X
    Categories: everYทดลองอ่านผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก

ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 1 บทที่ 3-4 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 1 

ผู้เขียน : 裴笛 (Pei Di)

แปลโดย : qMondae

ผลงานเรื่อง : 超糊的我竟是冥界顶流 [ 娱乐圈 ]

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การบูลลี่

การกล่าวถึงเลือด งู และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 3

 

ผู้คนราวร้อยคนด้านล่างเวทีจับจองที่นั่งกันเต็มพื้นที่ ครั้นพวกเขาเห็นฉยงเหรินก้าวออกมา เสียงร้องเชียร์ก็ปะทุขึ้นราวกับคลื่นที่โหมกระหน่ำมากระทบฝั่ง

ดังสะเทือนจนไอดอลตัวเล็กๆ ที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อนถึงกับมึนหัวตาพร่า

คนเหล่านั้นต่างก็เป็นแฟนคลับของเขาทั้งหมดเลยจริงๆ เหรอ คิดแบบนี้จะโลภเกินไปหรือเปล่า…

เสียงดนตรีบรรเลงดังขึ้นมา…‘นักล่าแสง’

เพลงที่สั้นที่สุดในบรรดาเพลงทั้งหมดของเขา แล้วก็เป็นเพลงเดบิวต์ของเขาด้วยเช่นกัน

มันเป็นเพลงที่เขาซ้อมอยู่ในห้องซ้อมมากกว่าพันครั้ง

จัดการกับอารมณ์ของเพลงยังไง หายใจตอนเต้นยังไง จะควบคุมคุณภาพการแสดงและสีหน้าในช่วงที่ต้องเต้นท่าหนักๆ ยังไง

ทุกรายละเอียดล้วนสลักลึกเข้าไปในสัญชาตญาณของฉยงเหริน

ทุกอย่างนี้ทำให้เขายังคงสามารถรักษาคุณภาพการแสดงที่เข้าใกล้คำว่าสมบูรณ์แบบไว้ได้แม้จะเจอกับสิ่งที่ทำให้ตะลึง

ผู้ชมล่างเวทีราวกับนักแสดงที่จ้างมาในราคาสูง ภายใต้อินเอียร์ฉยงเหรินยังคงได้ยินเสียงเชียร์สนับสนุนอย่างพร้อมเพรียงของเหล่าผู้ชมอยู่เลย

 

“เพียงผู้คว้าแสงจะมองเห็นแสง woo~”

[woo~]

“Save me. Save me. Sa, Sa, Save me, eiei~”

[Sa, Sa, Save me, eiei~]

“ฉันไม่อยากลังเลอีก woo~”

[woo~]

“Take me, Take me, Ta, Ta, Take me away ei~”

[Ta, Ta, Take me away ei~]

 

ท่อนคอรัสจบลง ท่าที่ยากที่สุดของเพลงก็มาถึง

ฉยงเหรินกระโดดตีลังกาตัวตรงกลางอากาศลงมาที่จุดเดิม เรียกเสียงกรีดร้องจากผู้ชมได้ในชั่วพริบตา เขาได้ยินผู้ชมด้านล่างเวทีตะโกนเรียกชื่อเขา ความปลื้มปริ่มในใจเปี่ยมล้นจนไม่อาจบรรยาย ต่อให้ในอดีตจะลำบากแค่ไหนก็คุ้มค่าแล้ว

ฉยงเหรินพยายามกลั้นน้ำตา มองไปยังแฟนคลับที่น่ารักที่สุดในโลก…

เขาเห็นโครงกระดูกหนึ่งโครง

พูดให้ถูกคือโครงกระดูก 0.7 โครง

ตั้งแต่ช่วงกระดูกคอที่ไม่สามารถอธิบายได้ลงไปก็คือโครงกระดูกสะอาดสะอ้าน และตั้งแต่คอขึ้นไปก็ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์

อันนี้ก็คอสเพลย์เหมือนกันใช่ไหม สมจริงมากเลย

ฉยงเหรินรู้สึกซูฮกเทคนิคการแต่งตัวที่ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบของอีกฝ่ายมากๆ

เขาย้ายสายตาออกจากโครงกระดูก 0.7 โครง กวาดมองผู้ชมทุกคน

ทำไมบางคนถึงไม่มีเท้าล่ะ

หรือว่าผ้าที่ใช้ทำชุดจะใช้ประโยชน์จากการหักเหแสงตามหลักทัศนศาสตร์ ก็แค่ร่วมงานเลี้ยงประจำปี ไม่เห็นจะต้องลงทุนใช้เทคนิคขั้นสูงขนาดนั้นเลย

แล้วผู้ชายรูปงามที่แต่งเป็นงูคนนั้นก็ดูมีเอกลักษณ์มากเลย เขาทำให้หางงูเลื้อยส่ายไปมาบนพื้นแบบนั้นได้ยังไงนะ ลื่นไหลสมจริงเกินไปแล้ว

เฮยเสิงอันเดอร์กราวนด์คัลเจอร์เป็นบริษัทแบบไหนกันแน่ แค่คอสเพลย์ก็ยังต้องไปสุดขนาดนี้เลยเหรอ

หนุ่มงูรูปงามคนนั้นดูเหมือนจะลิงโลดไปหน่อย จะสะบัดหางฟาดคนข้างๆ ปลิวไปแล้ว

ฉยงเหริน “!”

ฟาด! ปลิว! ไปแล้ว!

ฉยงเหรินผวาหนักจนเผลอไปสบตากับเด็กสาวที่อยู่แถวหน้าสุด

เด็กสาวกรี๊ดอย่างตื่นเต้น “กรี๊ดดด! ฉันสบตากับฉยงเหริน ฉันจะตายแล้วๆๆ เอ๊ะ? ฉันตายอยู่แล้วนี่นา ฮ่าๆๆๆ!”

ฉยงเหรินรู้สึกว่าตัวเองอาจจะหลอนอยู่ก็ได้ น่าจะเป็นแบบนั้นแน่ๆ จู่ๆ ได้เจอแฟนคลับมากมายก็เลยดีใจเกินไปหน่อยจนหัวใจสูบฉีดเลือดไม่ทันถึงขั้นขาดออกซิเจน พอขาดออกซิเจนก็เลยเห็นภาพหลอน

ใช่แล้ว เป็นอย่างนั้นแหละ ตรรกะถูกต้องไม่มีตรงไหนเพี้ยน

เขาไม่ได้เห็นผีแน่นอน

ด้านหน้ามีสาวน้อยอายุสิบหกสิบเจ็ดปีคนหนึ่งยกมือขึ้นดึงศีรษะน่ารักๆ ของตัวเองออกมา แล้วเหวี่ยงแขนออกไปข้างหน้าอย่างองอาจ

“วันนี้เจ้าหนูหล่อเกินไปแล้ว! ถอดหัวมัมหมีสร้างบรรยากาศให้ลูกชายดีกว่า!”

ศีรษะร่วงตุบที่ปลายเท้าฉยงเหรินอย่างพอดิบพอดี ดวงตาคู่สวยของสาวน้อยมองเขาอย่างรักใคร่เอ็นดู

ฉยงเหริน “O_O”

ฉยงเหรินใจสั่นมือสั่นตัวสั่น

เขาตกใจจนสติหลุด สิ่งที่ยังสั่งให้เขาแสดงต่อไปก็คือสัญชาตญาณไอดอลอันแข็งแกร่งของเขา

เพื่อไม่ให้เผลอไปเหยียบหัวนั้น เขาจึงเดินตามบล็อกกิ้งด้วยสปิริตทั้งหมดที่มี

ฉับพลันปลายเท้าก็เหมือนกับเตะโดนอะไรบางอย่าง

นุ่มนิ่ม กลมดิก และเป็นทรงทวินเทล

ฉยงเหรินตะคริวกินเท้า เขาชาหนึบไปทั้งร่าง

ศีรษะคนกลิ้งหลุนๆ ลงเวทีไป เด็กสาวติดหัวกลับไปเหมือนเดิม แล้วบรรจงจัดแต่งโบว์ของตัวเอง

วิญญาณด้านล่างเวทียังคงส่งเสียงเชียร์กันอย่างเร่าร้อน ไม่มีใครสังเกตเลยว่าฉยงเหรินช็อกจนเกือบสลบไปแล้ว

เสียงเขาสั่นเครือ ทั้งยังเสียงหลงเล็กน้อย เต้นก็ช้าลง สำหรับผู้ชมนี่คือการแสดงที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ แต่สำหรับมาตรฐานที่ฉยงเหรินตั้งไว้ การแสดงแบบนี้ก็ถือว่ายับเยิน

ตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าระหว่างทำการแสดงพังกับเรื่องที่ผู้ชมการแสดงทั้งหมดไม่ใช่คนอย่างไหนน่ากลัวมากกว่ากัน

โชคดีที่เพลงนี้ใกล้จะจบแล้ว

แสงไฟทั้งหมดดับลง เสียงใสๆ ของฉยงเหรินดังขึ้นท่ามกลางความมืด คล้ายสายลมพัดหวนผ่านสระน้ำในฤดูร้อนซึ่งมีสายน้ำไหลเอื่อย

 

“ทาดา ทาดา ทา ทาดาดาดา”

 

สปอตไลต์สว่างวาบ ส่องไปที่ร่างฉยงเหริน

 

“ทาดา ทาดา ทา ทาดาดาดา”

 

ตอนที่ฉยงเหรินแต่งเพลงนี้ ท่อนที่เขาชอบที่สุดก็คือท่อนทาดาดา เขาหวังว่าคนที่ได้ฟังจะเห็นประกายแสงรำไรคล้อยไหวอยู่ตรงหน้า

เหมือนหิ่งห้อยในฤดูร้อน แม้จะอ่อนแสง ทว่ายังคงส่องแสงงดงามอยู่ท่ามกลางความมืด มอบความกล้าและความหวังให้กับผู้ไขว่คว้าแสง

เขาเคยจินตนาการถึงวันที่เขาร้องเพลงนี้บนเวที ในขณะที่ผู้ฟังด้านล่างเวทีโบกแท่งไฟในมือ บันดาลทะเลหิ่งห้อยซึ่งเป็นของเขาและแฟนคลับขึ้นในสเตเดี้ยมคอนเสิร์ต

ฉยงเหรินไม่เคยคิดไม่เคยฝันเลยว่าความปรารถนาของตัวเขาจะบรรลุได้ในรูปแบบนี้

เหล่าแฟนคลับด้านล่างเวทีร้องท่อนทาดาดาคลอไปพร้อมๆ กัน แล้วพากันโบกแสงพริบพรายระยับในมือ…

ที่มาจากหัวคน!

ดวงตาของศีรษะเหล่านี้มีดวงไฟวิญญาณสองดวงกำลังลุกโชน โยกไปมาท่ามกลางความมืดอย่างอบอุ่น

ภาพแสงไฟที่มาจากศีรษะคนแทนแท่งไฟนี่เกิดขึ้นจริงๆ หรือ

บัดซบ ทำไมเขาต้องอุทิศตัวให้กับงานขนาดนี้ด้วย!

ถ้าเป็นลมสลบไปตรงนี้ได้เลยก็ดีสิ!

แค่แฟนคลับเอาหัวตัวเองมาโบกก็น่ากลัวเกินพอแล้ว ได้โปรดอย่าโยนขึ้นมาบนเวทีเลย ขอร้องล่ะ

ฉยงเหรินกวาดสายตามอง เห็นคุณซ่งตี้หวังไม่ได้โบกหัวตัวเอง หัวใจก็รู้สึกเหมือนได้รับการปลอบประโลมเล็กน้อย อย่างน้อยคุณพ่อเสาทองคำก็ยังไว้ใจได้

ป๊อง~

ผีที่อยู่ข้างๆ ซ่งตี้หวังถอดหัวตัวเองออกมา ก่อนส่งให้เขาอย่างเอาใจ “ต้าหวังเอานี่ไปใช้เถิดครับ” แล้วซ่งตี้หวังก็รับมาโบกอย่างลิงโลด

ฉยงเหรินคิด โลกแตกเถอะ เหนื่อยแล้ว

ในที่สุดสองนาทีห้าสิบเก้าวินาทีอันแสนยาวนานก็ผ่านพ้นไป ฉยงเหรินมองไปด้านล่างเวที ฉีกยิ้มสว่างไสวไร้ที่ติออกมา

“ขอบพระคุณทุกท่านที่มาชมการแสดงของผม ได้พบกับทุกคน…” เขาลำคอตีบตัน หลุดพูดติดอ่างอย่างไม่อาจควบคุม “ผะ…ผมรู้สึก…ดีใจมาก หวังว่าจะได้พบกันใหม่”

“กรี๊ดดด มัมหมีรักหนูนะคะ”

“ฉยงเหรินเก่งที่สุด!”

“ฉยงเหริน! ฉยงเหริน! ฉยงเหริน!”

ฉยงเหรินอดน้ำตาคลอไม่ได้ ครึ่งหนึ่งคือความตื้นตันใจ ส่วนอีกครึ่งคือความกลัว

เมื่อเห็นดวงตาของเขาที่มีน้ำตาคลอหน่วย เหล่าแฟนคลับก็ยิ่งปวดใจ

“ลูกแม่อย่าร้อง แม่รักหนูนะ”

ท่ามกลางเสียงร้องระงมของแฟนคลับ ฉยงเหรินได้ยินเสียงใหญ่ๆ ตะโกนก้องด้วยว่า “สามี”

สามีก็สามีเถอะ

ฉยงเหรินเช็ดน้ำตาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ประหนึ่งผ่านโลกมาแล้วมากมาย

เทียบกับการที่แฟนคลับด้านล่างเวทีไม่ใช่คนแล้ว ถูกเรียกว่าสามีก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ต่อให้เรียกว่าภรรยา…

“ภรรยา! ภรรยาสวยมาก! โฮฮฮ แก้วตาดวงใจของฉันช่างสวยเหลือเกิน ฉันไม่คู่ควรเป็นสามีของเธอ ฮือออ~”

ฉยงเหรินสูดหายใจลึก ฉีกยิ้มโบกมือ เดินถอยหลังกลับเข้าไปหลังเวที

เช่นเดียวกับไอดอลที่ไม่อยากแยกจากบรรดาแฟนคลับของตัวเอง

เลขาฯ จินรออยู่ด้านหลังเวที เขาดูบอบบาง ทว่าพลังกายกลับเยอะจนน่าสะพรึง เพราะเขาหิ้วตัวผู้จัดการที่หนักร่วมร้อยกิโลกรัมได้ด้วยมือเดียว

สายตาฉยงเหรินมองวนอยู่ที่ข้อมือบางของเขา แทบจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ

ไม่แสดงแล้วเหรอ เลิกแสดงแล้วจริงๆ เหรอ เลขาฯ จิน คุณช่วยเสแสร้งเป็นคนต่อไปเถอะนะ ขอร้องล่ะ

“ผู้จัดการคุณเป็นลม…เอ่อ…หลับไปแล้ว ไปกันเถอะ เราไปห้องรับรองกันก่อน”

ฉยงเหรินไม่พูดไม่จา เดินตามเลขาฯ จินไปห้องรับรอง และมองอีกฝ่ายวางผู้จัดการลงบนโซฟา

เขานั่งตามลงไป พร้อมเอนหลังพิงแนบโซฟา สองมือทิ้งตก อยู่ในท่าพร้อมจะสลบไปโดยที่ไม่ล้มได้ทุกเมื่อ

เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ ถามสิ่งที่ตนอยากรู้คำตอบที่สุดออกไป

“ธนาคารเทียนตี้…มันก็คือธนาคารเทียนตี้* อันนั้น…ใช่ไหม”

เลขาฯ จินออกอาการเลิ่กลั่กเล็กน้อย “อ่า เรื่องนี้…”

ฉยงเหรินเข้าใจแล้ว เขาพยักหน้า “ก็ว่าล่ะทำไมถึงคุ้นหูขนาดนี้ งั้นเงินนี่…”

“วางใจเถอะครับ ธนาคารเทียนตี้ของเราเข้าร่วมยูเนี่ยนเพย์** แล้ว จะไม่มีปัญหาเรื่องเงินแน่นอนครับ ส่วนยอดเงินที่เหลือจะเข้าบัญชีในวันพรุ่งนี้ครับ”

เข้าร่วมยูเนี่ยนเพย์ด้วยสินะ ฉยงเหรินพยักหน้าอีกครั้ง

ทันทีที่โล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง เขาก็สลบทันควัน

 

ไม่รู้ว่าเขาสลบไสลไปนานแค่ไหน เมื่อฉยงเหรินค่อยๆ ฟื้นคืนสติกลับมาอีกครั้ง เขาก็ได้ยินเสียงสนทนาของคนจำนวนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ

“เป็นความผิดผมเองครับ ผมไม่ทันสังเกตว่าควันธูปบนรถดับไป พวกเขาสูดดมควันธูปหอมเจี้ยงอวิ๋น*** ไม่มากพอถึงได้มองเห็นรูปลักษณ์จริงของเจ้าพนักงานในนรก ต้าหวังได้โปรดหักเงินเดือนผมเถอะครับ”

ซ่งตี้หวัง “เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า สิ่งสำคัญในการเป็นพนักงานของเราคืออู้เยอะๆ ทำโอน้อยๆ แต่เงินเดือนจะหายไปไม่ได้แม้แต่แดงเดียว ใครอนุญาตให้นายยื่นคำร้องขอหักเงินเดือนด้วยตัวเอง ถ้าเจออีกฉันจะส่งนายไปหาท่านพญายมราชเสีย”

ไม่นึกเลยว่าผู้นำอย่างซ่งตี้หวังจะเป็นคนแบบนี้ ทันใดนั้นความหวาดกลัวในใจฉยงเหรินก็หายวับไปสองจากพันส่วน

เลขาฯ จิน “ชู่ว เดี๋ยวฉยงเหรินก็ตื่นหรอก เมื่อกี้เขาเพิ่งช็อกมา ให้เขาได้พักผ่อนสงบๆ เถอะ”

“การแสดงของลูกชายฉันยอดเยี่ยมมากจริงๆ” ซ่งตี้หวังกระซิบเสียงเบา “เลขาฯ จิน นายได้ถ่ายคลิปไว้หรือเปล่า ฉันจะเอาไปเปิดวนที่บ้าน”

เลขาฯ จินลดเสียงลง “วางใจเถอะต้าหวัง ทีมสตาฟฟ์ตำหนักที่สามของพวกเราถ่ายแยกมุมมองไว้สิบกว่ามุม ท่านสามารถรับชมแฟนแคมได้พร้อมกันสิบคลิปเลยล่ะ”

หา? การแสดงที่เละตุ้มเป๊ะวันนี้มีกล้องถ่ายไว้สิบกว่าตัวเลยเหรอ นี่จะประจานเขาต่อหน้าสาธารณชนหรือไง

ฉยงเหรินตื่นเต็มตา “อย่าประจานผมออกสื่อนะ!”

ซ่งตี้หวังรีบเข้ามาถามไถ่อาการทันที “เจ้าหนู เป็นยังไงบ้าง”

ฉยงเหรินหดคอถอยออกไปเงียบๆ

ซ่งตี้หวังเอ่ยปลอบเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัวนะ ทุกคนที่เธอเห็นวันนี้เป็นบุคลากรของหน่วยงานเราทั้งนั้น ปัดเศษแล้วก็นับว่าเป็นเจ้าพนักงานของนรกเรา เชื่อถือได้แน่นอน ยังไงหลังเธอตายก็ต้องมาเจอพวกเราอีกอยู่ดี สุดท้ายเราก็ต้องรู้จักคุ้นเคยกันไม่ช้าก็เร็ว คิดอย่างนี้ก็ไม่น่ากลัวแล้วใช่ไหมล่ะ”

ซ่งตี้หวังยกนิ้วโป้ง

ฉยงเหริน “…”

จู่ๆ ก็ไม่อยากได้คุณพ่อเสาทองคำคนนี้เป็นป๊ะป๋าแล้ว เขายอมรับให้คนที่เอาคำพูดแบบนั้นมาปลอบเป็นพ่อของเขาไม่ได้จริงๆ

ฉยงเหรินมือไม้อ่อน เรี่ยวแรงหดหายไปทั้งร่าง ล้มพับไปหลายครั้งถึงกลับมานั่งได้สำเร็จด้วยความช่วยเหลือของซ่งตี้หวังที่เข้ามาประคอง

ส่วนผู้จัดการที่หลับอยู่อีกมุมของโซฟาจนตอนนี้ก็ยังไม่ตื่น

ซ่งตี้หวังหันไปพูดกับเลขาฯ จิน “นายไปตามหลี่สือเจิน* มาที เขาเพิ่งสอบใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมของโลกมนุษย์ผ่านใช่ไหม เรียกเขามาดูอาการฉยงเหรินเร็ว”

อัตราการเต้นของหัวใจฉยงเหรินพุ่งไปสองร้อยทันที

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่เป็นไร ผมแค่…” เขาก้มหน้าอย่างกระอักกระอ่วน เอ่ยเสียงแผ่วปลาย

“กลัวผี”

ความรักใคร่เอ็นดูเอ่อล้นออกมาจากสายตาซ่งตี้หวังอย่างอ่อนโยน

อา…ลูกป๊าน่ารักจริงๆ อยากลูบหัวเขาจัง

ซ่งตี้หวังยื่นมือออกไปอย่างอดไม่ได้ แต่ยังไม่ทันสัมผัสโดนก็ถูกเลขาฯ จินฟาดดังเพียะ

เลขาฯ จินตีมือซ่งตี้หวังเสร็จก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าอ่อนโยนทันที

“เป็นความผิดของทางเราเองครับ ขออภัยอย่างยิ่งที่ทำให้พวกคุณตกใจ พวกเรายินดีชดใช้ค่าเสียหายทางจิตใจครับ”

ฉยงเหรินพยายามควบคุมเสียงของตัวเอง “มะ…ไม่ต้อง…ชดใช้หรอกครับ ผมมีคะ…ความสุขมาก…ที่ได้เจอแฟนๆ ส่วนผู้จัดการวะ…ไว้ถามเขาอีกทีตอนเขาตื่นนะครับ…ว่าเขาต้องการหรือเปล่า”

พอลงมาจากเวที สัญชาตญาณไอดอลอันแข็งแกร่งของเขาก็เหือดหาย แค่พูดประโยคสั้้นๆ ก็ติดอ่างอย่างกับแผ่นกระตุก

แต่คนระริกระรี้กลับเป็นซ่งตี้หวัง

เยี่ยมไปเลย!

เลขาฯ จินฉลาดจริงๆ

ถึงจะถูกท่านพญายมราชจำกัดค่าจ้างการแสดง แต่เขาก็ยัดเงินให้ลูกน้อยด้วยวิธีอื่นได้นี่ อย่างเช่นจ่ายชดใช้ความเสียหายทางจิตใจให้ฉยงเหรินสักสิบล้าน…

เลขาฯ จินเพียงปราดตาทีเดียวก็มองทะลุความคิดของต้าหวังได้ จึงเอ่ยเตือนเขา “หากเกิดเหตุสุดวิสัยระหว่างการแสดง แต่ไม่ได้สร้างความเสียหายร้ายแรง ค่าชดใช้มากสุดไม่สามารถมากเกินค่าตอบแทนได้ กฎข้อนี้ระบุอยู่ใน ‘ระเบียบปฏิบัติโดยละเอียด’ ครับ”

เขาชมเปาะ “สมแล้วที่เป็นท่านพญายมราช ไม่เปิดโอกาสให้ท่านเห็นช่องโหว่เลย”

ขณะพวกเขากำลังพูดคุย ฉยงเหรินก็เริ่มเสิร์ชชื่อของซ่งตี้หวังบนอินเตอร์เน็ตแล้ว

ไม่นึกว่าที่นี่จะมี 5G ด้วย เน็ตไวใช่เล่นเลย

ย่อหน้าแรกของสารานุกรมเชียนตู้เขียนไว้ว่า

 

ซ่งตี้หวัง ยมราชตำหนักสามแห่งนรก แซ่อวี๋ กำเนิดเมื่อขึ้นแปดค่ำเดือนยี่ ปกครองนรกเฮยเสิงใต้แนวปะการังมหาสมุทรตะวันออกเฉียงใต้’

 

ในเมื่อเป็นยมราชของตำหนักที่สาม เช่นนั้นตามหลักการแล้วเขาก็ไม่ใช่ผี แต่เป็นเทพ

ปริมาณความแน่นหนาของผีในห้องจาก 60% ลดฮวบเหลือ 40% ทันทีที่อ่านถึงตรงนี้ ฉยงเหรินก็หายใจคล่องขึ้นไม่น้อย

ซ่งตี้หวังเห็นว่าเขายังหน้าซีดไม่หายก็เอ่ยกำชับ “เลขาฯ จิน ไปเรียกหลี่สือเจินมาเถอะ”

“ไม่ต้องหรอกครับ!” ฉยงเหรินอธิบายอย่างรู้สึกผิด “ผมไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ผมกลัวผีก็เหมือนที่บางคนกลัวเลือดนั่นแหละครับ ควบคุมอะไรไม่ได้หรอก”

“งั้นจะยังไงดีล่ะ ทางเราอยากเชิญคุณมาจัดงานแฟนไซน์* ด้วยน่ะครับ” เลขาฯ จินดึงตัวคนขับรถหนุ่มไปยืนริมประตูอย่างเอาใจใส่ ในคำพูดเต็มไปด้วยความเสียดาย

งานแฟนไซน์?

ฉยงเหรินได้ยินก็หูผึ่ง!

หมายถึงอีเวนต์แบบที่ได้ขายอัลบั้มไปด้วยแล้วก็ได้พูดคุยอย่างใกล้ชิดกับแฟนๆ ด้วยน่ะเหรอ

ไอดอลนูกูที่มียอดขายอัลบั้มแค่ 49 อัลบั้มอย่างเขาก็จัดงานนี้ได้ด้วยเหรอ

ทำไงดีล่ะ ชักสนใจแล้วสิ!

ถึงการจัดงานแฟนไซน์ที่นี่แฟนคลับที่มาส่วนใหญ่จะเป็นผีก็เถอะ…

แต่แฟนคลับในโลกแห่งความตายก็คือแฟนคลับ เขาจะเหยียดสปีชี่ส์ไม่ได้

กลัวผีอะไร เราสามารถหาวีธีมาสยบความกลัวได้นี่!

ไม่มีงานอะไรที่ยากลำบากทั้งนั้น มีแต่ฉยงเหรินผู้กล้าหาญ!

แววตาซ่งตี้หวังเปี่ยมล้นด้วยความรักความห่วงใยของบิดา “ถ้ากลัวก็ช่างเถอะ อย่าฝืนตัวเองเลยนะ”

ฉยงเหรินชูหมัด “คนเราต้องกล้าที่จะทลายกำแพงของตัวเอง ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาและท้าทายตัวเองถึงจะเติบโตครับ

ได้โปรดให้โอกาสผมได้เติบโตเถอะนะครับ”

 

* ธนาคารเทียนตี้ หรือธนาคารฟ้าดิน เป็นชื่อธนาคารที่มักปรากฏอยู่ในธนบัตรกระดาษจำลองสำหรับเผาส่งให้บรรพบุรุษ

** ยูเนี่ยนเพย์ เป็นระบบเครือข่ายการชำระเงินตัวกลางของประเทศจีน คล้ายๆ กับระบบบัตร VISA

*** ธูปหอมเจี้ยงอวิ๋น หรือที่บางส่วนเรียกว่าธูปหอมเจี้ยงเจิน เป็นธูปไม้หอมที่มักใช้ในลัทธิเต๋า โดยใช้จุดเพื่อให้ใจสงบ มีไว้สำหรับประกอบการนั่งสมาธิหรือประกอบพิธีกรรมต่างๆ

* หลี่สือเจิน เป็นนักเภสัชวิทยา แพทย์ในช่วงกลางสมัยราชวงศ์หมิง ได้รับยกย่องเป็นราชาสมุนไพรจีน

* งานแฟนไซน์ คืองานแจกลายเซ็นให้แฟนคลับ

บทที่ 4

 

เลขาฯ จินหิ้วตัวผู้จัดการที่ยังคงหลับไม่ตื่นไปไว้ที่เบาะหลังรถพี่เลี้ยง

“สภาพร่างกายเขาปกติดี ไม่ต้องเป็นห่วงครับ พวกคุณเข้ามาที่นี่ตามขั้นตอนที่ถูกต้อง จึงไม่มีผลร้ายอะไรต่อร่างกายแน่นอนครับ ค่าตอบแทนส่วนที่เหลือจะเข้าบัญชีในวันพรุ่งนี้ คอยเช็กดูด้วยนะครับ หากมีปัญหาอะไรโปรดติดต่อมาหาผมทันที จะปัญหาอะไรก็ได้ทั้งนั้นครับ”

เลขาฯ จินชี้แจงทีละเรื่องๆ ระหว่างพูดก็จงใจค่อยๆ ถอยห่างออกไป เอาใจใส่เสียจนฉยงเหรินรู้สึกละอายนิดๆ

พอรู้ว่าเขากลัวผีมาก บรรดายมบาลในตำหนักที่สามก็ไม่ตามเขามา พวกเขายืนอยู่หน้าภัตตาคารที่เปิดไฟสว่าง มองส่งเขาจากไปอยู่ห่างๆ

แสงไฟในตอนค่ำมืดทำให้เงาร่างของกลุ่มคนดูเลือนรางลงไป ระยะห่างขนาดนี้จึงมองเห็นหน้าพวกเขาไม่ชัด ในใจเขายังคงกลัว แต่ก็เกิดรู้สึกตื้นตันจนอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากขึ้นมาอย่างรุนแรง ความรู้สึกตีกันจนภายในใจรู้สึกปั่นป่วน

สายลมยามกลางคืนพัดผ่านกายแผ่วเบา พากลิ่นธูปโชยหอมอ่อนๆ ภายในห้องโดยสาร

ที่นี่คือนรก แต่สายลมที่นี่ไม่ต่างจากโลกมนุษย์เลย

“มีวิญญาณหลบหนี เตรียมจับกุม”

เสียงเย็นเยียบของชายคนหนึ่งพลันดังขึ้นรอบทิศ ขัดความคิดในหัวของฉยงเหริน

“เสียงท่านเยี่ยนหมัวหลัวเสอ” ซ่งตี้หวังขมวดคิ้ว “เลขาฯ จิน”

เลขาฯ จินหยิบโทรศัพท์ออกมาดูรายงานสถานการณ์ “มีวิญญาณหลบหนีจากนรกจ้งเหอ ก่อนตายวิญญาณตนนี้เป็นผู้ชายหัวงู เหยียบเรือเจ็ดแคม หลังถูกภรรยาฟ้องข้อหาคบชู้ก็ถูกไล่ออกจากบริษัท นับแต่นั้นก็ระหกระเหินไปทั้งชีวิต เขาเคียดแค้นอดีตภรรยา แสดงออกชัดระหว่างรับโทษว่าอยากแก้แค้นอดีตภรรยาหลายครั้ง อ๊ะ..”

ซ่งตี้หวัง “?”

เลขาฯ จิน “อดีตภรรยาของเขาก็ทำงานอยู่ที่ตำหนักสามของเราขอรับ วันนี้เธอก็มาดูการแสดงของฉยงเหรินด้วย ถ้าเขารู้เรื่องนี้ก็เป็นไปได้สูงที่จะมาที่นี่”

ผู้ชายหัวงู

แก้แค้นอดีตภรรยา

ภาพอดีตที่ฝังลึกลงใน DNA ของฉยงเหรินกระตุก เขารู้สึกคันไม้คันมือ

ซ่งตี้หวังเอ่ยสั่งการอย่างใจเย็น “ให้นายยมบาลไปเฝ้าระวังเส้นทางทั้งสี่ทิศ เป็นไปได้สูงว่าเขาจะอ้อมเข้ามาทางมหานรกหานปิง”

ฉยงเหรินเหลือบเห็นหนึ่งเงาร่างเลือนรางในความมืดตรงดิ่งมาทางนี้ เขาคันหมัดยุบยิบขึ้นเรื่อยๆ เป็นลางสังหรณ์บ่งบอกชัดเจน

ฉยงเหรินชี้ไปยังผู้มาถึง “เขาเหรอ”

เขาหูไว ได้ยินเสียงอีกฝ่ายก่นด่าอดีตภรรยางึมงำอยู่ในลำคอก็ยิ่งมั่นใจว่าคนคนนี้คือผู้ชายหัวงูที่ว่า

เงาร่างนั้นปรากฏตัวออกมาไวกว่าที่คาด ซ่งตี้หวังและเลขาฯ จินเพิ่งหันหน้าไปมอง คนคนนั้นก็บึ่งไปเกือบถึงภัตตาคารแล้ว

ฉยงเหรินไม่แม้แต่จะคิด รีบจ้ำอ้าวตามไป ก่อนจะบิดเอวยกขาขึ้น แล้วฟาดออกไปอย่างไวว่อง เหยียดปลายเท้าตึงจนหลังเท้าโค้งดั่งพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว เตะออกไปด้วยมุมโค้งเฉียบคมผ่าท้องฟ้ายามราตรีของนรก

เสียงกระทบหนักๆ ดังลั่น

หลังเท้าของเขาฟาดเข้าที่หลังคอผู้ชายหัวงูนั่นอย่างแรงจนร่างชายคนนั้นกระเด็นลงพื้นและกลิ้งไปอีกสองตลบถึงหยุด

ตอนที่หลังเท้าเขาเตะไปที่ร่างวิญญาณนั้นเต็มเปา ซ่งตี้หวังก็เห็นจุดที่เท้าของเขาสัมผัสกับร่างระเบิดประกายแสงสีทองกระจายออกมาเต็มสองตา

ซ่งตี้หวังเบิกตากว้าง “นั่นมัน…”

ยังไม่ทันพูดออกมา เขาก็พลันนึกถึงสิ่งที่ตัวเองต้องทำขึ้นมาได้ เขารีบสั่งให้นายยมบาลทั้งหลายเข้าไปมัดมือวิญญาณตนนั้นไพล่หลังให้แน่น

จากนั้นจึงหันไปมองฉยงเหริน พูดขึ้นด้วยเสียงตื่นเต้น “ไม่นึกว่าเธอจะซ่อนความสามารถพิเศษไว้ด้วย! แต่เธอกลัวผีนี่ กล้าเข้าไปเตะเขาด้วยหรือ”

“ท่านอย่าไปทักเขาสิ!” เลขาฯ จินจะห้าม แต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว

ซ่งตี้หวังหน้าเหลอหลา “หา?”

ฉยงเหรินถึงรู้สึกตัวว่าเมื่อกี้เขาเพิ่งกระโดดเตะผีไป ความรู้สึกเย็นวาบแผ่ซ่านตั้งแต่ปลายเท้าลามมายันกลางกระหม่อม เขาหน้าซีดเผือดราวกับหิมะทันที

เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างยากลำบาก หันไปมองเลขาฯ จินด้วยความจริงใจ “ดูท่าคงต้องรบกวนคุณหิ้วผมขึ้นรถอีกที ขอบคุณคระ…”

พูดยังไม่ทันสิ้นเสียง ฉยงเหรินก็เป็นลมหงายหลังไปทันที

แต่เขายังไม่ทันตกถึงพื้น

พญายมราชผู้มีเรือนผมและนัยน์ตาสีชาดก็เข้ามารับเขาไว้ได้ทัน

“ท่านเยี่ยนหมัวหลัวเสอ” ซ่งตี้หวังเรียกชื่อของพญายมเสียงหงอ

พญายมมองเขาสายตาเรียบนิ่ง ก่อนส่งมนุษย์ตัวเบาหวิวในมือให้เลขาฯ จิน

“คุมตัววิญญาณบาปกลับไปที่นรกจ้งเหอ ชดใช้กรรมเพิ่มอีกหมื่นปี”

เมื่อนึกถึงคืนวันที่ถูกช้างเหล็กบดขยี้เป็นโคลนในนรกจ้งเหอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชายหัวงูก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่างทันที

“ผู้ชายยุคโบราณก็มีสามเมียสี่เมียทั้งนั้น ฉันก็แค่มีเมียพร้อมกันเจ็ดคน ทำไมต้องชดใช้กรรมหนักหนาขนาดนี้ด้วย การพิพากษาของนรกไม่ยุติธรรม!”

สายตาเย็นชาของพญายมตวัดมองต่ำ

พริบตาที่ชายหัวงูมองไปเห็นนัยน์ตาสีแดงของพญายมราช ความกล้าที่จะต่อต้านและหลบหนีก็เหือดหายไปจนเกลี้ยง พยายามขดตัวห่อตัวเองเป็นก้อนกลม

เขาต้องโดนลูกเตะเมื่อกี้จนสมองรวนไปแล้วแน่ๆ ไม่งั้นเขาจะกล้าต่อปากต่อคำกับพญายมราชได้ยังไง

เสียงเย็นเยียบของพญายมดังขึ้น

“คนโบราณมีสามภรรยาสี่อนุภรรยาก็ต้องลงรับทัณฑ์ในนรกจ้งเหอเช่นกัน

แต่ว่าผู้ตัดสินโทษของเจ้าก็ไม่รอบคอบพอจริงๆ”

ชายหัวงูหยุดสั่น

พญายมราชกล่าวต่อ “จากกรรมชั่วของนาย ไม่เพียงแต่ต้องตกนรกจ้งเหอ แต่ยังต้องถูกลงทัณฑ์ในมหานรกเจี้ยวฮ่วนด้วย

ซ่งตี้หวัง ให้ยมบาลส่งตัวเขาไปที่มหานรกเจี้ยวฮ่วน จากนี้ก็ให้เขารับโทษที่นรกสองขุมนี้สลับกันไปจนกว่าจะหมดกรรม”

ซ่งตี้หวัง “ขอรับ”

คำพูดของพญายมราชก็คือประกาศิตแห่งนรกภูมิ วินาทีที่เขาพูดออกมา ผลตัดสินโทษก็จะบังเกิดผลทันที ชายหัวงูรู้สึกได้ว่าวิญญาณของตัวเองถูกจารึกโทษเพิ่มอีกหนึ่งหมื่นปี ข้อมือที่มีตราของนรกจ้งเหออยู่แล้วก็มีตราของมหานรกเจี้ยวฮ่วนเพิ่มขึ้นมาข้างๆ

เขางอตัวร้องไห้กับพื้นดิน ก่อนยมบาลจะเข้ามาล่ามโซ่ตรวน

สายตาพญายมราชชำเลืองไปทางเลขาฯ จิน แล้วก็เห็นกลุ่มผมหยักศกและแขนที่ห้อยต่องแต่งลงมาข้างหนึ่ง

เขาเผลอลูบปลายนิ้วตัวเองโดยไม่รู้ตัว

สายตาของพญายมหยุดอยู่ที่เรือนผมหยักศกดูนุ่มฟูครู่หนึ่ง

“เขาก็คือไอดอลคนนั้นน่ะหรือ”

เมื่อกี้เขารับตัวคนไว้ได้ก็ยัดใส่แขนเลขาฯ จินโดยไม่ทันได้มองหน้า ถึงฉยงเหรินจะเป็นไอดอลที่เป็นที่นิยมในนรกภูมิ แต่พญายมก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไรเกี่ยวกับเขา

ซ่งตี้หวัง “ครับ…”

พญายมหันไปมองผมหยักศกของฉยงเหรินอีกครั้ง เอามือไพล่หลัง เอ่ยสั่งเสียงเนิบช้า

“วิญญาณหลบหนีวันนี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจ อย่าลืมชดใช้ความเสียหายทางจิตใจให้เขา และค่าชดเชยห้ามมากเกินกว่าค่าแสดง”

ซ่งตี้หวัง “ครับ!”

เขาเผลอหลุดสีหน้าแสดงความดีใจออกมา ปกติเยี่ยนหมัวหลัวเสอมักจะทำตัวอย่างกับเป็นเครื่องจักร แข็งกระด้างเย็นชา แต่จริงๆ แล้วจิตใจอ่อนโยนมาก

ในระหว่างที่หัวซ่งตี้หวังกำลังจินตนาการก็ได้ยินเสียงพญายมพูดขึ้นมา “เอาเถอะ ยังไงซะวันนี้ก็นอนไม่หลับ ฉันคุมตัวเขาไปทรมานด้วยตัวเองดีกว่า

อา…ไม่ได้ลงมือเองนานแล้ว”

พญายมบริหารข้อไหล่จนส่งเสียงกึกออกมาเบาๆ

ชายหัวงูได้ยินเสียงก็กลัวจนเป็นลม เกือบจะสร้างปรากฏการณ์มหัศจรรย์วิญญาณตายซ้ำตายซ้อนขึ้้นมาแล้ว

ซ่งตี้หวัง “เอ่อ…ท่านทรมานเขาด้วยตัวเองคงจะไม่เป็นการเหมาะสมเท่าไหร่”

พญายมหลุบตาต่ำด้วยความง่วงเล็กน้อย “นั่งก้มหน้าทำงานอยู่บนโต๊ะติดกันเป็นเวลานาน ไม่ดีต่อทั้งกระดูกสันหลังแล้วก็กระดูกคอ ควรขยับร่างกายบ้าง”

ซ่งตี้หวังชำเลืองมองสีหน้าเขาอย่างระมัดระวัง แล้วก็เห็นใต้ตาคล้ำเป็นดวงใหญ่อยู่บนใบหน้าขาวผ่องของพญายม

เขาเป็นห่วงท่านพญายมขึ้นมาทันที “ท่านยังนอนไม่หลับอยู่อีกหรือ” เขานอนไม่หลับติดต่อกันนานแค่ไหนแล้วเนี่ย

ถึงพญายมจะเป็นเทพ ไม่ใช่โปรแกรมเมอร์ จะทำงานเยอะนอนน้อยแรงกดดันสูงผมก็ไม่มีทางร่วง แต่เขาคือเจ้าแห่งยมโลก หากร่างกายเทพของเขาเกิดปัญหา ยมโลกก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยในทุกๆ ด้าน

ซ่งตี้หวังยังจำได้ถึงทุกวันนี้ หลายพันปีก่อนมีอยู่คืนหนึ่งที่เยี่ยนหมัวหลัวเสอฝันร้าย แม่น้ำซานถู* ก็เดือดพล่านในทันที นับแต่นั้นพญายมราชก็ยับยั้งชั่งใจสุดกำลัง พยายามรักษาความสงบนิ่งใจเย็นอยู่เสมอ

“มิน่าล่ะดอกพลับพลึงแดงสองฝั่งแม่น้ำวั่งชวนถึงได้โล้นเตียนไม่เหลือชิ้นดี ท่านจะอดนอนแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้วนะ ไม่งั้นท่านลองไปปรึกษาจิตแพทย์ที่โลกมนุษย์ดูไหม”

แววตาสงบของพญายมส่องประกายวาบ

 

กว่าฉยงเหรินจะตื่นก็เที่ยงวันแล้ว

ผู้จัดการถูกพามาส่งที่หอพักพร้อมฉยงเหริน เขาจึงนอนพักที่นี่ไม่ได้เดินทางกลับบ้าน พอเห็นฉยงเหรินตื่นก็อุ่นข้าวโอ๊ตนมสดให้ถ้วยหนึ่ง ทำท่าเหมือนมีอะไรอยากจะพูดแต่ก็ไม่พูดออกมา

ฉยงเหรินเอาถ้วยข้าวโอ๊ตไปวางในอ่างให้หายร้อน แล้วไปนั่งตรงหน้าผู้จัดการ

“มีอะไรก็พูดมาเถอะครับ”

ผู้จัดการ “นายตกลงเรื่องงานแฟนไซน์แล้วเหรอ”

ฉยงเหริน “อือ”

เนื้ออวบอ้วนของผู้จัดการสั่นระริก ทั้งที่ไม่มีคนอื่นอยู่ แต่เขาก็กดเสียงกระซิบอย่างควบคุมไม่ได้ “แต่พวกเขาเป็นผี!”

ฉยงเหริน “พวกเขาคือแฟนคลับตัวเป็นๆ แสนล้ำค่า”

ผู้จัดการ “เป็น? คนไหนยังเป็นอยู่บ้างฮะ”

ฉยงเหริน “มันย่อมาจากแฟนคลับผีที่มีชีวิตชีวาตัวเป็นๆ น่ะ”

ฉยงเหรินพูดอย่างไม่ปิดบัง “เทียบกับการต้องคืนเงินห้าล้านแปดภายในสามเดือน ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะเป็นไอดอลไม่ได้แล้ว ไปจัดงานแฟนไซน์ที่นรกไม่ฟังดูน่าประทับใจกว่าเหรอครับ”

ผู้จัดการเปิดรูปแคปหน้าจอจากหนังเรื่อง ‘A Wicked Ghost’ ออกมาเงียบๆ คิดว่าเขาไม่รู้จักฉยงเหรินดีงั้นเหรอ กะอีแค่ ‘โปเยโปโลเย’ ยังไม่กล้าดู ยังคิดจะไปจัดงานแฟนไซน์ในนรกอีก…

นั่นมันโลกหลังความตายเลยนะ ไม่กลัวไปแล้วไม่ได้กลับบ้างรึไง

ฉยงเหรินสะบัดหน้าขวับหนี ทำตัวดื้อด้านทั้งที่ตัวสั่นงกๆ “พี่ห้ามผมไม่ได้หรอก ผมรับปากเขาไปแล้ว”

เขายกมือขึ้นบัง กลัวว่าหางตาจะเหลือบไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น “ผมตัดสินใจจะแก้โรคกลัวผี ที่ค่ายเราก็มีคนไปหาจิตแพทย์บ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ พี่ช่วยผมถามหน่อยสิว่าอาจารย์คนไหนถนัดเรื่องรักษาอาการโฟเบียบ้าง”

ผู้จัดการจนปัญญา “ก็ได้ เดี๋ยวฉันไปถามให้”

ก๊อกๆ

มีคนเคาะประตูห้อง

ฉยงเหรินส่องตาแมว แล้วแง้มประตูแค่เสี้ยวหนึ่ง เขาขมวดคิ้วมุ่น “มาทำอะไร”

ผู้ที่มาถึงคือฟู่จยาเจ๋อ ท็อปสตาร์ ณ ตอนนี้ เขาเบียดเข้าช่องประตูที่แง้มไว้เข้ามาพลางหัวเราะคิกคัก

หลังจากอีกฝ่ายเข้ามาได้ จู่ๆ บนโถงทางเดินก็มีเด็กหนุ่มหน้าตาดีมีเสน่ห์ปรากฏกายขึ้นมาด้วย ดูรูปร่างแล้วเหมือนเพิ่งบรรลุนิติภาวะ ปล่อยผมประบ่าสีดำสยาย

เขายืนเงียบนิ่งอยู่บนโถงทางเดิน ส่งยิ้มที่ไม่ได้แฝงไว้ด้วยเจตนาดีให้ฉยงเหริน

ทางเดินมืดมิด เด็กชายที่โผล่มาปุบปับ ใบหน้าแสยะยิ้มเย็นยะเยือก สามสิ่งนี้ประกอบกันเป็นฉากคลาสสิกในหนังสยองขวัญ

น่าเสียดายที่มันไม่มีผลอะไรต่อฉยงเหรินเลยสักนิด

เขาแค่กลัวผี แต่คนตรงหน้านี้มองยังไงก็คน

ถ้าเป็นคน งั้นก็ไม่มีปัญหา

เจ้าลูกเจี๊ยบนี่ผอมกะหร่องเป็นกุ้งแห้ง เขาใช้แค่มือเดียวก็เท่ากับตีสิบทีแล้ว

เขาปิดประตูเสร็จ ฟู่จยาเจ๋อก็เข้าไปเอ่ยทักทายกับผู้จัดการเรียบร้อยแล้ว

ผู้จัดการ “ได้ยินว่าค่ายสตาร์ขาดแคลนเทรนนีหนักมาก ขนาดนักพรตที่เดินผ่านก็ยังไปดึงตัวมาเติมให้ครบโควตา แล้วบริษัทเราดันไปชิงเซ็นสัญญามาอีก”

ฟู่จยาเจ๋อพยักหน้า พูดอย่างไม่ยี่หระ “อืม ให้ดูแต่ร้องเต้นอย่างเดียวแฟนๆ ก็เบื่อกันหมดแล้ว ชิงเหิงเป็นนักพรตนี่ ก็เลยได้เปรียบตรงความแปลกใหม่”

เขาเห็นตุ๊กตากระต่ายยัดนุ่นขนปุยๆ ที่วางไว้เป็นระเบียบอยู่บนเก้าอี้ก็สนใจใคร่รู้เล็กน้อย “นายชอบของแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่บอกกันตั้งแต่แรก ฉันได้มาจากแฟนๆ เยอะมากจนไม่มีที่จะเก็บแล้ว”

ฉยงเหรินหยิบตุ๊กตากระต่ายมาวางไว้ข้างตัวเอง เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ต้องหรอก”

สีหน้าเขาเย็นชา ถึงอย่างนั้นฟู่จยาเจ๋อก็ไม่แคร์ เอ่ยแกมหัวเราะ

“ฉันเพิ่งซื้อบ้านแถวสวนเซิ่งซื่อมา กำลังรีโนเวตเลย ถ้าเสร็จแล้วนายย้ายไปอยู่กับฉันเถอะ แถวนั้นอยู่ใกล้บริษัท นายจะได้ไปมาห้องซ้อมสะดวก”

ฉยงเหริน “ถ้าไม่มีธุระสำคัญฉันจะไปซ้อมแล้ว”

“มี!” ฟู่จยาเจ๋อกล่าว “มีธุระสำคัญ!”

เขาหันไปพยักหน้าให้ผู้จัดการ “ฉันได้ยินเรื่องที่บริษัททำเรื่องเฮงซวยนั่นกับนายแล้ว ฉันมีรายการวาไรตี้แนวท่องเที่ยวรายการนึงชื่อ ‘Let’s go, Buddy’ เขาให้พาเพื่อนไปด้วยหนึ่งคนเพื่อให้มาจับคู่กัน น่าจะมีประมาณแปดตอน ทางผู้จัดแอบบอกกับฉันว่าคนที่ฉันพาไปจะได้อย่างน้อยสองล้าน

ทั้งได้แสดงตัวทั้งได้เงิน แล้วก็ได้เที่ยวฟรีด้วย เป็นไง สนใจไหม”

ฉยงเหริน “ไม่ไป”

ฟู่จยาเจ๋อ “คิดไว้แล้วว่านายต้องพูดแบบนี้ พี่หยาง พี่ก็ช่วยโน้มน้าวฉยงเหรินหน่อยซี่”

ผู้จัดการคิดในใจ ยังต้องโน้มน้าวด้วยเหรอ

ไปออกรายการกับฟู่จยาเจ๋อดีกว่าไปจัดงานแฟนไซน์ในนรกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า

แต่ฉยงเหรินที่ไม่เคยรับความหวังดีจากฟู่จยาเจ๋อมาแต่ไหนแต่ไร ครั้งนี้เขาต้องปฏิเสธเหมือนอย่างเคย

ก่อนที่ผู้จัดการจะเข้ามาเกลี้ยกล่อม ฉยงเหรินพลันเอ่ยปาก “ฟู่จยาเจ๋อ นายอยากช่วยฉันมากใช่ไหม”

“แน่นอน นายเป็นคนที่ฉันแคร์ที่สุดนี่”

ฟู่จยาเจ๋อพูดเสียงอ่อน หน้าแดงเหมือนเด็กวัยใสที่เหนียมอายเพราะเผลอเผยความในใจออกไป

ฉยงเหรินยิ้มตาหยี แต่รอยยิ้มมุมปากหนาวเหน็บยิ่งกว่าเดิม

“ในเมื่อนายแคร์ฉันขนาดนั้น งั้นเอาค่าฉีกสัญญาห้าล้านแปดมาให้ฉันสิ พอฉันหาเงินกลับมาได้ค่อยคืนนายไม่ดีกว่าเหรอ เรามาเขียนสัญญากู้ยืมกัน ฉันให้นายคิดดอกเบี้ยเท่ากับค่าผ่อนบ้านเลย”

ฟู่จยาเจ๋อรู้สึกตะลึง หลายปีมานี้ฉยงเหรินเย็นชากับเขาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายพูดเรื่องเงินกับตน

ทว่าเขาก็เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว ปลายนิ้วโป้งลูบวนไปมาที่ขอบเลนส์กล้องโทรศัพท์มือถือ ทำสีหน้าลำบากใจอย่างที่สุด

“ฉันเพิ่งซื้อบ้านไป แถมค่ารีโนเวตก็เปลืองเงินสุดๆ ตอนนี้ฉันเลยช็อตหนักมาก เอางี้ดีกว่า ถ้าเงินค่าสัญญาก้อนต่อไปเข้าบัญชีเมื่อไหร่ ฉันจะช่วยนายจ่ายให้ค่ายแทนไปเลยดีไหม ระหว่างนายกับฉันไม่ต้องมีสัญญากู้ยืมหรือดอกเบี้ยอะไรนั่นหรอก ตราบใดที่นายยินดี เงินทั้งหมดของฉันก็คือเงินของนาย”

ฉยงเหรินตักข้าวโอ๊ตนมสดที่หายร้อนแล้วเข้าปากสองสามคำ เช็ดมุมปาก เหลือบตาขึ้นมองฟู่จยาเจ๋อ “ยังมีธุระอื่นอีกหรือเปล่า”

ฟู่จยาเจ๋อเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายตั้งใจบอกให้เขารีบไสหัวไปได้แล้ว

เขาลุกขึ้นโดยไม่สะทกสะท้าน ดูไม่เหมือนแขกที่ถูกไล่จนมุมเลยสักนิด “งั้นฉันขอตัวก่อน วันหน้าฉันจะมาหานายอีก เรื่องเงินฉันจะช่วยคิดหาทางเอง ไม่ต้องร้อนใจนะ”

ผู้จัดการยิ้มฝืดๆ “ให้ฉันไปส่งไหม”

ฟู่จยาเจ๋อสีหน้าสงบนิ่งอย่างเคย “ไม่ต้องหรอก ฉันไปล่ะ แล้วเจอกัน พี่หยาง ฉยงเหริน…”

ฉยงเหรินล้างถ้วยในห้องครัว ไม่แยแสเขา

รอยยิ้มของฟู่จยาเจ๋อค่อยๆ จางไปช้าๆ ราวกับเด็กหนุ่มผู้ลุ่มหลงในรักที่ถูกทำร้ายจิตใจอย่างเลือดเย็น

ผู้จัดการส่งเขาเสร็จก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ฟู่จยาเจ๋อดีกับนายขนาดนี้ ฉันว่าเขาต้องชอบนายจริงๆ แน่นอน ต่อให้นายไม่ชอบเขาก็ไม่เห็นต้องปั้นปึ่งเย็นชากับเขาเลยนี่”

ฉยงเหรินคว่ำชามไว้บนชั้น ส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา เหล่าหยางล้มลุกคลุกคลานอยู่ในวงการบันเทิงมาตั้งหลายปี แต่จนป่านนี้กลับยังไม่ทันคนเอาเสียเลย

“เหล่าหยาง ถ้าพี่เป็นฟู่จยาเจ๋อ แล้วพี่รู้ว่าบริษัทใช้ค่าฝึกมาฉุดรั้งผมไว้แบบนี้เพื่อตัวพี่เอง พี่จะทำยังไง”

ผู้จัดการที่เพิ่งเรียกร้องความเป็นธรรมให้ฟู่จยาเจ๋อไปเมื่อกี้พอได้ยินคำพูดของฉยงเหริน เขาก็จมอยู่ในความคิดตัวเองครู่หนึ่ง แล้วก็เห็นถึงปัญหาทันที

เขาเข้าใจแล้ว “จริงด้วย ถ้าฉันเป็นฟู่จยาเจ๋อ ต่อให้ซื้อบ้านไปแล้ว แต่ปีหนึ่งฉันทำเงินได้ตั้งสามร้อยล้าน ไม่มีทางที่จะออกเงินแค่ไม่กี่ล้านให้ไม่ไหวเพราะแค่ซื้อบ้านแน่ แล้วถ้าฉันเป็นเขา ฉันจะไม่มามัวพูดพล่ามกับนายหรอก แต่จะออกตัวเป็นคนกลางให้นายกับบริษัทเองโดยไม่ต้องรอให้นายขอ

วันนี้เขามาถึงก็พูดเรื่องซื้อบ้าน เพราะกลัวนายจะไปขอยืมเงินเขาสินะ นายรู้เจตนาเขาเลยจงใจตอกกลับเขาใช่ไหม”

แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจบางอย่างอยู่ดี “งั้นในเมื่อรู้อยู่แล้ว ทำไมนายไม่เปิดไพ่ให้เขาเห็นไปเลยล่ะ”

“เพราะยังมีเรื่องบางเรื่องที่ผมยังไม่เข้าใจ” ฉยงเหรินเดินไปริมประตู กวักมือเรียกผู้จัดการ

“อินเตอร์คอมหน้ายูนิตคอนโดฯ เรากดแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนจะพังแล้ว” ฉยงเหรินกดปุ่มต่อสาย แล้วหน้าจออินเตอร์คอมก็สว่างขึ้น

“แต่ที่จริงอินเตอร์คอมฝั่งเราสามารถดูภาพที่หน้ายูนิตคอนโดฯ เราได้ แน่นอนว่าได้ยินเสียงด้วยเหมือนกัน

พี่อย่ากะพริบตาเชียวล่ะ เราไม่มีโอกาสได้เห็นซูเปอร์สตาร์ตัวท็อปมาเล่นละครลิงให้ดูฟรีๆ ทุกวันหรอกนะ”

 

* แม่น้ำซานถู หรือแม่น้ำสามสาย เป็นแม่น้ำที่กั้นระหว่างโลกมนุษย์และนรก คนจีนรู้จักกันในชื่อของแม่น้ำวั่งชวนหรือแม่น้ำไน่เหอ

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: