X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักลูบคมองครักษ์สวมรอย

ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย เล่ม 1 บทที่ 3-4

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 3

วันที่หนึ่งเดือนสิบสอง

หลายวันก่อนหิมะตก สองวันนี้เป็นช่วงเวลาที่หนาวเหน็บพอดี หงหว่านฉิงนั่งอยู่ในรถม้า สาวใช้เติมถ่านลงในเตาอุ่นมือ ปิดทองแล้วส่งให้หงหว่านฉิงเพื่อสร้างความอบอุ่น “คุณหนูสาม อากาศหนาวเย็นท่านรีบอุ่นมือสักหน่อยเถิด”

หงหว่านฉิงรับไป นางกวาดตามองไปยังรอยแยกของม่าน แม้มิได้เอ่ยอะไร แต่สาวใช้อ่านใจนางออก พูดขึ้นทันที “ตกลงกันแล้วว่าจะมายามซื่อไฉนจวนเจิ้นหย่วนโหวยังไม่มาเสียที”

วันนี้จวนเจิ้นหย่วนโหวกับจวนหย่งผิงโหวนัดกันไปไหว้พระ เจิ้นหย่วนโหวกตัญญู ออกมาเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นหย่วนโหวด้วยตนเอง เรื่องนี้สองสกุลรู้ดีแก่ใจ เจิ้นหย่วนโหว ‘ออกมาเป็นเพื่อน’ เป็นเพียงข้ออ้าง อยากอาศัยโอกาสนี้พบปะกับหงหว่านฉิงต่างหากที่เป็นเรื่องจริง

นี่เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายตั้งใจอยู่แล้ว การแต่งงานกำหนดแน่นอน ให้เด็กๆ ได้พบปะทำความรู้จักเป็นการส่วนตัว วันหน้าแต่งเข้ามาแล้วจะได้รีบมีทายาทสืบสกุล หงหว่านฉิงเคยพบฟู่ถิงโจวแค่เพียงครั้งเดียว นั่นเป็นเมื่อหลายเดือนก่อน ฟู่ถิงโจวมาเยือนจวนหย่งผิงโหว ตอนเขาไปคำนับมารดาที่เรือนหลัง หงหว่านฉิงนั่งอยู่หลังฉากบังตา มองเห็นเขาจากที่ไกลๆ แวบหนึ่ง นางเห็นแค่เงาร่างของเขาก็พวงแก้มแดงซ่าน คนข้างกายต่างหัวเราะไม่หยุด นางจึงไม่กล้ามองอีก จำได้เพียงเขาตัวสูงมาก ไหล่กว้างขายาว องอาจผึ่งผาย รูปร่างสมเป็นชายชาตรีคนหนึ่ง

นับแต่นั้นมาหัวใจของหงหว่านฉิงก็หล่นหายไปครึ่งหนึ่ง ตอนมารดามาคุยกับนางเรื่องการแต่งงาน นางหน้าแดงกึ่งบอกปัดกึ่งคล้อยตามก่อนจะตอบตกลง หงหว่านฉิงรู้แล้วว่าชีวิตที่เหลือของตนจะต้องอยู่ข้างกายบุรุษผู้นี้ แต่อันที่จริงนางยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฟู่ถิงโจวหน้าตาเป็นอย่างไร แค่เคยได้ยินญาติผู้พี่และผู้อาวุโสบอกว่าฟู่ถิงโจวรูปโฉมหล่อเหลา ท่วงทีสง่างาม เป็นแบบที่คนในกองทัพชื่นชอบมากที่สุด

ครั้งนี้อาศัยผู้ใหญ่ติดต่อจัดการให้พวกเขาได้พบหน้ากันเป็นการส่วนตัวสักครั้ง หงหว่านฉิงรู้ว่าจะได้พบกับฟู่ถิงโจวก็ตื่นเต้นจนใจไม่อยู่กับตัว นอนไม่หลับสองวันติดต่อกัน ไม่ง่ายเลยกว่าจะถึงวันที่ไปไหว้พระ นางเตรียมตัวออกจากจวนตั้งแต่เช้าตรู่ แต่ถึงสถานที่นัดหมายแล้ว รอแล้วรอเล่ากลับไม่เห็นชายหนุ่มปรากฏตัวเสียที

จิตใจที่ว้าวุ่นของหงหว่านฉิงเย็นเยียบลงทีละน้อย นางอดคิดมิได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าสกุลฟู่ไม่ชอบนางหรือไม่ หรือว่าฟู่ถิงโจวเปลี่ยนใจไม่มาแล้ว หญิงสาวข่มความคิดฟุ้งซ่าน ออกแรงจับเตาอุ่นมือร้อนระอุแน่น พูดเสียงค่อย “บางทีฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นหย่วนโหวอาจจะติดธุระทำให้ออกมาสายกระมัง”

สาวใช้พลันขยับเข้ามาใกล้ เอ่ยด้วยท่าทางมีลับลมคมใน “คุณหนูสาม ได้ยินว่าวันนี้บุตรีบุญธรรมของสกุลฟู่ท่านนั้นก็มาด้วยเจ้าค่ะ”

หงหว่านฉิงกลอกตา แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เอ่ยถาม “บุตรีบุญธรรม?”

ความจริงหงหว่านฉิงตระหนักถึงตัวตนของแม่นางหวังตั้งแต่แรกแล้ว จวนเจิ้นหย่วนโหวมีบุตรีบุญธรรมคนหนึ่ง ท่านโหวผู้เฒ่าเป็นคนเลี้ยงดูมากับมือ รูปโฉมงามสะคราญยิ่งนัก ลือกันไปทั่วในกลุ่มชนชั้นสูง หงหว่านฉิงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายชื่ออะไร รู้เพียงว่าแซ่หวัง รู้หนังสือ รู้วรยุทธ์ ดูเหมือนจะสนิทสนมกับฟู่ถิงโจวมาก

พี่ชายน้องชายที่บ้านยามเอ่ยถึงแม่นางหวัง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียดาย พอเห็นหงหว่านฉิงมาก็รีบหยุดปาก หงหว่านฉิงรู้ดีแก่ใจ บุคคลผู้นี้เกินครึ่งคงเป็นศัตรูหัวใจของนางในอนาคตเป็นแน่

บุรุษผู้หนึ่งเก็บสาวงามคนหนึ่งไว้ข้างกายถึงสิบปี ซุกซ่อนไว้ไม่ให้คนนอกเห็น อายุสิบเจ็ดแล้วยังไม่ปล่อยให้ออกเรือน นั่นจะหมายความว่าอย่างไรได้อีก มารดาคงจะได้ยินข่าวลือพวกนี้มาเช่นกันจึงแอบบอกนางลับๆ ว่าการแต่งงานของนางกับฟู่ถิงโจว ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลฟู่เป็นคนพยักหน้าตกลง ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลฟู่ให้สัญญาว่าวันหน้าจะไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องขายหน้าอย่างการยกอนุขึ้นข่มภรรยาเอกแน่นอน หากสกุลหงยังไม่วางใจ ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลฟู่สามารถพาคนมาให้พวกนางดูก่อนได้

มารดาตกลงจึงได้มีเหตุการณ์ในวันนี้เกิดขึ้น

สาวใช้เบ้ปาก “ยังจะเป็นใครได้เล่าเจ้าคะ มิใช่คนที่ท่านโหวผู้เฒ่ารับมาเลี้ยงหรือ ได้ยินว่าบิดานางเคยช่วยชีวิตท่านโหวผู้เฒ่าไว้ เพื่อตอบแทนบุญคุณท่านโหวผู้เฒ่าจึงรับนางมาอยู่จวนเจิ้นหย่วนโหว อยู่ไปอยู่มาก็ผ่านไปสิบปี นางได้รับการปรนนิบัติไม่แตกต่างจากท่านโหว แม้แต่บุตรีสกุลฟู่เองยังเทียบไม่ติดด้วยซ้ำ บัดนี้ท่านโหวผู้เฒ่าจากไปแล้ว แม่นางหวังท่านนี้ไม่รู้จะจัดการอย่างไรต่อ”

หงหว่านฉิงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “จวนเจิ้นหย่วนโหวเป็นตระกูลที่รู้บุญคุณคน รู้ธรรมเนียมมารยาท เจิ้นหย่วนโหวไม่มีทางไม่ไยดีน้องสาวบุญธรรมแน่”

สาวใช้เหยียดปากเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดสี “มิใช่หรือเจ้าคะ คุณหนู ท่านวางใจเถอะ มีฮูหยินผู้เฒ่าสกุลฟู่อยู่ ปลาซิวปลาสร้อยพวกนั้นไม่อาจสร้างคลื่นลมได้ อีกทั้งนายท่านก็บอกแล้วว่าท่านโหวสกุลฟู่สุขุมเยือกเย็นคิดอ่านการณ์ไกล เจิ้นหย่วนโหวมิใช่คนที่แยกแยะไม่ได้อย่างแน่นอน มีฮูหยินผู้เฒ่าคอยส่งเสริม มีท่านโหวที่กระจ่างแจ้งในเหตุผล วันข้างหน้าเวลาแห่งความสุขของท่านยังอีกยาวไกลเจ้าค่ะ”

หงหว่านฉิงถูกคำพูดเหล่านี้ทำเอาหน้าแดง ตำหนิสาวใช้อย่างไม่จริงจัง “อย่าพูดเหลวไหล หุบปากเสีย”

สาวใช้ได้ประจบผู้เป็นนายแล้วจึงกล่าวขออภัยและกลบเกลื่อนเรื่องนี้ไป หลังมีเรื่องนี้แทรกเข้ามา จิตใจที่ว้าวุ่นของหงหว่านฉิงก็สงบลงมาก นั่นสิ นางเป็นบุตรีสายตรงของตระกูลโหว วันข้างหน้าจะต้องเป็นภรรยาเอก จะไปเปรียบกับอนุได้อย่างไร ก็แค่บุตรีบุญธรรมคนหนึ่งเท่านั้น มิอาจทำอะไรนางได้

ระหว่างพูดคนของจวนเจิ้นหย่วนโหวก็เดินทางมาถึงแล้ว หงหว่านฉิงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันใด นางกับสาวใช้พร้อมใจกันเงียบพลางเงี่ยหูฟังเสียงข้างนอก เสียงล้อรถม้าดังกึงกังใกล้เข้ามา ยังได้ยินเสียงกีบเท้าม้าดังก้องปะปนมาอย่างเลือนรางด้วย เสียงกีบเท้าม้าหยุดลงตรงหน้าขบวนรถของจวนหย่งผิงโหว หลังจากนั้น เสียงทุ้มกังวานก็ดังขึ้น “ผู้น้อยมาช้า ขอฮูหยินหย่งผิงโหวโปรดอภัยด้วย”

หงหว่านฉิงหัวใจเต้นตึกตัก นางรู้ว่าเขาก็คือฟู่ถิงโจว…ว่าที่สามีของนาง ยามนี้อยู่ห่างจากนางเพียงผนังรถกั้นขวางเท่านั้น หงหว่านฉิงแอบเลิกม่านรถขึ้น เห็นว่าไม่ไกลออกไปมีเงาร่างสีม่วงดำสายหนึ่ง อีกฝ่ายรูปร่างสูงใหญ่ ทว่าไหล่หลังกลับบางมาก ยามนั่งอยู่บนอาชาดูสูงโปร่งผ่าเผย ดูออกว่าเป็นผู้ขยันฝึกยุทธ์ แตกต่างจากหนุ่มกางเกงแพรที่เหลาะแหละพวกนั้นโดยสิ้นเชิง

หงหว่านฉิงเห็นหน้าฟู่ถิงโจวแล้วพวงแก้มแดงเรื่อทันใด นางรู้ตัวว่าเสียมารยาทจึงรีบปล่อยม่านลง เวลานี้เองหงหว่านฉิงก็เหลือบตาขึ้นโดยบังเอิญ เห็นฝั่งตรงข้ามก็เลิกม่านขึ้นครึ่งหนึ่งเช่นกัน คนข้างในกำลังมองมาที่นางนิ่งๆ

สายตาของสองคนปะทะและสวนผ่านกันไป ต่างปล่อยม่านลงพร้อมกัน นิ้วมือของหงหว่านฉิงกำพู่ระย้าออกแรงบีบโดยไม่รู้ตัว

นั่นก็คือแม่นางหวังน้องสาวบุญธรรมของฟู่ถิงโจวอย่างนั้นหรือ ไม่ผิดจากที่คนเล่าลือกัน เป็นโฉมงามคนหนึ่ง

สาวใช้เห็นหงหว่านฉิงจ้องม่านรถอย่างเหม่อลอยไม่พูดไม่จา ยังคิดว่าผู้เป็นนายเขินอายเสียอีก จึงร้องบอกเบาๆ “คุณหนู พวกเราจะไปกันแล้ว”

หงหว่านฉิงดึงสติกลับมา พยักหน้านิดๆ ฟู่ถิงโจวทำเป็นไม่รู้ว่าถูกแอบมองเมื่อครู่ เขาสั่งให้องครักษ์เปิดทาง รถม้าแล่นไป สตรีของสองจวนรวมกันเป็นขบวนเดียว เดินทางภายใต้การคุ้มกันของฟู่ถิงโจว

วัดต้าเจวี๋ยตั้งอยู่บนเขาซีซานบริเวณชานเมือง เป็นที่เคารพสักการะของเหล่าเชื้อพระวงศ์ ทั้งยังเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ครอบครัวขุนนางในนครหลวงชอบมามากที่สุด ตอนที่หงหว่านฉิงยังไม่ได้พบฟู่ถิงโจว นางชะเง้อชะแง้คอมองหา แต่เมื่อได้พบตัวจริงของเขาแล้วนางกลับสงบเสงี่ยมลง

หงหว่านฉิงพลันตระหนักว่าสิ่งที่นางต้องเผชิญหน้าอาจมิใช่แค่อนุธรรมดาคนหนึ่ง

ตลอดทางไร้อุปสรรค กว่าหนึ่งชั่วยามให้หลังก็ถึงวัดต้าเจวี๋ย วัดต้าเจวี๋ยต้อนรับขุนนางและพระญาติผู้สูงศักดิ์จนคุ้นชิน รถม้าของสองจวนจอดที่ประตูชั้นใน ตอนหงหว่านฉิงลงจากรถ นางก็เหลือบมองไปอีกด้านหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

หวังเหยียนชิงกำลังลงจากรถเช่นกัน อีกฝ่ายสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวบริสุทธิ์ ด้านนอกหมวกคลุมศีรษะประดับขนฟูนุ่มเป็นวงล้อมอยู่ใต้คาง ขับเน้นให้หญิงสาวงามประหนึ่งน้ำค้างแข็งและหิมะ ดั่งเจาจวิน* กลับชาติมาเกิด ฟู่ถิงโจวหยุดข้างรถม้าของอีกฝ่าย เห็นหวังเหยียนชิงลงจากรถก็ยื่นมือไปหมายจะประคอง หวังเหยียนชิงยิ้มส่ายหน้าให้เขา ฟู่ถิงโจวจึงไปดูแลฮูหยินผู้เฒ่าสกุลฟู่

ทั้งที่หงหว่านฉิงถือเตาอุ่นมืออยู่ แต่กลับรู้สึกมือไม้เย็นเฉียบ ฮูหยินหย่งผิงโหวมองเห็นเช่นกัน นางเห็นรูปร่างหน้าตาของหวังเหยียนชิงแล้วหัวใจสะดุดหนึ่งที ภายหลังเมื่อเห็นท่าทีที่ฟู่ถิงโจวปฏิบัติต่อหวังเหยียนชิงหัวใจก็ยิ่งหนักอึ้ง

รอจนเข้าไปในห้องพักผ่อนของจวนหย่งผิงโหวแล้ว ฮูหยินหย่งผิงโหวเรียกหงหว่านฉิงเข้ามาทันที เอ่ยด้วยท่าทางชี้แนะ “หว่านฉิง เจ้าเห็นสตรีที่ชื่อหวังเหยียนชิงผู้นั้นแล้วกระมัง”

หงหว่านฉิงรับคำเบาๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง ฮูหยินหย่งผิงโหวอดทนไว้ สั่งสอนบุตรสาวอย่างไม่ได้ดั่งใจ “ ‘อืม’ อะไรของเจ้า ตอนนี้ใช่เวลามาแสดงความใจกว้างอย่างนั้นหรือ เจ้ากำลังจะเป็นภรรยาเอก เป็นว่าที่ฮูหยินเจิ้นหย่วนโหว เจ้าต้องวางท่าของภรรยาเอก ต้องกำราบผู้อื่นให้ได้ตั้งแต่พบกันครั้งแรก ประเดี๋ยวกลับไปแล้วเจ้าต้องหมั่นไปพูดคุยข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าสกุลฟู่ คำพูดคำจาต้องมีไหวพริบหน่อย เข้าใจหรือไม่”

หย่งผิงโหวก็เป็นขุนพลนามกระเดื่องคนหนึ่งของฮ่องเต้เจิ้งเต๋อ แม่ทัพขุนพลร่างกายแข็งแรงกว่าขุนนางฝ่ายพลเรือน สิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นคือการมีบุตรธิดามากมาย หย่งผิงโหวมีอนุไม่น้อย บุตรในเรือนหลังถือกำเนิดอย่างต่อเนื่อง ทว่าฮูหยินหย่งผิงโหวฝีมือดีเยี่ยม บุตรอนุทั้งชายหญิงล้วนถูกนางกำราบจนอยู่หมัด ไม่ว่าสตรีในเรือนหลังจะเป็นที่รักใคร่เพียงใดก็ไม่มีใครเคยสั่นคลอนตำแหน่งของนางได้ ชีวิตนี้ของฮูหยินหย่งผิงโหวผลงานการสู้รบปรบมือกับสตรีโดดเด่นยิ่งนัก ครั้นเห็นบุตรสาวกำลังจะออกเรือน นางก็แทบอยากจะถ่ายทอดเคล็ดลับที่เรียนรู้มาชั่วชีวิตให้กับหงหว่านฉิง

หงหว่านฉิงถูกมารดาสั่งสอนเช่นนี้แล้วก็ค่อยๆ มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น สกุลหงมีพี่สาวน้องสาวตั้งมากมาย เวลาแย่งชิงความรักนางไม่เคยด้อยกว่าใคร บัดนี้นางมีวงศ์ตระกูลคอยสนับสนุน แต่อีกฝ่ายเป็นเพียงบุตรีครอบครัวทหารที่มีดีแต่หน้าตาไร้ชาติตระกูล นางไม่เชื่อหรอกว่าตนเองจะพ่ายแพ้

หงหว่านฉิงได้กำลังใจจากมารดาแล้ว กลับเข้าไปด้านหน้าบริเวณที่รับรองแขกอีกครั้ง ครานี้ตอนผ่านประตูเข้าไป นางพบว่าฟู่ถิงโจวก็อยู่ด้วย

ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลฟู่เฉินซื่อนั่งอยู่ตรงกลาง ฟู่ถิงโจวนั่งข้างเฉินซื่อ หวังเหยียนชิงยกเก้าอี้ทรงกลมไม่มีพนักตัวหนึ่งเข้ามา นั่งเงียบๆ อยู่ข้างหลัง เห็นคนของจวนหย่งผิงโหวเข้ามา เฉินซื่อกับฟู่ถิงโจวต่างลุกขึ้น ฮูหยินหย่งผิงโหวใบหน้าระบายยิ้ม ก้าวยาวๆ เข้าไปยิ้มเอ่ย “ที่แท้เจิ้นหย่วนโหวมาแล้วนี่เอง รีบนั่งลงเถิด ข้ามิได้รบกวนพวกท่านแม่ลูกสนทนากันกระมัง”

ฟู่ถิงโจวยิ้มตอบด้วยท่าทีไม่ห่างเหินและไม่ชิดใกล้ “ไม่เลยขอรับ เชิญหงฮูหยินและคุณหนูสามนั่งลงเถิด”

ทุกคนนั่งลงตามลำดับ หงหว่านฉิงตามติดข้างกายมารดา อดชำเลืองมองฟู่ถิงโจวครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ได้ เฉินซื่อสังเกตเห็นการกระทำของหงหว่านฉิงจึงยิ้มทัก “หงฮูหยินกับคุณหนูสามกลับมาแล้ว เมื่อครู่ได้ยินคุณหนูสามบอกว่าไม่ค่อยสบาย ไม่เป็นอะไรกระมัง”

ฮูหยินหย่งผิงโหวหัวเราะเสียงดังกังวาน “ไม่เป็นไรหรอก บุตรสาวคนนี้ถูกพวกข้าเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม เร่งเดินทางแค่ครึ่งวันร่างกายก็จะไม่ไหวแล้ว ไม่เหมือนท่านโหว เข้าออกค่ายทหารตั้งแต่เล็ก แม้แต่พี่ชายข้ายังชมว่าเขายอดเยี่ยม”

“ฮูหยินชมเกินไปแล้ว” ฟู่ถิงโจวตอบ “วันนี้ตอนออกจากจวนพบเจอเรื่องราวเล็กน้อยจึงล่าช้าไป ทำให้หงฮูหยินกับคุณหนูสามรอนาน เป็นข้าเองที่ผิด คุณหนูสามโปรดอภัยด้วย”

คนของสองจวนพบปะกันนานแล้ว จนกระทั่งบัดนี้สายตาของฟู่ถิงโจวจึงเลื่อนมามองหงหว่านฉิง อีกทั้งแค่เหลือบมองมาและเบนออกไปโดยเร็ว รักษามารยาทอย่างยิ่ง หงหว่านฉิงหัวใจเต้นรัวกว่าเดิม เขาเพียงเรียกนางว่า ‘คุณหนูสาม’ ซึ่งเป็นคำเรียกขานที่สุภาพอย่างมาก แต่คำพูดไม่กี่คำนี้ยามออกจากปากเขาราวกับเจืออาคมประหลาด พาให้นางหน้าแดงใจสั่น สายตาพร่าลาย

เนื่องจากมีฟู่ถิงโจวอยู่ ประกอบกับการชี้แนะจากมารดาเมื่อครู่ ช่วงเวลาต่อจากนี้หงหว่านฉิงจึงสดใสร่าเริงกว่าเดิมมาก นางนั่งอยู่ข้างกายเฉินซื่อและมารดา วางตัวเหมาะสม ช่างเจรจาพาที ไม่นานก็สามารถเอาอกเอาใจเฉินซื่อจนหัวเราะอย่างเบิกบานได้ ระหว่างที่หงหว่านฉิงยิ้มแย้มพูดคุย นางแอบชำเลืองมองฟู่ถิงโจว พบว่าเขาอมยิ้มมองมาทางพวกนาง ทว่ารอยยิ้มบนริมฝีปากไม่ลึก คล้ายมีเรื่องอื่นในใจ

หงหว่านฉิงรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง นางจำที่บิดาเคยบอกมาได้ ช่วงนี้ฟู่ถิงโจวมีความขัดแย้งกับองครักษ์เสื้อแพร บางทีเขาอาจกำลังคิดถึงเรื่องข้างนอกอยู่กระมัง หงหว่านฉิงไม่รู้เรื่องราวในราชสำนัก แต่แค่ได้ยินคำว่า ‘องครักษ์เสื้อแพร’ ก็รู้ว่ารับมือได้ยาก

หงหว่านฉิงห่อเหี่ยวใจอยู่บ้าง ส่วนฟู่ถิงโจวมิได้สังเกตสายตาของหงหว่านฉิงแม้แต่น้อย สาเหตุที่เขาเหม่อลอยส่วนหนึ่งเป็นเพราะองครักษ์เสื้อแพรจริงๆ แต่อีกส่วนหนึ่งกลับเป็นเพราะหวังเหยียนชิง

นางสงบนิ่งเกินไป ท่าทางก้มหน้าไม่พูดไม่จาของนางทำเอาฟู่ถิงโจวว้าวุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

หวังเหยียนชิงนั่งอยู่ข้างหลัง ฟังเฉินซื่อพูดคุยหัวเราะกับคนของจวนหย่งผิงโหวเงียบๆ ท่าทางปรองดองใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ผู้อื่นก็เป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ นี่นา หวังเหยียนชิงยกริมฝีปากยิ้มอย่างเสียดสี นางต่างหากที่เป็นคนนอกเพียงคนเดียว

หวังเหยียนชิงรู้สึกว่าการมาวัดต้าเจวี๋ยของตนเป็นความผิดพลาดอย่างหนึ่ง ถูกคนทอดทิ้งไม่พอ ไยต้องหาความอัปยศใส่ตัวด้วย บางทีคนเราอาจต้องถูกตบหน้าสักฉาดจึงจะตื่นเสียทีกระมัง ตอนนี้ในใจหญิงสาวสงบนิ่งกว่าครั้งใด นางคิด รอไว้วันนี้กลับไป นางย่อมสามารถเก็บข้าวของจากไปได้เสียที

ท่านโหวผู้เฒ่าเลี้ยงดูนางมาสิบปี นางไม่อาจตอบแทนบุญคุณด้วยความเนรคุณ ในเมื่อนางเรียกฟู่ถิงโจวว่า ‘พี่รอง’ เช่นนั้นจากไปอย่างเงียบๆ ไม่ต้องทำให้เขากับว่าที่พี่สะใภ้หมางใจกัน นี่คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่น้องสาวอย่างนางจะสามารถทำให้เขาได้

การเดินทางมาวัดต้าเจวี๋ยนับว่าชื่นมื่นเบิกบานทั้งแขกและเจ้าภาพ ฤดูเหมันต์ทิวาสั้น ยามเซิน* ท้องฟ้าก็มืดแล้ว เมฆดำกดทับลงมาชั้นแล้วชั้นเล่า ดูท่าเหมือนหิมะจะตก ฟู่ถิงโจวเห็นอากาศผิดปกติจึงเสนอให้กลับเมือง ฮูหยินหย่งผิงโหวบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ย่อมไม่มีข้อโต้แย้ง คนของสองฝ่ายเตรียมตัวเสร็จอย่างรวดเร็วเหมือนเช่นขามา ออกเดินทางกลับเมืองช้าๆ

ตอนที่พวกเขาเดินทางมาถึงช่องเขา ลมพัดแรงขึ้นทุกที ฟู่ถิงโจวสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่สีดำ ควบขี่อาชากลางสายลม พูดคุยกับหวังเหยียนชิงผ่านม่านรถ “เจ้าเป็นอะไรกันแน่ ยังจะโกรธข้าไปถึงเมื่อใด”

ผ่านไปเนิ่นนานข้างในจึงมีเสียงสตรีลอยออกมา “เปล่า ข้าจะโกรธพี่รองได้อย่างไร”

นางมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ โมโหก็ไม่โวยวาย ไม่เคยใช้อารมณ์ แต่ก่อนฟู่ถิงโจวชอบในความสุขุมรู้จักวางตัวของนาง แต่บัดนี้เขากลับชิงชังการรู้จักวางตัวของนางเสียแล้ว

ฟู่ถิงโจวรู้สึกเหมือนกำลังต่อยหมัดลงบนปุยฝ้าย เขาตั้งใจจะพูดดีกับนาง แต่นางกลับเมินเฉยคล้ายว่าเรื่องราวไม่เกี่ยวกับตน โทสะสั่งสมในใจฟู่ถิงโจวไม่หยุด นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาสองคนทะเลาะกัน สัญชาตญาณบอกเขาว่าต้องพูดคุยให้ชัดเจนทันที

ฟู่ถิงโจวคิดจะพูดอะไรอีก ข้างหน้าพลันเกิดเสียงเอะอะ จากนั้นขบวนก็หยุดชะงัก ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ส่งผู้ติดตามไปสอบถาม ไม่นานผู้ติดตามก็วิ่งกลับมารายงานว่า “ท่านโหว รถม้าของคุณหนูสามจวนหย่งผิงโหวไม่รู้เหตุใดจึงชำรุด ไม่อาจแล่นต่อไปได้ ท่านโหว ท่านเห็นว่า…”

ฟู่ถิงโจวมุ่นคิ้ว ไฉนจึงประจวบเหมาะเป็นเวลานี้พอดี หวังเหยียนชิงได้ยินแล้ว ไม่รอให้ฟู่ถิงโจวเอ่ยปากก็บอกว่า “พี่รอง รถม้าของคุณหนูสามสกุลหงชำรุด ท่านรีบไปดูเถอะ”

ฟู่ถิงโจวเป็นเจ้านายเพียงคนเดียวในขบวนที่เป็นบุรุษ ทั้งยังเป็นว่าที่บุตรเขยของจวนหย่งผิงโหว เขาออกหน้าย่อมชอบด้วยเหตุผล ตอนนี้เวลาไม่เอื้ออำนวย ฟู่ถิงโจวสะกดคำพูดในใจไว้ บอกนางผ่านม่าน “เส้นทางช่วงนี้อันตราย เจ้ารออยู่ในรถม้าอย่าไปที่ใด ข้าจะไปดูข้างหน้าหน่อย”

ฟู่ถิงโจวรอแล้วรอเล่าก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากข้างใน ม่านรถไม่ขยับสักนิด ผู้ติดตามเร่งเขาอยู่ข้างหน้าแล้ว ชายหนุ่มจึงได้แต่ทิ้งนางไว้ชั่วคราว ลงจากม้าแล้วจากไป

ที่นี่เป็นทางแคบสายหนึ่ง ด้านข้างเป็นหน้าผา เวลาเดินทางต้องระมัดระวังอย่างยิ่งยวด ฟู่ถิงโจวรุดไปถึงด้านหน้าพบว่าเพลารถของหงหว่านฉิงชำรุด ความสงสัยวาบขึ้นในใจเขาโดยเร็ว รถม้าของเหล่าสตรีที่ออกจากจวน จวนหย่งผิงโหวไม่มีทางไม่ตรวจสอบ ขามายังปกติดี ไฉนยามอยู่บนเส้นทางช่วงที่อันตรายที่สุดเพลารถจึงชำรุดอย่างเหมาะเจาะพอดีเช่นนี้

ชายหนุ่มตระหนักถึงความผิดปกติได้ในทันใด เวลาเดียวกันนี้เองก็มีเสียงแหวกอากาศลอยมาจากข้างหลัง ลูกธนูที่มาพร้อมประกายเยียบเย็นพร้อมใจกันพุ่งมาหาฟู่ถิงโจว การถูกตีในวัยเยาว์ของฟู่ถิงโจวไม่นับว่าเสียเปล่า เขาตอบสนองเร็วยิ่ง เบี่ยงตัวหลบทันที ลูกธนูยิงไม่ถูกตัวฟู่ถิงโจว แต่กลับทำให้ม้าด้านข้างตกใจ ม้าแผดเสียงร้องยกกีบเท้าพุ่งทะยานออกไปอย่างไร้ทิศทาง ทว่าล้อข้างหนึ่งของรถม้ายังคงชำรุด หงหว่านฉิงที่อยู่ในรถไม่ทันตั้งตัว ศีรษะด้านหลังของนางกระแทกผนังรถอย่างแรงจนคนล้มหงาย กระเด็นออกจากตัวรถอย่างอเนจอนาถ

ครั้นเห็นหงหว่านฉิงกำลังจะตกจากหน้าผา ฟู่ถิงโจวสีหน้าเคร่งขรึม ปราดเข้าไปทันใด รับตัวหงหว่านฉิงไว้ได้ทันการณ์ ลูกธนูเบื้องหลังคล้ายมีดวงตากระนั้น ฉวยโอกาสนี้จู่โจมแผ่นหลังของเขา หงหว่านฉิงตกใจจนทำอะไรไม่ถูก คว้าเสื้อเขาไว้ไม่ยอมปล่อย การเคลื่อนไหวของฟู่ถิงโจวถูกจำกัด จังหวะที่ลูกธนูแหลมคมกำลังจะปักร่าง แรงผลักขุมหนึ่งพลันถูกส่งมาจากข้างกายอย่างฉับพลัน

ฟู่ถิงโจวถูกผลักจนเซไปสองก้าว หลบพ้นการจู่โจมไปได้อย่างฉิวเฉียด แขนเพียงถูกลูกธนูถากเป็นแผลเท่านั้น เขาหันกลับไปมอง ครั้นเห็นเงาร่างของคนข้างหลังชัดเจนแล้ว ใบหน้าพลันถอดสี

“ชิงชิง ระวัง…”

หวังเหยียนชิงผลักฟู่ถิงโจวออก แต่กลับทำให้ตนเองตกอยู่ในอันตราย เพื่อหลบลูกธนูนางจำต้องถอยไปข้างหลัง เท้าพลันลื่นไถล แผ่นหลังลอยอยู่กลางอากาศ

ก่อนที่หวังเหยียนชิงจะพลัดตกลงไป นางเห็นฟู่ถิงโจวผลักหงหว่านฉิงไปข้างหลังและโผเข้ามาหานาง ชายหนุ่มยื่นแขนออกมาสุดกำลัง แต่ปลายนิ้วของเขาเฉียดผ่านมือของนางไป เขาออกแรงกำนิ้วมือแน่น ทว่ากลับคว้าไว้ได้เพียงอากาศ

หวังเหยียนชิงตกจากหน้าผาไปต่อหน้าต่อตาเขา

 

ตอนหวังเหยียนชิงผลักฟู่ถิงโจวออกไปนางไม่ได้คิดอะไรมาก ความจริงด้วยความสามารถของเขา หากมิใช่เพราะหงหว่านฉิง เขาก็ไม่มีทางจนมุมเพราะลูกธนู เขาสามารถเอาชีวิตตนเองไปปกป้องสตรีอีกคน แต่หวังเหยียนชิงกลับไม่อาจเห็นเขาตายไปต่อหน้าต่อตาได้ นางสละชีวิตช่วยฟู่ถิงโจวทำให้ตนเองพลัดตกจากหน้าผา

ตอนที่ตกลงไปนางกระแทกต้นไม้แห้งหลายต้น แม้จะช่วยลดแรงปะทะให้นางได้ แต่ศีรษะด้านหลังก็ชนกับหินผาโดยบังเอิญ หัวสมองของนางเกิดเสียงดังอื้ออึง เบื้องหน้าเห็นแต่สีขาวโพลนเป็นระลอก ไม่นานแผ่นหลังของนางก็สัมผัสกับบางสิ่งที่คล้ายตาข่าย นางถูกตาข่ายผืนหนึ่งรวบตัวไว้ นับว่าตกถึงพื้นอย่างมั่นคง

แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ยามสัมผัสพื้นดินนางยังคงเจ็บระบมไปทั้งตัว อวัยวะภายในเหมือนจะโยกย้ายเปลี่ยนที่ นางนอนอยู่บนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง กระทั่งจะขยับนิ้วมือยังไม่มีแรง

รอบด้านเหมือนจะได้ยินเสียงฝีเท้า สติรับรู้ของนางพร่าเลือนลงทุกที ก่อนหลับตาลงนางมองเห็นชายอาภรณ์อี้ส่าน สีแดงสด สีแดงบนนั้นฉูดฉาด ปักเป็นลายเฟยอวี๋ สี่เล็บที่ดูอหังการ

รองเท้าหุ้มแข้งสีดำพื้นขาวสะอาดคู่หนึ่งหยุดอยู่ข้างกายนาง

หวังเหยียนชิงไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะลืมตาได้อีก ลำคอนางเอนไปด้านข้าง หมดสติไปโดยสมบูรณ์

บทที่ 4

อากาศหนาวเหน็บบาดกระดูก เกล็ดน้ำแข็งปกคลุมทั่วผืนดิน ม่านราตรีมืดมิดจนยื่นมือออกไปมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า แต่แสงไฟในเรือนหลักจวนเจิ้นหย่วนโหวยังคงสว่างโร่ตลอดทั้งคืน

แขนของฟู่ถิงโจวพันผ้าพันแผลแล้ว ฟังบ่าวรับใช้รายงานผลด้วยสีหน้าเย็นชา “ท่านโหว เหล่าพี่น้องค้นหากันตลอดคืน แต่ไม่พบแม่นางหวังที่ใต้หน้าผาขอรับ”

“บริเวณช่องเขาใกล้ๆ เล่า”

“ค้นหาหมดแล้วขอรับ หิมะปกคลุมพื้นเป็นปกติ ไม่มีใครไปที่นั่นขอรับ”

ฟู่ถิงโจวกดหว่างคิ้ว เขายังสวมชุดเมื่อตอนกลางวัน เพียงพันแผลที่แขนอย่างขอไปทีเท่านั้น แม้แต่อาภรณ์ก็ไม่ได้ผลัดเปลี่ยน พ่อบ้านเห็นฟู่ถิงโจวใบหน้าขาวซีดก็โน้มน้าวอย่างปวดใจ “ท่านโหว ท่านอดนอนมาทั้งคืนแล้ว ร่างกายยังมีแผลอยู่ ไปพักผ่อนก่อนเถอะขอรับ”

ฟู่ถิงโจวลดมือลง แววตาเย็นเยียบปานน้ำแข็งดูเหมือนพยัคฆ์ร้ายที่โกรธเกรี้ยว แม้มิได้บันดาลโทสะก็ทรงอำนาจ “นางยังไม่กลับมา ข้าจะข่มตาหลับได้อย่างไร นางพลัดตกลงไปต่อหน้าต่อตาข้า หากไม่ได้นางบาดแผลตอนนี้ของข้าคงมิใช่แค่ที่แขนแน่นอน ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ค้นหาบริเวณเขาซีซานต่อไป อยู่ต้องเห็นคน…”

ฟู่ถิงโจวชะงัก ถึงขั้นมิอาจหักใจเอ่ยคำพูดต่อท้ายว่า ‘ตายต้องเห็นศพ’ ออกมาได้ นางจะตายได้อย่างไร เขาอายุมากกว่านางสามปี ทำชั่วมามากมาย ไร้ไมตรีไม่มีคุณธรรม เขายังมีชีวิตอยู่อย่างปกติ แล้วนางจะเกิดเรื่องได้อย่างไร

บริวารในจวนโหวเห็นฟู่ถิงโจวใบหน้าเขียวคล้ำก็ต่างพากันเงียบกริบ ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก องครักษ์กุมหมัดถอยออกไปเงียบๆ ไปค้นหาบริเวณเชิงเขาเป็นรอบที่สอง

ตอนองครักษ์ผลักประตู ลมหนาวข้างนอกพัดเข้ามา แทรกซึมเข้าไปถึงในคอเสื้อ พ่อบ้านห่อแขนประสานมือ ลังเลชั่วครู่จึงเอ่ยว่า “ท่านโหว ข้างนอกอากาศหนาวเหน็บถึงเพียงนี้ แถบชานเมืองไม่มีทางมีคนทนอยู่ได้ หากแม่นางหวังตกหน้าผาแล้วหมดสติไป เขาซีซานไม่มีสัตว์ป่า แม่นางหวังจะต้องยังอยู่ใต้หน้าผาอย่างปลอดภัยแน่ แต่หากแม่นางหวังมิได้หมดสติ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาหนทางติดต่อกับคนของจวนโหว นี่ก็ผ่านมาหนึ่งคืนแล้วยังไม่มีข่าวคราวใดๆ เช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่า…แม่นางหวังไม่ได้อยู่ที่ชานเมืองแล้ว”

ฟู่ถิงโจวลุกพรวดขึ้น เอามือไพล่หลังก้าวเดินช้าๆ อยู่ในห้องหนังสือ นี่คือสิ่งที่เขาหวาดกลัวมากที่สุด ไม่ว่าเป็นหรือตายคนก็ไม่มีทางหายไปดื้อๆ ได้ แต่องครักษ์กลับบอกว่าใต้หน้าผาไม่มีร่องรอยใดๆ ด้านล่างของช่องเขาบริเวณที่พวกเขาประสบเหตุถูกหิมะปกคลุม ไม่มีแม้กระทั่งรอยเท้า

เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไร…

ไม่มีร่องรอยก็คือร่องรอยที่ใหญ่ที่สุด เรื่องนี้บอกได้เพียงมีคนไปที่ใต้หน้าผาก่อนหน้าเขา ทั้งยังกลบเกลื่อนร่องรอยล่วงหน้า กล้าจู่โจมท่านโหวภายใต้ฝ่าเท้าของโอรสสวรรค์ ทั้งยังสามารถกลบเกลื่อนสถานที่เกิดเหตุได้อย่างรอบคอบไร้ช่องโหว่ นอกจาก ‘คนผู้นั้น’ แล้ว ไม่มีทางเป็นใครไปได้อีก

ฟู่ถิงโจวนวดคลึงหว่างคิ้ว ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า ลู่เหิง…เขายังคงประเมินคนบ้าผู้นี้ต่ำเกินไป

ฟู่ถิงโจวกลัวว่าลู่เหิงจะลงมือกับคนสกุลฟู่ถึงได้คุ้มกันฮูหยินผู้เฒ่ากับหวังเหยียนชิงไปวัดต้าเจวี๋ยไหว้พระด้วยตนเอง เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าลู่เหิงจะเหิมเกริมถึงขั้นซุ่มโจมตีเขาที่ชานเมือง ลงมือต่อหน้าต่อตาเขา

ลู่เหิงมั่นใจถึงเพียงนี้เชียวหรือว่าจะสามารถถอนตัวได้อย่างสมบูรณ์

ฟู่ถิงโจวปวดหัวยิ่งนัก หากเป็นคนอื่น เขากล้ารับรองว่าจะต้องหาหลักฐานได้ภายในสามวันแน่ จากนั้นไม่ว่าเจรจาก็ดี หรือใช้อำนาจกดดันก็ช่าง เขาจะต้องถลกหนังอีกฝ่ายออกมาชั้นหนึ่งให้จงได้ แต่หากเป็นฝีมือของลู่เหิง นั่นย่อมกลายเป็นการงมเข็มในมหาสมุทร ฟู่ถิงโจวถึงขั้นไม่มั่นใจว่าจะสืบหาที่อยู่ของหวังเหยียนชิงพบ

องครักษ์เสื้อแพรทำงานด้านข่าวกรอง หูตาของพวกเขากระจายอยู่ทั่วราชสำนักและตลาดชาวบ้าน ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรคิดจะซุกซ่อนคนคนหนึ่ง ต่อให้คนภายนอกพลิกพื้นดินในนครหลวงขึ้นมาตลบหนึ่งก็ใช่ว่าจะมีประโยชน์ พ่อบ้านเห็นสีหน้าของฟู่ถิงโจวไม่ดีนัก จึงเอ่ยว่า “ท่านโหว ตอนนี้ท่านเป็นเสาหลักของจวนเจิ้นหย่วนโหวต้องรักษาสุขภาพให้มาก ท่านกลับไปพักสักครู่ดีหรือไม่ อีกประเดี๋ยวก็ต้องเข้าประชุมขุนนางแล้ว”

ตอนนี้ฟู่ถิงโจวไหนเลยจะมีอารมณ์นอน เขาโบกมือ “ไม่ต้องแล้วล่ะ สั่งให้คนเฝ้าประตูเตรียมม้า อีกประเดี๋ยวข้าจะออกไปแล้ว”

เมื่อฟู่ถิงโจวมีคำสั่ง คนในเรือนหลักที่ไม่ได้นอนตลอดทั้งคืนก็เคลื่อนไหว เจ้านายไม่นอน บริวารย่อมต้องอดนอนตามไปด้วย สาวใช้คนหนึ่งเดินนำคนในห้องครัวเข้ามา นางยอบกายคำนับฟู่ถิงโจว เอ่ยด้วยท่าทีประจบ “บ่าวคารวะท่านโหวเจ้าค่ะ ท่านโหว ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินว่าท่านจะไปประชุมขุนนาง ให้ปวดใจยิ่งนัก จึงสั่งให้บ่าวนำอาหารร้อนๆ มามอบให้ท่าน ท่านโหว บาดแผลของท่านร้ายแรงหรือไม่ หรือวันนี้จะขอลาหยุดกับที่ทำการแล้วพักผ่อนสักวันดีกว่า”

ฟู่ถิงโจวจัดชายแขนเสื้อชุดพิธีการให้เรียบร้อย ตอบโดยไม่ได้เหลือบตาขึ้น “รบกวนมารดาเป็นห่วงแล้ว แค่บาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น ข้าไม่เป็นไร”

สาวใช้ผู้นี้เป็นคนโปรดข้างกายเฉินซื่อ สามารถเลียนแบบท่าทีของเฉินซื่อได้เหมือนถึงสิบในสิบส่วน ยามอยู่ในเรือนวางท่าใหญ่โต ชักสีหน้าออกคำสั่งกับผู้อื่น ครั้นเห็นฟู่ถิงโจวกลับรีบปั้นยิ้มประจบ นางชำเลืองมองสีหน้าเขาอย่างระวัง “ท่านโหว เรื่องเมื่อวานทำเอาฮูหยินผู้เฒ่าตกใจแทบแย่ ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินว่าเรือนทางนี้ยังสว่างอยู่จึงหลับไม่สนิทตลอดทั้งคืน ท่านโหว เมื่อวานเป็นผู้ใดกันแน่ที่ขวัญกล้าเทียมฟ้าถึงกับกล้าโจมตีจวนเจิ้นหย่วนโหวเจ้าคะ”

โง่เง่าสิ้นดี ฟู่ถิงโจวเหลือบตาขึ้น เงยหน้ามองคนถามอย่างเหลืออด เมื่อวานจวนเจิ้นหย่วนโหวกับจวนหย่งผิงโหวถูกดักทำร้ายกลางทางระหว่างลงจากเขา คุณหนูสามสกุลหงเกือบจะพลัดตกจากหน้าผา สุดท้ายหงหว่านฉิงไม่เป็นไร หวังเหยียนชิงกลับตกหน้าผาแทน อย่างไรเสียสกุลฟู่ก็มิใช่พวกกินผัก ก่อนหน้านี้ถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว เมื่อตั้งสติได้ก็รวบรวมกำลังโต้ตอบ อีกฝ่ายเห็นโอกาสอันดีผ่านพ้นไปแล้วจึงไม่อาลัยในการต่อสู้อีก สลายตัวไปทันที

ฟู่ถิงโจวห้ามเลือดอย่างหยาบๆ จะลงไปตามหาหวังเหยียนชิงด้วยตนเองทันที แต่หงหว่านฉิงกลับร้องไห้ไม่หยุด เฉินซื่อยื้อยุดเขาไว้ร้องว่ากลัว ฟู่ถิงโจวปลีกตัวมิได้ ได้แต่มอบหมายการตามหาคนให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไว้ใจ ส่วนตนเองคุ้มกันเหล่าสตรีกลับมาก่อน

รอจนกลับเข้าเมืองแล้ว หย่งผิงโหวก็ขอบคุณเขาเป็นการใหญ่ ยังบอกว่าวันหน้าจะพาหงหว่านฉิงมาขอบคุณถึงที่จวนด้วยตนเอง สองตระกูลล้วนผ่านการเคี่ยวกรำในวังวนการต่อสู้ของกลุ่มขุนนางมาก่อน รู้หนักเบาของเรื่องราวที่เกิดขึ้นดี หย่งผิงโหวกับฟู่ถิงโจวปิดปากเงียบเรื่องนี้อย่างใจตรงกัน บอกเพียงระหว่างที่เหล่าสตรีเดินทางไปไหว้พระได้รับความตระหนกตกใจเล็กน้อย มิได้ป่าวประกาศเรื่องถูกลอบทำร้ายออกไป

ฟู่ถิงโจวกลับจวนเจิ้นหย่วนโหวแล้วถึงได้ทำแผลให้ดี เขาเฝ้าดูความเคลื่อนไหวข้างนอกตลอดคืน ออกคำสั่งอย่างต่อเนื่อง แต่ข่าวที่ส่งกลับมาล้วนไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากได้ยิน

นางหายตัวไป…หายตัวไปโดยสิ้นเชิงเหมือนไม่เคยปรากฏตัวข้างกายเขามาก่อน

ฟู่ถิงโจวเป็นห่วงหวังเหยียนชิง ทั้งยังตระหนกกับฝีมืออันร้ายกาจไม่ธรรมดาของลู่เหิง ทว่าคนของจวนเจิ้นหย่วนโหวเหล่านี้มิอาจคลายความกังวลให้เขาได้ก็แล้วไปเถอะ ยังจะวิ่งโร่มาถามว่าเมื่อวานคนที่ลอบโจมตีพวกเขาเป็นใคร

ฟู่ถิงโจวโมโหจนแทบจะหัวเราะออกมา ยังจะเป็นใครได้อีกเล่า

เดิมทีสาวใช้มีคำพูดแสดงความห่วงใยอีกมากมาย แต่เห็นสายตาของท่านโหวแล้ว นางรู้สึกเหมือนถูกพยัคฆ์จับจ้อง จึงนิ่งเงียบไปทันใด ใบหน้าของฟู่ถิงโจวปราศจากอารมณ์ เอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวเย็นชา “ในเมื่อมารดาได้รับความตกใจ เช่นนั้นก็พักผ่อนให้ดี ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องภายนอก”

สาวใช้ตกใจ ตระหนักในทันทีว่าตนได้ล่วงเกินเข้าเสียแล้ว สตรีปกครองภายในบุรุษจัดการภายนอก เรื่องนอกเรือน สตรีมิอาจถามไถ่ ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็เลอะเลือนเสียแล้ว ถึงขั้นให้นางมาสืบเรื่องนี้กับท่านโหว

สาวใช้รีบก้มศีรษะ เอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ “บ่าวหาได้มีเจตนาจะล่วงเกินเจ้าค่ะ ขอท่านโหวโปรดอภัยด้วย”

ฟู่ถิงโจวไหนเลยจะมีเวลาโมโหสาวใช้ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แม้แต่มองเขายังคร้านจะชายตามองด้วยซ้ำ เอ่ยเพียง “ออกไปเถอะ”

สาวใช้ยอบกาย รีบค้อมศีรษะถอยออกไป ฝีเท้าที่ออกจะเร่งร้อนของสาวใช้กระทบพื้น ขับเน้นให้ภายในห้องดูเงียบสงัดยิ่งขึ้น พ่อบ้านคีบอาหารให้ฟู่ถิงโจวด้วยตนเองพลางโค้งกายถาม “ท่านโหว อีกไม่กี่วันก็เป็นวันเทศกาลล่าปา* แล้ว ของขวัญตามเทศกาลในปีนี้ยังคงส่งออกไปเหมือนปีที่แล้วหรือไม่ขอรับ”

ต้าหมิงเป็นกลุ่มคนที่ผูกพันกันด้วยมิตรไมตรี ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลและความสัมพันธ์ทางการเมือง การผูกมิตรและการไปมาหาสู่นับเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างหนึ่ง ของขวัญตามเทศกาลดูเหมือนเป็นการมอบของให้กันและกันของเหล่าสตรี แต่ความเกี่ยวโยงของเรื่องนี้กลับซับซ้อนลึกซึ้งยิ่ง ตามหลักแล้วนี่เป็นงานของนายหญิงของจวน แต่ด้วยความคิดอ่านของฟู่ชางและเฉินซื่อ ฟู่ถิงโจวไม่กล้ามอบหมายเรื่องนี้ให้พวกเขา ได้แต่ต้องจัดการด้วยตนเอง

ฟู่ถิงโจวกำลังจะเอ่ยอะไร หัวสมองพลันมีบางสิ่งวาบผ่าน รีบถาม “วันนี้เป็นวันที่เท่าไร”

พ่อบ้านถูกถามจนอึ้งตะลึงไป ตอบว่า “วันนี้วันที่สองเดือนสิบสองขอรับ”

“วันที่สอง…” ฟู่ถิงโจวยืนอยู่กับที่ หัวใจหดเกร็งระลอกหนึ่งจนเจ็บแปลบ

เมื่อวานคือวันที่หนึ่งเดือนสิบสอง…วันเกิดของนาง

เขาถึงกับบีบบังคับให้นางไปพบหงหว่านฉิงในวันเกิดของนาง ทั้งยังทำให้นางต้องตกหน้าผา มิน่าเล่าเมื่อวานนางถึงได้ซึมเศร้าไม่เบิกบาน เขาลอบตำหนินางที่เอาแต่ใจกลับไม่รู้เลยว่าคนที่ทำเกินไปคือเขาเองต่างหาก

ฟู่ถิงโจวยืนเหม่อหน้าโต๊ะกินข้าว ไอร้อนจากอาหารม้วนตัวขึ้นมา แต่ชายหนุ่มไม่มีความคิดที่จะขยับตะเกียบแม้แต่น้อย เสียงฝีเท้าถี่ยิบระลอกหนึ่งดังขึ้นนอกหน้าต่าง พ่อบ้านเห็นสีหน้าของฟู่ถิงโจวไม่ปกติจึงรีบออกไปขวางคนไร้ตา “ท่านโหวกำลังกินอาหาร จะไปประชุมขุนนางไม่ทันอยู่แล้ว มีเรื่องใดไว้วันหลังค่อยพูดคุย”

อีกฝ่ายถูกสกัดอยู่หน้าประตู นางร้อนใจอยู่บ้าง จึงตะโกนเสียงดังโดยไม่คำนึงถึงธรรมเนียมมารยาท ชะเง้อคอมองเข้าไปในห้อง “ท่านโหว บ่าวมีเรื่องจะรายงานเจ้าค่ะ!”

พ่อบ้านเห็นนางกล้าชะเง้อชะแง้คอมองเข้ามาข้างใน ใบหน้าก็บึ้งตึงทันที ทำท่าจะอาละวาด ฟู่ถิงโจวจดจำเสียงของสาวใช้ผู้นี้ได้ จึงเอ่ยอย่างเหนือความคาดหมาย “ให้นางเข้ามาเถอะ”

คิ้วของพ่อบ้านยังคงชี้ตั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้จะบันดาลโทสะก็มิใช่ จะไม่บันดาลโทสะก็มิใช่อีก ได้แต่ออกแรงขึงตาใส่อีกฝ่าย

เฝ่ยชุ่ยค้อมศีรษะขออภัยพ่อบ้าน ซอยเท้าเข้าไปในห้อง พอเห็นท่านโหวก็ยกกระโปรงคุกเข่าลง “บ่าวบกพร่องต่อหน้าที่ ขอท่านโหวโปรดอภัยด้วย”

ฟู่ถิงโจวรู้ว่านางคือสาวใช้ประจำตัวของหวังเหยียนชิง ด้วยเห็นแก่หน้าของชิงชิง เขาจึงยอมอดทนกับการล่วงเกินของนาง ถามว่า “มีอะไร”

เฝ่ยชุ่ยไม่กล้าชักช้า กดศีรษะลงต่ำ สองมือประคองสิ่งของส่งออกไป “บ่าวพบของสิ่งนี้ในหีบเสื้อผ้าของแม่นางเจ้าค่ะ”

เดิมทีฟู่ถิงโจวแค่ถามไปอย่างนั้น แต่พอสายตาของเขากวาดดูสิ่งของในมือเฝ่ยชุ่ยก็พลันชะงัก เขามองดูครู่หนึ่งก่อนจะโน้มตัวไปรับของเหล่านั้นมา

เอกสารยืนยันตัวตน หนังสือผ่านทาง ยังมีทะเบียนครัวเรือน นี่เป็นของจำเป็นที่ต้องตระเตรียมหากจะออกเดินทาง ชิงชิงเตรียมของพวกนี้ไว้ด้วยเหตุใดกัน

จวนสกุลลู่

ลู่เหิงลงจากม้า คนเฝ้าประตูรีบวิ่งลงมาจากบันได จูงม้าให้ลู่เหิง ลู่เหิงสั่งการง่ายๆ “หาอาหารให้มันด้วย” จากนั้นก็ยกชายอาภรณ์ก้าวยาวๆ ตรงไปในเรือน

กัวเทาตามติดไปเบื้องหลังเขา รายงานว่า “ผู้บัญชาการ เมื่อคืนสกุลฟู่ค้นหาอยู่ใต้เขาตลอดทั้งคืน เช้าวันนี้มีคนจับตาดูประตูประจิมของที่ทำการอยู่ขอรับ”

ลู่เหิงหัวเราะ “กล้าจับตาดูองครักษ์เสื้อแพร? ขวัญกล้าไม่เบานี่ เห็นทีลูกธนูเมื่อวานดอกนั้นจะยิงเบาไปหน่อย”

เมื่อครู่การประชุมขุนนางเพิ่งเลิก ฟู่ถิงโจวทำเหมือนปกติคือไปรวมตัวที่ประตูอู่เหมิน จากนั้นก็เข้าวังเพื่อเข้าร่วมการประชุมขุนนาง มองไม่เห็นความผิดปกติของร่างกายแม้แต่น้อย หลังเลิกประชุมลู่เหิงกับฟู่ถิงโจวก็แยกย้ายไปคนละทาง แม้กระทั่งแลกเปลี่ยนสายตากันสักแวบยังไม่มี แต่ลู่เหิงรู้ว่าที่แขนของฟู่ถิงโจวมีบาดแผล อีกทั้งยังรู้ว่าที่ฟู่ถิงโจวไม่มาหาเขา ทั้งยังอดทนอดกลั้นได้เป็นเพราะอีกฝ่ายไม่พบหลักฐาน

ตราบที่ในมือไม่มีหลักฐานบุ่มบ่ามเข้ามาจะมีประโยชน์อันใด รังแต่จะเป็นการยื่นจุดอ่อนของตนเองให้ผู้อื่นก็เท่านั้น

ลู่เหิงรู้ดีว่าฟู่ถิงโจวสงสัยเขา แต่เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย คาดเดาได้แล้วอย่างไร อยากพิสูจน์ว่าเป็นฝีมือของเขาลู่เหิงก็ต้องหาหลักฐานมาให้ได้ หากฟู่ถิงโจวหาเบาะแสได้ก็นับว่าอีกฝ่ายเก่งกาจ

สำหรับลู่เหิง ฟู่ถิงโจวเป็นเพียงเครื่องเคียงที่ช่วยเพิ่มรสชาติในชีวิตเท่านั้น เดิมทีเขาไม่ได้คิดจะเอาชีวิตอีกฝ่ายอยู่แล้ว ลู่เหิงรู้นิสัยของท่านนั้นในวังเป็นอย่างดี ฮ่องเต้ดูเหมือนทำสิ่งใดตามใจตนเอง แต่แท้จริงแล้วความคิดอ่านกลับเฉียบแหลมยิ่งนัก เหล่าขุนนางสู้กันไปมาช่วยให้อำนาจของฮ่องเต้มั่นคงยิ่งขึ้น ฮ่องเต้ยินดีหูหนวกเป็นใบ้ แต่หากทำเกินไปจนกระทบต่อความปลอดภัยของซีเป่ย ฮ่องเต้ย่อมไม่ทน

สกุลฟู่มีรากฐานมั่นคงในกองทัพ โดยเฉพาะฟู่เยวี่ยที่รักษาการณ์ต้าถงหลายปี มีชื่อเสียงเกรียงไกรในกองทัพซีเป่ย ฮ่องเต้ยังหวังให้สกุลฟู่ป้องกันแนวชายแดนตะวันตกย่อมไม่มีทางปล่อยให้สกุลฟู่เกิดเรื่องในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้แน่

กำราบลิงที่น่ารังเกียจได้แล้ว ลู่เหิงนับว่าได้ระบายโทสะ ความคิดจิตใจก็เบนกลับมายังเรื่องสำคัญของตนอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เขาถาม “พวกที่อยู่ในคุกยอมพูดหรือยัง”

กัวเทาส่ายหน้า “ยังขอรับ พวกเขาเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือนของสำนักฮั่นหลิน แต่ละคนร่างกายล้ำค่าสูงส่ง พวกเราไม่กล้าลงทัณฑ์ ขืนโบยตีพวกเขาจนเป็นอะไรไป เกรงว่าเรื่องราวจะมิอาจยุติได้”

ลู่เหิงว่า “พวกเขามีคนคอยปกป้องอยู่ข้างหลังย่อมไม่เกรงกลัวสิ่งใดอยู่แล้ว ขังพวกเขาเอาไว้ก่อน ไม่ให้กินไม่ให้ดื่ม ข้าจะรอดูว่ากระดูกของพวกเขาจะแข็งได้นานเพียงใด”

กัวเทาลังเลอยู่บ้าง “ผู้บัญชาการ ทำเช่นนี้ออกจะล่วงเกินคนไปหน่อยหรือไม่”

ขุนนางฝ่ายพลเรือนของสำนักฮั่นหลินมิใช่ธรรมดา ขุนนางที่เข้าสำนักฮั่นหลินได้ล้วนเป็นจิ้นซื่อขั้นสอง* ความสัมพันธ์จากการสมรสและความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์มีเบื้องหลังสลับซับซ้อน แตะต้องคนหนึ่งก็คือแตะต้องฝ่ายหนึ่ง หากปล่อยคนที่มีชีวิตอยู่ออกไป รอจนบาดแผลของอีกฝ่ายหายดีแล้วจะต้องแว้งกัดลู่เหิงเหมือนสุนัขบ้าตัวหนึ่งแน่ แต่หากตีให้ตาย…สุนัขบ้าทั้งฝูงก็จะกระโจนเข้ามา

ลู่เหิงปรายตามองกัวเทาเรียบๆ ริมฝีปากคล้ายมีรอยยิ้มแต่งแต้ม “ข้าก็อยากเป็นคนดีอยู่เหมือนกัน แต่ฝ่าบาททรงต้องการผลลัพธ์ ไม่ล่วงเกินคน จะไปหาผลลัพธ์ได้จากที่ใด”

กัวเทาไม่เอ่ยอะไรอีก ก้มหน้าประสานมือ “รับทราบ”

เอ่ยถึงเรื่องนี้ลู่เหิงก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อวานเขาไปจัดการฟู่ถิงโจว เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิดจึงวางกับดักไว้ใต้หน้าผา ไม่คิดว่าจับคนสกุลฟู่ไม่ได้กลับได้ของขวัญชิ้นหนึ่งมาโดยไม่คาดฝัน ลู่เหิงถาม “หญิงผู้นั้นฟื้นหรือยัง”

“ยังขอรับ” กัวเทาคิดถึงเรื่องนี้แล้วเอ่ยอย่างสะใจในคราวเคราะห์ของผู้อื่น “ผู้บัญชาการ ท่านไม่ได้เห็น เมื่อวานจวนเจิ้นหย่วนโหวค้นหาอยู่ใต้เขาทั้งคืน เช้าวันนี้ยังคงค้นหากันอยู่ ข้าจำได้ว่าคนที่ตกลงมามิใช่คู่หมั้นของฟู่ถิงโจว ไฉนเขาจึงใส่ใจถึงเพียงนี้”

ลู่เหิงหัวเราะสั้นๆ ไม่เอ่ยอะไร หากเมื่อวานคนที่พลัดตกลงมาเป็นหงหว่านฉิง เรื่องราวกลับจะยุ่งยากกว่าเดิม เขาลอบทำร้ายฟู่ถิงโจว นี่เป็นบุญคุณความแค้นส่วนตัว แต่หากดึงหลานสาวของกัวซวินมาเกี่ยวข้องด้วย เรื่องราวย่อมบานปลาย

ลู่เหิงพูดช้าๆ “ข้ามอบโอกาสในการเป็นผู้กล้าช่วยสาวงามให้กับเขา เขาควรจะขอบคุณข้าถึงจะถูก เอาน้องสาวคนหนึ่งมาแลกกับหลานสาวของกัวซวิน ไม่ขาดทุนหรอก เจ้ากลับไปสอบปากคำบัณฑิตสำนักฮั่นหลินพวกนั้นก่อน ข้าจะไปหา ‘น้องสาว’ ของฟู่ถิงโจวเสียหน่อย”

“ขอรับ” กัวเทากุมหมัดรับคำ จากนั้นก็หันกายจากไป

ส่งกัวเทาจากไปแล้ว ลู่เหิงเดินไปยังเรือนหลังอย่างไม่เร็วไม่ช้า เจตนาดั้งเดิมของเขาคือฟู่ถิงโจว จับหวังเหยียนชิงได้เป็นเรื่องไม่คาดคิดโดยสิ้นเชิง ในใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องใดที่องครักษ์เสื้อแพรไม่รู้ โดยเฉพาะเรื่องราวบนพื้นที่หนึ่งหมู่สามเฟิน* ในนครหลวงแห่งนี้ พวกขุนนางใหญ่ยังไม่แน่ใจว่าเด็กคนนี้เป็นบุตรของพวกเขาหรือไม่ แต่องครักษ์เสื้อแพรกลับรู้

ในหัวของลู่เหิงผุดประวัติที่เกี่ยวกับหวังเหยียนชิงโดยไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย

นางเป็นบุตรีครอบครัวทหารในเมืองต้าถง ปู่ชื่อหวังเว่ยตายในสมรภูมิในฤดูใบไม้ผลิของรัชศกเจิ้งเต๋อปีที่สาม บิดาคือหวังชงตายเพราะบังลูกธนูแทนฟู่เยวี่ยในรัชศกจยาจิ้งปีที่หนึ่ง ทั้งย่าและมารดาล้วนเป็นบุตรีครอบครัวทหารในท้องที่เดียวกัน นางถูกฟู่เยวี่ยรับมาเลี้ยง สิบปีหลังจากนั้นเติบโตในนครหลวง จะนับเป็นสะใภ้ลูกต้อย* ของฟู่ถิงโจวก็ว่าได้

ลู่เหิงเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้ว สกุลฟู่มีบุตรีบุญธรรมคนหนึ่ง โฉมงามจนชวนตะลึง เพียงแต่ฟู่ถิงโจวปกป้องนางดียิ่งนัก หาไม่คงมีคนลงมือรับนางไปเป็นภรรยาแล้ว จะยังอยู่กับฟู่ถิงโจวจนอายุสิบเจ็ดได้อย่างไร เมื่อวานได้พบหน้าเขาก็พบว่านางงามสมคำเล่าลือจริงๆ

มิน่าฟู่ถิงโจวถึงได้เก็บซ่อนนางไว้อย่างลึกลับเป็นสิบปี น่าเสียดายฟู่ถิงโจวยังด้อยกว่าเขาขั้นหนึ่ง เพราะคนตกมาอยู่ในมือของลู่เหิงแล้ว

ตลอดทางลู่เหิงคิดมาตลอดว่าจะใช้หวังเหยียนชิงแลกเปลี่ยนกับอะไรดี ดูจากท่าทีของอีกฝ่ายเมื่อคืน ฟู่ถิงโจวน่าจะให้ความสำคัญกับสตรีผู้นี้มาก จุดอ่อนที่ใหญ่ถึงเพียงนี้ตกอยู่ในมือลู่เหิง หากเขาไม่เฉือนเนื้อของฟู่ถิงโจวออกมาสักชิ้นก็เสียทีที่เกิดมาแซ่ลู่แล้วล่ะ

ลู่เหิงก้าวเข้าไปในเรือนหลัง เหล่าสาวใช้เห็นเขาก็พากันค้อมศีรษะคำนับจากที่ไกลๆ ร่างกายมิกล้าขยับแม้แต่น้อย สาวใช้ในห้องรีบออกมาต้อนรับ ยอบกายคำนับลู่เหิง “คารวะผู้บัญชาการ”

ลู่เหิงพยักหน้านิดๆ เอ่ยถาม “คนเล่า ฟื้นหรือยัง”

สาวใช้รุ่นใหญ่สองคนดูประหม่าทีเดียว ไหล่เกร็งไปหมด “เมื่อเช้าหมอมาตรวจดูแล้ว บอกว่าด้านหลังศีรษะของแม่นางหวังมีโลหิตคั่งอยู่ ต้องใช้ตำรับยาเฉพาะบำรุงรักษา เมื่อครู่บ่าวเพิ่งป้อนยาให้แม่นางหวัง น่าจะใกล้ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ”

ลู่เหิงผงกศีรษะแล้วก้าวเข้าไปในโถงกลาง มังกรดิน ในห้องจุดไว้ร้อนมาก ท่ามกลางกลิ่นกำยานมีกลิ่นยาอวลอยู่ด้วย แค่ได้กลิ่นก็รู้ว่าเป็นห้องของสตรี ลู่เหิงไม่ได้เดินเข้าไป เดิมทีเขาตั้งใจว่าแค่แวะมาดูและจะจากไป แต่เพิ่งเข้ามาในห้อง เสียงความเคลื่อนไหวก็ดังขึ้นหลังฉากบังตา

บรรดาสาวใช้บีบมือเข้าด้วยกันอย่างประหม่า ลู่เหิงนึกในใจว่าประหลาดนัก ฟู่ถิงโจวไม่รู้ดีชั่วแท้ๆ น้องสาวเขากลับให้เกียรติตนทีเดียว ลู่เหิงนั่งลงอย่างไม่เร็วไม่ช้า รินน้ำชาให้ตนเองถ้วยหนึ่ง พยักพเยิดคางเล็กน้อย

สาวใช้รีบเข้าไปด้านในปรนนิบัติหวังเหยียนชิง หลังเสียงดังสวบสาบระลอกหนึ่ง หวังเหยียนชิงที่ฟื้นสติขึ้นมาจากการสลบไสลยังมีท่าทางอ่อนเพลีย นางลืมตาขึ้นมองทุกสิ่งเบื้องหน้าเงียบๆ

สาวใช้รุ่นใหญ่หลิงซีคิดในใจ แม่นางหวังผู้นี้ช่างกล้าหาญ เข้ามาในรังองครักษ์เสื้อแพรแล้วไม่ร้องไห้โวยวาย แววตาสงบนิ่งราวกับไม่รู้จักพวกนางกระนั้น หลิงซียอบกายคำนับหวังเหยียนชิง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมีมารยาท “บ่าวคารวะแม่นางหวัง แม่นาง ท่านยังรู้สึกไม่สบายตรงที่ใดอีกหรือไม่”

หลิงซีพูดจบ รออยู่นานก็ไม่เห็นหวังเหยียนชิงตอบ ริมฝีปากของหลิงซีระบายยิ้ม เรียกซ้ำอีกครั้ง “แม่นางหวัง?”

หวังเหยียนชิงกะพริบตา ในที่สุดก็เอ่ยปาก “เจ้าเป็นใครหรือ”

คำพูดนี้ยังกล่าวได้ว่าอยู่ในความคาดหมายของหลิงซี แต่อึดใจต่อมาการแสดงออกของหวังเหยียนชิงกลับทำเอานางตระหนกจนใบหน้าถอดสี

หวังเหยียนชิงเงยหน้า เคาะหน้าผากตนเองอย่างเปลืองแรง มุ่นคิ้วถามว่า “แล้วข้าเล่าเป็นใคร”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: