บทที่ 131 ใครเป็นคนปล่อย
ตำหนักเย็นเป็นที่กักขังสตรีตำหนักในผู้เสียตำแหน่งคนโปรดหรือมีความผิด ไม่สามารถพานางกำนัลเข้าไปรับใช้ได้เหมือนอย่างในละครโทรทัศน์ยุคปัจจุบันเลยสักนิด ในละครนั่นแค่ภาพฝันล่ะไม่ว่า ตอนอยู่ในนั้น เสิ่นหานลู่ยังต้องแย่งของกินเองด้วยซ้ำ
“หม่อมฉันทุกข์ทรมานมาเกินพอ ในที่สุดวันที่ได้หลุดพ้นจากที่นั่นก็มาถึง ทำให้รู้ซึ้งว่าชีวิตข้างนอกมีค่าเพียงใด” นางมองเสิ่นกุยเยี่ยนพลางน้ำตาคลอเบ้า “หม่อมฉันไม่หวังจะเป็นที่โปรดปราน ขอเพียงได้อยู่อย่างผาสุกมั่นคงก็พอแล้ว”
หากไม่เคยลำบากย่อมไม่เห็นค่าความสบาย ข้อนี้เป็นความจริง แต่เสิ่นกุยเยี่ยนไม่มีความสงสารให้คนที่เคยทำร้ายตนเองมาก่อน ได้แต่พยักหน้า “เจ้าคิดได้ก็ดีแล้ว วันนี้กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”
“พระชายา…ทรงยอมให้หม่อมฉันอยู่ในวังหลวงต่อหรือเพคะ” เสิ่นหานลู่ถามอย่างระมัดระวัง
เสิ่นกุยเยี่ยนหัวเราะเบาๆ “แม้ข้าจะเป็นกุ้ยเฟย แต่ก็ไม่มีอำนาจกะเกณฑ์ว่าสนมชายาคนใดจะอยู่หรือไป ต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับดวงของเจ้ามากกว่า”
อีกฝ่ายลุกขึ้นอย่างลิงโลด “ขอบพระทัยกุ้ยเฟยที่ทรงเมตตาหานลู่ถึงเพียงนี้ หานลู่ไม่มีสิ่งใดจะตอบแทน วันหน้าหากหานลู่พอจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง ทรงออกพระโอษฐ์มาได้เลยนะเพคะ”
เสิ่นกุยเยี่ยนลุกเดินไปยังห้องด้านในของตำหนัก ดูความเรียบร้อยหลังพวกเป่าซั่นจัดห้องเสร็จพลางตอบ “อืม” โดยไม่หันไปมอง แล้วผินหน้าเพ่งพิศของประดับที่อยู่ใกล้ๆ เพราะคิดว่าเสิ่นหานลู่คงกลับไปแล้ว
ยังจำได้ว่าตอนทำงานอยู่ในตำหนักอุดร เหนียนไทเฮาชี้ของตกแต่งตรงนั้นตรงนี้พร้อมบอกนางว่า ‘ชิ้นนี้เป็นของพระราชทานจากอดีตฮ่องเต้ ชิ้นนั้นก็ใช่’
วังหลวงมีหญิงงามหลายหลาก แต่ขอฝากใจไว้ที่คนเดียวคงเป็นเช่นนี้กระมัง เสิ่นกุยเยี่ยนเม้มปาก บัดนี้ชั้นวางของตกแต่งในห้องนางก็มีแต่ของพระราชทานทั้งสิ้น ภายภาคหน้าจะมีวันที่นางพูดกับนางกำนัลเล็กๆ ว่า ‘อ่างปลาไนสามขาฉลุลายเคลือบสีนี้เป็นของพระราชทาน’ เช่นกันหรือไม่
อ่างปลาไนดังกล่าวตั้งอยู่ตรงมือนางนี่เอง ระหว่างกำลังมองเหม่อ เสิ่นกุยเยี่ยนพลันเจ็บแปลบที่มือ
สัตว์ร่างเย็นเฉียบตัวหนึ่งฝังเขี้ยวลงบนมือนาง
“โอ๊ย!” เสิ่นกุยเยี่ยนสะดุ้งด้วยความตกใจ
“กุ้ยเฟย!” เสิ่นหานลู่ที่ยังอยู่ในห้องด้านนอกสาวเท้าก้าวพรวดๆ เข้ามา พอเห็นงูชูหัวออกจากอ่างปลาไนใบนั้นก็หน้าถอดสี รีบตะโกนลั่น “ไปตามหมอหลวงมาเร็ว กุ้ยเฟยถูกงูฉก!”
เป่าซั่นตะโกนเรียกคนอย่างตกอกตกใจ ขันทีจำนวนหนึ่งมาจับงูตัวนั้นออกไป เสิ่นเฟยบีบข้อมือเสิ่นกุยเยี่ยนแน่นขณะพยุงนางไปนั่ง จากนั้นอ้าปากดูดแผลอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
“เสิ่นเฟย?” เป่าซั่นขมวดคิ้ว ประคองเจ้านายพลางมองเสิ่นเฟยอย่างกังขา
ซิ่วผิงที่อยู่ด้านหลังเอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจ “ไม่รู้ว่างูตัวนั้นมีพิษหรือไม่ เจ้านายข้ากำลังช่วยดูดพิษงูถวายพระชายาอยู่ พี่เป่าซั่นอย่าได้ร้องเอะอะ หากเสิ่นเฟยทรงกลืนพิษเข้าไปจะแย่เอา”
เป่าซั่นรีบหุบปากทันควัน เสิ่นกุยเยี่ยนขืนตัวนิ่งๆ ไม่ขยับ เพราะเคยได้ยินมาว่าหากถูกงูฉกแล้วขยับ พิษจะแล่นไปทั่วร่างภายในเวลาอันสั้น
นางยังมีบุตรอยู่ในครรภ์ จะเป็นอันตรายใดๆ แม้แต่น้อยไม่ได้เด็ดขาด
เสิ่นหานลู่ดูดปากแผลนางสลับกับบ้วนทิ้งซ้ำๆ เลือดที่บ้วนออกมาเป็นสีดำจริงๆ เป่าซั่นตะลีตะลานออกไปสั่งให้คนรายงานฮ่องเต้ ฝ่ายหมอหลวงก็มาถึงอย่างรวดเร็ว
“เสิ่นเฟย ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!” หมอหลวงเดินเข้ามาเห็นเสิ่นหานลู่กำลังบ้วนเลือดทิ้งก็รีบร้องห้าม “หากพิษงูไหลลงพระศอพระชายาเองจะทรงแย่ไปด้วย ให้กระหม่อมจัดการดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าจะไปรู้อะไร” เสิ่นหานลู่รู้สึกหน้ามืด หลังบ้วนเลือดสีแดงออกจากปากก็ยกมือชี้ยิ้มๆ “ข้าเคยดูโทรทัศน์ ถ้าดูดเลือดทิ้งจนกลายเป็นสีแดงสดก็…ก็ปลอดภัยแล้ว”
ลิ้นเริ่มชาจนขนาดประโยคเดียวยังพูดตะกุกตะกัก เสิ่นหานลู่หันไปหมายจะพูดอะไรต่อ แต่พลันทรุดฮวบลงเสียก่อน
เสิ่นกุยเยี่ยนขมวดคิ้วมองเจ้าตัว
คนเราเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือภายในเวลาสั้นๆ ได้หรือ แต่ก่อนเสิ่นหานลู่ยังอยากให้นางตายอยู่เลยแท้ๆ เวลานี้กลับเข้ามาดูดเลือดพิษออกให้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย หากพิษชนิดนี้ร้ายแรงจนถึงชีวิตจะทำเช่นไร
“พระชายา!” ซิ่วผิงรีบประคองเจ้านายไปอีกทาง หมอหลวงไม่ได้ดูอาการเสิ่นเฟย แต่เข้ามาจับชีพจรให้เสิ่นกุยเยี่ยนก่อน
“กุ้ยเฟยทรงมึนพระเศียรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงถาม
เสิ่นกุยเยี่ยนส่ายหน้า “เมื่อครู่คลื่นไส้วิงเวียนเล็กน้อย แต่ตอนนี้หายแล้ว”
หมอหลวงมองเลือดที่ถูกบ้วนลงพื้นข้างตัว แล้วพรูลมหายใจอย่างโล่งอก “กุ้ยเฟยทรงปลอดภัยดี ดูท่าวิธีนี้ของเสิ่นเฟยจะทรงได้ผล เลือดพิษถูกดูดออกมาหมดแล้ว”
“เช่นนั้นนางเล่า” เสิ่นกุยเยี่ยนมองไปทางสตรีอีกคน
หมอหลวงจึงไปดูอาการเสิ่นเฟย แล้วให้หน้าผิดสี “เสิ่นเฟยทรงถูกพิษงู งูที่จับได้เมื่อครู่อยู่ที่ใด เอางูมาก็ไม่น่าห่วงแล้ว”
เป่าซั่นเม้มปากถาม “นี่งูอะไรหรือเจ้าคะ”
หมอหลวงตอบ “งูหงอนระกา พิษร้ายแรงทีเดียว แต่ถ้างูยังอยู่ก็มีทางช่วย เพียงแต่เสิ่นเฟยคงต้องทรงทรมานสักหน่อย”
“จู่ๆ ในอ่างปลามีงูพิษได้อย่างไร” เป่าซั่นหันไปมองเจ้านาย “เมื่อเช้าตอนเก็บกวาดหม่อมฉันยังล้างอ่างใบนี้เองกับมือ ในอ่างไม่เห็นมีอะไรเลยเพคะ”
เสิ่นกุยเยี่ยนที่นั่งพิงพนักเก้าอี้ยังอกสั่นขวัญแขวนไม่หาย ได้แต่หลับตาสั่งว่า “ประคองเสิ่นเฟยไปนอนบนตั่งนุ่มตรงนั้นแล้วถอนพิษให้ก่อนเถิด เรื่องอื่นไว้ช่วยนางได้แล้วค่อยว่ากัน”
พวกขันทีช่วยกันจับงูเข้ามา หมอหลวงรีดพิษงูมาผสมยาถอนพิษ ขณะที่เสิ่นกุยเยี่ยนรออยู่ข้างๆ
งูพิษร้ายแรงถึงเพียงนี้ หากไม่เพราะเสิ่นหานลู่มีอาการตอบสนองฉับไว คนที่นอนอยู่บนตั่งในเวลานี้คงเป็นนาง
กู้เจาเป่ยรีบร้อนมาตำหนักหย่งเหอจนพระมาลาบนศีรษะเบี้ยว พอเข้ามาข้างในก็ถลาไปทางตั่งนุ่มทันที
“ฝ่าบาท” เสิ่นกุยเยี่ยนส่งเสียงเรียก “หม่อมฉันปลอดภัยแล้วเพคะ”
เขาหันมาแล้วขมวดคิ้วมองมือที่ถูกพันผ้าไว้ของนาง “เกิดอะไรขึ้น”
นางมองเสิ่นหานลู่ที่อยู่บนตั่ง แล้วเล่าเหตุการณ์เมื่อครู่ให้เขาฟัง หัวคิ้วของกู้เจาเป่ยยิ่งขมวดมุ่น “จู่ๆ จะมีงูพิษเลื้อยเข้าตำหนักได้อย่างไร เมื่อครู่มีใครมาที่นี่บ้าง ไปตามกลับมาให้หมด”
ฮ่องเต้กำลังกริ้วหนัก ข้าราชบริพารรีบวิ่งออกไปถ่ายทอดคำสั่งเร็วรี่ ไม่ทันไรกลุ่มคนที่มาถวายคำนับเมื่อเช้าก็มาถึงทั้งหมด
กู้เจาเป่ยไม่แม้แต่จะปรายตามองเสิ่นหานลู่ เอาแต่ถามหมอหลวงซ้ำๆ ให้แน่ใจว่าตัวเยี่ยนกุ้ยเฟยและเด็กในครรภ์ไม่เป็นอันตราย จากนั้นก็นั่งหน้าบึ้งเตรียมหาตัวคนเอางูมาปล่อย
สตรีตำหนักในจำนวนมากไม่เคยได้พบฮ่องเต้มาก่อน วันนี้นับเป็นครั้งแรก แม้จะตื่นเต้นสุดขีด ทว่าเมื่อสบประสานกับสายตาคมกริบเย็นชาของเจ้าแผ่นดิน ทุกคนก็รีบระงับความรู้สึกอื่นเอาไว้
ไม่จำเป็นต้องพูดกันให้มากความว่าเยี่ยนกุ้ยเฟยเป็นที่โปรดปรานเพียงใด บัดนี้มีงูโผล่ออกมาในตำหนักที่เจ้าตัวเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ ไม่ว่าคนทำคือใคร หากถูกจับได้มีแต่จะต้องโทษสถานหนัก ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้าด้วยกลัวจะตกเป็นผู้ต้องสงสัย
นางกำนัลทุกคนที่ช่วยจัดห้องด้านในเมื่อเช้าล้วนแต่คุกเข่าอยู่เบื้องล่าง
เป่าซั่นเอ่ย “ผู้ใดจัดเก็บ ผู้ใดเช็ดทำความสะอาดข้าวของ มีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจนเพคะ อ่างปลาไนวางอยู่บนชั้นฝั่งตะวันออก คนที่ผ่านและทำงานตรงนั้นมีเพียงฮวาหรุ่ยนางกำนัลของสีเฟย ซิ่วผิงนางกำนัลของเสิ่นเฟย และชิงจู๋นางกำนัลของฟู่กุ้ยเหริน…แต่ไม่ใช่ซิ่วผิงแน่เพคะ”
ฮ่องเต้ที่รับฟังอยู่เอ่ยถาม “เพราะเหตุใด”
“เพราะตอนหม่อมฉันส่งกาน้ำชาให้ซิ่วผิง แต่นางรับไม่ดี น้ำชาเลยหกเข้าไปในแขนเสื้อ ตอนที่หม่อมฉันช่วยเช็ดให้ไม่เห็นนางเก็บสิ่งใดไว้ในแขนเสื้อ เวลานั้นไม่น่าจะมีอะไรอยู่ในอ่างเช่นกันเพคะ” เป่าซั่นตอบอย่างเคร่งเครียด “ส่วนนางกำนัลอีกสองคนที่เหลือหม่อมฉันไม่ทราบ”
ตอนได้ฟังเรื่องราว กู้เจาเป่ยสงสัยเสิ่นหานลู่มากกว่าใคร เพราะเป็นไปได้ว่านางจะสร้างเหตุขึ้นมาเรียกความสงสารเห็นใจจากเยี่ยนเอ๋อร์ แต่ในเมื่อเป่าซั่นเป็นพยานยืนยันเช่นนี้ย่อมตัดซิ่วผิงออกไปได้
นางกำนัลอีกสองคนที่เหลือนั้น นางหนึ่งเป็นคนของสีเฟย อีกนางหนึ่งเป็นคนของฟู่กุ้ยเหริน ฮ่องเต้โบกมือโดยไม่เสียเวลาคิด “ลากชิงจู๋ไปลงโทษตามกฎวังหลวง ส่วนฟู่กุ้ยเหรินให้ขังไว้ในศาลราชวงศ์”
ฟู่โหย่วอี๋ตกตะลึง หน้าซีดเผือดถนัดตา “ฝ่าบาท”
สีเฟยหันมามองอย่างประหลาดใจ “ฝ่าบาททรงทราบได้อย่างไรเพคะว่าเป็นฝีมือนาง”
ไม่ใช่นางแล้วเป็นเจ้าหรือไรเล่า กู้เจาเป่ยทอดถอนใจเงียบๆ กับตนเอง สุ่ยเซียนช่างโง่เขลาเหลือเกิน เขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเชื่อใจนาง แต่นางกลับถามเช่นนี้
“หม่อมฉันไม่ได้ทำเพคะ!” ฟู่กุ้ยเหรินทิ้งตัวลงคุกเข่าโขกศีรษะซ้ำๆ “เยี่ยนกุ้ยเฟยทรงเป็นพยานได้ คนแรกที่อาสาช่วยจัดตำหนักคือสีเฟย หม่อมฉันยังทักท้วงด้วยซ้ำ แล้วจะให้ชิงจู๋เอางูพิษไปปล่อยในอ่างใบนั้นได้อย่างไร หม่อมฉันไม่ทราบเสียหน่อยว่าข้ารับใช้เข้าไปห้องด้านในตำหนักของกุ้ยเฟยได้!”
สีเฟยก้าวออกมาคุกเข่าก่อนพูดอย่างไม่พอใจ “หม่อมฉันไม่มีเหตุผลต้องทำร้ายกุ้ยเฟยเพคะ”
“อืม เรารู้” กู้เจาเป่ยโบกมือ “ฟู่กุ้ยเหรินไม่ต้องแก้ตัวแล้ว ลากตัวออกไป”
“ฝ่าบาท!” ฟู่โหย่วอี๋ดิ้นขัดขืน “ถึงอย่างไรท่านปู่ของหม่อมฉันก็จงรักภักดีต่อราชวงศ์มานานปี ฝ่าบาทจะทรงตัดสินโทษหม่อมฉันทั้งที่ยังไม่ได้สืบสวนได้หรือเพคะ หม่อมฉันไม่ยอมรับผิดหรอก!”
หวาเฟยขมวดคิ้วแล้วหันไปพูดกับฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ฟู่กุ้ยเหรินผู้นี้กับราชบัณฑิตฟู่เป็น…”
“เรารู้” กู้เจาเป่ยหัวเราะเบาๆ “เราบอกหรือว่าจะตัดสินโทษนาง นำตัวไปขังไว้ในศาลราชวงศ์ก่อน อยากให้เราสืบสวนเรื่องนี้ เราก็จะให้คนสืบสวน หากกล่าวหาเจ้าผิดไป เราจะขอโทษดีหรือไม่”
ฟู่กุ้ยเหรินน้ำตาร่วงพรูอย่างคับข้องใจเหลือประมาณ แล้วมองสีเฟยด้วยแววตาแค้นเคือง “ฝ่าบาทอย่าได้ทรงเชื่อคนผิดเด็ดขาดนะเพคะ”
สีเฟยขมวดคิ้วแล้วขยับปากจะตอบโต้ แต่เสิ่นกุยเยี่ยนที่เอาแต่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ กดมือนางไว้ก่อน
เมื่อฟู่กุ้ยเหรินถูกนำตัวออกไป ความเงียบก็ปกคลุมตำหนักใหญ่
“เยี่ยนกุ้ยเฟยกำลังตั้งครรภ์ จำเป็นต้องพักผ่อน เวลาปกติหากพวกเจ้าไม่มีธุระอะไรก็อย่าได้มารบกวนนางดีกว่า” กู้เจาเป่ยกวาดตามองทุกคนแล้วเอ่ยเบาๆ “เราจะสืบสวนเรื่องวันนี้ให้กระจ่าง สตรีที่กล้าทำร้ายผู้อื่นในตำหนักใน ต่อให้งดงามเพียงใดเราก็ไม่เก็บไว้”
เหล่าสนมชายาค้อมศีรษะเงียบๆ
“เสิ่นเฟยมีความดีความชอบที่ช่วยเยี่ยนกุ้ยเฟย เราจะตกรางวัลให้ ไว้นางพอจะฟื้นคืนสติเมื่อไรก็ให้คนพาส่งกลับตำหนักลู่หวา เรายังมีงานต้องทำ จะกลับไปห้องทรงพระอักษรก่อน”
เดิมทีเขากำลังประชุมงานอยู่ในนั้น นี่ออกมากลางคันไม่รู้จะมีใครไม่พอใจหรือไม่
“น้อมส่งเสด็จฝ่าบาท” เสิ่นกุยเยี่ยนลุกขึ้นมาย่อกายคารวะ จวบจนฮ่องเต้เดินออกไปไกลแล้วนางถึงค่อยกลับไปนั่งที่ตำแหน่งประธาน
ฟู่กุ้ยเหรินถูกลากตัวออกไปแล้ว แต่เพราะจะมีการสืบสวนคดี ชิงจู๋จึงยังไม่ได้ออกไปรับโทษ
นางกำนัลน้อยผู้น่าสงสารสั่นพั่บๆ ไปทั้งตัว หน้าผากเปียกชุ่มราวกับเพิ่งรอดชีวิตกลับมาจากประตูนรกก็มิปาน
“พระชายาน่าจะส่งชิงจู๋ไปขังคุกด้วยสิเพคะ” หวาเฟยเตือนเบาๆ “ไว้ได้ความกระจ่างเมื่อไรค่อยจัดการก็ได้”
เสิ่นกุยเยี่ยนส่ายหน้าแล้วพูดพลางมองนางกำนัลน้อย “นางจะอยู่ทำงานในตำหนักหย่งเหอ”
ทุกคนตกตะลึงกันถ้วนหน้า แม้แต่สีเฟยยังขมวดคิ้ว “เหตุใดพระชายาถึงได้ทรงรับตัวนางไว้ หากนางเอางูพิษมาปล่อยอีกจะทำอย่างไร”
“ไม่มีหลักฐานเสียหน่อยว่านางเป็นคนปล่อย” เสิ่นกุยเยี่ยนยิ้ม “เมื่อครู่เป็นเพียงพระวินิจฉัยของฝ่าบาทเท่านั้นไม่ใช่หรือ”
บทที่ 132 เด็กน้อย
แม้จะไม่มีหลักฐาน แต่เก็บผู้ต้องสงสัยไว้ใกล้ตัวก็ยังไม่ดีอยู่นั่นเอง หวาเฟยทำท่าจะอ้าปากทักท้วงต่อ แต่เสิ่นกุยเยี่ยนยกมือปราม “ตกลงตามนี้ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”
นางเก็บคนไว้ย่อมเห็นว่ามีประโยชน์
ตัวชิงจู๋เองก็เงยหน้าขึ้นมองเสิ่นกุยเยี่ยนอย่างตะลึงงันเช่นกัน ขณะที่เป่าซั่นเดินมาพยุงนางขึ้นจากพื้น เด็กน้อยผู้นี้ตัวเล็กราวกับลูกไก่ เหมือนเพิ่งอายุเพียงแปดเก้าขวบเท่านั้น
“ในเมื่อกุ้ยเฟยทรงมีรับสั่งเช่นนี้ เจ้าก็มากับข้า” ว่าแล้วเป่าซั่นก็พาชิงจู๋ออกไป
เสิ่นกุยเยี่ยนมองเข้าไปยังส่วนหลังของตำหนัก หมอหลวงเดินออกมาประสานมือรายงาน “เสิ่นเฟยเสวยยาถอนพิษแล้ว ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ต้องทรงพักฟื้นร่างกาย”
“ลำบากท่านหมอหลวงแล้ว” นางค้อมศีรษะ หมอหลวงค้อมคำนับแล้วกลับไป
เสิ่นหานลู่เดินออกมาโดยมีซิ่วผิงช่วยประคอง ฝีเท้าโงนเงนไม่มั่นคง ใบหน้านางเขียวคล้ำ หากจะบอกว่าทำไปเพื่อเรียกความสงสารก็ถือว่าวางเดิมพันสูงลิ่ว ซ้ำร้ายเสิ่นกุยเยี่ยนก็ไม่ได้รู้สึกสงสารอีกฝ่ายเท่าใดนัก
“พี่เสิ่นเฟยกลับไปรอรางวัลจากฝ่าบาทก่อนเถิด” สีเฟยมองเจ้าตัว “ลำบากมาไม่น้อยจริงๆ”
เสิ่นหานลู่ฝืนยิ้ม หลังย่อกายคารวะทั้งที่หน้ามืดวิงเวียนก็ออกไปนั่งเกี้ยวกลับตำหนัก
หวาเฟยมองตามแผ่นหลังฝ่ายนั้นแล้วหันมาเตือนเบาๆ “พระชายาอย่าได้ทรงสิ้นระแวงในตัวนางนะเพคะ สันดานคนเปลี่ยนยาก”
“ข้ารู้อยู่แล้ว” เสิ่นกุยเยี่ยนพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยต่อพลางมองไปที่ประตู “แต่ครั้งนี้ไม่ใช่นางจริงๆ”
หวาเฟยผงะแล้วขมวดคิ้วมองหน้าสีเฟย “ความหมายของพระชายาคือ…”
ไม่ใช่เสิ่นหานลู่ ทั้งเยี่ยนกุ้ยเฟยยังรับตัวชิงจู๋ไว้ แสดงว่าสงสัยสีเฟยอย่างนั้นหรือ
สีเฟยทำหน้าเหลอหลาไม่รู้เรื่องรู้ราว ยังถามว่า “มองข้าด้วยเหตุใดกัน มีดอกไม้บานบนหน้าข้าหรือไร”
หวาเฟยเบือนหน้าหนีอย่างเอือมระอา เริ่มไม่อยากอยู่แนวร่วมเดียวกับสหายผู้นี้เสียแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่เคยหาเลี้ยงชีพในหอคณิกามาก่อน ทว่าสุ่ยเซียนช่างสังเกตสีหน้าคนไม่เป็นเอาเสียเลย แต่ก่อนแม่เล้ายังใช้นิสัย ‘บริสุทธิ์สดใสตรงไปตรงมา’ ของนางเป็นจุดขาย เดี๋ยวนี้เข้ามาอยู่ในวังหลวงแล้ว จุดขายดังกล่าวกลับกลายเป็นจุดอ่อนร้ายแรงพอดิบพอดี
“ต้องเทียวไปเทียวมาเช่นนี้ พวกเจ้าเองก็เหนื่อยแล้ว” เสิ่นกุยเยี่ยนกล่าว “ถ้าอย่างไรกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด ประเดี๋ยวจะได้ไปถวายพระพรไทเฮาที่ตำหนักอุดร”
“เพคะ”
ทุกคนแยกย้ายไปจนหมด เมื่อเป่าซั่นพาชิงจู๋ที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินกลับเข้ามา เสิ่นกุยเยี่ยนกำลังยืนเหม่อข้างอ่างปลาไนใบนั้น
“พระชายาเพคะ”
เสียงเรียกของคนสนิทดึงสตินางกลับมา เสิ่นกุยเยี่ยนหันมามองชิงจู๋แล้วกวักมือเรียกยิ้มๆ “มานี่สิ”
นางกำนัลน้อยสั่นไปทั้งตัว เมียงมองคนเรียกอยู่นาน ถึงค่อยเดินเข้าไปหาอย่างระมัดระวัง “กุ้ยเฟย”
“เข้ามาอยู่ในวังหลวงนานเพียงใดแล้ว” เสิ่นกุยเยี่ยนถามยิ้มๆ
ชิงจู๋กลืนน้ำลายลงคอแล้วตอบเสียงเบา “ครึ่งเดือนเพคะ หม่อมฉันติดตามฟู่กุ้ยเหรินเข้าวังหลวงมาด้วยกันในฐานะนางกำนัลประจำตัวที่สกุลฟู่ส่งมาเพคะ”
เสิ่นกุยเยี่ยนพยักหน้า “แต่เจ้าอายุยังน้อย เริ่มรับใช้ใกล้ชิดฟู่กุ้ยเหรินตั้งแต่เมื่อไรเล่า”
ความลนลานฉายขึ้นในดวงตาเด็กหญิง ด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายถามไปด้วยเหตุผลใด แต่ลองคิดหน้าคิดหลังก็ไม่เห็นว่ามีจุดใดเผยพิรุธจึงตอบเสียงเบา “หนึ่งปีก่อนครอบครัวของหม่อมฉันตกอับ จึงขายตัวเข้าสกุลฟู่แล้วถูกคุณหนูเลือกเป็นสาวใช้ จนสุดท้ายได้ตามเข้ามาอยู่ในวังหลวงเพคะ”
ช่วงเวลาไม่นาน เช่นนั้นก็ใคร่ครวญง่ายแล้ว เสิ่นกุยเยี่ยนดึงนางมาวัดความสูง แม่หนูคนนี้สูงเลยอ่างปลาไนบนชั้นมาเพียงช่วงศีรษะเท่านั้น หากจะใส่อะไรเข้าไป คาดว่าจะต้องเอื้อมมือไปดึงอ่างให้เอียงลงมาก่อน
“วันนี้เจ้าก็เห็นแล้วว่าอยู่กับฟู่กุ้ยเหรินไม่ปลอดภัย ฝ่าบาทไม่ทรงเชื่อนาง ขนาดไม่มีหลักฐานยังมีรับสั่งให้จับนางไปขังในศาลราชวงศ์ ชีวิตคนตัวเล็กๆ อย่างเจ้ายิ่งรักษาไว้ได้ยากเข้าไปใหญ่”
เสิ่นกุยเยี่ยนเดินไปนั่งที่ตั่งนุ่มแล้วยิ้มละไม “ข้าเห็นเจ้าน่าสงสาร เลยตั้งใจจะให้เจ้าอยู่ที่นี่ ตอนนี้เจ้าสวมชุดนางกำนัลตำหนักหย่งเหอก็ทำงานในตำหนักส่วนหน้าไปพลางๆ ก่อนแล้วกัน ไว้คดีของฟู่กุ้ยเหรินได้ความกระจ่างเมื่อใดค่อยตัดสินใจอีกทีว่าเจ้าจะไปหรือจะอยู่ต่อ ดีหรือไม่”
ชิงจู๋คุกเข่าลงโขกศีรษะอย่างซาบซึ้ง เนื้อตัวยังคงสั่นระริกดังเดิม รู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่อย่างไรอย่างนั้น
“เอาล่ะ เจ้าเองก็ออกไปเถิด” เสิ่นกุยเยี่ยนสั่ง “ฝ่าบาทตรัสว่าอีกสักพักจะทรงส่งคนมาสืบคดี ข้าวของส่วนหลังของตำหนักนี้เจ้าอย่าแตะต้องเด็ดขาด เพราะประเดี๋ยวจะมีคนมาเก็บหลักฐาน”
“เพคะ” ชิงจู๋หลุบตาลงแล้วถอยกลับออกไปอย่างเร่งร้อน
“พระชายาตั้งพระทัยจะทำอะไรเพคะ” เป่าซั่นเข้ามาถามใกล้ๆ ด้วยความฉงน “หรือว่าทรงสงสัยสีเฟย?”
ผู้เป็นนายส่ายหน้า “เขาเชื่อใจใคร ข้าย่อมไม่สงสัยผู้นั้น ข้าเพียงเกิดความกังขาว่าฝ่าบาททอดพระเนตรเพียงปราดเดียว เหตุใดถึงได้แน่พระทัยว่าเป็นฟู่กุ้ยเหริน เมื่อครู่ข้ารั้งตัวแม่หนูน้อยมาจับสังเกตก็เหมือนจะเข้าใจแล้ว”
“เข้าใจอะไรหรือเพคะ” เป่าซั่นทำหน้าเหลอหลา เสิ่นกุยเยี่ยนใช้นิ้วเคาะหน้าผากอีกฝ่ายอย่างอ่อนใจ
“เด็กโง่ เจ้าเคยเห็นงูนั่นหรือไม่เล่า”
เป่าซั่นนิ่งคิด “ไม่เคยเลยเพคะ งูทั่วไปไม่ได้สวยเช่นนี้ ดูก็รู้แล้วว่าต้องมีพิษ”
“เช่นนั้นหากข้าสั่งให้เจ้าเอางูเช่นนี้ไปปล่อย เจ้ากล้าทำหรือไม่” เสิ่นกุยเยี่ยนถามยิ้มๆ
เป่าซั่นย่นจมูก เอ่ยอย่างลำบากใจ “พระชายาอย่าทรงถามคำถามเช่นนี้เลยเพคะ หม่อมฉันกลัวตายอย่างกับอะไร ให้ปล่อยงูธรรมดายังกล้า แต่ถ้ารู้ว่าต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง อย่างไรหม่อมฉันก็กลัวเพคะ”
งูหงอนระกาตัวนั้นสีสันสดสวย นางสงสัยเสียจริงว่าผู้ใดกันกล้าจับมาปล่อย ช่างไม่กลัวว่างูจะแว้งฉกตนเองบ้างหรือไร
“สาวใช้ทั่วไปต้องอายุสิบสามสิบสี่ถึงจะได้เป็นสาวใช้ประจำตัวคุณหนู แต่ชิงจู๋เพิ่งอายุเพียงเก้าขวบเท่านั้น เจ้าไม่แปลกใจหรือ”
เป่าซั่นคิดตาม “แปลกใจน่ะแปลกใจอยู่หรอกเพคะ แต่นั่นเป็นเรื่องของฟู่กุ้ยเหริน นางกำนัลอายุน้อยสักหน่อยจะเป็นไรไป ทำงานรับใช้เป็นก็พอแล้ว”
“อืม ถ้าจะให้ดีที่สุดก็ต้องทำงานรับใช้เช่นนั้นเป็นด้วย แต่นางอายุน้อยยังไม่รู้ความ เป็นเด็กที่มีแต่สิ่งที่ไม่รู้จัก” เสิ่นกุยเยี่ยนทอดถอนใจ “ข้าพูดถึงเพียงนี้แล้ว หากเจ้ายังคิดตามไม่ได้อีก ข้าก็จนปัญญา”
เป่าซั่นไปนั่งยองๆ กุมขมับเค้นสมองคิดคนเดียว
ยังเด็กอยู่แล้วอย่างไรเล่า ยังเด็กอยู่…ช้าก่อน
หากยังเด็กอยู่ก็คงไม่กลัวสัตว์มีพิษที่ตนเองไม่รู้จักสินะ ไม่รู้ย่อมไม่กลัว นี่คือความหมายของนายหญิงใช่หรือไม่
ชิงจู๋เป็นคนเอางูพิษตัวนั้นมาปล่อยจริงๆ หรือ เช่นนั้นเหตุใดนายหญิงถึงได้รับอีกฝ่ายเอาไว้ในตำหนักหย่งเหอแทนที่จะส่งไปขังเหมือนอย่างฟู่กุ้ยเหรินเล่า
นอกจากนั้นเหตุใดฟู่กุ้ยเหรินถึงได้ข้ามขั้นมาปองร้ายชายาระดับกุ้ยเฟยตั้งแต่แรก ตนเองเป็นเพียงกุ้ยเหริน น่าจะค่อยๆ ไล่ขึ้นมาทีละระดับมากกว่า
เป่าซั่นครวญครางออกมาเพราะใช้ความคิดจนปวดหัว จากนั้นก็สลัดศีรษะ ไม่รู้ไม่สนแล้ว รอคนมาสืบแล้วกัน เป็นคนโง่เขลาที่ไม่เข้าใจอะไรอย่าข้าก็ดีเหมือนกัน…จริงๆ นะ
คนของกรมอาญามาค้นตำหนักหย่งเหอโดยละเอียดแต่ไม่พบอะไรทั้งสิ้น ชิงจู๋ยืนตัวสั่นเทารออยู่ข้างนอกโดยมีเป่าซั่นยืนข้างๆ
“หนาวหรือ” เป่าซั่นกระซิบถาม
เด็กหญิงส่ายหน้าแล้วตอบเสียงเบา “ข้าแค่กลัวเจ้าค่ะ งูพิษตัวนั้นน่ากลัวยิ่งนัก…”
เป่าซั่นหัวเราะ “มีอะไรต้องกลัวกันเล่า งูไม่อยู่แล้วมิใช่หรือ เมื่อครู่ข้าได้ยินคนของกรมอาญาบอกว่างูชนิดนี้หายากยิ่ง ใช่จะพบได้ง่ายๆ เชื่อว่าใช้เวลาไม่นานต้องสืบรู้ความจริงอย่างแน่นอน”
ชิงจู๋ชะงัก จากนั้นก็พยักหน้า “ไม่เคยเห็นงูเช่นนี้มาก่อนจริงๆ นั่นล่ะเจ้าค่ะ”
“แบบใดหรือ” เป่าซั่นถามอย่างไม่ใส่ใจ
ชิงจู๋ยกมือทำท่าทาง “ก็ลำตัวสีแดงสด บนหัวมีหงอนเหมือนไก่น่ะสิเจ้าคะ”
“เจ้าเห็นเมื่อใดกัน” เป่าซั่นยิ้มละไม “ข้าจำได้ว่าตอนงูนั่นฉกกุ้ยเฟย เจ้าไม่ได้อยู่ในตำหนักหย่งเหอนี่?”
นางกำนัลน้อยหน้าซีด ร่างเล็กยิ่งสั่นพั่บๆ ขณะยกมือตบปากตนเอง น้ำเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้ “ข้าพูดจาส่งเดชน่ะเจ้าค่ะพี่เป่าซั่น”
“อ้อ อย่างนั้นหรือ ไม่ต้องลนลานไป กุ้ยเฟยทรงให้เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าไม่สงสัยเจ้าหรอก” เป่าซั่นบอกเบาๆ “ประเดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร จะได้ลบล้างข้อสงสัยให้เจ้าโดยเร็ว”
ชิงจู๋พยักหน้าเกร็งๆ
ไม่ทันไรคนของกรมอาญาก็เดินออกมา ชิงจู๋วิ่งไปยืนแอบอีกทางด้วยความกลัว จวบจนพวกนั้นออกจากตำหนักไปแล้ว นางถึงค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ชิงจู๋ มานี่เร็ว” เป่าซั่นยืนกวักมือเรียกตรงประตูตำหนักใหญ่
เด็กหญิงรีบเดินไปหา “มีอะไรหรือเจ้าคะ”
อีกฝ่ายสั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พวกใต้เท้ากรมอาญาบอกว่าคนร้ายทิ้งรอยนิ้วมือไว้บนอ่างปลาไน เจ้าเฝ้าอยู่ตรงนี้นะ ข้าจะไปหาแป้งที่ละเอียดที่สุดมาโรยผิวอ่าง หากรอยนิ้วมือโผล่ออกมา ทีนี้ก็จะชี้ตัวได้แล้วว่าคนร้ายคือใคร”
ชิงจู๋เบิกตากว้าง “ทะ…ทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือเจ้าคะ”
“อืม เจ้าเฝ้าไว้ดีๆ เล่า พระชายาทรงนอนกลางวันแล้ว อย่าส่งเสียงดังให้ทรงตื่นเชียว” เป่าซั่นเดินออกไปโดยไม่เหลียวหลัง
ชิงจู๋ยืนหน้าประตูตำหนักใหญ่ของตำหนักหย่งเหอ มือเล็กขยุ้มชายเสื้อแน่นขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็ทนไม่ไหว หมุนตัวย่องเข้าไปข้างใน หยิบผ้าเช็ดหน้า โน้มอ่างปลาไนลงมาเล็กน้อย จากนั้นก็เช็ดถูโดยแรง
“นางหลอกเจ้า” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง
เด็กน้อยสะดุ้งโหยง มือ
กระตุกวูบ อ่างปลาไนตกลงพื้นแล้วแตกเป็นเสี่ยงๆ
เพล้ง! เสียงดังก้อง เป่าซั่นนำขันทีจำนวนหนึ่งรีบรุดเข้ามาดู
เสิ่นกุยเยี่ยนนั่งพิงหัวเตียงมองเด็กหญิงที่สั่นระริกไปทั้งตัว นางมิได้เอ็ดอึงใส่ เพียงกวักมือเบาๆ “ชิงจู๋ มานี่ซิ”
ชิงจู๋แทบร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ ยามนี้ฟู่กุ้ยเหรินไม่อยู่ด้วย ไม่มีใครบอกนางว่าควรทำเช่นไร พอสบประสานกับดวงเนตรของเยี่ยนกุ้ยเฟย นางรู้สึกว่าตนเองทำอะไรก็ผิดไปเสียทุกอย่าง
นางกำนัลน้อยค่อยๆ เดินเข้าไปอย่างอิดออด ไม่กล้าเงยหน้า เสียงก็สั่นสะท้านเช่นกัน “หม่อมฉัน…หม่อมฉันแค่จะทำความสะอาดเพคะ…”
“วันนี้ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าเจ้าเป็นนางกำนัลที่รับผิดชอบงานส่วนหน้าของตำหนัก เข้ามาส่วนหลังเท่ากับทำผิดรู้หรือไม่” เสิ่นกุยเยี่ยนถามอย่างอ่อนโยน
ชิงจู๋ขยับปาก ไม่รู้ว่าควรตอบกลับไปอย่างไรดี
“อ่างใบนี้เป็นของพระราชทาน เมื่อเจ้าทำแตก ข้าจึงช่วยปกป้องเจ้าไม่ได้ เข้าใจหรือไม่”
ชิงจู๋สะดุ้งเฮือก น้ำตาร่วงพรูเป็นสาย “หม่อมฉันยังไม่อยากตายเพคะ”
ไม่มีใครอยากตายหรอก นางไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไร ผู้คนในวังหลวงล้วนแต่ดูเย็นชา นางไม่เคยทำอะไรถูกสักอย่างเดียว มีแต่ยามฟู่กุ้ยเหรินอยู่ด้วยเท่านั้นนางถึงรู้ว่าควรต้องทำอะไร ต้องพูดอย่างไร แต่เยี่ยนกุ้ยเฟยกลับรับตัวนางไว้
“เด็กต้องพูดความจริงถึงจะเป็นเด็กดี…รู้หรือไม่” เสิ่นกุยเยี่ยนใช้น้ำเสียงหลอกล่อเด็ก “ตอนนี้เจ้ามีโทษถึงตายแล้ว หากเจ้ายอมเล่าให้ข้าฟังว่าเรื่องงูตัวนั้นเป็นมาอย่างไรกันแน่ ข้าจะคิดหาทางปล่อยเจ้าออกจากวังหลวง แต่หากเจ้ายังโกหกอีก ข้าก็ทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาลากเจ้าออกไปเท่านั้น”
ชิงจู๋ได้ฟังดังนั้นก็ลนลาน สายตาอ่อนโยนของเสิ่นกุยเยี่ยนที่ได้เห็นเมื่อเงยหน้าขึ้นทำให้นางรู้สึกเหมือนคนใกล้จมน้ำแล้วเห็นเศษฟางลอยมาให้คว้าไว้ “พระชายาโปรดทรงช่วยหม่อมฉันด้วย ก่อนเข้าวังหลวงหม่อมฉันถูกสั่งมาว่าต้องเชื่อฟังฟู่กุ้ยเหรินเป็นอย่างดี หากหม่อมฉันพูดสิ่งที่ไม่ควรพูด น้องชายกับมารดาของหม่อมฉันจะตายกันหมดเพคะ”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.