X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักลูบคมองครักษ์สวมรอย

ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย เล่ม 1 บทที่ 1-2

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 1

รัชศกจยาจิ้งปีที่สิบเอ็ด หิมะเหมันต์ระลอกหนึ่งปกคลุมนครหลวงก่อนเวลาอันควร เมื่อวานหิมะตกตลอดทั้งคืน เช้านี้ตื่นมาฟ้าดินขาวโพลน เกล็ดน้ำแข็งสีเงินกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง

เหล่าบ่าวรับใช้หญิงในจวนเจิ้นหย่วนโหว* ตื่นแต่เช้าตรู่มากวาดหิมะ ไม้กวาดที่ลากไปบนพื้นส่งเสียงดังสวบสาบเป็นจังหวะ ขับเน้นให้ลานเรือนดูเงียบสงบมากยิ่งขึ้น

สาวใช้สองคนที่เกล้ามวยสองข้างบนศีรษะประคองโถน้ำแกงซอยเท้าเดินไปบนระเบียงที่มีหลังคา สาวใช้สองนางนี้แตกต่างจากพวกบ่าวรับใช้หญิงที่กวาดพื้น พวกนางเป็นสาวใช้ข้างกายเจ้านาย ปกติไม่ต้องทำงานหนัก ได้สวมอาภรณ์สีสันสดใส เกล้าผมทรงสูง หากเป็นที่ถูกใจของเจ้านายยังได้สวมเครื่องประดับ ชีวิตความเป็นอยู่ดียิ่งกว่าคุณหนูตระกูลทั่วไป

ด้วยเหตุนี้เองสาวใช้เหล่านี้เดินไปที่ใดล้วนเชิดหน้า วางท่าลำพองยิ่งนัก สาวใช้ที่สวมเสื้อตัวสั้นกับกระโปรงสีแดงกดเสียงเบากระซิบกับสหายสาวใช้ “เจ้ารู้หรือไม่ การแต่งงานระหว่างท่านโหวกับคุณหนูสามจวนหย่งผิงโหวถูกกำหนดแน่นอนแล้ว รอให้พ้นช่วงไว้ทุกข์ท่านโหวผู้เฒ่า ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก็สามารถจัดการเรื่องนี้อย่างเป็นทางการได้”

สาวใช้ด้านข้างที่สวมเสื้อกั๊ก* สีเขียวทะเลสาบแค่นเสียงตอบ “นี่ก็เป็นเรื่องที่เหมาะสมอยู่แล้วมิใช่หรือ ท่านโหวเพิ่งจะอายุยี่สิบก็ได้สืบทอดบรรดาศักดิ์ เพียบพร้อมทั้งด้านบุ๋นและด้านบู๊ รูปโฉมสง่าผ่าเผย ทั้งยังเป็นที่ชื่นชมของอู่ติ้งโหว ฮูหยินท่านโหวก็ย่อมต้องเป็นบุตรีตระกูลใหญ่อยู่แล้ว คุณหนูสามจวนหย่งผิงโหวเป็นหลานสาวของอู่ติ้งโหว อีกทั้งท่านโหวเรายังทำงานกับอู่ติ้งโหว สกุลฟู่กับสกุลหงเกี่ยวดองกัน เรียกว่าจะสนิทแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เป็นเรื่องน่ายินดีปรีดาของทุกฝ่าย”

สาวใช้คนแรกฟังแล้วบุ้ยปากไปทางเรือนทิศตะวันตกเฉียงเหนือไม่หยุด “หากท่านโหวกับคุณหนูสามจวนหย่งผิงโหวหมั้นหมายกัน…แล้วท่านนั้นเล่า”

สาวใช้ที่สวมเสื้อกั๊กสีเขียวทะเลสาบปรายตามองไปข้างหน้า ตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “เมื่อปรากฏชาติกำเนิดที่แท้จริงต่างฝ่ายย่อมคืนสู่ฐานะเดิม นางเป็นเพียงบุตรีครอบครัวทหารธรรมดานายหนึ่ง แถมที่บ้านยังไร้ทายาทสืบสกุล ท่านโหวผู้เฒ่ารับนางเข้ามาอยู่ในจวนเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณที่บิดานางเคยรับลูกธนูแทนท่านโหวผู้เฒ่าในสมรภูมิ นางได้อยู่ในจวนโหวอย่างสูงศักดิ์มาสิบปีก็ควรจะพอใจได้แล้ว ท่านโหวผู้เฒ่าก็ช่างเลอะเลือนโดยแท้ ถึงขั้นจะยกนางให้แต่งกับท่านโหว ท่านโหวผู้เฒ่าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง นางยังคิดว่าตนเองเป็นฮูหยินท่านโหวจริงๆ อย่างนั้นหรือ”

สาวใช้กระโปรงแดงฟังแล้วรู้สึกสะท้อนใจอยู่บ้าง “นางอาศัยอยู่ในจวนโหวมาสิบปี ตั้งแต่เจ็ดขวบจนอายุสิบเจ็ด คอยอยู่ข้างกายท่านโหวมาโดยตลอด ชีวิตของสตรีนางหนึ่งจะมีเวลาสิบปีสักกี่ครั้งกันเชียว นางอายุมากเพียงนี้แล้ว การแต่งงานในวันข้างหน้าจะว่าอย่างไร”

สาวใช้ที่สวมเสื้อกั๊กสีเขียวทะเลสาบไม่รู้เหตุใดฟังแล้วจึงไม่ชอบใจอยู่บ้าง ทำปากยื่นตอบว่า “ท่านโหวยังจะทนเห็นนางแต่งให้กับบุรุษอื่นได้หรือ เจ้าไม่ต้องไปสงสารนางหรอก นางยังวาสนาดีกว่าพวกเราเสียอีก ไม่แน่วันหน้าพวกเรายังต้องเรียกนางว่า ‘นายหญิง’ ด้วยซ้ำไป”

“ชู่ว์!” สาวใช้กระโปรงแดงรีบเตือนสหายสาวใช้ ส่งสัญญาณบอกอีกฝ่ายว่าเงียบได้แล้ว

สาวใช้ที่สวมเสื้อผ้าต่วนบุซับในสีน้ำเงินคนหนึ่งเลิกม่านเดินออกมาจากห้องกลาง ปะทะกับพวกนางซึ่งหน้าพอดี สาวใช้เสื้อน้ำเงินเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “อากาศหนาวเหน็บ ไฉนน้องหญิงทั้งสองจึงมาแต่เช้าตรู่เช่นนี้เล่า”

สาวใช้กระโปรงแดงแอบหยิกสหายสาวใช้ข้างกาย เพียงพริบตาใบหน้าก็เกลื่อนด้วยรอยยิ้ม “คารวะพี่เฝ่ยชุ่ย เมื่อคืนหิมะตก ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นห่วงว่าแม่นางจะถูกไอเย็น จึงตั้งใจสั่งห้องครัวต้มน้ำนมแพะโดยเฉพาะ ให้พวกเรานำมาให้แม่นางหวังเจ้าค่ะ”

เฝ่ยชุ่ยปรายตามองใบหน้าแย้มยิ้มของสาวใช้กระโปรงแดง คล้ายไม่ได้ยินคำพูดก่อนหน้านี้ของพวกนาง เบี่ยงตัวหลบพลางตอบ “รบกวนพวกเจ้าแล้ว เชิญข้างในเถอะ”

สาวใช้กระโปรงแดงปั้นยิ้มไม่หยุด ส่วนสาวใช้เสื้อกั๊กสีเขียวทะเลสาบรู้ว่าตนก่อเรื่องเข้าแล้วจึงก้มหน้าเดินเข้าไปคำนับคนข้างในอย่างสงบเสงี่ยม ต่อให้นางเหิมเกริมเพียงใดก็รู้จักประมาณตน ไม่ว่าชาติกำเนิดของท่านผู้นี้จะเป็นอย่างไร แต่ก็ล้วนเป็นผู้มีพระคุณของสกุลฟู่ ทั้งยังเติบโตมาด้วยกันกับท่านโหว เฉพาะแค่ไมตรีเหมยเขียวม้าไม้ไผ่นี้ แม้แต่ฮูหยินท่านโหวในอนาคตเกรงว่าก็คงเทียบไม่ติด คุณหนูสามจวนหย่งผิงโหวตอนนี้ดูเฉิดฉายก็จริง แต่รอไว้เข้าจวนเมื่อใด ยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะท่านผู้นี้ได้

แม้มิได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่ทุกคนในจวนเจิ้นหย่วนโหวสกุลฟู่ต่างยอมรับโดยปริยายว่าวันข้างหน้าหวังเหยียนชิงยังคงจะอยู่ในสกุลฟู่ต่อไป ท่านโหวเป็นโหวขั้นกว่าภรรยาเอกย่อมต้องแต่งคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ที่มีฐานะเหมาะสมคู่ควร ทว่าเป็นเรื่องจริงที่หวังเหยียนชิงอยู่เคียงข้างเขามานาน จะอยู่ที่นี่ต่อเพื่อเป็นอนุที่สูงส่งก็ไม่ผิดอะไร

พวกนางสองคนเข้าประตูมาแล้วไม่กล้าเงยหน้า มองเห็นรางๆ ว่าหลังชั้นวางของมีเงาสายหนึ่งกำลังหันข้าง จึงยอบกายลงคำนับหวังเหยียนชิงทันที “บ่าวคารวะแม่นาง ขอให้แม่นางสุขสมบูรณ์”

ผ่านไปครู่หนึ่งน้ำเสียงราบเรียบก็ดังขึ้น “ลุกขึ้นเถอะ”

เสียงของนางมีเอกลักษณ์มาก มิใช่เสียงใสกังวานดุจระฆังเงินแบบที่ผู้อาวุโสชื่นชอบเป็นที่สุด ทั้งมิใช่เสียงอ่อนเสียงหวานที่บุรุษชมชอบ แต่เป็นเหมือนหิมะข้างนอก ใสกระจ่างวังเวง ไม่แก่งแย่งชิงดีกับผู้ใด ขอเพียงได้ยินครั้งเดียวก็ไม่มีวันลืมแน่นอน

สาวใช้ทั้งสองกล่าวขอบคุณ ยืดตัวขึ้นช้าๆ ระหว่างนี้สาวใช้ที่สวมเสื้อกั๊กสีเขียวทะเลสาบลอบชำเลืองมองแวบหนึ่ง เห็นสตรีนางหนึ่งนั่งหันข้างอยู่บนเตียงหลัวฮั่น* ไหล่แบบบาง เอวคอดกิ่ว ลำคอเรียวระหง สองขาที่วางอยู่บนแท่นวางเท้าดูเรียวยาวเป็นพิเศษ ใบหน้าของนางหันข้างจึงยิ่งขับเน้นเค้าโครงให้ดูเด่นชัด จมูกโด่งได้รูป ใบหน้าขาวผ่อง ใต้คางแทบจะเป็นเส้นสายเดียวกันยาวต่อเนื่อง ดูบริสุทธิ์เย็นชา

รูปโฉมเช่นนี้มิใช่แป้งชาดใดๆ จะปั้นแต่งออกมาได้ มิน่าท่านโหวถึงได้ชอบนาง สาวใช้ที่สวมเสื้อกั๊กสีเขียวทะเลสาบรู้สึกห่อเหี่ยว ฝืนใจคารวะทักทายหวังเหยียนชิงแล้วรีบถอยออกไป

รอจนสองสาวใช้ออกไปแล้ว เฝ่ยชุ่ยก็ระงับโทสะไว้ไม่อยู่ เอ่ยเสียงขุ่น “สาวใช้พวกนี้ช่างกำแหงจริงๆ! ถึงกับกล้าวิจารณ์แม่นางลับหลัง ข้าจะรายงานท่านโหวให้โบยพวกนางเสีย!”

“พวกนางเป็นเพียงสาวใช้ตัวเล็กๆ ไม่เคยออกไปพบเจอโลกภายนอก โบยพวกนางจะมีประโยชน์อันใด” หวังเหยียนชิงวางช้อนและใช้ผ้าเช็ดมือ ริมฝีปากคล้ายผุดรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่ง “เป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่ต้องการให้ข้าได้ยินคำพูดพวกนี้ เจ้าสามารถยืมมือพี่รองจัดการสาวใช้พวกนี้ได้ แต่จะจัดการกับฮูหยินผู้เฒ่าได้อย่างนั้นหรือ”

เฝ่ยชุ่ยเงียบเสียงทันใด นางมองหวังเหยียนชิง ปากขมุบขมิบเอ่ยอย่างปวดใจ “แม่นาง…”

หวังเหยียนชิงหลุบตา แววตาราบเรียบดุจทะเลสาบน้ำแข็ง ไม่มีริ้วคลื่นแม้แต่น้อย คำว่า ‘กตัญญูยิ่งใหญ่กว่าท้องฟ้า’ อย่างไรเสียผู้อื่นต่างหากที่เป็นครอบครัวเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นฟู่ถิงโจวจะไม่รู้จริงๆ หรือ

ฮูหยินผู้เฒ่าสามารถใช้อำนาจของบิดามารดาเจรจาเรื่องการแต่งงานให้ฟู่ถิงโจวได้ แต่การสมรสจะสำเร็จลงได้ย่อมต้องได้รับความยินยอมจากฟู่ถิงโจว ได้ยินว่าคุณหนูสามสกุลหงท่านนั้นเป็นหลานสาวของอู่ติ้งโหว แต่งอีกฝ่ายเป็นภรรยาย่อมเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับอู่ติ้งโหวไปอีกขั้น ฟู่ถิงโจวเป็นคนฉลาดถึงเพียงนั้นย่อมรู้อยู่แล้วว่าต้องเลือกอย่างไร

หวังเหยียนชิงวางผ้าบนโต๊ะเตี้ย แล้วถอนใจเบาๆ “พวกเขาเหมาะสมคู่ควร บุรุษมากความสามารถ สตรีรูปโฉมงดงาม นี่เป็นเรื่องที่ดี สมควรแสดงความยินดีกับพี่รอง”

ความขมขื่นในใจของเฝ่ยชุ่ยที่เก็บกลั้นมาหนึ่งเดือนคล้ายดั่งทำนบพัง น้ำตาร่วงเผาะ “แต่แม่นางต่างหากที่เป็นหลานสะใภ้ที่ท่านโหวผู้เฒ่าเลือก ท่านรอท่านโหวมาสิบปี สิบปีเชียวนะ! ท่านโหวต้องฝึกยุทธ์ ท่านก็ตามไปหัดขี่ม้ายิงธนูโดยไม่สนจรรยาสตรี ท่านโหวต้องคุมกองทัพ ท่านก็ปลอมตัวเป็นบุรุษ ล้มลุกคลุกคลานในค่ายทหารไปกับเขา หลายปีมานี้เนื้อตัวท่านมีบาดแผลตั้งเท่าไร มาถึงตอนนี้พวกเขาใช้เพียงคำว่า ‘เหมาะสมคู่ควร’ ก็จะลบล้างความทุ่มเทเสียสละตลอดสิบปีของแม่นางอย่างนั้นหรือ”

เฝ่ยชุ่ยปาดน้ำตาพลางระบายความในใจ หวังเหยียนชิงกลับทำตัวเหมือนเป็นคนนอกนั่งนิ่งไม่สะทกสะท้าน เฝ่ยชุ่ยยังคับแค้นใจถึงเพียงนี้ หวังเหยียนชิงที่เป็นคนในเรื่องจะไม่ใส่ใจจริงๆ หรือ จะเป็นไปได้อย่างไร

ช่วงวัยเด็กจนถึงวัยสาวอันงดงามตลอดสิบปี นางถูกรับมาอยู่จวนเจิ้นหย่วนโหวตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ ชีวิตของนางมีเพียงฟู่ถิงโจวเท่านั้น

บัดนี้เป็นรัชศกจยาจิ้งปีที่สิบเอ็ด ฮ่องเต้องค์ที่สิบสองของอาณาจักรต้าหมิงเดินทางมาถึงนครหลวงเป็นปีที่สิบเอ็ด ขุนนางฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน ปัญญาชนและชนชั้นสูงแบ่งแยกกันชัดเจน ขุนนางฝ่ายพลเรือนล้วนมาจากการสอบเคอจวี่ผลัดเปลี่ยนกันไปทุกรุ่น หากคนรุ่นหลังในตระกูลเล่าเรียนไม่เก่ง วงศ์ตระกูลย่อมตกต่ำได้ง่ายๆ แต่แม่ทัพขุนพลกลับสืบทอดตำแหน่งทางสายโลหิต เป็นต้นว่าจวนอู่ติ้งโหวและจวนหย่งผิงโหวล้วนเป็นตระกูลที่บรรพบุรุษหลายรุ่นปกครองกองทัพ อยู่ในนครหลวงมานานกว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเสียอีก

ส่วนสกุลฟู่นั้นเพิ่งเริ่มมีอำนาจเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ทว่าบรรพบุรุษล้วนเป็นขุนนางทหาร เคยสร้างความดีความชอบในสมัยของฟู่เยวี่ยปู่ของฟู่ถิงโจวจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นเจิ้นหย่วนโหวจากอดีตฮ่องเต้เจิ้งเต๋อ ด้วยเหตุนี้เองสกุลฟู่จึงดูด้อยกว่าขั้นหนึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าตระกูลสูงศักดิ์เก่าแก่ในนครหลวงอย่างอู่ติ้งโหวหรือหย่งผิงโหว

กระนั้นไม่ว่ารากฐานของสกุลฟู่จะไม่มั่นคงอย่างไรล้วนไม่เกี่ยวข้องกับหวังเหยียนชิง เดิมทีด้วยฐานะของนางชั่วชีวิตนี้ก็ไม่มีทางได้ข้องเกี่ยวกับแม่ทัพและชนชั้นสูงพวกนี้อยู่แล้ว

ขุนนางฝ่ายทหารสืบทอดตำแหน่งจากรุ่นสู่รุ่น พลทหารก็สืบทอดตำแหน่งทางสายโลหิตเช่นกัน แต่ ‘พลทหาร’ กับ ‘ขุนนางทหาร’ ผิดกันแค่คำเดียวกลับแตกต่างราวฟ้ากับเหว บ้านเกิดของหวังเหยียนชิงอยู่ที่เมืองต้าถง ที่บ้านเป็นครอบครัวทหาร ทายาทชายของสกุลหวังเกิดมาก็เป็นทหาร ทวด ปู่ และบิดาของนางล้วนเสียชีวิตในสงครามกับชาวเหมิ่งกู่ที่ต้าถง

รัชศกเจิ้งเต๋อปีที่สิบสอง เจิ้นหย่วนโหวฟู่เยวี่ยถูกโยกย้ายไปต้าถงรับตำแหน่งผู้บัญชาการรบ หวังชงบิดาของหวังเหยียนชิง เนื่องจากกล้าหาญมีไหวพริบจึงค่อยๆ ได้รับความชื่นชมจากฟู่เยวี่ย ในสงครามรุกไล่ครั้งหนึ่ง หวังชงเอาตัวเข้ารับลูกธนูแทนฟู่เยวี่ยจนสิ้นชีพในสมรภูมิ

ภายหลังสงครามกับชาวเหมิ่งกู่ได้รับชัยชนะ ฟู่เยวี่ยถูกย้ายไปนครหลวงเพราะสร้างผลงาน ฟู่เยวี่ยถูกใจหวังชงมาก หวังชงยังมาเสียชีวิตเพราะเขา หลังความเศร้าเสียใจผ่านพ้นไป ฟู่เยวี่ยจึงส่งคนไปที่บ้านเกิดของหวังชงเพื่อปลอบประโลมครอบครัวของอีกฝ่าย

กระนั้นไปถึงแล้วจึงทราบว่าช่วงหลายปีที่หวังชงไม่อยู่จวน เสิ่นหลันผู้เป็นภรรยาคลอดบุตรแล้วร่างกายอ่อนแอจนจากโลกนี้ไป หลี่ซื่อผู้เป็นมารดาอายุปูนนี้แล้วยังต้องทำนาปลูกข้าวหาเลี้ยงหลานสาว เมื่อต้นฤดูใบไม้ผลิหกล้มและป่วยตาย ครอบครัวทั้งหมดจึงเหลือเพียงบุตรสาวที่ยังเล็กวัยเจ็ดขวบ…หวังเหยียนชิงคนเดียวเท่านั้น

ชายแดนมีเด็กกำพร้าอย่างหวังเหยียนชิงมากมาย แต่เรื่องราวเกิดขึ้นภายใต้เปลือกตาของฟู่เยวี่ย เขาย่อมมิอาจไม่ไยดี หลังจากผู้ใต้บังคับบัญชากลับนครหลวงมารายงานฟู่เยวี่ย ฟู่เยวี่ยตรึกตรองครู่หนึ่งและตัดสินใจรับเลี้ยงหวังเหยียนชิง

ด้วยอำนาจบารมีของจวนเจิ้นหย่วนโหว การเลี้ยงดูแม่นางน้อยคนหนึ่งมิใช่ปัญหา แต่หากเขาไม่สนใจเด็กคนนี้จะต้องตายอยู่ข้างนอกแน่

ตอนที่หวังเหยียนชิงอายุเจ็ดขวบ โชคชะตาของนางพลิกผันครั้งใหญ่ ปีนั้นนางสูญเสียคนในครอบครัวคนสุดท้ายไป ด้วยการช่วยเหลือของเพื่อนบ้าน นางจึงสามารถจัดงานศพให้ผู้เป็นย่าจนเสร็จสิ้น หลังจากนั้นที่ดินบรรพบุรุษของพวกเขาก็ถูกญาติห่างๆ ยึดไปจนหมด แต่เรื่องการรับเลี้ยงหวังเหยียนชิงกลับเป็นเหมือนลูกหนังที่ถูกเตะไปเตะมา ไม่มีใครเต็มใจอยากเลี้ยงคนเพิ่มขึ้นอีกคน

หลังจากนั้นก็มีกลุ่มคนแปลกประหลาดกลุ่มหนึ่งมาหานาง ผ่านไปพักหนึ่งคนกลุ่มนั้นกลับมาอีกครั้ง ทั้งยังนำแพรพรรณและผู้คนมามากกว่าเก่า พวกเขาจุดธูปเซ่นไหว้หวังชง ยังบอกว่าจะรับตัวหวังเหยียนชิงไปนครหลวง

ท่าทีของพวกญาติๆ เปลี่ยนไปทันใด บ้านใกล้เรือนเคียงต่างรู้กันทั่วว่าสุสานบรรพบุรุษสกุลหวังมีควันสีฟ้าหวังชงได้รับความนิยมชมชอบจากผู้สูงศักดิ์ หวังเหยียนชิงกำลังจะเดินทางเข้านครหลวงไปเสพสุขแล้ว คนในหมู่บ้านไม่รู้ว่า ‘เจิ้นหย่วนโหว’ คืออะไร รู้เพียงว่าเป็นขุนนางตำแหน่งสูงมาก ควบคุมดูแลกองกำลังทั้งหมดในเมืองต้าถง ลุงป้าน้าอาที่เคยแล้งน้ำใจเหล่านั้นพากันเปลี่ยนสีหน้าและแย่งชิงตัวหวังเหยียนชิงกัน ยังคิดจะหลอกให้หวังเหยียนชิงเปลี่ยนคำเรียกขาน หมายจะส่งบุตรสาวของตนไปนครหลวงแทน

หวังเหยียนชิงแม้อายุเพียงเจ็ดขวบ แต่ประสบการณ์ชีวิตได้สอนให้นางล่วงรู้จิตใจคน รู้จักฟังน้ำเสียงดูสีหน้านานแล้ว นางไม่ทิ้งเงินไว้ให้พวกญาติๆ แม้แต่เหรียญเดียว ติดตามกองกำลังของฟู่เยวี่ยไปเงียบๆ จนกระทั่งมาถึงนครหลวงเป่ยจิงที่นางไม่รู้จัก

เวลานั้นนางยังไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะเข้าสู่โลกที่เป็นอย่างไร นางรู้ว่าในใต้หล้านี้มีทั้งคนจนและคนรวย มีทั้งขุนนางและชาวนา แต่คิดไม่ถึงว่าความแตกต่างทางชนชั้นจะมากมายถึงเพียงนี้

หลังเข้าประตูเซวียนอู่* แล้ว ข้าวของริมทางแต่ละอย่างล้วนเป็นความหรูหราที่นางไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึง นางเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตามรถม้าไปอย่างมึนงง สุดท้ายรถม้าก็แล่นเข้าไปในคฤหาสน์ที่โอ่โถงใหญ่โตแห่งหนึ่ง

ตอนหวังเหยียนชิงลงจากรถ ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอานางตกใจจนไม่กล้าปริปากแม้แต่คำเดียว ไม่กล้าย่างเท้าสักก้าวเดียว ประตูสูงใหญ่คฤหาสน์หลังโตดูทรงอำนาจในตนเอง บ่าวรับใช้ประสานมือเดินขวักไขว่ไปมา แค่หญิงรับใช้สูงวัยที่ทำหน้าที่กวาดพื้นคนหนึ่งยังแต่งตัวดีกว่าครอบครัวของผู้ใหญ่บ้าน นี่ก็คือสถานที่ที่นางจะต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อจากนี้หรือ

ขณะที่หวังเหยียนชิงตะลึงงันทำอะไรไม่ถูกนั้นเอง เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งพลันดังขึ้นข้างหลัง ‘นี่ใครกัน’

นางหันกลับไปก็มองเห็นเด็กหนุ่มท่าทางสูงศักดิ์สง่างามคนหนึ่ง เขาอายุราวสิบปี รูปร่างสูงโปร่งองอาจ บุคลิกผึ่งผาย คนข้างกายท่าทีพลันเปลี่ยนไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงประจบ ‘คุณชายรอง นี่ก็คือเด็กกำพร้าที่ท่านโหวจะรับเลี้ยงคนนั้นขอรับ’

เด็กหนุ่มจ้องนางอยู่พักใหญ่ ดูคล้ายในที่สุดก็พอจะจำได้ จึงถาม ‘ชื่ออะไร’

‘เรียนคุณชายรอง นางชื่อหวัง…’

‘ไม่ได้ถามเจ้า’ เด็กหนุ่มปรายตามองบ่าวรับใช้เรียบๆ พยักพเยิดคางกับหวังเหยียนชิง ‘ให้นางพูด’

แม้จะยังมิได้แนะนำ แต่หวังเหยียนชิงเข้าใจสถานการณ์แล้ว นางก้มศีรษะตอบอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ‘เรียนคุณชายรอง ข้าชื่อหวังเหยียนชิง’

เด็กชายคล้ายไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พบคนในวัยใกล้กัน เขาพานางไปพบเจิ้นหย่วนโหวด้วยตนเอง หลังจากนั้นหวังเหยียนชิงจึงได้รู้ว่าเด็กชายที่เป็นคนนำทางให้นางคือหลานชายของฟู่เยวี่ย…ฟู่ถิงโจว แม้ทุกคนต่างเรียกเขาว่า ‘คุณชายรอง’ แต่ทายาทชายรุ่นหลานที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มีเขาเพียงคนเดียว เขาจึงนับเป็นซื่อจื่อ* ที่ทุกคนยอมรับโดยปริยายแล้ว เหตุที่จวนเจิ้นหย่วนโหวครึกครื้นถึงเพียงนี้ เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของฟู่ถิงโจวพอดี

ภายหลังฟู่ถิงโจวมักพูดเล่นอยู่เสมอว่าหวังเหยียนชิงเป็นของขวัญวันเกิดที่สวรรค์ประทานให้เขา ประจวบเหมาะกับตอนเขาอารมณ์ไม่ดีออกมาเดินเล่น เดินเลี้ยวก็พบกับหวังเหยียนชิงเข้าพอดี

ฟู่เยวี่ยเห็นหวังเหยียนชิงแล้วดีใจมาก หวังชงอายุไล่เลี่ยกับบุตรชายของฟู่เยวี่ย เป็นคนมีไหวพริบและน่าเอ็นดู ในใจเขาเห็นหวังชงเป็นเหมือนบุตรคนหนึ่งเสมอมา ไม่คิดว่าบุตรสาวของหวังชงกลับน่ารักเรียบร้อย ไม่ซุกซนเหมือนหวังชงเลยสักนิด

ฟู่เยวี่ยกรำศึกมาทั้งชีวิต นิสัยเฉียบขาดดุดัน เวลาฝึกทหารเสียงดังก้องจนได้ยินทั่วทั้งในและนอกค่าย ได้พบแม่นางน้อยที่อ่อนโยนนุ่มนวลเช่นนี้เป็นครั้งแรก หัวใจก็แทบจะละลาย ประจวบเหมาะอายุของหวังเหยียนชิงกับฟู่ถิงโจวต่างกันไม่มาก ฟู่เยวี่ยจึงให้เด็กทั้งสองอยู่ข้างกาย อบรมเลี้ยงดูด้วยตนเอง

กล่าวถึงตรงนี้อันที่จริงยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ฟู่เยวี่ยทำศึกอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน เวลาเกิดสงครามเขาไม่กลับจวนติดต่อกันนานหลายปี ฟู่ชางบุตรชายของฟู่เยวี่ยถูกภรรยาของเขาตามอกตามใจ ภายหลังย้ายมานครหลวงก็กลายเป็นบุตรชายท่านโหวอีก นิสัยเสียจึงถูกบ่มเพาะขึ้นมาอย่างช้าๆ

ตอนฟู่เยวี่ยถูกย้ายจากต้าถงกลับมานครหลวงแล้วเห็นบุตรชายเที่ยวหอคณิกา แข่งม้าชนไก่ เขาก็โมโหจนอาละวาดยกใหญ่ ทว่าตอนนั้นฟู่ชางใกล้จะสามสิบแล้วจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงตนเองได้อย่างไร ฟู่เยวี่ยตีก็แล้วด่าก็แล้ว ท้ายที่สุดก็แก้นิสัยบุตรชายไม่ได้จริงๆ จึงตัดสินใจว่ามองไม่เห็นเป็นดีที่สุด และตั้งหน้าตั้งตาอบรมหลานชาย

หลายปีมานี้เขาผ่านการทำศึกมาอย่างไม่ง่าย จะยกทรัพย์สมบัติมหาศาลให้กับลูกหลานที่ดีแต่ล้างผลาญไม่ได้เป็นอันขาด เคราะห์ดีที่ฟู่ถิงโจวยังเล็ก สั่งสอนตอนนี้ยังทันกาล

หวังเหยียนชิงมาอยู่สกุลฟู่ในเวลานี้เอง ฟู่เยวี่ยให้ฟู่ถิงโจวกับหวังเหยียนชิงเรียกขานกันแบบพี่น้อง สอนพวกเขาเล่าเรียนฝึกยุทธ์ด้วยตนเอง เวลาว่างพาฟู่ถิงโจวไปเยี่ยมสหายขุนนางและสหายร่วมรบของตน อบรมชี้แนะโดยไม่ผ่อนปรนแม้แต่น้อย หวังเหยียนชิงรู้ฐานะของตนเองเป็นอย่างดี นางเป็นบุตรีของผู้ใต้บังคับบัญชาของฟู่เยวี่ย ฐานะต่างจากสกุลฟู่ลิบลับ ฟู่เยวี่ยเห็นแก่บุญคุณที่บิดานางเคยช่วยชีวิตเลี้ยงดูนางไว้ข้างกาย แต่ตัวนางเองกระจ่างแจ้งดีว่าคนที่ฟู่เยวี่ยสอนคือหลานชายของตนเอง นางเป็นเพียงตัวเสริมที่เขาถือโอกาสชี้แนะไปพร้อมกัน

ดังนั้นหวังเหยียนชิงจึงตั้งใจเล่าเรียน ฟู่ถิงโจวเรียนรู้สิ่งใดนางก็เรียนรู้สิ่งนั้น ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยยาก เวลาฟู่ถิงโจวไปสนามฝึกยุทธ์เพื่อฝึกวรยุทธ์ พวกสาวใช้ต่างบอกว่าหวังเหยียนชิงเป็นสาวเป็นนางไยต้องลำบากเช่นนี้ด้วย แต่หวังเหยียนชิงไม่ปริปากบ่นสักคำ นางอดทนจนผ่านพ้นมาได้

สกุลหวังเป็นครอบครัวทหาร ก่อนหน้านี้ก็เป็นทหารมาทุกรุ่น ดังนั้นเรื่องการแต่งงานจึงไม่แน่ไม่นอน บ่อยครั้งมักจะเกี่ยวดองกันภายในกลุ่มครอบครัวทหาร ท่านย่าและมารดาของหวังเหยียนชิงล้วนเป็นบุตรสาวครอบครัวทหาร เมืองต้าถงก็เป็นหนึ่งในเก้าเมืองยุทธศาสตร์ชายแดนที่รายล้อมนครหลวง ด้วยต้องอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งกับชาวเหมิ่งกู่เป็นเวลานาน นิสัยของชาวต้าถงจึงห้าวหาญ ไม่ว่าชายหญิงผู้เฒ่าผู้เยาว์ อึดใจก่อนหน้ายังถือจอบทำไร่ไถนา อึดใจต่อมากลับสามารถเงื้อดาบฟาดฟันศัตรูได้ แม้เป็นสตรีในร่างกายก็มีสายเลือดของนักรบที่กล้าหาญ

หวังเหยียนชิงเติบโตขึ้นท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงจึงรู้ความกว่าเด็กในวัยเดียวกัน งานหนักที่สตรีในนครหลวงรู้สึกว่าเหนื่อยยาก นางล้วนสามารถอดทนทำได้ ช่วงปีแรกๆ ยังทำเพื่อเอาใจฟู่เยวี่ย ช่วงปีหลังๆ กลับเพื่อเอาใจฟู่ถิงโจว

ฟู่ถิงโจวสืบทอดความรู้ความสามารถของผู้เป็นปู่ รูปร่างสูงใหญ่ห้าวหาญ คิ้วกระบี่ดวงตาสุกสกาว เฉียบขาดหนักแน่น อีกทั้งเนื่องจากถือกำเนิดในนครหลวงจึงเฉลียวฉลาดและมีไหวพริบมากกว่าฟู่เยวี่ย แม้อยู่ในกลุ่มผู้สูงศักดิ์ที่มีมังกรซุ่มพยัคฆ์ซ่อนฟู่ถิงโจวก็ยังเป็น ‘แม่ทัพผู้มีพรสวรรค์’ ที่ผู้คนยกย่องชื่นชม ฟู่เยวี่ยพอใจหลานชายคนนี้มาก ขณะเดียวกันเพื่อดูแลบุตรสาวของผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นเด็กกำพร้าจึงเคยเอ่ยปากเป็นการส่วนตัวว่า ‘น้ำดีมิพึงปล่อยให้ไหลเข้านาผู้อื่น’* บอกให้หวังเหยียนชิงแต่งให้ฟู่ถิงโจว

ฟู่เยวี่ยพูดเช่นนี้มิใช่เพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ แต่หวังเหยียนชิงยิ่งเติบโตก็ยิ่งงดงามปานบุปผา อีกทั้งนางยังเข้าอกเข้าใจผู้อื่น เฉลียวฉลาดรู้ความ สามารถน้าวคันศรยิงเกาทัณฑ์ ขณะเดียวกันก็สามารถอ่านหนังสือเขียนอักษรได้ มิใช่ดียิ่งกว่าคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ที่อ่อนแอขลาดเขลาพวกนั้นหรือ ฟู่เยวี่ยเห็นเด็กสองคนเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กจนกลายเป็นหนุ่มสาว เหมาะสมหรือไม่เขารู้ดีแก่ใจ

ก่อนตายฟู่เยวี่ยทิ้งคำสั่งเสียไว้สองอย่าง หนึ่งคืออ้อมผ่านฟู่ชาง ยกตำแหน่งโหวให้ฟู่ถิงโจวโดยตรง สองคือให้ฟู่ถิงโจวไม่ต้องไว้ทุกข์ รีบแต่งงานโดยเร็ว

อันที่จริงคนฉลาดล้วนดูออกว่าคำสั่งที่สองของฟู่เยวี่ยเป็นไปเพื่อหวังเหยียนชิง แต่เมื่อร่างของฟู่เยวี่ยถูกฝังเสร็จเรียบร้อย ฟู่ชางสามีภรรยากลับเปลี่ยนใจ พวกเขาแสร้งทำเป็นไม่รู้เจตนาของฟู่เยวี่ย เจรจาเรื่องคู่ครองให้ฟู่ถิงโจวอย่างเปิดเผย

แม้ฟู่เยวี่ยจะบอกว่าไม่ต้องไว้ทุกข์ แต่ลูกหลานกลับไม่อาจก้าวล่วงธรรมเนียมนี้ ตลอดหนึ่งปีนี้ฟู่ถิงโจวมิอาจไปร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์หาความสำราญ มิอาจแต่งภรรยาตามใจได้ ทว่าแม้ไม่อาจหมั้นหมาย แต่การไปดูตัวแบบเงียบๆ กลับสามารถทำได้ ฟู่ชางสามีภรรยาเลือกไปเลือกมาสุดท้ายก็ถูกใจจวนหย่งผิงโหวที่เพิ่งเดินทางกลับนครหลวงมารายงานตัว

ก่อนหน้านี้หย่งผิงโหวรักษาการณ์พื้นที่แถบทิศตะวันตกของมณฑลซื่อชวนบุตรีคนที่สามยังมิได้หมั้นหมาย สองครอบครัวความเห็นตรงกัน ฟู่ถิงโจวไปเยือนจวนหย่งผิงโหวอย่างลับๆ กลับมาก็ตอบตกลง คุณหนูสามจวนหย่งผิงโหวดีใจที่ได้สามีที่ดี จวนเจิ้นหย่วนโหวได้ลู่ทางเกี่ยวดองกับตระกูลสูงศักดิ์เก่าแก่ อู่ติ้งโหวได้ดึงคนหนุ่มมากความสามารถมาเป็นพวก ทุกคนต่างยินดีปรีดา…เว้นเพียงหวังเหยียนชิง

ฟู่ถิงโจวจะแต่งบุตรสาวจวนหย่งผิงโหว เช่นนั้นนางเล่า

ตั้งแต่ท่านโหวผู้เฒ่าฟู่เยวี่ยจากโลกนี้ไป ฐานะของหวังเหยียนชิงในสกุลฟู่ก็กระอักกระอ่วน บัดนี้จวนโหวเจรจาเรื่องการแต่งงานให้ฟู่ถิงโจวอย่างเปิดเผย แม้แต่มารยาทฉาบฉวยภายนอกยังไม่อยากจะทำแล้ว การที่สาวใช้พวกนี้ซุบซิบนินทานางเป็นเพียงภาพสะท้อนเล็กๆ เท่านั้น

เฝ่ยชุ่ยรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนเจ้านายของตน แต่หลังจากร้องไห้เสร็จ ตนก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำอย่างไรได้ ปู่และบิดาของหวังเหยียนชิงล้วนตายในสงครามทั้งหมด นางไม่มีพี่น้อง พอท่านโหวผู้เฒ่าจากไปก็ไม่มีใครให้การสนับสนุนนางอีก ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้สกุลหวังของนางมีญาติพี่น้องอยู่ แต่ยามอยู่ต่อหน้าจวนเจิ้นหย่วนโหวยังจะมีสิทธิ์โต้แย้งอะไรได้

เอ่ยวาจาที่ไม่น่าฟังสักคำ ด้วยฐานะของหวังเหยียนชิง นางได้เป็นอนุในจวนเจิ้นหย่วนโหวก็นับว่าอาจเอื้อมเกินฐานะแล้ว

เฝ่ยชุ่ยสะอึกสะอื้น ส่วนหวังเหยียนชิงกลับไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้น นั่งสงบนิ่งดุจภาพวาด เฝ่ยชุ่ยเห็นแล้วรู้สึกทุกข์ใจ หาข้ออ้างออกไปเสียเอง

หวังเหยียนชิงนั่งอยู่ในห้องคนเดียว ทำเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมานับไม่ถ้วน อ่านหนังสือ คัดอักษร ศึกษาตำราพิชัยยุทธ์ ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเพียงใด เสียงลมระลอกหนึ่งลอยมาจากหน้าประตู เงาดำสายหนึ่งนั่งลงตรงหน้านาง ดึงสิ่งที่อยู่ในมือนางออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ “ ‘คัมภีร์หู่เฉียน’ ? จะสิ้นปีแล้ว เจ้ายังไม่เลิกอ่านอีกหรือ”

นิ้วมือของหวังเหยียนชิงกำเข้าหากันแน่น นางเงยหน้า พยายามเผชิญหน้ากับเขาด้วยรอยยิ้มที่ไร้พิรุธ “พี่รอง”

บทที่ 2

แรกเริ่มตอนฟู่เยวี่ยรับหวังเหยียนชิงเข้ามาอยู่ในจวน เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องการแต่งงาน ดังนั้นจึงให้ฟู่ถิงโจวกับหวังเหยียนชิงเรียกขานกันแบบพี่น้อง ภายหลังเด็กสองคนนี้ค่อยๆ เติบโตขึ้น ฟู่เยวี่ยยิ่งเห็นยิ่งถูกใจ จึงเกิดความคิดจับคู่พวกเขา ทว่าความเคยชินที่หวังเหยียนชิงเรียกฟู่ถิงโจวว่า ‘พี่รอง’ กลับยังคงรักษาไว้เช่นนี้

พวกเขาทั้งสองแซ่ไม่เหมือนกันย่อมไม่มีใครเห็นหวังเหยียนชิงเป็นคุณหนูสกุลฟู่อย่างแท้จริง ฟู่ถิงโจวยิ่งไม่มีทางเห็นนางเป็นน้องสาวของตน พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันมาสิบปี ถูกฟู่เยวี่ยด่าด้วยกัน ไปสนามฝึกยุทธ์ฝึกท่านั่งม้า* ด้วยกัน เวลาฟู่ถิงโจวก่อเรื่องหวังเหยียนชิงจะคอยดูต้นทางให้ เวลาฟู่ถิงโจวถูกกักบริเวณหวังเหยียนชิงจะคอยส่งของกินให้เขา หวังเหยียนชิงถึงขั้นสามารถปลอมลายมือของฟู่ถิงโจวได้ สำหรับฟู่ถิงโจวแล้วความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหวังเหยียนชิงแน่นแฟ้นยิ่งกว่าพี่น้องสกุลฟู่เหล่านั้นมาก

อย่างไรเสียฟู่ถิงโจวต่างหากที่เป็นหลานชายแท้ๆ ของฟู่เยวี่ย หากฟู่ถิงโจวไม่เต็มใจเสียอย่าง ฟู่เยวี่ยย่อมไม่มีทางบังเกิดความคิดรั้งตัวหวังเหยียนชิงไว้ที่สกุลฟู่ นี่เพราะฟู่เยวี่ยดูออกว่าฟู่ถิงโจวมิได้รังเกียจหวังเหยียนชิง ซ้ำยังสนิทสนมกับนางมาก ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจแทนหลานชาย กะเกณฑ์เรื่องการแต่งงานให้เขา

ทว่าฟู่เยวี่ยสั่งสอนหลานชายมาดีเกินไป ฟู่ถิงโจวมีความคล้ายคลึงกับผู้เป็นปู่ ถึงขั้นความคิดความอ่านเหนือกว่าด้วยซ้ำ เรื่องที่ฟู่เยวี่ยตัดสินใจไปแล้ว ฟู่ถิงโจวยังกล้าที่จะล้มล้าง

ฟู่ถิงโจวพลิกหนังสือในมือก่อนจะวางลงแล้วถาม “นึกอย่างไรจึงอ่านสิ่งนี้เล่า แต่ก่อนเจ้าไม่ชอบหนังสือของชาวซ่งนี่”

หวังเหยียนชิงยิ้มตอบ “ไม่มีอะไรทำจึงหยิบมาอ่านเล่นน่ะ”

นางมีสิ่งที่ชอบหรือไม่ชอบที่ใดกัน เป็นฟู่ถิงโจวต่างหากที่ไม่ชอบ

นางมาอยู่จวนเจิ้นหย่วนโหวสิบปีแทบไม่มีความชื่นชอบเป็นของตนเอง ฟู่ถิงโจวอ่านหนังสือแบบใดนางก็อ่านหนังสือเช่นนั้น ฟู่ถิงโจวชอบเรื่องรื่นเริงใหม่ๆ อันใดนางก็ไปเรียนรู้ ฟู่ถิงโจวคือชีวิตทั้งหมดของนาง บัดนี้ฟู่ถิงโจวจะแต่งงานกับผู้อื่น หัวใจของหวังเหยียนชิงพลันว่างโหวงเป็นโพรงใหญ่ ตอนหยิบหนังสือไม่ทันสังเกตจึงคว้าเล่มนี้มาก็เท่านั้น

ฟู่ถิงโจวจ้องตานาง มิได้ถามต่อ แต่เอ่ยว่า “เหมันต์ปีนี้หนาวเหน็บ ขาเจ้ายังปวดอยู่หรือไม่”

ร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์มักมีโรคมากบ้างน้อยบ้าง ครั้งหนึ่งเพื่อช่วยเหลือฟู่ถิงโจวทำให้หวังเหยียนชิงพลัดตกจากหลังม้า นับแต่นั้นมาขานางก็มีโรคเรื้อรังทิ้งไว้ พออากาศเย็นชื้นก็จะปวดน่อง หวังเหยียนชิงส่ายหน้า “ไม่ปวด ผ่านมาหลายปีถึงเพียงนี้ ข้าหายดีตั้งนานแล้ว”

ฟู่ถิงโจวยื่นมือออกไปจะแตะขาหวังเหยียนชิงตามความเคยชิน หวังเหยียนชิงกลับลุกขึ้นรินน้ำชา ถือโอกาสนี้หลบเลี่ยงอย่างเป็นธรรมชาติ มือของฟู่ถิงโจวชะงักอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง ก่อนจะหดมือกลับไปเงียบๆ เขามองหญิงสาวและเอ่ยว่า “เรื่องการรินน้ำชายกน้ำพวกนี้ต้องให้เจ้าทำที่ใดกันเล่า ไม่พบหน้ากันไม่กี่วันห่างเหินกับพี่รองเสียแล้วหรือ”

คำพูดนี้ของฟู่ถิงโจวฟังดูธรรมดาทั่วไป แต่อันที่จริงกลับแฝงนัยบางอย่าง ตั้งแต่ฟู่ถิงโจวโตเป็นผู้ใหญ่น้อยครั้งที่จะแทนตนเองว่า ‘พี่รอง’ เขาไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ ของหวังเหยียนชิงสักหน่อย จะเอาแต่พูดคำว่า ‘พี่รอง’ ติดปากไปไยเล่า แต่เมื่อใดที่แทนตนเองด้วยคำสรรพนามในวันวานนั่นแสดงว่าเขาเริ่มไม่พอใจแล้ว

หวังเหยียนชิงหลุบตา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงตอบว่า “ใช่ที่ใดกัน พี่รองทำสิ่งใดมีระเบียบเป็นที่สุด ข้าย่อมไว้ใจพี่รองอยู่แล้ว”

หวังเหยียนชิงมีท่าทีอ่อนโยนนุ่มนวลราวกับเมื่อครู่ที่หลบเลี่ยงเขาเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น ความขุ่นมัวในใจฟู่ถิงโจวสลายไปเล็กน้อย เขาคิดว่าหวังเหยียนชิงอยู่สกุลฟู่มาสิบปีเป็นไปได้ที่ยังทำใจไม่ได้ในชั่วเวลาสั้นๆ ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่นางหึงหวงแสดงว่าในใจนางมีเขาอยู่

เมื่อคิดเช่นนี้ความขุ่นใจที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งของฟู่ถิงโจวก็หายไป เขาคว้าข้อมือหวังเหยียนชิงดึงนางให้นั่งลง ครั้งนี้หญิงสาวมิได้หลบเลี่ยงอีก นั่งลงข้างกายเขาอย่างว่าง่าย ฟู่ถิงโจวสัมผัสผิวอ่อนนุ่มดุจผ้าต่วนหิมะในฝ่ามือ ผ่อนน้ำเสียงลงพลางถาม “หลายวันนี้ข้ามัวยุ่งกับเรื่องในราชสำนัก ไม่มีเวลามาหาเจ้า มีผู้ใดมาที่นี่พูดอะไรกับเจ้าใช่หรือไม่”

หวังเหยียนชิงอาศัยชายคาผู้อื่นอยู่มาสิบปี หลักการวางตัวแค่นี้มีหรือจะไม่รู้ นางหลุบตาส่ายหน้าเบาๆ “มีที่ใดกัน ไท่ฮูหยิน* กับฮูหยินผู้เฒ่าต่างดีต่อข้าอย่างยิ่ง น้องสาวสกุลฟู่ทั้งหลายมีสิ่งใด ทางนี้ของข้าก็มีไม่ต่าง ข้ามักกังวลว่าตนเองจะทำได้ไม่ดีพอ กลัวว่ามิอาจตอบแทนผู้อาวุโสทั้งสองท่านได้ด้วยซ้ำ แล้วจะเชื่อถือวาจาเหลวไหลของผู้อื่นได้อย่างไร”

หวังเหยียนชิงไม่ปฏิเสธข่าวลือภายในจวน อย่างไรเสียฟู่ถิงโจวก็รู้ดีว่ามารดาและท่านย่าของเขาเป็นอย่างไร หวังเหยียนชิงจึงเลือกเป็นฝ่ายแสดงจุดยืนของตนเองออกมา วางตัวอย่างเหมาะสมและรู้ความเช่นนี้ ถูกใจฟู่ถิงโจวเป็นอย่างมาก

ทุกครอบครัวต่างก็มีปัญหา สกุลฟู่เองก็ไม่เว้น ‘ไท่ฮูหยิน’ และ ‘ฮูหยินผู้เฒ่า’ ที่หวังเหยียนชิงเรียกขานก็คือท่านย่าและมารดาของฟู่ถิงโจว บัดนี้ฟู่ถิงโจวเป็นเจิ้นหย่วนโหวแล้ว ฮูหยินของเขาจึงจะเรียกขานว่า ‘ฮูหยินเจิ้นหย่วนโหว’ ได้ ตามธรรมเนียมมารดาของท่านโหวจะถูกเรียกว่า ‘ฮูหยินผู้เฒ่า’ นี่จึงทำให้เฉินซื่อภรรยาของฟู่ชางไม่ได้เป็นฮูหยินท่านโหวแม้แต่วันเดียวก็ต้องกลายเป็นฮูหยินผู้เฒ่าเสียแล้ว

เหตุที่ลำดับรุ่นของสกุลฟู่ค่อนข้างสูงยังต้องย้อนกล่าวไปถึงสมัยของฟู่เยวี่ย ฟู่เยวี่ยทำศึกเหนือใต้ไม่ค่อยได้อยู่ติดจวนจึงมีบุตรชายฟู่ชางเพียงคนเดียวเท่านั้น ทั้งยังถูกเลี้ยงดูจนกลายเป็นหนุ่มกางเกงแพรฟู่ชางมีบุตรธิดามากมาย โดยฟู่ถิงโจวเป็นบุตรชายสายตรงลำดับที่สอง ก่อนหน้าเขายังมีพี่ใหญ่อีกคน แต่เด็กคนนั้นอายุสั้น เพิ่งจะห้าขวบก็ป่วยตาย ดังนั้นในทางปฏิบัติฟู่ถิงโจวจึงกลายเป็นหลานชายคนโตของสกุลฟู่

ก่อนตายฟู่เยวี่ยยินดีข้ามบุตรชายของตนและมอบตำแหน่งให้กับหลานชายที่อายุเพียงยี่สิบ ไม่ยอมให้ฟู่ชางสืบทอดตำแหน่งโหว เรื่องนี้เห็นได้ว่าไม่ชอบหน้าฟู่ชางมากเพียงใด เหตุผลเบื้องหน้าของฟู่เยวี่ยคือฟู่ชางมีโรค ขากะเผลก ทำให้มิอาจสืบทอดบรรดาศักดิ์ได้ ซึ่งเป็นความจริงที่ขาของฟู่ชางมีโรคอยู่เล็กน้อย แต่ยามปกติดูไม่ออก มิหนำซ้ำบาดแผลนี้ยังเกิดจากฟู่เยวี่ยตีบุตรชายเอง

ตามหลักทั่วไปบิดาตายบุตรสืบทอด การสืบทอดตำแหน่งของจวนเจิ้นหย่วนโหวเช่นนี้จึงไม่สอดคล้องกับกฎของอาณาจักรต้าหมิง แต่ฟู่เยวี่ยเป็นแม่ทัพนามกระเดื่องในสมัยฮ่องเต้เจิ้งเต๋อ นำทัพมาสี่สิบปี มีคนรู้จักกระจายอยู่ทั่วกองทัพ ความสัมพันธ์กับกัวซวินซึ่งเป็นผู้นำของกลุ่มชนชั้นสูงก็ไม่เลว แจ้งทางกรมพิธีการสักคำ การสืบทอดบรรดาศักดิ์ก็จัดการเรียบร้อย

ฟู่เยวี่ยใกล้ชิดกับทายาทรุ่นหลาน ไม่ว่าเรื่องใดล้วนข้ามภรรยาของตน บุตรชาย และสะใภ้ ยกให้หลานชายโดยตรง ในเวลาไม่นานคนสกุลฟู่จึงสั่งสมความคับแค้นใจไว้ไม่น้อย ฟู่ถิงโจวเป็นสายเลือดโดยตรง ไท่ฮูหยินและเฉินซื่อไม่มีทางทำอะไรเขาอยู่แล้ว ทว่าหวังเหยียนชิงที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับสกุลฟู่สักนิด แต่กลับได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากฟู่เยวี่ยเป็นอย่างยิ่งย่อมตกเป็นเป้าโจมตี

หลายปีมานี้หวังเหยียนชิงถูกเฉินซื่อเหน็บแนมไม่น้อย เพียงแต่เมื่อก่อนฟู่เยวี่ยยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครกล้าแตะต้องนาง ทว่าพอฟู่เยวี่ยจากไป ความคับแค้นเหล่านี้ก็สะกดกลั้นไว้ไม่อยู่

ความขุ่นแค้นของเฉินซื่อเข้าใจได้ไม่ยาก นายท่านผู้เฒ่าจะเผด็จการจัดการเรื่องต่างๆ ของตนเองอย่างไรก็แล้วไปเถอะ แต่การแต่งงานของบุตรชายนางเขามีสิทธิ์อะไรตัดสินใจโดยไม่ถามไถ่นางที่เป็นมารดาสักคำ หวังเหยียนชิงเป็นเพียงบุตรสาวชาวบ้านทั่วไปที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า อีกฝ่ายมีคุณสมบัติอะไรแต่งให้บุตรชายนาง ด้วยเหตุนี้เองพอฟู่เยวี่ยตาย เฉินซื่อจึงรีบหาสะใภ้ใหม่อย่างรวดเร็ว เหยียบหน้าของหวังเหยียนชิงให้จมดิน

หวังเหยียนชิงใช่จะไม่รู้ว่าเฉินซื่อพานโกรธนาง สิบปีมานี้นางพยายามเอาใจไท่ฮูหยินและเฉินซื่อหลายครั้ง ทว่าไม่มีประโยชน์โดยสิ้นเชิง สุดท้ายจึงได้แต่ถอดใจ หวังเหยียนชิงแม้จะจนปัญญา แต่นางไม่ร้อนใจ เพราะนางรู้ว่าในจวนเจิ้นหย่วนโหวแห่งนี้ ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจในอดีตคือท่านโหวผู้เฒ่า บัดนี้คือฟู่ถิงโจว ฟู่ชางสามีภรรยามิอาจก้าวก่ายอันใดได้

ดังนั้นนางจึงไม่เดือดเนื้อร้อนใจ จนกระทั่งฟู่ถิงโจวผิดคำพูด ทำเอานางตั้งตัวไม่ติด

เดิมคิดมาโดยตลอดว่านางกับฟู่ถิงโจวจิตใจตรงกัน ความรู้สึกชัดเจนโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมา

ฟู่ถิงโจวเห็นหวังเหยียนชิงหลบตาตลอดตั้งแต่เขาเข้ามา ในใจรู้ว่าชิงชิงโมโหแล้ว ฟู่ถิงโจวอายุมากกว่าหวังเหยียนชิงสามปี ทั้งยังเข้าออกค่ายทหารตั้งแต่เล็ก ฟังเรื่องลามกหยาบโลนมาจนชิน รู้มานานแล้วว่าเรื่องราวระหว่างบุรุษกับสตรีเป็นอย่างไร

ตอนที่เขาสิบขวบและเริ่มมีความรู้สึกระหว่างชายหญิง หวังเหยียนชิงก็มาอยู่ข้างกายเขา ตอนเด็กๆ พวกเขาสองคนนอนกลางวันในห้องเดียวกัน หวังเหยียนชิงยิ่งเติบโตยิ่งงดงามมากขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้เปลือกตาเขา จากเด็กหญิงคนหนึ่งกลายเป็นสาวงามเพริศพริ้ง หากบอกว่าเขาไม่รู้สึกอะไรกับนางเลย เช่นนั้นตัวเขาคงจะมีปัญหาอะไรแน่ๆ

กระนั้นคนไร้สมองคนหนึ่งสามารถแต่งสตรีที่ตนชอบเป็นภรรยาได้ แต่ท่านโหวคนหนึ่ง นอกจากความรู้สึกแล้วยังมีสิ่งที่ต้องคิดคำนึงอีกมากมาย

บัดนี้ราชสำนักวุ่นวายเพราะการหารือจารีตใหญ่บุคคลที่เกี่ยวข้องกับหยางถิงถูกกำจัดอย่างต่อเนื่อง ทุกคนในราชสำนักต่างหวาดระแวง อู่ติ้งโหวกัวซวินเนื่องจากสนับสนุนฮ่องเต้หลายครั้ง ตำแหน่งจึงสูงขึ้นเรื่อยๆ เส้นทางการเป็นขุนนางราบรื่น ซ้ำยังกลายเป็นผู้นำของเหล่าแม่ทัพขุนพลในการต่อต้านสภาขุนนางไปแล้ว

ขุนนางฝ่ายพลเรือนกับแม่ทัพขุนพลเป็นศัตรูกันโดยกำเนิด ฟู่ถิงโจวไม่จำเป็นต้องเอาใจทั้งสองฝ่าย ยามอยู่ในราชสำนัก การไม่เลือกฝ่ายหรือประจบทั้งสองทางมีแต่จะทำให้ตายเร็วกว่าเดิม

เขาต้องการกัวซวิน…กัวซวินก็ต้องการเขา นี่เป็นสถานการณ์ที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย และการแสดงออกที่ชัดเจนก็คือการแต่งงานระหว่างเขากับจวนหย่งผิงโหว

ฮูหยินหย่งผิงโหวเป็นน้องสาวของกัวซวิน หากเขาแต่งบุตรีของหย่งผิงโหวก็คือการเข้าเป็นฝ่ายเดียวกับกัวซวินอย่างเป็นทางการ ส่วนเรื่องที่ว่าแต่งบุตรีคนใดของหย่งผิงโหว คุณหนูสกุลหงผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร…ไม่สำคัญแม้แต่น้อย

ขอเพียงเป็นคนที่มีชีวิต ถูกเกี้ยวหามมายังจวนเจิ้นหย่วนโหวก็เพียงพอแล้ว

ฟู่ถิงโจวยอมรับว่าการทำเช่นนี้ไร้คุณธรรมอย่างมาก แต่โลกของผู้ใหญ่ก็คือความจริงอันอัปลักษณ์เช่นนี้เอง ฟู่ถิงโจวลูบหนังด้านบางๆ ตรงท้องนิ้วของหวังเหยียนชิงอย่างแผ่วเบาพลางพูด “หลายวันก่อนพรรคพวกฝ่ายหยางกลุ่มหนึ่งถูกองครักษ์เสื้อแพรลากตัวออกมาอีกแล้ว ฝ่าบาทดีพระทัยยิ่งนัก โปรดให้ลู่เหิงรั้งตำแหน่งผู้บัญชาการชั่วคราว ดูแลงานของกองเจิ้นฝู่ใต้* ลู่เหิงผู้นั้น…เหมือนสุนัขบ้าตัวหนึ่ง ไม่มีใครในราชสำนักที่เขาไม่กล้ากัด จะมีก็แต่อู่ติ้งโหวที่พอจะคานอำนาจกับเขาได้บ้าง บางครั้งเพื่อปกป้องจวนโหว เรื่องบางอย่างข้าก็จำเป็นต้องทำ ชิงชิง เจ้าเข้าใจหรือไม่”

หวังเหยียนชิงหัวใจหนาวเยือก นางรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้มิอาจเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว นางถูกทอดทิ้งโดยสิ้นเชิง

หญิงสาวนิ้วมือเย็นเฉียบ ผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงตอบเสียงค่อย “ข้าเข้าใจ”

ใบหน้าของฟู่ถิงโจวปรากฏรอยยิ้ม เขารู้อยู่แล้ว สายสนกลในของเรื่องนี้ท่านย่ามารดาไม่เข้าใจ สาวใช้ในเรือนไม่เข้าใจ กระทั่งตัวคุณหนูสามสกุลหงเองก็ไม่เข้าใจ แต่หวังเหยียนชิงจะต้องเข้าใจแน่นอน

ส่วนเรื่องที่นางจะยินยอมหรือไม่ ฟู่ถิงโจวไม่อยากขบคิดให้ลึกซึ้ง

พูดมาถึงขั้นนี้ไม่มีความจำเป็นต้องพูดถึงฐานะของหวังเหยียนชิงอีกแล้ว ฟู่ถิงโจวรู้ว่าตนเองผิดต่อนางจริง แต่เขาไม่กลัว จิตใต้สำนึกเขามั่นใจ ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใดนางก็อภัยให้เขาเสมอ และจะรอเขาอยู่ที่เดิมตลอดไป

หาไม่แล้วนางยังจะไปที่ใดได้อีกเล่า ในนครหลวงแห่งนี้นางรู้จักแค่เขา แต่คนภายนอกที่รู้จักนางกลับมีไม่น้อยเลย อย่างไรเสียนางก็มีรูปโฉมงดงามอย่างแท้จริง ออกจะดึงดูดผู้คนมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ

หลายปีมานี้มีคนสืบเรื่องของหวังเหยียนชิงไม่หยุด แต่ล้วนถูกฟู่ถิงโจวสกัดขัดขวาง ถึงขั้นมีคนหน้าหนาอาศัยเรื่องที่ชิงชิงเป็นน้องสาวบุญธรรมของเขาบอกว่าอยากเป็นน้องเขยเขา ตอนนั้นฟู่ถิงโจวฉุนจนหัวเราะออกมา ช่างไม่รู้จักประมาณตน เพ้อฝันเหลวไหล ชิงชิงหมั้นหมายหรือยังเกี่ยวอันใดกับพวกเขาด้วย

จะอย่างไรฟู่เยวี่ยก็รู้ใจหลานชายของตนเองดี ตั้งแต่อายุสิบขวบฟู่ถิงโจวก็เห็นหวังเหยียนชิงเป็นสมบัติของตนเองแล้ว นี่คือของขวัญวันเกิดที่ท่านปู่มอบให้เขา นางปรากฏตัวในอาณาเขตของเขาในวันที่เขาอารมณ์ไม่ดีมากที่สุด เช่นนั้นนางก็ต้องเป็นคนของเขาตลอดไป คนอื่นๆ ที่คิดจะยุ่งเกี่ยวนั้น…ฝันไปเถอะ

ฟู่ถิงโจวรู้สึกได้ว่าปลายนิ้วขาวเนียนดุจต้นหอมในฝ่ามือเขาเย็นเฉียบปานหิมะ ในใจรู้สึกรักถนอมนางอย่างมากถึงกับยอมผิดต่อหลักการของตนอย่างหาได้ยากและปลอบโยนนาง “ชิงชิง เจ้าวางใจ ไม่ว่าในจวนจะมีคนเพิ่มมาหนึ่งคนหรือลดไปหนึ่งคนล้วนไม่ส่งผลใดๆ ต่อฐานะของเจ้า เจ้าทำใจให้สบายเถอะ”

สำหรับทายาทตระกูลสูงศักดิ์อย่างฟู่ถิงโจวแล้ว ภรรยาคือภรรยา คนรักคือคนรัก เป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง หลังจากแต่งคุณหนูสามสกุลหงผู้นั้นเข้าจวนมาแล้ว เขาจะมอบฐานะฮูหยินท่านโหวอันทรงเกียรติให้กับนาง พบเจอปัญหาจะออกหน้าแทนนาง แต่หวังเหยียนชิงกลับไม่อยู่ในขอบเขตอำนาจของฮูหยินท่านโหว

เขาหวังว่าคุณหนูสามผู้นั้นคงไม่โง่งมถึงขั้นแตะต้องหวังเหยียนชิง เขาแค่ต้องการธงทางการเมืองผืนหนึ่ง หาได้อยากเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเองไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหวังเหยียนชิง

ครั้งนี้หวังเหยียนชิงมิได้ตอบอะไรอีก ฟู่ถิงโจวก็ไม่ร้อนใจ ชิงชิงเป็นคนฉลาด นางจะต้องขบคิดจนเข้าใจแน่ เนื่องจากเมื่อครู่เอ่ยถึงคนผู้หนึ่งทำให้ฟู่ถิงโจวจำต้องคิดถึงเรื่องกวนใจบางอย่าง สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาขณะพูด “หมู่นี้เจ้าระวังตัวให้มากหน่อย ไม่มีธุระใดอย่าออกจากจวนดีกว่า”

หวังเหยียนชิงรู้สึกได้ว่าอารมณ์ของชายหนุ่มเปลี่ยนไปจึงเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ”

ฟู่ถิงโจวแค่นหัวเราะ นัยน์ตาหม่นขรึม “ไม่มีอะไร แค่ไปข้องเกี่ยวกับสุนัขบ้าตัวหนึ่งเท่านั้น”

สามารถกระตุ้นอารมณ์ของฟู่ถิงโจวได้มากเช่นนี้ หวังเหยียนชิงคาดเดาได้อย่างรวดเร็ว นางถามเขา “องครักษ์เสื้อแพรหรือ”

ชายหนุ่มถอนหายใจพลางยอมรับ “เป็นลู่เหิงจากกองกำลังทักษิณพิทักษ์นคราพอดีเกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย ช่วงนี้เขาอาจจะมาหาเรื่องสกุลฟู่”

ที่แท้ก็องครักษ์เสื้อแพร หวังเหยียนชิงเผยสีหน้าเข้าใจ ไม่ซักไซ้อีก การนินทาองครักษ์เสื้อแพรไม่ใช่เรื่องที่ฉลาด หากมิใช่เพราะอยู่ในจวนเจิ้นหย่วนโหว ข้างกายล้วนเป็นคนใกล้ชิด ฟู่ถิงโจวก็ไม่มีทางพูดเรื่องพวกนี้ออกมา

ทั้งที่เป็นตระกูลแม่ทัพและขุนพลเหมือนกัน ทว่าผู้มีอำนาจราชศักดิ์กับองครักษ์เสื้อแพรกลับเป็นสองกลุ่มที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง กลุ่มของฟู่ถิงโจวเป็นทายาทขุนนางระดับสูง เกิดมาที่บ้านก็มีตำแหน่งฐานะอันสูงศักดิ์อยู่แล้ว บิดากับพี่ชายยังมีตำแหน่งในกองทัพ ส่วนใหญ่จึงรู้จักกันตั้งแต่เล็ก ส่วนองครักษ์เสื้อแพรดูแลการสืบสวนจับกุม พูดอีกอย่างคือมีหน้าที่นำความผิดของชนชั้นสูงและขุนนางฝ่ายพลเรือนไปทูลฟ้องฮ่องเต้ ที่ผ่านมาสองฝ่ายจึงเปรียบเหมือนน้ำกับไฟ

ชนชั้นสูงก็เป็นเช่นนี้เอง เด็กของสองบ้านอาจไม่รู้จักกัน แต่เกิดมาก็เป็นศัตรูกันแล้ว หลังจากนั้นก็เจ้าขุดหลุมพรางให้ข้า ข้าทำร้ายเจ้าโดยไม่ต้องถามไถ่ว่าเพราะอะไร ผู้มีอำนาจราชศักดิ์กับองครักษ์เสื้อแพรเป็นศัตรูคู่แค้นกันโดยกำเนิด หวังเหยียนชิงแม้ไม่เคยพบลู่เหิง แต่ชื่อนี้กลับเป็นที่โจษขานในนครหลวง ชาวบ้านอาจไม่สนใจว่าราชเลขาธิการเป็นใคร ท่านโหวเป็นใคร แต่ไม่มีทางไม่รู้จักองครักษ์เสื้อแพรแน่นอน

ปีนี้ลู่เหิงอายุยี่สิบสองก็กุมอำนาจที่แท้จริงของผู้บัญชาการแล้ว ช่างน่ากลัวโดยแท้ เขาไม่เหมือนทายาทสกุลสูงศักดิ์ที่เติบโตในนครหลวงอย่างฟู่ถิงโจว สกุลลู่เดิมทีเป็นองครักษ์เสื้อแพรที่สืบทอดตำแหน่งทางสายโลหิตอยู่ในเมืองอันลู่ ลู่เหิงนับเป็นรุ่นที่หก ในอันลู่จัดว่ามีอำนาจพอสมควร งานที่ต้องใช้ชีวิตสุ่มเสี่ยงอย่างองครักษ์เสื้อแพรสามารถสืบทอดมาได้ถึงหกรุ่นโดยไม่เกิดข้อผิดพลาด เห็นได้ว่าสวรรค์ลิขิตแล้วว่าสกุลลู่จะต้องมีผู้มีความสามารถ

ลู่เหิงก็คือผู้มีความสามารถที่รวมกาละฟ้า ชัยภูมิดิน และประชากรหนุน* ไว้ในคนคนเดียวกัน เนื่องจากฮ่องเต้เจิ้งเต๋อไร้ทายาท ซิงอ๋องจึงเดินทางมานครหลวงเพื่อขึ้นครองราชย์ ทำให้ลู่เหิงกลายเป็นคนที่โผทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในชั่วเวลาสั้นๆ

กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างลู่เหิงกับฮ่องเต้หรือก็คือซิงอ๋องเดิม ยังต้องเล่าย้อนไปถึงสมัยของอดีตฮ่องเต้เจิ้งเต๋อ ฮ่องเต้จยาจิ้งองค์ปัจจุบันนี้หาใช่ทายาทของฮ่องเต้พระองค์ก่อนไม่ แต่เป็นญาติผู้น้อง เนื่องจากฮ่องเต้เจิ้งเต๋อมิได้ทิ้งทายาทเอาไว้เลย ทั้งตนเองก็ไม่มีพี่น้องแท้ๆ ตำแหน่งฮ่องเต้จึงตกมาถึงจยาจิ้ง เดิมทีสกุลลู่ปกครองหน่วยทหารและฝึกทหารในอันลู่มาทุกรุ่น ภายหลังซิงเซี่ยนอ๋องบิดาของฮ่องเต้จยาจิ้งได้รับการอวยยศและส่งไปอยู่อันลู่ ลู่ซงบิดาของลู่เหิงจึงถูกย้ายไปเป็นองครักษ์ที่จวนซิงอ๋อง ฟ่านซื่อมารดาของลู่เหิงก็เข้าจวนอ๋องไปเป็นแม่นม บุคคลที่นางเลี้ยงดูก็คือซื่อจื่อในสมัยนั้น ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ด้วยความเกี่ยวข้องเช่นนี้เอง ลู่เหิงจึงเข้าออกจวนอ๋องตั้งแต่เล็ก เป็นสหายกับซื่อจื่อตั้งแต่เล็กจนโต ความสัมพันธ์เทียบได้กับฟู่ถิงโจวและหวังเหยียนชิง

ซิงเซี่ยนอ๋องป่วยตายตั้งแต่ยังหนุ่ม ยกตำแหน่งอ๋องให้กับซื่อจื่อ หลังจากนั้นสองปี ประหนึ่งขนมเปี๊ยะร่วงตกลงมาจากท้องฟ้า* ตำแหน่งฮ่องเต้ก็ตกมาอยู่กับซิงอ๋องผู้เยาว์วัย ซิงอ๋องเดินทางเข้านครหลวงกลายเป็นฮ่องเต้ ปีถัดมาเปลี่ยนชื่อรัชศกเป็นจยาจิ้ง สกุลลู่ติดตามมานครหลวงด้วย รับหน้าที่เป็นองครักษ์ใกล้ชิดของฮ่องเต้ บิดาของลู่เหิงความสามารถธรรมดาทั่วไป แต่ลู่เหิงกลับร้ายกาจ เขามานครหลวงตอนอายุสิบเอ็ด อายุสิบแปดสอบติดจิ้นซื่อ* ฝ่ายบู๊ ใช้เวลาสั้นๆ เพียงสี่ปีสร้างผลงานโดดเด่นหลายครั้ง ตำแหน่งขุนนางทะยานขึ้นไปโดยเร็ว ปีนี้เพิ่งอายุยี่สิบสองก็เหมือนกลายเป็นผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรที่แท้จริงแล้ว

อายุน้อยแต่รั้งตำแหน่งสูงยังไม่เท่าไร ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือฮ่องเต้เชื่อใจเขา

หากเขาหมายตาฟู่ถิงโจว นั่นย่อมเป็นเรื่องที่ยุ่งยากทีเดียว

คิดถึงลู่เหิงแล้วสีหน้าของฟู่ถิงโจวพลันเคร่งเครียด อารมณ์ดีหายวับไปกับตา ชายหนุ่มตบหลังมือหวังเหยียนชิง “ข้าเพียงแต่เตือนเจ้าเท่านั้น ความจริงมิได้มีอะไรร้ายแรง เจ้าไม่ต้องกังวลไป เจ้าไม่ได้ออกไปข้างนอกนานแล้ว อยากออกไปพักผ่อนหย่อนใจสักหน่อยหรือไม่”

หวังเหยียนชิงมองเขานิ่งๆ เมื่อครู่ฟู่ถิงโจวเพิ่งจะบอกว่า ‘ไม่มีธุระใดอย่าออกจากจวนดีกว่า’ ไม่ผิดจากที่คิด อึดใจต่อมาฟู่ถิงโจวก็พูดต่อ “วางใจ ครั้งนี้มีข้าไปด้วย มารดานัดคนไว้จะไปไหว้พระที่วัดต้าเจวี๋ยด้วยกัน ถือโอกาสนี้ถวายน้ำมันตะเกียงให้ท่านปู่ด้วย”

หวังเหยียนชิงฟังถึงคำสุดท้ายก็รู้แล้วว่านางมิอาจปฏิเสธได้ นางชะงักไปก่อนถาม “ฮูหยินผู้เฒ่านัดใครไว้หรือ”

หางคิ้วของฟู่ถิงโจวขยับหนึ่งที รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้างอย่างหาได้ยาก “จวนหย่งผิงโหว”

หัวใจของหวังเหยียนชิงเย็นเยียบทันใด ตั้งแต่ฟู่ถิงโจวเข้ามา นางก็รู้สึกเหมือนตนเองแช่อยู่ในทะเลสาบน้ำแข็งและจมดิ่งลงไปไม่หยุด บัดนี้นางถูกคนกดลงไปใต้น้ำ กระทั่งลมหายใจสุดท้ายก็กำลังจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว

ฟู่ถิงโจวหมายความว่าอย่างไร จะให้นางไปคำนับนายหญิงล่วงหน้า หรือว่าฮูหยินของหย่งผิงโหวไม่วางใจ จะกำราบอนุแทนบุตรสาว?

หวังเหยียนชิงนิ่งไปครู่หนึ่งพลันเม้มริมฝีปากยิ้มตอบ “พี่รอง ยากนักที่ท่านกับพี่สะใภ้จะได้พบกัน พวกท่านสามีภรรยาพบหน้า ข้าจะไปเกะกะขวางทางด้วยเหตุใดเล่า”

หวังเหยียนชิงยังพูดไม่จบก็รู้สึกได้ว่าข้อมือนางถูกบีบอย่างแรงหนึ่งที นางทำหน้าเย็นชา ไม่ร้องเจ็บ ทั้งมิได้ก้มหน้า

นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเหยียนชิงแสดงความไม่พอใจออกมาชัดเจนถึงเพียงนี้ ฟู่ถิงโจวถูกยั่วโทสะเช่นกัน เขาสะบัดแขนเสื้อลุกขึ้นยืน มองนางด้วยสายตาของผู้ที่เหนือกว่า เอ่ยโดยไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ “วันมะรืนไปไหว้พระ ชิงชิงอย่าได้ลืมล่ะ”

กล่าวจบเขาก็ไม่สนใจว่าแผลที่ข้อมือนางหนักหนาหรือไม่ หันกายเดินจากไป

เสียงฝีเท้าทรงพลังเป็นจังหวะลอยห่างออกไป เขาจมอยู่กับความโมโหถึงขั้นไม่ทันตระหนักว่าวันนั้นเป็นวันเกิดของนาง

หวังเหยียนชิงเบือนหน้าไปมองหิมะสีขาวนอกหน้าต่างที่ถูกย่ำเหยียบจนสกปรก น้ำตาพลันเก็บกลั้นไว้ไม่อยู่

ตอนท่านโหวจากไปเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจ หวังเหยียนชิงเองก็ไม่ได้เรียกคนเข้าไปเป็นเวลานาน เหล่าสาวใช้เงียบกริบ ไม่มีใครกล้าเข้าไปในห้อง ไม่รู้หวังเหยียนชิงนั่งนิ่งอยู่นานเพียงใด รอจนน้ำตาไหลจนหมดแล้ว ดวงตาเพ่งมองจนแสบ นางจึงลุกขึ้นเดินไปยังห้องที่กั้นแบ่งด้วยฉากบังตา

การฝึกยุทธ์หลายปีถึงอย่างไรก็มีประโยชน์ หวังเหยียนชิงเปิดหีบโดยไม่เกิดเสียงแม้แต่น้อย นางวางเสื้อผ้าและเงินก้อนเล็กลงในห่อสัมภาระอย่างสงบนิ่ง สงบจนกระทั่งตัวนางเองยังนึกกลัว

บางทีนางอาจจะซักซ้อมเรื่องทั้งหมดนี้ในหัวมาตั้งแต่แรกเริ่มจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ส่งผลให้ตอนนี้สามารถทำมันจนเสร็จสิ้นโดยไม่ต้องเสียเวลาใคร่ครวญ

ไม่ว่าจะพูดอย่างไรสกุลฟู่ก็มีบุญคุณต่อนาง หากไม่มีสกุลฟู่ นางก็ไม่มีทางได้เล่าเรียนและฝึกยุทธ์ บิดาช่วยชีวิตท่านโหวผู้เฒ่าไว้ ท่านโหวผู้เฒ่ามอบชีวิตที่สงบมั่นคงให้นางสิบปี เรื่องนี้สมควรยุติลงนานแล้ว ส่วนเรื่องที่นางชอบฟู่ถิงโจวกลับเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย บุรุษเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นในชีวิตนาง ทั้งแข็งแกร่งองอาจ เย็นชา และเปี่ยมด้วยความทะเยอทะยาน นางจะไม่ชอบเขาได้อย่างไรกัน ทว่าต่อให้นางชอบเขามากเพียงใดก็มิอาจยอมให้ตนเองเป็นอนุได้

ความรู้สึกระหว่างนางกับฟู่ถิงโจวเกิดขึ้นที่นี่และควรจบลงเพียงเท่านี้ ให้ทุกอย่างยุติลงในช่วงเวลาที่งดงามที่สุดเถอะ อย่างน้อยวันหน้าตอนแก่เฒ่ามองย้อนกลับมาจะได้พบว่าทุกคนยังคงอ่อนเยาว์และงดงามดังเดิม

หวังเหยียนชิงจัดสัมภาระและของใช้ส่วนตัวเรียบร้อย ตอนวางหนังสือผ่านทางและทะเบียนครัวเรือนลงไป นางก็เริ่มลังเล

ขอเพียงก้าวเท้าข้างนี้ออกไป นางก็ไม่อาจหันหลังกลับได้อีก วันเวลาที่นางอยู่ในนครหลวง ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับฟู่ถิงโจวตลอดสิบปีจะไม่มีวันหวนกลับมาอีก

นางไม่เสียใจภายหลัง แต่จนแล้วจนรอดก็รู้สึกไม่ยินยอม สาวใช้พูดถูก ในชีวิตของสตรีคนหนึ่งจะมีเวลาสิบปีสักกี่ครั้งเชียว นางทิ้งช่วงเวลาที่งดงามที่สุดของตนไว้ที่จวนเจิ้นหย่วนโหว บัดนี้แม้แต่โฉมหน้าของคู่ต่อสู้ยังไม่ได้เห็นก็จะหนีไปเสียแล้ว ออกจะขี้ขลาดเกินไปหน่อย

อย่างน้อยนางก็อยากเห็นว่าสตรีที่สามารถทำให้เขาหวั่นไหวได้ หน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่

หวังเหยียนชิงค่อยๆ ปล่อยมือ วางห่อสัมภาระที่จัดเรียบร้อยแล้วลงที่ก้นหีบ นางมิใช่คุณหนูในหอห้องที่มือไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะมัดไก่ นางรู้ดีว่าจะหนีออกจากนครหลวงโดยเทพไม่รู้ภูตไม่เห็นได้อย่างไร หากปรารถนาแม้กระทั่งตอนนี้นางก็สามารถทำได้เลย ทว่าในใจนางยังเหลือความอ่อนแอเสี้ยวสุดท้าย นางผ่อนปรนกับตนเอง คิดในใจว่าขอเพียงกลับจากวัดต้าเจวี๋ย ได้เห็นโฉมหน้าของว่าที่ภรรยาของเขาแล้ว…นางก็จะไป

ถือว่านี่เป็นการอำลานครหลวง บอกลาโลกของชนชั้นสูงอันเพริศแพร้วแห่งนี้เป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: