X
    Categories: ทดลองอ่านนางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้องมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้อง บทที่ 1-2

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 1 มีคนขัดขวางการแต่งงาน

“ข้าไม่ยอม!”

ภายในห้องโถงใหญ่จวนสกุลเสิ่น เสิ่นกุยหย่ากระทืบเท้าเร่าๆ ยกมือชี้หน้าสตรีนางหนึ่งพลางแผดเสียงตะโกน “นางเป็นเพียงบุตรของอนุ มีสิทธิ์อะไรได้คู่แต่งงานดีกว่าพี่กุยหรงเสียอีก! ว่ากันตามศักดิ์ภรรยาเอกอนุภรรยา คุณหนูที่สูงส่งที่สุดในจวนนี้คือข้าต่างหาก เรื่องดีๆ อย่างแต่งเข้าจวนอัครเสนาบดี นางมีสิทธิ์อะไรมาได้ไปครอง ข้าไม่ยอม!”

นายผู้เฒ่าและฮูหยินสกุลเสิ่นนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ทั้งคู่ พร้อมด้วยเหล่าอี๋เหนียง* บุตรชายสองสามคนที่ยังไม่ได้ออกเรือน และคุณชายอีกคนหนึ่ง เด็กสาวที่ถูกเสิ่นกุยหย่ายกมือชี้เอาแต่ก้มหน้างุดไม่ส่งเสียง

วันนี้ทางจวนอัครเสนาบดีมาขอชื่อและเวลาตกฟากฝ่ายหญิงไปผูกดวงตามธรรมเนียม โดยคนที่พวกเขาต้องการสู่ขอคือคุณหนูสามสกุลเสิ่น หรือก็คือเสิ่นกุยเยี่ยนผู้กำลังถูกเสิ่นกุยหย่าชี้หน้าอยู่ในตอนนี้

จริงอยู่ที่สกุลเสิ่นเป็นตระกูลขุนนาง ทว่านายผู้เฒ่าเสิ่นเป็นเพียงรองเสนาบดีขั้นสี่เท่านั้น สามารถเกี่ยวดองกับตระกูลของอัครเสนาบดีได้เช่นนี้ถือว่าอาจเอื้อมของสูง การแต่งงานครานี้จึงทำให้เสิ่นกุยหย่าริษยาจนดวงตาร้อนผ่าว

“เจ้าไม่ยอมแล้วจะมีประโยชน์อันใด” นายผู้เฒ่าเสิ่นเอ็ด “เอะอะโวยวายเช่นนี้ใช้ได้หรือ นึกว่าใครอยากเข้าไปอยู่ในจวนอัครเสนาบดีก็ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปได้หมดหรือไร คู่ครองคนนี้เยี่ยนเอ๋อร์ได้มาด้วยตัวนางเอง ไม่มีผู้ใดไขว่คว้ามาให้นางทั้งนั้น”

เสิ่นกุยหย่าอารมณ์เสียสุดขีด “ที่ไปเยี่ยมคารวะจวนอัครเสนาบดีครานั้น หากไม่เป็นเพราะท่านพ่อลำเอียงพาแต่กุยเยี่ยนไปคนเดียว มีหรือวาสนาเช่นนี้จะหล่นใส่ศีรษะนาง เช่นนี้ยังไม่เรียกว่า ‘ไขว่คว้ามาให้นาง’ อีกหรือเจ้าคะ”

“โอหัง!” นายผู้เฒ่าเสิ่นตบลงบนเท้าแขนเก้าอี้อย่างมีโทสะ “พ่อจะทำอะไรต้องให้เจ้าคอยกำกับด้วยหรือ”

เสิ่นฮูหยินที่นั่งอยู่ข้างๆ สะดุ้งเฮือก รีบเอ่ยขึ้น “หย่าเอ๋อร์เลิกโวยวายทีเถิด การแต่งงานของกุยเยี่ยนถูกกำหนดมานานแล้ว ตอนนี้ก็เพียงถามชื่อกับเวลาตกฟาก** ไปผูกดวงตามขั้นตอนเท่านั้น เจ้าจะมาเต้นเร่าๆ ไปด้วยเหตุใดกัน”

การแต่งงานระหว่างเสิ่นกุยเยี่ยนกับกู้เจาตงบุตรชายของอัครเสนาบดีถูกกำหนดไว้ตั้งแต่นางอายุแปดขวบ เสิ่นกุยหย่าเองก็รู้ แต่ก่อนหน้านี้นางไม่เคยเห็นกู้เจาตงมาก่อนนี่! เพิ่งได้พบเมื่อไม่กี่วันก่อน ไม่คิดเลยว่าคนผู้นั้นจะมีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาสะกดใจ บุคลิกโดดเด่นสง่างาม แล้วเรื่องอะไรจะปล่อยให้เสิ่นกุยเยี่ยนได้บุรุษดีๆ เช่นนี้ไปครอง

คนที่นางชิงชังที่สุดก็คือเสิ่นกุยเยี่ยนนี่ล่ะ ทั้งที่ร่วมบิดาเดียวกัน เสิ่นกุยเยี่ยนกลับงามเฉิดฉันกว่าพี่สาวน้องสาวทุกคน รูปงามอย่างเดียวยังพอว่า นี่ยังเหมือนเทพบนสวรรค์เข้าข้างแต่เด็ก ท่องจำโคลงพันคำได้ตั้งแต่อายุห้าขวบ ดีดพิณเป็นเพลงได้ตั้งแต่อายุหกขวบ แต่งกลอนครบบทภายในเวลาหนึ่งก้านธูป*** ตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ ครั้นพออายุแปดขวบยังเข้าตาท่านอัครเสนาบดี ถูกเลือกเป็นว่าที่ลูกสะใภ้

ดวงดีปานนี้จะไม่ให้ผู้อื่นชังน้ำหน้าได้หรือ

“ถึงอย่างไรลูกก็ไม่ยอม!” เพียงคิดถึงรูปโฉมโดดเด่นของกู้เจาตง ใบหน้าของเสิ่นกุยหย่าก็กระตุกริกๆ แล้ว “ท่านพ่อก็ช่างไม่กลัวจะล่วงเกินท่านอัครเสนาบดี ถึงจะส่งสตรีเลือดไพร่ที่มีมารดาเป็นสาวใช้ไปให้เป็นลูกสะใภ้!”

‘เพียะ!’ ในที่สุดนายผู้เฒ่าเสิ่นก็ลุกขึ้นมาสะบัดมือตบบุตรสาว

เสิ่นกุยหย่าเงียบเสียงทันใด ได้แต่มองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา “ท่านพ่อ…”

“ไม่คิดเลยจริงๆ ชีวิตข้าเสิ่นซื่อชิงไม่เคยมีสิ่งใดด่างพร้อย แต่กลับให้กำเนิดเดรัจฉานเช่นเจ้าออกมาได้” นายผู้เฒ่าเสิ่นสั่นเทิ้มไปทั้งร่างด้วยแรงอารมณ์ “กุยเยี่ยนเป็นพี่สาวเจ้า ปกติเจ้าข่มเหงรังแกนาง พ่อก็ทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งมาโดยตลอด เวลานี้พี่สาวอุตส่าห์จะได้มีคู่ครองที่ดี เจ้าก็ยังจะขัดขวางอีกหรือ”

น้ำอุ่นเอ่อขึ้นมากบนัยน์ตาเสิ่นกุยหย่าอย่างรวดเร็ว นางยกมือปิดหน้า “ลูกก็ชอบคุณชายกู้เหมือนกันนี่เจ้าคะ ท่านพ่อ! ที่ผ่านมาท่านกับท่านแม่รักใคร่เอ็นดูหย่าเอ๋อร์ที่สุดไม่ใช่หรือ เหตุใดครานี้ถึงไม่ได้เล่าเจ้าคะ ถ้าไม่ได้จริงๆ ลูกยอมให้นางแต่งงานก็ได้ แต่ลูกจะแต่งตามออกไปด้วย ลูกจะแต่งไปเป็นภรรยาเอกอีกคน…”

สีหน้าของเสิ่นฮูหยินเปลี่ยนไปทันควัน รีบลุกพรวดขึ้นดึงบุตรสาวสุดที่รักมาอยู่ข้างตัว “เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ”

บุตรสาวคนโตได้คู่ครองไม่ดีเท่าบุตรสาวอนุยังพอว่า นี่บุตรสาวคนเล็กยังจะยินยอมพร้อมใจลดตัวแต่งออกไปร่วมสามีกับบุตรสาวของอนุในตำแหน่งภรรยาเอกเหมือนกัน? เสิ่นฮูหยินโมโหจนลมแทบจับ ทว่าเสิ่นกุยหย่าถูกตามใจจนเหลิงมาแต่เด็ก อยากได้อะไรต้องได้ ใครก็รบไม่ชนะนางทั้งนั้น

บุตรสาวอนุที่ยืนอยู่ตรงมุมห้องเงยหน้าขึ้นในที่สุด เรียวคิ้วโก่งบาง นัยน์ตากลมโตดุจเมล็ดซิ่ง* และริมฝีปากแดงเรื่อประกอบกันเป็นดวงหน้าหมดจดงดงาม ทว่าน้ำเสียงกลับเย็นชายามเอ่ยเอื้อน “น้องห้าคงยังไม่รู้อะไร”

เสิ่นกุยหย่าหันขวับไปมองอีกฝ่ายอย่างชิงชัง

“สกุลกู้ถือธรรมเนียมเคร่งครัด จะแต่งเข้าเพียงครั้งละคนเท่านั้น ไม่เคยแต่งสตรีเข้าจวนพร้อมกันทีเดียวสองคนมาก่อน” เสิ่นกุยเยี่ยนพูดเนิบๆ “หากน้องห้าอยากแต่งจริงๆ ไว้รอให้พี่แต่งเข้าไปก่อนสักสองปี เมื่อถึงตอนนั้นน้องห้าก็ถึงวัยควรออกเรือนพอดี แล้วพี่จะช่วยพูดกับบ้านสามีให้ ทางนั้นจะได้แต่งน้องห้าเข้าตระกูล”

“เจ้า!” โทสะของเสิ่นกุยหย่าพลุ่งพล่าน เสิ่นกุยเยี่ยนผู้สงบเสงี่ยมไร้ปากเสียงมาโดยตลอดถึงกับกล้าเย้ยหยันนางแล้ว พอจะได้แต่งเข้าจวนอัครเสนาบดีก็ไม่กลัวเกรงอะไรแล้วจริงๆ สินะ?

“อย่าเพิ่งได้ใจเร็วไปนักเลย! ข้าไม่ยอมให้เจ้าสมหวังหรอก!” นางแค่นยิ้ม “เอาเวลาตกฟากไปผูกดวงแล้วอย่างไร ยังอีกนานหรอกกว่าเจ้าจะได้ออกเรือน!”

“หย่าเอ๋อร์!” เสิ่นฮูหยินเห็นสามีหน้าตึง จึงอดเอ็ดบุตรสาวเสียงเขียวไม่ได้

เสิ่นกุยหย่ายอมหุบปากอย่างฮึดฮัด

ผู้เป็นบิดามองเสิ่นกุยเยี่ยนแล้วถอนหายใจ “ในเมื่อจะผูกดวงกันอยู่แล้ว เจ้าก็กลับไปเตรียมตัวเถิด คนอื่นก็กลับไปพักผ่อนกันให้หมด หากหย่าเอ๋อร์กล้าอาละวาดอีกก็ให้จับไปขังในห้องเก็บฟืน!”

“เจ้าค่ะ”

“ขอรับ”

ทุกคนรับคำสั่งแล้วทยอยกันเดินออกจากห้องโถงใหญ่

สกุลเสิ่นมีจำนวนสมาชิกมากเหลือ นายผู้เฒ่าเสิ่นแต่งอนุทั้งหมดสามคน รวมกับภรรยาเอกอีกหนึ่ง เสิ่นฮูหยินให้กำเนิดบุตรสาวสองคนและบุตรชายหนึ่งคน ฉินอี๋เหนียงให้กำเนิดคุณชายรองเสิ่นกุยอู่กับคุณหนูสามเสิ่นกุยเยี่ยน นอกจากนั้นยังมีฟางอี๋เหนียงที่ให้กำเนิดคุณหนูสี่เสิ่นกุยอี๋ กับติงอี๋เหนียงที่เพิ่งถูกแต่งเข้าจวนได้ไม่นาน ยังไม่มีทายาท

เสิ่นกุยเยี่ยนเดินรั้งท้ายสุด ฉินอี๋เหนียงชะลอฝีเท้าจนเดินเคียงข้างนางแล้วกระซิบเบาๆ “ระยะนี้คุณหนูสามควรระวังคุณหนูห้าแล้วอยู่ห่างๆ นางไว้สักหน่อยจะดีกว่า”

“ข้าทราบแล้ว” เสิ่นกุยเยี่ยนมองเสื้อนวมกลางเก่ากลางใหม่บนร่างฉินอี๋เหนียงแล้วถอนหายใจเบาๆ

แม้จะมีบุตรชายบุตรสาวให้อย่างละคน ทว่าชีวิตของฉินอี๋เหนียงก็ไม่ได้สุขสบายเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เดิมอีกฝ่ายเป็นสาวใช้ประจำตัวเสิ่นฮูหยินมาก่อน ทำไปทำมาได้รับความเอ็นดูจากนายผู้เฒ่าเสิ่นจนให้กำเนิดคุณชายรอง แล้วถูกยกขึ้นมาเป็นอี๋เหนียง เสิ่นฮูหยินไม่ชอบฉินอี๋เหนียง ออกจะหาเรื่องกลั่นแกล้งเป็นประจำด้วยซ้ำ ฝ่ายฉินอี๋เหนียงก็นิสัยปวกเปียกอ่อนแอ ยอมให้อีกฝ่ายโขกสับโดยไม่ปริปากแม้แต่น้อย

เสิ่นกุยเยี่ยนถูกจับแยกจากมารดาตั้งแต่อายุห้าขวบ โตขึ้นมาได้เพราะการเลี้ยงดูของแม่นม พอเจริญวัยยังต้องคอยเป็นห่วงมารดาเพราะฉินอี๋เหนียงอ่อนแอรังแกง่ายเหลือเกินจริงๆ

ตอนนี้ในที่สุดนางก็จะได้แต่งเข้าจวนอัครเสนาบดีเสียที เสิ่นกุยเยี่ยนคิดเตรียมไว้แล้วว่าหากจวนสกุลเสิ่นอยู่ยากนัก นางจะแอบรับมารดาออกไปอยู่ข้างนอก ขอเพียงแต่งงานเข้าจวนอัครเสนาบดี นางน่าจะมีกำลังทำเช่นนั้นได้

แม่ลูกแยกกันตรงทางเดินสายเล็กด้านหน้า เสิ่นกุยเยี่ยนกำลังพาเป่าซั่นสาวใช้ประจำตัวเดินกลับเรือนตนเองก็ได้ยินเสียงหนึ่งแหวขึ้นข้างหลัง “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

อะไรควรเกิดก็ยังต้องเกิดอยู่ดี เสิ่นกุยเยี่ยนถอนหายใจเฮือก ก่อนหันกลับไปมองน้องสาวต่างมารดาที่ไล่ตามมา ด้านหลังอีกฝ่ายยังมีเสิ่นกุยเหวิน บุตรชายคนเล็กสุดของตระกูลที่เกิดจากภรรยาเอก ปีนี้เพิ่งอายุได้สิบสามปี

“ทำให้ข้าถูกท่านพ่อตบหน้าแล้วคิดจะกลับเรือนไปนอนอย่างสบายใจได้หรือ” เสิ่นกุยหย่าแค่นหัวเราะ แล้วโบกมือวูบ บ่าวที่ตามมาด้วยปรี่เข้ามาจับตัวทั้งเสิ่นกุยเยี่ยนและเป่าซั่นไว้ทันที

“คุณหนูห้าจะทำอะไรเจ้าคะ” เป่าซั่นถามอย่างร้อนรน “วันนี้ตบไม่ได้นะเจ้าคะ พรุ่งนี้คุณหนูต้องพบคนสกุลกู้!”

ทว่าเสิ่นกุยเยี่ยนชินชาเสียแล้ว นับแต่ฉายแววปราดเปรื่องในวัยเยาว์ เมื่อกลับจวนมานางก็มักถูกทั้งมือทั้งเท้าของเสิ่นกุยหย่า น้องสาวผู้นี้ถูกตามใจจนเสียเด็ก ไม่เล่าเรียนศิลปะของกุลสตรี ไม่แตกฉานตำรากาพย์กลอน อยากได้สิ่งใดเสิ่นฮูหยินก็มอบให้ทุกอย่าง ถึงได้มีนิสัยก้าวร้าวเอาแต่ใจเช่นนี้

โชคดีที่นางใกล้ออกเรือนเต็มที ต้องอดทนต่อไปเพียงไม่กี่วันหรอก

“อยากพบคนสกุลกู้?” เสิ่นกุยหย่าแค่นยิ้ม “ข้าจะตบให้เจ้าออกไปพบไม่ได้นี่ล่ะ! รู้จักยั่วยวนบุรุษตั้งแต่อายุเพียงแปดขวบ ใบหน้านี้ก็งามขึ้นทุกวันจริงๆ”

เสิ่นกุยหย่าพูดพลางเดินเข้ามาใกล้ เนื่องจากกลัวตนเองจะเจ็บมือจึงไม่คิดจะใช้มือตบ นางทำพัดหยกเล่มหนึ่งขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ยาวราวหนึ่งฉื่อ* พอคว้าตัวอีกฝ่ายได้ก็เงื้อพัดตบหน้า

พัดนี้ตบได้เจ็บนัก เสิ่นกุยหย่าใช้ตบมาจนชำนิชำนาญแล้ว แม้จะตบแรงเพียงใดก็ไม่ทำให้พัดหยกหัก

เสิ่นกุยเยี่ยนขมวดคิ้วพลางดิ้นขัดขืน วันนี้นางไม่อยากทนถูกตบ

“เป็นอันใด กลัวขึ้นมาแล้วหรือ” น้องสาวต่างมารดาแย้มยิ้ม “เช่นนั้นก็ไปบอกท่านพ่อสิว่าเจ้าไม่อยากแต่งงานกับกู้เจาตงแล้ว ยกเขาให้ข้าเสีย!”

“ไม่!” เสิ่นกุยเยี่ยนหลับตาลง “ข้ารอมาหลายปี ไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว”

หากไม่เพราะระลึกอยู่เสมอว่าวันหนึ่งเขาจะช่วยให้นางหลุดพ้นจากทะเลทุกข์แห่งนี้ นางคงเลิกทนไปนานแล้ว

“ฮ่าๆ รอมาหลายปี? พูดได้ดี!” เสิ่นกุยหย่าใช้พัดฟาดเพียะลงบนใบหน้าของเสิ่นกุยเยี่ยน “นางแพศยาไร้ยางอาย! ช่างกล้าพูดออกมาได้ วันนี้ข้าจะตบเจ้าให้หน้าแตก ดูซิว่าเจ้ายังจะเอาอะไรไปมัดใจคุณชายกู้ได้อีก”

เมื่อพัดหยกตบลงบนโหนกแก้ม ความเจ็บปวดพลันแล่นปราดบนใบหน้าของเสิ่นกุยเยี่ยน วันพรุ่งนี้จะต้องเขียวช้ำเป็นแน่ พอใบหน้าบวมโย้ พรุ่งนี้เมื่อฝ่ายชายมาถามชื่อและเวลาตกฟากไปผูกดวงตามประเพณี นางคงต้องอ้างว่าป่วยแล้วให้ฉินอี๋เหนียงช่วยรับหน้าแทนอีกแล้ว

เสิ่นกุยหย่ายืนประชิดตัว ใช้พัดหยกตบหน้าเสิ่นกุยเยี่ยนครั้งแล้วครั้งเล่า ชั่วขณะจิตหนึ่งนางอยากเงื้อเท้าถีบเข้าที่ท้องของอีกฝ่ายเสียเหลือเกิน

บทที่ 2 แย่งบุรุษเอาดื้อๆ

เสิ่นกุยเยี่ยนไม่ได้มีนิสัยข่มใจอดกลั้นเก่งมาแต่กำเนิด ทว่าเมื่อนานมาแล้วนางเคยถีบเสิ่นกุยหย่าครั้งหนึ่ง เวลานั้นพี่ชายคนรองอยู่ไกลถึงจิงโจว ฉินอี๋เหนียงถูกคนหามออกไปโยนลงสระบัวในจวนกลางดึกที่อากาศหนาวจัด เป็นเหตุให้ล้มป่วยจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด

น่าหัวร่อตรงที่ไม่มีใครในเรือนมารดาสักคนที่รู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด

เสิ่นกุยหย่าเหยียดยิ้มถามพลางขวางนางไว้ตรงชั้นล่างของหอนางแอ่น ‘อยากลองถีบข้าดูอีกสักครั้งหรือไม่เล่า’

เสิ่นกุยเยี่ยนไปคุกเข่าหน้าห้องหนังสือของบิดา ขอความเป็นธรรมจากนายผู้เฒ่าเสิ่น แต่นายผู้เฒ่าเสิ่นกลับเพียงแค่ประคองนางขึ้นมาแล้วบอกว่าหย่าเอ๋อร์ไม่มีทางประพฤติตัวร้ายกาจถึงเพียงนั้น ครั้นพอไปร้องทุกข์กับเสิ่นฮูหยิน นางยังถูกตบหน้ามาอีกสองทีเสียอย่างนั้น

เสิ่นฮูหยินกล่าวว่า ‘หากเจ้ายังใส่ไคล้หย่าเอ๋อร์ให้ต้องมัวหมองอีก อย่าหาว่าข้าไม่ปรานีเจ้าก็แล้วกัน’

ในที่สุดเสิ่นกุยเยี่ยนก็แจ้งแก่ใจว่าในจวนแห่งนี้ นางไม่มีวันงัดข้อชนะเสิ่นกุยหย่า

เช่นนั้นก็ทนเอาแล้วกัน ทนจนกว่าจะได้ออกเรือน

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจนนางจวนจะออกเรือนอยู่แล้ว เสิ่นกุยหย่าก็ยังไม่เลิกราวีนาง

หลังพวงแก้มเสิ่นกุยเยี่ยนบวมเป่ง เสิ่นกุยหย่าค่อยสาแก่ใจและปล่อยนางไปเสียที อีกฝ่ายหันไปกอดน้องชายคนที่หกพลางหัวเราะชอบใจ “ดูสิกุยเหวิน ตอนนี้พี่สามของเจ้าหน้าบวมเหมือนหมูเลยใช่หรือไม่”

ที่ผ่านมาเสิ่นกุยเหวินเอาแต่ยืนมองเงียบๆ ไม่ได้ยิ้มสักนิด ครั้นได้ยินคำถามก็เพียงแค่พยักหน้าแล้วตอบเบาๆ “เหมือนมาก แต่ว่านะพี่ห้า หากท่านพ่อเอาเรื่อง ท่านจะทำเช่นไร”

“ทำเช่นไร” เสิ่นกุยหย่าหัวเราะลั่น “ท่านพ่อจะทำอะไรข้าได้เล่า ในเมื่อมีท่านแม่คุ้มศีรษะอยู่ทั้งคน ข้าจะต้องกลัวไปไย พรุ่งนี้นางออกไปเจอหน้าใครไม่ได้แน่ๆ หากยังกล้าไปฟ้องล่ะก็…”

เด็กสาวเว้นช่วงแล้วยกแขนกอดตนเองทำท่าหนาวสั่น “กลางฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้ ไม่รู้ว่าหากพลัดตกลงไปในสระบัวจะล้มป่วยหรือไม่ หือ?”

เป่าซั่นตาแดงก่ำ สลัดตัวจนหลุดจากพันธนาการของบ่าวที่จับตัวนางไว้ แล้วถลาเข้าไปประคองคุณหนูของตน

เสิ่นกุยหย่าเดินยิ้มพาน้องชายจากไปแล้ว เสิ่นกุยเยี่ยนถึงค่อยยกมือลูบแก้มตนเอง สูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง “เป่าซั่น กลับกันเถิด”

“คุณหนู…” เป่าซั่นร้องไห้ออกมาอย่างสุดทน “บ่าวนึกว่าในที่สุดพวกเราก็รอจนได้อยู่อย่างสบายแล้วเสียอีก ไม่คิดเลยว่าคุณหนูห้าจะยังโหดร้ายถึงเพียงนี้ แล้วพรุ่งนี้จะทำอย่างไรดีเล่าเจ้าคะ หากคุณชายกู้มาด้วยตนเองแล้วไม่ได้พบกับคุณหนู…”

“เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้” เพียงแค่คิดถึงกู้เจาตง หัวใจของเสิ่นกุยเยี่ยนก็เกร็งเครียดขึ้นเล็กน้อย “ข้าคงได้แต่เขียนกลอนให้เจ้าช่วยนำไปมอบให้เขานั่นล่ะ”

ไม่ได้พบคนผู้นั้นมานานเหลือเกินแล้ว แม้ที่ผ่านมาจะได้พบกันทุกปี แต่นับจากครั้งก่อนก็ไม่ได้เจอกันมากว่าครึ่งปีแล้ว เสิ่นกุยหย่าน่าจะไปเห็นเขาที่ใดสักแห่ง หาไม่จู่ๆ คงไม่กระเหี้ยนกระหือรืออยากแต่งงานด้วยราวกับถูกผีเข้าเช่นนี้

กู้เจาตงเป็นบุรุษที่สตรีสามารถฝากฝังชีวิตไว้ได้อย่างแท้จริง เขาต่างไปจากคุณชายตระกูลใหญ่คนอื่นๆ เล่าเรียนบทกวีจนแตกฉาน กลอนทุกบทที่เขียนล้วนแต่ถูกใจนางทั้งสิ้น นางมีใจให้เขามานานแล้ว ซึ่งก็ต้องขอบคุณฟ้าดินที่ดลบันดาลจังหวะอันเหมาะสมให้ท่านอัครเสนาบดีได้พบนางในจวนพอดีจนนำไปสู่บุพเพในครานี้

ความเจ็บบนผิวหน้าคล้ายจะเลือนหายไปเพียงแค่คิดถึงเขา เสิ่นกุยเยี่ยนเดินอมยิ้มกลับหอนางแอ่นของตน ก่อนให้เป่าซั่นหยิบยามาทาให้ จากนั้นก็เอนกายลงนอน

 

‘กลอนหญิงงามแย้มยิ้มเอนอิงหอบทนี้ช่างไพเราะนัก ใคร่ขอเรียนถามคุณชายว่ามีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร’

‘ผู้น้อยกู้เจาตง’

กระทั่งนั่งเอามือเท้าคางหวนนึกถึงยามแรกพบในหอน้ำหมึกวันนั้น เสิ่นกุยหย่ายังอดฉีกยิ้มเห็นไรฟันอย่างเคลิบเคลิ้มไม่ได้

คนผู้นั้นช่างหล่อเหลาสง่างาม แม้จะประสานมือคำนับผู้อื่น ทว่าความผ่าเผยก็ไม่ได้ด้อยลงเลย ขนาดอีกฝ่ายเป็นเพียงบัณฑิตไส้แห้ง เขาก็ยังปราศรัยด้วยอย่างสุภาพนุ่มนวล ทำเอาคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์นับไม่ถ้วนในบริเวณนั้นหันไปซุบซิบวิจารณ์กันเบาๆ

ใครได้แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลกู้เช่นเขาถือว่าสะสมผลบุญมาแปดชาติเลยทีเดียว

แต่พอคิดว่าสตรีวาสนาดีผู้นั้นคือเสิ่นกุยเยี่ยนที่ตนชังน้ำหน้ามาโดยตลอด รอยยิ้มของเสิ่นกุยหย่าก็หุบหายทันควัน

นางจะปล่อยให้การแต่งงานครานี้สำเร็จลุล่วงไม่ได้ ต้องคิดหาวิธีทำอะไรสักอย่าง

 

วันที่สกุลกู้มาขอชื่อและเวลาตกฟากฝ่ายหญิงมาถึงแล้ว กู้เจาตงมากับแม่สื่อจริงๆ เขาไปคารวะนายผู้เฒ่าเสิ่นกับฮูหยินสกุลเสิ่นก่อน ยิ้มแย้มพูดคุยด้วยท่วงท่างามสง่า ผู้ใดพบเห็นล้วนต้องพยักหน้าชื่นชม

เสิ่นกุยเยี่ยนใบหน้ายังไม่หายบวม ไหนเลยจะออกมาพบเขาได้ เป่าซั่นถือบทกลอนมาให้ กู้เจาตงขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางถามเบาๆ “เยี่ยนเอ๋อร์เล่า”

สาวใช้เม้มปากพลางสั่นหน้า “คุณหนูป่วยเจ้าค่ะ ได้แต่ส่งกลอนบทนี้มาให้คุณชาย ขอคุณชายอย่าได้ถือโทษ”

เขาเม้มปากคลี่กลอนออกดู ในนั้นเขียนไว้ว่า

 

‘หากท่านพี่เป็นศิลาตั้งตระหง่าน ขอนงคราญเป็นดอกหญ้าขึ้นเกาะหิน’

เขาคลี่ยิ้มบางๆ พลางเก็บกลอนใส่แขนเสื้อ จากนั้นก็ตกรางวัลเป็นเงินเล็กน้อยให้เป่าซั่น “เจ้าต้องดูแล ‘ดอกหญ้าแสนงาม’ ของข้าให้ดีเล่า ถึงเวลาเมื่อไรข้าจะมาแต่งนางเข้าจวน”

เป่าซั่นหน้าแดงวาบ นึกปีติแทนคุณหนูของตนอยู่ในใจ ก่อนจะหมุนตัววิ่งออกไปอย่างเริงร่า

อวี้ซูสาวใช้ประจำตัวเสิ่นกุยหย่ายืนรออยู่อีกด้านมาโดยตลอด พอพิธีถามชื่อและเวลาตกฟากเสร็จสิ้นลง นางก็ปรี่เข้าไปพูดกับกู้เจาตงที่กำลังจะกลับไป “คุณหนูเชิญคุณชายไปพบกันนอกจวนที่โรงเตี๊ยมสามกระจ่างเจ้าค่ะ”

กู้เจาตงไม่เคยมาเยือนจวนสกุลเสิ่น จึงไม่รู้จักสาวใช้คนอื่นนอกจากเป่าซั่น ทว่าอวี้ซูเดินลิ่วออกไปทันทีที่พูดจบ ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ซักถาม ตรองไปตรองมา แม้จะไม่รู้ว่าเป็นคุณหนูคนใด เขาก็ยังไปพบอีกฝ่ายเพื่อรักษามารยาท

ปรากฏว่าคนที่รอเขาอยู่ที่นั่นคือเสิ่นกุยหย่า เมื่อบานประตูปิดลงเขาก็ได้กลิ่นกำยานหอมอบอวลอยู่ในห้อง กู้เจาตงเอะใจหมายจะกลับออกไป ทว่าเด็กสาวกลับพูดขึ้น “พี่เยี่ยนกำลังเดือดร้อน หย่าเอ๋อร์ต้องยอมเสี่ยงครั้งใหญ่นำความมาบอกคุณชาย คุณชายจะออกไปโดยไม่อยู่ฟังจริงๆ หรือเจ้าคะ”

กู้เจาตงชะงักเท้า ขมวดคิ้วมองนาง “ชายหญิงอยู่ด้วยกันตามลำพังไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ซ้ำคุณหนูก็ยังไม่ได้ออกเรือน”

“เรื่องเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของพี่เยี่ยน คุณชายยังมัวห่วงธรรมเนียมพวกนี้อยู่อีกหรือเจ้าคะ” เสิ่นกุยหย่าร้องหึเบาๆ แล้วรีบดึงเขากลับเข้ามาข้างใน “ท่านอยู่ฟังข้าพูดก่อนเถิด…”

กลิ่นกำยานอันแสนรัญจวนกำซาบเข้านาสิกในขณะที่กู้เจาตงรอฟังนั้นเอง จากนั้น…ไหนเลยจะมีถ้อยคำใดให้กล่าวต่ออีก

 

สามวันหลังพิธีถามชื่อและเวลาตกฟาก ใบหน้าของเสิ่นกุยเยี่ยนหายบวมมากแล้ว หากนางใส่ผ้าแพรคลุมหน้าก็พอจะออกมาเจอผู้คนได้

“คุณหนู คุณชายกู้ส่งจดหมายมาเจ้าค่ะ” เป่าซั่นเดินเข้ามากระซิบกระซาบพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้า “จะแต่งงานกันอยู่รอมร่อแล้วแท้ๆ ความคิดถึงยังรุนแรงเกินกว่าจะเก็บซ่อนไหว คุณชายกู้นัดคุณหนูไปพบกันใต้ต้นหลิวต้นที่สามริมแม่น้ำชิงเหอ เวลาดียามพลบค่ำเจ้าค่ะ”

เสิ่นกุยเยี่ยนผงกศีรษะ ใบหน้าแดงเรื่อ “ข้าจะไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้ เป่าซั่น เลือกเสื้อผ้าให้ข้าสักชุดสิ”

เนื่องจากใกล้ออกเรือนเต็มที เสิ่นกุยเยี่ยนจึงพอจะมีเสื้อผ้าอาภรณ์อยู่บ้าง เป่าซั่นเลือกชุดใหม่ที่สุดมาให้ แล้วจัดแจงหวีผมพร้อมติดเครื่องประดับให้นาง ก่อนที่นายและบ่าวจะพากันแอบออกทางประตูเล็กด้านหลังจวนซึ่งปลอดคน

ท้องฟ้าเป็นสีแดงอมส้มแล้ว เสิ่นกุยเยี่ยนก้าวเดินอย่างตื่นเต้นจนเป่าซั่นตามแทบไม่ทัน เมื่อใกล้ถึงริมแม่น้ำชิงเหอนางถึงค่อยชะลอฝีเท้า เปลี่ยนเป็นเยื้องย่างเนิบนาบเช่นที่คุณหนูตระกูลใหญ่พึงทำ

กู้เจาตงมารออยู่ริมแม่น้ำนานแล้ว เนื้อตัวเกร็งเครียด วันนี้เขาสวมอาภรณ์สีหมึกทั้งชุด ดูผอมบางลงถนัดตา

“เยี่ยนเอ๋อร์” เขาเอ่ยเรียกเบาๆ เมื่อเห็นนาง

เสิ่นกุยเยี่ยนขานรับ แล้วหยุดยืนห่างจากเขาสามก้าว “คุณชายนัดข้ามาพบ ไม่ทราบว่ามีธุระอันใดหรือเจ้าคะ”

กู้เจาตงสีหน้าไม่สู้ดีนัก หลังจากละล้าละลังอยู่พักใหญ่ก็เอ่ยออกมาในที่สุด “หากว่า…หากว่าข้ามีสัมพันธ์ทางกายกับหญิงอื่น เจ้าจะตำหนิข้าหรือไม่”

เสิ่นกุยเยี่ยนผงะไปเล็กน้อย มองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ

“น้องห้าของเจ้า…มีสัมพันธ์ทางกายกับข้า” เขาหลับตาลงแล้วโพล่งบอกไปตรงๆ “แต่นางทำผิดจารีตก่อน ไม่มีทั้งแม่สื่อแม่ชัก ไม่มีทั้งหนังสือแต่งงาน ข้าไม่มีวันยอมเด็ดขาด แต่ถึงอย่างไรเรื่องเช่นนี้ข้าก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี…กระนั้นข้าก็ปฏิเสธไมตรีนางไปแล้ว”

ราวกับถูกน้ำเย็นจัดราดรดลงบนร่างจนหนาวสะท้านไปถึงหัวใจ เสิ่นกุยเยี่ยนอดคิดไม่ได้ว่าน้องสาวต่างมารดาช่างทุ่มเทเหลือเกิน ขนาดเรื่องพรรค์นี้ยังทำลง แล้วยังมีหน้ามาหาว่านางไร้ยางอายอีก

ไร้คำสั่งของบิดามารดา ไร้การชักนำของแม่สื่อ ยังกล้าเอาตัวไปมอบให้กู้เจาตงเองอีกหรือ โบราณว่าไว้ ผูกสัมพันธ์ตามจารีตครบขั้นตอนคือภรรยา หากได้มาผิดครรลองคืออนุ แต่เสิ่นกุยหย่าไม่เคยอ่านหนังสือหนังหา จะไม่เคยได้ยินประโยคนี้ก็ไม่น่าแปลกอะไร

มิหนำซ้ำกู้เจาตงยังเป็นว่าที่พี่เขยอีกด้วย

เสิ่นกุยเยี่ยนหัวเราะเบาๆ ไม่รู้สึกอยากจะพูดอะไรกับเขาอีก ได้แต่ย่อกายคารวะแล้วหันหลังเดินกลับไป

“เยี่ยนเอ๋อร์ อย่าเกลียดข้าเลยนะ” ฝ่ายนั้นขมวดคิ้ว “ข้าไม่ได้ตั้งใจ”

ไม่ได้ตั้งใจ? เป็นบุรุษอกสามศอกแท้ๆ ยังอุตส่าห์ตกลงไปในอุบายของเด็กสาวตัวเล็กๆ ได้ เสิ่นกุยเยี่ยนถอนหายใจยาวเหยียด ถึงอย่างไรก็ขอกลับไปดูสถานการณ์ก่อนดีกว่า

คิดเอาเองว่าเมื่อพลีกายให้ก็สามารถแต่งเข้าสกุลกู้ได้อย่างนั้นหรือ น้องสาวจอมบ้าบิ่นของนางช่างโง่เง่าราวกับมีแต่เต้าฮวยอยู่ในหัวจริงๆ ตอนนี้ถูกปฏิเสธเสียแล้ว ไม่รู้ว่าต่อไปยังจะออกเรือนได้อีกหรือไม่

นางตั้งใจจะไปดูที่หอตระการเมื่อกลับถึงจวน ปรากฏว่าเพิ่งจะมาถึงกลางทางก็เห็นอวี้ซูนำทางเสิ่นฮูหยินเข้าไปข้างในอย่างร้อนรน

“เกิดอะไรขึ้น” เป่าซั่นรีบไปดึงอวี้ซูมาถาม “ใครป่วยหรือ ถึงได้ร้อนใจเพียงนี้”

อวี้ซูสลัดอีกฝ่ายออกจากตัวพร้อมตวาดอย่างโมโห “หลีกไป หากทำให้เสียเวลาจนคุณหนูของข้าถึงแก่ชีวิต หน้าไหนก็รับผิดชอบไม่ไหวทั้งนั้น!”

 

* อี๋เหนียง เป็นคำเรียกอนุภรรยา

** ถามชื่อกับเวลาตกฟาก เป็นขั้นตอนหนึ่งในหกพิธีตามธรรมเนียมการแต่งงานสมัยโบราณของจีน

*** ก้านธูป เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ บางตำราว่าประมาณครึ่งชั่วโมง บางตำราว่า 1 ชั่วโมง

* ซิ่ง หมายถึงแอปปริคอต เป็นพืชตระกูลเดียวกับต้นเหมย (บ๊วย) ชาวจีนมักเปรียบความงามของดวงตาหญิงสาวว่ากลมโตเหมือนเมล็ดซิ่ง

* ฉื่อ (เชียะ) เป็นหน่วยวัดความยาวของจีนสมัยโบราณ เทียบระยะประมาณ 10 นิ้ว หรือหนึ่งส่วนสามเมตร ปัจจุบันยังใช้คำนี้ในความหมายว่า ‘ฟุต’

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 มิ.. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: