X
    Categories: ทดลองอ่านนางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้องมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้อง บทที่ 165-166

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 165 ไม่เต็มใจล่ะสิ

กู้เจาตงออกจากวังหลวงด้วยใบหน้าซีดเผือด ไม่ทันได้มองเสิ่นกุยเยี่ยนให้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ จากนั้นก็ตรงดิ่งไปที่จวนสกุลอวี่เหวิน

ระยะนี้อวี่เหวินโฮ่วเต๋อระหองระแหงกับหานเจียงเสวี่ยอีกแล้ว คงเพราะเหตุการณ์ผ่านมานานเขาจึงไม่รีบร้อนวิงวอนภรรยาเหมือนตอนแรกอีก ขนาดพากู้เจาตงออกไปดื่มสุรา อวี่เหวินโฮ่วเต๋อยังไม่บอกกล่าวฮูหยินของตน

กู้เจาตงเลือกสุราร้อนแรงมามอมอีกฝ่าย เรื่องใดสรรเสริญเยินยอได้ก็สรรเสริญเยินยอหมด เขารอจนอวี่เหวินโฮ่วเต๋อเมากรึ่มได้ที่ จึงค่อยถามเรื่องของเสิ่นกุยหย่า

“หากไม่เพราะนาง เสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่ทำกับข้าอย่างที่ทำอยู่หรอก” อีกฝ่ายระบายความอัดอั้น “พลาดพลั้งครั้งเดียวเสียใจจนวันตาย…ขออภัย ข้าไม่ควรพูดเรื่องแสลงใจใต้เท้าเลย”

กู้เจาตงหน้าเขียวแล้วเขียวอีก แต่ก็สะกดโทสะตอบกลับไป “ไม่เป็นไร ข้าไม่แสลงใจหรอก ขอเพียงท่านบอกความจริงมา ข้าก็จะไม่เอาเรื่องเอาราวท่าน”

สุราช่วยเสริมความกล้าให้คนขลาด อวี่เหวินโฮ่วเต๋อเล่าโดยไม่สนใจว่าคนตรงหน้าตำแหน่งราชการสูงกว่าตนมากนัก “ความจริงหรือ ความจริงก็คือหญิงผู้นั้นเปิดฝาโลงหนีไปน่ะสิ ทั้งตอนนี้ยังได้ดีมีตำแหน่งใหญ่โต ช่างเก่งกาจเสียจริงๆ แต่ว่านะใต้เท้า เวลานี้นางเป็นถึงธิดาเทพ ท่านจะเอาภรรยากลับคืนมาน่ะเป็นไปไม่ได้หรอก”

“เหตุใดถึงเป็นไปไม่ได้” กู้เจาตงถาม

คู่สนทนาแค่นเสียงหึๆ ขึ้นจมูก “นางถูกฮ่องเต้เชิดชูเป็นเทพไปแล้ว ซ้ำตอนนี้ยังมีคนหนุนหลัง ท่านวิ่งไปร้องบอกว่านางเป็นภรรยาท่าน ผู้อื่นมีแต่จะคิดว่าท่านเสียสติเท่านั้น ฮ่องเต้เองก็ทรงไม่มีทางยอมรับหรอก”

กล่าวได้ไม่ผิดเลย เช่นนั้นแล้วเหตุใดเยี่ยนเอ๋อร์ถึงยังเรียกหาเขาอีกเล่า

กู้เจาตงเหม่อมองรัตติกาลด้านนอก แล้วจมจ่อมอยู่ในความคิดอีกครั้ง

 

ฝ่ายกู้เจาเป่ยยุ่งอยู่กับงานในห้องทรงพระอักษรจนไม่มีแม้แต่เวลานอน เขาออกคำสั่งเรียกกองกำลังรักษาการณ์มณฑลข้างเคียงมาแล้ว ส่วนกองทหารรักษาการณ์เมืองหลวงและกองทหารรักษาพระองค์อยู่ภายใต้การควบคุมของสื่อฝาหลง ย่อมต้องถวายอารักขาราชวงศ์ด้วยเช่นกัน

ทว่าตอนนี้เขายังบอกไม่ได้ว่าพระอัยกาเหวินหวนกลับมาด้วยเรื่องใด หากคิดจะตีเมืองหลวง การป้องกันเพียงเท่านี้ของเขาไม่มีทางพอแน่ แต่หากอีกฝ่ายบอกว่าเพียงแค่ยกทัพกลับราชสำนัก แต่ให้ไพร่พลปลอมตัวเพื่อไม่ให้ราษฎรปริวิตก เขาที่จัดเตรียมกำลังพลรอไว้ก็ดูใจคอคับแคบไปถนัดตา

ที่น่าเป็นกังวลก็คืออำนาจของสกุลเหวินในราชสำนักยังไม่ได้ถูกถอนรากถอนโคนจนสิ้นซาก ตำหนักในยังมีหลานสาวของราชบัณฑิตฟู่ มีเวลาเพียงเล็กน้อย เขาจัดการปัญหามากมายเพียงนี้ไม่ไหว

ศีรษะปวดเหมือนจะร้าว ความเสเพลรักสนุกหายไปจากใบหน้า ฮ่องเต้ในยามนี้เหมือนสิงโตที่กำลังหงุดหงิดงุ่นง่าน ทำเอาเหล่าคนสนิทที่อยู่ตรงหน้าตัวสั่นงันงกไปตามๆ กัน

“ฝ่าบาท เสวยพระกระยาหารก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” จุยอวิ๋นเดินเข้ามาบอกเบาๆ “ทรงไม่ได้เสวยพระกระยาหารกลางวัน ถึงอย่างไรก็ต้องเสวยพระกระยาหารเย็นสักหน่อย”

“ผู้ใดจะยังมีอารมณ์กิน” แม้แต่จุยอวิ๋นก็ยังถูกตวาดใส่ “ไว้เราทำงานเสร็จเมื่อไรค่อยยกเข้ามา!”

จุยอวิ๋นกระแอมเบาๆ แล้วกลั้นใจตอบกลับไป “พระกระยาหารถาดนี้ทางตำหนักหย่งเหอส่งมาพ่ะย่ะค่ะ”

กู้เจาเป่ยผงะ

เหล่าคนสนิทที่อยู่ด้านล่างเงยหน้าขึ้นมองอย่างระมัดระวัง ก่อนพบว่ากลิ่นอายดุดันรอบตัวนายเหนือหัวเหมือนถูกเก็บกลับไปในชั่วพริบตา ฮ่องเต้หยิบช้อนขึ้นมาถือไว้ นิ่งเงียบอยู่สักพักก็กินโจ๊กในชามจนหมดโดยไม่พูดอะไรทั้งสิ้น

ตอนที่วางชามกลับลงบนถาดถึงเพิ่งเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งถูกทับไว้ข้างใต้

กู้เจาเป่ยเลิกคิ้วพลางหยิบกระดาษมาคลี่อ่าน

 

‘ฝ่าบาททรงอยู่ทัพหน้า หม่อมฉันหนาอยู่ทัพหลัง เสวยเติมกำลัง อย่าได้ทรงห่วงกังวล’

เมื่อได้เห็นสีหน้าของฮ่องเต้นุ่มนวลขึ้น จุยอวิ๋นถึงค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วให้สัญญาณพวกข้างล่างก้าวออกมาพูดต่อ

เยี่ยเวิ่นเต้าและคนสนิทคนอื่นๆ ที่เหลือล้วนฉงนสงสัยว่ากระดาษแผ่นนั้นเขียนว่าอย่างไร ถึงสามารถกำราบสิงโตตัวหนึ่งให้เชื่องลงได้ทันตา ทว่าฮ่องเต้ชิงเก็บกระดาษใส่แขนเสื้อเสียก่อน แล้วมองพวกเขาด้วยสีหน้าแช่มชื่น “จัดสรรกำลังพลในเมืองหลวงอย่างไรบ้าง”

ข้าอยู่ทัพหน้า นางอยู่ทัพหลัง เยี่ยนเอ๋อร์หมายความว่าจะช่วยข้าจัดการเรื่องที่เหลือใช่หรือไม่ แม้เขาคิดว่าวัดจากนิสัยนาง งานนี้คงเหนื่อยแรงอยู่สักหน่อย แต่ข้อความในกระดาษก็ยังทำให้เขาอารมณ์ดีอยู่นั่นเอง

อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ตัวคนเดียว

เสิ่นกุยเยี่ยนนิ่งสงบมาโดยตลอด เป็นสตรีฝ่ายในมานานปานนี้ยังไม่เคยโจมตีใครก่อน กู้เจาเป่ยจึงพลอยเห็นนางเป็น ‘ลูกแมวน้อย’ ไปโดยปริยาย

ปรากฏว่าสิ่งที่ลูกแมวน้อยนำมาวางบนโต๊ะทรงพระอักษรของเขาในวังรุ่งขึ้นคือหนังสือร้องเรียนของคนพันคน

“พระมาตุลาเหวินเป็นคนดีที่ทำเพื่อบ้านเมืองและราษฎร แต่กลับต้องมาตายอย่างไม่ควรตาย เหล่าบัณฑิตในเมืองหลวงจึงร่วมกันลงนามเพื่อคืนความเป็นธรรมให้เขาเพคะ” เสิ่นกุยเยี่ยนเอ่ยชัดเจนฉะฉานขณะมองสามี

ราชบัณฑิตฟู่ อัครเสนาบดีกู้ และขุนนางสำคัญคนอื่นก็อยู่ในห้องทรงพระอักษรด้วย พอได้ยินดังนั้นก็มีอาการตอบสนองไม่ต่างจากฮ่องเต้

เยี่ยนกุ้ยเฟยเสียสติไปแล้วกระมัง

พระมาตุลาเหวินเป็นคนประเภทใด ควบรถม้าใส่ผู้อพยพเพื่อความรื่นเริง รีดนาทาเร้นราษฎร ฉุดคร่าชำเราหญิงชาวบ้าน มีสิ่งใดบ้างไม่เคยทำ ท้องถนนอัดแน่นไปด้วยความคับแค้นของราษฎร ติดที่มีสกุลเหวินคอยปกป้อง คนในราชสำนักจึงไม่กล้าทำอะไร ตอนที่พระมาตุลาเหวินต้องทัณฑ์สวรรค์ยังมีคนปรบมือยินดีตั้งมากมาย

แต่บัดนี้เยี่ยนกุ้ยเฟยกลับบอกว่าราษฎรอยาก ‘คืนความเป็นธรรม’ ให้พระมาตุลาเหวิน?

กู้เจาเป่ยมองม้วนกระดาษหนาๆ สองม้วนในมือแล้วถามเสียงเครียด “พระมาตุลาเหวินตายเพราะต้องทัณฑ์สวรรค์ จะคืนความเป็นธรรมให้อย่างไร ชายารักอย่าได้กล่าวเหลวไหล”

“นี่หาใช่ความต้องการของหม่อมฉัน แต่เป็น ‘เจตนาของราษฎร’ เพคะ” เสิ่นกุยเยี่ยนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้ตอบอย่างจริงจัง “ไม่รู้ว่าข่าวลือในหมู่ราษฎรเริ่มมาจากที่ใด หาว่าธิดาเทพเป็นพวกหลอกลวง หลอกเอาความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาท เข่นฆ่าคนดีทั้งที่ไม่ควร พวกเขาวอนขอให้ฝ่าบาททรงประจักษ์โฉมหน้าที่แท้จริงของธิดาเทพในเร็ววันเพคะ”

ราชบัณฑิตฟู่ขมวดคิ้ว “พวกราษฎรโง่เขลาหรือจะเข้าใจอาณัติสวรรค์…”

“ท่านราชบัณฑิตฟู่ก็เห็นว่าพระมาตุลาเหวินสมควรต้องทัณฑ์สวรรค์เช่นกันหรือ” เสิ่นกุยเยี่ยนถาม

ทุกคนผงะแล้วพากันเงยหน้ามองขุนนางสูงวัย ราชบัณฑิตฟู่แทบกัดลิ้นตนเอง รีบโบกมือปฏิเสธแทบไม่ทัน “กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนั้น ปกติแล้วพระมาตุลาเหวินก็ดีกับผู้อื่นมากจริงๆ…”

“เช่นนั้นก็หมายความว่าท่านเห็นด้วยกับความคิดของราษฎรว่าทัณฑ์สวรรค์ไม่เที่ยงธรรม และมีโอกาสสูงอย่างยิ่งที่ธิดาเทพเป็นพวกลวงโลก?” เสิ่นกุยเยี่ยนยิ้มละไม “ท่านราชบัณฑิตฟู่หลักแหลมยิ่งแล้ว”

จะซ้ายหรือขวาก็ผิด ราชบัณฑิตฟู่เครียดจนหน้าเขียวคล้ำ พูดก็ไม่ได้ เงียบก็ไม่ได้อีก เมื่อครู่เขาไม่น่าเอ่ยประโยคนั้นออกมาเลย!

ในที่สุดกู้เจาเป่ยก็เข้าใจเจตนาของเสิ่นกุยเยี่ยนเสียที เขาอมยิ้มอยู่ในใจ แต่ภายนอกแสร้งทำหน้าเคร่งเครียด “ในเมื่อราษฎรลงนามถึงหนึ่งพันคนก็ควรตรวจสอบเรื่องนี้สักหน่อย ให้ท่านราชบัณฑิตฟู่จัดการก็แล้วกัน”

“ฝ่าบาท ช่วงนี้กระหม่อมไม่ว่างเลยพ่ะย่ะค่ะ” ราชบัณฑิตฟู่รีบส่ายหน้า “กระหม่อมยังต้องบูรณะคลังอักษร…”

“ไม่เป็นไร เรื่องนั้นให้ผู้อื่นทำแทนได้ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงพระมาตุลาเหวิน ต้องให้ผู้อาวุโสอย่างท่านออกหน้าเองเท่านั้นถึงจะเหมาะสม” กู้เจาเป่ยพูดอย่างจริงจัง “เราให้เวลาสามวัน ท่านต้องสืบข้อเท็จจริงให้กระจ่าง ส่วนธิดาเทพให้กักบริเวณไว้ในอารามทงเทียนก่อนก็แล้วกัน”

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” เสิ่นกุยเยี่ยนค้อมศีรษะคำนับ

เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งสองสามีภรรยาสบตากันอยู่ห่างๆ ต่างฝ่ายต่างรู้กันโดยที่เขามิได้เอ่ยวาจา นางเองก็ไม่ต้องพูดอะไรมาก

ไม่ว่าจะทางใดราชบัณฑิตฟู่ก็ลำบากใจทั้งสิ้น จะตรวจสอบธิดาเทพหรือ เวลานี้นางเป็นผู้ช่วยของพวกเขา แต่ครั้นจะบอกว่าพระมาตุลาเหวินสมควรตายถูกต้องแล้ว พระอัยกาเหวินจะได้เด็ดศีรษะเขาเป็นอันดับแรกที่กลับถึงเมืองหลวงปะไร

เหตุใดถึงต้องโยนปัญหายากเพียงนี้มาให้เขาด้วย

เสิ่นหานลู่ตระหนักได้ทันทีที่ถูกกักบริเวณว่าฮ่องเต้คิดจะจัดการตน นางรีบสั่งให้ซิ่วผิงเขียนใบปลิวหนึ่งพันใบโดยไม่รอช้า แล้วออกไปโปรยทั่วเมืองหลวงในตอนกลางคืน

ข้อความบนใบปลิวมีดังนี้

 

‘ฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์โดยไม่ชอบธรรม ฝ่าฝืนดำรัสสวรรค์ ปองร้ายธิดาเทพ ใต้หล้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ราษฎรประสบภัยพิบัติ แผ่นดินแห้งแล้ง แม้แต่หญ้าก็ไม่ขึ้นสักต้น’

 

หากบอกว่าเป็น ‘ดำรัสสวรรค์’ สู้บอกว่าเป็น ‘คำสาปแช่ง’ ยังตรงเสียกว่า คนทั่วไปกลัวคำสาปแช่งยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด มักเลือกเชื่อมากกว่าเลือกคิดว่าไม่มีจริง ตัวอย่างเช่นจดหมายลูกโซ่เขียนคำสาปแช่งในยุคปัจจุบัน หากไม่ส่งต่อจะต้องตายตกทั้งครอบครัว รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเรื่องหลอกลวง แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากส่งต่อ

ราษฎรในเวลานี้ก็มีความเชื่อเรื่องพวกนี้เช่นเดียวกัน ดังนั้นผ่านไปยังไม่ทันข้ามคืนข่าวก็สะพัดไปทั่ว ชาวบ้านร้านตลาดพากันมาล้อมปิดวังหลวงเอาไว้ บ้างถึงขั้นขู่ว่าจะก่อจลาจลด้วยซ้ำ

เสิ่นหานลู่แค่นหัวเราะอยู่ในอารามทงเทียน รอฮ่องเต้มารับตนออกไปปลอบประโลมความเดือดดาลของราษฎรให้สงบลง

ทว่าคนที่มาหานางไม่ใช่กู้เจาเป่ย กลับเป็นเสิ่นกุยเยี่ยน

“น้องห้า กลับบ้านได้แล้วล่ะ” นั่นคือสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาขณะมองหน้านาง

เสิ่นหานลู่ตะลึงพรึงเพริดเสียไม่มีดี นางเปลี่ยนชื่อ ใช้ชีวิตเป็นตัวของตนเองมานานจนลืมไปแล้วว่าในยุคนี้ตนมีนามว่า ‘เสิ่นกุยหย่า’ เป็นน้องห้าของเสิ่นกุยเยี่ยน

คำเรียกขานดังกล่าวทำให้ความหลังแต่ก่อนเก่าโถมถั่งมาบีบคอนางไว้แน่นจนนางหายใจไม่ออก

“สะใภ้ใหญ่ เปลี่ยนเสื้อผ้าเถิดเจ้าค่ะ” เป่าซั่นแค่นหัวเราะ แล้วสั่งให้องครักษ์คุมตัวซิ่วผิงที่อยู่อีกทางเอาไว้ แล้วถอดเสื้อคลุมของเสิ่นกุยหย่าออก และสวมชุดสำหรับศพให้แทน

“เจ้าคิดจะทำอะไร” เสิ่นกุยหย่าเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก มองเสิ่นกุยเยี่ยนที่ยืนอุ้มท้องอยู่ตรงหน้า “ข้าอุตส่าห์ไม่ยุ่งกับเจ้าแล้ว เหตุใดยังต้องตามมาเล่นงานข้าอีก”

เสิ่นกุยเยี่ยนโบกมือทีหนึ่ง เพียงเท่านั้นนางก็ถูกอุดปากไว้

“เหตุใดน่ะหรือ” เสิ่นกุยเยี่ยนมองอีกฝ่าย “เพราะเจ้าคิดจะเล่นงานแผ่นดินของสามีข้าน่ะสิ”

เสิ่นกุยหย่าพูดไม่ได้แล้ว ทว่านัยน์ตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น นางสตรีไม่ได้ตายดีผู้นี้กล้ามาจับนางทั้งที่ไม่มีหลักฐาน ตอนนี้นางเป็นถึงธิดาเทพของราชสำนัก มีพระอัยกาเหวินหนุนหลังเชียวนะ!

ราชบัณฑิตฟู่เดินตามเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าลังเล กระนั้นก็ยังประกาศพระราชโองการในมือ “เสิ่นซื่อนามกุยหย่าแกล้งตายตบตาสกุลกู้เพื่อหนีโทษจับใส่ตะกร้อขังหมูถ่วงน้ำ ต่อมายังหลอกลวงเหวินไทเฮา ปิดบังเบื้องสูงเข้าไปอยู่ในวังหลวง เวลานี้ยังอ้างตนเป็นเทพเซียนเข่นฆ่าขุนนางดีในราชสำนัก ใช้ทัณฑ์สวรรค์บังหน้า สังหารพระมาตุลาเหวินและเหล่าขุนนางผู้มีคุณธรรม จนเราสูญเสียกำลังสำคัญประดุจแขนซ้ายขวา บัดนี้ราษฎรนับพันพากันลงนามขอให้กำจัดปีศาจร้าย ให้เสิ่นซื่อนามกุยหย่ากลับคืนสู่หลุมฝังศพตนเสีย เราเองก็ยอมรับผิดที่มองคนไม่ขาด ยินดีถือศีลกินเจหนึ่งเดือนเพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณเหล่าขุนนางดีบนสวรรค์”

นัยน์ตาของเสิ่นกุยหย่าหดเกร็ง มองพระราชโองการฉบับนั้นอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง

ข้าปิดบังเบื้องสูง? ข้าตบตาหลอกลวง? จริงอยู่ว่าตอนแรกเริ่มนางมีความคิดนี้ แต่ภายหลังฮ่องเต้เป็นฝ่ายใช้ประโยชน์จากนางต่างหาก!

แต่บัดนี้เขากลับ…แว้งกัดนาง!

ร้ายนักนะกู้เจาเป่ย น่ากลัวว่าเขาคงคิดเตรียมไว้ตั้งแต่แต่งตั้งนางเป็นธิดาเทพแล้ว เขาอยากฆ่าใครและพอจะฆ่าใครได้ก็ฆ่าทิ้งจนหมด จากนั้นก็โยนความผิดทุกอย่างให้นาง ตัวเขาเองเพียงบอกว่าหลงเชื่อคำโกหกของนางก็ลอยตัวพ้นผิดได้โดยสมบูรณ์!

เหตุใดข้าถึงยอมเชื่อเขาได้นะ!

เนื่องจากถูกอุดปากไว้ ส่งเสียงไม่ได้ เสิ่นกุยหย่าจึงได้แต่ถลึงตาจนเห็นเส้นเลือดแดงก่ำ มองเสิ่นกุยเยี่ยนอย่างเจ็บแค้น

ราชบัณฑิตฟู่ก็แค่ไปตามน้ำ จากนี้ไม่มีธิดาเทพก็ไม่มีไปเถิด ดีกว่าเขาไปฝากแค้นให้พระอัยกาเหวินแล้วกัน

“ไม่เต็มใจหรือ” เสิ่นกุยเยี่ยนที่ยืนอยู่ตรงหน้าถามเบาๆ

“อื๊อๆ!” เสิ่นกุยหย่าไม่อาจส่งเสียงพูด อยากจะเอาศีรษะกระแทกท้องอีกฝ่ายก็ถูกเป่าซั่นสั่งให้คนจับมัดไว้กับเสาเสียก่อน

บทที่ 166 นี่คือสิ่งสุดท้ายที่หม่อมฉันสามารถทำถวาย

“ถึงอย่างไรนางก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้า ข้ามีเรื่องอยากพูดกับนาง ท่านราชบัณฑิตฟู่ช่วยให้ความสะดวกได้หรือไม่” เสิ่นกุยเยี่ยนถาม

ราชบัณฑิตฟู่พยักหน้ารับแล้วนำคนทั้งหมดออกไป เหลือทิ้งไว้เพียงเป่าซั่นคนเดียว

เสิ่นกุยหย่าที่ถูกมัดติดกับเสาพยายามดิ้นอย่างไรก็ไม่เป็นผลแม้แต่น้อย ตอนแรกนางยังจ้องเสิ่นกุยเยี่ยนอย่างเคียดแค้น แต่พอเห็นประตูห้องปิดลงจากข้างนอก ความหวาดกลัวก็ฉายขึ้นในดวงตาแทน

“กลัวหรือ” เสิ่นกุยเยี่ยนที่นั่งห่างออกไปตรงหน้าไม่ไกลหัวเราะเบาๆ “น้องห้ายังจำเรื่องตอนเด็กได้มากน้อยเพียงใด ตอนที่จับฉินอี๋เหนียงโยนลงสระบัวกลางดึก น้องห้าได้กลัวบ้างหรือไม่”

เสิ่นกุยหย่าส่ายหน้ายิก ข้าไม่ได้ทำนะ คนลงมือคือเจ้าของร่างเดิมต่างหาก ข้าไม่ได้อยากทำเสียหน่อย

“ไม่กลัวหรือ นั่นสินะ” เสิ่นกุยเยี่ยนพยักหน้า “กระทั่งวางยาพิษฆ่าฉินอี๋เหนียงเจ้ายังกล้าเลยมิใช่หรือ นับประสาอะไรกับจับคนโยนลงสระบัว”

ไม่ เสิ่นกุยหย่ายังคงส่ายหน้า อยากบอกเหลือเกินว่าคนที่วางยาพิษฆ่าฉินอี๋เหนียงไม่ใช่ตน ตนเพียงเสนอความเห็น พูดออกไปเพียงคำเดียว ใครจะไปรู้ว่าเสิ่นฮูหยินจะทำจริง

ทว่าปากถูกอุดไว้อยู่ นางพูดอะไรไม่ได้ทั้งนั้น

“เจ้ามักคิดว่าตนเองไม่ผิด มีแต่ผู้อื่นที่ผิด” เสิ่นกุยเยี่ยนหัวเราะเบาๆ “ดังนั้นเจ้าย่อมต้องไม่รู้แน่ว่าเหตุใดตนเองถึงได้มีจุดจบเช่นวันนี้”

ความจริงหากเสิ่นกุยหย่าตั้งใจเล่นละครตามกู้เจาเป่ยให้ดีจุดจบก็คงไม่เลวร้ายถึงขั้นนี้ แต่นี่นางเปลี่ยนฝ่ายกลางคัน มิหนำซ้ำยังทุ่มหมดหน้าตัก หมายจะใช้เสียงจากราษฎรคุกคามฮ่องเต้

ไม่มีฮ่องเต้คนใดยอมปล่อยให้ผู้ที่เป็นภัยคุกคามต่ออำนาจการปกครองของตนมีชีวิตอยู่ต่อ เสิ่นกุยหย่าผิดที่โง่เขลาเกินไป ไม่เท่าทันจิตใจมนุษย์ สูญเสียจุดยืนเพื่อผลประโยชน์เพียงชั่วครั้งคราว

ที่จริงช่วงแรกเสิ่นกุยเยี่ยนยังนึกเลื่อมใสน้องสาวผู้นี้อย่างล้นเหลือ ไม่ว่าจะด้วยโชคชะตาหรืออะไรก็ตามแต่ อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยังกล้าแกล้งตายหลังคบชู้ แล้วเข้าไปอยู่ในหอเงาบุปผาเมามัว กลายเป็นชายารองของรัชทายาท ค่อยๆ ไต่เต้าทีละก้าวจนได้เป็นชายาของฮ่องเต้

หากกู้เจาเป่ยโง่เขลาสักนิด ทนความเย้ายวนไม่ได้สักหน่อย ป่านนี้เสิ่นกุยหย่าคงประสบความสำเร็จไปแล้ว แม้แต่จะขึ้นไปนั่งบัลลังก์ฮองเฮาก็ไม่ใช่เรื่องยาก

ดีที่สามีของนางเก่งกาจเลิศล้ำ

ความเดือดดาลยังลุกโชนอยู่ในดวงตาเสิ่นกุยหย่าอย่างยากจะลบเลือน หัวใจไร้ความสงบเยือกเย็น นางเยือกเย็นไม่ไหวจริงๆ มีแต่คนพูดกันว่าอยากได้ก็ต้องแย่งชิงไม่ใช่หรือ ข้าแย่งชิงแล้ว เหตุใดถึงได้มีจุดจบเช่นนี้เล่า

“เกิดใหม่ชาติหน้าขอให้จดจำไว้ให้ดี ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ต้องพกมโนธรรมประจำใจไปด้วยเสมอ” เสิ่นกุยเยี่ยนบอกเรียบๆ พลางมองอีกฝ่ายดิ้นขลุกขลัก “คนเราแย่งชิงสิ่งที่ปรารถนาได้ แต่หากใช้วิธีไม่ถูกไม่ควร ใจคอคิดคด ดวงชะตาก็จะตกอย่างหนัก ตกเสียจนไม่ได้พบจุดจบที่ดีเช่นเจ้าในตอนนี้”

เสิ่นกุยหย่าสะท้านน้อยๆ

ข้ากำลังจะตายแล้วหรือ นางเอกทะลุมิติไม่มีทางตายไม่ใช่หรือไร แล้วเหตุใดข้าถึงจะตายได้เล่า

เป่าซั่นเหยียดยิ้มพลางหยิบท่อนไม้จากด้านหนึ่งก้าวย่างเข้ามาหา เสิ่นกุยหย่าเบิกตากว้างพลางส่ายหน้ายิกๆ อยากร้องขอความช่วยเหลือยิ่งนัก แต่ไม่ว่านางจะกระเสือกกระสนดิ้นรนเพียงใด ผ้าที่ยัดอุดปากก็ยังแน่นหนาเหมือนเก่า

นี่เป็นครั้งแรกที่เสิ่นกุยหย่าได้เข้าใกล้ความตายมากที่สุด นางตระหนกเสียจนแทบปัสสาวะราด เสิ่นกุยเยี่ยนเหมือนจงใจทรมานนางเล่นถึงได้ให้เป่าซั่นลงมือ ท่อนไม้ฟาดผัวะลงบนท้ายทอย เจ็บเจียนตายอย่างเดียวไม่พอ ยังได้ยินเป่าซั่นบอกว่า

“พระชายา หม่อมฉันตีพลาดเป้าไปหน่อยเพคะ”

เสิ่นกุยเยี่ยนบอกเรียบๆ “ตีอีกครั้งสิ”

“เพคะ”

นางเหมือนปลาในตลาดที่กำลังจะถูกฆ่า แรกสุดต้องทุบหัวให้สลบก่อน ทีเดียวไม่สลบก็ทุบซ้ำ เสิ่นกุยหย่าไม่เคยนึกเสียใจเท่านี้มาก่อน ใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันดีๆ อยู่แล้ว เหตุใดต้องทะลุมิติมาที่นี่ด้วย

ทะลุมิติยังไม่เท่าไร เหตุใดต้องมาเจอพวกคนโรคจิตที่ไม่รู้จักความโรแมนติก ทั้งยังไม่ได้ปลดล็อกสกินทอง นอนนับเงินสวยๆ ท่ามกลางชายหนุ่มรูปงาม

นิทานมีแต่เรื่องหลอกเด็กจริงๆ!

ด้านหลังศีรษะเจ็บหนึบ ในที่สุดภาพตรงหน้าก็ดับวูบ เสิ่นกุยหย่าคิดกับตนเอง ความจริงตายไปเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่แน่อาจยังสามารถย้อนคืนกลับไปใช้ชีวิตเที่ยวเตร่ตามผับบาร์ต่อได้

ทว่าหลังความมืดมิดอันยาวนานผ่านพ้น เมื่อนางลืมตาขึ้นอีกครั้งก็ได้พบกับ…ความมืดมิดดังเดิม

รอบตัวเหมือนทำจากไม้ เล็กแคบพอบรรจุนางเพียงคนเดียวเท่านั้น พอลองมองไปรอบๆ ก็พบว่าด้านศีรษะมีรูใหญ่ขนาดฝ่ามือ พอให้เห็นแสงสว่างด้านนอกได้รำไร มีหมั่นโถวกับน้ำวางไว้ให้นางตรงปากรู

บางทีนางอาจอยู่ระหว่างทางย้อนมิติกลับไปก็ได้ เสิ่นกุยหย่าคิดพลางลูบศีรษะที่เจ็บระบมของตน แล้วตัดสินใจพลิกตัวตะแคงหลับต่อ

เสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังออกมาอีกครั้งจากหลุมฝังศพเสิ่นซื่อ ภรรยาเอกของกู้เจาตง ภายในสุสานบรรพชนสกุลกู้

“ทุกๆ สองสามวันคนเฝ้าสุสานจะนำน้ำกับของกินมาให้นางเพคะ พระชายาไม่ต้องทรงกังวล” เป่าซั่นรายงานพลางก้าวเดิน “ฝ่าบาททรงประกาศกับราษฎรทั้งแผ่นดินแล้วว่านางถูกประหารชีวิต”

เสิ่นกุยเยี่ยนที่ย่างเท้าช้าๆ ได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า “ดี”

แม้เสิ่นกุยหย่าจะก่อกรรมทำเข็ญมามาก สมควรฆ่าทิ้งเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว แต่ไม่มีสิ่งใดง่ายดายเช่นนั้น ตราบใดที่ความแค้นของฉินอี๋เหนียงยังไม่ได้สะสาง นางไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายตายไปก่อนแน่

ไม่ว่าบัดนี้เจ้าตัวจะเป็นเสิ่นกุยหย่าหรือเสิ่นหานลู่ก็ล้วนแต่เป็นคนที่ตายไปแล้วทั้งสิ้น สกุลเสิ่นปกป้องไม่ไหว สกุลกู้ไม่มีทางปกป้อง รอให้เรื่องวุ่นวายช่วงนี้สิ้นสุดลงก่อนเถิด นางจะค่อยๆ ชำระบัญชีหนี้แค้นด้วยอย่างใจเย็น

นางไม่ใจกว้างแม้แต่น้อย ใครติดค้างนางเท่าไร อย่าได้คิดว่าเวลาล่วงผ่านแล้วจะจบกัน นางจะค่อยๆ เอาคืนตั้งแต่ต้นจนจบอย่างถ้วนถี่ ไม่ให้ตกหล่นแม้แต่กระผีกเดียว

 

เรื่องธิดาเทพสร้างแรงกระเพื่อมขึ้นในเมืองหลวง โชคดีว่าราชครูยังอยู่และได้กลับเข้าประจำตำแหน่ง เปิดหอบูชาฟ้าทำพิธีอีกครา หลังฝนฤดูร้อนตกลงมาระลอกหนึ่งก็ประกาศว่าได้ขจัดปัดเป่าความชั่วร้ายทั้งหมดออกไปแล้ว ตอนแรกราษฎรยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จวบจนผ่านไปหลายวันก็ยังไม่เกิดเหตุร้ายแรงใดๆ ขึ้นในเมืองหลวง ข่าวลือถึงค่อยซาลงเป็นลำดับ

เมื่อไร้การชี้นำของธิดาเทพ คำกล่าวที่ว่าฟู่กุ้ยผินเป็นผู้ที่สวรรค์เลือกจึงไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไป ฟู่โหย่วอี๋ร้อนใจเป็นกำลัง ใช้เวลาไม่นานก็ได้ธารเหลืองสลายมาไว้ในมือ แล้วส่งต่อไปให้หวาผินทั้งหมด

“เยี่ยนกุ้ยเฟยผยองหนักขึ้นทุกที ต้องฝากความหวังไว้ที่พี่หญิงแล้ว” ฟู่กุ้ยผินกล่าวอย่างจริงใจ

หวาผินพยักหน้า รับยาพิษมาด้วยรอยยิ้มบนเรียวปาก จากนั้นหมุนตัวเดินออกไปตำหนักหย่งเหอ

“หวาผิน เวลานี้ฝ่าบาทกำลังเสวยชาอยู่ในตำหนักหย่งเหอ” หงจือท้วงเบาๆ “จะไปตอนนี้หรือเจ้าคะ”

ผู้เป็นนายพยักหน้า “หากไม่ไปตอนนี้ยังต้องรอจนถึงเมื่อไร”

“แต่…” หงจือมองแขนเสื้อข้างที่ใส่ธารเหลืองสลายเอาไว้ของนางอย่างวิตก จะไปวางยาพิษเยี่ยนกุ้ยเฟยมิใช่หรือ เจ้านายไม่เตรียมการสักหน่อยหรือไร ปุบปับก็ไปมือเปล่า ซ้ำยังไปตอนที่ฮ่องเต้อยู่ด้วยพอดี จะอันตรายเกินไปแล้ว

หวาผินไม่สนใจนางกำนัล ยังคงเดินผ่านตำหนักอันงามหรูต่างๆ ทีละก้าวอย่างมั่นคง

เพราะถูกขายเข้าหอคณิกาแต่เด็ก สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของนางจึงฉับไวเป็นพิเศษ อยากมีชีวิตที่ดีก็ต้องข้ามศีรษะคนเหล่านั้นไปให้ได้ บรรดาคุณหนูตระกูลใหญ่ไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกนี้เป็นอันขาด

นางอยากมีอำนาจล้นฟ้า อยากมีเงินมากมายก่ายกอง อยากให้แผ่นดินนี้ไม่มีผู้ใดกล้าหมิ่นแคลนนางอีกแม้แต่คนเดียว

ทว่านางถูกความหรูหรามั่งคั่งนี้บังตาให้พร่าเลือนเสียได้ ไป๋หูตาย สุ่ยเซียนตาย ชิงผินตาย เจียงผินก็ตายไปแล้วเช่นกัน ตำหนักในแห่งนี้ช่างน่ากลัวโดยแท้ เพื่อให้ได้มาซึ่งความรักใคร่จากบุรุษผู้เดียวหรือเพื่อครอบครองบัลลังก์หงส์ นางยอมเปลี่ยนตนเองจากไป่เหอผู้เคยหลงรักกู้เจาเป่ยอย่างบริสุทธิ์ใจมาเป็นหวาเฟยผู้สองมือเปื้อนเลือด

จวบจนบัดนี้เมื่อฮ่องเต้ไม่ยอมชายตามองนางอีกต่อไปแล้ว นางถึงเพิ่งตระหนักว่าที่แท้ตำหนักในก็น่าเบื่อหน่ายถึงเพียงนี้ นางเคยคิดว่าตนเองสามารถเดินเข้าไปในหัวใจของกู้เจาเป่ย แต่เท่าที่มองจากตอนนี้หัวใจของเขาไม่เคยมีที่ว่างสำหรับคนที่สอง

นางเข้าวังหลวงเพื่อกู้เจาเป่ย นี่ต่างหากเล่าความตั้งใจแรกเริ่มของนาง

เพิ่งจะมานึกออกตอนนี้เอง…

“พระชายา หวาผินขอเข้าเฝ้าเพคะ” เป่าซั่นเข้ามารายงานด้วยสีหน้าแปลกๆ

เสิ่นกุยเยี่ยนกำลังเล่าเรื่องเสิ่นกุยหย่าให้กู้เจาเป่ยฟัง พอได้ยินดังนั้นกู้เจาเป่ยก็ขมวดคิ้ว “ไม่อนุญาต”

เป่าซั่นผงะก่อนจะหันไปมองเจ้านายตนเอง

เสิ่นกุยเยี่ยนเม้มปาก “ฝ่าบาท หวาผินมาขอเข้าเฝ้าเวลานี้อาจมีเรื่องสำคัญก็ได้นะเพคะ ทรงฟังนางก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด”

ฮ่องเต้เริ่มหน้าบึ้ง หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่งก็สั่งว่า “เบิกตัว”

“เพคะ” เป่าซั่นรีบออกไปเชิญหวาผินเข้ามา

“หม่อมฉันมีเรื่องจะกราบทูลฝ่าบาทเพคะ” หวาผินทรุดตัวลงคุกเข่าด้วยสีหน้าเรียบเฉย

เสิ่นกุยเยี่ยนชะงัก หวาผินดูต่างออกไปจากทุกที คนที่เคยพูดจามีลูกล่อลูกชน วาจาดีเยี่ยม มาวันนี้กลับเอ่ยออกมาแบบขวานผ่าซากเสียอย่างนั้น

กู้เจาเป่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์ “ที่นี่คือตำหนักหย่งเหอ ตำหนักของเยี่ยนกุ้ยเฟย เจ้าจะให้นางหลบออกไปหรืออย่างไร”

ฝ่ายนั้นพยักหน้า “เพคะ สิ่งที่หม่อมฉันจะทูลมีเพียงฝ่าบาททรงฟังได้พระองค์เดียว”

ฮ่องเต้ร้องหึ กำลังจะขยับปากตำหนิ เสิ่นกุยเยี่ยนก็ลุกขึ้นเสียก่อน “หม่อมฉันกำลังอยากออกไปเดินผ่อนคลายร่างกายพอดี เป่าซั่น มาช่วยประคองสักหน่อย”

เจ้าของชื่อรับคำสั่ง ช่วยประคองเจ้านายตนเอง

“ฝ่าบาททรงสนทนากับหวาผินตามสบายนะเพคะ” เสิ่นกุยเยี่ยนบอกไว้ก่อนเดินออกไปข้างนอก

ประตูตำหนักใหญ่ปิดลง ความขุ่นมัวทำให้กู้เจาเป่ยไม่ยอมมองหวาผิน สายตาเอาแต่มองนาฬิกาทรายที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าอยากพูดเรื่องใด”

อีกฝ่ายคุกเข่าอย่างสำรวมอยู่ตรงหน้าเขา แล้วโขกศีรษะอย่างแรงสามครั้ง

กู้เจาเป่ยผงะไปเล็กน้อย

“นี่คือหนังสือสัญญาที่ฟู่กุ้ยผินทำขึ้นกับหม่อมฉัน และเขียนขึ้นเองกับมือเพคะ” หวาผินกล่าว “อาศัยหลักฐานชิ้นนี้กับผงธารเหลืองสลายที่อยู่ในแขนเสื้อหม่อมฉัน ฝ่าบาททรงสามารถประหารชีวิตฟู่กุ้ยผิน และอาจถึงขั้นเอาผิดสกุลฟู่ในโทษฐานมีส่วนเกี่ยวข้องได้ด้วย”

ในที่สุดฮ่องเต้ก็หันมามอง

เขารับหนังสือสัญญามาอ่านแล้วสะดุ้งวาบในใจเมื่อเห็นข้อความบนนั้น

 

‘ฟู่ซื่อนามโหย่วอี๋ยินดีทำสัญญาว่าจะตอบแทนหากหวาผินไป่เหอช่วยให้ตนได้เป็นฮองเฮาสำเร็จ หากหวาผินสามารถใช้ยาพิษธารเหลืองสลายกำจัดบุตรในครรภ์เยี่ยนกุ้ยเฟย วันที่ฟู่ซื่อได้ขึ้นเป็นฮองเฮาคือวันที่หวาผินจะได้เป็นเฟย ขอให้สัญญาฉบับนี้ยึดโยงชีวิตของทั้งสองฝ่ายไว้ อย่าได้คืนคำภายหลังเป็นอันขาด’

 

ด้านล่างประทับตราประจำตัวและลายนิ้วมือของฟู่โหย่วอี๋เอาไว้

เขาหรี่ตามองหนังสือสัญญา จากนั้นก็แค่นหัวเราะ “พอฝ่ายในมีสตรีมากเข้าหน่อยก็หาอะไรทำกันไม่ได้ใช่หรือไม่ ถึงได้เอาแต่จ้องจะเล่นงานบุตรและภรรยาของเราเช่นนี้”

หวาผินโขกศีรษะ “หลักฐานความผิดอยู่ในพระหัตถ์แล้ว หม่อมฉันยินดีขึ้นศาลเป็นพยานยืนยันแผนร้ายของฟู่กุ้ยผินเพคะ”

ปลายนิ้วของกู้เจาเป่ยบีบแน่นขึ้นเล็กน้อย แล้วก้มหน้าลงมองนาง “หากเจ้าขึ้นศาลเป็นพยาน เจ้าก็จะถูกประหารชีวิตด้วย เพราะสัญญาฉบับนี้มีชื่อเจ้าเช่นกัน”

“หม่อมฉันทราบเพคะ” หวาผิน…หรือก็คือไป่เหอเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วคลี่ยิ้มบางๆ “นับตั้งแต่ล่อลวงให้ฟู่กุ้ยผินเขียนสัญญาฉบับนี้ หม่อมฉันก็ทราบอยู่แล้วว่าตนเองจะไม่มีจุดจบที่ดีเช่นกัน นี่เป็นโทษทัณฑ์ที่หม่อมฉันสมควรรับ และเป็น…สิ่งสุดท้ายที่หม่อมฉันทำถวายฝ่าบาทได้”

นางฆ่าคนมามาก ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม สร้างความปั่นป่วนขึ้นในตำหนักในแห่งนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ฮ่องเต้อาจไม่รู้โดยละเอียดว่านางทำอะไรบ้าง หาไม่ตอนนี้คงไม่มองนางด้วยแววตาเวทนาสงสารอย่างที่ทำอยู่

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: