นก็กดวางสายทั้งน้ำตา หัวใจของเธอที่เพิ่งจะร้อนรุ่มเพราะเรื่องมินอูเปลี่ยนเป็นร้อนรุ่มเพราะเรื่องเงินแทน จะไปหางานพาร์ตไทม์ที่ไหนดีนะ เนื่องจากเงินเดือนต้องถูกหักเงินต้นและดอกเบี้ยเงินกู้ออกไป เธอจึงคิดถึงเรื่อง ‘ทูจ็อบส์’* มาสักพักแล้ว

แต่ก่อนอื่น…

ฮารีโทรหายองซอเพื่อนของเธอ

“ฉันเองนะ เพื่อนที่สวยที่สุดในโลกของเธอ ชินฮารี เลี้ยงเหล้าฉันหน่อยสิ”

คงต้องดื่มสักหน่อย

“ไหนดูซิ…”

ยองซอแบมือและเริ่มพับนิ้วลงทีละนิ้ว

“อีมินอู พ่อหนุ่มคนที่เธอแอบชอบชวนไปกินมื้อเที่ยง แต่กลับพาแฟนมาแนะนำให้รู้จักโดยไม่บอกไม่กล่าว และร้านไก่ทอดของพ่อแม่ที่กำลังจะไปได้ดี แต่ธุรกิจต้องมาสะดุดเพราะไข้หวัดนก เธอเลยต้องช่วยจ่ายค่าเช่าให้ใช่ไหม”

“อื้ม แถมเงินกู้ที่บริษัทก็กองโตอย่างกับภูเขา”

ฮารีพูดอย่างเศร้าสร้อยและพับนิ้วของยองซออีกหนึ่งนิ้ว

“ฉันจะเริ่มทำงานพาร์ตไทม์แล้ว ทีนี้คงต้องใช้ชีวิตทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำโดยไม่มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์”

เมื่อฮารีพับนิ้วลงอีกหนึ่งนิ้ว ยองซอก็หรี่ตามอง

“เธออย่าเอาเรื่องน่าห่อเหี่ยวใจมารวมกันแบบนี้ได้ไหม เรื่องมันยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนี่นา”

“ก็มันเป็นความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้น่ะสิ”

“แต่อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนมาเลี้ยงเหล้าให้เธอฟรีๆ แบบนี้ไม่ใช่เหรอ”

ยองซอยกนิ้วก้อยขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นว่ายังมีหนึ่งในห้านิ้วที่ยังคงเหลืออยู่ ฮารีจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย

“แต่ฉันยังไม่ได้ดื่มสักแก้วเลยนะ”

“ต้องรอให้กับแกล้มมาก่อนแล้วค่อยดื่มสิ”

“ดื่มระหว่างรอกับแกล้มก็ได้นี่นา”

ยองซอหรี่ตามองฮารีอีกครั้ง

“ถ้าเธอดื่มทั้งที่ไม่มีกับแกล้มตอนกลางวันแสกๆ จนเมาเละเทะขึ้นมา แล้วมันจะลำบากใคร”

“เพื่อนมีเรื่องห่อเหี่ยวใจเกินสามเรื่องขนาดนี้ก็ต้องเมาเละเทะบ้างแหละน่า แค่นี้ทำให้ฉันไม่ได้หรือไง”

“เรื่องค่าเหล้าน่ะฉันช่วยได้ แต่เรื่องอื่นยังไงก็ไม่ได้ ถ้าเธออ้วกมาโดนเสื้อฉันจะทำยังไง”

ยองซอจับบริเวณไหล่ของเสื้อและขยับไปมา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นแบรนด์เนม

ยองซอเป็นลูกสาวคนเดียวของประธานบริษัทยองจิน การที่ทั้งสองสนิทสนมกันมาตลอดตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายมาจนถึงอายุยี่สิบเจ็ดปีโดยที่ไม่เคยทะเลาะกันแม้แต่ครั้งเดียวก็เรื่องหนึ่ง แต่การที่เพื่อนเศรษฐีคนนี้ไม่เคยทิ้งฮารีผู้ที่เกิดมาในครอบครัวธรรมดาก็นับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่สุดในชีวิตของฮารี อย่างไรก็ตามการมีเพื่อนรวยก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะมันทำให้เธอได้ดื่มเหล้าฟรีแบบนี้

“เธอมีเงินเยอะ แค่เสื้อซื้อใหม่ก็ได้นี่นา ได้โปรดให้ฉันดื่มเหล้าก่อนเถอะนะ”

“ไม่ได้ วันนี้ฉันต้องไปนัดบอด”

“อะไรกัน เธอมีนัดแล้วเหรอ กี่โมงล่ะ แล้วทำไมไม่บอก”

“นัดช่วงค่ำ แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่ได้อยากไปด้วย เลยไม่อยากจะพูดถึงมันน่ะสิ”

“ทำไมล่ะ”

“ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะฉันยังไม่อยากแต่งงานน่ะสิ”

“งั้นเธอก็แกล้งทำเป็นเสียสติสิ เธอเล่นบทนั้นเก่งไม่ใช่เหรอ อันที่จริงเธอก็เป็นแบบนั้นอยู่นิดๆ นะ”

ยองซอจ้องเขม็ง เมื่อเห็นฮารียิ้มแป้น เธอก็ถอนหายใจออกมาราวกับยอมแพ้

“ฉันขี้เกียจทำแบบนั้นแล้ว แกล้งเสียสติแค่ครั้งสองครั้งก็น่าจะพอแล้วนี่นา”

“อย่าบอกนะว่าเธอเคยแกล้งเสียสติจริงๆ น่ะ”

“อื้ม ตอนนี้ฉันเก่งแล้วด้วยนะ สวัสดีค่ะ ฉันชื่อยองกู* ค่ะ ฉันไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่อายุประมาณคุณน่าจะรู้จักใช่ไหมคะว่ายองกูคืออะไร ตี๊รีรีรีหรี่”

ยองซอกางแขนออกมาตีปีกพั่บๆ จนฮารีถึงกับอ้าปากค้าง

“ให้ตายสิ แต่ละคนอายุเท่าไรกันเนี่ย”

“หลากรุ่นหลากวัยเลยล่ะ ตอนนี้ฉันไม่ฟังประวัติส่วนตัวก่อนไปเจอด้วยซ้ำเลยไม่ค่อยรู้หรอก เพราะยังไงพอไปถึงปุ๊บก็ต้องแกล้งทำเป็นเสียสติแล้วรีบออกมาก่อนอยู่ดี”

“แล้วพ่อเธอไม่ว่าเหรอ”

“อื้ม พ่อยังขยันหาคู่นัดบอดมาให้ฉันไม่ขาดเลยน่ะ เหมือนจะบอกให้คอยดูว่าสุดท้ายใครจะชนะ”

จะว่าไปสีหน้าของยองซอก็ดูเบื่อหน่ายมากจนฮารีถึงกับลืมเรื่องของตัวเองและมองเพื่อนด้วยความเห็นใจ แม้จะดูมีความสุขอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ว่าใครก็มีปัญหาของตัวเองกันทั้งนั้น เธอตระหนักถึงเรื่องนี้เมื่อได้เห็นชีวิตของยองซอ

“ไม่ไปไม่ได้เหรอ”

“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ฉันไม่อยากแพ้พ่อน่ะ แล้วอีกอย่างถ้าเกิดจู่ๆ พ่อยกเลิกบัตรเครดิต ฉันก็แย่น่ะสิ”

นั่นก็จริง ถึงยองซอจะมีงานทำ แต่ถ้าจะรักษาชีวิตอันแสนสำราญเอาไว้ล่ะก็ ยังไงก็จำเป็นต้องมีบัตรเครดิตของพ่อ ถ้าอย่างนั้นก็ถือโอกาสนี้หาผู้ชายดีๆ ไปเลยก็ไม่เลวนะ

“คู่นัดบอดของเธอรวยๆ กันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ งั้นก็แต่งงานไปเลยสิ”

“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ฉันกำลังตามหาพรหมลิขิตของฉันอยู่ ความรักของฉันต้องมีความซาบซึ้งตรึงใจ”

“ฉันก็เหมือนกัน”

“อุ๊ย เธอก็ด้วยเหรอ”

“อื้ม ฉันก็กำลังตามหาพรหมลิขิตของฉันอยู่เหมือนกัน ส่วนคนรักของฉันน่ะต้องเป็นมหาเศรษฐีเท่านั้น ถ้าหน้าตาดีจนทำให้มินอูกลายเป็นปลาหมึก** ไปได้เลยก็ยิ่งดี”

แม้ไม่รู้ว่าจะมีผู้ชายแบบนั้นอยู่ในโลกหรือเปล่าก็ตาม ฮารียิ้มอย่างขมขื่น

ระหว่างนั้นกับแกล้มก็มาพอดี เมื่อกระทะไส้ย่างร้อนๆ ถูกยกมาเสิร์ฟ ฮารีก็รีบถูมือทั้งสองข้างและเปิดขวดโซจู*** ทันที

“เอาล่ะ เธอแก้วนึง ฉันแก้วนึง”

ต่างฝ่ายต่างรินโซจูให้กันแล้วชูแก้วขึ้น

“เอาล่ะ ดื่มเพื่อผู้ชายที่เป็นพรหมลิขิตของเราทั้งคู่ ชน!”

ฮารีและยองซอชนแก้วกัน

“ถ้าเบื่อการแกล้งทำตัวเป็นคนเสียสติ งั้นลองเปลี่ยนเป็นสไตล์เฟม ฟาทัล* ดูบ้างสิ แบบเซ็กซี่ขั้นสุดไปเลย ใครจะไปรู้ล่ะ ผู้ชายที่เป็นพรหมลิขิตของเธออาจปรากฏตัวขึ้นแล้วตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็นเลยก็ได้นะ”

“เฟม ฟาทัลเหรอ”

“ฉันเป็นผู้หญิงที่ชอบจับพวกผู้ชายกินค่ะ ฮึ่ม”

ฮารีจูบอากาศเสียงดังจุ๊บพลางทำตาปรือ ขยิบตาวิ้งให้ยองซอ แล้วนำแก้วโซจูมาจ่อใกล้ปาก

“เดี๋ยวก่อน!”

ยองซอจับข้อมือฮารีเอาไว้

“ทำอะไรของเธอเนี่ย โซจูหกหมดแล้วนะ”

“ฉันมีความคิดดีๆ แล้ว”

ยองซอทำตาเป็นประกาย ขณะที่ฮารีขมวดคิ้ว

“ทำไมต้องมามีความคิดดีๆ อะไรเอาตอนนี้ด้วยล่ะ”

“ก็ฉันเพิ่งคิดออกตอนนี้นี่นา”

“อะไรล่ะ”

ฮารีเสียใจที่เผลอถามออกไป เพราะรู้สึกว่ารอยยิ้มของยองซอดูมีเล่ห์เหลี่ยมยังไงชอบกล

“เธอบอกว่าอยากหางานพาร์ตไทม์ใช่ไหม”

“อื้ม ทำไม…ไม่นะ ไม่!”

ฮารีรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีจึงปฏิเสธอย่างเด็ดขาดและพยายามจะดื่มโซจูอีกครั้ง แต่ยองซอกลับจับข้อมือเธอแน่นขึ้น

“ยังไงเธอก็อารมณ์บูดอยู่นี่นา รักข้างเดียวที่เธอรักนักรักหนาก็โดนยายผู้หญิงคนอื่นแย่งไปแล้ว”

“แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องงานพาร์ตไทม์ตรงไหนยะ”

“ถือโอกาสเปลี่ยนบรรยากาศแล้วลองไปเจอผู้ชายคนอื่นดูสักทีดีไหมล่ะ”

“ใคร…”

อย่าบอกนะ

“ใช่ คู่นัดบอดฉันไง”

“นี่! จะบ้าเหรอ”

“ทำไมล่ะ ก็เธอต้องการเงินไม่ใช่เหรอ”

“…”

“เป็นสไตล์เฟม ฟาทัลไง ฉันชอบจับผู้ชายกินค่ะ ให้ฉันลองกินคุณดูบ้างไหมคะ เธอแค่ไปทำแบบนี้ก็พอแล้ว”

ยองซอทำสีหน้าเลียนแบบเหมือนที่ฮารีทำเมื่อกี้นี้ เมื่อฮารีส่ายหน้าอย่างแรง ยองซอก็ขมวดคิ้วขึ้นมา

“เธอจะยึดติดกับนายมินอูคนนั้นไปจนถึงเมื่อไร ลองพังให้สุดสักวันหนึ่งเถอะน่า ดีจะตาย”

ทันทีที่ได้ยินชื่อมินอู ฮารีก็รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังถูกทิ่มแทง ยองซอคงเห็นว่าคำพูดนี้พอจะใช้ได้ผล จึงรีบย้ำให้มั่นใจ

“อย่างน้อยก็น่าจะพอจ่ายหนี้เงินกู้บริษัทที่กองพะเนินเป็นภูเขาได้สักนิดไม่ใช่เหรอ”

ยาย…สารเลว บังอาจเอาความเจ็บปวดของฉันมาหลอกใช้งั้นเหรอ

เอื๊อก ฮารียกแก้วดื่มรวดเดียวก่อนที่จะวางแก้วลงเสียงดังปึง เขม้นมองยองซอและพูดออกมา

“เธอจะให้เท่าไร”

ซองฮุนกำลังยืนกระวนกระวายใจ แต่ชายที่อยู่ตรงหน้ากลับนิ่งเฉยโดยขยับเพียงปากกาในมือเท่านั้น นี่ไม่ใช่กิจกรรมประจำเดือนสักหน่อย ไม่สิ นี่เป็นกิจกรรมประจำเดือนนั่นแหละถูกแล้ว เพราะในวันที่ประธานใหญ่คังมันกึนมาที่ห้องทำงานของแทมูก็มักปรากฏภาพแบบนี้ให้เห็นอยู่เสมอ

“ท่านประธานครับ”

ซองฮุนเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีการโต้ตอบใดๆ

“อะแฮ่ม เอ่อ ท่านประธานครับ”

ในตอนนั้นแทมูเหลือบตาขึ้น แต่ก็ยังไม่หยุดทำสิ่งที่กำลังทำอยู่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาจะตอบว่าอะไร

“ท่านประธานใหญ่มาครับ”

“งั้นเหรอ”

ใช่แล้ว งั้นเหรอ

“ท่านประธานใหญ่มานะครับ”

“งั้นเหรอ”

แทมูตอบว่า ‘งั้นเหรอ’ และยังคงทำงานต่อไป เขานั่งแบบนี้มาห้านาทีแล้ว

คังแทมูเป็นคนบ้างานอย่างมาก ส่วนประธานใหญ่คังมันกึน…ก็คือปู่ของคังแทมูที่ดูเหมือนว่างานอดิเรกคือการรบกวนการทำงานของหลานชาย ซึ่งแน่นอนว่างานอดิเรกนั้นก็รบกวนซองฮุนด้วยเช่นกัน

“ท่านประธานครับ…”

“ไอ้หมอนี่! นี่แกจะให้ฉันรอกี่ชั่วโมงกันฮะ”

ประตูถูกเปิดออกเสียงดังปัง แม้เพิ่งจะผ่านไปเพียงห้านาที แต่ความอดทนของประธานใหญ่คังก็หมดลงเสียแล้ว แทมูจึงเงยหน้าขึ้น

“มาถึงแล้วเหรอครับ”

“ไอ้เด็กอวดดี แกไม่แยแสฉันเลยใช่ไหม”

“ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไงครับ”

“ก็เห็นเข้ามาบอกตั้งหลายนาทีแล้วว่าฉันมา แล้วทำไมถึงไม่เปิดประตูล่ะ”

“ผมไม่รู้ว่ามาถึงแล้วนี่ครับ”

เมื่อได้ยินคำพูดที่เมินเฉยของแทมู ประธานใหญ่คังก็หันไปจ้องซองฮุนตาเขม็ง

“ไอ้เจ้าสูงแต่ตัวนั่นก็น่าจะบอกไม่ใช่เหรอว่าฉันมาแล้ว”

“ผมไม่ได้ยินครับ”

“ท่านประธาน?”

ซองฮุนมองด้วยความรู้สึกไม่ยุติธรรม แต่แทมูกลับยักไหล่ให้เท่านั้น ในขณะที่ประธานใหญ่คังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

“หัวหน้าชา ไม่ได้บอกเหรอว่าฉันมาน่ะ”

“ผมบอกแล้ว…”

“มันไม่สำคัญหรอกครับ ยังไงก็เข้ามาแล้วนี่นา”

ซองฮุนมองแทมูเหมือนจะถามว่าทำไมจะไม่สำคัญ แต่เขาแสร้งทำเป็นไม่เห็นและหันไปมองประธานใหญ่คัง

“มาถึงนี่มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”

“ฉันมาในที่ที่ไม่ควรมาหรือไง”

“ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คุณปู่ควรจะมาครับ”

ไม่มีทางที่ประธานใหญ่คังจะไม่รู้ว่าแทมูกำลังพูดเป็นนัยแบบอ้อมๆ ว่าที่นี่คือบริษัท ไม่ใช่ศูนย์กิจกรรมของผู้สูงอายุ

“ตำแหน่งของฉันคือประธานใหญ่นะ”

“เป็นประธานใหญ่แค่ในตำแหน่ง แต่ไม่ได้เป็นประธานใหญ่จริงๆ นี่ครับ”

“ดูพูดเข้าสิ พูดอย่างนี้แล้วยังจะบอกว่าแกแยแสฉันอยู่เหรอ ฉันเป็นคนปลุกปั้นบริษัทนี้ขึ้นมานะ ฉันเป็นผู้ก่อตั้งซองอุนนะ”

“ถ้ามีอำนาจมากขนาดนั้นก็ช่วยทำอะไรสักอย่างกับผู้อำนวยการอันหน่อยสิครับ”

ผู้อำนวยการอันชอลกยูผู้ที่อ้างว่าตัวเองเป็นผู้ร่วมก่อตั้งอันดับหนึ่งของบริษัทตั้งแต่แรกเริ่ม แต่กลับไม่สนใจทำงานและมัวแต่ต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งอยู่ทุกวี่ทุกวัน คังซองจงผู้เป็นพ่อของคังแทมูบริหารบริษัทอย่างยากลำบากเพราะผู้อำนวยการอัน ซึ่งนั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่คังซองจงส่งต่องานทุกอย่างให้คังแทมูและจากไป ทว่าแม้จะเกิดปัญหานั้น ประธานใหญ่คังกลับทำเพียงจับตามองผู้อำนวยการอันเท่านั้น

“จัดการเองไม่ได้ก็เลยมาขอให้ฉันใช้อำนาจงั้นเหรอ แกต้องจัดการเองให้ได้สิ ถึงจะเรียกว่ามีความเป็นผู้นำ”

ตาเฒ่าจอมเจ้าเล่ห์

“ถ้าไม่ช่วยก็เลิกสนใจเรื่องของบริษัทสิครับ”

“ว่าไงนะ ฉันมีหุ้นอยู่ในบริษัทนี้ตั้งเท่าไร”

“บริษัทนี้ไม่ใช่บริษัทใหญ่ถึงขนาดที่จะเอาเรื่องหุ้นมาพูดนะครับ”

ที่นี่ไม่ใช่บริษัทขนาดใหญ่ เป็นแค่บริษัทขนาดกลางที่พอจะเริ่มตั้งตัวได้เท่านั้น จะพูดเรื่องหุ้นทำไมกัน แทมูอุตส่าห์ไม่ถอดตำแหน่งประธานใหญ่ออกเพราะคิดว่าเป็นมารยาทที่ควรมีต่อผู้ก่อตั้งบริษัท แต่ประธานใหญ่คังก็มักมาบ่นและจู้จี้พนักงานอยู่เรื่อย

“โอ้โห เจ้าหลานคนนี้ช่างอวดดีจริงๆ ฉันอุตส่าห์มาหาทั้งที ไม่คิดจะเชิญฉันนั่งหน่อยเหรอ”

“ก็นั่งเองแล้วนี่ครับ”

“ฮึ่ม!”

ประธานใหญ่คังนั่งลงบนโซฟาพลางพึมพำราวกับการเชิญนั่งและการไม่เชิญนั่งมันต่างกันมาก จากนั้นก็หันไปจ้องหัวหน้าชา

“ขอชาให้ฉันสักแก้วสิ”

“รับชาอะไรดี…”

“หัวหน้าชาไม่ใช่พนักงานร้านชานะครับ”

แทมูพูดกับประธานใหญ่คังด้วยน้ำเสียงหนักแน่น หากมองในมุมของซองฮุนก็ย่อมประทับใจในส่วนนี้ แต่ซองฮุนรู้ดีว่าแทมูไม่ได้พูดเพื่อเขาอย่างแน่นอน ที่แทมูพูดอย่างนั้นก็เพราะกลัวว่าตัวเองจะถูกรบกวนการทำงานในขณะที่ประธานใหญ่คังนั่งดื่มชามากกว่า

“ฉันอายุปูนนี้แล้ว จะให้ฉันชงชาดื่มเองในห้องทำงานของแกหรือไง”

“ไปนั่งดื่มที่ร้านอึนฮเยที่คุณปู่ชอบสิครับ”

“ฉันไม่ชอบที่นั่น เจ้าของร้านไม่ได้เรื่อง”

“ทำไมล่ะครับ เธอบอกว่าชอบคนอื่นเหรอครับ”

“ใครบอก!”

ตะโกนเสียงดังขนาดนี้แปลว่ายอมรับ ส่วนสีหน้าที่ดูเสียศักดิ์ศรีแบบนี้คือหลักฐาน

“ผมจะไปเตรียมชามาให้นะครับ”

ซองฮุนพูดอย่างรู้จังหวะ

“ไม่ต้องแล้ว ขืนใช้งานนายหนัก ฉันต้องฟังเจ้านั่นบ่นแน่ๆ เรื่องของปู่ตัวเองเอาไว้ทีหลัง ใจดีแต่กับคนของตัวเอง”

ประธานใหญ่คังมองแทมูด้วยสายตาไม่พอใจ

นั่นไม่ใช่เหตุผลที่แสดงถึงน้ำใจเลยนะครับท่าน

ซองฮุนได้แต่เบ้ปาก

“ไปนัดบอดซะ”

จู่ๆ ประธานใหญ่คังก็พูดเข้าประเด็น แทมูขมวดคิ้วไม่พอใจครู่หนึ่งก่อนจะก้มลงไปอ่านเอกสารเหมือนกับนั่นเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องคิด

“ผมงานยุ่งครับ”

“ยังไม่เห็นถามเลยว่าเมื่อไร งานยุ่งอะไรกัน”

“เมื่อไรเหรอครับ”

“ตอนนี้”

ตอนนี้เนี่ยนะ

แทมูอยากโวยวายกลับไปเหลือเกินว่าล้อเล่นกันอยู่หรือไง แต่สำหรับประธานใหญ่คังแล้ว พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะมันคงจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เขาจึงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งพลางมองประธานใหญ่คังที่กำลังยิ้มอย่างเบิกบานใจ

“คุณปู่นัดในช่วงเวลาที่ผมยุ่งมากๆ เลยนะครับ”

“งั้นเหรอ ถ้าเสาร์อาทิตย์ยังงานยุ่ง แล้วเป็นเมื่อไรดีล่ะ ให้เปลี่ยนเป็นวันธรรมดาดีไหม”

แม้จะไม่มีการอ่อนข้อให้ แต่ถ้าเป็นเรื่องเปลี่ยนแปลงเวลาก็พอยอมได้บ้าง

ประธานใหญ่คังยิ้มละไม มีคำพูดที่ว่าเมื่อก่อนเคยยิ้มให้ แต่อยู่ๆ ก็พุ่งตัวเข้ามาแทงเสียอย่างนั้น ภาพของประธานใหญ่คังกำลังแสดงถึงคำพูดนั้นได้ดี

“คุณปู่ก็ทราบดีไม่ใช่เหรอครับว่าทุกครั้งที่นัดบอด ผมมักถูกปฏิเสธ”

“แกถูกปฏิเสธหรือแกเป็นคนปฏิเสธกันแน่”

“แต่สุดท้ายแล้วผลที่ออกมามันก็เหมือนกันอยู่ดีไม่ใช่เหรอครับ”

“อายุยี่สิบเจ็ด ชื่อจินยองซอ”

ประธานใหญ่คังพูดต่อโดยไม่สนใจแทมู

“แกเองก็รู้จักบริษัทยองจินใช่ไหม เมื่อก่อนฉันเคยช่วยประธานใหญ่จินเอาไว้เยอะ และประธานใหญ่จินก็มีลูกสาวคนเดียว”

บริษัทยองจินเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจปศุสัตว์ที่แข็งแกร่งและเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยขยายตลาดไปยังแฟรนไชส์ที่เกี่ยวข้อง แทมูเองก็เคยคุยเรื่องธุรกิจกับประธานใหญ่จินโดยที่มีประธานใหญ่คังคอยประสานงานให้

“เป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จก่อนบริษัทอื่นที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน แกเองก็มีสิ่งที่ต้องเรียนรู้ มันจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทของเรามากเลยนะ และเขาก็รวยมากด้วย ไปคุยให้ดีๆ ล่ะ”

“จะให้ผมแต่งงานหรือจะให้ผมไปคุยธุรกิจกันแน่ครับ”

“อะไรก็ได้ แค่ได้แต่งงานก็พอ”

“ผมไม่อยากแต่งงานด้วยวิธีแบบนั้นครับ”

“งั้นจะแต่งงานด้วยวิธีแบบไหนล่ะ จะรอไปต้องตาต้องใจใครก่อนแล้วถึงจะแต่งงานงั้นเหรอ ฉันว่าทั้งแกและฉันชาตินี้คงไม่ทันแล้วล่ะ”

ประธานใหญ่คังกระเดาะลิ้น

“การที่แกจะได้แต่งงานกับผู้หญิงที่แกรักและการที่ฉันจะได้เห็นภาพนั้น ชาตินี้คงไม่ทันแล้ว”

“แต่การแต่งงานด้วยเหตุผลทางธุรกิจแบบนั้น…”

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันได้ยินว่าแม่หนูนั่นทั้งหน้าตาดีแล้วก็สุภาพเรียบร้อย น่าจะถูกใจแกนะ เพราะฉะนั้นตอนนี้แกรีบ…”

“ผมไม่ไปครับ”

สงครามประสาทก่อตัวขึ้นท่ามกลางความเงียบ ซองฮุนได้แต่ยืนหรี่ตามองคนทั้งสอง แล้วประธานใหญ่คังก็ทำลายความเงียบด้วยการกระแอมออกมา

“หัวหน้าชา”

“ครับ ท่านประธานใหญ่”

ซองฮุนประสานมือทั้งสองข้างอย่างสำรวม

“ลงไปที่ร้านซุปกระดูกวัวคุณยายข้างล่างนี้ แล้วซื้อซุปกระดูกวัวมาหนึ่งชาม ฉันไม่ดื่มชาแล้ว จะกินข้าวก่อนแล้วค่อยกลับ อ้อ อย่าลืมเปิดช่องซีรี่ส์เอาไว้ให้ด้วยล่ะ”

ซีรี่ส์งั้นเหรอ

แทมูขมวดคิ้ว ประธานใหญ่คังจะต้องดูซีรี่ส์น้ำเน่าเรื่องโปรดตั้งแต่ตอนที่หนึ่งอย่างแน่นอน ถ้าแค่โทรมาก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่การที่ประธานใหญ่คังมาถึงที่นี่ก็หมายความว่าจะไม่มีทางยอมอ่อนข้อให้จนกว่าจะได้ตามที่ต้องการ และนั่นก็หมายความว่าประธานใหญ่คังจะรบกวนการทำงานของเขาต่อไปเรื่อยๆ แถมยังมีซีรี่ส์และซุปกระดูกวัวอีกต่างหาก นั่นคือสิ่งที่แย่ที่สุดเป็นอันดับสอง ส่วนอันดับหนึ่งคือการตกปลา

แทมูไม่อยากพ่ายแพ้ในครั้งนี้ แต่เขาก็ไม่ใช่คนดื้อดึงที่จะเอาชนะตาแก่อย่างงี่เง่าท่าเดียว ดังนั้นแทนที่จะปล่อยให้เสียเวลาไปแบบนี้ รีบไปนัดบอดแล้วรีบกลับมาเสียยังจะดีกว่า

แทมูลุกขึ้นจากที่นั่ง

“ที่ไหนครับ”

“ไม่ไกลหรอก”

ประธานใหญ่คังยิ้มอย่างพึงพอใจและลุกขึ้นจากที่นั่งเช่นกัน

“นี่…นี่มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ”

แม้จะพูดอย่างนั้น แต่ฮารีก็ไม่ได้บอกให้เอาออกไป

“ต้องใส่ขนาดนี้สิ ถึงจะเล่นบทบาทเฟม ฟาทัลได้”

ไม่รู้ว่าฮารีคิดไปเองหรือเปล่า พอไม่ต้องเป็นคนทำเอง ยองซอดูสนุกมาก ตั้งหน้าตั้งตายัดฟองน้ำใส่เข้าไปในเสื้อชั้นในของฮารี แม้ฮารีคิดว่าแค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว แต่ยองซอก็ยังใส่เพิ่มอีกชั้น แล้วก็อีกชั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ยองซอ หน้าอกฉันดูขาดแคลนขนาดนั้นเลยเหรอ

“แต่งหน้าเข้มขนาดนี้ แถมยังยัดไอ้นี่เข้าไปอีก…”

ฮารีมองหน้าตัวเองในกระจก ผมสีดำของเธอถูกรวบขึ้น เปลือกตาสีดำเข้ม ริมฝีปากสีแดงจัด เป็นการแต่งหน้าที่เข้มมากจริงๆ

“แต่งหน้าเข้มขนาดนี้จะไม่มีหน้าอกได้ยังไง มันก็ไม่สมดุลกันน่ะสิ”

ยองซอพูดพลางใช้มือจัดทรงให้ฟองน้ำเข้ากับหน้าอก ฮารีจ้องยองซอเขม็ง

“นี่ หน้าอกฉันไม่ได้มีน้อยขนาดนั้นนะยะ”

“รู้แล้วน่า”

เมื่อได้ยินคำตอบที่ไม่จริงใจ ฮารีก็คว้าข้อมือของยองซอเอาไว้

“นี่ ฉันคัพซีนะจะบอกให้”

“รู้แล้วน่า รู้แล้ว ถ้าโกยสุดๆ ก็คงได้นั่นแหละ เอาล่ะๆ”

ยองซอจับไหล่ฮารีให้หมุนตัวเหมือนกำลังบอกให้ลองดูกระจก ฮารียืดหลังตรงและมองไปที่กระจกในห้องน้ำ ตรงส่วนหน้าอกของเดรสพองโตเหมือนกำลังจะระเบิดออก เธอมีส่วนเว้าส่วนโค้งในแบบที่เคยฝันอยากจะมี รู้สึกเหมือนตัวเองอกผายไหล่ผึ่งขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไรชอบกล

ฮารียกไหล่ขึ้นและยื่นปากออกมาทำท่าจุ๊บ

“เป็นไง”

“โอ้ เซ็กซี่เหมือนกันนะเนี่ย”

ถึงจะดูมากเกินไปสักหน่อย แต่ฮารีก็ไม่ถึงกับไม่ชอบ แค่ได้เห็นตัวเองแต่งตาแบบสโมกกี้อายอย่างที่อยากลองแต่งดูสักครั้ง แถมยังอยู่ในเดรสสั้นอวดหน้าอกโตจนแทบจะระเบิดแบบนี้ ก็ทำให้เธอรู้สึกเนื้อเต้นเหมือนตัวเองกำลังจะทำเรื่องนอกลู่นอกทาง

“เป็นการแปลงโฉมที่สมบูรณ์แบบจริงๆ ใครจะไปรู้ว่าเป็นชินฮารี”

“นั่นสิ ขนาดพ่อแม่ฉันก็คงจำไม่ได้เลยมั้ง ฮามินก็ด้วย”

“ใช่ ตอนนี้เธอไม่ใช่ชินฮารีแล้ว แต่เป็นจินยองซอ ถ้าแนะนำตัวผิดล่ะก็ บัตรเครดิตของฉัน…”

“รู้แล้วน่า รู้แล้ว”

“ขอแค่ไม่พูดชื่อผิดก็พอ จะปลดปล่อยพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ในตัวเธอออกมาให้หมดเลยก็ได้ เอาให้เหมือนเพลย์เกิร์ลเลยนะ ว่าไง”

เมื่อเห็นใบหน้าที่มีความสุขของยองซอ จากที่ยิ้มอยู่ในตอนแรก ฮารีก็เริ่มแสดงสีหน้ากังวลออกมา

“แต่เธอจะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอ ถ้าฉันพูดอะไรแปลกๆ ออกไป”

“อะไรแปลกๆ นั่นน่ะ ฉันพูดมาตั้งนานแล้ว พอรู้ว่าที่ฉันพูดเพ้อเจ้อและพูดพล่ามแบบนั้นเป็นเพราะฉันไม่ชอบใจ พวกเขาก็เลยรู้สึกเสียศักดิ์ศรีและพูดเหมือนตัวเองเป็นฝ่ายปฏิเสธฉัน คนพวกนั้นคิดถึงแต่ความมีหน้ามีตาของตัวเอง แค่อีกฝ่ายแสดงออกว่าไม่ถูกใจตัวเองเพียงนิดเดียวก็เป็นเดือดเป็นแค้น แล้วก็พูดในทำนองว่าตัวเองจะไม่ยอมให้ฉันเป็นฝ่ายปฏิเสธ ทั้งที่ไม่ชอบฉันตั้งแต่แรกแล้ว”

ยองซอหัวเราะและจับแก้มฮารี

“เพราะงั้นเธอก็ไม่ต้องกังวลนะ พูดพล่ามจัดเต็มได้เลย”

“โอเค ว่าแต่ผู้ชายคนนี้ทำงานอะไรเหรอ”

“ไม่รู้สิ ได้ยินว่าเป็นประธานบริษัทอะไรสักอย่าง”

“อายุล่ะ”

“ขนาดชื่อฉันยังไม่รู้เลย นามสกุลก็ไม่รู้ ไม่รู้อะไรสักอย่าง”

“ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคู่นัดบอดเลยเนี่ยนะ”

“นี่ ต้องนัดบอดสักครั้งสองครั้งก่อนสิ ถึงจะจำเรื่องพวกนั้นได้หมด”

“แต่ถึงยังไงก็ต้องรู้หน่อยสิว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ถึงจะไปดูตัวได้ ถ้าคลาดกันล่ะ…”

“ผู้ชายคนนั้นน่าจะรู้จักชื่อฉันนะ”

เมื่อฮารีหรี่ตามองเพื่อนผู้ไร้ความรับผิดชอบ ยองซอก็บีบไหล่ของฮารีอย่างแรง

“น้องรักของข้า เจ้ากลัวอะไรรึ ในเมื่อข้าบอกแล้วว่าไม่เป็นไร”

“ข้ากลัวทุกอย่างที่เจ้าสั่งให้ทำ”

“เจ้าต้องการเงินมิใช่รึ”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…”

“ค่าตอบแทนจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังแน่นอน”

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฮารีก็พยักหน้าพร้อมปฏิบัติการด้วยสีหน้ามุ่งมั่น

“ข้าจะทำให้เต็มที่!”

 

ระหว่างทางไปสถานที่นัดพบ แทมูกำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถ

ครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่ถูกประธานใหญ่คังรบกวนการทำงานแบบนี้ มันบ่อยมากจนนับครั้งไม่ถ้วน เขาจำได้ว่าส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้และสาเหตุก็เป็นเพราะเรื่องแต่งงาน

แต่งงาน แต่งงาน มันสำคัญอะไรขนาดนั้นถึงได้มารบกวนคนที่กำลังตั้งใจทำงานแบบนี้ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงต้องเสียเวลาอันมีค่าในการทำงานให้กับสิ่งไร้ประโยชน์ที่เขาไม่ชอบเลยด้วยซ้ำ ไม่คิดเลยว่าการพูดถึงเรื่องแต่งงานบ่อยขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงนี้จะรบกวนการทำงานมากขนาดนี้

เขาไม่แต่งงานเพราะคิดว่าถ้าแต่งงานคงจะถูกแย่งเวลาทำงานไปอย่างแน่นอน แต่ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป การไม่แต่งงานอาจแย่งเวลาทำงานไปทั้งหมดเลยก็ได้

ช่วงนี้เขากำลังเตรียมพูดคุยธุรกิจสำคัญกับบริษัทญี่ปุ่น จึงลองคำนวณดูว่าถ้าครั้งนี้นัดบอดแบบขอไปทีเหมือนทุกครั้ง แล้วต่อไปจะเกิดเหตุการณ์ที่ประธานใหญ่คังมาหาจนเขาต้องทิ้งงานเพื่อรีบลุกออกไปอีกกี่ครั้ง ไม่ว่าจะคำนวณเท่าไรก็นับไม่ถ้วน อัตราความเป็นไปได้ก็คือร้อยเปอร์เซ็นต์ ต่อไปประธานใหญ่คังคงจะแวะมาหาเขาบ่อยขึ้นเรื่อยๆ และทุกครั้งก็คงยกเหตุผลต่างๆ นานาขึ้นมาอ้างจนทำให้เขาต้องลุกขึ้นจากที่นั่งทั้งที่ยังทำงานอยู่อย่างแน่นอน

ตอนนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ใครจะไปรู้ว่าต่อไปอาจเป็นวันธรรมดาก็ได้ ประธานใหญ่คังสนุกกับการแกล้งเขามาตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นเด็ก ดังนั้นถ้าเขาบอกว่าไม่ชอบ ประธานใหญ่คังก็จะยิ่งทำเรื่องนี้อย่างสนุกสนานมากขึ้นไปอีก

ทันทีที่จินตนาการถึงภาพที่ประธานใหญ่คังเพลิดเพลินกับการรบกวนเขา หัวใจก็เดือดพล่านขึ้นมา แต่เขาเป็นคนที่มีนิสัยไม่แสดงออกถึงความรู้สึกภายในใจ ดังนั้นในสายตาของคนอื่นๆ จึงอาจเห็นว่าเขาแค่กำลังนั่งมองทิวทัศน์บนท้องถนนอย่างเงียบๆ เท่านั้น

แทมูหรี่ตามองถนนที่ผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว จะปล่อยให้เสียเวลาไปกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น…

ใช่แล้ว ใช่แล้ว ใช่แล้ว

“ใช่แล้ว”

“…ครับ?”

ซองฮุนที่กำลังขับรถเหลือบมองแทมูผ่านกระจกมองหลัง ทั้งสองจึงสบตากันในกระจก

“เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะครับ”

“หัวหน้าชา”

“ครับ ท่านประธาน”

“นัดบอดคราวนี้ ผมจะแต่งงาน”

“ว่าไงนะครับ”

ซองฮุนเบิกตากว้าง คังแทมู ผู้ชายที่พูดคำไหนออกมาแล้ว ถึงตายก็ต้องทำตามคำนั้นให้ได้ เมื่อครู่นี้เขาบอกว่าอะไรนะ

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นัดบอดคราวนี้ ผมจะแต่งงาน ต่อให้ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นผู้หญิงแบบไหนก็ตาม”

ไม่ว่าอย่างไรก็จะแต่งงาน เจตนารมณ์อันแรงกล้าพุ่งออกมาจากแววตาของแทมู

ซองฮุนกำพวงมาลัยแน่น ทำไมการรู้สึกถึงลางร้ายจึงต้องตกเป็นภาระของคนรอบข้างเสมอนะ

ฮารีดันหน้าอกของตัวเอง ถ้าจะพูดให้ถูกคือดัน ‘ฟองน้ำ’ ที่เอาแต่ล้นขึ้นมาเรื่อยๆ ให้กลับเข้าที่ เธอเพิ่งจะทำอย่างนั้นซ้ำๆ แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น แต่รู้ตัวอีกทีก็มาถึงร้านกาแฟของโรงแรมแล้ว เมื่อหายใจเข้าลึกๆ และมองไปรอบๆ ผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่คนเดียวก็ปรากฏแก่สายตาของเธอ ผู้ชายที่ใส่สูทแล้วช่างดูเหมาะเจาะเสียเหลือเกิน ผู้ชายที่มีออร่าเปล่งประกาย แม้เขากำลังนั่งอยู่ก็รู้สึกได้ว่าเขาต้องมีช่วงขาที่เรียวยาวแน่นอน

อย่าบอกนะว่าเป็นผู้ชายคนนั้น

เขาทั้งหนุ่มและหล่อ แตกต่างจากที่เธอจินตนาการเอาไว้อย่างสิ้นเชิง

เธอคิดว่าเขาจะเป็นผู้ชายวัยกลางคนที่แต่งงานเพื่อเงินเท่านั้น

นี่ฉันต้องไปพูดเพ้อเจ้อต่อหน้าผู้ชายแบบนั้นน่ะเหรอ ฉันทำไม่ได้ ยังไงฉันก็ทำไม่ได้

แต่การหาเงินมันไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็โดนมินอูปฏิเสธทางอ้อมไปแล้ว และเธอก็ต้องการเงิน เมื่อก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งด้วยความตั้งใจที่ว่า ใช่แล้ว ลองทำอะไรบ้าๆ บอๆ ดูสักครั้งก็แล้วกัน เธอก็สัมผัสได้ถึงสายตาของผู้คนที่จับจ้องมา เมื่อมีผู้หญิงใส่กระโปรงสั้น ทาลิปสติกสีแดงแปร๊ด ทาตาดำปี๋อย่างกับหมีแพนด้า ‘ตาช้ำ’ เดินหน้าอกล้ำหน้าขนาดนั้น จะไม่ให้สะดุดตาได้อย่างไร

ถ้าเป็นฉัน ฉันจะหนีไป

เมื่อเหลือบตามองตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกแวบหนึ่ง ฮารีก็หน้าแดงขึ้นมาเพราะความขายหน้า เธอรู้สึกเหมือนไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องเพ้อเจ้อแล้ว แค่ผู้ชายคู่นัดบอดเห็นเธอปุ๊บ ก็น่าจะหนีปั๊บ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงไม่ต้องพูดอะไรไร้สาระแล้วสิ

ขอให้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากด้วยเถอะ

กึกๆๆ รองเท้าส้นสูงส่งเสียงดังลั่น ฮารีเดินเข้าไปใกล้ผู้ชายคนนั้นและพูดด้วยน้ำเสียงเซ็กซี่สุดชีวิต

“ฉันชื่อจินยองซอค่ะ”

เขาเงยหน้าขึ้นมอง ทันทีที่สบตากัน ฮารีรู้สึกแปลบขึ้นมาเหมือนมีอะไรบางอย่างโถมเข้ามาในร่างกายและผ่านออกไปราวกับถูกฟ้าผ่า แต่นั่นก็เป็นช่วงเวลาที่สั้นมากและยากที่จะสังเกตได้ เธอจึงคิดว่าตัวเองแค่เสียความมั่นใจไปเท่านั้น

อะไรเนี่ย เป็นเพราะสายตาคมกริบนั่นหรือเปล่านะ

เมื่อฮารีหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็ยกมือขึ้นและผายมือให้เธอนั่งลงฝั่งตรงข้าม ในตอนนั้นเธอจึงเตือนตัวเองขึ้นมาว่ากำลังสวมหน้ากากที่แม้แต่พ่อแม่ก็ยังจำไม่ได้ ก่อนที่จะนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเขา

“ฉันมาสายไปหน่อยใช่ไหมคะ”

ฮารีนั่งไขว่ห้าง กอดอกและยิ้มอย่างสบายอกสบายใจ

เขามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ส่วนเธอก็นั่งยืดไหล่ตัวตรงและจ้องมองเขาเช่นกัน ผมถูกจัดแต่งอย่างเป็นระเบียบด้วยน้ำมันแต่งผม ดวงตาเรียวยาว ผิวขาว จมูกโด่ง นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอได้เห็นใบหน้าอันสมบูรณ์แบบขนาดนี้ใกล้ๆ แบบตัวเป็นๆ

ฮารีรู้สึกใจเต้นไม่เป็นจังหวะ อารมณ์เหมือนได้เจอดาราตัวจริง ว่าแต่เป็นเพราะรูปโฉมที่ขนาดนายแบบยังต้องชิดซ้ายหรือเปล่านะ ถึงทำให้เธอรู้สึกคุ้นหน้าแบบนี้ เธอเอียงศีรษะเล็กน้อย หลังจากหรี่ตามองอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยปากช้าๆ ราวกับเสร็จสิ้นการสแกนเรียบร้อยแล้ว

ดีล่ะ ถ้าอยากหนีก็หนีไปเลย เร็วสิ พูดมาสิว่าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีนัด เร็วสิ เร็วเข้า!

“คุณมาสายมากเลยนะครับ”

“เอ่อ ค่ะ ขอโทษ…”

สายตาที่จ้องมองมาของเขาทำให้ฮารีเสียความมั่นใจอีกครั้ง เธอเกือบจะขอโทษกลับไปอย่างมารยาทงามเสียแล้ว เป็นเพราะคำทักทายที่ต่างไปจากที่คาดไว้หรือเปล่านะ หรือเป็นเพราะสายตาคมกริบคู่นั้นกันแน่ จะว่าไปแล้วเธอรู้สึกเหมือนเคยเห็นสายตาแบบนี้ที่ไหนมาก่อน

อย่าคิดนอกเรื่อง เธอต้องสติให้ดีนะชินฮารี คนอย่างเธอจะไปเคยเห็นผู้ชายแบบนี้ในโลกของเธอได้ยังไง ห้ามไปหลงกลนะ เธอต้องหาค่าพาร์ตไทม์ให้ได้สิ

ฮารีฉีกยิ้มกว้างอีกครั้ง

“ถ้าคุณคิดจะคบผู้หญิงอย่างฉันล่ะก็”

ฮารีย่นจมูกข้างหนึ่งเล็กน้อย

“คุณต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้หน่อยนะคะ อย่างที่คุณเห็น พอดีฉันค่อนข้างยุ่งน่ะค่ะ ก็พวกผู้ชายไม่ปล่อยให้ฉันว่างเลยน่ะสิ”

อึ๊ย ขนลุก!

คนที่อยากหนีไปในตอนนี้คือฮารีมากกว่า ขณะที่อีกฝ่ายเพียงแค่จ้องมองมาโดยที่สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลยด้วยซ้ำ แต่เธอกลับเป็นฝ่ายขนลุกเสียเอง เธอคิดว่าถ้าขืนยังพูดแบบนี้ต่อไปคงจะรับตัวเองไม่ได้แน่ จึงพูดออกมาด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจว่าต้องทำให้เขาหนีไปให้เร็วที่สุดให้ได้

“เมื่อกี้ฉันก็เพิ่งไปพบผู้ชายอีกคนมาน่ะค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ เพิ่งเจอกันครั้งแรกแท้ๆ แต่ก็ดูจะเปิดเผยมากไปสักนิด แต่นี่เป็นตัวตนที่แท้จริงของฉันน่ะค่ะ ยังไงก็น่าจะดีกว่าแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาใช่ไหมล่ะคะ”

ฮารีแอ่นอกอวบอึ๋มพลางยิ้มออกมา ทว่าสีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง

อะไร อะไรกันเนี่ย เป็นหินผาหรืออะไรกัน

หรือว่าเขาจะเบื่อแล้ว แต่นี่ยังไม่ได้เริ่มเลยนะ ถ้ามาเบื่อกันทั้งที่เธอยังนั่งอยู่ตรงหน้าแบบนี้ล่ะก็ มันคงเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีที่เธอยอมรับไม่ได้

“คุณไม่ค่อยชอบเพลย์เกิร์ลเหรอคะ”

ฮารีก้มลงไปข้างหน้าเล็กน้อย เผยให้เห็นเนินอกทั้งสองข้างที่โกยขึ้นมาอย่างสุดชีวิตพลางพูดออกมา

“ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น เราเลิกทำเรื่องน่าเบื่อแบบนี้แล้วมาเล่นอะไรสนุกๆ อย่างอื่นกันดีไหมคะ”

เธอยิ้มอย่างสบายอกสบายใจและพูดต่อ

“ถ้าพูดถึงการแต่งงาน อย่างน้อยมันก็คือการที่เราต้องแบ่งชีวิตให้กัน ซึ่งมันจะเป็นอย่างนั้นทั้งชีวิต แล้วก็ใช่ว่าเราจะเที่ยวไปแต่งกับใครก็ได้นี่คะ การแต่งงานกันทั้งที่กระแสไฟไม่ได้สื่อถึงกันและมองแต่เงื่อนไขอย่างเดียว มันดูไม่โรแมนติกเอาเสียเลย เราเลิกทำอะไรแบบนี้แล้วทำอย่างอื่นกันดีกว่าค่ะ ฉันน่ะเบื่อการนัดบอดแบบนี้จนแทบบ้าแล้ว”

ฮารีขยิบตาอย่างสบายอกสบายใจพลางย้ำกับตัวเองเรื่อยๆ ว่า ‘ฉันใส่หน้ากากอยู่’

“ถ้าคุณคนเดียวเอาไม่อยู่ จะเรียกเพื่อนมาเป็นสองต่อหนึ่งก็ได้นะคะ หรือจะเป็นสามต่อหนึ่งเลย…”

สามต่อหนึ่งมันเกินไปไหมนะ แค่สองต่อหนึ่งก็บ้าแล้ว แล้วสองต่อหนึ่งจะต้องทำอะไรกันล่ะ

แต่บางทีเวลาที่รู้สึกไม่สบายใจ แค่ได้พูดอะไรบ้าๆ บอๆ ออกไปก็ทำให้รู้สึกบันเทิงใจขึ้นมาแล้ว และเมื่อได้พูดไปเรื่อยๆ ฮารีก็ยิ่งรู้สึกสนุกกับการพูดจาไร้สาระมากขึ้น

“คุณจะไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ เพราะฉันจัดการได้ทั้งหมดไม่ว่าจะสองคนหรือสามคน รวมถึงคุณด้วย เป็นไงคะ”

ฮารีพูดคำว่า ‘จัดการ’ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่สุดแสนจะเซ็กซี่ ขณะที่ฝ่ายชายเอาแต่นั่งมองเธอเงียบๆ

ดีแล้ว คู่นัดบอดรักสนุกขนาดนี้ ใครจะไปชอบ ถ้าเป็นคู่ควงแค่คืนเดียวก็ไม่แน่ แต่ถ้าให้เป็นคู่แต่งงานล่ะก็ ยังไงก็ไม่มีใครรับได้หรอก

“ถ้าคุณอยากล่ะก็ เราขึ้นไปสนุกกันข้างบนดีไหมคะ ที่นี่เป็นโรงแรมนี่นา ฉันจะทำให้คุณรู้สึกดีสุดๆ ไปเลย พวกผู้ชายเห็นฉันเมื่อไรเป็นต้องตามกันแจ…ฮึ ถึงไม่ต้องพูดต่อ คุณก็คงพอจะทราบใช่ไหมคะ ฉันว่าคุณเองก็น่าจะชอบใช้แรงเหมือนกัน ถึงฉันจะยุ่งนิดหน่อย แต่ถ้าใช้เวลาสักประมาณชั่วโมงหนึ่งก็ยังพอจัดเวลาได้นะคะ”

พอพูดจบ เธอก็หัวเราะออกมา แต่ฝ่ายชายกลับไม่พูดอะไรเลย

โอย อยากมุดดินหนีชะมัด

ฮารีทำทุกอย่างตรงข้ามกับสิ่งที่ใจคิด เธอยิ้มและกะพริบตาอย่างเต็มที่จนรอยยิ้มเริ่มจะค้างและแก้มเริ่มจะชา เขาถึงเอ่ยปากพูดออกมา

“คังแทมูครับ”

“…คะ?”

“ดูเหมือนคุณจะยังไม่รู้จักชื่อผมน่ะครับ”

เขาพูดออกมาราวกับว่ารู้สึกติดใจกับคำที่ฮารีเรียกเขาว่า ‘คุณ’ จากบรรดาคำพูดมากมายเหล่านั้น เธอเบ้ปากในใจ แต่ภายนอกก็ยังคงยิ้มอย่างสบายอกสบายใจต่อไป

“อ๋อ ค่ะ คุณคังแทมู คุณชื่อคังแทมูนี่เอง”

คังแทมู คังแทมู คังแทมู…

ฮารีทวนชื่อของเขาซ้ำๆ อยู่ที่ปาก ไอ้ความรู้สึกเหมือนจะเคยได้ยินชื่อนี้อยู่บ่อยๆ จากที่ไหนสักแห่งนี่มันอย่างไรกันนะ เธอหันไปสบตาเขาที่กำลังจ้องมองมาและลดความวิตกกังวลของตัวเองด้วยรอยยิ้ม

“ขอโทษด้วยนะคะ พอดีฉันนัดบอดมากไปหน่อย เลยจำชื่อไม่ค่อยได้น่ะค่ะ”

ยิ่งพูดก็ยิ่งดูไม่มีมารยาทเอาเสียเลย แล้วอย่างไรล่ะ มันไม่ใช่มารยาทของชินฮารีสักหน่อย เป็นมารยาทของจินยองซอต่างหาก อย่างไรเสียยองซอก็ไม่รู้ชื่อของเขาจริงๆ นี่นา ทั้งยังบอกแล้วด้วยว่าไม่เป็นไร เพราะฉะนั้นก็ต้องพยายามแสดงให้ดูไม่มีมารยาทยิ่งขึ้นไปอีก

“ฉันชื่อจินยองซอค่ะ”

“ผมทราบแล้วครับ”

เขาตอบกลับมาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

ทำไมฉันถึงรู้สึกวุ่นวายใจขึ้นมานะ ฉันน่ะเบื่อได้ แต่นายจะเบื่อไม่ได้สิ

“ฉันเป็นคนว่างงานค่ะ”

ฮารีตั้งใจพูดให้เขาหัวเราะ แต่สีหน้าของเขากลับดูเบื่อหน่ายเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

“ที่จริงแล้วฉันทำงานบริษัทค่ะ แล้วคุณคังแทมูล่ะคะ ทำงานอะไร…”

“ผมทำงานที่บริษัทซองอุนครับ”

“อ๋อ บริษัทซองอุน ฉันรู้จักที่นั่นดีเลยค่ะ ที่นั่น…”

เป็นบริษัทของฉันเอง บริษัทฉัน? ใช่ นั่นมันบริษัทของฉันนี่!

“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”

แทมูเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเมื่อเห็นฮารีเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

เขาชื่อคังแทมูทำงานอยู่บริษัทฉันงั้นเหรอ เขาคือใครกันนะ ใครกัน อย่าบอกนะว่า…

“ท่านประธาน!”

เมื่อฮารีลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง แทมูก็เงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่สายตาจะไปจับจ้องอยู่ที่ขาอันเปลือยเปล่าของเธอเนื่องจากกระโปรงที่ร่นขึ้น ฮารีจึงรีบดึงกระโปรงและนั่งลงอย่างรวดเร็ว แล้วเขาก็พูดด้วยท่าทีนิ่งเฉยเหมือนตัวเองไม่ได้มองอะไรเลยสักนิด

“ครับ ผมเป็นประธานของที่นั่น”

นี่ฉัน…มานัดบอดกับประธานบริษัทเหรอเนี่ย ฉันมานัดบอดกับประธานบริษัทของตัวเอง!

หน้าผากของเธอเริ่มเต็มไปด้วยเหงื่อ

ใช่แล้ว มิน่าล่ะ

เพราะอย่างนี้ถึงได้สงสัยว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นหน้า ถ้าให้พูดถึงหน้าตาของท่านประธานล่ะก็ ที่จริงแล้วก็แค่เคยเห็นตอนที่เขาเดินผ่านพร้อมกับพวกผู้บริหาร แล้วเธอก็คุยกับพนักงานคนอื่นๆ ว่า ‘คนนั้นคือท่านประธานเหรอ โอ้ พระเจ้า ช่างไม่ยุติธรรมเลย ทำไมบ้านถึงได้รวย ตัวสูงขนาดนั้น แถมยังหล่ออีกต่างหาก’ แต่เธอก็แค่เห็นเขาเดินผ่านไปเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตามถ้าได้เห็นใบหน้านั้นครั้งหนึ่งแล้วล่ะก็ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจำได้อยู่แล้ว แต่อาจจะยากไปสักหน่อยที่จะฉุกคิดได้อย่างรวดเร็วว่าเป็นคนคนเดียวกัน

เคยได้ยินแต่คนอื่นพูดถึง แต่แบบนี้มันสุดยอดจริงๆ!

พอได้เห็นใกล้ๆ นี่เป็นรูปโฉมที่เกินกว่าฮารีจะรับมือไหว แต่เธอไม่มีเวลามาหลงใหลในรูปโฉมเอาตอนนี้ เธอจำเป็นต้องใจเย็นลงให้มากกว่านี้

ไหนลองคิดดูซิ ท่านประธานเป็นคนแบบไหนกันนะ อ้อ ใช่เลย เขาเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ ถ้าพูดออกมาจากปากว่าต้องทำอะไรครั้งหนึ่งแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำให้ได้ จนถูกพวกพนักงานเรียกว่าโรคจิต และเขาเกลียดการที่พนักงานทำอะไรด้วยกันเป็นการส่วนตัว สั่งห้ามพนักงานในบริษัทคบกัน จนถูกกล่าวขานว่าเป็นคนหัวโบราณที่สุดในยุคนี้ แถมยังเกลียดการโกหกมากที่สุด ได้ยินมาว่าถ้าได้รู้ว่าสาเหตุของการเข้างานสายเป็นเรื่องโกหก เขาก็จะสั่งไล่ออกทันที จนถูกขนานนามว่าไอ้คนเลือดเย็น

เมื่อลองคิดดูแล้ว ฮารีก็รู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำสิ่งที่เขาไม่ชอบไปแล้วประมาณสามอย่าง

ฉัน…จะโดนไล่ออกไม่ได้

มือฮารีเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ถ้ารู้ว่าประธานบริษัทจะออกมานัดบอด อย่างน้อยเธอก็คงไม่พูดเรื่องสามต่อหนึ่งออกไป ไม่สิ เธอก็คงจะไม่มาตั้งแต่แรก! แต่มันเป็นการเสียใจในภายหลังที่สายเกินไปเสียแล้ว

ใจเย็นก่อนนะ ใจเย็นก่อน ฉันเป็นแค่พนักงานคนหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ๆ ตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นพนักงานคนนั้นด้วยซ้ำ นอกจากท่านประธานจะไม่รู้จักหน้าตาของฉันแล้ว ฉันยังแต่งหน้ามาซะเข้มเหมือนไปโดนระเบิดมาอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นต่อให้ต้องเจอกันอีก ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางจำฉันได้แน่นอน ใช่แล้ว นอกจากนี้ฉันยังไม่เคยเผชิญหน้ากับท่านประธานอย่างจริงจังเลยสักครั้งนี่นา

ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้จึงมีทางเดียวเท่านั้น นั่นคือทำอะไรบ้าๆ บอๆ ให้มากกว่านี้ จะได้แยกย้ายกันให้เร็วที่สุด

“ฉันบอกไปหรือยังนะคะว่าทำไมถึงมาสาย”

“ครับ คุณบอกว่าไปเจอผู้ชายคนอื่นก็เลยมาสายครับ”

พูดเรื่องแบบนั้นราวกับเป็นเรื่องธรรมดาเลยนะ

“ดูเหมือนคุณจะไม่รู้สึกแย่เท่าไรเลยนะคะ ทั้งที่ฉันบอกว่าไปเจอผู้ชายคนอื่นมา”

“ถ้าคุณถามถึงส่วนที่บอกว่าไปเจอผู้ชายคนอื่นมา ก็ใช่ครับ”

อะไรกัน นี่มันมนุษย์ประเภทไหนกันเนี่ย

เมื่อเห็นฮารีมองด้วยสายตาประหลาดใจ แทมูก็เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”

น่าจะมีปัญหาเยอะเลยล่ะ

แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือเรื่องผู้หญิงที่เขากำลังนัดบอดอยู่เป็นพนักงานหญิงในบริษัทของเขาเอง

ใช่แล้ว คนทั้งบริษัทรู้กันหมดแล้วว่าท่านประธานเป็นคนแปลกๆ แต่ปัญหาก็คือฉันนี่แหละ

ฮารีพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับปล่อยวางทุกอย่างแล้ว

“ที่จริงแล้วสาเหตุที่ฉันมาสายก็เพราะมัวแต่นอน มัวแต่นอนอยู่กับผู้ชายคนอื่นอยู่น่ะค่ะ”

คิ้วของเขาเลิกขึ้นสูงอีกครั้ง

ใช่แล้วค่ะ ท่านประธาน! คู่นัดบอดของท่านประธานบ้าไปแล้วค่ะ เพราะฉะนั้นคุณช่วยเลิกสนใจมารยาทแล้วรีบวิ่งหนีออกไปจากสถานที่นัดบอดแห่งนี้เถอะค่ะ

“ฉันเป็นผู้หญิงแบบนั้นค่ะ ทุกคนคิดว่าฉันตั้งใจเรียนเหมือนลูกคุณหนูผู้สูงส่ง แต่ที่จริงแล้วนอกจากฉันจะสวยแต่รูปแล้ว ฉันยังเป็นคนไร้การศึกษาที่ตั้งกำแพงกับเรื่องการเรียน แล้วก็คิดแต่เรื่องมีเซ็กซ์กับผู้ชาย ฉันไม่พอกับผู้ชายเพียงคนเดียวหรอกนะคะ คงเป็นเพราะยังไม่เจอผู้ชายที่ทำให้ฉันพอใจได้น่ะค่ะ”

เพื่อที่จะออกไปจากที่นี่ให้ได้ ฮารีจึงเริ่ม ‘พูดพล่ามจัดเต็ม’ อย่างแท้จริง

“ตอนนี้ฉันก็ยังคิดถึงแต่เรื่องนั้นอยู่เลย โอ้ ฉันอยากทำ ฉันอยากนอน ฉันอยากกินจังเลย”

ฮือ อยากจะร้องไห้

เมื่อแทมูไม่พูดอะไรออกมาเลย ฮารีจึงได้แต่เหลือบตาขึ้นมองเล็กน้อย หลังจากจ้องมองเธออยู่สักพัก เขาก็ค่อยๆ เริ่มพูดออกมา

ใช่ค่ะ ท่านประธาน ดีค่ะ พูดออกมาเลยค่ะว่ายายนี่มันบ้ามาจากไหนกัน แล้วทีนี้ก็หนีไปได้แล้วค่ะ ได้โปรด ได้…!

“มีโทรศัพท์มือถือหรือเปล่าครับ”

เขาพูดเรื่องอื่นออกมาราวกับจะบอกว่าเขาไม่จำเป็นต้องเข้าใจสถานการณ์ของเธอ

“…คะ?”

“โทรศัพท์มือถือ”

“ทะ…โทรศัพท์มือถือเหรอคะ”

เมื่อฮารีถามซ้ำหลายครั้ง เขาก็ขมวดคิ้วและมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยในแบบที่ไม่เคยแสดงให้เห็นมาก่อน ในขณะนั้นเธอรู้สึกเหมือนเจ้านายกำลังดูเอกสารของเธอด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงรีบส่งโทรศัพท์มือถือให้เขาอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางสุดเป๊ะ เขาตั้งใจกดอะไรบางอย่าง แล้วเหลือบมองโทรศัพท์มือถือของตัวเอง

คุณไม่รีบหนี แถมยังทำอะไรที่…

ฮารีมองสิ่งที่เขากำลังทำด้วยสายตาเลื่อนลอย จากนั้นเขาก็ยื่นโทรศัพท์คืนให้เธอ

“ผมได้เบอร์โทรมาผิดจริงๆ ด้วยครับ”

หืม?

“เมื่อครู่นี้ผมเห็นว่าคุณจินยองซอสายมากแล้วก็เลยลองโทรไป แต่เขาบอกว่าโทรผิดน่ะครับ”

“อ๋อ นั่นมันเบอร์ยองซอ…”

เขาคงจะโทรไปที่เบอร์ของยองซอ แล้วพอยองซอรับสายก็คงตอบปฏิเสธอย่างแน่นอน อย่าบอกนะว่าเมื่อกี้…

“คุณเมมเบอร์ฉันเหรอคะ”

ในสถานการณ์แบบนี้เนี่ยนะ ฮารีขมวดคิ้วไม่เข้าใจ นี่เธอตาฝาดไปหรือเปล่า เพราะเธอรู้สึกเหมือนจะเห็นมุมปากข้างหนึ่งของเขายกขึ้นเล็กน้อย

“วันนี้ผมเองก็ยุ่งเหมือนกันครับ”

เมื่อเขาหย่อนโทรศัพท์มือถือลงไปในกระเป๋าด้านในเสื้อสูทและลุกขึ้นจากที่นั่ง ฮารีก็ลุกพรวดขึ้นโดยอัตโนมัติเหมือนเป็นลูกน้องที่ติดตามเจ้านาย

“ไว้ผมจะโทรไปนะครับ”

“…คะ?”

“ผมจะโทรไปครับ”

“ทะ…โทรมาเหรอคะ”

แทมูหรี่ตามองฮารี

“คุณจินยองซอ”

“…คะ?”

“ผมต้องพูดอีกกี่ครั้งกันครับ”

พูดครั้งเดียว ฟังไม่เข้าใจหรือไง เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เธอรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเย็นชาพูดแบบนั้น แถมเป็นในเวอร์ชั่นเจ้านายอีกด้วย

“อ๋อ ไม่ต้องแล้วค่ะ ฉันเข้าใจแล้วค่ะ คุณบอกว่าจะโทรมา…”

“ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้ไปส่ง ถ้าคุณรอที่นี่สักครู่ เลขาฯ ของผมจะพาคุณไปส่งเองครับ”

เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วหันหลังเดินจากไป ฮารีมองตามแผ่นหลังของเขาพลางครุ่นคิดด้วยสติอันเลอะเลือน

ตอนนี้ท่านประธาน…คงกำลัง…หนีไปนั่นแหละ

เขาคงไม่คิดจะโทรมาจริงๆ หรอก…

ถ้างั้น…ถ้างั้น

พอเขาได้ฟังเรื่องเพ้อเจ้อ คงรู้สึกอายที่จะหนีไปเฉยๆ ก็เลย…

ใช่แล้ว มันต้องใช่…

 

“ทำไมกลับมาเฉยๆ ล่ะ”

แทมูถามซองฮุนผู้เป็นหัวหน้าเลขานุการที่กำลังเดินตามเขาเข้ามาในห้องทำงาน เพราะเขาสั่งให้พาคู่นัดบอดไปส่ง แล้วเขาจะนั่งแท็กซี่กลับมาเอง แต่ซองฮุนกลับเดินเข้าห้องตามเขามาทันที

“คุณจินยองซอปฏิเสธไม่ให้ผมไปส่งน่ะครับ”

แทมูดูเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า เขาถอดเสื้อสูทนำไปแขวน แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ ซองฮุนคิดว่าเขาจะพูดอะไรอย่างอื่นเพิ่มเติม แต่เขากลับเริ่มทำงานต่อทันที

ซองฮุนจ้องเขม็งไปที่เขา ใครจะไปรู้ว่าชายคนนี้เพิ่งกลับจากการนัดบอด เพราะเขาดูเหมือนแค่ออกไปจัดการงานจนเสร็จและรีบกลับมาทำงานอื่นต่อเท่านั้น เขาเป็นเสียอย่างนี้ คนถึงได้ลือกันว่าเขาไม่ใช่มนุษย์

ทุกคนในบริษัทนี้รู้ดีว่าเขาชอบทำงาน รู้ว่าเขาทำงานเก่ง แล้วก็รู้ด้วยว่าเขาคิดแต่เรื่องงานเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงรู้ดีว่าบริษัทกำลังดำเนินกิจการไปได้ด้วยดี แต่ซองฮุนคิดว่าวันนี้จะแตกต่างไปเสียอีก อย่างน้อยซองฮุนก็คิดว่าหลังจากการนัดบอดครั้งนี้ เขาจะมีท่าทีเปลี่ยนไปเพราะสิ่งที่เขาพูดก่อนที่จะไปนัดบอด

“มีอะไรหรือเปล่า”

แทมูหยุดทำงานครู่หนึ่งและเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าซองฮุนมีท่าทีลังเล เขาก็เบนสายตาไปที่เอกสารเหมือนเดิม

“ถ้าไม่มีอะไรก็เลิกงานได้แล้ว”

“คุณจินยองซอเป็นยังไงบ้างครับ”

แทมูเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นสายตาที่เหมือนกำลังถามว่าทำไมถึงถามในสิ่งที่ไม่เคยถาม ซองฮุนจึงถามอีกครั้ง

“จะแต่งงานกับคุณคนนั้นจริงๆ เหรอครับ”

ซองฮุนเองก็ไม่อยากถามคำถามแบบนี้กับผู้ชายที่พูดคำไหนก็ต้องเป็นคำนั้นเหมือนกัน แต่เขาไม่มีทางเลือก เพราะลักษณะท่าทางของผู้หญิงชื่อจินยองซอที่เขาเห็นทำให้เขาอึ้งไปจนพูดอะไรไม่ออก

“ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอ”

เขาเปิดฝาปากกาหมึกซึม

“ว่านัดบอดครั้งนี้ผมจะแต่งงาน”

เขาพูดเหมือนกำลังพูดเรื่องของคนอื่นและเริ่มขีดเส้นในเอกสารตรงส่วนที่มีปัญหา การกระทำเช่นนี้หมายความว่าฉันจะทำงานแล้ว เพราะฉะนั้นอย่ามาทำให้ฉันต้องเสียเวลา

ซองฮุนรู้ดีว่าการที่แทมูนั่งทำงานอยู่ดีๆ แล้วจู่ๆ ประธานใหญ่คังก็มาหาจนต้องออกไปนัดบอดอย่างไม่เต็มใจ มันทำให้แทมูรู้สึกอึดอัดใจมากแค่ไหน ถ้าคนที่ไม่รู้มาได้ยินเข้าคงจะนึกว่านั่นเป็นคำพูดที่พูดออกมาเฉยๆ เพราะไม่อยากไปนัดบอดอีก แต่ไม่ว่าแทมูจะไม่อยากไปนัดบอดหรือจะอารมณ์เสียที่การไปนัดบอดทำให้การทำงานของเขาต้องขาดตอน (บางทีอาจจะทั้งสองอย่าง) ก็ล้วนไม่ใช่สิ่งสำคัญ เพราะสิ่งสำคัญคือในเมื่อเขาพูดอย่างนั้นออกมาแล้ว เขาจะต้องทำแบบนั้นอย่างแน่นอน

ซึ่งหมายความว่าแทมูจะแต่งงานกับจินยองซอนั่นเอง

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พอได้เจอผู้หญิงคนนั้นแล้ว คิดว่าจะเปลี่ยนใจซะอีก

ซองฮุนนึกถึงจินยองซอที่ได้เจอเมื่อกี้ เธอเป็นผู้หญิงที่ความเซ็กซี่ครอบครองทุกส่วนของร่างกายอย่างเกินพอดีและดูเหม่อลอยอย่างไรชอบกล แน่นอนว่าใบหน้าสวยมากก็จริง แต่ก็แต่งหน้าเข้มมากจนแทบไม่รู้เลยว่านั่นคือใบหน้าของเธอจริงๆ หรือเปล่า เรื่องเสื้อผ้าก็ด้วย เธอสวมชุดที่ต่อให้ใส่ไปไนต์คลับก็ยังรู้สึกว่าเกินพอดีไปมาก ไม่มีส่วนไหนที่ไม่เกินพอดีเลย แม้แต่ตอนที่เขาบอกว่าจะไปส่ง เธอก็ตอบปฏิเสธกลับมาว่าไม่เป็นไรและยังดูเหม่อลอยจนเกินพอดี ถ้าให้ประเมินโดยรวม สภาพของเธอเหมือนเพิ่งไปดื่มที่ไนต์คลับจนถึงเช้ามืดแล้วยังไม่ได้กลับบ้าน แต่ตรงมานัดบอดเลยทั้งที่ยังไม่สร่างเมาอะไรอย่างนั้น

จะแต่งงานกับผู้หญิงแบบนั้นเนี่ยนะ

ฮึบ ซองฮุนสูดหายใจเข้าลึกๆ แต่เมื่อครุ่นคิดอีกที เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง

“ผมว่าคุณจินยองซอ…เธอดูค่อนข้างรักสนุกนะครับ…”

ซองฮุนพูดออกมาอย่างระมัดระวัง เพราะคิดว่าเธอคือผู้หญิงที่อาจจะกลายมาเป็นภรรยาของแทมูก็ได้

“ค่อนข้างรักสนุกเหรอ”

“เอ่อ คือว่า…การมองคนแต่ภายนอกมันก็ยังไงอยู่ แต่มีบางอย่างที่ทำให้รู้สึกได้ว่าเธอค่อนข้างรักสนุก…”

“คุณผิดแล้ว ไม่ใช่แค่ค่อนข้าง แต่มากเลยล่ะ”

“อะไรนะครับ ไม่ใช่แค่ค่อนข้าง แต่มากเลยเหรอครับ”

“เธอบอกว่างั้นนะ คุณพอจะหาเวลาจากตารางงานวันจันทร์ของผมสักสิบนาทีได้ไหม บอกให้ผู้อำนวยการอันเข้ามาหาหน่อย แผนงานเละเทะขนาดนี้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาอนุมัติได้ยังไง”

ตอนนี้ผมไม่อยากจะเชื่อคำพูดของท่านประธานเลยจริงๆ เมื่อกี้คุณพูดถึงภรรยาของคนอื่นอยู่เหรอครับ

แทมูพูดออกมาว่าผู้หญิงที่กำลังจะกลายเป็นภรรยาไม่ได้แค่ค่อนข้างรักสนุก แต่รักสนุกมาก แล้วก็นั่งแก้เอกสารต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ท่านประธานครับ ท่านรู้ใช่ไหมครับว่าการแต่งงานของท่านจะส่งผลต่อบริษัทของเรายังไงบ้าง”

บริษัทซองอุนที่ก่อตั้งโดยประธานใหญ่คังมันกึนต้องสะดุดไปชั่วขณะ เนื่องจากคังซองจงผู้เป็นลูกชายไม่มีความสามารถ แต่หลังจากที่คังแทมูผู้เป็นหลานชายเข้ามาดำเนินธุรกิจต่อเพียงไม่กี่ปี บริษัทก็เติบโตขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เขาทำงานเก่งก็เป็นเหตุผลหนึ่ง แต่ความซื่อสัตย์และท่าทีที่ตรงไปตรงมาของคังแทมูคือสิ่งที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ของบริษัทไปอย่างสิ้นเชิง แต่ถ้าได้ผู้หญิงแบบนั้นมาเป็นภรรยา…

เมื่อนึกถึงภาพของผู้หญิงที่ชื่อจินยองซอซึ่งแต่งตาแบบสโมกกี้อายขึ้นมา ซองฮุนก็รีบส่ายหน้า

“ถึงอย่างนั้นก็ยังจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นอีกเหรอครับ”

“หัวหน้าชา”

“ครับ”

“หัวหน้าชาเองก็ได้ยินแล้วนี่ ที่ท่านประธานใหญ่อธิบายถึงครอบครัวแล้วก็ตัวผู้หญิงคนนั้นน่ะ”

เรื่องอื่นอาจจะไม่ค่อยแน่ใจ แต่ตรงที่บอกว่าเป็นคนสุภาพเรียบร้อยเป็นสิ่งที่ซองฮุนจำได้ฝังใจ คำว่าสุภาพเรียบร้อยในรสนิยมของท่านประธานใหญ่เป็นอย่างนั้นจริงหรือ

“ไม่คิดว่าท่านประธานใหญ่จะเลือกคนที่ใช่ให้ผมอย่างดีที่สุดเหรอ”

ซองฮุนรู้สึกได้ถึงการพลิกแพลงคำพูดในน้ำเสียงนั้น แทมูอารมณ์เสียมากจริงๆ ด้วยที่ประธานใหญ่คังมารบกวนการทำงานของเขาแบบนั้น นี่เป็นการต่อต้านอย่างหนึ่ง เมื่อถูกรบกวนการทำงานก็ตั้งใจจะแต่งงานกับใครก็ได้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย!

“แต่ยังไงเรื่องแต่งงานก็เป็นเรื่องที่ต้องคิดอย่างละเอียดรอบคอบมากกว่านี้ไม่ใช่เหรอครับ”

ซองฮุนสงบปากสงบคําไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นสายตาทิ่มแทงของแทมู สายตานั้นกำลังบอกว่าอย่าพยายามเปลี่ยนคำพูดที่ออกจากปากของเขา

“ผมหมายถึง ยังไงท่านก็แต่งงานทั้งที่คุณจินยองซอไม่รู้ตัวไม่ได้นี่ครับ ผมอยากให้ท่านลองคุยเรื่องการแต่งงานกับทางนั้นดูก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกทีน่าจะดีกว่านะครับ ในเมื่อเป็นคนรักสนุก เธอก็อาจจะไม่คิดเรื่องแต่งงานก็ได้นะครับ”

ในเมื่อเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของแทมูแล้ว ซองฮุนจึงไม่อาจโน้มน้าวใจเขาได้ แต่การแต่งงานไม่ใช่เรื่องที่ทำเองได้คนเดียว แทมูพยักหน้ารับราวกับเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว จากนั้นก็ค่อยๆ เอ่ยปากพูด

ครับ ท่านประธาน บอกมาได้เลยครับว่าเรื่องแต่งงานจะเปลี่ยนเป็นการนัดบอดครั้งถัดไป จะข้ามผู้หญิงคนนั้นไปก่อน…

“เข้าใจแล้ว”

เฮ้อ โล่งอกไปที ประธานคังแทมูก็เปลี่ยนคำพูดได้เหมือนกัน…

“ฉันจะโทรหาผู้หญิงคนนั้น”

“โทรไปทำไม…”

“ขอแต่งงานไง”

…การเปลี่ยนใจเขาคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สินะ

 

* ทูจ็อบส์ มาจากคำว่า two jobs หมายถึงการทำงานสองอาชีพ

* ยองกู เป็นชื่อตัวละครที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาจากซีรี่ส์เรื่อง ‘Yeo Ro’ ที่ออกอากาศทางช่อง KBS1 เมื่อปี ค.ศ. 1972

** ปลาหมึก หมายถึงคนหน้าตาไม่ดี

*** โซจู เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยอดนิยมของเกาหลี กลั่นจากข้าว มันเทศ หรือมันฝรั่งหมัก ไม่มีสี รสชาติขมออกหวาน

* เฟม ฟาทัล เป็นคำจากภาษาฝรั่งเศส หมายถึงสาวสวยสังหารที่ใช้เสน่ห์ร้อนแรงมาสร้างอันตรายได้โดยไม่มีใครคาดคิด

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: